โพลผู้ว่าพลาดได้อย่างไร

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 มีนาคม 2556

          ในการแข่งขันบาสเกตบอลชิงเหรียญทองโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1972 ที่เยอรมันนี   ทีมสหรัฐอเมริกาและโซเวียตสู้กันดุเดือดจนสัญญาณหมดเวลาดังขึ้น   สหรัฐอเมริกาชนะไป 1 แต้ม  ดีใจกันใหญ่   ฝ่ายโซเวียตประท้วงว่ายังเหลือเวลาอีก 1 วินาที     ทันทีที่กรรมการยอมต่อเวลาให้     ผู้เล่นโซเวียตก็โยนลูกข้ามคอร์ต    ผู้เล่นอีกคนรับได้ทันทีและหยอดลงไปได้ 2 แต้ม และก็หมดเวลาพอดี    สุดท้ายเป็นอันว่าโซเวียตชนะไป    อย่างนี้เรียกว่าแต่ละฝ่ายชนะ   แต่โซเวียตชนะหลังสุด
          การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เช่นกัน  ทั้งสองฝ่ายชนะโดย พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ชนะก่อนด้วยโพลต่าง ๆ ทันทีที่ปิดหีบลง   แต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ชนะหลังสุดเมื่อนับคะแนนจริงครบ
          มันเป็นไปได้อย่างไรที่สารพัดโพลของหลากหลายแหล่งจะผิดได้ขนาดนั้น    แต่มันก็เป็นไปแล้วและจะเป็นอีก      ถ้าไม่ศึกษาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
          ที่โกรธจนขำก็คำอธิบายของนักทำโพลบางคนที่ว่าความคลาดเคลื่อนขนาดหนักชนิดหน้าแตกแบบหมอปฏิเสธเย็บนั้นเกิดจากนิสัยคนไทยที่ไม่ชอบเปิดเผยความจริงว่าลงคะแนนให้ใครเมื่อถูกถามเพื่อทำ Entry และ Exit Poll  นอกจากนี้มีการแข่งขันกันดุเดือดแบ่งฝ่ายจนคนไทยไม่ตอบตามความเป็นจริง
          อุแม่เจ้า     ที่ผิดพลาดกันขนาดเอาปี๊บคลุมหัวขนาดนี้เป็นความผิดของพวกเรา!  ไม่ใช่ของคนทำโพล
          เมื่อพวกท่านเป็นคนทำโพลที่ดีก็ต้องศึกษาสภาพแวดล้อมของการทำโพล  อุปนิสัยของคนถูกถาม  ลักษณะของคำถามที่ทำให้ผู้ตอบเข้าใจชัดเจน  ฯลฯ  แล้วหาทางปรับตัวเลขที่ได้มาด้วยหลักวิชาการทางสถิติเพื่อให้ได้ตัวเลขที่คิดว่าสะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด
          มันเป็นหน้าที่ของคนทำโพลที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ประกอบเพื่อปรับข้อมูลที่ได้รับมา  หาใช่หน้าที่ของคนตอบที่จะต้องตอบให้ตรงตามลักษณะที่ผู้ทำโพลต้องการไม่
          ในฐานะที่เคยมีประสบการณ์ทำโพลมาบ้าง  เชื่อว่าความผิดพลาดของ Entry Poll และ Exit Poll มาจากสาเหตุอย่างน้อย 2 ประการดังต่อไปนี้
          (1)  ตัวอย่างที่เก็บได้นั้น   ไม่ใช่ตัวแทนที่ถูกต้องของผู้ลงคะแนนเสียง พูดอีกอย่างก็คือซุปของทัพพีที่ตักมานั้นไม่ใช่ตัวแทนรสชาติของซุปทั้งหม้อ      
          ความจริงที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือผู้มาลงคะแนนเสียงในแต่ละช่วงเวลานั้นอาจเป็นคนที่มีแบบแผนการเลือกผู้สมัครแตกต่างกัน   นอกจากนี้บางหน่วยเลือกตั้งอาจมีการลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครคนเดียวอย่างท่วมท้นก็เป็นได้   
          เมื่อเก็บตัวอย่างในบางช่วงเวลาและจากบางหน่วยเลือกตั้งโดยมิได้ศึกษาแบบแผนการลงคะแนนและองค์ประกอบของผู้มาลงคะแนนของหน่วยที่เก็บอย่างละเอียด   ตัวอย่างที่เก็บได้จึงมิใช่ตัวแทนของผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมดอย่างแท้จริง      ดังนั้นต่อให้เขาตอบตามความเป็นจริง     ผู้ทำโพลก็ผิดวันยังค่ำ
          การทำ Entry Poll และ Exit Poll นั้นยากกว่าการทำโพลพยากรณ์ผลเพราะความยากของการได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมด     ลองจินตนาการดูว่าถ้าจะต้องมีการเลือกคนจะไปลงคะแนนหรือลงคะแนนแล้วที่มีลักษณะตรงกับกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการซึ่งมีฐานจากอายุ     อาชีพ     รายได้     การศึกษา    ฯลฯ    ถามว่าจะมีใครตอบได้ละเอียดขนาดนั้นในเวลาอันสั้น  และต้องตัดสินใจตรงนั้นว่าจะเอาไว้ในกลุ่มตัวอย่างหรือไม่
          การทำโพลแบบนี้ต้องมีการประมวลผลอย่างรวดเร็ว (มิฉะนั้นผลจากการนับคะแนนจริงอาจออกมาก่อน!)    ต้องมั่นใจในกลุ่มตัวอย่าง   และรู้จักปรับคะแนนที่ได้ตามหลักวิชา
          (2)  ประสบการณ์ของผู้ถาม    ในสถานที่เลือกตั้งและบริเวณใกล้เคียงมักมีผู้สนับสนุนผู้สมัครหลายคนปรากฏตัวอยู่      การถามคำถามต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ     มิฉะนั้นผู้ตอบอาจไม่ให้ความร่วมมือ   หรือตอบไปตามเพลงเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บตัวก็เป็นได้
          การได้กลุ่มตัวอย่างมาจึงเป็นไปเพราะความบังเอิญหรือสิ่งแวดล้อม  มิได้เป็นไปตามการออกแบบอิงวิชาการแต่แรก       ผลที่ออกมาจากกลุ่มตัวอย่าง ‘บังเอิญ’  จึงให้ผล ‘บังเอิญ’  ด้วย
          ถ้าหากไม่มีการควบคุมงานสนามที่ดี เจ้าหน้าที่สนามอาจขี้เกียจหรือปวดหัว  จนสุดท้ายอาจตอบเสียเองก็เป็นได้         
          เหตุใดทุกโพลยกเว้นนิด้าโพลจึงให้ผล Entry และ Exit Poll ที่เป็นไปในทิศทางที่ตรงข้ามคะแนนจริงเหมือนกันหมด?       ผู้เขียนตอบไม่ได้แต่ขออนุมานว่าคงใช้ผลจากโพลพยากรณ์ก่อนหน้าเป็นฐานในการตัดสินใจค่อนข้างมาก
          เมื่อตัวอย่างของโพล Entry และ Exit ผิดพลาดและผลจากโพลพยากรณ์ผิดพลาด ทุกอย่างที่ตามมาจึงพากันลงเหวไปหมด
          สาเหตุสำคัญที่โพลพยากรณ์ผิดพลาดก็เพราะมีคนแห่มาลงคะแนนเพิ่มจากที่โพลคาดกันไว้ถึงร้อยละ 13 (จากร้อยละ 51 ครั้งที่แล้วเป็นร้อยละ 64 ในครั้งนี้)  หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 570,000 คน 

          หากถามว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงแห่กันมาลงคะแนนครั้งนี้      คำตอบก็อาจเป็นว่าเพราะส่วนใหญ่ของคนเหล่านี้มีความจำไม่เลอะเลือนและกลัวบ้านเมือง “ถูกกลืนทั้งหัวจรดหาง”