อย่าให้ถูกลวงมากกว่านี้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 ธันวาคม 2557

          นอกจากมนุษย์จะถูกหลอกลวงโดยเพื่อนร่วมโลกผู้ไม่น่ารักแล้ว บ่อยครั้งที่ถูกลวงโดยตนเองอีกด้วยอย่างไม่รู้ตัว ลองมาดูเรื่องน่าสงสารเหล่านี้กัน

          เรื่องแรก คือการที่เราถูกลวงโดยตัวเลขเพราะคิดว่ามันเป็นตัวเลขดังที่ควรจะเป็นและถูกต้องแม่นยำ ตัวอย่างได้แก่ (ก) เรามักเชื่อถือตัวเลขพยากรณ์อุณหภูมิของเมืองหรือจังหวัดต่าง ๆ โดยลืมนึกไปว่าที่บอกว่าเชียงใหม่ร้อนสุด 30 องศา และเย็นสุด 15 องศา นั้น เขาวัดกันที่จุดใด อำเภอใด เวลาใด และเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นนั้นเขาวัดเวลาเดียวกันด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์เหมือนกันและวัดที่อำเภอใด

          อุณหภูมิอากาศของเชียงใหม่นั้นแปรผันไปตามความสูงของจุดที่วัดและวันเวลาของการวัด การบอกตัวเลขเดียวแทบจะไม่มีความหมาย ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นแล้วยิ่งไร้ความหมาย เพราะแค่องศาของเชียงใหม่ก็ไม่ค่อยมีความหมายมากนักอยู่แล้ว หากจะไปเปรียบเทียบจริงจังก็ถือว่าเลอะเทอะ

          (ข) สถิติตอนสงกรานต์บอกว่าอุบัติเหตุตายที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนต่ำมากจนได้รับรางวัล แต่โคราชนั้นสถิติสูงมาก ถ้าฟังแล้วไม่คิดก็ถูกหลอกอีกนั่นแหละ แม่ฮ่องสอนมีรถวิ่งน้อยดังนั้นโอกาสเกิดอุบัติเหตุย่อมมีน้อยเป็นธรรมดา ส่วนโคราชเป็นจังหวัดที่รถวิ่งผ่านไปจังหวัดอื่นกันมากมายตลอดวันและคืน สถิติอุบัติเหตุก็ย่อมมากเป็นธรรมดา ถ้าจะหาตัวเลขที่พอมีความหมายก็ต้องเป็นจำนวนอุบัติเหตุต่อกิโลเมตรของความยาวถนน และต้องคำนึงถึงที่ตั้งอีกด้วย สมมุติว่าแม่ฮ่องสอนมีระยะทางถนนเท่าโคราช แต่อยู่ห่างไกลจังหวัดอื่น ๆ แบบโดดเดี่ยว ก็จะต่างจากโคราชที่มีรถวิ่งขวักไขว่ สถิติอุบัติเหตุที่เห็นต่อกิโลเมตรก็ไม่อาจชี้ให้เห็นอะไรได้แม่นยำนัก

          เรื่องที่สอง คือความสำเร็จ เมื่อเห็นคนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหรือถูกหวยรางวัลใหญ่ก็ฝันอยากถูกอย่างเขาบ้าง ทุ่มเงินซื้อล็อตเตอรี่และแทงหวยหนักมือ โดยลืมนึกไปว่าตนเองกำลังถูกลวงตาโดยมองไม่เห็นคนอีกนับสิบล้าน ๆ คนที่ถูกกิน เพราะสื่อเขาลงข่าวแต่คนที่ประสบความสำเร็จ

          อยากเป็นนักร้องชื่อดัง นักดนตรีชื่อดัง เขียนหนังสือที่ตีพิมพ์นับสิบ ๆ ครั้ง เป็นนักฟุตบอลชั้นยอด ฯลฯ มนุษย์อยากเป็นและมักเห็นแต่คนที่ประสบผลสำเร็จโดยไม่ได้เห็นคนอีกมากมาย หนังสืออีกหลายร้อยหลายพันเล่มที่พิมพ์หนเดียวหรือไม่ได้พิมพ์เพราะผู้ตั้งใจจะเป็นนักเขียนเพียงแต่ฝันแต่มิได้ลงมือ การถูกลวงเช่นนี้อาจทำให้ตัดสินใจชีวิตผิด ๆ เช่นลาออกจากงานเพื่อมาสานฝันที่คิดว่าอยู่ใกล้ ๆ โดยหารู้ไม่ว่าความเป็นไปได้ในการประสบความสำเร็จต่ำกว่าหนึ่งในพันหรือหมื่น

          เรื่องที่สาม คือความเชื่อ มนุษย์โดยทั่วไปนั้น “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” เฉพาะคนมีปัญญาเท่านั้นที่หลุดพ้นจากการถูกลวงนี้ไปได้ในระดับหนึ่ง ความเชื่อของคนจำนวนมากไม่ใช้เหตุใช้ผล ผู้เขียนเคยพบนักวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกที่เชื่ออย่างจริงจังว่ามีพญานาคอยู่ใต้แม่น้ำโขงจนปล่อยควันขึ้นมาทุกปีตรงกับเวลาที่นักท่องเที่ยวนั่งเฝ้าดูอยู่บนอัฒจรรย์ ถ้าคนมาดูกันช้าก็ปล่อยช้าอย่างตรงใจผู้ดูอีกด้วย ปัจจุบันมีทีมสื่อพิสูจน์แล้วว่าควันนั้นมาจากปืนที่ยิงมาจากฝั่งลาวอีกซีกของแม่น้ำโขง และชาวบ้านบริเวณนั้นเขาทำกันอย่างนี้มานับสิบปีแล้ว

          มนุษย์ทั่วไปมักโดดเข้าเชื่อว่าหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้ดี เมื่อเชื่อไปแล้วไม่ว่าใครต่อใครจะบอกว่าไม่ดีก็โยนหลักฐานเหล่านั้นว่าไม่ดีทิ้งหมด เลือกรับไว้แต่คำชมหรือหลักฐานที่สนับสนุนว่าดีตามความเชื่อ แต่เมื่อนานเข้าผู้คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันมากเข้าว่าองค์นี้ไม่ดีจริง ๆ คราวนี้ถึงตนเองจะรู้แล้วว่าหลงผิดแต่ก็ไม่ยอมถอยเพราะยอมรับว่าผิดไม่ได้ ดื้อดึงเดินหน้าเชื่อต่อไปอย่างไม่มีเหตุ มีผล

          ในเรื่องความรัก เมื่อรักแล้วควันเข้าตา มองเห็นว่าสุดน่ารัก อะไร ๆ ก็ดีไปหมดเพราะตนเองเชื่ออย่างที่ตนเองต้องการจะเชื่อ มิใยที่ใครบอกว่าไม่ดี ก็เดินหน้ารักต่อไปและยอมรับแต่หลักฐานที่ยืนยันสิ่งที่ตนเองเชื่อ

          บางคนเกิดปัญหาเอามาก ๆ ตลอดชีวิตต้องอกไหม้ไส้ขมก็เพราะเผชิญกับปัญหาที่มาจาก “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” อย่างน่าสงสาร โบราณจึงบอกว่าคนที่หลอกเราได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือตัวเราเอง

          ถ้าท่านไม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” มีจริง ก็ลองหันไปส่องกระจกดูตัวเองและมองลูกและหลานตนเองดูก็ได้ ก็จะพบว่าจะหาใครในโลกที่มันดูดีหาข้อตำหนิแทบไม่ได้เท่าตนเองเป็นไม่มี และจะหาใครน่ารักเท่าลูกหลานเรายากหนักหนา

          เรื่องที่สี่ คือทัศนคติ การมีทัศนคติก็คล้ายกับการใส่แว่นสี ตราบที่ใส่แว่นสีเขียวก็จะมองเห็นโลกเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นการลวงตาลักษณะหนึ่ง ถ้าบังเอิญเป็นแว่นสีที่สว่างเย็นตา โลกสำหรับผู้ใส่ก็จะสดใสงดงาม มองเห็นโลกเป็นบวก แต่ถ้าใส่แว่นสีอุบาทว์ที่ใส่แล้วรุ่มร้อน มองไปทางไหนก็จะไม่สบใจ มองเห็นโลกเป็นลบไปหมด จิตใจว้าวุ่น

          หาความสุขไม่ได้เพราะคน อื่น ๆ ย่อมมีปฏิกิริยาที่ไม่เป็นคุณต่อความเป็นลบของเขาเสมอ

          ถูกคนหลวกลวงยังไม่น่าเจ็บใจเท่ากับตัวเองลวงตัวเองเพราะความไม่เข้าใจความจริงของโลกและไม่ซึ้งกับความเป็นจริงของธรรมชาติมนุษย์