จารชนและความรักลูก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27 กันยายน 2559

          มีจารชนกลับใจผู้รักลูกจนถึงแก่ชีวิตเมื่อเร็ว ๆ นี้จากการถูกแขวนคอด้วยข้อหาจารกรรมความลับนิวเคลียร์ของประเทศ ชีวิตของ Shahram Amiri นักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านในฐานะผู้ทรยศและพ่อเป็นสิ่งที่ควรนำมาศึกษา

          เรื่องก็มีอยู่ว่า Amiri เป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่ทำงานในโครงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของอิหร่านมาหลายปีในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบระดับรังสี ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโครงการดังเช่น Mohsen Fakhrizadeh แต่ก็รู้ความลับอยู่มาก

          ชาวโลกโดยเฉพาะทางการสหรัฐอเมริกาทราบมานานแล้วว่าอิหร่านพยายามสร้างระเบิดนิวเคลียร์มานานปีแต่ยังไม่ถึงขั้นใช้งานได้ CIA พยายามหาข้อมูลว่ามีความก้าวหน้าเพียงใดและมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือไม่ และวันหนึ่งก็มีคนสมัครใจคือ Amiri มาเล่าให้ฟัง

          ในปี 2009 Amiri มีอายุ 32 ปี ลางานจากมหาวิทยาลัยและโครงการนิวเคลียร์ของประเทศเพื่อเดินทางไปเม็กกะตามความฝันของมุสลิม และที่เมือง Medina ในซาอุดิอาระเบีย เขาก็หายตัวไปพบ CIA และเล่าความลับต่าง ๆ เพื่อแลกกับการไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาพร้อมลูกอายุ 5 ขวบและภรรยา พร้อมเงินก้อนใหญ่ CIA ก็ได้ความจริงจากเขาไปมาก และรับเข้าเป็นจารชนโดยให้กลับไปทำงานต่อไป

          ต่อมา CIA ก็เห็นว่าคงจะเก็บความลับเรื่อง Amiri เป็นจารชนให้ CIA ไว้ได้อีกไม่นานจึงเสนอให้เงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐพร้อมกับเข้าโครงการเปลี่ยนชื่อเสียงหน้าตาใหม่และไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา Amiri ตัดสินใจไปคนเดียวเพราะตระหนักว่าภรรยาซึ่งห่างเหินกันคงไม่ไปด้วยและไม่สามารถเอาลูกไปด้วยได้

          หลังจากผ่านกระบวนการซักถาม “รีด” ความลับจาก Amiri ในอเมริกาแล้ว เขาก็อยู่โครงการลับพิเศษเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขา เขาน่าจะไปได้ดีด้วยเงินก้อนใหญ่และความปลอดภัย แต่เขาคิดถึงลูกชายอย่างสุดใจ แอบโทรศัพท์กลับไปบ้านหาแม่และคุยกับลูก ซึ่งแน่นอนว่าทางการอิหร่านแอบดักฟังอยู่ เขาจึงถูกขู่เข็ญว่าจะทำร้ายครอบครัวและลูก

          Amiri ทนรับความกดดันไม่ได้เพราะเขามิได้มีจิตวิญญาณหรือลักษณะของการเป็นจารชนเลย ตัวจริงของเขาคือเป็นคนขี้กังวล ประสาทหน่อย ๆและเงอะ ๆ งะ ๆ หลังจากคิดอยู่ไม่นานเขาก็ตัดสินใจกลับอิหร่าน CIA ก็เตือนเขาว่าจารชนที่กลับใจและกลับบ้านนั้นในที่สุดแล้วก็หนี “กลับบ้านเก่า” ไม่พ้นในเวลาไม่นาน ไม่ว่าจะมีคำมั่นสัญญาว่าอย่างไรกันก็ตาม

          Amiri ตัดสินใจผิดพลาด เขาเดินทางกลับอิหร่านด้วยความคิดถึงลูก (แม่นั้นเป็นเรื่องรอง ลงไป) ทางการสหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถห้ามเขาได้เพราะมีกฎเกณฑ์อยู่ชัดเจนว่าหากบุคคลเหล่านี้ต้องการกลับบ้าน ก็ไม่สามารถขัดขวางได้ตามกฎหมาย

          ในกลางเดือนกรกฎาคม 2015 Amiri ก็กลับกรุงเตหะราน และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ลูกชายก็มารับที่สนามบิน มีการกระจายภาพทางโทรทัศน์ออกไปทั่วประเทศโดยเล่าให้สื่อฟังว่าเขาถูก CIA จับตัวไป เสนอให้เงินแลกการตามคำถามแต่เขาไม่ได้ให้ข้อมูลแต่อย่างใด

          ด้านสหรัฐอเมริกาก็แพร่หลายคลิปที่ Amiri กล่าวว่าเขามาอย่างเต็มใจไม่มีใครบังคับ ภรรยาเขาก็ออกมาบอกว่าคลิปอันที่สองนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงเพราะเขาอ่านข้อความ อีกไม่กี่วันต่อมาทางการอิหร่านก็แพร่วิดีทัศน์ที่สามซึ่ง Amiri ยืนยันว่าถูกจับตัวไปจริง แต่เขาหนีมาได้

          เรื่องจริงเป็นอย่างไรก็พออนุมานได้ว่า Amiri ไปอยู่กับฝ่ายสหรัฐอเมริกาจริง จะด้วยไปเองหรือถูกจับก็ตาม แต่เขาเปลี่ยนใจหลังจากอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ต้องการกลับบ้านเพื่อมาหาลูก ถึงแม้จะถูกเตือนแล้วว่าจะมีชะตากรรมเหมือนจารชนของโซเวียตรัสเซียในอดีตก็ตาม

          หลังจากเขาถูกแขวนคอแล้ว ทางการอิหร่านก็ประกาศว่า Shahram Amiri ถูกประหารชีวิตเพราะเปิดเผยความลับสุดยอดให้แก่ศัตรู

          ความจริงในเรื่องนี้อาจลึกซึ้งมากกว่าที่เราทราบกัน Amiri อาจเป็นจารชนสองหน้าที่อิหร่านส่งไปเพื่อสืบว่า CIA รู้มากเพียงใดและเพื่อให้ข้อมูลที่ผิด ๆ ขณะเดียวกันก็หาประโยชน์จากการเป็น จารชนให้อเมริกาในภายหลัง แต่ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหน้าหรือสองหน้า เขาตัดสินใจกลับบ้านเพราะคิดถึงลูก ถึงแม้จะตระหนักดีว่าอาจประสบชะตากรรมที่ไม่ต่างไปจากจารชนกลับใจและกลับบ้านทั้งหลายก็ตาม

          มีความเป็นไปได้ว่าการล้มเหลวของโครงการนิวเคลียร์อิหร่านตามที่มีการเปิดเผยกันว่าเนื่องมาจากโดนไวรัส Stuxnet ผนวกการโจมตีทางออนไลน์ของทีมร่วมอเมริกาและอิสราเอลโยงใยกับความลับในทางใดทางหนึ่งที่ได้ไปจาก Amiri จึงทำให้เขาถูกลงโทษหนักขึ้นในที่สุด

          มีคนพูดกันมากว่าการที่สหรัฐอเมริการ่วมกับผู้นำหลายประเทศของโลกตะวันตก จีน และรัสเซีย มีความตกลงกับอิหร่านในเรื่องกรอบการพัฒนานิวเคลียร์เมื่อเดือนเมษายน 2015 ซึ่งก็คือการหยุดการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยปริยายนั้นเป็นผลจากสงครามออนไลน์ข้างต้น

          ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของ Amiri ผู้ตัดสินใจเลือกความรักที่มีต่อลูกและความปลอดภัยของลูกเหนือกว่าความเอาตัวรอดของตัวเอง