สองหญิงชิงเด่นในบังคลาเทศ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
28 มกราคม 2557

          การเมืองบังคลาเทศเป็นที่สนใจของชาวโลกเพราะไม่น่าเชื่อว่าการประท้วง การกีดกัน การบอยคอตการเลือกตั้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นวิธีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามนั้น ล้วนเป็นฝีมือของสองหญิงผู้เกลียดกันเข้ากระดูกดำ โดยทั้งสองเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วคนละ 2 สมัย

          คนแรกคือนายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบันชื่อ Sheikh Hasina อายุ 66 ปี เป็นลูกสาวของผู้ถือกันว่าเป็นบิดาประเทศบังคลาเทศ นาย Sheikh Mujibur Rahman หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า Mujib

          คนที่สอง คือ Khaleda Zia ภรรยาหม้าย อายุ 68 ปีของอดีตประธานาธิบดีที่มาจากการรัฐประหารในปี 1977 ชื่อนายพล Zia Rahman ผู้เป็นประธานาธิบดีต่อจาก Mujib

          หญิงทั้งสองผ่านความเจ็บปวดในชีวิตมาด้วยกัน แต่ก็ดูจะไม่เห็นใจกันเลย ขับเคี่ยวแข่งขันชิงดีชิงเด่นตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา Mujib พ่อของ Hasina ถูกสังหารในปี 1975 หลังจากได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกเมื่อบังคลาเทศได้เกิดเป็นประเทศขึ้นในปี 1971

          สำหรับ Khaleda Zia หรือ Zia นั้นสามีถูกสังหารเช่นกันในปี 1981 แต่ยังนับว่าหนักหน่วงน้อยกว่ากรณีของ Hasina เพราะพ่อของเธอถูกสังหารพร้อมกับครอบครัวเกือบทั้งหมด เธอรอดชีวิตกับน้องสาวเพราะอยู่นอกประเทศในขณะเกิดเหตุ

          บังคลาเทศนั้นเดิมมีชื่อว่าปากีสถานตะวันออก เป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่มีอีกดินแดนหนึ่งคือปากีสถานตะวันตกเป็นส่วนประกอบ ทั้งตกและออกรวมกันเป็นประเทศโดยดินแดนสองส่วนไม่อยู่ติดกันเพราะมีอินเดียคั่นอยู่

          ปากีสถานตะวันออกดิ้นรนต่อสู้เป็นเอกราชโดยมี Mujib เป็นหัวหน้าคนสำคัญหลังจากต่อสู้กับปากีสถานตะวันตกจนประชาชนตายไปนับล้านคน ปากีสถานตะวันออกก็ได้เอกราชและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นบังคลาเทศ ส่วนปากีสถานตะวันตกก็เปลี่ยนชื่อเป็นปากีสถาน

          การเมืองในทั้งสองประเทศมีความรุนแรง ต่อสู้กันดุเดือดทั้งในกติกาและนอกกติกา นาง Benazir Bhutto นายกรัฐมนตรีสองสมัยของปากีสถานก็ถูกสังหารในปี 2007 ทั้งสองประเทศดูจะมีวัฒนธรรมที่เหมือนกันอยู่สองเรื่องคือความรุนแรงทางการเมืองและคอรัปชั่น

          หลังจากนายพล Zia Rahman ประธานาธิบดีบังคลาเทศสามีของนาง Khaleda Zia ถูกลอบสังหารในปี 1981 ประเทศก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ในปี 1982 นายพล Hossain Mohammad Ershad ทำรัฐประหารและขึ้นเป็นประธานาธิบดี สามารถครองอำนาจอยู่เป็นเวลานานระหว่าง 1982 ถึง 1990

          เมื่อรัฐบาลเผด็จการถูกกดดันหนักจากต่างประเทศและในประเทศให้กลับสู่ระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งก็เกิดขึ้นในปี 1991 โดยเปลี่ยนการปกครองจากระบอบประธานาธิบดีมาเป็นระบอบรัฐสภา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจบริหารสูงสุด

          Zia ลงแข่งเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรค BNP ซึ่งสามีเธอเป็นคนตั้งขึ้น โดยมีนโยบายเศรษฐกิจเสรี ส่วน Hasina ก็ลงแข่งเป็นหัวหน้าพรรค Awami League (AL) สืบทอดอุดมการณ์ โน้มเอียงสังคมนิยมของพ่อเธอ ทั้งสองแข่งขันกันเข้มข้น ในที่สุด Zia ก็เป็นผู้ชนะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของโลกมุสลิม

          Zia เป็นนายกรัฐมนตรีระหว่าง 1991-1996 ท่ามกลางการประท้วงและความรุนแรงเกือบตลอดเวลา เมื่อมีการเลือกตั้งในปี 1996 Hasina ผู้นำฝ่ายค้านก็บอยคอตการเลือกตั้ง ระดมสรรพกำลังต่อต้านและประท้วงอย่างดุเดือด ในที่สุด Hasina ก็ชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ Zia ซึ่งกลับไปเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

          ในระหว่างการครองอำนาจของ Hasina ครั้งแรก ระหว่าง 1996-2001 Zia ก็ประท้วงก่อกวนนายกรัฐมนตรีเฉกเช่นที่ Hasina เคยทำเมื่อครั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

          เมื่อการเลือกตั้งในปี 2001 มาถึง Zia ก็ลงเลือกตั้งและสามารถเอาชนะ Hasina ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 และระหว่างที่เธอครองอำนาจระหว่าง 2001-2006 Hasina ก็ไม่ได้อยู่เฉย ก่อกวนประท้วงตามวัฒนธรรมที่เคยเป็นกันมา

          ในการเลือกตั้งปี 2006 Hasina ก็บอยคอตเลือกตั้ง ประท้วงอย่างวุ่นวายจนทหารทน ‘วีรกรรม’ ของสองนางพญาไม่ไหวเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลระหว่างที่ยังไม่มีการเลือกตั้งเพื่อล้างบางคอรัปชั่นและความชั่วร้ายต่าง ๆ เช่น การลอบสังหาร ความรุนแรงในการประท้วง การอุ้มฝ่าย ตรงข้าม และสื่อ ฯลฯ

          รัฐบาลชุดนี้จับทั้งสองนางขึ้นศาลพร้อมบรรดาพรรคพวกและลูก 2 คนของ Zia ในข้อหาคอรัปชั่น แต่เมื่อขึ้นศาลทั้งสองก็หลุด ยิ่งไปกว่านั้นในการเลือกตั้งในปี 2008 Hasina ก็ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง

          ทั้งสองพยายามจะเป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยต่อเนื่องกันแต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะ ฝ่ายค้านต่อสู้หนักหน่วงโดยใช้ทุกกลวิธี

          เมื่อถึงเวลาต้องเลือกตั้งใหม่เพราะครบเทอมในต้นปี 2014 Hasina ก็พยายามเต็มที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยต่อเนื่องกัน กล่าวคือครองอำนาจ 2008-2013 ยังไม่พอ ต้องการต่อออกไปอีกถึง 2018 ดังนั้นจึงห้ามฝ่ายค้านชุมนุม ใช้ตำรวจเป็นมือเป็นแขน ไม่ยอมให้มีการตั้งรัฐบาลรักษาการดูแลเลือกตั้งดังที่เคยทำกันมา

          Zia หัวหน้าฝ่ายค้านกับพรรคเล็กอื่น ๆ จึงรวมหัวกันบอยคอตเลือกตั้ง ไม่ส่งคนจากพรรค BNP ลงสมัคร โดยทำทุกอย่างเหมือนที่ Hasina เคยทำกับเธอในตอนเลือกตั้งปี 1996 ความรุนแรงต่าง ๆ จึงประทุขึ้นดังที่เราเห็นกันในสื่อตลอดช่วงเวลาต้นปี 2014 ที่ผ่านมา

          นี่คือเรื่องราวของสองหญิงคู่แค้น ผลัดกันเป็นนายกรัฐมนตรีท่ามกลางคนตายนับสิบ ๆ คนทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง โดยไม่ยอมลดราวาศอกให้กันถึงแม้จะอยู่ในวัยปลายชีวิตด้วยกันทั้งคู่แล้วก็ตาม

กัญชาถูกกฎหมายในโคโลราโด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
21 มกราคม 2557

          เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมารัฐโคโรราโด้สร้างประวัติศาสตร์โลกด้วยการเป็นแห่งแรกของโลกที่ประชาชนสามารถเสพกัญชา ไม่ว่าสูบหรือกินจากการซื้อหรือปลูกเองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เกิดอะไรขึ้นในรัฐนี้ และกัญชากำลังจะกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในโลกไปแล้วหรืออย่างไร

          คนไทยนั้นเสพกัญชามายาวนานนับร้อยปีโดยไม่ผิดกฎหมาย นอกจากการสูบเพื่อการหย่อนใจแล้วยังนำใบกัญชามาปรุงอาหารเพื่อช่วยให้การรับรู้รสชาติอาหารดีขึ้น อย่างไรก็ดีในโลกสมัยใหม่กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเสพ ขาย ซื้อ ปลูก หรือครอบครอง

          ในสหรัฐอเมริกาก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ในทศวรรษ 1970 ทางการแข็งขันอย่างมากในการปราบปรามหลังจากที่การเสพกัญชาได้กลายเป็นแฟชั่นในหมู่นักศึกษา ฮิปปี้ และคนรุ่นใหม่ในทศวรรษ 1960 ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดที่มีโทษอาญา ถึงแม้จะไม่ใช่ยาเสพติดที่ร้ายแรงเช่นโคเคน หรือเฮโรอีน ก็ตาม

          อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา กระแสความคิดในเรื่องการต่อต้านกัญชาในสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่น ๆ ได้พลิกผันเปลี่ยนแปลงไป งานวิจัยทางการแพทย์พบประโยชน์ของกัญชาซึ่งมีชื่อเรียกว่า ganja, cannabis หรือ marijuana หรือ pot เนื่องจากมีสาร THC ซึ่งสามารถช่วยลดความเจ็บปวด หรือสร้างความผ่อนคลายให้แก่คนไข้ได้เป็นอย่างดีในราคาถูก

          กัญชาเป็นไม้ล้มลุกมี 3 พันธุ์ คือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis ruderalis ทั้งหมดเป็นไม้พื้นเมืองของเอเชียกลางและเอเชียใต้ สามารถปลูกได้ดีในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาจะเห็นขึ้นอยู่ริมถนนในฤดูร้อนในบริเวณแถบรัฐตอนกลาง (midwest) ของประเทศ

          สาเหตุที่ทำให้แรงต่อต้านการเสพกัญชาอ่อนลงเป็นลำดับก็เนื่องจากเหตุผลอย่างน้อย 4 ประการ กล่าวคือ (1) การใช้ THC ในการแพทย์แพร่หลายมากขึ้นเพราะฤทธิ์ของยาและราคา (2) ในยุคของการแสวงหาความสุขสมอย่างทันด่วน (instant gratification) ของชาวโลก กัญชาสนองตอบได้เป็นอย่างดี (3) การยอมรับสถานะของกัญชาว่าไม่ต่างไปจากเหล้าและสุราซึ่งเสพกันอย่างกว้างขวางในสังคมสมัยใหม่ และ (4) การตระหนักว่าสงครามสู้รบกับกัญชานั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเสียเงินทองไปมหาศาลเพียงใดก็ปราบกัญชาไม่หมด และยิ่งเห็นว่ากัญชานั้น “ไร้เดียงสา” เมื่อเปรียบเทียบกับยาเสพติดชนิดใหม่อื่น ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมร้ายแรงกว่ามาก

          พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อเอาชนะมันซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการ “ทำลาย” น้อยกว่ายาเสพติดอื่นไม่ได้ก็ควบคุมให้มันอยู่ในกรอบอย่างถูกกฎหมาย เพื่อหันเหสรรพกำลังและทรัพยากรไปปราบปรามยาเสพติดร้ายแรงชนิดอื่น ๆ ได้อย่างเต็มมือและมีประสิทธิภาพขึ้น

          ไม่ว่าโดยส่วนตัวเราจะเห็นด้วยกับวิธีคิดแบบนี้หรือไม่ก็ตาม คนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกายอมรับกัญชามากขึ้น การสำรวจในปี 2012 พบว่าคนอเมริกันอายุ 18-29 ปี จำนวน 60% เห็นว่ากัญชาควรถูกกฎหมาย ส่วนในช่วงอายุ 30-64 ปี มีจำนวน 48% และอายุ 65 ปี ขึ้นไปมีจำนวน ร้อยละ 30

          มีสองรัฐคือโคโลราโดและวอชิงตันในสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนต้องการให้กัญชาเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายจากการลงคะแนนเสียงของประชาชนในปี 2012 และมี 20 รัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ ถึงแม้ว่ากฎหมายระดับประเทศ (Federal Law) ยังคงห้ามอยู่ก็ตามที

          โคโลราโดและวอชิงตันแข่งขันกันว่าใครจะเป็นแห่งแรกในโลกที่กัญชาถูกกฎหมาย ในที่สุดในวันปีใหม่ที่ผ่านมาโคโลราโดก็เป็นผู้ชนะ ก่อนเปิดร้านในวันปีใหม่ 2014 ซึ่งเป็นวันประวัติศาสตร์ ผู้คนในรัฐโคโลราโดเองและที่เดินทางมาจากต่างรัฐนับพัน ๆ คน ฝ่าความหนาวยืนรอหน้าร้านเพื่อซื้อกัญชาอย่างถูกกฎหมายเป็นครั้งแรก

          ทางการโคโลราโดมิได้ปล่อยกัญชาอย่างเสรี หากอยู่ในการกำกับดูแลควบคุมเหมือนเหล้า เพราะเห็นกันว่ามันช่วยการผ่อนคลายเหมือนกับการดื่มสุรา ถ้าผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในรัฐและอายุเกิน 21 ปี ซื้อได้ไม่เกินคนละหนึ่งออนซ์ต่อครั้ง โดยใส่ในภาชนะที่มิดชิดป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงได้ และห้ามเสพในที่สาธารณะ หากมาจากรัฐอื่นก็ซื้อได้คนละหนึ่งในสี่ออนซ์

          คนปลูกเพื่อการค้าและร้านขายต้องได้รับใบอนุญาต โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจเป็นระยะ ๆ การทำให้กัญชาถูกกฎหมายในโคโลราโดนั้นเขาทำเป็นขั้นตอนกล่าวคือก่อนหน้านี้หนึ่งปีอนุญาตให้ประชาชนเสพได้เพื่อการหย่อนใจและผ่อนคลาย จะกินจะสูบได้เฉพาะในบ้าน โดยอนุญาตให้ปลูกได้คนละไม่เกิน 6 ต้นต่อบ้าน ผู้ซื้อกัญชาต้องมีใบรับรองจากแพทย์และมีบัตรแสดงว่าจำเป็นต้องใช้เพื่อการแพทย์

          เมื่อกฎหมายเป็นอย่างนี้ ผู้เสพเพื่อการหย่อนใจจึงต้องไปซื้อต่อจากพวกมีบัตรในราคาแพงกว่าหนึ่งเท่าตัว (50-60 เหรียญต่อหนึ่งออนซ์ ไม่รู้ว่าที่บ้านเราเงินจำนวนนี้ซื้อได้มากกว่ากี่เท่า) ซึ่งผิดกฎหมาย ที่ตลกก็คือยอมให้เสพกันได้เพื่อหย่อนใจแต่ต้องไปหากัญชากันเอาเอง (ยกเว้นปลูกหลังบ้าน)

          เมื่อวันนี้มาถึงซึ่งทุกอย่างถูกกฎหมาย ผู้เสพทั้งหลายจึงหายใจสะดวกว่าได้ทำถูกกฎหมายเสียที สามารถเดินเข้าไปในร้านเพื่อซื้ออย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎหมายหากนำไปเสพข้ามรัฐ เหตุผลที่ทำให้คนโคโลราโดเสพและครอบครองกัญชาได้ไม่ผิดกฎหมายก็เพราะรัฐบาลกลางอนุญาต รัฐนี้เป็นการพิเศษชั่วคราว (เมื่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศและเป็นคนใหญ่ที่สุดลงมติในระดับรัฐว่าต้องการให้ถูกกฎหมาย รัฐบาลกลางก็จำต้องยอม) อย่างไรก็ดีหากเป็นปัญหาและไม่มีการดูแลกันดีก็อาจถอนการอนุญาตได้

          คนทั้งโลกกำลังจับตามองโคโลราโดว่าการแหวกแนวครั้งนี้จะช่วยลดหรือเพิ่มปัญหาให้สังคม คนจำนวนมากในโลกเห็นว่าแค่เหล้า และบุหรี่ ก็เป็นสิ่งเสพติดถูกกฎหมายที่เป็นปัญหาอยู่มาก ๆ แล้วในโลก การเพิ่มอีกชนิดอย่างถูกกฎหมายรังแต่จะเพิ่มปัญหาให้สังคมมากขึ้น แต่เมื่อประชาชนต้องการก็จำต้องยอม ผู้ว่าการรัฐโคโลราโดซึ่งไม่เห็นด้วยก็ต้องหลบหลีกไม่ร่วมในงานฉลองการถูกกฎหมายของกัญชาใด ๆ ทั้งสิ้น

          เรื่องนี้เป็นหัวข้อแห่งการถกเถียงที่ประเทืองปัญญาเป็นอันมากว่าการยอมให้เสพกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพราะประชาชนต้องการนั้นถูกต้องหรือไม่

พฤติกรรมทำลายครอบครัวของหญิง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
14 มกราคม 2557 

          บ้านไม่ว่าหลังใหญ่หรือเล็กสามารถเป็นทั้งสวรรค์และนรกได้ทั้งนั้น โดยทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้อยู่ร่วมกันในบ้านหลังนั้นในประวัติศาสตร์มีหญิง ๓ คน ที่เชื่อกันว่ามีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างนรกในครอบครัว และทั้งหมดมีคุณลักษณะตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือมีความขี้หึง ระแวง บ่นจู้จี้ และก่อเรื่องวุ่นวายให้แก่ครอบครัวเป็นประจำ

          Dale Carnegie ผู้เขียนหนังสือคลาสสิค อายุ ๗๘ ปี “How to Win Friends and Influence People” เล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ (ผู้เขียนเป็นผู้ชายจึงอาจมีความเอนเอียงเข้าข้างเพศเดียวกัน แต่เรื่องเหล่านี้ฟังไว้ก็คงไม่เสียหาย)

          รายแรกคือเคาน์เตสแห่งทีบา ซึ่งเป็นพระราชินีของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส กล่าวขวัญกันว่า เธอเป็นสตรีที่สวยที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น

          กษัตริย์องค์นี้เป็นหลานของพระเจ้านโปเลียนที่ ๑ (Napoleon Bonaparte นายพลผู้ยิ่งใหญ่ผู้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๖๙-๑๘๒๑) ในตอนแรกได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีด้วยการลงคะแนนเสียงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส แต่ต่อมากระทำรัฐประหารตนเอง และสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นกษัตริย์ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๗๓

          ถึงแม้ว่ากษัตริย์มีพระราชอำนาจ มีความมั่งคั่งในราชสมบัติและทั้งสองรักใคร่กันมาก จนกล่าวกันว่าไม่มีเปลวไฟใด ๆ ที่โชติช่วงชัชวาลเท่าคบเพลิงแห่งความรักของทั้งสองพระองค์ อย่างไรก็ดีหลังพิธีอภิเษกสมรสไม่นาน เปลวไฟก็กลายเป็นเถ้าธุลี ถึงแม้พระองค์จะทรงแต่งตั้งให้เธอเป็นพระราชินีมอบทรัพย์สมบัติมากมายให้ รวมทั้งในความรัก แต่ก็ไม่อาจหยุดนิสัยวุ่นวายจู้จี้ขี้หึงของเธอลงได้

          ยูยิเน่ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเธอขี้หึงอย่างร้ายกาจระแวงไปหมด ไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์กระทั่งไม่ยอมให้พระองค์มีความเป็นส่วนตัว บางทีเธอบุกพรวดพราดเข้าไปในท้องพระโรงขณะที่พระองค์กำลังทรงปรึกษาราชการ เธอไม่ต้องการให้พระองค์มีโอกาสอยู่ลำพัง พ้นไปจากสายตาของเธอ เธอหวาดระแวงเกรงว่าจะมีหญิงอื่น จนมักไปพร่ำรำพันความเลวร้ายของพระองค์ให้พี่สาวฟัง และบางครั้งเธอถึงกับชี้หน้าด่าประจานพระองค์ต่อหน้าธารกำนัล

          ชีวิตครอบครัวของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ จึงมีแต่ความระทมขมไหม้ หาความสุขไม่ได้ เธอมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ ๙๔ ปี โดยที่พระสวามีจากไปตั้งแต่เมื่อ ๔๗ ปีก่อน

          รายที่สองคือเคาน์เตสตอลสตอย ภรรยาของนักประพันธ์เอกของโลก ลีโอ ตอลสตอย เจ้าของ “สงครามและเสรีภาพ” และ “แอนนา คาเรนินา” ชีวิตของทั้งสองน่าจะสุขสบายเพราะสามีมีชื่อเสียงกึกก้องโลก แฟนบทประพันธ์ของเขาอ่านทุกถ้อยคำที่ออกจากปากเขา ซึ่งมีการรวบรวมเป็นหนังสือให้ชาวโลกชื่นชม นอกจากพรั่งพร้อมด้วยชื่อเสียงและมีลูก ๆ อย่างอบอุ่น

          ชีวิตครอบครัวดำเนินไปอย่างมีความสุขราวกับนิทานจนเมื่อตอลสตอยเริ่มเปลี่ยนไป เขารู้สึกละอายใจเรื่องยิ่งใหญ่ที่เขาเขียนขึ้นมา จึงหันไปเขียนเรื่องสัพเพเหระต่อต้านสงครามกับความยากจน เขานำสมบัติออกแจกจ่ายผู้อื่น ตัวเองก็กินอยู่อย่างยากไร้ ทำไร่ไถนา ผ่าฟืนดายหญ้า ทำรองเท้าใส่เอง ฯลฯ

          ภรรยาของเขาไม่ได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา เธอชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ชอบแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศไม่หยุด ในขณะที่สามีคิดว่าสมบัติทั้งหลายคือบาป เธอเห็นตรงกันข้าม จึงตีโพยตีพายหาเรื่องวุ่นวาย ต้องการเอาเงินทุกเม็ดที่ได้จากการเขียน บางครั้งเธอคลุ้มคลั่ง นอนดิ้นอยู่กับฟื้นและขู่จะฆ่าตัวตาย

          หลังจากแต่งงานกันมา ๔๘ ปี ตอลสตอยก็ไม่อาจทนเห็นหน้าภรรยาได้ ทั้งสองมีทัศนคติต่อชีวิตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาอายุได้ ๘๒ ปี ก็ไม่อาจทนอยู่ในครอบครัวที่ปราศจากความรักต่อไม่ได้ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๐ ในราตรีที่หิมะตกหนักคืนหนึ่ง เขาก็หนีไปจากภรรยาอีก ๑๑ วัน ต่อมาเขาก็สิ้นใจ ก่อนตายเขาขอร้องวิงวอนเป็นครั้งสุดท้าย ขออย่าให้ภรรยามาอยู่ต่อหน้า เขาทนไม่ได้กับการกระทำของภรรยาที่ขี้บ่นรำคาญไม่รู้จบ

          รายที่สาม นางลินคอร์น ภรรยาของประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่ทราบกันดีว่าชีวิตครอบครัวของประธานาธิบดีนั้นหาความสุขไม่ได้ เธอเป็นคนขี้บ่นน่ารำคาญ สร้างความทรมานให้ประธานาธิบดีทั้งชีวิต สิ่งเลวร้ายที่สุดก็คือเธอชอบวิพากษ์ข้อบกพร่องของสามีว่าเลวร้ายไปทั้งหมด บ่นว่าเดินหลังค่อมน่าเกลียด ท่าเดินก็เหยาะย่างเหมือนกับพวกอินเดียนแดง ท่วงท่าไม่สง่างาม เธอไม่ชอบหูยานใหญ่ของเขา บอกว่าเหมือนงอกออกมาจากศีรษะ ทั้งยังบอกว่าจมูกเบี้ยว ริมฝีปากยื่น ท่าทางเหมือนคนป่วย แขนขาก็ยาวมากไป

          มีคนเขียนเล่าว่าเธอมักส่งเสียงกรีดร้องข้ามฝั่งถนน เสียงโวยวายของนางเป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านได้ยินเป็นประจำ นางมักแสดงความโกรธออกมานอกเหนือจากคำพูด เธอเคยแม้กระทั่งสาดกาแฟร้อน ๆ ใส่หน้าสามี นอกจากนี้เธอยังหึงหวงอย่างไร้เหตุผลและรุนแรงอีกด้วย

          ลินคอร์นเป็นคนที่อดทนมาก เขาเสียใจที่มีชีวิตสมรสเช่นนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ต้องการเห็นนางในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ กลับบ้านจากการทำงานนอกบ้าน เขากลับกลัวการกลับบ้าน เขามักพักโรงแรมตามบ้านนอกที่ทรุดโทรม เขาชอบพักที่โรงแรมมากกว่าบ้านตนเองซึ่งมีภรรยาขี้บ่นปากเปียก และพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่เขา

          เมื่อพิจารณาทั้ง ๓ นางจะเห็นได้ว่า พวกเธอมิได้อะไรไปจากพฤติกรรมน่าเบื่อหน่ายของเธอ เธอมิได้ร่วมกับสามีสร้างครอบครัวที่อบอุ่นจนลูกอยากอยู่บ้านที่พ่อแม่ปรองดองรักใคร่กัน พวกนางทำลายสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตไปสิ้น และมันก็ไม่หวนคืนมาด้วย พฤติกรรมของเธอเปรียบได้ดั่งการขุดหลุมฝังศพของชีวิตแต่งงาน

โหดเหนือเหี้ยมในเกาหลีเหนือ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
7 มกราคม 2556

          ไม่น่าเชื่อว่าในยุคนี้ยังมีการกวาดล้างจับคนสำคัญของประเทศไปประหารดังที่ประเทศคอมมิวนิสต์ชอบทำกันเมื่อ 50-60 ปีก่อน เมื่อกลางธันวาคมปี 2556 ผู้นำหมายเลขสองของเกาหลีเหนือถูกจับขณะกำลังประชุมใหญ่ในห้องที่มีการถ่ายทอดสด และอีกไม่กี่วันต่อมาก็ถูกตัดสินประหารชีวิตซึ่งคนถูกแจ็คพ็อตนี้ก็คืออาเขยของท่านผู้นำ

          ขอเล่าความเป็นมาเล็กน้อยของผู้นำเกาหลีเหนือ นาย Kim Jong-un ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนถึงก่อนหน้าเพื่อปูพื้นสู่เรื่องการฆ่าฟันกันครั้งนี้

          เขาเป็นลูกคนเล็กสุดในจำนวนสาม 4 คน โดยกำเนิดจากภรรยาคนที่ 3 ซึ่งอดีตเป็นนักเต้นระบำแสนสวยชื่อ Ko Yong-hee แม่นี้มีลูกชายอีกคนหนึ่งเป็นพี่ชายชื่อ Kim Jong Chul ซึ่งพ่อเห็นว่าอ่อนแอ กระเดียดไปทางผู้หญิงจึงไม่อยู่ในสายตา

          Kim Jong Il ผู้พ่อเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์สมบูรณ์แบบ ครองอำนาจมา 18 ปี ก่อนที่จะตายไปในวัย 69 ปี เขาเป็นลูกชายของ Kim Il Sung เผด็จการคนแรกของแผ่นดินเกาหลีเหนือ หลังจากสงครามเกาหลีในต้นทศวรรษ 1950 ภรรยาหลวงของ Kim Jong- Il ที่พ่อเลือกให้คือ Kim Yong Sook ลูกสาวนายทหารใหญ่ ภรรยาคนนี้ให้กำเนิดลูกสาวเพียงคนเดียวคือ Kim Sul Song

          ภรรยาของเขาอีกคนหนึ่งมีความเป็นมาของการได้เป็นเจ้าสาวที่น่าตื่นเต้นกว่าเพื่อนเพราะ Kim Jong- Il ไปอุ้มแย่งมาจากสามีเอาดื้อ ๆ เธอเป็นดาราภาพยนตร์สาวสวยของเกาหลีเหนือชื่อ Sung Hae Rim เธอให้ลูกชายคนโตสุดแก่เขาชื่อ Kim Jong-Nam ครั้งหนึ่งลูกคนนี้เป็นคนโปรดของพ่อโดยตั้งใจให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ แต่ผู้ลูกไปพลาดท่าถูกจับในญี่ปุ่นในข้อหาใช้พาสปอร์ตปลอมจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เขาสารภาพว่าทำไปเพราะอยากไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่นั่น ผู้พ่อโกรธมาก เขาจึงตกกระป๋องไป ปัจจุบันหลบไปอยู่ในจีน (หลังการประหารมีข่าวว่าหลานตระกูล Kim คนหนึ่งหลบซ่อนตัวเพื่อหนีภัยในปารีส เด็กคนนี้ก็คือลูกชายของเขา)

          ก่อน Kim Jong Il ตาย อาหญิงของเขาซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อและเป็นลูกสาวของ Kim Il Sung บิดาของประเทศได้เป็นนายพลสี่ดาวโดยตั้งใจให้ช่วยดูแลการสืบทอดอำนาจของหลาน เธอผู้นี้ชื่อว่า Kim Kyong Hui เป็นหญิงเหล็ก อารมณ์ร้าย เคยมีปัญหาเรื่องติดเหล้า

          Kim Jong Il รักและไว้ใจน้องสาวคนนี้ว่าจะเป็นผู้ช่วยประคับประคองอำนาจของตระกูล Kim ไว้ได้ในชั่วคนที่สามและตลอดไปถึงที่สี่ เธอมีสามีเป็นสตรองแมนซึ่งมีความสามารถชื่อ Chang Song Taek พี่ชายหวังว่าทั้งสองจะช่วยกันค้ำจุนบัลลังก์ของหลาน และตัวละครเอกที่ถูกประหารก็คืออาเขยคนนี้

          ตั้งแต่นาย Kim Jong-un ครองอำนาจสืบทอดบัลลังก์ตระกูล Kim ชาวโลกก็สนใจมากเพราะเกาหลีเหนือยังคงทดลองระเบิดปรมาณู ยิงจรวดข้ามหัวญี่ปุ่น จนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในบริเวณนั้นคือญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และจีนปั่นป่วนไปหมด

          โลกเห็นอาเขยและอาหญิงช่วยกันดูแลหลาน Kim จนเชื่อว่าคงลงหลักปักฐานกุมอำนาจเป็นผู้นำในวัยหนุ่มอ่อนได้ดีพอควร เข้าใจว่าดูแลกันดีจนอาเขยได้ขึ้นมาเป็นผู้นำหมายเลขสองขยายอำนาจมากขึ้นเป็นลำดับ เหตุการณ์ผิดสังเกตได้เกิดขึ้นเมื่อคนสนิทสองคนของอาเขยถูกจับเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2556 และถูกประหารชีวิต ถัดมาไม่กี่วันอาเขยก็โดนจับอย่างชนิดไม่ไว้หน้ากัน และอีก 10 วันต่อมาก็ถูกประหารชีวิต

          คำตัดสินของศาลไม่ยาวมาก แต่บรรยายความผิดได้ละเอียดอย่างน่าอัศจรรย์ว่า “เลวกว่าหมา” เริ่มตั้งแต่เป็นกบฏ ตั้งกลุ่มพรรคพวกจะโค่นอำนาจ คอรัปชั่น มีกิ๊ก เล่นการพนัน แจกรูปโป๊ให้พรรคพวก ไม่ตบมือชื่นชมผู้นำอย่างเต็มที่ ตั้งรูปปั้นผู้นำไว้ในที่ไม่เด่น ฯลฯ

          ผู้คนแปลกใจว่าขนาดเป็นลูกเขยปู่ผู้ยิ่งใหญ่ยังถูกเล่นขนาดถึงตายเชียวหรือ ปู่และพ่อเคย “กวาดล้าง (purge)” แบบนี้ในทศวรรษ 1950 และ 1960 แต่ก็ไม่เคยเล่นคนในครอบครัวกันถึงขนาดนี้ คำถามก็คือเหตุใดท่านผู้นำหนุ่มจึงแหกคอก

          ผู้คนเดากันไปต่าง ๆ นานาถึงสาเหตุอันได้แก่ (1) มีการจะแย่งชิงอำนาจจากอาจริงเพราะโดดเด่นมีอำนาจและพรรคพวก (2) ไม่พอใจการโอนอ่อนกับจีนซึ่งอาเขยเป็นคนผลักดันแนวคิดประสานเศรษฐกิจกับจีน (3) ฝ่ายเหยี่ยวต้องการหยุดแนวคิดเศรษฐกิจเสรีที่อาเขยดูจะมีแนวคิด เอนเอียง (4) ไม่พอใจส่วนตัวที่อาเขยยังมีใจเอ็นดูและเกื้อกูลพี่ชายต่างมารดานาย Kim Jong Num ซึ่งครั้งหนึ่งพ่อเคยเลือกเป็นทายาท

          อีกสาเหตุที่เชื่อกันก็คือ Kim Jong Il ได้แอบเปิดบัญชีลับในต่างประเทศไว้หลายบัญชี สะสมเงินไว้ถึง 4 พันล้านเหรียญ โดยให้สองอาเป็นผู้ดูแล แต่ปรากฏว่าปัจจุบันมีเงินเหลืออยู่ไม่มาก จึงเชื่อว่าถูกอาโกงแน่

          อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์เชื่อว่าสาเหตุสำคัญมาจากการครองอำนาจไม่ราบรื่นนัก มีคนคิดท้าทายอำนาจเพราะตัวเองขึ้นมาเร็วมากและมีอาเขยหายใจรดต้นคออยู่ หากกำจัดให้พ้นไปได้ก็เท่ากับแสดงให้ “ผู้ใหญ่” ที่ทุ่มเทให้พรรคและประเทศมายาวนานเห็นว่าตนเองเข้มแข็งดูแลตนเองได้ ดังนั้นความโหดชนิด “การเชือดไก่ให้ลิงดู” จึงเกิดขึ้น

          ชีวิตของสองอานั้นน่าสงสาร เชื่อว่าแยกทางกันนานแล้ว ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนและได้ฆ่าตัวตายในปี 2006 เนื่องจากพ่อแม่ไม่ยอมให้แต่งงานกับคนต่างชาติ และไม่ยอมกลับเกาหลีเหนือ เงินทองที่อาจมีมากมายก็แทบไม่ได้ใช้ ต้องอยู่ในสังคมเกาหลีเหนือด้วยความหวาดระแวงเพราะรู้ดีว่าอำนาจนั้นเหมือนไฟ มันเผาผลาญได้ทั้งคนอื่นและตนเอง

          ปัจจุบันอาหญิงยังมีชีวิตรอดอยู่ แต่เชื่อกันว่าคงมีอีกหลายสิบหรืออาจหลายร้อยชีวิตที่เกี่ยวพันใกล้ชิดกับ Jang Sung Taek จะสูญหายไปจากการ “กวาดล้าง” ครั้งนี้ ที่เห็นนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สถานะความเป็นผู้นำของ Kim Jong-un จะเข้มแข็งหรืออ่อนแอลงหลังจากการ “กวาดล้าง” เราคงจะได้เห็นกันในเวลาอีกไม่นาน

          “ความกลัว” คือเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการสะกดให้คนอยู่ในกรอบเพื่อรักษาอำนาจ ถ้าเมื่อใดประชาชนลดหรือหมดความกลัว ระบอบไหนก็อยู่ไม่ได้ทั้งนั้น

ถึงเป็นตลกก็ติดคุกได้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
31 ธันวาคม 2556

          ถึงจะเป็นตลกก็สามารถติดคุกได้ในประเทศที่ขาดเสรีภาพอย่างแท้จริง เช่น พม่า และอาฟกานิสถาน ดังเรื่องเล่าต่อไปนี้

          คนแรกคือ Zarganar นักพูดตลกจอมเสียดสีของพม่า ผู้เขียนเคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้จึง ขอเอาบางส่วนของเรื่องมาสื่อต่อ เขาบอกว่า “ถ้าผมทำหน้าที่หมอฟัน ผมเปิดได้ทีละปาก แต่ถ้าผมเล่าเรื่องตลกผมเปิดปากพร้อม ๆ กันได้จำนวนมากมาย”

          คำพูดของเขาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี สั่นสะเทือนบัลลังก์ของผู้นำเผด็จการพม่าและมีส่วนในการช่วยผลักดันให้พม่ามีการเลือกตั้งโดยเปลี่ยนจาก “การปกครองของทหารโดยตรง เป็น “การควบคุมโดยทหาร”

          ในเวลา 5-6 ปี หลังปี 1988 ซึ่งมีการประท้วงครั้งใหญ่ขับไล่นายพลเนวิน เขาติดคุกเข้า ๆ ออก ๆ อยู่หลายครั้ง การแสดงทุกอย่างของเขาถูกแบนด์โดยรัฐบาลเนื่องจากคำพูดตลกของเขามีผลกระทบต่อ “ความมั่นคง” ของรัฐบาลมากขึ้นเป็นลำดับ ที่หนักสุดก็คือในปี 2008 เขาถูกจับข้อหาพูดกับสื่อต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตในเรื่องโซโคลนนากริสถล่มพม่า ผู้คนตายกว่า 150,000 คน และอีกนับแสน ๆ คนไร้บ้าน เขาทนไม่ได้ที่การช่วยเหลือมีน้อยจึงรวบรวมสมัครพรรคพวกออกไปสื่อสารให้ชาวโลกรู้ โทษของเขาคือโทษจำคุก 59 ปี

          ในภายหลังเขาเล่าว่าความผิดกระทงหนึ่งคือการใช้อินเตอร์เน็ต ผู้พิพากษาถามเขาว่า e-mail ของเขาคืออะไร เขาก็ตอบไปว่า zan.61@gmail ผู้พิพากษาโกธรมากบอกว่าผมอยากรู้ e-mail ของคุณแต่กลับเล่นลิ้นบอก gmail

          Zarganar ได้รับการปล่อยตัวในปลายปี 2011 เมื่อพม่าจะมีการเลือกตั้ง คนต่างชาติก็เชิญเขาไปต่างประเทศ สถานที่แรกที่มาคือประเทศไทย เขาให้สัมภาษณ์ว่าเขาช็อกเมื่อเห็นเครื่องบิน สนามบิน ตึกซึ่งล้วนใหญ่มาก และช็อกมากเมื่อเห็นถนนดี ๆ เขาเห็นว่าเยาวชนไทยหน้าตาไม่มีความกังวล เต็มไปด้วยเสรีภาพและความมั่นใจในตนเอง ซึ่งเขามองไม่เห็นในเยาวชนพม่าในวัยเดียวกัน

          เรื่องเล่าตลกของ Zarganar มีว่า ประธานาธิบดีบุช หูจิ่นเทา และนายพลตันส่วย ผู้นำพม่าไปหา God บุชถาม God ว่าเมื่อไหร่สหรัฐอเมริกาจะมีอำนาจมากสุดในโลก God ตอบว่า “Not in your life” จนทำให้บุชน้ำตานองหน้า หูจิ่นเทาถามว่า เมื่อไหร่จีนจะรวยสุดในโลก “Not in your life” แต่ในขณะที่หูจิ่นเทาเช็ดน้ำตา นายพลตันส่วยก็ถามว่า เมื่อไหร่พม่าจะมีน้ำและไฟฟ้ากันเพียงพอ ทันใดนั้น God ก็ร้องไห้โฮและตอบว่า “Not in my life”

          สำหรับกรณีของอาฟกานิสถานนั้น ถึงแม้จะแปลกกว่า แต่ก็หนีสาเหตุเดียวกันไปไม่ได้ นั่นก็คือการตลกล้อเลียนทำให้ผู้นำประเทศไม่สบอารมณ์

          Zabiullah คือชื่อจริงของเขา แฟน ๆ เรียกเขาว่า Zabi เขาเป็นนักแสดงตลกเลียนแบบ อากัปกริยาและการพูดของนาย Hamid Karzai ประธานาธิบดีอาฟกานิสถาน ผู้ซึ่งจะครบเทอมประธานาธิบดีและเป็นอีกไม่ได้ในปีหน้า

          ปัจจุบัน Zabi อายุ 28 ปี เขาดังตั้งแต่ตอนอายุ 23 ปี ขณะเป็นเด็กเสิร์ฟน้ำชาในสถานที่ราชการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทำเนียบประธานาธิบดี ในประเทศนี้เขาไม่อาจแสดงในโทรทัศน์ล้อเลียนผู้นำเช่น โลกตะวันตกไต้ เขาทำได้เพียงหันซ้ายขวาในล็อบบี้โรงแรม ท้องถนน ร้านกาแฟ ฯลฯ ถ้าไม่เห็นตำรวจเขาก็แสดงท่าทางเลียนแบบให้ผู้คนหัวเราะท้องคัด ท้องแข็ง

          Zabi ยากจนแต่กำเนิด เมื่อตอนเด็ก ๆ ไวรัสขึ้นสมองจนสมองพิการเล็กน้อย และสิ่งนี้อาจช่วยทำให้เขากล้าแสดงความสามารถส่วนตัวออกมาหย่อนอารมณ์ผู้คนซึ่งตึงเครียดจากสงครามมายาวนาน

          ปัจจุบันเขาก็ยังยากจนเพราะไม่มีรายได้สม่ำเสมอ แต่ความยากจนไม่เป็นอุปสรรคต่ออารมณ์ขันของเขา Zabi บอกว่า “ประธานาธิบดี Karzai เป็นคนเก่ง สามารถแก้ไขสาระพัดปัญหา และที่ยอดสุดคือ ไม่เคยทำตามสัญญาที่ให้ไว้” พูดจบก็ทำหน้าตา ทำท่าทางเดินและท่วงทีการพูด ซึ่งเหมือนประธานาธิบดีมาก

          สิ่งที่ Zabi กลัวมากที่สุดก็คือไม่มีงานทำ เมื่อเขาเริ่มดังก็ถูกออกจากงานและไม่มีใครกล้าจ้างเพราะกลัวว่าจะไม่สบอารมณ์ประธานาธิบดี Zabi กำลังกังวลว่าเมื่อ Kazai ออกจากตำแหน่งแล้วจะไม่มีใครดูการแสดงของเขาอีกต่อไป

          ผู้คนบางส่วนไม่ชอบ Zabi ที่เขาสบถสาบาน ค่อนข้างหยาบคายในการแสดง เช่นก่อนจบเขาจะพูดอย่างมีนัยว่า “Tell Your Mother I Said Hello” ผู้คนบางส่วนก็หัวเราะ แต่บางส่วนก็ไม่พอใจเพราะการพูดถึงญาติผู้หญิงของคนอื่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามทางสังคมในประเทศนี้

          ทั้ง Zarganar และ Zabi มีเหมือนกันก็คืออารมณ์ขันผ่านคำพูดเสียดสีและล้อเลียน คนแรกตั้งใจเขย่ารัฐบาลโดยทำให้เห็นว่าผู้นำเป็นตัวตลก ส่วนคนหลังเพื่อการยังชีพ

          ในประเทศที่ประชาชนขาดเสรีภาพอย่างแท้จริง บางส่วนของพลเมืองหวาดกลัว ในขณะที่ สิ่งที่ผู้นำกลัวที่สุดก็คือการถูกทำให้สถานะของตัวลดต่ำลงจากการเป็นตัวตลก มันจึงเป็นกรณีของ “กลัวจิ้มกลัว” โดยแท้

วีรกรรมของหนุ่มเกาหลี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 ธันวาคม 2556

          ความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี-จีน ในปัจจุบัน ทำให้มีการรื้อฟื้นวีรกรรมของ หนุ่มเกาหลีคนหนึ่งที่หาญกล้าฆ่าอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนแรกเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว

          ขณะนี้เกาหลีและญี่ปุ่นได้ตกลงที่จะสร้างอนุสาวรีย์ซึ่งมีรูปปั้นของ Ahn Jung-geun ที่เมือง Harbin ซึ่งเป็นสถานที่ประหารชีวิตเพื่อร่วมกันเตือนใจให้โลกเห็นพฤติกรรมกดขี่ของญี่ปุ่นที่ได้กระทำต่อทั้งสองชาติในอดีต

          ทั้งสามชาติ คือ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน เกาหลีนั้นมีพรมแดนติดกับจีนและรัสเซียโดยเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลที่เกาะญี่ปุ่นตั้งอยู่ใกล้ ๆ ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งสามวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง จีนซึ่งเป็นประเทศใหญ่เคยครอบงำดินแดนบริเวณนี้มานับพันปี

          อย่างไรก็ดีสิ่งที่ผู้คนจดจำกันได้ชัดเจนก็คือประวัติศาสตร์ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ในปี 1910 ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลีเป็นเมืองขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบและยาวนานจนถึงปี 1945 และในช่วงเวลาเดียวกันญี่ปุ่นก็รุกรานจีนในหลายเมือง เหตุการณ์ที่คนจีนขมขื่นมากก็คือในปี 1937 ญี่ปุ่นฆ่าคนจีนเมืองนานกิงซึ่งเป็นเมืองหลวงในเวลานั้นตาย 250,000-300,000 คน ในเวลาเพียง 6 อาทิตย์ และข่มขืนกว่า 20,000 ราย

          ความขมขื่นของจีนและเกาหลีเช่นนี้จึงเป็นพื้นหลังซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความไม่ราบรื่นของสัมพันธไมตรีระหว่างญี่ปุ่นและสองประเทศนี้อยู่เนือง ๆ จีนและเกาหลีเองก็มีความหลังที่ขมขื่นเช่นเดียวกัน แต่ในขณะนี้ความสัมพันธ์ของจีนและเกาหลีดีพอที่จะร่วมมือกันสร้างอนุสาวรีย์ดังกล่าว

          วีรบุรุษ Ahn Jung-geun เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในเกาหลีเหนือและใต้ Ahn เป็นสมาชิกของกลุ่มเกาหลีเพื่ออิสรภาพเพราะตอนนั้นญี่ปุ่นบังคับให้เกาหลีลงนามสนธิสัญญา Eulsa เพื่อปูทางไปสู่การยึดครองเกาหลีเป็นเมืองขึ้น

          ในวันที่ 26 ตุลาคม 1909 Ahn ซ่อนปืนสั้นไว้ในกล่องข้าว เดินผ่านผู้คุ้มกันบน ชานชาลารถไฟแล้วเข้าไปใกล้ตัว ชักปืนออกยิง Ito Hirobumi (อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น 4 สมัย) และผู้นำคนอื่น ๆ ของรัฐบาลญี่ปุ่นอีก 3 คน Ahn ยิงตายหมด 3 คน ยกเว้นผู้บริหารรถไฟซึ่งโดนยิงอาการบาดเจ็บสาหัส เมื่อยิงเสร็จเขาตะโกนเป็นภาษารัสเซียสนับสนุนกลุ่มเกาหลีเพื่ออิสรภาพพร้อมกับโบก ธงเกาหลี

          นาย Ito Hirobumi นั้นเป็นคนสำคัญมากเพราะเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนแรก หลังจากยุคปฏิรูปเมจิเริ่มขึ้น Ahn ให้เหตุผลถึง 15 ข้อว่าเหตุใดเขาจึงยิงนาย Ito Hirobumi

          ใครที่ดูหนังประวัติศาสตร์เกาหลีคงจำกรณีฆาตกรรมจักรพรรดินี Myeongseong หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Queen Min ของจักรพรรดิ Gojong ในปี 1895 ได้ ทางการญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นศัตรูผู้ทรงอิทธิพลหลังบัลลังก์จึงสั่งฆ่า และนี่คือเหตุผลข้อหนึ่งของ Ahn นอกเหนือจากการถอดจักรพรรดิ Gojong ฆ่าคนเกาหลี บังคับให้เกาหลีลงนาม 14 สัญญา ปล้นทรัพยากรของเกาหลี ฯลฯ

          Ahn หลบหนีอยู่หลายวันและถูกจับได้โดยทหารรัสเซียผู้มีอิทธิพลอยู่ในเกาหลีเช่นกัน และส่งต่อให้ญี่ปุ่น Ahn ถูกส่งตัวฟ้องศาล เขาต่อสู้ว่าเขาเป็นนายพลของกองทัพเกาหลีที่ต่อต้านญี่ปุ่น ดังนั้นควรถือว่าเขาเป็นนักโทษสงคราม ไม่ใช่อาชญากร

          Ahn เรียนหนังสือจีนและวิทยาศาสตร์จากวัฒนธรรมตะวันตก และเป็นนักแม่นปืน ครั้งหนึ่งเมื่อเขาเป็นเด็ก Kim Gu ผู้นำคนสำคัญของกลุ่มเกาหลีเพื่ออิสรภาพหลบหนีมาพักอยู่ที่บ้านของเขา เมื่ออายุได้ 25 ปี เขาตั้งโรงเรียนเอกชนและต่อมาลี้ภัยไปอยู่รัสเซียเพื่อรวมกลุ่มกับพวกต่อต้าน
          จักรวรรดินิยมญี่ปุ่น และเป็นนักรบนำทหารเข้าต่อสู้กับญี่ปุ่นหลายครั้ง

          เมื่อตอนที่เขาสร้างวีรกรรมนั้นเขามีอายุเพียง 30 ปี ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว รักชาติ ปรารถนาจะสร้างสันติภาพในโลก เขาอาสาเป็นผู้ยิงนาย Ito Hirobumi ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากถูกจับได้ก็หมายถึงความตาย

          ศาลตัดสินประหารชีวิตเขาด้วยการแขวนคอเพราะถือว่าเป็นฆาตกร มิใยที่เขาจะขอร้องให้ยิงเป้าเพราะเป็นบทลงโทษนักโทษสงคราม ก่อนถึงเวลาประหารน้องชายสองคนนำข้อความจากแม่มาถึงเขามีความว่า “การตายของลูกอุทิศเพื่อชาติ อย่าได้ขอชีวิตเยี่ยงคนขี้ขลาด การตายอย่างกล้าหาญของลูกเพื่อความยุติธรรมคือความปรารถนาดีสุดท้ายจากลูกถึงแม่ของลูก”

          แม่ที่สามารถส่งข้อความเช่นนี้ถึงลูกได้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ชีวิตของครอบครัวนี้ในเวลาต่อมาน่าสนใจมากเพราะลูกพี่ลูกน้องของ Ahn สองคน น้องชายของเขาทั้งสองคนและหลานต่างเข้าร่วมขบวนการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเกาหลีทั้งสิ้น

          Ahn Jung-geun เป็นฮีโร่ที่ผู้คนไม่ลืมทั้งเกาหลีเหนือและใต้ การสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ณ เมืองที่เขาถูกประหารจึงเป็นเกมส์การเมืองระหว่างประเทศที่ลึกซึ้ง และบีบทางอ้อมให้เปิดศักราชแห่งการศึกษาประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของญี่ปุ่นในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยกันเอง

          ผู้กล้าหาญมีอยู่ทุกแห่งหน เพียงแต่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้นวีรกรรมก็เกิดขึ้นได้

สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมและมหัศจรรย์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 ธันวาคม 2556

          เมื่อเร็ว ๆ นี้นิตยสาร Time ระบุ 25 ประดิษฐกรรมในปี 2013 ที่เยี่ยมยอดที่สุด ขอนำเอาบางประดิษฐกรรมที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง

          ประดิษฐกรรมแรกคือยาเม็ดที่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะส่ง password ออกมาเพื่อให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจดจำอีกต่อไปในการใช้เครื่องมืออิเล็กโทรนิกส์

          ยานี้เรียกว่า edible password pill ถ้ากินวันละเม็ดก็จะช่วยทำให้การใช้อุปกรณ์ไอทีที่ต้องใช้ password เป็นไปอย่างสะดวก เพราะข้างในเม็ดยาจะมีชิปเล็ก ๆ ฝังอยู่ เมื่อยาทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหารก็จะเกิดพลังปลุกให้ชิปทำงาน

          เมื่อชิปทำงานก็จะส่งคลื่นไฟฟ้าคล้ายคลื่นสมองที่เรียกว่า EKG ออกมาเป็นสัญญาณเฉพาะให้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องมืออื่น ๆ ของเราทำงานทันที พูดง่าย ๆ ก็คือยานี้เปลี่ยนให้ร่างกายของเราผลิต password เจ้าของงานประดิษฐ์ก็คือ Motorola ซึ่งปัจจุบัน Google เป็นเจ้าของ

          เมื่อยานี้ออกขายในตลาด เราก็ไม่ต้องแอบจดหรือจำ password แล้ว จะตั้ง password ให้มันประหลาดยากแก่การแฮ็กอย่างไรก็ทำได้ ประเด็นก็คือต้องมียานี้ไว้ใช้ประจำตัว หากมันมีราคาแพงก็ต้องรอใช้ชิปมือสองหรือรีไซเคิลคือถ่ายออกมาจากร่างกายแล้ว

          ประดิษฐกรรมที่สองคือการทำให้ตึกที่สูงจนบังวิวเมืองหายไปชั่วคราว ในเกาหลีตึก The Tower Infinity จะสูง 450 เมตรเสียดเมฆ คนจำนวนมากบ่นว่าทำให้เมืองดูน่าเกลียดและไม่สวยงาม ดังนั้นบริษัทสถาปนิกชนะเลิศการประกวดจึงเสนอไอเดียที่เหลือเชื่อ

          วิธีการทำให้ไม่เห็นตึกสูงวันละ 2-3 ชั่วโมงก็คือเอากล้องดิจิตอลชนิดความชัดคมสูงมากที่ทนต่อสภาวะอากาศขึ้นไปติดบนตึกพร้อมกับใช้เทคโนโลยีหลอดไฟ LED ผสมกันเพื่อทำให้มองเห็นตึกเตี้ยลงมาก ส่วนที่มองเห็นว่าหายไปมาจากการบังแสงสว่างจากส่วนยอดของตึกก็คือทำให้ตึกมืดพร้อมกับใช้เทคโนโลยีไอทีสร้างความแนบเนียน

          อย่างไรก็ดีผู้ประดิษฐ์ย้ำว่าเครื่องบินและนกจะยังคงมองเห็นตึกเป็นปกติ มิฉะนั้นอาจบินชนได้ ขณะนี้ตึกยังก่อสร้างไม่เสร็จ อีกสัก 3-4 ปี เมื่อเสร็จแล้วคงเป็นจุดเด่นสำหรับการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน อย่างนี้เขาเรียกว่า creative economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวคือสร้างรายได้จากความคิดริเริ่มและนวตกรรม

          ประดิษฐกรรมที่สาม คือการลบความทรงจำที่ไม่ต้องการ มนุษย์นั้นเจ็บปวดจากการจำสิ่งที่อยากลืม และชอบลืมสิ่งที่ควรจำมาตลอดประวัติศาสตร์ ถ้าทำให้มันกลับกันได้มนุษย์ก็จะมีความสุขขึ้นอีกมาก

          การที่คนอายุมากขึ้นมักขี้ลืมมากขึ้นนั้น ธรรมชาติจงใจช่วยให้มนุษย์มีความเจ็บปวดน้อยลงเพราะในยามชรามีเวลาให้ครุ่นคิดมากขึ้น หากความทรงจำไม่บุบสลายเลย ยังจำถึงสิ่งที่ทำให้เสียใจในอดีตได้แม่นยำ ความเจ็บปวดก็ยิ่งมีมาก อย่างไรก็ดีหากมัวแต่ทิ้งให้ธรรมขาติช่วยรักษาก็อาจสายไปเพราะบางคนถูกผลกระทบจากความทรงจำเหล่านั้นจนทำให้มีอาการซึมเศร้า หรือเกิดผลกระทบทางลบต่อจิตใจอย่างรุนแรงหลังเหตุการณ์

          นักวิจัยที่ MIT ได้ทดลองกับหนูเพื่อให้มีความจำที่ผิดเกิดขึ้น เราเคยเห็นมนุษย์ บางคนทึกทักจริงจังว่าตนเองเป็นคนริเริ่มทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริงเลย สิ่งที่เขาเชื่อว่าเกิดขึ้นจริงนั้นโดยแท้จริงแล้วมาจากความเชื่อซึ่งคนอื่นเป็นคนเอาไปใส่ในหัวให้

          ถ้าเราพยายามทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นในมนุษย์ได้ โดยทำให้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงกับเขาเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องจริงเสีย ความทรงจำอันขมขื่นนั้นก็จะหายไป พูดง่าย ๆ ก็คือทำให้ความทรงจำที่เกิดขึ้นจริงกลายเป็นความทรงจำผิด ๆ ในสมองเรา

          นักวิจัยประสบความสำเร็จกับการทดลองกับหนู โดยสามารถควบคุมให้เซลล์สมองในส่วนที่เกี่ยวกับความจำทำงาน จากนั้นก็ติดตามดูผลการทำงานของเซลล์เหล่านี้ นักวิจัยใช้กระแสไฟฟ้าช็อตเพื่อดูปฏิกิริยาและพบว่าสามารถลวงให้สมองหนูตอบรับว่าถูกช็อตในอีกที่หนึ่ง ทั้ง ๆ ที่โดยแท้จริงแล้วความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้นในอีกที่หนึ่ง

          การค้นพบขั้นต้นนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยความจำของมนุษย์ต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อหนู (หนูจริง ๆ ไม่ใช่หนูปากแดง) ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเลยก็ตาม

          สิ่งประดิษฐ์อีกชิ้นหนึ่งคือ 3 doodler หรือปากกาพิเศษที่เมื่อเขียนลากเป็นลายเส้นแล้วจะออกมาเป็นสิ่งของที่จับต้องได้ตามเส้นที่เขียน การทำงานของ 3 doodler ก็คล้ายกับเครื่องพิมพ์ 3-D (3 มิติ) ในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อพิมพ์ออกมาก็เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ เช่น ภาพตุ๊กตา ก็จะพิมพ์ (ผลิต) ออกมาเป็นตัวตุ๊กตาซึ่งสามารถสัมผัสได้

          มนุษย์ที่หลับไปร้อยปีแล้วตื่นขึ้นมาเหมือนนิทาน Rip Van Winkle คงอาจช็อกจนเกือบหัวใจวายกับสิ่งที่เห็นในปัจจุบัน อาจขอกลับไปหลับต่อก็เป็นได้

พบขุมทรัพย์ภาพเขียนของนาซี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10 ธันวาคม 2556

          สงครามมิได้เพียงทำลายล้างชีวิตและความหวังของผู้คนเท่านั้น หากส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมขึ้นอีกมากมายหลายลักษณะไม่ว่าจะเป็นยึดครองอสังหาริมทรัพย์ การข่มขืน ข่มเหงรังแก การปล้นของมีค่า บีบบังคับซื้อของมีค่าในราคาต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยึดเอาผลงานศิลปะอันล้ำค่ามาเป็นของส่วนตัว

          เมื่อเร็ว ๆ นี้นิตยสาร FOCUS ของเยอรมันนีได้รายงานว่าทางการได้พบภาพเขียนอันเป็นศิลปะล้ำค่าจำนวนประมาณ 1,400 ชิ้น มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านยูโร (36,000 ล้านบาท) ซึ่งเข้าใจว่าเป็นสมบัติที่ยึดเอามาจากประเทศที่ถูกยึดครองสมัยสงครามโลกครั้งที่สองโดยนาซีเยอรมัน

          ทางการพบภาพเหล่านี้ในอพาร์ทเม้นท์ซอมซ่อแห่งหนึ่งในเมือง Munich โดยบังเอิญ ข่าวนี้สร้างความตื่นเต้นแก่ชาวโลกเพราะเป็นการพบสิ่งที่เข้าใจว่าถูกปล้นมาครั้งใหญ่ที่สุด และที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากก็คือทางการได้พบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ก่อนที่จะมีการเปิดเผยโดยสื่อ

          ภาพเขียนเหล่านี้เป็นของ Picasso / Chagall / Matisse / Nolde / Renoir / Toulouse-Lautrec/ Liebermann / Beckmann / Otio Dik ตลอดจนภาพเขียนประเภท Expressionism / Surrealism / Cubism ของจิตรกรมีชื่อหลายคน

          FOCUS รายงานว่าเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่พบภาพเขียนนี้คือชายในวัย 80 ปี ชื่อ Cornelius Gurlitt เป็นลูกชายของนักค้าศิลปะมีชื่อของนาซีสมัยสงครามชื่อ Hildebrandt Gurlitt ซึ่งเข้าใจว่าเก็บภาพเหล่านี้ไว้เป็นเวลากว่า 70 ปี และตัวเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1956 จากอุบัติเหตุรถยนต์

          การพบก็มาจากเหตุบังเอิญโดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่พบว่า Cornelius พกเงินสดติดตัวเป็นเงินถึง 9,000 ยูโรขณะโดยสารรถไฟระหว่างเมือง Zurich กับ Munich จึงเชื่อว่าเขาน่าจะกระทำผิดหลีกเลี่ยงภาษี เมื่อสอบสวนลึกขึ้นก็ไปค้นบ้านและพบภาพดังกล่าว ปัจจุบันทางการยังหาตัว Cornelius ไม่เจอ

          ในปลายปี 2011 หลังจากตกเป็นเป้าสงสัยเรื่องภาษี Cornelius ก็เอาภาพเขียนชื่อ The Lion Tamer ซึ่งเข้าใจว่าเป็นภาพที่หายไปของจิตรกรมีชื่อ Max Beckmann ออกมาประมูลขายอย่างเปิดเผย หลังจากนั้นมาไม่กี่เดือนทางการก็ค้นบ้านเขาจนพบภาพเขียนจำนวนมากมายดังกล่าวแล้ว

          สองคำถามสำคัญก็คือภาพเขียนเหล่านี้มาจากไหน และเหตุใดทางการเยอรมันนีจึงไม่เปิดเผยการพบครั้งสำคัญนี้แก่สาธารณชน แม้จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ระบุเป็นทางการว่าได้พบภาพเขียนใดบ้าง

          สำหรับคำถามแรกนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าในการยึดครองประเทศต่าง ๆ ในยุโรปของนาซีนั้นมีการยึดครองศิลปวัตถุอย่างกว้างขวางไม่เกรงใจผู้ใด มีการประเมินว่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนศิลปวัตถุในประเทศที่ถูกยึดครอง นาซีเป็นผู้ยึดเอาไป และถึงปัจจุบันก็มีไม่ต่ำกว่า 100,000 ชิ้น ซึ่งยังไม่ได้คืนให้แก่เจ้าของหรือทายาท

          บุคคลผู้มีความสำคัญในเรื่องนี้คือตัว Hitler เอง และ Hermann Goring เจ้าพ่อโฆษณาชวนเชื่อ Hitler นั้นตั้งใจจะเอาไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่จะตั้งในบ้านเกิดคือเมือง Linz ส่วน Goring นั้นเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวซึ่งประมาณว่าเป็นครึ่งหนึ่งของศิลปะวัตถุที่ยึดมา Goring ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลการยึดและรักษาศิลปะวัตถุเหล่านี้เป็นผู้มี
          บทบาทสำคัญที่สุดของอาชญากรรมใหญ่นี้ (เขาชิงกินยาพิษฆ่าตัวตายเสียก่อน หลังถูกศาลที่ Nuremberg ตัดสินให้แขวนคอ)

          ส่วนใหญ่ของสิ่งที่ยึดมาคือภาพเขียนสีน้ำมัน สีน้ำ ภาพสเก็ตช์ รูปปั้น ศิลปะวัตถุทางศาสนาและวัฒนธรรมต่าง ๆ การปล้นศิลปะของนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างกว้างขวาง ทำร้ายจิตใจผู้คนนับเป็นล้าน ๆ คนโดยเฉพาะชาวยิว

          สำหรับยิวนั้นไม่ได้ถูกยึดไปเพียงศิลปะวัตถุมีค่าเท่านั้น ระหว่างที่ปารีสถูกยึดครองนั้น ในปี 1942 วัตถุประสงค์ของนาซีก็คือการทำลายชนกลุ่มนี้ให้ย่อยยับด้วยการเอาของทุกอย่างในที่อยู่ของพวกยิวไปไม่ว่าจะเป็นอัลบั้ม ของเล่น ถ้วยโถโอชาม เครื่องใช้ไม้สอยประจำบ้าน ฯลฯ เรียกว่าเอาไปให้เกลี้ยงบ้านเพื่อให้ดำรงชีวิตปกติไม่ได้ นอกจากนี้ลักษณะการทำลายล้างแบบเดียวกันก็เกิดขึ้นในเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์

          ระหว่าง 1942-1948 คาดว่าไม่ต่ำกว่า 70,000 บ้านถูกกระทำเยี่ยงนี้ นาซีใช้รถไฟ 2,700 โบกี้ขนของไปเก็บไว้เพียงที่เมือง Hamburg แห่งเดียว นาซีแยกสิ่งของที่ได้มาออกเป็นส่วน ๆ เพื่อความสะดวกในการที่ทหารผู้ใหญ่นาซีจะได้มาเลือกเอาไปใช้

          สำหรับคำถามที่สองว่าเหตุใดทางการเยอรมันนีจึงไม่เปิดเผยจนเวลาเกือบ 2 ปีผ่านไป คำตอบก็คือการพิสูจน์ว่ารูปภาพ 1,400 กว่าภาพเป็นของใครจริง ๆ นั้นเป็นเรื่องยากและยุ่งยากมาก ทายาทเจ้าของภาพคงออกมายืนยันความเป็นเจ้าของกันมากมาย ปัญหากฎหมายจะมีไม่น้อยเพราะเยอรมันนีมีกฎหมายการครอบครอง 10 ปี ถือว่าเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Washington Principles ซึ่งรัฐบาลเยอรมันนีในปี 1998 มีข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการให้คืนของที่นาซีปล้นมาให้แก่เจ้าของ

          อย่างไรก็ดีเหตุผลสำคัญของการไม่เปิดเผยก็คือการเสียหน้าของคนเยอรมันแก่ชาวโลกในเรื่องการปล้นของมีค่าระหว่างสงครามซึ่งเป็นเรื่องที่อยากให้ลืม เยอรมันนีเองในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็มิได้กระตือรือร้นนักในการคืนศิลปะวัตถุมีค่าแก่เจ้าของ ผู้ได้ประโยชน์หลายคนจากโจรกรรมครั้งนี้หลุดรอดไปเป็นมหาเศรษฐีมากมาย อย่าลืมว่านักกฎหมายไม่ว่าผู้พิพากษา ทนายความ ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทางการ ก็ล้วนแต่เป็นนาซีเก่าแทบทั้งนั้น

          ทางการเยอรมันนีใช้เวลาเกือบ 2 ปี ในการแยกแยะภาพเขียนประมาณ 1,400 ภาพ โดย 590 ชิ้นมาจากเจ้าของเก่าที่เป็นยิวและถูกบังคับยึดมา 380 ชิ้น มาจากการยึดของนาซีไปจากพิพิธภัณฑ์ในเยอรมันโดยเหตุผลว่าเป็นรูปภาพสมัยใหม่ที่นำความเสื่อมมาสู่อาณาจักร ส่วนอีก 430 ชิ้นหรือกว่านั้นไม่เกี่ยวกับการปล้นของนาซีและไม่ใช่ศิลปะสมัยใหม่ที่ฮิตเลอร์อ้างว่านำความเสื่อมมาสู่เยอรมันนี

          การพบครั้งใหม่สุดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปัญหาการยืนยันความเป็นเจ้าของภาพและ การวิพากษ์วิจารณ์ความเลวร้ายของนาซีในอดีต (ซึ่งก็หนีภาพความเป็นเยอรมันนีไปได้ยาก) โดยชาวโลกในปัจจุบันซึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายสุด ๆ

          สงครามนำความเลวทรามชั่วร้ายและการเสียชื่อเสียงมาสู่มนุษยชาติเสมอ ไม่ว่ามันจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตามที
 

ชะลอความเสื่อมในการดมกลิ่น

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3 ธันวาคม 2556

          กลิ่นเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีความสุขกับชีวิตไม่น้อยไปกว่าการสัมผัสรสชาติ เสียงและ ภาพ เมื่อมีอายุมากขึ้นความสามารถในการรับรู้กลิ่นก็ลดน้อยลงเป็นลำดับ อย่างไรก็ดีปัจจุบันนักวิชาการมีงานวิจัยในด้านนี้และมีข้อแนะนำหลายประการในการชะลอความเสื่อมในการรับรู้กลิ่น

          คนจำนวนหนึ่งเมื่อถึงอายุ 60 ปี ประมาณครึ่งหนึ่งจะมีความสามารถในการรับรู้กลิ่นลดลงไป และเมื่อถึงอายุ 80 ปี (หากยังอยู่ถึง) จำนวนนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสามในสี่

          ก่อนที่จะพูดถึงวิธีที่จะใช้ชะลอความเสื่อมในเรื่องนี้ ลองมารับทราบความจริงที่น่าสนใจบางประการเกี่ยวกับกลิ่น

          ความสามารถในการรับรู้กลิ่นจะสูงที่สุดในบรรยากาศที่อุ่นและชื้น (ดังบ้านเราโดยปกติ) เช่น หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ ๆ ในทางตรงกันข้ามสิ่งแวดล้อมมีบทบาทในการทำให้ไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ดี เช่น สีทาบ้าน กลิ่นบุหรี่ มลภาวะในอากาศ น้ำยาทำความสะอาด ฯลฯ

          สิ่งที่น่าเป็นห่วงในเรื่องยิ่งมีอายุมากขึ้นความสามารถในการรับรู้กลิ่นน้อยลงก็คือความเสี่ยงของการบริโภคอาหารที่เป็นพิษเนื่องจากไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ดี กลิ่นไฟไหม้ และกลิ่นก๊าซรั่ว ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องระวัง

          การรับประทานอาหารจะมีรสชาติน้อยลงหากกลิ่นหายไป ลองทดลองโดยหลับตาและบีบจมูกเอาช็อกโกเลตสักชิ้นหนึ่งใส่ปากก็จะบอกไม่ได้ว่าเป็นช็อกโกเลต ความกลมกล่อมของกลิ่นและรสตลอดจนภาพที่สะอาดงดงามของอาหารเป็นหัวใจของการปรุงอาหารทุกชาติมานานแล้ว มิฉะนั้นแล้วเครื่องเทศก็คงจะไม่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เมื่อหลาย ร้อยปีก่อน

          อย่างไรก็ดีในขณะที่ตาบอดสีและหูเสื่อมลงรักษาได้ยาก การรักษาความสามารถในการรับรู้กลิ่นสามารถทำได้ง่ายกว่าและด้วยตนเอง ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงเลย

          การทดลองว่าตนเองมีความเสื่อมในเรื่องกลิ่นมากน้อยเพียงใดสามารถทำได้ง่ายด้วย 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกให้เอาไอศครีมวานิลากับช็อกโกเลตวางคู่กัน เอาผ้าปิดตาและตักใส่ปากสักช้อน ถ้าสามารถบอกได้ถูกต้องว่าเป็นไอศครีมชนิดใดก็ยังไม่น่ากังวล

          วิธีที่สอง ให้เอาสำลีชุบแอลกอฮอร์ชนิดที่ใช้ประจำกันในบ้านไว้ใต้คางและลองหายใจเข้า ถ้าไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอร์หรือได้กลิ่นน้อยมากก็แสดงว่าความสามารถในการรับรู้กลิ่นลดน้อยลง ถ้าอยากทดลองอย่างแรง ๆ ก็ลองดมหัวหอมและกระเทียมดู ถ้าไม่ได้กลิ่นอันรุนแรงนั้นเลยก็คงสรุปได้ว่าควรจะต้องเริ่มให้ความสนใจเรื่องการฟื้นฟูความสามารถ หากทดลองดมกลิ่นดอกกุหลาบแล้วยังไม่รู้สึกใดเลยก็น่ากังวลเพราะการทดลองพบว่ามนุษย์มักจะได้กลิ่นกุหลาบถึงแม้ว่าความสามารถในการดมกลิ่นอื่น ๆ หายไปแล้วก็ตามที

          หากพบว่ามีปัญหาเรื่องการดมกลิ่นอย่าหมดหวัง แพทย์มีวิธีรักษาหลายทางด้วยกัน หลักการก็คือพยายามกระตุ้นเซลล์ประสาทที่รับกลิ่นอย่างสม่ำเสมอด้วยกลิ่นที่แตกต่างกัน

          วิธีแรกให้เอาเครื่องเทศ เช่น พริกไทย กระวาน กานพลู ตลอดจนกลิ่น อื่น ๆ เช่น วานิลา ช็อกโกเลต แยกใส่ขวดที่มีฝาปิดแน่นและเปิดฝาสูดดมขวดแก้วเหล่านี้วันละหนึ่งครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงโดยสูดดมเรียงขวด สูดดมกลิ่นเข้าไปสั้น ๆ สัก 2 หรือ 3 ครั้ง และ ปล่อยลมหายใจออก หากทำมากไปในหนึ่งวันก็อาจทำให้เซลล์ประสาทในจมูกเกิดการอ่อนล้าขึ้นมาได้

          วิธีที่สอง ให้เลือกกลิ่นที่เราชอบสัก 3-4 กลิ่น อาจเป็นกลิ่นกุหลาบ ลาเวนเดอร์ หรือกลิ่นผลไม้ และกลิ่นพิเศษที่แปลกออกไปหนึ่งกลิ่น เช่น กลิ่นกาแฟ โดยแยกเก็บกลิ่นไว้ใน ขวดแก้วมีฝาปิด ให้สูดดมบ่อย ๆ 3-4 ครั้งต่อวัน ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นเซลล์ประสาทรับกลิ่นให้สามารถแยกแยะกลิ่นที่แปลกออกไปได้

          สำหรับผู้ที่ความสามารถในเรื่องกลิ่นยังดีอยู่ วิธีชะลอความเสื่อมง่าย ๆ ก็คือก่อนดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มประจำตลอดจนอาหารจงสูดดมกลิ่นเสียก่อนทุกครั้ง (ที่จริงก็ควรทำเพื่อความซาบซึ้งแบบพวกดื่มไวน์เขาทำกัน…..เพื่อให้คุ้มราคา)

          อีกวิธีหนึ่งก็คือเอาเครื่องเทศหลายชนิดใส่ขวดแยกกันและสูดดมทุกวัน และพยายามบอกให้ถูกว่าเป็นกลิ่นของอะไรโดยไม่ดูป้าย พูดง่าย ๆ ก็คือพยายามสังเกตและตระหนักเรื่องกลิ่นใน ทุกสิ่งที่ทำเสมอ

          ข้อเท็จจริงที่พบว่าคนอายุแตกต่างกัน มีความสามารถในการรับรู้กลิ่นแตกต่างกัน ทำให้นักการตลาดเริ่มคิดที่จะผลิตสินค้าสำหรับผู้สูงอายุที่นับวันจะมีสัดส่วนมากขึ้นในประชากรของหลายประเทศซึ่งมีกลิ่นแรงกว่าปกติเพื่อดึงดูดความสนใจ

          การผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะเจาะจงลูกค้าที่เรียกว่า customized products นับวันก็มีมากขึ้น เช่น กางเกงยีนส์ที่ระบุขนาดของส่วนอื่น ๆ นอกจากเอวตลอดจนแบบได้ในระดับหนึ่ง สีรถยนต์ (ราคายังสั่งไม่ได้) กระเป๋าถือผู้หญิง และล่าสุดเครื่องดื่มยี่ห้อดังผลิตในรูปกระป๋องที่มีชื่อคนและข้อความปรากฏอยู่บนกระป๋องชื่อและข้อความที่ปรากฏก็เป็นกลาง ๆ ที่น่าจะตรงกับความต้องการลูกค้า ไม่มีเรื่องทวงเงิน ข่มขู่ หากเป็นข้อความที่แสดงถึงความรัก ผูกพัน และห่วงใย

          สำหรับคอกาแฟ นักวิจัยพบว่ากลิ่นกาแฟถือว่าเป็นกลิ่นล้างจมูกหลังจากดมกลิ่นอื่น ๆ มาแล้ว นักดมตัวอย่างน้ำหอมมืออาชีพมักพักการทำงานด้วยการสูดดมกลิ่นกาแฟ

          เราตัดสินคนดีคนชั่วกันด้วยการมอง พิจารณาสังเกตพฤติกรรมประกอบซึ่งเสียงมีบทบาทประกอบสำคัญ ถ้าหากกลิ่นสามารถช่วยได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในภาษาไทย “คนกลิ่นไม่ดี” คือบทสรุปความสงสัยในพฤติกรรมทั้งปวงของบุคคลหนึ่ง

          สิ่งที่ต้องระวังเกี่ยวกับคนพวกนี้ก็คือมักมีจุดเด่นจนทำให้เราละเลยมองข้ามธาตุแท้ของพวกเขาไป เพราะมัวแต่ไปชื่นชมจุดเด่นของเขา เช่น ความร่ำรวย การศึกษา หน้าตา พื้นฐานครอบครัว ความเก่ง ฯลฯ

จะใช้หลอดไฟแบบใดดี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
26 พฤศจิกายน 2556

          การเลือกหลอดไฟมาใช้ในบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีตอีกต่อไป เนื่องจากมีหลายชนิดและต่างให้ความสว่างในลักษณะที่แตกต่างกันและกินไฟไม่เท่ากันอีกด้วย แต่ละชนิดมีจุดอ่อนจุดแข็งไม่เหมือนกัน

          แต่ดั้งเดิมเราก็รู้จักกันแต่หลอดไฟชนิดที่เรียกว่า incandescent ซึ่งให้แสงสว่างจ้าจากการเผาไหม้ไส้ข้างในที่เรียกว่า filament หลอดไฟชนิดนี้มีต้นทุนการผลิตต่ำเพราะมีวิธีการที่ไม่ซับซ้อนกล่าวคือเอากระแสไฟฟ้าเข้าไปทำให้เกิดความร้อนจนกระทั่งเป็นแสงสว่าง

          เราเชื่อกันมาว่า Thomas Edison เป็นผู้ประดิษฐ์ในปี ค.ศ. 1878 แต่แท้ที่จริงแล้ว นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันระบุว่ามีผู้ประดิษฐ์ก่อนหน้าเขาไม่น้อยกว่า 22 สิ่งประดิษฐ์ เพียงแต่สิ่งประดิษฐ์ของ Thomas Edison นั้นมีคุณภาพเหนือกว่า เขาทดลองหาหลายสิ่งที่จะใช้เป็นไส้จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จจากถ่านไม้ไผ่ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้นานถึงกว่า 1,200 ชั่วโมง

          หลอดไฟชนิด incandescent นี้ได้รับการปรับปรุงพัฒนาโดยนักประดิษฐ์จำนวนมากระหว่างทศวรรษแรกของ ค.ศ. 1890 และต้นทศวรรษแรกของ 1900 การแข่งขันพัฒนาหลอดไฟฟ้าเกิดขึ้นมากทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา จนในที่สุด tungsten ดูจะเป็นสารที่ใช้ได้ผลที่สุดในการทำไส้

          โลกเพิ่งจะสว่างไสวในบางประเทศกันจริงจังเมื่อต้นทศวรรษที่ 20 หรือเมื่อ 100 ปีเศษมานี้เอง หลังจากมนุษย์อยู่ในความมืดมิดแซมด้วยแสงไฟจากกองไฟและเทียนไข ในถ้ำในป่าในเขา มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 150,000-200,000 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์สมัยใหม่เดินหลังตรงมีลักษณะคล้ายมนุษย์ในปัจจุบัน

          นักวิทยาศาสตร์ต้องการวัดผลที่ได้รับจากการใช้กระแสไฟฟ้ากับความสว่างที่ได้รับโดยเรียกตัววัดนี้ว่า Luminous Efficacy (LE) ซึ่งจะบอกว่าแหล่งผลิตไฟฟ้าให้แสงสว่างอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

          หลอดไฟฟ้าชนิด incandescent light ซึ่งเป็นประเภทแรกของหลอดไฟให้ LE ต่ำเพียงร้อยละ 5 ซึ่งหมายถึงว่าใช้กระแสไฟฟ้าไปมากแต่ได้รับแสงสว่างออกมาน้อยนิด ความหมายก็คือมีประสิทธิภาพต่ำ ถึงแม้จะจ่ายค่าไฟฟ้าสูงแต่ก็ให้แสงสว่างน้อย นอกจากนี้ประเภทใช้งานในบ้านยังมีอายุใช้งานโดยทั่วไปต่ำอีกด้วยคือประมาณ 700-1,000 ชั่วโมงเท่านั้น

          ต่อมามีการต่อยอดพัฒนาหลอดไฟฟ้าประเภทนี้ขึ้นอีกเพื่อให้ได้แสงที่สว่างเหมือนกลางวันเป็น white light หรือเพื่อให้ได้แสงที่นุ่มนวลแปลกออกไป หลอดไฟชนิดนี้คือ halogen (ใช้ก๊าซ halogen เข้าไปผสมกับ filament) ซึ่งให้ LE ที่สูงกว่า โดยประหยัดไฟฟ้ามากกว่าสำหรับความสว่างเท่ากัน แต่ก็มีราคาสูงกว่า

          หลอดไฟฟ้าประเภทที่สองคือหลอดนีออน หรือ fluorescent ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกันเพราะให้แสงสว่างได้หลายชนิดทั้งหลากสีหลากหลายรูปลักษณะและกินไฟน้อยกว่ามักใช้ในป้ายโฆษณา

          หลักการก็คือผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดก๊าซทำให้เกิดไอระเหยของปรอทซึ่งผลิตรังสีอุลตร้าไวโอเลตให้ไปทำปฏิกิริยากับ phosphor ซึ่งฉาบอยู่ในหลอดและเกิดเป็นแสงสว่างขึ้น

          จุดอ่อนก็คือต้องมีอุปกรณ์ประกอบทำให้มีราคาสูงกว่า แต่ก็มี LE สูงกว่าหลอดไฟประเภท incandescent หลายเท่าตัว แถมกินไฟน้อยกว่าด้วย เมื่อหักกลบลบกับค่าอุปกรณ์แล้ว หลอดไฟชนิดนี้ประหยัดเงินกว่า

          นักประดิษฐ์แก้ไขความรุงรังของการมีอุปกรณ์ประกอบด้วยการผลิตหลอดนีออนชนิดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lamp (CFL) ซึ่งมีหน้าตาคล้ายหลอดไฟ incandescent การใช้ก็สะดวกเพียงแต่เอาหลอดไฟนี้ไปใส่ในช่องเท่านั้น หลอดไฟยาว ๆ ที่มีหลอดสองขาหรือที่มีหลอดคดไปมาข้างในก็คือ CFL นี้แหละ

          หลอดไฟประเภทนี้เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันเพราะมีอายุยืนกว่าหลอดไฟ incandescent 8-15 เท่า สำหรับความสว่างเท่ากันหลอดชนิดนี้ก็กินไฟเพียง 1 ใน 5 ถึง 1 ใน 3 ของที่หลอด incandescent กิน อย่างไรก็ดีมีราคาแพงกว่า แต่เมื่อคิดสะระตะแล้วการใช้หลอด CFL คุ้มค่ากว่าหลอดแบบดั้งเดิมมากนัก

          ล่าสุดหลอดไฟที่กำลังมาแรงแต่ยังมีการใช้กันน้อยอยู่ในบ้านเรือนก็คือหลอดไฟประเภท LED (Light-Emitting Diode) ซึ่งมีอายุยืนนานและประหยัดพลังงานอย่างยิ่ง จุดอ่อนก็คือให้ไฟที่สว่างเป็นลำแสง ไฟไม่กระจายตัวเหมือนหลอดไฟอื่น ๆ ในปัจจุบันกำลังมีการพัฒนาให้มีแสงกระจายมากขึ้น ราคาหลอดไฟชนิดนี้แพงกว่า CFL ประมาณ 5-6 เท่า

          นับวันการใช้หลอดไฟประเภทแรกคือเผาไหม้โดยตรงก็จะน้อยลง ในขณะที่หลอด CFL มีการใช้มากขึ้น ๆ ทุกวัน ซึ่งราคาก็จะลดลงเมื่อมีคนใช้มากขึ้น ส่วนหลอดนีออนก็ยังมีคนใช้อยู่ต่อไป ในขณะที่ LED กำลังมาแรง และจะมีการพัฒนาขึ้นอีกมาก

          หลอดไฟแต่ละประเภทก็เหมาะต่อการใช้แต่ละอย่าง อย่างไรก็ดีในปัจจุบันมีความสนใจในการพัฒนาปรับปรุงหลอด LED เพื่อให้ใช้ได้ในหลายลักษณะยิ่งขึ้น เนื่องจากประหยัดพลังงานvอย่างมาก

          ไม่ว่าจะใช้หลอดไฟใดก็ให้แสงสว่างทั้งนั้น แต่ถึงจะสว่างเจิดจ้าอย่างไรก็ไม่สามารถสู้ความสว่างแห่งปัญญาอันได้แก่การหลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ ได้