เกรด 2.00 ของ กยศ. กับ Moral Hazard

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3
มีนาคม 2558 

ที่มา https://www.camphub.in.th/wp-content/uploads/2021/03/1-2-1024×683.png

          บางครั้งความตั้งใจดีก็ไม่เป็นผลดังตั้งใจหากแต่เป็นไปในทางตรงข้ามด้วยซ้ำ เช่น “พ่อแม่รังแกฉัน” (เลี้ยงดูลูกดังไข่ในหินจนพึ่งตนเองไม่ได้) รถมีประกันภัยชนิดครอบคลุมทุกอย่างทำให้ ขับรถอย่างสุ่มเสี่ยง ให้เงินช่วยเหลือแรงงานยามว่างงานจนสบายไม่คิดจะทำงาน ฯลฯ ตัวอย่างหนึ่งที่คาดว่าจะเกิดผลในลักษณะเดียวกันก็คือเงื่อนไขของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ประกาศออกมาเมื่อไม่นานมานี้

          เศรษฐศาสตร์มีคำศัพท์เฉพาะกรณีข้างต้นโดยเรียกว่า Moral Hazard (อันตรายอันเกิดจากศีลธรรม) ขอขยายความด้วยตัวอย่างเรื่องวินัยเด็ก เราเคยเห็นพ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกตอนเป็นเด็กอย่างสบาย ๆ กลัวลูกลำบาก ปล่อยให้ตื่นสาย อยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำตามใจ ดังนั้นจึงเติบโตมาอย่างที่เรียกว่า ‘ขาดวินัย’ เราพอมองเห็นชะตากรรมของเด็กเหล่านี้ตอนเป็นผู้ใหญ่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร

          ในทางตรงกันข้ามหากยอมให้ลูกลำบากบ้าง ต้องฝืนใจตนเองใน 10 ปีแรกของชีวิต เขาก็จะสบายไปตลอดชีวิตที่เหลือ แต่ถ้าสบายอย่างไร้วินัยตอนต้นชีวิตแล้วก็จะลำบากไปตลอดชีวิต

          Moral Hazard เกิดขึ้นในกรณีของ กยศ. เมื่อมีประกาศออกมาเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาว่าจะให้กู้อีกแต่จะเข้มงวดเงื่อนไขการกู้ยืมโดยผู้กู้ยืมทั้งระดับมัธยมปลายและนักศึกษามหาวิทยาลัยต้องมีคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00 จึงจะกู้ได้ หลักเกณฑ์นี้ใช้กับผู้กู้ยืมรายใหม่และผู้กู้ยืมรายเก่าด้วยเพื่อเป็นการ “คัดกรองผู้กู้ยืม” ให้ได้คนมีคุณภาพสูงขึ้น การเลิกเรียนกลางคันจะได้น้อยลง หนี้เสียจะได้ลดลง อีกทั้งเข้าใจว่ามุ่งบีบให้ผู้กู้ยืมตั้งใจเรียนเพื่อจะได้เรียนจบอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้สถาบันการศึกษาจะได้ยกมาตรฐานตนเองให้สูงขึ้นด้วยเมื่อเด็กตั้งใจเรียนและมีคะแนนเฉลี่ยสูง

          ก่อนที่จะชี้ให้เห็นว่ากรณีนี้เป็น Moral Hazard และจะเกิดปัญหาขึ้นอย่างไร ขอท้าวความเรื่องราวของ กยศ. สักเล็กน้อย

          กยศ. เป็นไอเดียของคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยประกาศเป็นกฎหมายในช่วงรัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย แต่เริ่มมีการใช้กันในสมัยนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา ใน พ.ศ. 2542 ความตั้งใจก็คือต้องการช่วยให้เด็กนักเรียนมัธยมปลายและนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ขาดทุนทรัพย์ได้มีโอกาสศึกษาในระดับสูงขึ้น ผลปรากฏว่า กยศ. ได้รับความนิยมมาก แต่ปัญหาหนักอกก็คือหนี้เสีย

          สรุปเงื่อนไขการกู้ยืมก็คือครอบครัวต้องมีรายได้ไม่เกินปีละ 200,000 บาท สามารถกู้ยืมได้ทั้งค่าเล่าเรียน (สูงสุด 50,000 ถึง 70,000 บาท ต่อปีแล้วแต่สาขา) และค่าใช้จ่ายส่วนตัว (เดือนละ 2,200 บาท) หรือกู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ละสถาบันการศึกษาจะได้รับการจัดสรรจำนวนทุนกู้ยืมในแต่ละปี

          อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมร้อยละ 1.5 ผ่อนได้สูงสุด 15 ปี มีระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปี ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้เสมือนได้เปล่า ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวที่ขาดทุนทรัพย์ อย่างไรก็ดี ผู้กู้ยืมต้องขอกู้ยืมใหม่ทุกปี (กู้ยืมเลื่อนชั้นปี)

          ตรงจุดนี้แหละที่เป็นปัญหา กล่าวคือ กยศ. ประกาศเงื่อนไขให้มีผลทันทีว่าผู้กู้ยืมต้องมีคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่น้อยกว่า 2.0 จึงจะกู้ปีใหม่นี้ได้ ไม่ว่าตอนนี้ได้กู้ยืมแล้วและกำลังเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 4 ขึ้น 5 หรือเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ขึ้นปี 2 หรือขึ้นปีใด หรือกู้ใหม่เอี่ยมก็ตาม

          ผลที่เกิดขึ้นมีหลายประการจนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางและเกิดการเคลื่อนไหวไม่พอใจในหมู่นักเรียนและนักศึกษาจนที่ประชุมอธิการบดี (สมาคมอธิการบดีของมหาวิทยาลัยของรัฐ) และ สสอท. (สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย) ได้ยื่นหนังสือต่อ กยศ. ขอให้ทบทวนเงื่อนไขที่ ‘หวังดี’ นี้

          ผู้เขียนเห็นว่าเงื่อนไขนี้จะมิได้ช่วย ‘คัดกรองผู้กู้ยืม’ ได้ดีขึ้นดังตั้งใจ มิได้ทำให้หนี้เสียส่วนหนึ่งอันเกิดจากการเลิกเรียนกลางคันลดน้อยลง ไม่ทำให้นักศึกษาตั้งใจเรียนมากขึ้น และสถาบันการศึกษาจะไม่มีมาตรฐานสูงขึ้นจนทำให้คุณภาพการศึกษาอุดมศึกษาดีขึ้น กล่าวคือจะเกิดผลในทางตรงกันข้าม

          เมื่อนักศึกษาเกรดต่ำเผชิญหน้ากับการ ‘ต้องสู้’ เพื่อให้ได้คะแนนเฉลี่ยสะสมสูงกว่า 2.00 เพื่อให้สามารถกู้ยืมได้ในปีการศึกษาหน้าคือกลางปี 2558 คาดเดาได้ว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งจะช่วยนักศึกษาให้มีเกรดสูงขึ้น ‘อย่างจงใจ’ (‘เกรดเฟ้อ’ เหมือนที่ได้ ‘เฟ้อ’ มาแล้วของชั้นมัธยมปลายเมื่อครั้งมีการเอามาใช้ประกอบคะแนนแข่งขันสอบเข้ามหาวิทยาลัย และครั้งนี้ก็จะ ‘เฟ้อ’ อีกเพราะผู้กู้รายใหม่จากชั้นมัธยมปลายก็ต้องมีคะแนนเฉลี่ยสะสมเกิน 2.0 เช่นกัน) มหาวิทยาลัยไทยนั้นมีความอัศจรรย์สามารถเสกเงินหายได้ เรื่องแค่นี้นั้นเป็นเรื่องเล็กมาก

          วิชามารทั้งหลายจะถูกขุดขึ้นมาใช้ในภาค 2 ของปีการศึกษา 2557 หรือขณะนี้เพื่อไม่ให้สูญเสียนักศึกษาของตน และใช้กันอย่างยั่งยืนในปีต่อ ๆ ไปเพื่อช่วยนักศึกษา การกระทำเยี่ยงนี้จะเกิดขึ้นแน่นอนหากใช้เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (behavioral economics) ช่วยวิเคราะห์
กฎเกณฑ์ใหม่จะช่วยคัดกรองนักศึกษาได้อย่างไร เพราะพวกที่ได้กู้ไปแล้วได้ถูก ‘คัดกรอง’ รอบแรกไปแล้ว ถ้าจะ ‘คัดกรอง’ แบบนี้อีกก็เปรียบเสมือนการ ‘คัดออก’ มากกว่า

          เมื่อปล่อยเกรดก็จะเกิดบัณฑิต ‘สุก ๆ ดิบ ๆ’ ที่เป็นผลพวงจากการช่วยนักศึกษา เขาจะมีงานทำจนสามารถผ่อนชำระได้อย่างไร คุณภาพสถานศึกษาและคุณภาพของการศึกษาของชาติก็จะไม่ดีขึ้น และหนี้เสียก็อาจหนักขึ้นด้วยซ้ำเพราะต้องถูกออกกลางคัน นี่คือกรณีของ Moral Hazard คือตั้งใจดีแต่ผลเป็นไปในทางตรงกันข้าม

          ผลเสียของประกาศนี้ที่สำคัญก็คือ (1) ไม่เป็นธรรมกับนักศึกษาที่ปกติก็ไม่ค่อยมีเงินจนต้องมากู้อยู่แล้ว เพราะประกาศมีผลทันทีกับนักศึกษาที่อยู่ในระบบการกู้อยู่แล้ว (เช่น ขณะนี้เรียนอยู่ ปี 1 และจะขอกู้ยืมอีกเมื่อเลื่อนขึ้นปี 2) ควรบอกเขาตั้งแต่ก่อนกู้ครั้งแรกจึงจะเหมาะสม

          (2) นักศึกษาในสาขาเรียนยากกับสาขาเรียนง่ายก็จะถูกกระทำอย่างไม่เท่าเทียมกัน นักศึกษาจึงมีทางโน้มเลือกเรียนสาขาสังคมที่เรียนง่ายกว่า และล้นประเทศอยู่แล้ว

          (3) มหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานไม่ยอมช่วยนักศึกษาให้มีเกรดถึง 2.00 ด้วยวิชามาร ในสายตานักศึกษาก็จะเป็นมหาวิทยาลัยใจยักษ์ และเมื่อถูกแรงกดดันมากขึ้นก็มีทางโน้มสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิชามารในที่สุดเพื่อรักษาจำนวนนักศึกษา มหาวิทยาลัยอุบาทว์เช่นนี้ก็จะมีจำนวนมากขึ้นโดยปริยาย

          กล่าวโดยสรุปก็คือความตั้งใจดีก็จะไม่เป็นผลดังหวัง และจะทำให้หนี้เสียสูงขึ้น ประการสำคัญคือไม่เป็นธรรมกับนักศึกษาที่อยู่ในระบบกู้อยู่แล้วเพราะไม่ได้บอกเขาก่อน ถ้าหากยังต้องการเงื่อนไข 2.00 ก็ควรใช้กับผู้กู้ยืมรายใหม่เท่านั้นแต่ก็จะมีข้อเสียอีกหลายประการ

          เกิดมาจนก็แย่อยู่แล้ว ยังจะถูกกระทำที่ไม่เป็นธรรมอีก อย่าซ้ำเติมเขาเลยครับ นักเรียนเรียนดีแต่ยากจนนั้นมีน้อยมาก เขาได้เรียนมาถึงตรงนี้ก็เก่งมากแล้ว ปล่อยให้ลูกหลานเขาได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากบ้างเถอะ

ข้อเท็จจริง 10 ปี ระบบข้าราชการไทย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24
กุมภาพันธ์ 2558

ที่มา https://storage.thaipost.net/main/uploads/photos/big/20190621/image_big_5d0cb357d2242.jpg

          เมื่อไม่นานมานี้พนักงานรัฐวิสาหกิจได้เงินเดือนขึ้นเฉลี่ย 6.5% และก่อนหน้านี้ไม่นานข้าราชการก็ได้เงินเดือนขึ้นเฉลี่ยคนละอย่างน้อย 4% พร้อมกับขยายเพดานเงินเดือนอีก 10% โดยมีเหตุผลว่าทั้งหมดก็เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ลองมาดูกันว่าใน 10 ปีที่ผ่านมาข้าราชการไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในด้านต่าง ๆ
มูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา (www.thailandfuturefoundation.org) ได้ศึกษาหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ 10 ปีที่ผ่านมาของระบบข้าราชการไทยและได้ 6 ข้อเท็จจริงดังนี้

          “…..(1) ปัจจุบันฐานเงินเดือนข้าราชการไม่ได้ต่ำอย่างที่คิดอีกต่อไป จากที่เมื่อ 10 ปีที่แล้วเงินเดือนแรกเข้าของข้าราชการวุฒิปริญญาตรีเคยเป็นเพียง 2 ใน 3 ของเงินเดือนแรกเข้าของพนักงานเอกชนที่ระดับการศึกษาเท่ากัน แต่ปัจจุบันข้าราชการได้เงินเดือนแรกเข้าสูงกว่าพนักงานเอกชนโดยเฉลี่ยราว 10% เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีนโยบายปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการวุฒิปริญญาตรีให้ได้ 15,000 บาทต่อเดือน

          (2) จำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน หลังจากที่มีริเริ่มการปฏิรูประบบราชการ โดยการปรับลดกำลังคน ผลคือจำนวนข้าราชการประจำแทบไม่เพิ่มขึ้นเลยจากสิบปีที่แล้ว แต่ที่เพิ่มขึ้นมากคือลูกจ้างรัฐและพนักงานรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 6 เท่า บางกระทรวงมีลูกจ้างและพนักงานมากกว่าข้าราชการประจำ เช่น กระทรวงทรัพยากรฯ มีข้าราชการประจำเพียง 10,000 คนเท่านั้น แต่มีลูกจ้าง และพนักงานของรัฐร่วม 50,000 คน เป็นต้น

          (3) ข้าราชการตั้งแต่ซี 9 ขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ทั้ง ๆ ที่จำนวนข้าราชการประจำโดยรวมลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มกระทรวงใหม่ 6 กระทรวง ทำให้มีกรมเพิ่มขึ้นกว่า 40 กรมเป็น 168 กรมเมื่อปี 2545 ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐสุ่มเสี่ยงกับปัญหาขาดแคลนกำลังคนโดยเฉพาะระดับปฏิบัติการ

          (4) งบบุคลากรภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จากเมื่อสิบปีก่อน ถ้าหากรวมเอาภาระงบบุคลากรซึ่งรวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่น ๆ อย่างค่ารักษาพยาบาลและบำเหน็จ บำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาล

          (5) งบบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าจากเมื่อสิบปีก่อน ในขณะที่จำนวนกำลังคนภาครัฐในระดับท้องถิ่นนั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่าตามจำนวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น

          (6) เมื่อเทียบกับจีดีพี งบบุคลากรภาครัฐของไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในเอเชีย รองจากบาร์เรนและมัลดีฟส์ โดยสัดส่วนงบบุคลากรภาครัฐต่อจีดีพีของไทยอยู่ประมาณ 7% สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (6%) ฟิลิปปินส์ (5%) หรือสิงคโปร์ (3%)”

          เมื่อภาพสำคัญคืองบบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารเช่นนี้ คำถามก็คืองบนี้ส่งผลต่อผลงานของภาครัฐใน 10 ปีที่ผ่านมาอย่างไร?

          ข้อศึกษาที่ได้ระบุดังนี้ “…..(1) ประสิทธิภาพของภาครัฐแย่ลงจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จากผลการวิจัยของธนาคารโลกพบว่าความมีประสิทธิผลของรัฐบาลไทยอยู่อันดับ 74 จาก 196 ประเทศ ตกลงจากอันดับ 65 เมื่อสิบปีก่อน นอกจากนี้จากการสำรวจความเห็นของนักธุรกิจของ World Economic Forum (WEF) ตั้งแต่ปี 2551-2556 พบว่าความไร้ประสิทธิภาพของภาครัฐเป็น 1 ใน 5 ของปัจจัยที่เป็นปัญหาในการทำธุรกิจในประเทศไทย

          (2) ปัญหาคอร์รัปชั่นในภาครัฐก็แย่ลงเช่นกัน จากผลวิจัยของธนาคารโลกเช่นเดียวกัน พบว่าไทยตกอันดับ 91 เมื่อสิบปีก่อน มาเป็นอันดับ 98 จาก 196 ประเทศ หรือถ้าหากดูจากดัชนีการรับรู้เรื่องคอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index) ก็ร่วงจากอันดับ 70 เป็นอันดับ 102 จาก 174 ประเทศ WEF จัดอันดับเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกของข้าราชการไทยอยู่อันดับ 93 จาก 148 ประเทศ อันดับใกล้เคียงกับประเทศอินเดีย (94) และมาลาวี (92)”

          หากประสิทธิภาพของภาครัฐลดลงจริงตามที่ธนาคารโลกศึกษาท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายรวมของบุคลากรภาครัฐอันเนื่องมาจากผลตอบแทนเฉลี่ยต่อคนและจำนวนคนในภาครัฐสูงขึ้น คำถามที่พึงพิจารณาก็คือเส้นทางเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนเฉลี่ยต่อคนถึงแม้จำนวนคนจะคงที่ถูกต้องหรือไม่ หากใช้สามัญสำนึกอาจตอบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยไม่อาจลดลงได้ แต่สามารถ ‘รีด’ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ให้สมกับค่าตอบแทนพร้อมกับลดจำนวนคนในภาครัฐลง มิฉะนั้นภาระงบบุคลากรรวมทั้งสวัสดิการและบำเหน็จบำนาญจะเกินครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาลจากภาษีอากร

          การปฏิรูประบบราชการในช่วงเวลานี้เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะในอีก 15 ปีข้างหน้าจะมีข้าราชการราว 40% เกษียณอายุ การเข้มงวดกับจำนวนคนและคุณภาพของคนที่มาทดแทน และ ‘การรีด’ ประสิทธิภาพของคนในภาครัฐทั้งหมดดูจะเป็นคำตอบ

          การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐได้เป็นอย่างดีเพราะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพขึ้น (มีไอติมกินเต็มแท่ง ไม่ใช่ได้รับไอติมที่ถูกดูดไปแล้วกว่าหนึ่งในสามของแท่ง) อีกทั้งเป็นการยกระดับความมีจริยธรรมของภาครัฐและสังคมไปด้วย

          ข้อเท็จจริงข้างบนนี้ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วจะรู้สึกสยอดสยองเพราะมันโยงใยไปสู่ภาวะการใช้จ่ายมหาศาลของรัฐในภายภาคหน้า จนอาจมีเงินเหลือน้อยสำหรับการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ของชาติ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ฯลฯ

          คนในสมัยปัจจุบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของสังคม เพราะคนที่จะเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้านั้นขณะนี้ยังเป็นเพียงทารกและเด็กที่ยังไม่รู้ความ

คอรัปชั่นเชิงอำนาจของอาร์เจนตินา

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17
กุมภาพันธ์ 2558

Photo by AJ Colores on Unsplash

          การฆาตกรรมอัยการผู้กำลังจะสร้างปัญหาให้รัฐบาลถือว่าเป็นคอรัปชั่นลักษณะหนึ่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในดินแดนที่ผู้คนรู้จักกันดีเพราะเพลงรำพันของนักการเมืองหญิง “ประชานิยม” ของอเมริกาใต้ การใช้อำนาจผิด ๆ แบบนี้มีมานานและถึงจะไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวพันมันก็เป็นคอรัปชั่น วันยังค่ำ

          อาร์เจนตินาดินแดนแห่งการเต้นรำจังหวะแทงโก้และการหวลอาลัยถึง Eva ภรรยาของ นายพลเผด็จการ Peron (คนยากจนถูกหลอกให้รักเพราะ “แจกสุดขั้ว” พร้อมกับเอาเข้ากระเป๋าตัวเองในทศวรรษ 1950) กำลังอื้อฉาวด้วยคดีฆ่าตัวตายของ Alberto Nisman อัยการสอบสวนคดีผู้ได้เปิดเผยว่าเขากำลังจะให้การปรักปรำอาชญากรรมอันเลวร้ายของประธานาธิบดีต่อรัฐสภา

          ไม่มีใครเชื่อว่า Nisman ฆ่าตัวตาย ไม่เชื่อกันทั้งประเทศจนถูกประชดโดยเปลี่ยนคำว่า suicide ซึ่งเป็นการกระทำโดยบุคคล กลายเป็น was sucided ซึ่งหมายถึง “ถูกฆ่าตัวตาย”

          กรณีของ Nisman ไม่ใช่กรณีแรกของการ ‘ถูกฆ่าตัวตาย’ หากมีนมนานจนเหมือนกับเป็นแบบแผนปกติ ในปี 1953 หลังจาก Eva ตายเพียง 9 เดือน พี่ชายของเธอ Juan Duarte ก็ตายตามไป โดยทางการบอกว่าเป็นการฆ่าตัวตายแต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นการ ‘ถูกฆ่าตัวตาย’ สาเหตุที่ตายก็เนื่องมาจากเขาเกี่ยวพันกับการลักลอบนำเงินของพวกนาซีสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเข้าอาร์เจนตินา

          ในปี 2007 Hector Febres เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลห้องคลอดของโรงพยาบาลทหารเรือซึ่งเป็น สถานที่กักกันนักการเมืองนับพันคนในช่วงเผด็จการทหารระหว่างปี 1976-1983 โดยนักโทษเหล่านี้ ‘ถูกฆ่าตัวตาย’ โดยไซยาไนด์ เชื่อกันว่า Febres ถูกฆ่าปิดปากเพราะเกรงว่าเขาจะเปิดเผยอาชญากรรมอันร้ายแรงละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่นี้

ในปี 1995 มีระเบิดครั้งใหญ่ในเมือง Rio Tercero ของอาร์เจนตินา คนตายไป 7 คน บาดเจ็บอีกนับร้อยคน คราวนี้เล่นกันตรง ๆ เลยเพื่อทำลายหลักฐานที่มีการลักลอบนำอาวุธจำนวนมหาศาลไปขายให้ Ecuador และ Croatia ซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ในปี 2013 อดีตประธานาธิบดี Carlos Menem ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกจากความผิดคดีนี้พร้อมกับทหาร 4 คนซึ่งเป็นมือระเบิด

          คดีของ Alberto Nisman ดังก้องอาร์เจนตินาในปัจจุบัน มีทฤษฎีหลากหลายว่าจริง ๆ แล้วใครเป็นคนฆ่า มีโพลหนึ่งระบุว่าประชาชนกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือของประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

          Nisman มีหลักฐานเป็นรายงานหนานับพันหน้าชี้ให้เห็นว่าประธานาธิบดี คนปัจจุบันคือ Fernandez Kirchner และพรรคพวกได้ช่วยชาวอิหร่าน 5 คน ซึ่งเป็นมือระเบิดอาคาร AMIA (Argentine Israelite Mutual Association) ในปี 1994 จนยิวตายไป 85 คน และบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 150 คน เพื่อแลกกับการเป็นมหามิตรกับอิหร่าน โดยหวังว่าจะเอาธัญพืชไปแลกกับน้ำมันที่อาร์เจนตินาขาดอยู่ปีละ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

          การช่วยเหลือคนก่ออาชญากรรมอุกฉกรรจ์เช่นนี้เพื่อมิให้ถูกดำเนินคดีโดยแลกกับคะแนนเสียงที่ตนเองอาจได้รับก็คือคอรัปชั่น เพราะคำจำกัดความของมันก็คือ ‘การใช้อำนาจรัฐที่ได้รับมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้สาธารณะมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก’

          Nisman แอบดักฟังโทรศัพท์นานนับร้อยชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่ของรัฐติดต่อกับฝ่ายอิหร่าน มีแม้กระทั่งคำพูดของประธานาธิบดี Kirchner และเขากล่าวหาว่าอดีตประธานาธิบดี Menam ก็มีส่วนร่วมด้วย

          ชาวอาร์เจนตินารอคอยวันเปิดโปงของ Nisman เพราะเป็นคดีที่โยงใยผู้มีอำนาจหลายคนและเป็นคดีต่อเนื่องมาเกือบ 20 ปี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ฟังเพราะเขาถูก “ฆ่าตัวตาย” เสียก่อน ในตอนแรกประธานาธิบดีเขียนใน face book ว่าคงเป็นการฆ่าตัวตาย แต่วันต่อมาก็เขียนใหม่ว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรมโดยกลุ่ม “คนเกเร” ซึ่งเป็นลูกน้องของผู้อำนวยการองค์กรข่าวกรอง (Secretariat of Intelligence)

          คนที่สื่อสงสัยมากที่สุดคือ Antonio “Jaime” Stiuso หมายเลข 3 ขององค์กรนี้ผู้ทำงานใกล้ชิดกับ Nisman ในการสอบสวนครั้งนี้หลักฐานชี้ว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่พูดโทรศัพท์ด้วยก่อนตายและตามหาตัวไม่เจอหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนมกราคม 2015

          ประธานาธิบดี Kirchner เป็นหญิงคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอาร์เจนตินา แต่เป็นประธานาธิบดีหญิงคนที่สอง (คนแรกคือ Martinez de Peron, 1974-1976 ภรรยาคนที่สองของนายพล Peron) เธอรับบัลลังก์ต่อจากสามีของเธอคือ Nestor Kirchner (เป็นประธานาธิบดีระหว่าง 2003-2007) โดยเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก 2007-2011 และได้รับเลือกอีกเป็นสมัยสองตั้งแต่ปี 2011

          รัฐบาลของเธอในปัจจุบันประสบปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วง ประธานาธิบดีขาดความน่าเชื่อถือเพราะมีเรื่องอื้อฉาวในการเล่นพรรคเล่นพวกและคอรัปชั่น ตกแต่งตัวเลขและสถิติต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ รุกรานทำร้ายสื่อ ฯลฯ อาวุธสำคัญของเธอก็คือการเซ็นเซอร์และการใช้หน่วยงานเก็บภาษีเป็นเครื่องมือข่มขู่

          Nisman เป็นอัยการผู้มีความกล้าหาญและพูดอยู่เสมอในสาธารณะว่าเขาอาจถูกฆ่าตายเมื่อใดก็ได้เพราะคดีที่เขาทำอยู่นี้เป็นอาชญากรรมหรือคอรัปชั่นที่ร้ายแรงของภาครัฐ ซึ่งเกี่ยวพันขึ้นไปถึงประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน

          ชาวอาร์เจนตินาเชื่อว่าสไตล์ปากโป้งผ่านสื่อสาธารณะของ Nisman มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้เขาถูกฆ่า เพราะก่อนหน้า 14 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่เขาจะไปให้การกับสภาผู้แทนราษฎร เขาออกข่าวกระหน่ำข้อหาคอรัปชั่นนี้ของประธานาธิบดีและพรรคพวกต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายวัน

          การขัดขวางกระบวนการยุติธรรม (Obstruction of Justice) ของประธานาธิบดีเป็นอาชญากรรมและเป็นคอรัปชั่นเชิงอำนาจด้วยเนื่องจากการขัดขวางนี้นำมาซึ่งประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก ในอาร์เจนตินามีอัยการที่มีความกล้าตายและกล้าหาญทางจริยธรรมและรักความถูกต้องเป็นที่ประจักษ์หลายคนเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ

          ถ้ามีคนถามว่าคดีเอกยุทธ อัญชันบุตรเป็นคอรัปชั่นเชิงอำนาจหรือเปล่า คงตอบไม่ได้เพราะถึงปัจจุบันเรามีกันแค่คดีเก่าซึ่งคนจำนวนมากเชื่อว่ามันผิดปกติ ไว้ให้มีการยกเครื่องรื้อการสอบสวนคดีนี้ขึ้นมากันใหม่แล้วค่อยคิดตอบปัญหานี้กัน

ปราบคน “โกงชาติ” “โกงแผ่นดิน”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10
กุมภาพันธ์  2558

Photo by Michal Matlon on Unsplash

          เห็นภาพคนพลิกดูประกาศเปิดเผยทรัพย์สินของคณะรัฐมนตรีและสมาชิก สนช. ที่แขวนไว้ข้างฝาเป็นปึก ตลอดจนสถิติการมาประชุมและลงคะแนนของสมาชิกรัฐสภาแล้วรู้สึกขำ คนเราจะพยายามหลบความโปร่งใสอะไรกันได้ขนาดนั้น ถ้าเราต้องการปราบคอร์รัปชั่นกันจริงจังแล้ว ข้อมูลนี่แหละเปรียบเสมือนอาวุธที่คมกว่าคำพูดมนุษย์ และคมกว่าดาบเป็นไหน ๆ

          พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ บรรยายที่ วปอ. เมื่อเร็ว ๆ นี้ในลักษณะที่ฝรั่งกล่าวถึง คนสูงอายุที่พูดอย่างไม่ต้องเกรงใจใครแล้วว่าท่าน speak his mind ท่านพูดได้โดนใจคนไทยค่อนประเทศ ในตอนหนึ่ง “…..ผมเคยถามเรื่องคดีว่าทำไมคดีโกงเรื่องนี้ไม่เสร็จเสียทีนานแล้ว เขาก็จะตอบว่าขั้นตอนเยอะ แต่ผมก็บอกว่าขั้นตอนสามารถแก้ได้

          ประเทศไทยมีศาลมากมาย ทั้งศาลยุติธรรม ศาลภาษี ซึ่งถ้าเราจะตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวงดีหรือไม่ เอาคดีนี้ไปดำเนินการให้เร็ว เพื่อลดขั้นตอนให้เร็ว ช่วยกันตั้งดีหรือเปล่า …..

          การใช้กฎหมายกับคนโกงชาติ โกงแผ่นดิน ต้องใช้ในลักษณะหลักนิยมของทหารม้า ที่บอกว่ารวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด ผมคิดว่าการเล่นงานคนโกงต้องใช้หลักการเหล่านี้ ต้องเร็ว ลงโทษรุนแรง มีความเด็ดขาดในการปราบปราม เพื่อให้มีคนดีมากกว่าคนโกง…..”

          สิ่งที่พลเอกเปรมพูดตรงกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ซึ่งเป็นแนวศึกษาสมัยใหม่ว่า “มนุษย์ไม่กลัวภัยไกลตัว หากกลัวสิ่งที่คิดว่าเป็นภัยใกล้ตัว” มนุษย์รู้ดีว่าเหล้าบุหรี่ การบริโภคอาหารมากเกินความพอดีบั่นทอนสุขภาพแต่ก็ไม่กลัว ยังคงดื่ม สูบ กิน เป็นปกติเพราะเห็นว่าภัยอยู่ไกลตัว แต่ถ้ามีใครเอาปืนไปจ่อหัวบังคับไม่ให้ทำสิ่งเหล่านี้แล้ว มนุษย์จะหยุดทันทีเพราะคิดว่า (ไม่ต้องคิดละเพราะเห็นกันจะจะ) ถูกยิงตายแน่หากไม่หยุด

          ถ้าคดีคอร์รัปชั่นใช้เวลาเป็น 10 ปี และมีโอกาสหลุดสูง ระหว่างเวลานั้นก็ใช้เงินทองที่โกงมาอย่างสนุกสนานแถมเอาเงินที่โกงมาไปต่อยอดให้รวยยิ่งขึ้นอีกด้วย อย่างนี้ไม่มีใครกลัวคอร์รัปชั่น แต่ถ้าการลงโทษรวดเร็ว รุนแรง และเด็ดขาดแล้ว ความกล้าที่จะโกงก็หดหายไปเพราะเปรียบเสมือนกับถูกเอาปืนจ่อหัว          

          คำพูดของพลเอกเปรมสะใจคนจำนวนมากที่หน่ายใจกับความไม่ศักดิ์สิทธิของกฎหมายในเรื่องคอร์รัปชั่น การดูเหมือนว่าไม่มีใครใส่ใจจริงจัง ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ท่านใช้ คำแรงเช่น “โกงชาติ” “โกงแผ่นดิน” “การติดเชื้อโรคการโกง”

          นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิลในปี 1992 Garry Backer ได้นำเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์กับสังคมวิทยาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์หลายเรื่องเช่นในเรื่องคอร์รัปชั่นซึ่งก็คือ “การเอาอำนาจที่รัฐมอบให้เพื่อประโยชน์แห่งสาธารณะมาเป็นประโยชน์แก่ตนเอง”

          Becker เชื่อว่ามนุษย์ใช้เหตุใช้ผลในการตัดสินใจโดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามที พฤติกรรมของมนุษย์เป็นไปตามแรงจูงใจ โดย “แต่ละคนพยายามแสวงหาสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็น ‘สวัสดิการ’ (welfare) ให้มากที่สุด ซึ่ง “สวัสดิการ” ในที่นี้มิได้ หมายถึงรายได้เท่านั้น หากหมายถึง “ความพอใจจากการทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น หรือความตื่นเต้นจากอะไรที่แหกคอกออกไปก็ตามที”

          ในการคอร์รัปชั่น ผู้กระทำเป็นคนมีเหตุมีผลในการลงมือ เมื่อใดที่ “สวัสดิการ” หรือผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดจากคอร์รัปชั่นสูงกว่าต้นทุน หรือผลเสียแล้วจะลงมือเสมอ

          ในด้านผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับประกอบด้วยสองส่วนคือ (ก) ความเป็นไปได้ในการได้รับผลประโยชน์กับ (ข) ขนาดของประโยชน์ กล่าวคือถ้าคอร์รัปชั่นนั้นง่ายก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับ สำหรับด้านผลเสียก็ประกอบด้วยสองส่วนคือ (ก) ความเป็นไปได้ในการถูกลงโทษและ (ข) กับบทลงโทษ ด้วยคำอธิบายเช่นนี้ Becker ชี้ทางสวรรค์ให้เห็นว่าสิ่งที่จะหยุดยั้งคอร์รัปชั่นนั้นไม่ใช่บทลงโทษแต่เพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นความเป็นไปได้ในการถูกลงโทษอย่างหนักซึ่งขึ้นอยู่กับการถูกจับและความรุนแรงของบทลงโทษ

          ถ้าคอร์รัปชั่นแล้วไม่เคยมีใครถูกจับเลย ไม่ว่าบทลงโทษสูงแค่ไหน คอร์รัปชั่นก็จะเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นประสิทธิภาพของการลงโทษซึ่งก็คือประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการสู้กับคอร์รัปชั่น

          ถ้าทุกการคอร์รัปชั่นถูกจับลงโทษอย่างรุนแรง เด็ดขาด อย่างทันควัน คนทำก็จะเห็นเป็นภัยใกล้ตัว ความเกรงกลัวก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าคดีเรื่อยเฉื่อยแฉะและเพียงถูกเขกเข่า ในท้ายสุด คอร์รัปชั่นก็บานเป็นดอกเห็ด

          น่ายินดีที่ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวกันในเรื่องปราบคอร์รัปชั่นจากภาครัฐ มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีกรรมการอีกหลายชุด ทั้งหมดเป็นความพยายามที่ดี แต่ถ้าจะให้ประชาชนซาบซึ้งในความเอาจริงในเรื่องคอร์รัปชั่นแล้ว เรื่องที่สามารถทำได้ทันทีเป็น Quick Wins ก็คือ (1) ขอให้ ปปช. DSI ตำรวจ และหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องรายงานความก้าวหน้าของคดีคอร์รัปชั่นที่อยู่ในมือทั้งหมดให้ประชาชนทราบว่าขณะนี้เดินทางถึงจุดไหนแล้ว และคดีจะหมดอายุความเมื่อใด (คดีที่คนร้ายจำนวนเท่าทีมฟุตบอลเข้าไปขนเงินบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม คดีรับสินบนของผู้ว่าการการท่องเที่ยวที่ยาวนานจนฝรั่งผู้จ้างได้ติดคุกจน ออกมาแล้ว คดีคอร์รัปชั่นก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิหลายคดี ฯลฯ)

          (2) ขอให้มีการเร่งรัดคดีคอร์รัปชั่นทุกคดีในทุกหน่วยงานให้เห็นผลชนิดที่เห็นว่ามีการเคลื่อนไปอีกก้าวหนึ่งในทิศทางที่เอาคนผิดเข้าคุกในเวลาหนึ่งเดือน

          แค่นี้คนก็จะแซ่ซ้องกันทุกแห่งหน และมิได้เป็นการแทรกแซง มิได้ทำลายความปรองดอง (เอาคนคอร์รัปชั่นเข้าคุกมันเกี่ยวกับการให้คนเลิกขัดแย้งกันตรงไหน) หากแต่เป็นการดำเนินการทางกฎหมายที่ประเทศใด ๆ ในโลกเขาก็ทำกันทั้งนั้น เกาหลีเอาอดีตประธานาธิบดีติดคุกมา 2 คนแล้ว อดีตประธานาธิบดีไต้หวันยังอยู่ในคุก อดีตประธานาธิบดีอิสราเอลก็ติดคุก อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญอินโดนีเซียก็ยังอยู่ในคุก ฯลฯ

          ความโปร่งใส (transparency) เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ที่ป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นได้ชะงัด ถ้าข้าราชการและพนักงานของรัฐระดับสูงเช่นเดียวกับคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาต้องเปิดเผยทรัพย์สินต่อสาธารณชนแล้ว ข้อมูลที่เปิดเผยเหล่านี้แหละจะตามมาปาดคอถ้าฉ้อราษฎร์ บังหลวงไว้ อีกทั้งเป็นจุดอ้างอิงของทรัพย์สินที่จะเพิ่มขึ้นในวันหน้า

          แต่ถ้าเป็นการเปิดเผยแบบปะข้างฝาแล้วก็น่าขบขัน มันจะต้องเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปที่สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้เชิงอิเล็กทรอนิกส์ดังที่เรียกว่า machine processable อีกทั้งต้องเปิดเผยให้รู้เสมอหน้ากันไม่ใช่ให้บางกลุ่มรู้ และต้องเป็นข้อมูลพื้นฐาน มิใช่สรุปวิเคราะห์มาเรียบร้อยแล้วซึ่งอาจถูกบิดเบือนได้

          คนขี้โกงนั้นกลัวความโปร่งใสเหมือนผีกลัวใบหนาด ประเด็นการปราบคนโกงแผ่นดินให้ได้ผลชะงัดอยู่ตรงที่การทำให้ใบหนาดสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผีได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงทำให้คัน ๆ เพราะใบหนาดถูกธนบัตรลูบขนไปหมดแล้ว

ถ้าไม่ได้กราบก็ไม่ได้ขึ้นแท็กซี่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3
กุมภาพันธ์ 2558

         เห็นภาพในเน็ตที่คนก้มกราบรถแท็กซี่พร้อมกับมีคำบรรยายว่า ‘วิธีเรียกแท็กซี่ที่ถูกต้องในปัจจุบัน’ แล้วรู้สึกโดนใจเพราะมันกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่โยงใยกับชีวิตประจำวันหลายด้าน

          ถ้าท่านหน้าตาเป็นคนไทย ลองเรียกรถแท็กซี่ 10 รายต่อเนื่องกันเพื่อไปจุดหมายที่ไกล ปานกลางชนิดรถอาจติดบ้าง อาจมีเพียง 2 รายที่ยินดีรับท่าน ที่เหลือจะปฏิเสธ สิ่งที่คนขับทำนั้นผิดกฎหมายขนาดถูกยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ได้ แต่เราก็เห็นปรากฏการณ์นี้กันทั่วไป เกิดอะไรขึ้นกับแท็กซี่ไทย?

          ยิ่งไปกว่านั้นถ้าท่านเดินผ่านคิวรถแท็กซี่และรถตุ๊ก ๆ ที่จอดคอยรับผู้โดยสารอยู่หน้าศูนย์การค้าต่าง ๆ จะพบการโก่งราคาอย่างหน้าด้าน ๆ ว่าถ้าไม่เอาราคานี้ก็ไม่ไป (เคยพบด้วยตนเองประมาณ 2 กิโลเมตรที่รถไม่ติดเลยจะเอา 200 บาทในราคาเหมา) เขาสามัคคีทำกับทุกชาติทุกภาษาอย่างเสมอหน้ากันอย่างไม่มีสองมาตรฐานคือช่วยกันทำลายประเทศไทย ทำลายภาพพจน์และการท่องเที่ยวของประเทศไทย

          ปัจจุบันปรากฏการณ์คนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารระบาดไปทั่วกรุงเทพฯ เหมือนไฟไหม้ป่า การโก่งราคาก็มีอยู่ทุกหนแห่ง (เคยเห็นคนขับรถคิวแถวสยามสแคว์ลีลาท่าทางพูดจายียวนเหมือนผู้ร้ายใน หนังไทยยุคใส่เสื้อนอกชกกันไม่มีผิด จนอยากเอารูปมาขึ้นเฟสบุ๊คแต่กลัวถูกเหยียบเพราะท่าทางนักเลงเอาเรื่อง)

          เราจะปล่อยให้พฤติกรรมโก่งราคา ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่เปิดมิเตอร์ เป็นอย่างนี้ต่อไปหรือครับ? ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกที่บอกว่าลงโทษแท็กซี่แบบนี้กันทุกวัน กำลังทำอะไรอยู่ ท่านรับเงินเดือนจากพวกเราแต่เหตุใดจึงไม่ทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อพวกเรา

          ผมไม่เคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้ในประเทศกำลังพัฒนาใด อาจมีบ้างแต่ไม่ระบาดไปทั่วเหมือนดังเช่นในบ้านเรา กระทรวงคมนาคมยุคปฏิรูปประเทศไทยจะไม่แสดงฝีมือให้ดูหรือ รับรองคนจะแซ่ซ้องเพราะมันถึงจุดที่ประชาชนรับไม่ไหวแล้ว

          กระทรวงคมนาคมก็เอาใจแท็กซี่ไปแล้ว ขึ้นค่าแท็กซี่ให้แล้ว เฉลี่ยรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% และสำหรับคันที่ใช้วงรอบล้อรถเล็กพิเศษที่ผิดกฎหมายเพราะจงใจให้มิเตอร์วิ่งขึ้นมากกว่าปกติ รายได้อาจเพิ่มถึง 20% คราวนี้กระทรวงคมนาคมต้องปราบปรามจริงจังแล้ว มีประชาชนที่ถูกกระทบโทรเข้าไปแจ้งผ่าน application เก๋ ๆ ทั้งหลาย ๆ กันมากแต่ก็เบื่อหน่ายเพราะไม่เห็นมีผลดีอะไรเกิดขึ้น

          ผมเองเคยโทรเข้าไปแจ้งครั้งหนึ่งเรื่องไม่รับผู้โดยสาร เสียงตอบมาว่าต้องบอกชื่อจริงมิฉะนั้นทำอะไรไม่ได้ ผมถามว่าทำไมจดหมายกล่าวหาทุจริตถึง ปปช. ยังไม่ต้องลงชื่อเลย กะอีแค่รายงานแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารต้องบอกชื่อจริงเชียวหรือ (ที่คนเขาไม่อยากบอกชื่อจริงก็เพราะเขาไม่รู้ว่าคนขับเป็นคนชนิดใด คนเล่เก๊ก็มีแยะไม่อยากมีปัญหา เขาจึงไม่บอกชื่อ) และเมื่อไม่บอกชื่อเรื่องก็จบแค่นั้น งานก็ลดลงไปแยะเลย พูดง่าย ๆ ก็คือทำราชการเท่าที่จำเป็นในหน้าที่ ประชาชนจะเป็นอย่างไรนั้นช่วยไม่ได้เพราะตัวใครตัวมัน

          ถ้าสังคมเราไฮเท็คกันกว่านี้ ระวังเถอะแท็กซี่พวกนี้จะไม่มีคนขึ้น และจะต้องยอม ง้อผู้โดยสาร (เหมือนเมื่อก่อนคนขับต้องง้อเถ้าแก่เจ้าของรถ แต่บัดนี้คนขับแท็กซี่เล่นตัวให้เจ้าของอู่ง้อ) เพราะปัจจุบันมีบริษัทแท็กซี่หลายรายที่ผู้โดยสารสามารถใช้บริการผ่านสมาร์ทโฟนโดยเข้า application และพิมพ์ลงไปว่าจะไปไหน ในเวลาไม่กี่นาทีเขาจะส่งรูปหน้าคนขับพร้อมเลขทะเบียนรถพร้อมค่าโดยสารมาให้ดู (เพิ่มอีก 25 บาท จากราคาแท็กซี่ปกติ) สะดวกกว่าต้องไปกราบกรานขอขึ้นมากมายด้วยราคาแพงขึ้นเพียง 25 บาท

          คอยดูเถอะถ้าคนไทยใช้วิธีการนี้กันมากขึ้นในดิจิตอลอีโคโนมี รถแท็กซี่ประเภทเดิมจำนวนมากจะตายกันเป็นแถว ๆ เพราะแบบใหม่ปลอดภัยกว่า ทันใจ ไม่ต้องอารมณ์เสีย และได้รถแน่นอน (บางบริษัทเปิดช่องให้ผู้โดยสารเสนอราคาโดยสารเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยหากต้องไปในที่ ๆ รถติด ถ้าสู้ราคาแล้วรับรองมีรถแน่นอนแม้แต่เวลาฝนตก)

          ขณะนี้มีคนไทยและต่างชาติใช้บริการแท็กซี่แบบนี้กันมากขึ้น (ไม่ใช่ UBER ชนิดที่ใช้รถส่วนตัวมาวิ่งแท็กซี่) คนขับแท็กซี่ทั่วไปที่สมัครเข้าร่วมโครงการและอยู่ในเครือข่ายก็สามารถเลือกรับ ผู้โดยสารผ่านสมาร์ทโฟนแบบนี้พร้อมกับวิ่งรอกแบบธรรมดาไปด้วยได้

          เคยถามคนขับเรื่องจ่ายเพิ่ม 25 บาท เขาบอกว่าเขาได้ 18 บาท โดยต้องจ่ายให้บริษัท 7 บาทต่อเที่ยวโดยโอนเงินกันทางธนาคาร และเขาชอบเพราะมีทางเลือกในการรับผู้โดยสารมากขึ้น

          ไม่เคยเขียนคอลัมน์เรียกร้องลักษณะนี้บ่อยนัก แต่ได้มาถึงจุดที่ทนไม่ไหวเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ “การขูดรีด” “การไร้กฎเกณฑ์” (คนขับแท็กซี่ใส่รองเท้าแตะ นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่หมวกแก๊ปสกปรก ใส่เสื้อยืด ก็ยังมีเห็นอยู่มาก) ปรากฏการณ์ที่กล่าวถึงนี้กำลังบั่นทอนการท่องเที่ยวไทย ความสะดวกของคนไทยอย่างไม่มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบจริงจัง และไม่เป็นธรรมกับคนขับแท็กซี่ดี ๆ

          เราอยู่ในยุคที่ ‘แก้ไขได้ง่าย’ ไม่ใช่หรือครับ ขึ้นค่าแท็กซี่ให้แล้วยังจะทำตัวเหมือนเดิมอยู่อีกหรือ และไอ้พวก ‘ผู้ร้ายหนังไทย’ หน้าศูนย์การค้าที่ขูดรีดต่างชาติอยู่นั้น ลากมันไป ‘อบรม’ เสียหน่อยจะดีไหม

10 ทางโน้มของโลกสำหรับปี 2015

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27
มกราคม 2558

Photo by Evangeline Shaw on Unsplash

          ช่องว่างคนรวยคนจน การว่างงาน การแย่งชิงน้ำ อากาศผันผวน ความอ่อนแอของประชาธิปไตย ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนในระดับโลก ในการประชุมเมื่อเร็ว ๆ นี้ของ WEF (World Economic Forum) มีการเปิดเผยผลการสำรวจทางโน้มของโลกในปี 2015 ที่น่าสนใจยิ่ง

          WEF เป็นมูลนิธิของสวิสเซอร์แลนด์ที่ไม่มุ่งหวังกำไรโดยเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ให้โลกมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเป็นตัวกลางของการพบปะระหว่างผู้นำจากภาคธุรกิจ เทคโนโลยี การเมือง สังคม เศรษฐกิจ วิชาการ ฯลฯ จากทุกมุมโลกเพื่อร่วมกันหาคำตอบ

          การประชุมของ WEF ที่สำคัญที่สุดคือการประชุมประจำปีในหน้าหนาวที่เมือง Davos ซึ่งเป็นแหล่งเล่นสกีที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในเทือกภูเขาแอลป์ แต่ละปีผู้นำกว่า 2,500 คนไปร่วมประชุม (และหาโอกาสเล่นสกีกันไปด้วย ผู้เขียนยืนยันได้เพราะเห็นมาด้วยตาตนเอง)

          WEF ถูกวิจารณ์ว่าเป็นแหล่งสำคัญของการเพาะเชื้อทุนนิยมโลกอย่างเป็นอันตรายแก่โลก ทุกปีในตอนต้นปีจะมีการประชุมภายใต้หัวข้อใหญ่ประมาณ 5 วัน มีการนำเสนอการศึกษาการวิจัย อภิปราย ประชุมถกแถลงใหญ่และย่อยจำนวนมากมายในหลายสถานที่ของเมือง

          กลุ่มคนที่เรียกว่า Global Agenda Council Members ของ WEF ร่วมกันใช้ความรู้และประสบการณ์ชี้ให้เห็นว่าอะไรเป็นทางโน้มสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อโลกใน 12-18 เดือนข้างหน้าโดยนำผลจากการสำรวจ Survey on the Global Agenda มาประกอบด้วย สำหรับปี 2015 นี้ 10 ทางโน้มของโลกมีดังต่อไปนี้

          (1) สถานการณ์เลวลงของความเหลื่อมล้ำของรายได้ ผู้เชี่ยวชาญให้เป็นทางโน้มที่สำคัญที่สุดเนื่องจากมีผลกระทบอย่างกว้างไกล ถึงแม้ว่าในหลายสังคมในโลกจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (รายได้รวมของคนทั้งประเทศขยายตัว) อยู่ในระดับน่าพอใจ แต่ช่วงห่างระหว่างคนรวยและคนจนก็ถ่างมากยิ่งขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้นำไปสู่ปัญหาความยากจนอย่างยิ่งของคนบางกลุ่ม ความรุนแรง ปัญหาการเมือง ปัญหาสังคม ฯลฯ ได้อีกมากมายและอย่างซับซ้อนมากขึ้น

          ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา หากเอาคนรวยและคนจนในประเทศมาเรียงกันลงมาก็จะพบว่าบ่อยครั้งที่ส่วนครึ่งล่างรวมกันเป็นเจ้าของความมั่งคั่งเพียงร้อยละ 10 ของทั้งประเทศ

          ข้อมูลของประเทศพัฒนาแล้วเช่นออสเตรเลีย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สิงคโปร์ สเปน สวีเดน และสหรัฐอเมริกา ปรากฏชัดเจนว่าคนรวยสุด 1 เปอร์เซ็นต์มีสัดส่วนของความเป็นเจ้าของรายได้รวมของประเทศมากยิ่งขึ้นระหว่างปี 1980 และค่าเฉลี่ยของปี 2008-2012

          สหรัฐอเมริกามีช่องห่างที่เพิ่มมากขึ้นที่สุดจาก 8 เปอร์เซ็นต์เป็น 18 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นจาก 7 เปอร์เซ็นต์เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ

          ทวีปที่จะถูกผลกระทบมากที่สุดจากทางโน้มของความเหลื่อมล้ำดังกล่าวคือเอเชีย รองลงมาคืออเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง อาฟริกา และยุโรป

          (2) การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานอย่างไม่รู้จบสิ้น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วโดยทักษะและความรู้ของคนมิได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างทัดเทียมกันเป็นสาเหตุสำคัญของทางโน้มนี้ ประเทศของเรายังไม่ถูกกระทบรุนแรงนัก แต่ในประเทศอื่นปัญหานี้เข้มข้นมากขึ้น สำหรับคำถามในการสำรวจว่า ‘การมีงานทำเป็นปัญหาใหญ่เพียงไรในประเทศของท่าน’ ทวีปอาฟริกาเห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่มากที่สุด 88 เปอร์เซ็นต์ / อเมริกาใต้ 79 / ตะวันออกกลาง 70 / ยุโรป 71 / อเมริกาเหนือ 54 / เอเชีย 62

          (3) การขาดผู้นำของโลก 86 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบคำถามจากการสำรวจระบุว่าโลกประสบวิกฤตขาดผู้นำ เหตุผลก็มาจากการเห็นว่าประเทศใหญ่ในโลกไม่สามารถแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกได้สำเร็จเลย เช่น ปัญหาโลกร้อน ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ปัญหาความรุนแรง ปัญหาการก่อการร้าย ฯลฯ
คนตะวันออกกลาง (41 เปอร์เซ็นต์) เห็นว่าโลกมีวิกฤตขาดผู้นำรุนแรงที่สุด อเมริกาเหนือ (35) ยุโรป (30) อเมริกาใต้และอาฟริกา (27) และเอเชีย (22)

          (4) การแข่งขันภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้น เมื่อสงครามเย็นจบสิ้นลงก็เชื่อกันว่าการแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างมหาอำนาจได้จบสิ้นลงแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่เป็นความจริง ในปัจจุบันจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรปคือมหาอำนาจ อำนาจทางเศรษฐกิจและทางทหารของจีนเป็นที่ครั่นคร้ามของโลกตะวันตก การต่อสู้สงครามตัวแทนปรากฏชัดในหลายพื้นที่ ทางโน้มของการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นเช่นว่านี้จะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์จำนวนมากในโลก

          (5) การอ่อนแอมากขึ้นของประชาธิปไตย มีหลายประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยไม่ทำงานอย่างทำให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประชาชนจนหันไปยอมรับรูปแบบการปกครองอย่างอื่นมากขึ้น การประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจของจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฯ เมื่อเปรียบเทียบกับไทย กัมพูชา บังคลาเทศ ปากีสถาน อินเดีย ฯ ซึ่งมี “ประชาธิปไตยจ๋า” มีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อประชาธิปไตย ตราบที่เรื่องปากท้องของประชาชนเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่าคุณค่าทางนามธรรมของประชาธิปไตย ทางโน้มนี้จะคงอยู่ใน 12-18 เดือนข้างหน้า

          (6) การเพิ่มขึ้นของมลภาวะในประเทศกำลังพัฒนา คนเอเชียเห็นว่าทางโน้มนี้มีความสำคัญในอันดับ 3 จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซมากที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา ตามติดด้วยสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป คุณภาพชีวิตของคนในประเทศเหล่านี้ลดต่ำลงเพราะมลภาวะเป็นตัวละครสำคัญ
มลภาวะในอากาศในจีนทำให้คนตายเร็วกว่าที่ควรประมาณ 1-2 ล้านคนในปี 2010 ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วเป็นจำนวนปีแห่งการสูญเสียชีวิตของผู้ที่ควรอยู่อย่างมีสุขภาพดีถึง 25 ล้านปี

          (7) ความผันผวนสุดโต่งของสภาวะอากาศ climate change เป็นสาเหตุแห่งการ ผันผวนอย่างมากของสภาพอากาศ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมอย่างเฉียบพลัน การเกิดของโรคใหม่ ผลเสียต่อการผลิตสินค้าเกษตร ความเดือดร้อนแสนสาหัสของประชาชนในหลายประเทศ ฯลฯ การเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบจาก climate change มากขึ้น แต่กระนั้นก็ตามโลกยังไม่สามารถจัดการกับสภาวการณ์นี้ได้อย่างเห็นผล

          (8) ความเข้มข้นขึ้นของความเป็นชาตินิยม ปรากฏการณ์ของความพยายามแยกตัวเป็นประเทศใหม่ในหลายดินแดน เช่น สก๊อตแลนด์ สเปน คานาดา ยูเครน ฯลฯ คือหลักฐานของทางโน้มนี้ การลงประชามติของสก๊อตแลนด์ในการแยกตัวออกจากสหราชอาณาจักรกระตุ้นให้เกิดความคิดเดียวกันในประเทศอื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสังคม การขาดความสามัคคี ความไม่ลงรอยในชาติ และอาจเป็นปัญหาข้ามไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ ได้

          (9) การขาดแคลนน้ำยิ่งขึ้น อินเดีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย และไนจีเรีย ซึ่งล้วนมีประชากรขนาดใหญ่จะถูกกระทบมากที่สุดจากการขาดแคลนน้ำซึ่งทวีปที่ถูกกระทบมากที่สุดจากทางโน้มนี้อันเป็นผลจากการขาดแคลนทรัพยากรน้ำโดยตรงคือเอเชีย ส่วนทวีปอาฟริกานั้นถูกกระทบมากสุดเช่นกัน แต่จากการขาดแคลนทรัพยากรการเงินเพื่อนำน้ำมาใช้

          (10) ความสำคัญยิ่งขึ้นของบทบาทสุขภาพในระบบเศรษฐกิจ เมื่อมนุษย์โดยทั่วไปมีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น มีข่าวสารมากขึ้น กอบกับเกิดความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงเกิดความสนใจในเรื่องสุขภาพของตนเองยิ่งขึ้น ทางโน้มของโลกที่ทั้งภาครัฐและประชาชนให้แก่เรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่ตามมา และมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

          การรู้ความเป็นไปได้ของทางโน้มของโลกในรอบปีหน้า อุปมาเสมือนกับคนรู้เลขหวยล๊อกล่วงหน้าย่อมตัดสินใจในการเล่นหวย และมีโอกาสรวยได้มากกว่าคนอื่น ๆ

ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
20
มกราคม 2558

Photo by Szabo Viktor on Unsplash

          “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่ คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า

          หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น

          ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือคุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อน ๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้

          “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา

          คุณหมอบอกว่า “…สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น… แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ…. …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่าจะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…”

          ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี

          เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้นร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth

          Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด

          ปัญหาก็คือเมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อย ๆ สรุปง่าย ๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

          ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อก ๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

          ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้ (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

          (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth

          Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อก ๆ เพราะหิว คุณจะค่อย ๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

          (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆนั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อย ๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

          นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง

          หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ (1) รอให้ท้องร้องจ๊อก ๆ บ่อย ๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ…….”

          นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเตอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

          คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

          คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบา ๆ ก่อนอาหารเย็น

          การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ

          “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เป็นหนังสือน่าอ่านที่ให้แง่มุมที่ชวนคิดสำหรับสุขภาพอย่างยิ่ง ปีใหม่นี้เราจะไม่ให้อะไรเป็นของขวัญแก่ร่างกายของเราบ้างหรือครับ เราจะทำอย่างเดิม ๆ ดังที่เคยทำมาตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ

Selfie ลวงตาให้เสียเงินและเจ็บตัว

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
13
มกราคม 2558

Photo by Cristina Zaragoza on Unsplash

         มนุษย์โดยทั่วไปชอบดูภาพถ่ายของตนเองอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน ตั้งแต่ยุคภาพวาดในสมัยโบราณ ตามมาด้วยยุคล้างฟิลม์ก่อนอัดภาพ จนถึงยุคภาพ ‘ทันด่วน’ ของดิจิตอล เมื่อ สมาร์ทโฟนมีกล้องถ่ายรูปด้วยและสามารถถ่ายภาพตนเองได้อีกทั้งสามารถแพร่หลายผ่าน Social media ได้อย่างกว้างขวางและทันที ปรากฏการณ์มหัศจรรย์คือความบ้าคลั่ง Selfie ก็บังเกิดขึ้นจนเป็นปัญหาน่าตกใจ

         มนุษย์อยากเห็นหน้าตาตนเองมาแต่ดึกดำบรรพ์ สิ่งที่ทำให้มนุษย์เห็นหน้าตนเองเป็นครั้งแรกก็คือหินขัดซึ่งมีกำเนิดจากหินภูเขาไฟเมื่อ 8,000 ปีก่อนโดยมีหลักฐานการพบใน Anatolia หรือบริเวณประเทศตุรกีในปัจจุบัน

         ต่อมาอีก 2,000 ปี มนุษย์ใช้ทองแดงขัดเงาเป็นกระจกส่อง และในสมัยอียิปต์โบราณเมื่อ 5,000 ปีก่อนก็ยังคงใช้โลหะขัดเงาเช่นเดียวกัน สำหรับกระจกชนิดที่ฉาบด้วยโลหะคล้ายกระจกปัจจุบันเพิ่งใช้กันเมื่อ 2,000 ปีก่อนมานี้เอง ชาวโรมันพบเทคนิคในการฉาบกระจกด้วยตะกั่วให้เป็นกระจก ส่วนจีนรู้จักใช้เงินและปรอทฉาบกระจกเมื่อ

         1,500 ปีก่อน และสืบทอดต่อมาจนเป็นกระจกในปัจจุบันด้วยการผลิตในลักษณะเดียวกัน ในสมัยอยุธยากระจกเป็นสิ่งมีค่า มีการนำกระจกเข้าจากต่างประเทศโดยให้เป็นของขวัญที่มีค่าเพราะหายาก

         คำว่า Selfie เกิดขึ้นในปี 2002 โดยปรากฏเป็นครั้งแรกในข้อความ on-line ของคนออสเตรเลียชิ้นหนึ่ง และหลังจากนั้นมาก็มีการใช้กันมากขึ้นเป็นลำดับเพราะสะดวกสำหรับการเรียกรูปถ่ายตัวเองจากสมาร์ทโฟน

         ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลียนั้นมีหลายคำชอบลงท้ายด้วย ie (สระอี) เช่น Aussie (คนออสเตรเลีย) footie (หมายถึงออสเตรเลียนฟุตบอล) barbie (หมายถึง barbecue) tinnie (เบียร์กระป๋อง) firie (พนักงานดับเพลิง) dunnie (ห้องน้ำ) ฯลฯ selfie มีรากมาจาก self และบอกด้วย ie ตามสไตล์ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย

         นับตั้งแต่ต้นปีใหม่เป็นต้นมาเราได้รับทราบข่าวคราวอุบัติเหตุอันเกิดจาก Selfie หลายรายอย่างน่าสลดใจเพราะความพลั้งเผลอสนุกกับ Selfie ปรากฏการณ์ Selfie เกิดขึ้นทั่วโลกและระบาดอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในยุคที่มีเครื่องมือทันใจ เช่น Facebook / Instagram / Line ฯลฯ บวกความชอบดูรูปตนเองจนอาจเลยไปเป็นความหลงใหลตัวเอง (narcissism) ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีในเชิงจิตวิทยา

         การหลงใหลตัวเองนำไปสู่ความเชื่อและการเข้าใจโลกที่บิดเบี้ยวผิดไปจากความเป็นจริง (delusion) และเมื่อไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย นอกไปจากนี้การหลงใหลตัวเองทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองเกินความพอดีและการยึดมั่นถือมั่นในตนเองนั้น พุทธมามกะทั้งหลายย่อมทราบดีว่าเป็นรากแห่งนานาปัญหา

         ผู้บริหาร British Association of Aesthetic Plastic Surgeons เปิดเผยว่ามีผู้ต้องการผ่าตัดเสริมความงามจำนวนมากขึ้นที่นำเอาเรื่องของ Selfie เข้ามาในการปรึกษาหารือ งานวิจัยพบว่าความกังวลมากที่สุดของคนเหล่านี้ก็คือจมูก โดยเกรงว่าเมื่อยิ้มหรือหัวเราะแล้วจมูกจะดูไม่สวย หรือปลายจมูกจะไม่เรียวงาม

         ในอังกฤษระหว่างปี 2012 ถึง 2014 มีการผ่าตัดเสริมความงามจมูกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จนกลายเป็นอันดับ 5 ของการผ่าตัดเสริมความงามที่หญิงและชายนิยมมากที่สุด ส่วนการผ่าตัดเกี่ยวกับหน้า เช่น เปลือกตา ใบหู หน้าผาก ฯลฯ ก็อยู่ในความนิยมในสิบอันดับแรกเช่นกัน

         สถิติการผ่าตัดเสริมความงามหญิงและชายในปี 2013 ของอังกฤษ มีดังนี้ (1) เสริมหน้าอก 11,135 ราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13) (2) เปลือกตา 7,808 ราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14) (3) ดึงหน้าและหนังคอ 6,380 ราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13) (4) ลดขนาดหน้าอก 5,476 ราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5) (5) ผ่าตัดจมูก 4,878 ราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 17)

         ข้อสังเกตก็คือทั้ง 5 อันดับแรกล้วนเกี่ยวพันกับหน้าตาซึ่งปรากฏใน Selfie เป็นสำคัญ ข้อมูลนี้อาจสร้างความแปลกใจว่าคนอังกฤษก็ “ทำจมูก” ซึ่งโด่งอยู่แล้วด้วยหรือ คำตอบก็คือตัวเลขอาจรวมคนชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ และไม่มีความพอใจกับอวัยวะของตนเองนั้นไม่มีพรมแดนของเชื้อชาติ

         ทางโน้มของการผ่าตัดเสริมความงามเพื่อ Selfie ของโลกตะวันตกดูจะเป็นจริงเมื่อเทียบเคียงกับสถิติของ American Academy of Facial Plastic and Reconstructive Surgery (ซึ่งมีสมาชิกอยู่ 2,700 คน) ว่า 1 ใน 3 ของแพทย์เหล่านี้พบว่ามีการผ่าตัดเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากความต้องการให้ดูดีขึ้นใน Social Media

         มีสถิติจากแพทย์เหล่านี้ว่ามีการ “ทำจมูก” เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในปี 2013 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า “ปลูกผม” เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 และ “ทำเปลือกตา” เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ทั้งหมดนี้ก็หนีไม่พ้นประเด็น Selfie

         การห่วงความงามใน Selfie อาจทำให้เสียเงินเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และอาจทำให้หน้าตาเละเทะก็เป็นได้เนื่องจากภาพตนเองที่เห็นในสมาร์ทโฟนเป็นภาพที่บิดเบือนจากความเป็นจริง เนื่องจากเทคโนโลยีโดยทั่วไปต่ำกว่ากล้องถ่ายรูปจนทำให้เกิดความไม่พอใจเมื่อเห็นภาพตนเองและนำไปสู่การเจ็บตัวและเสียเงินทั้ง ๆ ที่ตนเองมีความงามอยู่แล้ว

         ถ้าไม่หลุดพ้นจากความบ้าคลั่ง Selfie และยึดถือ Selfie เป็นสรณะแล้ว ตัวเองก็จะไม่สามารถเห็นความงามที่แท้จริงของตนเองได้เลย

         ถ้าไม่ตระหนักว่าตนเองใส่แว่นตาสีเขียวอยู่ ก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าโลกที่ตนมองเห็นนั้นเป็นภาพบิดเบือน และถ้าไม่รู้ว่าตนเองวนเวียนอยู่ในโลภะ โทสะ และโมหะแล้ว ก็จะไม่มีทางหลุดพ้นจากรากเหง้าของความชั่วได้เลย

คำอวยพรปีใหม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6
มกราคม 2558

Photo by Sincerely Media on Unsplash

          ปี 2558 เป็นปีอันเป็นมงคลยิ่งของพสกนิกร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา ในวาระอันประเสริฐนี้ผมขออาราธนาพระบารมีแห่งพระองค์ท่านอันเป็นที่เคารพเทิดทูนยิ่งได้โปรดอภิบาลและประทานพรท่านผู้อ่านทุกท่านในวาระปีใหม่ 2558 นี้

          เด็กประมาณ 45,000 คน ใน 33 จังหวัด ได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีก็ด้วยพระบารมีของพระองค์ท่านภายใต้มูลนิธิสงเคราะห์เด็กยากจน ซี.ซี.เอฟ.ฯ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผมและเพื่อน ๆ ที่ทำงานรับผิดชอบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้

          วันปีใหม่ที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นสติ๊กเกอร์และคำอวยพรในโลกอินเตอร์เน็ตครั้งใดที่ปรากฏตัวมากมายเช่นนี้มาก่อน วันนี้ขอคัดเลือกบางคำอวยพรดังต่อไปนี้มาเป็นอาหารสมองครับ

          คนที่มีความทุกข์ส่วนใหญ่เมื่อเห็นคนที่มีความสุขมักมีคำถามในใจว่า…..“ทำไมเขามีความสุขจังทั้ง ๆ ที่บ้านก็ไม่ได้รวย” “ทำไมเขามีความสุขจัง ทั้ง ๆ ที่หน้าตาก็ไม่สวย” “ทำไมเขามีความสุขจังทั้ง ๆ ที่เป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัย” “ทำไมเขามีความสุขจัง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีของดี ๆ กิน” ฯลฯ

          คำตอบก็คือ…..ความสุขไม่ได้เกิดจากความร่ำรวย รูปร่างหน้าตาดี หน้าที่การงานสูง การกินดีอยู่ดี ฯลฯ แต่ความสุขเกิดจากสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา เกิดจากความคิดจิตใจที่ดีงาม เกิดจากร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์

          คนที่มีความสุขจึงมักจะทำอะไรแตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้นหากอยากมีความสุขอย่างแท้จริงก็ต้องหันมาปรับเปลี่ยนตัวเอง และเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่คนมีความสุขทำอย่างสม่ำเสมอ (1) ให้อภัยและลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจ คนมีความสุขรู้ว่าการให้อภัยและลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีความสุข เพราะหากยังเก็บความรู้สึกแย่ ๆ ไว้ นั่นหมายถึงตัวเรายังรู้สึกไม่พอใจ โกรธ เสียใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นอารมณ์ไม่ดีที่ขัดขวางหนทางแห่งความสุข (2) มีความรักความเมตตา คนมีความสุขมักเป็นคนที่มีความรักความเมตตา เรียนรู้ที่จะรักตัวเองด้วยการทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับตัวเองเสมอ และเผื่อแผ่ความรักความเมตตาไปยังคนรอบข้าง ซึ่งไม่เพียงทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่ยังทำให้ตัวเองมีความสุขไปด้วย เพราะเมื่อแสดงความรักความเมตตาต่อผู้อื่น สมองจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา (3) เข้าใจผู้อื่น คนมีความสุขเข้าใจดีว่า คนเราล้วนมีทั้งสิ่งดีและไม่ดีในตัวเอง เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ดังนั้น จึงพยายามเข้าอกเข้าใจผู้อื่นให้มากขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายถึงความสุขที่เพิ่มขึ้นด้วย (4) มองปัญหาเป็นสิ่งท้าทาย คนมีความสุขรู้จักปรับเปลี่ยนทัศนคติ ว่าเมื่อใดก็ตามที่เจอปัญหาก็จะขจัดปัญหานั้น ๆ ออกจากใจจนหมดสิ้น และมองว่าปัญหาไม่ได้เป็นปัญหา แต่เป็นเรื่องท้าทาย หรือเป็นโอกาสใหม่ ๆ ที่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น (5) พอใจในสิ่งที่มี คนมีความสุขจะพึงพอใจสิ่งที่มีในชีวิต ทำให้มีอารมณ์ดี สามารถจัดการความเครียด และไปถึงเป้าหมาย ได้ดีกว่าคนที่ไม่พอใจในสิ่งที่มี ซึ่งต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง จนทำให้เกิดความทุกข์

          (6) พูดถึงผู้อื่นในแง่ดี คนมีความสุขไม่ชอบนินทาผู้อื่น เพราะเห็นว่าการนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และคนที่ชอบนินทาผู้อื่น มักไม่มีใครคบ ดังนั้น จึงมักจะพูดถึงคนอื่นในแง่ดีเสมอ (7) อยู่ท่ามกลางคนคิดบวก คนมีความสุขจะพาตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มคนที่มองโลกในแง่ดีและมีความสุข เพราะการอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ จะได้รับพลังด้านดีจากพวกเขามาโดยไม่รู้ตัว (8) ไม่เสียเวลากับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ คนที่มีความสุขไม่มัวหมกมุ่นเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะผ่านมาเป็นปี เป็นเดือน หรือแม้แต่แค่วันเดียว เพราะรู้จักปล่อยวางเรื่องกวนใจเล็กๆน้อยในแต่ละวันไว้ข้างหลัง การปล่อยวางมันได้ จะทำให้หลุดพ้นจากอารมณ์ด้านลบ และเปิดทางให้ความสุขเข้ามาแทนที่ (9) ไม่โทษใคร คนมีความสุขเต็มใจยอมรับเมื่อทำผิดพลาด และถือเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ เพื่อทำให้ดียิ่งขึ้นในครั้งหน้า ดีกว่าการกล่าวโทษผู้อื่นว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ล้มเหลว เนื่องจากการทำเช่นนั้น เท่ากับว่ายังจมปลักกับมันอยู่

          (10) ไม่เปรียบเทียบ คนมีความสุขรู้ว่าชีวิตของใครก็ของมัน แต่ละคนล้วนมีวิถีทางของตัวเอง ดังนั้น จึงไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แม้จะมองว่าตัวเองดีกว่าก็ตาม เพราะการกระทำเช่นนั้นไม่ได้ทำให้มีความสุข แต่กลับเป็นการบ่มเพาะนิสัยไม่ดีที่ชอบตัดสินผู้อื่นและคิดว่าตนเองเหนือกว่า (11) อยู่กับปัจจุบัน คนมีความสุขมีใจจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนั้น โดยหยุดคิดวนเวียนถึงเรื่องราวในอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะการรับรู้และกระทำในสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบันขณะมีความสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด (12) ทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ คนมีความสุขบ่อยครั้งมักทำตามฝันและเสียงเรียกร้องของหัวใจ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ใจปรารถนาอย่างแท้จริง การได้ลงมือทำสิ่งนั้น ๆ ย่อมนำความสุขมาให้อย่างมิต้องสงสัย (13) รับฟังความคิดเห็น คนมีความสุขรู้ว่า การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นมีข้อดีเช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นแล้ว บางครั้งมันยังทำให้ได้ไอเดียใหม่ ๆ หลายอย่างที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะช่วยต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองออกไปไม่รู้จบ (14) ถนอมความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง คนมีความสุขมักหาเวลาไปเยี่ยมเยียนหรือใช้เครื่องมือสื่อสารกับคนในครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีทางสังคมนั้น เป็นกุญแจไขไปสู่ความสุข (15) ซื่อสัตย์สุจริต คนมีความสุขตระหนักดีว่า ทุกครั้งที่โกหกหลอกลวงจะทำให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้น ซ้ำร้ายเมื่อมีคนจับได้ย่อมส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทั้งด้านส่วนตัวและสังคม ในทางตรงข้าม ความซื่อสัตย์สุจริตจะช่วยให้จิตใจสบาย ไม่หวาดผวา และได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้อื่น

          (16) ตื่นนอนเวลาเดิมทุกเช้า คนมีความสุขจะตื่นนอนเวลาเดิมทุกเช้า เพราะจะช่วยควบคุมนาฬิกาชีวิตให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ข้อสำคัญ คนมีความสุขรู้ว่า การตื่นนอนแต่เช้าเป็นหนึ่งในนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คน เพราะจะทำให้มีเวลาและสมาธิมากขึ้นในการทำงาน (17) กินถูกหลักโภชนาการ คนมีความสุขเลือกกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายและสมองให้อยู่ในภาวะที่พร้อมจะทำงาน และเข้าใจดีว่าอาหารที่กินแต่ละมื้อนั้น มีผลกระทบโดยตรงต่อระดับอารมณ์และพลังงานทั้งในระยะสั้นและยาว รวมถึงงดกินพวก Junk food หรืออาหารขยะที่ไม่มีประโยชน์และมีแนวโน้มก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง (18) ออกกำลังกาย คนมีความสุขไม่เคยมองว่า การออกกำลังกายมีไว้เพื่อลดน้ำหนัก ป้องกันโรค และทำให้ชีวิตยืนยาวเท่านั้น หากยังช่วยในเรื่องจิตใจ ทำให้มีความสุขมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่มีผลต่อสุขภาพที่ดี เพราะมันช่วยลดความเครียดและคลายอาการซึมเศร้าได้

          (19) ทำสมาธิ คนมีความสุขหาเวลาทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกสงบสุขภายใน มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การทำสมาธิสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่ช่วยทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้น (20) ยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คนมีความสุขรู้สัจธรรมว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ทั้งหมด การเรียนรู้และยอมรับความจริงที่ตนเองมิอาจไปเปลี่ยนแปลงได้นั้น ย่อมนำความทุกข์มาให้น้อยกว่า (จากนิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 151 กรกฎาคม 2556 โดยประกายรุ้ง)
สุดท้ายมี 3 ข้อความที่ชอบมากคือ (1) ความสบายใจไม่ได้เกิดากทำทุกสิ่งให้ได้ดังใจ แต่เกิดจากใจที่ยอมรับว่าไม่มีอะไรที่จะได้ดังใจเราไปทั้งหมด (2) สิ่งที่ย้อนไม่ได้ คือ เวลา สิ่งที่หนีไม่ได้ คือ ความตาย สิ่งที่ซื้อไม่ได้ คือ สุขภาพและชีวิต สิ่งที่มองไม่เห็น คือ ใจคน สิ่งที่ต้องอดทน คือ ใจตัวเอง (3) กำลังใจอาจหาได้จากคนรอบข้าง แต่ความเข้มแข็งเราต้องสร้างมันขึ้นเอง

ฮีโร่ชื่อซิกโก้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
30
ธันวาคม 2557

ที่มา https://news.thaipbs.or.th/content/261297

         เพื่อสนับสนุนบรรยากาศของความสบาย ๆ และความสุขในช่วงปีใหม่ ผมขอเขียนเรื่องเบา ๆ ที่มีความสุขและขออาราธนาพลานุภาพแห่งความดี ความงาม และความจริง ได้โปรดอภิบาลท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านครับ

          เรื่องหนึ่งแห่งความสุขใจช่วงปีใหม่สำหรับคนไทยก็คือความสำเร็จของทีมฟุตบอลไทยในการครองแชมป์ ASEAN Football Championship (AFF Championship) หรือที่เรียกกันว่าถ้วย AFC Suzuki (เดิมชื่อ Tiger Cup ตามชื่อเบียร์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเพราะได้สปอนเซอร์ใหม่) ที่มาเลเซียเมื่อเร็ว ๆ นี้อย่างตื่นเต้นยิ่ง

          ทำไมคนไทยจึงดีใจ ภูมิใจกับชัยชนะของกีฬาไม่ว่าแชมป์วอลเลย์บอลหญิงเอเชียเมื่อกลางปีนี้ (ตอนนี้ลืมหมดแล้ว) หรือชัยชนะของฟุตบอลไทย? คำตอบก็คือ 10 ปีที่ผ่านมาคนไทยแทบไม่พานพบสิ่งน่าชื่นชมเลย เรามีตั้งแต่ความไม่พอใจหลายรัฐบาลที่ปกครอง การประท้วงกัน ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสียชีวิตกันมากมายหลายครั้งหลายหนจนชินชา ปัญหาและการสูญเสียของชายแดนภาคใต้ น้ำท่วมมหาโหด ภาวะเศรษฐกิจที่เป็นปัญหา จนถึงภัยแล้งในปัจจุบัน และประการสำคัญที่สุดพระพลานามัยขององค์พระประมุข

          ข้อมูลเพิ่มเติมก็คือถ้วยนี้เราไม่ได้ครองมา 12 ปีแล้ว (หลังจากเป็นแชมป์ในปี 2002 แล้ว ต่อมาแชมป์ก็คือสิงคโปร์ติดกันสองครั้ง เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์อีกครั้ง) ส่วนเหรียญทองฟุตบอลซีเกมส์เราก็พลาดมา 2 ครั้งต่อเนื่องกันก็คือทีมมาเลเซีย (2009 และ 2011) เราเพิ่งได้เหรียญทองในปี 2013 หลังจากครองมาทุกครั้งตั้งแต่ปี 1993 จนถึง 2007

          เมื่อมีเรื่องชุ่มชื่นหัวใจโผล่ขึ้นมาก็ที่ต้องเฮกันบ้างเป็นธรรมดา และเมื่อพยายามมองหาฮีโร่ที่ไม่มีสีแล้ว ฮีโร่ด้านกีฬาจึงเกิดขึ้นและฮีโร่ที่เข้ามาอย่างเหมาะเจาะในปัจจุบันก็คือโค้ชทีม ชาติไทย เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือซิกโก้

          ทำไมตอนวอลเลย์บอลหญิงได้เป็นแชมป์เอเชียจึงไม่มีใครรู้จักชื่อโค้ชมากเท่าซิกโก้ รู้จักกันแค่ชื่อผู้เล่น แต่มาครั้งฟุตบอลกลับดังทั้งโค้ชและผู้เล่นหลายคน คำตอบก็คือประเพณีที่ติดมาจากฟุตบอลในระดับโลกที่ให้เกียรติโค้ชหรือบางแห่งเรียกว่าผู้จัดการเป็นพิเศษ เหมือนอเมริกันฟุตบอล บาสเกตบอล รักบี้ ฯลฯ

          ชัยชนะของไทยครั้งนี้ต้องยอมรับว่าซิกโก้มีบทบาทสำคัญ ในช่วงเวลาหนึ่งของยุคที่ผ่านมาเราใช้โค้ชต่างชาติซึ่งก็เป็นที่ชื่นชมกันอยู่พักหนึ่งจนคนไทยไม่มีโอกาสเป็นโค้ชทีมชาติไทยเลย เมื่อสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยยอมรับซิกโก้ให้เป็นโค้ช เขาก็ทำได้สำเร็จ ชนะติดต่อกันมาตลอด และได้แชมป์ซีเกมส์เมื่อครั้งที่ผ่านมาในปี 2013 หลังจากถูกมาเลเซียยึดไปครอง 2 ครั้ง ต่อเนื่องกัน

          ผมรู้จักซิกโก้เป็นการส่วนตัวมานานพอควร นับตั้งแต่เขารับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เมื่อหลายปีก่อน และเขาได้ช่วยงานของมหาวิทยาลัยอยู่เนือง ๆ จึงขออนุญาตเล่าจากมุมมองที่ผมเห็นเขาประกอบกับการเป็นนักดูกีฬาและพยายามเรียนรู้เรื่องการเป็นโค้ชกีฬาในต่างประเทศมานานพอควร

          หน้าที่ของโค้ชในประการแรกที่ผมเข้าใจก็คือการปลุกเร้า กระตุ้นให้ผู้เล่นมีพลังใจต่อสู้ระหว่างฝึกซ้อมและแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการแข่งขันและตอนพักครึ่งเวลา (ดังที่เรียกกันว่า pep talk) ตลอดจนการสื่อสารผ่านคำพูดและภาษากายตลอดช่วงการแข่งขัน

          อันนักกีฬานั้นถ้ายอมรับว่าตนเองจะแพ้อย่างแน่นอนในการแข่งขันแล้ว ก็อย่าลงไปเล่นให้เสียเวลาเลยเพราะย่อมแพ้แน่นอน ประเพณีไทยโบราณก่อนออกไปรบจะมีพิธีที่เรียกว่า “ตัดไม้ ข่มนาม” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะปลุกเร้าจิตใจผู้ออกไปรบให้ฮึกเหิม ในการชกมวยช่วงเวลาชั่งน้ำหนักและพบกันกลางเวทีก่อนชกนั้นนักกีฬาแต่ละคนจะพยายามข่มคู่ต่อสู้ให้ถอดใจดังที่เรียกว่า psych-out ด้วยสายตาหรืออากัปกิริยา

          ก่อนการแข่งขันรักบี้ของทีม All Blacks หรือทีมชาติ New Zealand ซึ่งมีชื่อเสียงระดับพระกาฬ นักกีฬาทั้งหมดจะใช้พิธีของนักรบก่อนออกศึกชาวเมาลีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเรียกว่า Haka มาเต้นข่มใจคู่ต่อสู้ ท่าเต้นขึงขัง ตาถลน แยกเขี้ยว กระทืบเท้า ดูน่าเกรงขามเพื่อข่มให้ คู่ต่อสู้หวาดหวั่น

          โค้ชต้องรู้จักใช้คำพูดเชิงจิตวิทยาให้ผู้เล่นมีใจฮึกเหิม ทั้งตอนมีแต้มนำและแต้มตาม (พระราชกระแสให้กำลังใจนักกีฬาตอนพักครึ่งคือปัจจัยสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด) หน้าที่นี้สำคัญมากสำหรับโค้ช

          หน้าที่อันที่สองก็คือการจัดการ ประสาน ควบคุม ดูแล กำกับ ให้นักกีฬามีวินัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งซูเปอร์สตาร์ (มักมีพฤติกรรมไม่เชื่อฟังเพราะรู้ว่าโค้ชต้องง้อ) ในการฝึกซ้อมจริงจังอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการเป็นผู้นำที่ทุ่มเทโดยมีการปกครองที่อยู่ในธรรมมีประสิทธิภาพ

          หน้าที่อันที่สามคือการมีฐานวิชาความรู้ในการสอน ในการวางแผนเล่นเพื่อชัยชนะและแก้เกมส์ เก็บข้อมูล สะสมข่าวสาร (จริงหรือลวงจากฝั่งคู่ต่อสู้) การมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาพความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจของผู้เล่นทุกคน (ระแวดระวังการมีผู้มาวอแวให้ล้มฟุตบอลด้วย)

          หน้าที่อันที่สี่คือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนดู ผู้บริหารสมาคม (หรือเจ้าของ) ผู้จัดการทีม สื่อ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากในวงการฟุตบอลไทยเพราะการเมืองทุกระดับเข้ามาเกี่ยวพันหากการจัดการทีมมีจุดอ่อน

          หน้าที่สุดท้ายคือตนเองต้องเข้าใจ ยอมรับและเตรียมพร้อมการขึ้นลงของชื่อเสียง กีฬามีแพ้และชนะได้เสมอ ไม่มีโค้ชใดบันดาลให้ชนะได้ทุกครั้ง จะต้องมีช่วงเวลาที่ตกต่ำและรู้จักจัดการจิตใจและพฤติกรรมของตนเองเพื่อให้คืนกลับมาสู่สถานะของผู้ชนะให้ได้

          ซิกโก้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ดี มิฉะนั้นทีมไม่สามารถชนะ ได้อย่างแน่นอน สิ่งสำคัญที่ซิกโก้มีก็คือบุคลิกอันอ่อนน้อม สุภาพ ให้เกียรติคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่สามารถจัดการความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ดีมาก

          คนเวียดนามรักใคร่ซิกโก้ ชื่อ “เกียรติศักดิ์” นั้นคนเวียดนามรู้จักแทบทั้งนั้นหลังจากไปเล่นฟุตบอลลีกที่นั่นอยู่ 2 ปี เขาเป็นที่รักของคนดูมิใช่เพราะยิ่งประตูได้มากแต่เพียงอย่างเดียว หากเขาแสดงความจริงใจ ความปรารถนาดีและมีความซื่อสัตย์ต่อคนดู (การตีลังกาเป็นลายเซ็น หรือเอกลักษณ์ของเขา)

          ว่าไปตามจริงแล้ว การเป็นโค้ชกีฬากับการเป็นพ่อเป็นแม่ และเป็นครูที่ดีนั้นไม่แตกต่างกันมากนักเพราะต้องปลุกเร้าเด็กให้มีกำลังใจที่เข้มแข็งด้วยความหวัง ลงมือฝึกฝนปฏิบัติอย่างจริงจัง และรักในสิ่งที่ทำและพัฒนาตนให้สอดคล้องกับความรักนั้น           ซิกโก้ยังมีเส้นทางที่ต้องเดินอีกยาวไกลก่อนที่จะเข้าไปนั่งในหัวใจของพวกเราอย่างถาวร แต่เท่าที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าได้ผ่านประตูหัวใจของพวกเราเข้ามาในระดับหนึ่งแล้ว ขอให้เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังพร้อมยึดมั่น ‘ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม’ ข้อความซึ่งจารึกไว้เหนือประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์