“ทานาคา” เผชิญศึก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 สิงหาคม 2557

          คนไทยน้อยคนนักที่มีเพื่อนอาเซียนทำงานบ้านให้แล้วไม่รู้จักทานาคาซึ่งเป็นผงแป้ง ทาหน้าซึ่งถูกละเลงบนใบหน้าจนถูกล้อว่าเหมือนแมวคราว ถึงแม้ว่าคนพม่าจะใช้ทานาคามายาวนานแต่ล่าสุดทานาคากำลังถูกไล่ล่าโดยเครื่องสำอางค์สมัยใหม่

          ทานาคาเป็นชื่อต้นไม้ที่คนพม่าตัดลำต้นสดเป็นท่อนขนาดมือกำได้มาฝนกับน้ำบนแท่นดินเผาจนกลายเป็นแป้งเหลว เอามาใช้ทาหน้าทาแขนหรือแม้แต่ทาทั่วตัว บางครั้งใช้เปลือกหรือแม้แต่รากของมัน

          ในพม่าหรือปัจจุบันมีชื่อทางการว่าเมียนมาร์ ไม่ว่าไปทางไหนจะพบเห็นผู้หญิงแก่และสาว เด็กหญิง หรือแม้แต่เด็กชายและชายหนุ่ม ทาหน้าด้วยทานาคากันอย่างภาคภูมิใจเพราะเชื่อว่าป้องกันเปลวแดดได้ดี สามารถป้องกันสิวฝ้า ทำให้ผิวผ่องเป็นนวล มีกลิ่นคล้ายไม้จันทน์ และทาแล้วรู้สึกเย็น

          คนพม่าใช้ทานาคากันเป็นกิจวัตร ทากันตั้งแต่เด็กยันแก่ เลียนแบบถ่ายทอดกันมาชั่วคนแล้วชั่วคนเล่า บทกวีเขียนโดยสนมคนหนึ่งของกษัตริย์ Razadarit ในศตวรรษที่ 14 หรือเมื่อ 700 ปีก่อน กล่าวถึงทานาคาเช่นเดียวกับเอกสารประวัติศาสตร์ในศตวรรษต่อมา

          คนพม่าใช้ทานาคากันมายาวนานจนเป็นนิสัยประจำชาติ ทานาคาดูจะเป็นที่นิยมอย่างมากเป็นพิเศษในบริเวณเมือง Mandalay ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของย่างกุ้ง และเป็นเมืองหลวงสุดท้ายที่สร้างเมื่อ ค.ศ. 1857 ก่อนสูญเสียอิสรภาพให้อังกฤษ

          คนในแถบนี้มีทานาคาซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพันธุ์ที่ดีที่สุด (ต้นไม้หลายชนิดในสกุลเดียวกันสามารถนำมาใช้ได้) ที่นิยมกันมากที่สุดคือ Shwebo Thanaka จากเมือง Sagaing ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ อิระวดี และเชื่อกันว่าเป็นแหล่งพำนักใหญ่ของชาวอยุธยา (คนพม่าเรียกว่าโยเดีย) ที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งเสียกรุง พ.ศ. 2310

          ทานาคาเป็นไม้ยืนต้น เติบโตได้ดีในบริเวณอากาศร้อนแห้งแต่ก็โตช้า หากจะ ให้ได้ครีมชั้นดีต้นไม้ต้องมีอายุอย่างน้อย 35 ปี หรืออย่างเลวสุดก็ 20 ปีขึ้นไป เราจะเห็นการขายท่อนทานาคาในตลาดพร้อมกับแท่นดินเผาอยู่ทั่วไปในบริเวณเมือง Mandalay

          ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทานาคาในปัจจุบันก็คือหลังจากพม่าเปิดประเทศอย่างจริงจังได้ประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา เครื่องสำอาค์สมัยใหม่จากต่างประเทศก็ทะลักเข้าประเทศ พร้อมกับป้ายโฆษณาความสวยแบบสมัยใหม่ที่ใช้สารพัดเครื่องสำอางค์

          ที่เป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมของการใช้ทานาคาก็คือการพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเฉพาะหญิงบ้านนอกเท่านั้นที่เขาใช้ทานาคากัน หญิงสมัยใหม่ที่ทันสมัยเขาหันมาใช้เครื่องสำอางค์สมัยใหม่กันแล้ว

          อย่างไรก็ดีมีผู้ผลิตทานาคาสมัยใหม่ออกมาสู้เพื่อความสะดวกและเพื่อลด ‘ความเป็น บ้านนอก’ ด้วยการผลิตครีมทานาคาในหลอดหรือเป็นกะปุกโดยตั้งใจเอาใจผู้คุ้นเคยทานาคาและรักความเป็นสมัยใหม่ด้วย (การนั่งฝนท่อนทานาคากับแท่นดินเผาทุกเช้าไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนทันสมัย) และก็ได้รับความนิยมไม่น้อย (ผู้เขียนเคยอ่านตัวหนังสืออังกฤษบนหลอดครีมทานาคาและพบว่าผลิตที่บางกะปิใกล้บ้านผู้เขียน จึงรู้สึกตื่นเต้นน้อยลงเป็นอันมาก)

          ข่าวร้ายของผู้ใช้ทานาคาปรากฏในสื่อต่างประเทศว่า ในปี 2013 มีเด็กก่อนวัยเรียนสองคนในเมืองแคนซัสซิตี้ มิสซูรี่ (ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ติดกันแต่เล็กกว่าโดยอยู่ในฝั่งรัฐแคนซัส คือ แคนซิสซิตี้ แคนซัส) ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ของกลุ่มพม่าอพยพในสหรัฐอเมริกามีสารตะกั่วในร่างกายในระดับอันตราย (อาจทำลายสมองหรือระบบประสาทจนเป็นคนพิการได้ในระยะยาว) ซึ่งหลังจากการตรวจสอบแล้วเชื่อว่ามาจากผงทานาคาที่บ้านของเด็กทั้งสอง ผู้พิสูจน์เชื่อว่าตะกั่วอาจมาจากอุปกรณ์หรือภาชนะที่ใช้ฝนท่อนทานาคาก็เป็นได้

          ก่อนหน้านี้ในปี 2012 ทางการออสเตรเลียในเมืองซิดนีย์ที่มีคนพม่าอพยพอยู่เป็นจำนวนมากก็เตือนให้ระวังเครื่องสำอางค์ทานาคา เพราะพบว่าในครีมหรือผงนั้นมีสารโลหะหนักมากอยู่เป็นพิเศษ

          ไม่มีใครรู้ว่าข่าวนี้ถูกประโคมโดยสื่อต่างประเทศเพื่อห้ำหั่นการใช้ทานาคาเพื่อให้หันมาใช้เครื่องสำอางค์สมัยใหม่หรือไม่ แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม สาวพม่าก็ยังคงใช้ทานาคาทาหน้ากันเหมือนเดิมอย่างไม่หวั่นไหว ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าทานาคา มีคุณภาพรักษาผิวตามที่เชื่อกันมายาวนานก็ตาม

          ถ้าทานาคาไม่ดีจริง คนพม่าคงไม่ใช้กันมาได้ยาวนานขนาดนี้ และคนไทยก็เห็นผลแล้วว่าคนพม่ามีผิวงามจริง หลักฐานการใช้เช่นนี้พิสูจน์ตัวของมันเองได้พอควรโดยมิพักต้องรอวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ แต่มั่นใจได้ว่าไม่ว่าผลพิสูจน์จะออกมาอย่างไร คนพม่าก็จะยังคงใช้ทานาคาอยู่เช่นเดิมด้วยความเคยชิน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเขา

          การใช้ทานาคาเป็นวัฒนธรรมที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์ของคนพม่า ซึ่งเราน่าจะช่วยกันเชียร์ให้มีชัยชนะเหนือเครื่องสำอางค์สมัยใหม่ได้ในระดับหนึ่ง คำถามที่น่าสงสัยก็คือเราก็อยู่ติดกับพม่ามานานเหยียบพันปีด้วยพรมแดนยาว 1,450 กิโลเมตรในปัจจุบัน แต่เหตุไฉนเราจึงเพิ่งรู้จักทานาคากันเมื่อ ไม่นานมานี้เอง

ชีวิตหดหู่เพราะหาของฟรีไม่ได้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 สิงหาคม 2557

          ถ้าใครบอกว่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีต้นทุน เราคงไม่เชื่อเพราะมันหมายความว่าไม่มีอะไรที่ฟรีเลย โลกเช่นนี้ไม่น่าหรรษา อย่างไรก็ดีความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างชัดคมยิ่งขึ้น

          ในเบื้องต้นเราต้องการสินค้าต่าง ๆ มาบริโภค ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยารักษาโรค และสิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ตลอดจนสารพัดบริการ เช่น บริการทนายความ งานสอนของครู เช่าบ้าน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มิได้ลอยมาจากฟ้า แต่เกิดจากผลิตโดยเอาวัตถุดิบต่าง ๆ มาผสมกับเทคโนโลยีและการจัดการ

          วัตถุดิบเหล่านี้ได้มาจากการจ่ายเงินซื้อมา ดังนั้นสินค้าจึงไม่ได้เกิดขึ้นฟรี ๆ อย่างแน่นอน บางคนอาจบอกว่าวัตถุดิบบางอย่างได้มาฟรี เช่น เก็บผักบุ้งจากธรรมชาติ ดังนั้นจึงฟรีโดยไม่ต้องจ่ายตังค์

          พูดอย่างนี้ก็จริงอยู่ แต่คำว่าฟรีในที่นี้กินความกว้างขวางกว่านั้น กล่าวคือเราไม่ได้ ขีดวงกันอยู่เฉพาะแต่เรื่องเงินออกจากกระเป๋า มิได้หมายความว่าถ้าไม่ต้องควักเงินออกมาเพื่อแลกกับของแล้วแสดงว่าฟรี

          ยกตัวอย่างเช่นเราเก็บผักบุ้งที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ในประการแรกเราต้องเสียเวลาในการเก็บ ซึ่งเวลาเหล่านี้เราอาจเอาไปทำอย่างอื่นได้ เช่น พักผ่อน ไปเที่ยว ทำกับข้าว ดังนั้นเราจึงไม่ได้ผักบุ้งมาฟรีเพราะมีค่าเสียโอกาสจากการไม่ได้ไปทำอย่างอื่น นอกจากนี้เมื่อเราเก็บผักบุ้งมาคนอื่นก็ไม่ได้เก็บ โอกาสที่เสียไปคือการบริโภคของคนอื่น และถ้าเราเก็บมาแล้วไม่บริโภค ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ผักบุ้งนี้ก็จะมีต้นทุนสูงขึ้นเพราะมันเสียโอกาสที่จะเป็นอาหารของคนอื่นที่เขาต้องการมากกว่าเรา หรือเสียโอกาสที่คนอื่นจะเอาไปทำให้มันมีมูลค่ามากยิ่งขึ้น

          พูดง่าย ๆ ก็คือของที่มันไม่ฟรีก็เพราะมีค่าเสียโอกาสแอบแฝงอยู่ตลอดเวลาถ้าเราตระหนักถึงลักษณะธรรมชาติของการไม่ฟรีเช่นนี้ เราก็จะสามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ถ้าเราเอาเงินสักหนึ่งแสนบาทไปลงทุนอะไรก็ตาม บางคนอาจคิดว่าเป็นการลงทุนที่ฟรีเพราะเป็นเงินของเราเองไม่ได้กู้ใครมาให้เสียดอกเบี้ย แต่อย่าลืมว่าเมื่อเงินหนึ่งแสนบาทนี้นอนอยู่ในธนาคารเฉย ๆ นั้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 3 ต่อปี เราก็ได้ดอกเบี้ยปีละ 3 พันบาท เมื่อเราเบิกมาลงทุน ต่อนี้ไปเราก็ไม่ได้ 3 พันบาทนี้แล้ว นี่คือค่าเสียโอกาสของเงินลงทุนหนึ่งแสนบาทของเรา

          ขนาดเราเอาเงินของเราเองมาลงทุนยังมีต้นทุน แล้วการลงทุนของคนอื่นที่ต้องกู้ยืมธนาคารจะมีต้นทุนขนาดไหน ผู้ประกอบการเขาก็ต้องเอาต้นทุนที่เขาเสียไปทั้งหมดมาคิดคำนวณด้วยเพื่อคิดราคากับเราอย่างแน่นอน ดังนั้นโดยแท้จริงแล้วการซื้อแบบผ่อนส่งชนิดที่ดอกเบี้ยเป็นศูนย์ดังที่มีการโฆษณากันจึงไม่เป็นความจริง

          ถ้าเขาบอกว่าโทรทัศน์โฮมเธียเตอร์ผ่อนงวดละ 10,000 บาท รวม 10 งวด ครบ 100,000 บาทพอดีไม่คิดดอกเบี้ยเลยสักบาท ความชื่นชมในการใจดีของผู้ขายคนนี้จะหมดไปหากเราลองไปตรวจสอบราคาสินค้าชิ้นเดียวกันที่ร้านอื่นก็อาจพบว่าถ้าซื้อเงินสดก็จะมีราคาเพียง 90,000 บาท แล้วอย่างนี้ดอกเบี้ยจะเป็นศูนย์ได้อย่างไร

          ในชีวิตจริง มนุษย์ต้องเผชิญการเลือกอยู่ตลอดเวลา และทุกการเลือกมีค่าเสียโอกาสเกิดขึ้นเสมอ ตัวอย่างเช่น เลือกคนที่มาสมัครทำงาน ถ้าเลือกคนผิดมาทำงานโดยปฏิเสธคนเก่งและดีอีกคนที่มาสมัครด้วยค่าเสียโอกาสของเราก็จะสูงมาก เช่นเดียวกับการเลือกคู่ ถ้าเลือกคนผิดแทนที่จะเลือกคนอื่นที่ “ดี” กว่าก็จะมีต้นทุนหรือค่าเสียโอกาสในการตัดสินสูงเช่นเดียวกัน (ถึงแม้เลือกคนถูกก็ยังมีค่าเสียโอกาสอยู่ดีเพราะความเป็นโสดนั้นมีความหอมหวานอยู่มาก)

          “ชีวิตเป็นเรื่องของการเลือก” (life is about choices) เป็นวลีติดปากนักเศรษฐศาสตร์ที่เตือนให้ผู้คนตระหนักว่ามนุษย์ต้องตัดสินใจเลือกอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่เลือกว่าจะทำอะไรตอนรู้ตัวในที่นอนตอนเช้า ว่าจะเลือกใช้เวลาตอนเช้าออกกำลังกายหรือนอนต่อ เวลาของวันนั้นเลือกใช้ทำอะไร โดยทุกการเลือกมีค่าเสียโอกาส (ถ้าอยู่บ้านไม่ไปทำงาน ค่าเสียโอกาสก็คืองานที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำ ถ้าไปทำงานค่าเสียโอกาสก็คือการไม่ได้พักผ่อนหรือไปเดินเล่น) มนุษย์ทุกคนต้องเปรียบเทียบค่าเสียโอกาสสำหรับทุกกิจกรรมเพื่อการตัดสินใจ

          ในเชิงนามธรรมก็ไม่มีอะไรที่ฟรีเช่นเดียวกัน การตัดสินใจเลือกเส้นทางเป็นคนดีนั้นมีต้นทุน ต้องอดกลั้น หลีกเลี่ยงไม่กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่าง ๆ อันนำมาซึ่งเงินทองและความ สนุกสนาน อย่างไรก็ดีเหล่าคนดีนั้นรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่คงทนและนำมาซึ่งความลำบากทุกข์ใจในอนาคต กล่าวคือเขามีปัญญารู้ว่ามันมีต้นทุนสูงเพราะอาจติดคุกติดตะรางเสื่อมเสียชื่อเสียงจึงไม่เลือก

          ถ้ามนุษย์ทุกคนตระหนักว่า ‘โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี’ ก็จะไม่มีการทิ้งขว้างผักบุ้งที่เก็บมา จากป่า ไม่ตัดสินใจลงทุนง่าย ๆ ด้วยเงินของตนเองเพราะคิดว่าไม่มีต้นทุน ไม่ไร้เดียงสาเชื่อใคร ง่าย ๆ ว่าซื้อของผ่อนดอกเบี้ยศูนย์มีอยู่ในโลก เลือกคนมาสมัครทำงานอย่างรอบคอบ ตัดสินใจเดินทางในชีวิตอย่างรอบคอบขึ้นเพราะรู้ดีว่าต้องเผชิญกับการตัดสินใจเลือกอยู่ตลอดเวลา และเหนือสิ่งอื่นใดตระหนักดีว่าการเป็นคนดีนั้นจะไม่ทำให้ประสบต้นทุนที่สูงในชีวิต

          ถึงแม้น่าหดหู่ใจที่ทุกสิ่งล้วนมีต้นทุนทั้งสิ้นจน ‘โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี’ ซึ่งการไม่ฟรีนั้นมิได้เป็นเรื่องแคบ ๆ เฉพาะเรื่องเงินทองเท่านั้นหากไปไกลกว่า เพราะค่าเสียโอกาสซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการไม่ฟรีนั้นครอบคลุมถึงเรื่องความสุข ความทุกข์ ประโยชน์ ความทุกข์ทรมาน โอกาส เวลา ฯลฯ

          ถึงแม้จะหดหู่ใจที่หาของฟรีไม่ได้แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้ความจริงข้อนี้ และตัดสินใจไปแบบเบลอ ๆ จนปวดใจจากการตัดสินใจเลือกผิด ๆ ในชีวิต

ถ่ายในที่สาธารณะสร้างอันตราย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
5 สิงหาคม 2557

          การถ่ายอุจจาระในที่สาธารณะของมนุษย์ยังคงมีอยู่อย่างกว้างขวางในหลายประเทศอย่างไม่น่าเชื่อ รวมแล้วมีจำนวนถึง 1 พันล้านคนในประชากรโลก 7 พันล้านคน ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีผลต่อสุขสภาวะในประเทศเหล่านี้ ที่ผ่านมามักไม่พูดกันเพราะความเหนียมอาย แต่ยิ่งหลีกหนีก็ยิ่งจะทำให้ปัญหาไม่หายไป

          มนุษย์แต่ละคนในแต่ละวันถ่ายอุจจาระเฉลี่ยประมาณวันละ 100 กรัม ปัสสาวะ 1.5 ลิตร และโดยทั่วไปใน 1 กรัมของอุจจาระประกอบด้วยไวรัส 10 ล้านตัว แบคทีเรีย 1 ล้านตัว ตัวอ่อนของปรสิก (parasite) 1,000 ตัว และไข่ของปรสิตอีก 100 ใบ ขณะที่อุจจาระอยู่ในร่างกายของเรา ส่วนใหญ่ไม่เป็นปัญหาเพราะระบบคุ้มกันของร่างกายตามธรรมชาติควบคุมอยู่ แบคทีเรียบางชนิดก็เป็นประโยชน์ต่อระบบการย่อยหรือระบบการทำงานของร่างกายด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดีเมื่อมันออกมานอกร่างกายแล้วก็อาจอาละวาดได้อย่างน่ากลัว

          โรคที่อาจติดถ่ายทอดกันได้คือไทฟอยด์ อหิวาตกโรค โปลิโอ นิวมอเนีย ไวรัส A พยาธิ ตาอักเสบอย่างรุนแรง ฯลฯ ตลอดจนอาจหยุดยั้งการเจริญเติบโตของร่างกายตลอดจนกระทบต่อการทำงานของสมองได้

          ที่น่ากลัวและรวดเร็วที่สุดก็คือโรคท้องร่วงอย่างแรง ในปัจจุบันเด็กตายวันละ 2,000 คน ในโลก หรือหนึ่งคนทุก 40 วินาที การถ่ายอุจจาระในสาธารณะอาจดูเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ไร้เดียงสา ด้อยพัฒนา แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอยู่พอควร

          ในจำนวน 1 พันล้านคนที่ไม่ใช้ห้องน้ำถ่ายให้เป็นเรื่องเป็นราว มีคนอินเดียอยู่ถึง 620 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสุดในโลก ตัวเลขนี้เกือบเท่ากับครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศคือ 1,300 ล้านคน ตัวเลขคร่าว ๆ ของ 620 ล้านคนนี้ก็คือมีการปล่อย “ขยะจากร่างกาย” ออกมาไม่ต่ำกว่า วันละ 65 ล้านกิโลกรัม ในทุ่งโล่ง ป่าเขา ริมน้ำ ทุ่งนา แม่น้ำลำคลอง หรือแม้แต่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย

          จีนในยุคแรกของการเปิดประเทศนั้นมีห้องน้ำสาธารณะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในความ น่ากลัว หรือแม้แต่ห้องน้ำในชนบทในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังมีส้วมเป็นกลไกกำจัด “ขยะจากร่างกาย” อย่างไม่ก่อให้เกิดปัญหาสาธารณสุข ในปัจจุบันน่าจะมีคนจีนถ่ายในที่สาธารณะอยู่ไม่น้อยในที่ห่างไกลจากความเจริญ แต่ตัวเลขก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของประชากรดังเช่นอินเดีย

          การถ่ายในที่สาธารณะของมนุษย์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติ บรรพบุรุษของเราก็ทำแบบนี้มานับพัน ๆ ชั่วคน การเข้าไปอยู่ในส้วมที่อึดอัด อากาศไม่ถ่ายเท แถมมีกลิ่นเหม็นด้วยเพื่อถ่ายนั้นจะว่าไปแล้วเป็นการผิดธรรมชาติมากกว่า ในสมัยที่ยังไม่มีผู้คนอยู่กันอย่างแออัด อุจจาระก็แห้งไปด้วยแสงแดดและความหนาว กลายเป็นอาหารของสัตว์ป่า หนอน และเป็นปุ๋ยอันเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ แต่เมื่อมีคนอยู่อาศัยใกล้เคียงกันมากขึ้น กระบวนการย่อยสลายอย่างเดิมถูกแทรกแซงโดยแมลงวันหรือคนมาสัมผัสจนเชื้อโรคแพร่ระบาด หรือเชื้อโรคพลัดหลงเข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดินหรือบนดิน

          นายกรัฐมนตรีอินเดียคนใหม่สุดคือ นาย Narendra Modi เห็นภัยจากการถ่ายในที่สาธารณะ (คานธีผู้ยิ่งใหญ่เคยพูดครั้งหนึ่งด้วยซ้ำว่าสุขาภิบาล (sanitation) สำคัญกว่าอิสระภาพ) บอกว่าการสร้างห้องส้วมมีลำดับสำคัญเหนือกว่าการสร้างวัด และให้จัดสรรงบประมาณขนาดใหญ่สร้างส้วมอย่างรีบด่วนโดยมีเป้าหมายให้การถ่ายในที่สาธารณะหมดไปทั้งหมดก่อนปี 2019

          คนอินเดียถ่ายในที่สาธารณะมานับพันปี หลังการได้รับอิสระภาพใน ค.ศ. 1947 อินเดียก็มีโครงการสร้างส้วมมาหลายครั้ง แต่ถึงจะสร้างจำนวนมากมายแต่ส่วนหนึ่งก็ไม่มีคนใช้ อุปสรรคมิได้อยู่ตรงการขาดแคลนเงินแต่เพียงอย่างเดียว หากเกี่ยวพันกับทัศนคติซึ่งโยงกับความเชื่อ ค่านิยม ที่มาจากคำสอนของชาวฮินดูด้วย

          พระมนูของฮินดูอายุนับพัน ๆ ปีสนับสนุนให้ถ่ายในที่สาธารณะ ไกลจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการถ่ายปะปนหรือในที่เดียวกับคนต่างวรรณะ อันจะนำมาซึ่ง “ความไม่บริสุทธิ์”

          การถ่ายทับที่กับคนวรรณะต่ำกว่าโดยเฉพาะจัณฑาลนั้นถือว่าเป็นบาป การถ่ายในบริเวณสาธารณะที่คนวรรณะเดียวกันใช้จึงเป็นหนทางหนึ่งของการหลีกเลี่ยงบาป การรังเกียจวรรณะจัณฑาลมีเหตุผลเชิงสุขาภิบาลเกี่ยวพันอยู่ด้วย เนื่องจากวรรณะนี้มีอาชีพเก็บขยะ กวาดถนน เก็บซากอุจจาระ ซากสัตว์ตลอดจนสิ่งสกปรกทั้งปวงซึ่งทำให้สามารถติดโรคระบาดต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าผู้อื่น

          ปัจจุบันอินเดียกำลังรณรงค์ผ่านสื่อในเรื่องนี้โดยตั้งชื่อว่า Poo2 Loo ซึ่ง Poo หมายความถึงอุจจาระ ส่วน Loo ก็คือห้องส้วม เช่นเดียวกับวิธีเอาน้ำไล่ฉีดชายที่ชอบยืนปัสสาวะรดกำแพง ริมถนน ถ้าการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและความเคยชินของประชาชนได้ผล พร้อมไปกับการทุ่มเทงบประมาณของภาครัฐ เราอาจเห็นอัตราการตายของเด็กทารกอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเกี่ยวพันกับพฤติกรรมนี้ของอินเดียลดลงหลังจากที่ทรงตัวมาเป็นเวลาหลายปีแล้วก็เป็นได้

          ในประเทศอื่น ๆ การถ่ายในที่สาธารณะก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นประเทศที่เล็กกว่าอินเดีย จึงไม่ทำให้มีจำนวนผู้กระทำสูง การมีระบบสุขาภิบาลในการกำจัด “ขยะร่างกาย” ที่ดีคือหัวใจสำคัญของระบบสาธารณสุขของประเทศ

          งานวิจัยของสหประชาชาติพบว่าการถ่ายในที่สาธารณะยังคงเพิ่มขึ้นใน 26 ประเทศของ อาฟริกา โดยเฉพาะไนจีเรียซึ่งมีประชากรสูงถึง 175 ล้านคน มีประชากรกว่า 39 ล้านคนในปัจจุบันที่ยังคงปฏิบัติอยู่อย่างเหนียวแน่นในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับจำนวน 23 ล้านคนในปี 1990

          ถ้าพิจารณากันอย่างเที่ยงธรรม พฤติกรรมเช่นนี้ก็ยังคงมีอยู่บ้างในชนบทไทยเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในปัจจุบัน คำว่า ‘ไปทุ่ง’ เป็นคำไทยโบราณที่ยังรู้จักกันดีในชนบทเพราะความเคยชิน และอากาศที่โล่งสบายไม่อึดอัดเวลาถ่าย เป็นที่เชื่อได้ว่าหลายประเทศเพื่อนบ้านของเราใน ASEAN ก็ยังมีอยู่กว้างขวางพอควร

          การหายไปของโรคติดเชื้อเกี่ยวกับทางเดินอาหารซึ่งโยงใยใกล้ชิดกับระบบสุขาภิบาลที่ดี ทำให้เราพอเชื่อได้ว่าการถ่ายในที่สาธารณะไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยอีกต่อไป

          ประเทศที่ไม่เหนียมอาย ไม่ปิดบังความจริงในเรื่องนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถึงแม้จะพยายามปิดบังตัวเลขอย่างไรแต่ถ้าหลังฉากทำงานกันอย่างแข็งขันแล้วละก็ปัญหาก็สามารถทุเลาไปได้มากดังกรณีของเวียดนาม

          การถ่ายในที่สาธารณะเป็นปัญหาของหญิงไม่น้อย เพราะต้องระมัดระวังเรื่องของการละเมิดทางเพศ การข่มขืนทำร้ายเวลาออกไปถ่ายนอกบ้าน บ่อยครั้งต้องคอยถึงเวลาค่ำมืดซึ่งความมืดเพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น การถ่ายในที่สาธารณะให้ทั้งความเสี่ยงในด้านสุขภาพของตนเองและในด้านสาธารณสุขของหมู่บ้านที่ตนเองอยู่อาศัยอีกด้วย

          มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้เวลา 30 ปีแรกของชีวิตสร้างความเคยชินให้กับตนเอง และใช้เวลาที่เหลือทำตามความเคยชิน เฉพาะผู้มีปัญญาเท่านั้นที่พยายามดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากความเคยชินเหล่านั้น

อเมริกาใต้แห่งความหลากหลาย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
29 กรกฎาคม 2557

          ฟุตบอลโลกปี 2014 ซึ่งจัดขึ้นที่บราซิลทำให้ผู้คนเกิดความสนใจในอเมริกาใต้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2016 บราซิลก็จะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกด้วย

          คำว่า ‘อเมริกาใต้’ ในความหมายโดยทั่วไปหมายถึงประเทศที่อยู่ใต้สหรัฐอเมริกาลงมา ไล่ลงมาตั้งแต่เม็กซิโก ประเทศเล็ก ๆ ตอนกลาง (El Salvador / Costa Rica ฯลฯ) ผ่านคลองปานามาลงมาถึงประเทศมีพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่น Venezuela / Colombia / Brazil / Chile / Argentina ฯลฯ

          อย่างไรก็ดีในทางวิชาการยังมีการแบ่งย่อยออกเป็นอเมริกากลาง (เม็กซิโก กับประเทศเล็ก ๆ ตอนกลาง) หมู่เกาะทางตะวันออกของอเมริกากลาง เช่น Cuba / Barbados / Jamaica ฯลฯ) และอเมริกาใต้จริง ๆ ที่อยู่ล่างลงมา เช่น Colombia / Brazil / Chile / Argentina ฯลฯ

          เรามักจะจำกันง่าย ๆ ว่าคนอเมริกาใต้นั้นพูดภาษาสเปน ยกเว้น Brazil ที่พูดภาษาโปรตุเกส ความจริงไม่ถูกต้องเพราะพวกอยู่ในหมู่เกาะดังกล่าวส่วนใหญ่และดินแดนริมทะเลใกล้ หมู่เกาะเหล่านี้ เช่น Belize / Trinidad and Tobago / Guyana / Anitigua / St Lucia / Grenada ฯลฯ พูดภาษาอังกฤษ

          บางดินแดนเล็ก ๆ และเกาะเล็ก ๆ บางแห่งในบริเวณใกล้เคียง เช่น Haiti / Martinique / Guadeloupe / Frence Guiana ฯลฯ คนพูดฝรั่งเศสกัน และบางแห่ง เช่น Curacao / Suriname / St. Maarten ฯลฯ พูดภาษาดัชต์

          สรุปก็คือทั้งอเมริกาใต้ในความหมายข้างต้นที่มักเรียกว่าลาตินอเมริกานั้นพูดกันหลากหลายภาษา รวมทั้งลูกผสมของหลายภาษาด้วย ส่วนใหญ่พูดสเปน แต่มิได้คับแคบแค่ภาษาหรือสองภาษา

          ประชากรในอเมริกาใต้ยิ่งผสมปนเปกันอย่างน่าอัศจรรย์ ลองดูทีมฟุตบอลอเมริกาใต้ ก็ได้ หน้าตามีทั้งฝรั่ง ลูกครึ่งฝรั่ง คนผิวดำ ลูกผสม ชนิดที่ฮิตเลอร์หากกลับชาติมาเกิดต้องฆ่าตัวตายอีกสามรอบเพราะแทบไม่มีเชื้อชาติฝรั่งแท้ (เผ่าพันธุ์อารยัน) ให้เห็นในทวีปนี้ หรือแม้แต่ทีมชาติเยอรมัน ดูชื่อนามสกุลก็รู้ว่าไม่ใช่คนเยอรมันในกรอบความคิดอารยันทั้ง ๆ ที่ทุกคนเป็นคนเยอรมันอย่างไม่ต้องสงสัย

          คนเยอรมันตะวันตกกับตะวันออกเคยทะเลาะเบาะแว้งกันแรงมากหลังจากรวมประเทศเป็นเยอรมันนีเมื่อ ค.ศ. 1990 คนตะวันตกรังเกียจว่าพวกนี้ผสมเชื้อพันธุ์ยุโรปตะวันออก (ใกล้ชิดกับ โซเวียตมายาวนาน) คนตะวันออกก็บอกว่าพวกตะวันตกผสมกับสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส ออสเตรีย จนไม่ใช่เชื้อชาติเยอรมันดังที่พวกยูอ้างเหมือนกัน

          ในที่สุดเรื่องก็จบลงแบบสมานฉันท์เพราะจนด้วยเหตุและผล เมื่อผู้นำทางความคิดของเยอรมันออกมาบอกว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่ประชาชนอยู่ร่วมกันเพราะมีชาติพันธุ์เดียวกัน เพราะความเป็นชาติพันธุ์เดียวกันโดยแท้จริงมันไม่มี ทุกคนล้วนผสมปนเปกันมาตลอด 150,000 ปี หรือ 7,500 ชั่วคน ทุกคนล้วนเป็นคนอพยพทั้งนั้น มาจากสารพัดแห่งหนมาอยู่ในดินแดนเยอรมัน เพียงแต่บรรพบุรุษของใครมาถึงดินแดนนี้ก่อนกันเท่านั้นเอง พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนเยอรมัน การเป็นชาติเดียวกันอยู่บนการถือผลประโยชน์ร่วมกัน มีความเชื่อศรัทธาในสิ่งเดียวกัน และยินดีพร้อมใจร่วมกันเป็นคนชาติเดียวกัน ฉะนั้นจงอย่าแบ่งแยกว่าใครเป็นเยอรมันแท้หรือไม่แท้

          แนวคิดนี้ถูกต้องและเป็นจริงสำหรับคนทุกชาติ ไม่มีใคร “แท้” หรือใคร ‘เทียม’ ความรู้สึกเป็นรัฐชาตินั้นเกิดมาไม่นาน แต่เดิมเขามองโลกกันเป็นเมือง เช่น สุโขทัย เชียงใหม่ อยุธยา มิได้คิดเป็นสยามหรือไทย

          สำหรับลาตินอเมริกันนั้นว่ากันว่า 3 ประเทศพี่เอื้อยก็คือ ABC กล่าวคือ A คือ Argentina ส่วน B คือ Brazil และ C คือ Chile

          Argentina เจ้าตำรับแทงโก้ ดินแดนแห่ง Don’t Cry For Me ของ Evita อดีตภรรยา นายพลเผด็จการ Peron มีพื้นที่ 2.7 ตารางกิโลเมตร (กว่า 5 เท่าของไทย) มีประชากร 42 ล้านคน ร้อยละ 97 สืบเชื้อสายมาจากคนยุโรป รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีประมาณ 300,000 บาท (สูงกว่าไทยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท)

          Brazil มีพื้นที่ 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร (17 เท่าของไทย) มีประชากร 200 ล้านคน รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีประมาณ 350,000 บาท ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์มีทั้งคนพื้นเมือง (อินเดียนแดง) คนมาจากทวีปอาฟริกา คนยุโรป คนเอเชีย เป็นประเทศที่มีทรัพยากรมหาศาล เป็นประเทศหนึ่งที่ทรงพลังทางเศรษฐกิจ

          ส่วน Chile นั้นเป็นประเทศน้องใหม่มาแรงทางเศรษฐกิจอย่างยิ่ง มีพื้นที่เพียง 756,000 ตารางกิโลเมตร (มากกว่าไทยประมาณร้อยละ 50) มีประชากรเพียง 18 ล้านคน แต่รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีเท่ากับ 470,000 บาท ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งมีเชื้อสายยุโรป ที่เหลือเป็นอินเดียนแดงและลูกผสม คนเอเชีย ชิลีมีการจัดการเศรษฐกิจที่เป็นเยี่ยม เมื่อ 20 ปีก่อนเพิ่งเริ่มเลี้ยงปลา salmon (จริง ๆ ต้องออกเสียงว่า ซัม-มอน ไม่ใช่ แซล-มอน)ในฟาร์ม ปัจจุบันเป็นประเทศส่งออกปลา salmon ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

          คนในทวีปเอเชียไม่ค่อยเดินทางไปอเมริกาใต้กันเนื่องจากต้องใช้เวลาบินและเปลี่ยนเครื่องบินไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง แต่เมื่อไปเห็นแล้วก็จะรู้สึกตกใจว่ามีความเจริญก้าวหน้าไม่น้อยกว่าแห่งใดในโลก ถึงแม้ว่าจะมีดีกรีของความแตกต่างของฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างคนในประเทศ เดียวกันเองและระหว่างประเทศสูงก็ตาม

          ในชานเมือง Rio de Janeiro ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของบราซิล ในบางพื้นที่จะเห็นสลัมอยู่บนภูเขาเต็มพรืดไปหมดด้วยหลังคาสังกะสีหรือเศษวัสดุ คนอาศัยต้องเดินลงมาจากเขาเพื่อมาขนน้ำ สาเหตุที่ขึ้นไปอยู่บนเขาก็เพราะเป็นพื้นที่เหลืออยู่ที่ไม่มีเจ้าของชัดเจน

          ในเมืองใหญ่นี้จะเห็นทั้งอาคารหลังใหญ่โต ตึกสูง และสลัม สลับกันไป คล้ายกรุงเทพฯ อัตราอาชญากรรมในอเมริกาใต้โดยทั่วไปมีอัตราสูงเนื่องจากปัญหาในด้านประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม นับตั้งแต่ตำรวจ ผู้บังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ อัยการ ผู้พิพากษา ในขณะที่อัตราการลงโทษคดีฆ่าคนตายใน 9 ประเทศใหญ่ของเอเชียอยู่ที่ร้อยละ 50 ในอเมริกาใต้อัตราการลงโทษอยู่เพียงร้อยละ 20 ซึ่งหมายความว่าร้อยละ 80 ของคดีฆ่าคนตายไม่ถูกลงโทษ การพิจารณาคดีความที่ปกติยืดยาวเป็นปี ๆ ทำให้หลักฐานขาดหายไป บางคดีตำรวจเจ้าของคดี อัยการ เกษียณอายุ หรือตายไปแล้วพร้อมพยาน คดียังไม่ถึงที่สุดก็มีอยู่บ่อย ๆ

          อเมริกาใต้เป็นทวีปแห่งความหลากหลายของวัฒนธรรมและความสามารถ ถึงแม้ทีมฟุตบอลจากทวีปนี้จะไม่เคยเป็นแชมป์โลกติดต่อกันมาถึง 24 ปี แล้วก็ตาม เชื่อได้ว่าจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อกลับมารักษาตำนานฟุตบอลไว้ดังเดิม

ระวังโรค MERS กำลังระบาด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 กรกฎาคม 2557

          โรคระบาดดูจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ในปัจจุบัน ความสามารถในการเดินทางถึงกันทั่วโลกในเวลาอันสั้นมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้โรคกระจายไปในบริเวณอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ล่าสุด MERS ซึ่งมีลักษณะคล้ายโรค SARS เมื่อ 11-12 ปีก่อน กำลังถูกควบคุมให้อยู่เพราะหากช้าไปอาจนำมาซึ่งความหายนะของชาวโลกได้อย่างมหาศาล

          SARS (Severe Acute Respiratory Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า coronavirus ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจจนอาจเสียชีวิตได้ การระบาดครั้งแรกเกิดขึ้นทางตอนใต้ของจีน มีคนป่วย 8,000 กว่ารายและตายเกือบ 800 ราย ใน 37 ประเทศโดยเฉพาะในฮ่องกง
MERS

          หรือ Middle East Respiratory Syndrome ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในซาอุดิอาระเบียในปี 2012 ผู้ป่วยมีอาการคล้าย SARS กล่าวคือคล้ายเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ไข้สูง ฯลฯ ไวรัสที่เป็นต้นเหตุเป็นสายพันธุ์ coronavirus เช่นกัน

          เมื่อตอนปี 2012 ที่เปิดตัวครั้งแรกมีผู้ป่วยกว่า 700 ราย ใน 20 ประเทศ และตาย 250 คน ทุกกรณีล้วนเกี่ยวพันกับซาอุดิอาระเบียทั้งสิ้น ดังนั้นจึงได้รับเกียรติที่ไม่มีใครอยากได้คือตั้งชื่อตามโรค ตามประเทศ (อาหารไทยก็เคยได้รับเกียรติเช่นนี้มาแล้ว คือวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ซึ่งมีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้หลายประเทศมีปัญหาทางการเงินตามประเทศไทยซึ่งเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1997)

          การเกิดขึ้นอย่างลึกลับและรวดเร็วของ MERS ครั้งนั้นสร้างความงุนงงสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุ แต่ยังไม่ทันที่จะหาข้อสรุปได้ ก็เกิดการระบาดขึ้นมาอีกครั้งในกลางปี 2014 โดยศูนย์กลางอยู่ที่เมืองท่า Jidda บนริมฝั่งทะเลแดงใกล้กับเมือง Mecca ซึ่งมุสลิม 2-3 ล้านคนเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ เมืองสองที่รองมาในการระบาดก็คือ Riyadh เมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย

          ผู้อยู่ในวงการระบาดวิทยาระดับโลกต่างกังวลกับการระบาดอีกครั้งเป็นอย่างมากเนื่องจากอาจเชื่อมโยงกับคนจำนวนเป็นล้านคนที่จะกลับบ้านไปทั่วโลกหลังจากมาประกอบพิธีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเดือนตุลาคมเมื่อพิธีฮัจญ์เริ่มขึ้น อย่างไรก็ดีก็มีผู้เดินทางมาเมกกะอยู่ตลอดเวลา และ MERS ในหนนี้ได้ระบาดไปแล้วถึงอิหร่าน จอร์แดน การ์ต้า อียิปต์ คูเวต ฯลฯ ในอาเซียนก็ได้แก่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือแม้แต่อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา

          ณ ต้นเดือนมิถุนายน 2014 ตัวเลขคร่าว ๆ ของผู้ป่วย MERS รอบสองนี้ก็คือ 689 ราย ตาย 283 คน เฉพาะในซาอุดิอาระเบีย ตัวเลขในประเทศอื่น ๆ ยังไม่แน่ชัด ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกต้องการควบคุม MERS ให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะก่อนเดือนตุลาคม แต่การจะ “เอาอยู่” หรือไม่นั้นหนีไม่พ้นการค้นหาความจริงว่าอะไรคือสาเหตุของโรค

          สำหรับ SARS นั้นค้นหากันอย่างกว้างขวางและพอสรุปได้ว่ามาจากการบริโภคชะมดซึ่งเป็นพาหะของไวรัส คนจีนบางกลุ่มในบริเวณตอนใต้นิยมบริโภคชะมดเป็นอาหารพิเศษ (คนมีเงินในแถบเอเชียนิยมดื่มกาแฟที่นำมาจากเมล็ดกาแฟที่อยู่ในมูลของชะมด)

          เมื่อค้นหาย้อนหลังไปเพื่อตอบคำถามว่าแล้วไวรัสที่อยู่ในตัวชะมดมาจากไหน ก็พบหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามาจากค้างคาว ดังนั้นเส้นทางของ SARS ก็เริ่มจากค้างคาวสู่ชะมดและสู่มนุษย์ โดยติดกันระหว่างมนุษย์จากความใกล้ชิดของลมหายใจและการสัมผัสของเหลวจากร่างกายของคนป่วย

          เมื่อ SARS และ MERS มีที่มาจากไวรัสสายพันธุ์เดียวกัน การสืบสวนสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่มาของ MERS จึงง่ายกว่ากรณีการระบาดของ SARS ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น

          นักวิจัยพบว่าอูฐเป็นสาเหตุของ MERS และเป็นคำอธิบายว่าเหตุใด MERS จึงระบาดหนักในบริเวณที่เป็นวัฒนธรรมอิสลามซึ่งอูฐเป็นสัตว์ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านในแถบนั้นมากที่สุด

          การบริโภคเนื้ออูฐและนมอูฐดิบทำให้เกิดการสัมผัสกับไวรัสที่อยู่ในตัวอูฐที่ป่วย งานศึกษาพบว่าผู้ป่วยมักเกี่ยวพันกับอูฐหรือใกล้ชิดกับผู้มีประสบการณ์ดังกล่าว และเมื่อลงไปลึกก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าค้างคาวเป็นสาเหตุเหมือน SARS

          สิ่งที่ทำให้นักระบาดวิทยาระดับโลกกังวลก็คือพฤติกรรมของบุคลากรทางการแพทย์และ คุณภาพของโรงพยาบาลของซาอุดิอาระเบีย ตลอดจนความตั้งใจเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วย MERS ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการควบคุมให้อยู่หมัด

          โรงพยาบาลในซาอุดิอาระเบียดูจะเป็นแหล่งแพร่ไวรัส เพราะผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลตลอดจนบุคลากรในโรงพยาบาลเหล่านั้น

          หากตัวเลขที่เปิดเผยนี้เป็นจริง ผู้ป่วย MERS รายใหม่เริ่มมีจำนวนน้อยลง สิ่งที่พออุ่นใจก็คือถึงแม้มนุษย์จะติดเชื้อไม่ยากนักจากพาหะ แต่การแพร่ติดเชื้อจากคนสู่คนนั้นยากกว่ากรณีของ SARS

          การร่วมมือกันระหว่างประเทศในการเปิดเผยข้อมูลและความสามารถในการควบคุมโรคระบาดใหม่เป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมการระบาดออกไปในระดับโลก ในยุคที่มีโรคใหม่ ๆ ซึ่งเกิดจากไวรัส และโรคเก่าซึ่งกลับมาระบาดใหม่ดังเช่น Ebola ซึ่งน่ากลัวกว่าเป็นอันมากและกำลังระบาดอยู่ในอาฟริกาตะวันตกในขณะนี้ ความฉับพลันของการดำเนินการข้ามประเทศอย่างเป็นทีมคือหนทางของการแก้ไขปัญหา

สุหนัดหญิงแสนโหด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 กรกฎาคม 2557

          ครั้งนี้ผู้เขียนขออนุญาตเขียนเรื่องโหดสยองสำหรับสุภาพสตรี และอาจมีบางคำที่ฟังแล้วอาจสะดุ้ง เรื่องที่จะเขียนนี้เป็นเรื่องจริงที่ยังไม่เป็นที่ทราบกันกว้างขวางนัก และเชื่อว่าจะเป็นประเด็นขึ้นมาในโลกเพื่อแก้ไขสถานการณ์ของกลุ่มผู้หญิงที่แสนน่าสงสารในอนาคตอันใกล้

          หลังจาก Arab Spring หรือคลื่นการปฏิวัติโดยประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้นำเผด็จการซึ่งเริ่มที่ตูนิเซียในปี 2010 และลามไปอียิปต์ ลิเบีย เยเมน และการชุมนุมประท้วงของประชาชนอย่างกว้างขวางในบาเร็น ซีเรีย อัลจีเรีย อิรัก จอร์แดน คูเวต มอร๊อคโค ซูดาน ฯลฯ ผู้หญิงในโลกอาหรับจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอียิปต์เริ่มออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง

          ผู้หญิงอียิปต์กลุ่มนี้ออกมาเล่าให้โลกรู้ถึงการถูกข่มขืนเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยแก๊งชายฉกรรจ์กลาง Tahrir Square เมื่อออกมาชุมนุมประท้วงร่วมกันระหว่างปี 2011-2014 และยังถูกละเมิดทางเพศในลักษณะต่าง ๆ โดยชายร่วมชาติ

          ครั้นเมื่อผู้หญิงออกมาประท้วงเรื่องดังกล่าวในเวลาต่อมาก็ถูกจับไปหลายคนและถูกบังคับให้ทดสอบ “virginity test” (ตรวจสอบความเป็นสาวบริสุทธิ์) ในครอบครัวก็มีความรุนแรงถูก ตบตีโดยสามี ถูกข่มขืนโดยสามีเมื่อไม่เต็มใจหลับนอนด้วย และที่น่าตกใจก็คือเด็กผู้หญิงถูกครอบครัวบังคับให้ทำ “สุหนัดหญิง”

          “สุหนัดหญิง” หรือ Female Genital Mutilation (FGM) คือการตัดอวัยวะเพศหญิงบางส่วนหรือทั้งหมด กล่าวคือตัดหนังหุ้ม clitoris ตัว clitoris แคม หรือ labia ทั้งใหญ่และเล็ก และในกรณีรุนแรงสุดนั้นตัดหมดจดจนเหลือแต่ช่องคลอดและช่องปัสสาวะเท่านั้น

          FGM นี้มิใช่เรื่องทางศาสนาอิสลามแต่อย่างใด หากเป็นวาทกรรมทางวัฒนธรรมของ ชนกลุ่มน้อยในแถบตะวันออกกลาง อาฟริกาตอนเหนือ และบางส่วนของเอเชีย โดยสืบทอดประเพณีกันมายาวนานตามความเชื่อ

          FGM ของแต่ละกลุ่มก็รุนแรงแตกต่างกันออกไป บ้างก็ตัดออกไปทั้งหมด บ้างก็ตัดบางส่วน ที่รุนแรงสุดคือตัดทั้งหมดดังกล่าวแล้วซึ่งตรงกับคำว่า infibulation ในภาษาอังกฤษ บางกลุ่มก็ทำกับเด็กหญิงที่มีอายุไม่กี่อาทิตย์ บ้างก็ทำตอน 5 ขวบ และบ้างก็ทำก่อนเป็นสาว

          วิธีการตัดก็กระทำกันหลายลักษณะ มีทั้งตัดสด ใช้ยาชา และใช้ยาสลบ ส่วนใหญ่ใช้ใบมีดโกนที่ไม่มีการฆ่าเชื้อโดยหมอพื้นบ้านผู้ตัดอย่างชำนาญท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

          สาเหตุของ FGM ก็คือการมองว่าอวัยวะเพศหญิงเป็นสิ่งสกปรกและน่าเกลียด ตัดเพื่อไม่ต้องการให้มีความรู้สึกทางเพศใด ๆ โดยเชื่อว่าจะทำให้เป็นภรรยาที่จงรักภักดี อยู่ในโอวาทของสามี เป็นลูกสาวที่เลี้ยงง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นเครื่องช่วยประกันว่าเป็นสาวบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน อีกทั้งเชื่อว่าจะทำให้เกิดสุขอนามัยที่ดีอีกด้วย

          นักสังคมวิทยาที่ศึกษาพบว่าในกลุ่มชนเหล่านี้พ่อและแม่ตลอดจนญาติก็สนับสนุน FGM เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้หญิง (หญิงผู้ใหญ่ทุกคนก็ถูกทำมาแล้ว จึงไม่อยากให้มีกระต่ายหางไม่ด้วน?)

          FGM เป็นที่ทราบกันในโลกมากขึ้นในทศวรรษ 1980 ทั้ง ๆ ที่กระทำสืบทอดกันมายาวนานแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมามีความพยายามในระดับโลกที่จะทำให้ FGM เป็นสิ่งต้องห้าม ทั่วโลก และสามารถทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง โดยในปี 2012 ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติลงมติเป็น เอกฉันท์ให้ทุกประเทศทำทุกอย่างเพื่อหยุด FGM อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ดีในกลุ่มชนเหล่านี้ก็ยังคงมีการทำกันอยู่เพราะการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ

          ปัจจุบันมีเด็กและผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันกว่า 125 ล้านคนในอาฟริกาและตะวันออกกลางที่ผ่าน FGM ในจำนวนนี้มี 8 ล้านคนในเอธิโอเปีย โซมาเลีย และซูดานที่ประสบ FGM ขั้นรุนแรงสุด

          สถิติที่น่าตกใจของ UNICEF ก็คือมีเด็กและผู้หญิงที่ผ่าน FGM ในแต่ละประเทศเป็น ร้อยละดังนี้ โซมาเลีย ร้อยละ 98 อียิปต์ ร้อยละ 91 เอริเทรีย ร้อยละ 89 มาลี ร้อยละ 89 เซียร์ราลีโอน ร้อยละ 88 ซูดาน ร้อยละ 88 ฯลฯ

          ในกรณีของ FGM ทั้งหมดนั้นหนึ่งในห้าเป็นของอียิปต์ และในประเทศนี้หญิงอายุเกิน 15 ปี ที่ผ่าน FGM มีถึง 48 ล้านคนในประชากรทั้งหมด 86 ล้านคน ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า FGM ในกลุ่มประเทศอาหรับที่ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่นก็คืออียิปต์ และนี่คือคำอธิบายว่าเหตุใดหญิงในประเทศนี้จึงออกมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน

          ไม่มีใครรู้ว่า FGM เริ่มแต่เมื่อใด มีหลักฐานการอ้างถึง FGM ของผู้เดินทางไปอียิปต์ 45 ปีก่อนคริสตกาลว่าเป็นประเทศที่กระทำกันอย่างคึกคักกับทั้งเด็กชายและเด็กหญิง อย่างไรก็ดีจากการศึกษามัมมี่โดยนักวิชาการครั้งหนึ่งก็ไม่พบว่ามี FGM ชนิดตัดทิ้งทั้งหมดในอียิปต์โบราณ หลักฐานเช่นนี้จึงขัดแย้งกันจนหาข้อสรุปไม่ได้

          ในศตวรรษที่ 19 สูตินารีแพทย์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีการตัด clitoris (clitoridectomy) เพื่อรักษาหญิงที่ชอบสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองโดยเชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ

          Isaac Baker Brown ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1812-1873 เป็นสูตินารีแพทย์ และเป็น President ของ Medical Society of London บันทึกไว้ว่าการทำให้เกิด clitoris เกิดความระคายเคือง อย่างผิดธรรมชาติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคชักลมบ้าหมู และเป็นบ้าได้ ดังนั้นการตัด clitoris จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำและเขายืนยันว่าสมควรจะกระทำในทุกกรณีเช่นว่านี้

          ความมืดมนแห่งปัญญาของมนุษย์และความอ่อนแอทางร่างกายของหญิง ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถต่อสู้กับความอยุติธรรมทางสังคมได้อย่างแข็งขันจนต้องตกอยู่ในภาวะทนทุกข์ทรมานมาแสนนานและอาจอยู่ในสภาวะเช่นนี้ไปอีกนานหากชายประเภทที่มีแสงสว่างแห่งปัญญาและหญิงผู้หาญกล้าไม่ร่วมมือกันต่อสู้เพื่อแสวงหาความถูกต้องและยุติธรรมให้แก่เพศแม่ของเรา

สร้าง “สะพานเงินทอง” ให้แข็งแรง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1 กรกฎาคม 2557

          การเลี้ยงลูกกับการจัดการเงินทองเป็นสองเรื่องที่สำคัญมากในชีวิต แต่สองเรื่องนี้มีการเรียนการสอนกันในโรงเรียนน้อยมากจนต้องลองผิดลองถูกกันอยู่เสมอ ซึ่งสำหรับเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ไม่ควรต้องกระทำเยี่ยงนี้เป็นอย่างยิ่ง

          ความเข้าใจพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการจัดการเรื่องเงินทองเพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตก็คือเงินไม่ใช่ตัวความสุข หากเป็นพาหะ (means) ไปสู่เป้าหมายคือความสุข (ends)

          ถ้าเงินคือความสุขแล้ว เศรษฐีทุกคนต้องมีความสุข แต่เราก็รู้กันดีว่าเศรษฐีจำนวนมากทุกข์ใจจนต้องวิ่งไปหาพระ รดน้ำมนต์พ่นน้ำหมากกันอยู่ทุกวัน

          การมีเงินเป็นสะพานที่สำคัญไปสู่ความมั่นคงในชีวิต อีกทั้งสร้างความเป็นอิสระไม่ต้องอาศัยจมูกคนอื่นหายใจ การมีความสุขทางกาย การสามารถตามใจตนเองได้ ฯลฯ อย่างไรก็ดีชีวิตมนุษย์ยังมีอีกหลายสะพานที่จะประกอบกันนำไปสู่ความสุขในชีวิต เช่น การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น มิตรภาพ ครอบครัว ความสุขใจอันเกิดจากการได้ทำความดี การมีธรรมเป็นเกราะกำบัง การมีสุขภาพที่ดี ฯลฯ

          ถึงจะมีหลายสะพานประกอบกันจึงจะมีความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของสะพานเงินทองนี้อย่างแน่นอน สะพานนี้มีความสำคัญในระดับหนึ่งของการมีความสุขในชีวิต

          ข้อสังเกตแรกที่จะทำให้สะพานเงินทองนี้มีความแข็งแรงก็คือ “การหาเงินนั้นสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” ซึ่งหมายความว่าถึงแม้จะหาเงินได้มากเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่รู้จักควบคุมการใช้จ่ายแล้ว การหาเงินได้มากนั้นอาจไร้ความหมายไปก็ได้

          ลองจินตนาการว่าเรามีแท้งค์น้ำอยู่ใบหนึ่ง เงินที่หามาได้เปรียบเสมือนน้ำที่ไหลเข้า ส่วนช่องไหลออกของแท้งค์น้ำก็คือการใช้จ่าย ปริมาณการไหลเข้าไหลออกของน้ำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมีความสำคัญ ถ้าปริมาณน้ำไหลเข้ามีมากกว่าปริมาณน้ำไหลออก ก็จะมีน้ำเหลืออยู่ในถัง ซึ่งเปรียบเสมือนมีเงินออมนั่นเอง

          แต่ถึงแม้จะมีรายได้มาก (ปริมาณน้ำไหลเข้าถังมาก) แต่ถ้าใช้จ่ายเงินเป็นกระเฌอก้นรั่ว กล่าวคือใช้จ่ายเงินราวกับพิมพ์ธนบัตรได้เองแล้ว (ปริมาณน้ำไหลออกมากเช่นกัน) ก็จะไม่มีน้ำเหลือในถังซึ่งก็คือไม่มีเงินออมนั่นเอง

          ในทางตรงกันข้ามถ้ามีรายได้ไม่มาก (ปริมาณน้ำไหลเข้าถังน้อย) และรายจ่ายก็ไม่มากอีกด้วย (ปริมาณน้ำไหลออกน้อย) กล่าวคือน้อยกว่ารายได้ อย่างนี้ก็อาจมีปริมาณน้ำเหลือในถัง ซึ่งหมายความว่ามีเงินออมเกิดขึ้น

          กล่าวโดยสรุปก็คือกรณีแรกหาเงินได้มากและใช้ไปมากเช่นเดียวกัน จึงไม่มีเงินออม กรณีที่สองหาเงินได้ไม่มากนัก แต่ใช้จ่ายน้อยกว่าจึงมีเงินออม

          ลองจินตนาการว่าถ้าน้ำไหลเข้าถังโครม ๆ และไหลออกน้อย จะเกิดเงินออมขึ้นมากมายอย่างไร

          ข้อสังเกตที่สองก็คือเงินออมอันเป็นผลพวงของรายได้และรายจ่ายคือหัวใจของการสร้างความมั่งคั่งในอนาคตซึ่งเป็นฐานสำคัญของสะพานเงินทอง ถ้าไม่มีเงินออมก็เลิกพูดกันได้เลยถึงความมั่งคงทางการเงินในอนาคต

          การพูดว่าให้ออมเงินนั้นมันพูดง่ายแต่ทำได้ยาก เพราะในสภาพที่รายได้ไม่เปลี่ยนแปลง การใช้จ่ายจึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเงินออม และการใช้จ่ายนั้นผูกโยงกับเรื่องของนิสัยใจคอและพฤติกรรมของผู้คน เงินออมจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นง่ายโดยธรรมชาติ

          งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์พบว่า ‘การออมแบบบังคับ’ เป็นหนทางที่ช่วยให้เกิดการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการใช้จ่ายเงินทองไปตามปกติและเก็บส่วนที่เหลือเป็นเงินออม

          เมื่อผ่อนซื้อบ้าน รถยนต์ หรือที่ดิน เงินที่จ่ายไปทุกเดือนก็คือ ‘การออมแบบบังคับ’ เช่นเดียวกับการสั่งให้ธนาคารที่มีบัญชีรับเงินเดือนของเราหักเงินเป็นรายเดือนเข้าบัญชีออมต่างหาก การกระทำเช่นนี้ก็จะทำให้เกิดเงินออมขึ้นได้

          ดังกล่าวแล้ว เงินออมเกิดขึ้นได้เพราะมีรายได้มากกว่ารายจ่ายในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าไม่สามารถตัดทอนรายจ่ายลงได้ และต้องการมีเงินออม ก็จำเป็นต้องเพิ่มรายได้

          อย่างไรก็ดีในความเป็นจริง การตัดทอนรายจ่ายลงในสถานการณ์ที่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นนั้นกระทำได้ยาก การตัดทอนรายจ่ายนั้นสามารถกระทำได้ตราบที่สามารถแยกแยะระหว่าง want (ความอยาก) และ need (ความต้องการที่จำเป็น)

          ปัจจัยสี่เป็นความต้องการที่จำเป็น ในขณะที่ความปรารถนาครอบครองกระเป๋าถือ รุ่นใหม่คือความอยาก ถ้าใช้จ่ายเงินซื้อความอยากอยู่บ่อย ๆ อย่างไม่อาจบังคับใจตนเองได้แล้ว การใช้จ่ายก็ย่อมสูงเป็นธรรมดา

          การกระทำแบบเดิม ๆ โดยคาดหวังว่าจะมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้ารายได้ไม่เพิ่มสูงขึ้น การออมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตัดทอนรายจ่ายลงเท่านั้น

          ข้อสังเกตที่สาม เงินออมคือตัวรับใช้สำคัญในการสร้างกระบวนการเงินต่อเงินไปในอนาคต กล่าวคือสามารถนำเงินออมไปลงทุนไม่ว่าจะเป็นกองทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สิน ที่ดิน ฯลฯ เพื่อให้เกิดรายได้ และนำรายได้ในลำดับ “ลูก” เช่นนี้ไปลงทุนต่ออีกทอดหนึ่ง จนได้ผลตอบแทนในลำดับ “หลานปู่หลานตา” และต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต จนได้รับความมั่นคงทางการเงินในอนาคตในที่สุด

          การควบคุมจัดการพฤติกรรมของตนเองในการขยันขันแข็งทำมาหากิน และโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเรื่องการใช้จ่าย เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างเงินออม ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
 

เรื่องอื้อฉาวในฟุตบอลโลก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 มิถุนายน 2557

          ฟุตบอลโลก 2014 เริ่มแล้วที่บราซิลท่ามกลางความตื่นเต้นเร้าใจของกีฬาฟุตบอลที่คนกว่าครึ่งโลกจะเฝ้าดู มีหลายเรื่องของมหกรรมกีฬาครั้งนี้ที่อื้อฉาวจนน่านำมาบอกเล่ากัน

          บราซิลจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ 84 ปี ของการจัดฟุตบอลโลกหลังจากครั้งแรกในปี 1950 ณ สนามกีฬา Maracanã เดียวกันนี้ ในครั้งนั้นบราซิลแพ้อุรุกวัยในรอบชิงชนะเลิศไปอย่างน่าเสียดาย

          เรื่องแรกก็คือ การประท้วงของคนบราซิลจำนวนหนึ่งผู้ไม่พอใจที่มีการจัดครั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าควรนำเงิน 450,000 ล้านบาทที่รัฐบาลบราซิลต้องจ่ายไปใช้ในทางอื่นที่เป็นประโยชน์กว่าสำหรับคนบราซิลยากจนจำนวนมากในประเทศที่มีประชากรประมาณ 200 ล้านคน และมีพื้นที่ 8 ล้านตารางกิโลเมตร (16 เท่าของประเทศไทย)

          นอกจากนี้ยังมีพนักงานของสหภาพขนส่ง เช่น พนักงานรถใต้ดินที่นัดหยุดงานในเมืองใหญ่สุด คือ São Paulo เพื่อขึ้นค่าแรงและต้องการให้ลามไปเมืองอื่น ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้ในหลายเมือง

          การเตรียมงานฟุตบอลโลกแต่ละครั้งใช้เวลาและเงินจำนวนมาก FIFA ซึ่งเป็นองค์การกำกับดูแลการจัดการแข่งขันฟุตบอลของโลก ได้ลงมติตัดสินให้รัสเซียเป็นเจ้าภาพในปี 2018 และ การ์ต้าในปี 2022 ไปแล้ว แต่ความวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นจากแรงกดดันภายนอกให้ทบทวนการตัดสินใจที่การ์ต้าใหม่

          เรื่องที่สองคือ เมฆดำปกคลุมการทำงานของ FIFA ในด้านการกำกับดูแลให้เกิดความโปร่งใสสุจริตในการตัดสินการแข่งขัน สื่อต่างประเทศเช่น หนังสือพิมพ์ The New York Time ลงรายงานลับของ FIFA ที่ระบุว่ามีการ “ซื้อ” ผู้ตัดสินเพื่อให้ผลการแข่งขันเป็นไปตามที่เจ้าพ่อวงการพนัน ใต้ดินที่อยู่ที่สิงคโปร์และมาเลเซียต้องการในหลายแมทช์ของการแข่งขัน

          รายงานระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนในแมทช์มิตรภาพระหว่างกัวเตมาลากับอาฟริกาใต้ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่แล้วที่อาฟริกาใต้ ผู้ตัดสินถูก “ซื้อ” ไปด้วยราคา 100,000 เหรียญสหรัฐ จนอาฟริกาใต้ชนะ 5-0 แบบขาดลอย การรู้ผลล่วงหน้าของประตูที่ชนะแตกต่างกัน ขนาดนี้ทำให้บรรดาเจ้าพ่อผู้จ้างได้เงินไปมากมาย

          Europol ซึ่งเป็นองค์การข่าวกรองตำรวจของ EU ระบุว่าระหว่าง ค.ศ. 2008-2011มี 680 แมทช์ที่น่าสงสัยว่าจะมีการ “กำหนดผลล่วงหน้า” โดยเจ้าพ่อวงการพนันในการแข่งขันของลีกชั้นนำหลายแห่งของยุโรป ตลอดจนในการแข่งขันคัดเลือกทีมเข้าไปแข่งขันฟุตบอลโลก

          ยิ่งไปกว่านั้นมีการพบว่าในปี 2011 มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติ Bulgaria, Estonia, Latvia และ Turkey โดยเจ้าพ่อดังกล่าวเพื่อต้มตุ๋นนักพนันทั่วโลก การแข่งขันครั้งนั้นไม่มีคนดู ไม่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ แต่มีแต้มต่อพนันในแวดวงพนันระดับโลกโดยเจ้ามือรู้หมดว่าใครจะชนะเท่าใด

          เชื่อกันว่าในการแข่งขันใดที่มีคนสนใจมาก มียอดการพนันสูง (คาดว่าฟุตบอลโลก ครั้งนี้เฉลี่ยมีการพนันทั่วโลกประมาณ 1,000 ล้านเหรียญต่อคู่) เจ้าพ่อก็จะเข้าไปแทรกแซงโดยหาก ไม่ “ซื้อ” ผู้ตัดสินก็ “ซื้อ” ผู้เล่นบางคนเพื่อให้ผลการแข่งขันเป็นไปตามที่ต้องการ การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็เช่นกันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดพฤติกรรมเช่นนี้ขึ้นในหลายคู่การแข่งขัน

          สื่อรายงานว่าในปี 2010 มีการจ้างทีมชาติอัลซาวาดอร์ทั้งทีม ‘ล้มฟุตบอล’ ในแมทช์ที่แข่งขันกับทีมชาติสหรัฐอเมริกาและกับทีม D.C.United ที่สหรัฐอเมริกา ในที่สุดนักกีฬาก็ถูกไล่ออกและห้ามลงแข่งขันตลอดชีพ

          อย่างไรก็ดีมิใยที่จะมีรายงานว่ามีการทุจริตผิดปกติเกิดขึ้นในการแข่งขันจำนวนหลายแมทช์ มีชื่อผู้กระทำผิดชัดเจน แต่ FIFA ภายใต้การนำของนาย Sepp Blatter ก็ไม่เคยลงโทษใครเลย

          ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือพิมพ์ Sunday Times ของอังกฤษรายงานก่อนการเริ่มแข่งขัน 12 มิถุนายน 2557 ไม่กี่วันว่าการตัดสินให้การ์ต้าเป็นเจ้าภาพในปี 2022 มีการทุจริตเกิดขึ้น มีหลักฐานว่ามีการใช้เงินกว่า 5 ล้านเหรียญติดสินบนกรรมการบริหารของ FIFA เพื่อให้เลือกการ์ต้าเหนือคู่แข่งคือเกาหลี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ทั้ง ๆ ที่การ์ต้ามีอากาศร้อนจนต้องเลื่อนวันแข่งขันจากปกติในเดือนมิถุนายนเป็นธันวาคมเพื่อหลีกหนีความร้อน มีข่าวว่า FIFA อาจต้องทบทวนยกเลิกการให้การ์ต้าเป็นเจ้าภาพหลังจากมีข่าวไม่เป็นมงคลออกมามากมาย

          เรื่องที่สามคือความเป็นเต่าล้านปีของ FIFA ในการตัดสิน ใครที่ดูฟุตบอลจะรู้สึกรำคาญที่ไม่เคยรู้ว่าเมื่อใดจะหมดเวลา พอใกล้หมดเวลาก็จะเห็นคนชูป้ายไฟฟ้าว่าต่ออีกกี่นาที ทั้งหมดนี้ต่างจากบาสเก็ตบอล รักบี้ และอเมริกันฟุตบอล ที่คนดูรู้แน่นอนว่าเหลือเวลาอีกเท่าใด ในกีฬานี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้ตัดสินเพียงคนเดียว

          ทำไมถึงไม่แสดงเวลาให้คนทั่วสนามเห็นกันชัด ๆ ถ้ามีคนเจ็บก็กดให้นาฬิกาหยุดเดิน พอเริ่มแข่งก็ให้นาฬิกาเดินใหม่ หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องมาปวดหัวเพิ่มเวลาบาดเจ็บจนน่ารำคาญเพราะไม่รู้ว่ามีเวลาเหลือจริงเท่าใด นอกจากนี้ก็แทบไม่มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เลย เทนนิสเขาก็เลิกทะเลาะกันเรื่องลูกออกหรือไม่ออกไปแล้วเพราะมีเทปโทรทัศน์ให้ดูยามสงสัย รักบี้ก็มีคนดูเทปโทรทัศน์จากกล้องในแง่มุมต่าง ๆ อยู่ข้างบนยามเมื่อผู้ตัดสินไม่แน่ใจ และก็ให้คำแนะนำลงมาให้ผู้ตัดสิน

          ในกีฬาฟุตบอลผู้ตัดสินต้องตัดสินใจว่าลูกเข้าประตูหรือไม่ มีลูกโทษเกิดขึ้นหรือไม่ มีการล้ำหน้าหรือไม่ ฯลฯ ภายในเวลา 2-3 วินาที และถือว่าการตัดสินเป็นเด็ดขาด พฤติกรรม เต่าล้านปีเช่นนี้จึงเหมาะสมที่จะ “ซื้อ” กรรมการเป็นที่สุด ล่าสุดมีข่าวว่าจะใช้เทคโนโลยีที่ตัดสินว่าลูกเข้าประตูหรือไม่ และใช้สเปรย์สีขาวพ่นบนสนามหญ้าเพื่อให้อีกทีมถอยไปไม่ต่ำกว่า 10 หลาเมื่อมีฟรีคิก สีนี้จะละลายหายในเวลาไม่กี่นาที แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ตัดสินในแต่ละแมทช์ว่าจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้หรือไม่

          หากใครสงสัยการตัดสินประหลาด ๆ ของกรรมการ หรือผู้เล่นในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้เราก็พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้ายังมีใครที่เล่นพนันฟุตบอลโลกด้วยเงินมาก ๆ ภายใต้บริบทที่กล่าวมา เราก็คงจะเข้าใจได้ยากเหมือนกัน

          ความโลภกับความเขลามักเดินทางไปด้วยกันเสมอ
 

ครบ 70 ปี D-Day

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 มิถุนายน 2557

          D-Day หรือวันที่ฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองยกพลขึ้นบกครั้งใหญ่ที่ Normandy ได้เวียนมาบรรจบครบ 70 ปี ลองมานึกทบทวนกันว่ามันมีเรื่องราวอย่างไรในสงครามซึ่งโลกต้องสูญเสียไปกว่า 70 ล้านชีวิต

          สงครามโลกครั้งที่สองดำเนินอยู่ในช่วงเวลา ค.ศ. 1939 ถึง 1945 (6 ปีกับ 1 วัน) สำหรับด้านยุโรปฝ่ายอักษะเป็นผู้เริ่มสงครามโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ผู้นำของเยอรมันบุกยึดประเทศ ต่าง ๆ ในยุโรป อังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามคือฝ่ายพันธมิตรตอบโต้โดยในที่สุดได้กลายเป็นสงครามที่ผู้คนกว่า 100 ล้านคนจากกว่า 30 ประเทศเกี่ยวพัน มัน

          เป็นการต่อสู้ฆ่าฟันกันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตัวละครทั้งหลายทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีในทุกด้านเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายอย่างไม่มีการลดราวาศอก

          ในด้านเอเชีย ญี่ปุ่นรุกรานเอเชียและหมู่เกาะปาซิฟิกโดยรบกับจีนมาตั้งแต่ 1937 และถือว่าร่วมสงครามโลกอย่างแท้จริงเมื่อญี่ปุ่นบุกโจมตีอ่าว Pearl Harbor ที่ฮาไวซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม 1941 พร้อมกับบุกยึดดินแดนเอเชียไปทั่วรวมทั้งไทยด้วย

          ในช่วงแรกของสงครามคือ 1939-1941 เยอรมันจับมือกับอิตาลียึดครองพื้นที่ยุโรปอย่างกว้างขวาง เยอรมันกับสหภาพโซเวียตแบ่งดินแดนในยุโรปกันครอบครอง มีเพียงอังกฤษและประเทศในจักรภพอังกฤษเท่านั้นที่ต่อสู้กับการบุกรุกของเยอรมันโดยทำการรบในอาฟริกาเหนือและในทะเลกับเยอรมัน

          เหตุการณ์ผันผวนเมื่อสัมพันธ์ภาพระหว่างเยอรมันกับสหภาพโซเวียตขาดสะบั้นลงเมื่อ เยอรมันบุกสหภาพโซเวียตในปี 1941 ซึ่งประสบกับการตอบโต้กลับอย่างหนักหน่วง และหลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นหลังการถูกโจมตีแบบสายฟ้าแลบที่ Pearl Harbor ในปี 1941 ฝ่ายพันธมิตรก็เข้มแข็งขึ้นทันทีเพราะประกอบด้วย 3 ประเทศใหญ่คือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพโซเวียต โดยตระหนักดีว่าการจะรบชนะเยอรมันได้เด็ดขาดก็โดยการบุกเข้าโจมตีเมืองหลวงของเยอรมันคือเบอร์ลินให้ราบคาบ

          เยอรมันนั้นอยู่ติดทะเลเหนือ (มีอังกฤษ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฯลฯ อยู่ชายฝั่ง) อยู่ติดทะเลบอลติก (สวีเดน โปแลนด์ ฯลฯ อยู่ชายฝั่ง) และอยู่ติดกับฝรั่งเศสทางตะวันออก ซึ่งฝรั่งเศสนั้นตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกโดยมีพื้นที่ฝั่งทะเลที่กว้างขวาง ไม่เป็นหน้าผาชันเหมาะแก่การยกพลขึ้นบกเพื่อผ่านไปเยอรมัน

          ขณะที่สหรัฐอเมริการบกับญี่ปุ่นในเอเชีย ฝ่ายพันธมิตรก็วางแผนกันในกลางปี 1943 ที่จะยกพลขึ้นบกโดยพิจารณาเป้าหมายซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของฝรั่งเศส ซึ่งไม่ห่างจากฝั่งอังกฤษ เพียงข้ามช่องแคบอังกฤษก็ขึ้นฝั่งฝรั่งเศสและสามารถบุกลุยเข้าถล่มกรุงเบอร์ลินซึ่งเป็นฐานของฮิตเลอร์ได้

          ปัญหาสำคัญคือทำอย่างไรไม่ให้เยอรมันรู้ว่าจะยกพลขึ้นบกที่จุดใด เพราะฮิตเลอร์ก็คาดเดาได้ว่าจะมีการยกพลขึ้นบกบริเวณแนวชายฝั่งบริเวณนั้น ฝ่ายพันธมิตรจึงวางแผน “ลับ ลวง พราง” ให้เยอรมันเข้าใจสถานการณ์ที่ผิดพลาดก่อนถึงวันยกพลขึ้นบกจริง ซึ่งตั้งใจว่าจะเป็นประมาณกลางปีของ ค.ศ. 1944 หลังจากสะสมสรรพกำลังและกระทำการ ‘ลับ ลวง พราง’ ได้สำเร็จ

          Normandy แคว้นหนึ่งของฝรั่งเศสเป็นเป้าหมายเพราะมีหาดที่เหมาะสมตั้งอยู่ ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ว่า Normandy Invasion มีชื่อทางทหารว่า Operation Overlord คำว่า D-Day ในทางทหารหมายถึงวันลงมือปฏิบัติการ คนทั่วไปมักเรียกเหตุการณ์ยกพลขึ้นบกครั้งนั้นว่า D-Day ซึ่งถือกันว่าเป็น D-Day ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุดและเป็นก้าว สำคัญของการชนะสงครามในยุโรป และสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

          เป้าหมายของการยกพลขึ้นบกคือ 5 หาดของ Normandy ซึ่งกินระยะทางยาว 80 กิโลเมตร ฝ่ายพันธมิตรใช้กำลังรวม 1.3 ล้านคน ระหว่าง 6 มิถุนายน–24 กรกฎาคม 1944 ในขณะที่ฝ่ายป้องกันคือเยอรมันใช้ทหารเพียง 380,000 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน

          กำลังพลที่ใช้เพื่อบุกขึ้นบกของฝ่ายพันธมิตรคือทหาร 156,000 คน บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 12,000 คน และตาย 4,414 คน ฝ่ายเยอรมันใช้ทหาร 50,000 คน บาดเจ็บประมาณ 4,000-9,000 คน (ไม่ทราบจำนวนตาย) สาเหตุที่ฝ่ายเยอรมันใช้ทหารน้อยก็เนื่องจากถูกหลอกอย่างสนิทใจว่าจะมีการยกพลขึ้นบกที่จุดอื่น

          ฝ่ายพันธมิตรหลอกได้สำเร็จด้วยการตั้งโครงการหลอกลวงขึ้นมาโดยเฉพาะเรียกว่า Operation Bodyguard สาเหตุที่ทำได้สำเร็จก็เนื่องจากความก้าวหน้าในด้านข่าวกรองและจารกรรมของฝ่ายพันธมิตร สามารถถอดสัญญาณลับของการสื่อสารระหว่างหน่วยทหารของเยอรมันโดยกองทัพนาซีไม่รู้ นอกจากนี้งานจารกรรมใต้ดินของฝ่ายพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยพลเมืองของชาติ ต่าง ๆ ที่ถูกยึดครองก็ทำงานได้ผล

          ฝ่ายพันธมิตรสามารถประเมินได้ว่าข่าวลวงที่ปล่อยไปว่าจะยกพลขึ้นบกในบริเวณทาง ใต้ของฝรั่งเศส นอร์เวย์ หรือ Pas de Calais นั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด ประเด็นสำคัญก็คือการลวงให้เข้าใจผิดว่าการยกพลขึ้นบกทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปจะกระทำหลังจากวันจริงอีกหลายวัน

          เมื่อ D-Day มาถึง ทหารเยอรมันที่ต่อต้านจึงมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาก การโยกย้ายทหารมาจากจุดอื่นที่กระจายกันอยู่ทั่วชายฝั่งฝรั่งเศสเพื่อรับมือก็กระทำได้ช้าไม่ทันกับการบุกทะลวงของฝ่ายพันธมิตรซึ่งก่อนหน้ายกพลขึ้นบกก็มีทหารหน่วยพลร่มสอดแนมจำนวนมากเข้าไปเตรียมการไว้แล้ว นอกจากนี้ขณะยกพลขึ้นบกก็มีการโจมตีทางอากาศอย่างหนักนำร่องเพื่อช่วยไม่ให้ฝ่ายป้องกันตั้งตัวได้ทัน อีกทั้งยังมีกำลังเสริมตามมาอีกมากมาย

          ผู้ร่วมเหตุการณ์ D-Day ครั้งนั้นมีความกล้าหาญเป็นอันมากเพราะชายหาดเต็มไปด้วยกับระเบิด ขวากหนาม แท่งซีเมนต์กีดขวาง คลื่นลมแรง ยากต่อการขึ้นบกของเรือครึ่งบก ครึ่งน้ำ ชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรในการขึ้นบกครั้งนั้นทำให้สามารถรุกคืบยึดดินแดนฝรั่งเศสกลับคืนมาและบุกเข้าไปในดินแดนเยอรมันจนเผด็จศึกสำเร็จได้ ทั้งหมดใช้เวลาหลังจาก D-Day ประมาณ 11 เดือน

          ขอคารวะความกล้าหาญของผู้สู้รบในเหตุการณ์ครั้งนั้นซึ่งทำให้เกิดสันติภาพและมีผลกระทบต่อสงครามในเอเชียในเวลาอีกประมาณ 4 เดือนต่อมาคือในวันที่ 2 กันยายน 1945 เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม และสันติสุขก็กลับคืนมาสู่โลกและดินแดนไทยอีกครั้ง

Drone มีประโยชน์และโทษ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10 มิถุนายน 2557

          เครื่องบินชนิดไม่มีคนขับหรือ Drone เป็นที่รู้จักกันทั่วว่าเป็นอาวุธร้ายในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลางในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีบทบาทที่น่ารักของ Drone ก็มีอยู่เช่นกัน

          Drone มีชื่อเป็นทางการว่า UAV (Unmanned Aerial Vehicle) หมายถึงเครื่องบินที่ไม่มีมนุษย์เป็นผู้ขับ การบังคับการบินเป็นไปโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่ใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์บนเครื่อง หรือโดยนักบินที่อยู่บนพื้นดิน

          ความคิดที่จะใช้เครื่องบินไม่มีคนขับบอมบ์โจมตีศัตรูเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตคนขับมีมานานแล้ว ในกลางศตวรรษที่ 19 ในการรบระหว่างออสเตรียกับอิตาลีก็มีแนวคิดที่จะขนระเบิดใส่ลูกบัลลูนให้ลอยไปตกในแดนศัตรู

          ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) มีการใช้ UAV ซึ่งพัฒนาในขั้นแรกเพื่อการรบแต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพนัก ต่อมามีการพัฒนา UAV ขึ้นเป็นลำดับ และมีการใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ใช้ UAV หลายลักษณะเช่นสังเกตการณ์ ทิ้งระเบิด จารกรรม ฯลฯ แต่ก็ยังไม่ทรงอานุภาพอยู่ดี

          การพัฒนา UAV อย่างจริงจังเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1959 โดยกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา และใช้กันจริงจังมากขึ้นระหว่างสงครามเวียดนามโดยเฉพาะในการบินสังเกตการณ์ซึ่งถูกยิงตกไปทั้งหมด 554 ลำ แต่การใช้ Drone เป็นอาวุธดังเช่นปัจจุบันก็ยังไปไม่ถึง

          หลังเหตุการณ์ 9/11 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็หันมาพัฒนา UAV มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พัฒนาโดย CIA เพื่อล่าล้างแค้นผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานและปากีสถาน การพัฒนาด้านโทรคมนาคมและ IT อันนำไปสู่การใช้อุปกรณ์ที่ผนวกโทรศัพท์เข้ากับคอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวางทำให้การค้นหาเป้าโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ Drone เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ผู้นำของกลุ่มผู้ก่อการร้ายบางคนถูก Drone วิ่งเข้าใส่บ้านขณะกำลังใช้โทรศัพท์อยู่ มีรายงานว่า Osama bin Laden มีโทรศัพท์มือถือหลายเครื่อง หากใช้เสร็จหลังจากพูดสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีก็ทำลายทิ้งทันทีเพราะรู้ว่า Drone ลำเล็กอาจวิ่งเข้ามาทางหน้าต่างได้

          การพบ Osama bin Laden หลังจากค้นหามาหลายปีได้ก็เพราะบทบาทของ Drone ที่บินสังเกตการณ์เหนือบ้านพักต้องสงสัยในเมือง Abbottabad ในปากีสถาน และเห็นภาพคนตัวสูงผิดสังเกตซึ่งเข้าลักษณะของเป้าหมายเดินอยู่ในบริเวณบ้าน ถึงทางการสหรัฐอเมริกาจะไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็น Bin Laden ก็ตามแต่ก็กล้าเข้าบุกเพราะมีผังภาพของบ้าน รูปถ่ายประตูออกดาษฟ้าและหน้าต่างจาก Drone เป็นตัวประกอบสำคัญในการตัดสินใจ

          Drone ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กเท่ามอเตอร์ไซต์และขนาดใหญ่เท่ากับรถยนต์นั่ง มีสมองกลและอุปกรณ์การบินเหมือนเครื่องบิน มี “ตาทิพย์” ที่พยายามจับคู่ภาพเป้าหมายที่ได้ถ่ายมาก่อนแล้วกับภาพจริงที่ปรากฏข้างหน้า หากเหมือนกันก็จะวิ่งเข้าสู่เป้า หรือไม่ก็วิ่งเข้าสู่แหล่งปล่อยสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากโทรศัพท์มือถือ

          การโจมตี Drone ไม่แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์จนก่อให้เกิดปัญหาข้างเคียง มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เป้าหมายถูกระเบิดล้มตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่บ่อย ๆ อย่างน่าสมเพช สื่อวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ Drone ในการทำสงครามดังกล่าวอยู่มาก

          อย่างไรก็ดีอีกฟากหนึ่งของการพัฒนา Drone คือการนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างสรรค์มากกว่าทำลายชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง เช่น งานตำรวจ การดับเพลิง งานความมั่นคง การตรวจสอบท่อน้ำหรือน้ำมัน ฯลฯ และล่าสุดในการถ่ายภาพนอกสถานที่

          ปัจจุบันมีการผลิต Drone ลำเล็กมาก สามารถบังคับโดยโทรศัพท์มือถือออกมาขายในสหรัฐอเมริกาในราคาประมาณ 10,000 บาท Drone ลำนี้จะบินขึ้นไปเพื่อถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอกลางแจ้ง โดยสามารถบังคับให้บินสูงต่ำได้

          จากประสบการณ์ของผู้ใช้มีเสียงพูดตรงกันว่าเยี่ยมยอดสำหรับการบันทึกภาพของการไปเที่ยวของครอบครัวกลางแจ้ง หรือเหตุการณ์สำคัญ (การชุมนุมใหญ่ที่ผ่านไปมี Drone ของสื่อ บินถ่ายภาพอยู่เนือง ๆ)

          ปัญหาก็คือการบังคับให้บินไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมของการถ่ายภาพ เนื่องจาก ผู้บังคับอยู่ในระดับพื้นดินจึงไม่อาจทราบได้ชัดเจนว่าจุดใดจะสามารถรับภาพได้ดังประสงค์ที่สุด นอกจากนี้ความสามารถในการบังคับ Drone ไม่ให้วิ่งชนต้นไม้หรืออาคารก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

          Drone ถ่ายภาพพัฒนาขึ้นทุกที สามารถบินเชื่อมโยงกับระบบ GPS โดยสามารถบังคับให้บินวนอยู่ตำแหน่งเดิมได้ อย่างไรก็ดีกระทำได้ในเวลาต่ำกว่า 30 นาทีของอายุแบตเตอรี่ และความสูงที่ต่ำกว่า 50 เมตร

          การเกิดขึ้นของ Drone ในชีวิตประจำวันที่มีประสิทธิภาพจำนวนมากทำให้เกิดปัญหาการล้ำสิทธิ คนจำนวนมากไม่พอใจที่ Drone บินผ่านบ้านตนเองซึ่งอาจถ่ายทอดหรือบันทึกภาพความเป็นส่วนตัวภายในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัย

          Drone ตกได้ไม่ยากเมื่อมีลมหรือฝนแรง หรือการบังคับผิดพลาด การตกลงมาจนเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินผู้อื่นเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก และอาจเป็นอันตรายต่อการบินของเครื่องบินต่าง ๆ ได้

          Drone มีประโยชน์ในการตรวจการณ์ความผิดปกติ เช่น จี้ปล้น ไฟไหม้ การก่อการร้าย และสันทนาการ ตลอดจนการสงครามต่าง ๆ แต่ก็ต้องคำนึงถึงด้านลบของการใช้ด้วย

          ทางการสหรัฐอเมริกาห้าม Drone ของประชาชนบินสูงกว่า 20 เมตร ห้ามข้ามบ้านหรืออาคารของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต ห้ามบินใกล้สนามบินโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัจจุบันเมือง ต่าง ๆ ก็ออกกฎควบคุมการใช้ Drone เพื่อป้องกันความเสียหาย

          Drone ของทหารก่อให้เกิดความหวาดหวั่นว่าบ้านใครและชีวิตใครก็อาจถูกทำลายโดยไม่รู้ตัวได้ แม้แต่พลเมืองของประเทศเดียวกันเอง ส่วน Drone ของประชาชนก็มีประโยชน์มากมาย แต่ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้มากมายหากไม่ระมัดระวัง

          ทุกสิ่งมีประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็มีโทษ การสร้างกฎกติกาเพื่อหาความสมดุลระหว่างประโยชน์และโทษเป็นประเด็นสำคัญของทุกสังคม