เรื่องแปลกจากอินโดนีเซีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
5 เมษายน 2559

          ผู้เขียนได้ไปอินโดนีเซียมาจึงขอนำเรื่องล่าสุดเกี่ยวกับประเทศพี่ใหญ่แห่งอาเซียนนี้มา เล่าสู่กันฟัง ขอเล่าเฉพาะเรื่องแปลก ๆ ที่อาจมีคนจำนวนไม่มากนักทราบกัน

          หลังจากที่ไม่ได้ไปเมืองจาการ์ต้าเมืองหลวงมาประมาณกว่า 10 ปี ผู้เขียนบอกได้เลยว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คลองจำนวนมากน้ำใส มีต้นไม้ปลูกริมคลองสวยงาม สะอาดและร่มรื่นในหลายบริเวณ ต้นไม้ใหญ่มีหนาตาขึ้น และเย็นตาท่ามกลางความร้อนกว่าบ้านเรา (ใกล้เส้นศูนย์สูตรซึ่งวิ่งผ่านอินโดนีเซียทางตอนเหนือ)

          ผู้เขียนไปอินโดนีเซียโดยเฉพาะจาการ์ต้ามานับสิบ ๆ ครั้งในระหว่างปี 1980-2000 ล่าสุดไปเมืองบันดุงเมื่อ 2 ปีก่อน จึงเชื่อว่าพอให้ภาพเปรียบเทียบได้

          ประเทศนี้มีประชากรปัจจุบันประมาณกว่า 250 ล้านคน เฉพาะจาการ์ต้ามีคนอาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน หากรวมรอบนอกด้วยก็อาจถึง 20 ล้านคน หากดูด้วยสายตาและสังเกตการเปลี่ยนแปลง พูดได้เต็มปากว่าการบริหารจัดการเมืองใหญ่และประเทศใหญ่เช่นนี้เป็นไปด้วยดีกว่าสมัยก่อนเป็นอันมาก

          จาการ์ต้าเป็นแหล่งของการมีงานทำ ผู้คนจึงหลั่งไหลอพยพจากเกือบทุกบริเวณของอินโดนีเซียเข้ามาหางานทำซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย คนเร่ร่อนจึงมีอยู่มากพอควร อาชีพหนึ่งที่บ้านเรายังไม่มีคืองานช่วยการจราจรเล็ก ๆ น้อย ๆเพื่อหารายได้ เช่น ช่วยโบกรถเวลาเลี้ยวยูเทิร์น (ไปยืนขวางนั่นแหละเพื่อให้คันที่หมายตาไว้สามารถเลี้ยวได้สะดวก) คนขับก็จะเปิดกระจกและหยิบเงินให้ประมาณ 2,000 รูปี (ประมาณ 6 บาท อัตราแลกเปลี่ยนคือ 10,000 รูปี เท่ากับ 30 บาท) ทำเช่นนี้เกือบตลอดเวลาในเมืองจน ข้างคนขับรถบัสจะมีธนบัตร 2,000 รูปีไว้เป็นตั้งเพื่อเอาไว้จ่าย “ผู้ช่วย” ซึ่งมีอยู่แทบ ทุกแยก เรื่องนี้น่าจะเป็นทัศนคติของ “พอ ๆ ช่วยกันไป” ให้อยู่กันได้เพราะสมประโยชน์กัน ซึ่งเป็นเรื่องน่ารัก

          นอกจากนี้ถนนบางสายที่ห้ามรถยนต์ที่มีต่ำกว่า 3 คนนั่งผ่าน ก็จะมีคนยืนคอยรับจ้างนั่งโดยสารไปกับรถที่ขับมาคนเดียวหรือสองคนเพื่อไม่ให้ถูกจับ ทุกเช้าเวลาเร่งด่วนจะมีคนได้รับรายได้ไม่น้อยจากการแก้เผ็ดมาตรการแก้ไขปัญหาจราจรนี้ทีเดียว

          อินโดนีเซียไม่มีระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือบนดิน แต่ที่มีและได้ผลก็คือบริการรถโดยสารที่บ้านเราเรียกว่า BRT แถวถนนนราธิวาส ฯ กล่าวคือมีช่องทางพิเศษให้รถโดยสารวิ่งตลอดเวลาโดยมีอิฐกั้นเตี้ย ๆ ป้องกันคนอื่นไปช่วยใช้ซึ่งมีมอเตอร์ไซค์เข้าไปวิ่งให้เห็นอยู่บ้าง

          สิ่งที่อัศจรรย์อย่างมากก็คือมอเตอร์ไซค์ที่มีอยู่มากมายเหมือนบ้านเรานั้น คนขี่ ทุกคนใส่หมวกกันน็อกและเป็นหมวกจริงไม่ใช่ปลอม ๆ ผู้เขียนจ้องจับผิดอยู่หลายวันก็ยังไม่เคยเห็นแม้แต่คนเดียวที่ไม่ใส่บนถนนในจาการ์ต้า ซึ่งเหมือนกับที่ฮานอย ตำรวจเขาเข้มข้นได้จริง ๆ ในเรื่องนี้ เขาทำสำเร็จได้อย่างไรน่าศึกษามาก

          อินโดนีเซียประกอบด้วยเกาะจำนวน 14,000 เกาะ ประกอบด้วยกลุ่มเกาะใหญ่ 5 กลุ่ม

          ซึ่งได้แก่ Sumatra/Java (ประชากรกว่าร้อยละ50 อยู่บนเกาะนี้) / Kalimantan / Sulawesi / Lesser Sunda Islands (บาหลีอยู่ในนี้) ดังนั้นจึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างยิ่ง (คำขวัญของประเทศคือ “Unity in Diversity”)

          อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นลำดับสี่ของโลก เป็นประเทศมุสลิมที่มีประชากรมากที่สุด มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทย 2.4 เท่า พื้นที่ซึ่งเป็นที่ดินใหญ่กว่าไทย สี่เท่าตัว (ไทย 500,000 ตารางกิโลเมตร อินโดนีเซียเกือบ 2 ล้านตารางกิโลเมตร) รายได้ประชากรต่อหัวของไทยคือ 5,400 เหรียญสหรัฐ (180,000 บาท) ต่อปี ส่วนอินโดนีเซียคือ 3,500 (115,000 บาท) เวียดนาม 2,300 (80,000 บาท)

          ขนาดเศรษฐกิจและประชากรที่ใหญ่กว่าเพื่อนใน ASEAN จึงทำให้เป็นผู้นำไปโดยปริยาย หากอินโดนีเซียไม่นำ ASEAN อย่างจริงจัง การเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ก็คงเป็นไปได้ยากในความเป็นจริง ถึงแม้ว่าในทางการจะเป็นไปแล้วตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2015 ก็ตาม

          เป็นที่ทราบกันดีใน ASEAN ว่าประเทศที่ประชาชนมีความตื่นตัวมากที่สุดกับการเป็นประชาคมอาเซียนก็คือประเทศไทย ไม่ว่าจะไปโรงเรียนเล็กหรือใหญ่ในเมืองหรือชนบท จะเห็นเรื่องราวของ ASEAN ติดอยู่ข้างฝาห้องเรียน บ้างก็มีธงชาติหรือข้อมูลเกี่ยวกับประเทศสมาชิกแสดงไว้

          เราไปไกลกันถึงกับเลื่อนการเปิดเรียนภาคแรกของสถาบันอุดมศึกษาทั้งหมด จากเดิมมิถุนายนไปเป็นเดือนสิงหาคม ทั้งนี้เพื่อให้ตรงกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งแท้จริงแล้วก็ไม่ตรงกับอีกหลายประเทศสมาชิกอยู่ดี และท่ามกลางความร้อนระอุของเดือนเมษายนและพฤษภาคม นักศึกษามหาวิทยาลัยต้องเรียนภาคสองกันอย่างเหงื่อไหลไคลย้อยเพื่อความเป็นอาเซียน

          พูดถึงเรื่องความร้อนก็สังเกตเห็นว่าบ้านของผู้คนในเกาะชวานั้นมักไม่มีหน้าต่างระบายอากาศ จะมีความรู้สึกว่าค่อนข้างมืดและอึดอัดสำหรับคนที่ชอบลมเย็นพัดโกรกบ้านแบบคนไทย ได้ทราบว่าคนอินโดนีเซียโดยทั่วไปไม่ชอบการปะทะลมเย็นที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ และจาก ลมธรรมชาติ ดังนั้นเกือบทุกสถานที่จึงไม่เย็นฉ่ำเสมือนอยู่ขั้วโลกเหนือเช่นบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นล็อบบี้โรงแรม สนามบิน ศูนย์การค้า สถานที่สาธารณะต่างมีความเย็นลักษณะนี้เหมือนกันหมด ได้ทราบว่าเหตุผลคือบางคนกลัวไม่สบาย แต่บ้างมีความเชื่อว่าลมนำสิ่งชั่วร้ายมา

          คนอินโดนีเซียดูจะทนความร้อนได้ดีกว่าคนไทย เสื้อบาติกคอเสื้อเชิ้ตปล่อยชายซึ่งเคยเป็นเครื่องแบบประจำชาติอันศักดิ์สิทธิ์ (โดยเฉพาะมีแขนยาว) ปัจจุบันใส่กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน กล่าวคือชายเกือบทุกคนใส่เสื้อบาติคแบบเดิมปล่อยชายสไตล์เสื้อฮาวาย แขนสั้นเพียงแต่เป็นผ้าลายบาติค และผ้าส่วนใหญ่ก็เป็นลายพิมพ์ด้วยเครื่องจักร ไม่ใช่ทำด้วยมือเหมือนเครื่องแบบประจำชาติ เสื้อแบบนี้เหมาะสมมากกับอากาศร้อน ใส่สบายเพราะระบายอากาศได้ดี

          สิ่งที่ประทับใจของทุกคนที่ไปเยือนจาการ์ต้าก็คือ การจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก เกือบทุกแห่ง ทุกเวลา เดิมก็ติดขัดมายาวนาน แต่เมื่อมีการปิดกั้นช่องทางเพื่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินและบนดินจึงทำให้ติดขัดยิ่งขึ้น เมืองอื่น ๆ ที่เห็นก็ติดขัดเช่นเดียวกัน

          ทางด่วนที่พอมีอยู่บ้างก็ติดขัดเหมือนถนนธรรมดา ใครที่เบื่อหน่ายการจราจรกรุงเทพฯ ถ้าเห็นจราจรที่จาการ์ต้าแล้วจะรู้ว่าของเรานั้นเพียงอยู่ในระดับลูกเท่านั้นเอง (ถ้าอยากเห็นระดับปู่ขนานแท้ก็ต้องไปมะนิลาครับ)

          สิ่งแปลกอีกอย่างหนึ่งซึ่งตรงข้ามความเข้าใจของคนไทยก็คือค่าจ้างแรงงานไร้ฝีมือของโรงงานในบริเวณตะวันตกของเกาะชวา คือแถบจาการ์ต้านั้นสูงกว่าไทย มีการคำนวณว่าอาจสูงถึงประมาณ 340 บาทต่อวัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถึงแม้ตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำจะต่ำจริงแต่ที่นี่จ่ายเป็นรายเดือนโดยเดือนหนึ่งทำงาน 25 วัน ถึงแม้จะไม่มาทำงานก็ได้เงิน และได้รับสวัสดิการอื่น ๆ ด้วย เช่น แรงงานทุกคนได้รับโบนัสไม่ต่ำกว่า 1 เดือนต่อปี รัฐบาลเป็นผู้บังคับกฎเกณฑ์ และจะสั่งให้ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงกดดันจากสหภาพแรงงานในปัจจุบัน สำหรับไทยนั้นจ่ายเป็นรายวัน ๆ ละ 300 บาท หากไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน เมื่อคำนวณดูจำนวนวันที่ทำงานจริง ๆ และรายจ่ายอื่น ๆ ก็พบว่าค่าแรงอินโดนีเฃียในบริเวณนี้โดยแท้จริงแล้วสูงกว่าไทย อย่างไรก็ดีในท้องที่อื่น ๆ ที่ไกลออกไปทางตะวันออกของเกาะชวา ค่าจ้างแรงงานไร้ฝีมือต่ำกว่ามากเนื่องจากมีแรงงานเหลือเฟือ

          อินโดนีเซียเป็นประเทศน่าท่องเที่ยวเพราะงดงามด้วยภูมิประเทศและความหลากหลายของวัฒนธรรม มีสินค้าทุกระดับให้ฃื้อในชอปปิ้งมอลล์จำนวนมาก เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินและบนดินเสร็จจะน่าท่องเที่ยวยิ่งขึ้นอีกมาก

เศรษฐีพันล้านแปรสภาพเป็นยาจก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
29 มีนาคม 2559

          การที่มหาเศรษฐีพันล้านไต่เต้าจากการสร้างตนเอง สามารถล้มละลาย หมดเนื้อ หมดตัวได้ในเวลา 5 ปี เป็นเรื่องน่าตื่นใจและน่าศึกษาเพื่อให้คนที่รวยน้อยกว่านั้นมากไม่เจริญรอยตามหนุ่มอายุ 40 ปี ชาวออสเตรเลียผู้นี้มีอะไรพิเศษหรือจึงทำอะไรที่น่าจะยากขนาดนั้นได้

          ชื่อของเขาคือ Nathan Tinkler บ้านเกิดอยู่ในรัฐ New South Wales เขาเรียนไม่จบมัธยมปลายและเคยเรียนบางวิชาในวิทยาลัยเทคนิค (ในสมัยนั้นเรียกว่า TAFE) เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นช่างไฟฟ้า และทำงานในเหมืองถ่านหินบริเวณนั้นพักหนึ่ง ในช่วงเวลานี้เขามีชื่อเสียงว่ามีหนี้สินแยะและไม่ยอมชำระหนี้ อย่างไรก็ดีเมื่ออายุได้ 26 ปี เขาก็ตั้งบริษัทรับจ้างดูแลรักษาเครื่องจักร

          ดวงชะตาของเขาพลิกผัน ในปี 2006 เมื่อเขากู้เงินได้ 500,000 เหรียญก็นำไปซื้อเหมืองถ่านหินในรัฐ Queensland มูลค่า 11.5 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (หน่วยเงินที่ระบุต่อไปจะเป็น สกุลนี้) แต่ในปลายปี 2007 เขาสามารถขาย ร้อยละ 70 ของหุ้นบริษัทให้บริษัท Macarthur Coal ในราคา 57 ล้านเหรียญโดยรับเป็นเงินสดบวกกับอีก 184 ล้านเหรียญในรูปของหุ้น

          หลังจากนั้นเขาก็สามารถหาสมัครพรรคพวกระดมทุนซื้อหุ้นของบริษัท Macarthur Coal ที่เขาขายเหมืองถ่านหินให้ไป ปรากฏว่าหุ้นมีราคาเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว Tinkler เห็นช่องทางรวยจริงไม่ใช่บนกระดาษ ดังนั้นในเดือนพฤษภาคม 2008 เขาจึงขายหุ้นทั้งหมดของเขาใน Macarthur Coal ไปในราคา 422 ล้านเหรียญ

          ในปี 2008 ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในบรรดาเศรษฐีอายุน้อยสุดของออสเตรเลีย โดยมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 441 ล้านเหรียญ เป็นคนรวยที่สุดอันดับสองของประเทศในวัยต่ำกว่า 40 ปี

          หลังจากนั้นเขาก็ทำธุรกิจการเงินในการซื้อขายหุ้นของบริษัทถ่านหิน จนรวยขึ้นอีกมาก และในปี 2012 เขาก็ขายบ้านช่อง อพยพไปอยู่สิงคโปร์

          เงินนั้นมันต่อเงิน เมื่อมีเงินมากในธุรกิจค้าขายถ่านหินซึ่งราคาถีบตัวสูงขึ้น ทุกวัน เขาก็ยิ่งรวยยิ่งขึ้นนับพันล้านเหรียญ การรวยขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นทำให้เกิดวิบากกรรมคือการต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานะใหม่ของเขา

          เขาและครอบครัวล้มเหลวในเรื่องนี้เพราะใช้จ่ายเงินกันอย่างสนุกมือ ในปี 2010 เขาซื้อทีมออสเตรเลียฟุตบอล ชื่อ Newcastle Jets ซึ่งอยู่ใน league ชั้น A ในราคาหลายล้านเหรียญ แค่นี้ยังไม่พอเขาซื้อทีม Rugby League ชื่อ Newcastle Knights ในราคาที่สูงด้วย นอกจากนี้ยังซื้อคฤหาสน์ในฮาวาย ทรัพย์สินในที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ตลอดจนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ม้าแข่งราคาแพง รถสปอร์ต ฯลฯ

          ในปี 2012 ตัวเขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 1,180 ล้านเหรียญ แต่ในเดือนกันยายนของปีเดียวกัน มูลค่าดังกล่าวเหลือเพียง 630 ล้านเหรียญเนื่องจากราคาของถ่านหินตกลงอย่างน่ากลัว สาเหตุของการตกก็คือความต้องการที่ลดน้อยลงมากอันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง

          หลายบริษัทของ Tinkler ประสบปัญหาการเงินทันที ม้าแข่งชั้นยอดของเขาที่ต้องมีการดูแลอย่างดีขาดเงินจนต้องขายไปตอนกลางปี 2013 ในปลายปี 2012 และต้นปี 2013 การเงินก็ตึงตัวมาก ไม่มีเงินเดือนจ่ายพนักงานหลายบริษัท เจ้าหนี้ตามไล่หนี้ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของตัวเขาตกลงเหลือ 235 ล้านเหรียญ

          ตลอดปี 2014 เขาต้องใช้หนี้ด้วยการขายหุ้นและทรัพย์สิน ตลอดจนไร่ส่วนตัว แต่ก็ไม่พอกับหนี้ที่ค้างอยู่ ในเดือนกรกฎาคม 2015 ศาลออกหมายจับเขาเมื่อไม่ไปปรากฏตัวต่อหน้าศาลในคดีขายฟาร์มเลี้ยงม้า

          ทางการทวงหนี้ภาษีที่ค้างชำระอยู่ 6.4 ล้านเหรียญ และเริ่มกระบวนการล้มละลายเนื่องจากมีหนี้สินล้นพ้นตัว แค่นี้ยังไม่พอเขาถูกสอบสวนในเรื่องคอรัปชั่นโดยจ่ายเงินติดสินบนนักการเมืองของรัฐ New South Wales เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบริษัทเขา

          ในต้นเดือนมีนาคม 2016 ศาลตัดสินให้เขาเป็นบุคคลล้มละลายอันเนื่องมาจากหนี้มูลค่า 2.25 ล้านเหรียญที่ค้างจากการซื้อเครื่องบินเจ็ต ซึ่งเขาไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้หลังจากชำระหนี้ไปบ้างแล้วของหลายบริษัทในจำนวนทั้งหมด 50 กว่าบริษัท

          อย่างไรก็ดีสื่อรายงานว่าเขาอาจเล่นกล แอบซ่อนทรัพย์สมบัติไว้อีกมาก (“ล้มบนฟูก”ในขอบเขตหนึ่ง) เพราะคฤหาสน์ที่ฮาวายในชื่อของภรรยาเขาตลอดจนสมบัติอีกหลายชิ้นก็ยังคงอยู่ ทรัพย์สินแอบซ่อนมีอยู่จริงหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องสืบหาและฟ้องร้องกันตามกฎหมาย แต่ที่แน่นอนก็คือเขามีเงินน้อยกว่าเก่ามากมาย ความมั่งคั่งสูญหายไปเกือบทั้งหมด ไม่นับชื่อเสียงที่แทบไม่มีอะไรเหลือ

          คำถามก็คือเศรษฐีพันล้านตกสวรรค์ได้อย่างไรในเวลาไม่กี่ปี คำตอบอาจเป็นว่า (ก) ความโลภที่ไม่สิ้นสุดโดยกล้าเสี่ยงเพื่อรวยยิ่งขึ้นต่อไป (ข) ใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง และ

          (ค) ประมาทโดยไม่เชื่อว่าถ่านหินจะมีราคาตกลงมาก

          ถ้าแม้น Tinkler ไม่สุ่มเสี่ยงมากเกินไปหลังจากที่รวยขึ้นมากแล้วโดยขยายธุรกิจอย่างเหมาะสม (เขาผู้ไม่ใช้หลักคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” คงบอกว่าเหมาะสมแล้ว) ถึงแม้ราคาจะผันผวนก็คงไม่กระทบเขามากมาย และถ้าเขาไม่ใช้จ่ายเงินอย่างสนุกสนานเกินไปแล้ว ยอดหนี้และรายจ่ายก็คงไม่สูงเกินไป และอาจรับมือกับการตกของราคา

          ถ่านหินได้ แต่เมื่อสุดสวิงไปทั้งสองทางคือการพยายามหารายได้เพิ่มขึ้นและการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เมื่อเกิดการสะดุดขึ้นก็ขาดเงินสดและนำไปสู่ปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย

          “ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย” เป็นจริงเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประมาทในเรื่องเงินทองซึ่งมองเห็นไม่ชัดเหมือนขับรถเร็วแล้ว ความพินาศก็สามารถมาเยือนได้เร็วกว่าที่คาดคิด

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 มีนาคม 2559

          ลองพิจารณาตัวอย่างของสิ่งอัศจรรย์ต่อไปนี้ (1) ผ่าตัดมนุษย์โดยใช้หุ่นยนต์ซึ่งมีแพทย์อยู่ไกลออกไปนับพันกิโลเมตรเป็นผู้ควบคุม (2) กลืนยาซึ่งจะถูกย่อยสลายอย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีแผนวงจรไฟฟ้าควบคุมอยู่ในเม็ดยา (3) รถยนต์ไม่ต้องใช้คนขับ (4) stem cell ชะลอวัยและช่วยเสริมสร้างอวัยวะ (5) กลืนหุ่นยนต์เล็กขนาดมองไม่เห็นเพื่อรักษาโรคหรือซ่อมแซมยีนส์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่

          โลกเรามีปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกเมื่อ 232 ปีก่อนคือใน ค.ศ. 1784 ซึ่งใช้ไอน้ำเป็นพลังในการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม ต่อมาใน ค.ศ. 1870 มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง ซึ่งใช้ไฟฟ้าเป็นพลังของการผลิตขนาดใหญ่ และเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สามใน ค.ศ. 1969 ซึ่งใช้อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการผลิตสินค้าและบริการนานาชนิดเพื่อรับใช้มนุษย์โดยมีต้นทุนต่ำลงและให้ความสะดวกสบายแก่มนุษย์

          เมื่อ 8 ปีที่แล้วภายใต้การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สาม โลกรู้จักไอโฟนซึ่งถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่เปลี่ยนแปลงโลกอย่างแท้จริง ในปัจจุบันบนรถไฟฟ้า เราจะเห็นคนยืนและนั่งกดสมาร์ทโฟนกันแทบทุกคน หลายครอบครัวเมื่อรับประทานอาหารเย็นกันในครอบครัว ต่างคนก็ต่างนั่งก้มหน้ากดสมาร์ทโฟนกันคนละเครื่อง พูดกันน้อยมาก เสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปสู่ความบันเทิงส่วนตัวจากสมาร์ทโฟนของแต่ละคน การดูโทรทัศน์ร่วมกันและคุยกันอย่างเดิมหายไปในหลายครอบครัว

          เมื่อตื่นนอนเช้าก่อนแปรงฟันล้างหน้า สิ่งแรกที่ทำคือหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูว่าใครกดไลค์ให้เราบ้าง ใครส่งไลน์มากู๊ดมอร์นิ่ง หรือเราจะส่งไปให้ใครดี ได้ยินแต่เสียงปุ๊ง ๆ เมื่อข้อความจากไลน์เข้ามาทั้งวัน เราสนุกและมีความสุขแบบใหม่อย่างแตกต่างกว่าเมื่อ 7-8 ปีก่อน หรือแม้แต่ 1-2 ปีก่อนสำหรับบางท่านอย่างสิ้นเชิง

          เราสามารถทักทาย ติดต่อ สื่อสารกับเพื่อนและญาติซึ่งอยู่ที่ไหนในโลก หรือกับเพื่อนที่ไม่เคยติดต่อกันมาเป็นสิบ ๆ ปีก็ได้ ทุกอย่างรวดเร็ว มีทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ส่งกันกลับไปมาอย่างทันใจ อยากฟังเพลงอะไร อยากรู้เรื่องใด อยากรู้ว่าคนที่เพิ่งพบเป็นใคร ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างรวดเร็วที่ปลายนิ้ว

          ท่ามกลางความก้าวหน้าด้าน IT ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม ยังมีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำคัญอีก หลายด้าน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) พันธุวิศวกรรม หุ่นยนต์ นานาเทคโนโลยี การพิมพ์สามมิติ ไบโอเทคโนโลยี ฯลฯ เช่นกัน

          การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่หมายถึงการต่อยอดหรือการผสมผสานกันของเทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้นจนเทคโนโลยีเหล่านี้เบลอ ข้ามกันไปมาจนแทบบอกไม่ได้ว่าเป็นเทคโนโลยีด้านใด ตัวอย่างเช่น โซลาเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงแสงแดดเป็นพลังไฟฟ้า ปัจจุบันมีงานวิจัยที่ต้องการใช้อินทรีย์วัตถุ (หาได้ง่าย และไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากเท่าวัสดุที่สร้างขึ้นมา) มาฉาบผิวกระจกโซลาเซลล์หรือพัฒนาขึ้นเป็นโซลาเซลล์ ยาซึ่งเคลือบแผงวงจรไฟฟ้าเพื่อให้ยาถูกย่อยสลายตรงตามเวลาที่เหมาะสม หรือหุ่นยนต์ขนาดเล็กมากที่มีแผนวงจรไฟฟ้าเมื่อกลืนเข้าไปก็สามารถรักษายีนส์ที่บกพร่องได้

          เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สามยังเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำรงชีวิต รูปแบบการทำงาน (ใช้ CCTV ทำงานแทน รปภ.) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ฯลฯ มากถึงเพียงนี้แล้ว การปฏิวัติครั้งที่สี่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของเรามากเพียงใด

          เมื่อเทคโนโลยีฃึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เป็นธรรมดาที่สรรพสิ่งต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายอย่างที่เคยมีก็จะหายไป (ร้านถ่าย อัด ขยายรูปแบบเดิม การขายฟิล์ม โรงเรียนสอนพิมพ์ดีด สถานประกอบธุรกิจจัดหาหาบ้านเช่า พนักงานขับรถ เจ้าหน้าที่บริหาร แรงงานไร้ฝีมือแบบดั้งเดิม) ลักษณะงานต่าง ๆ ก็จะแปรเปลี่ยนไป เช่น บางส่วนของการตลาดแบบเดิมก็กลายเป็น Digital Marketing (ทำการตลาดโดยใช้โซเชียลมีเดีย เช่น facebook ไลน์) หากยึดติดกับความรู้แต่เรื่องการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างเดียว หรือ IT อย่างเดียวโดยไม่เพิ่มเติมความรู้และทักษะด้านอื่นประกอบก็จะหางานทำไม่ได้

          การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่สุดนับตั้งแต่มนุษย์มีหน้าตาแบบปัจจุบันเมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน หรือตลอด7,500 ชั่วคนที่ผ่านมา เด็กที่เกิดในวันนี้ในประเทศพัฒนาแล้วมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ถึง 120 ปี เนื่องจากความสามารถในการแก้ไขยีนส์ซึ่งบกพร่องอันเป็นสาเหตุแห่งความเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของมนุษย์จำนวนมาก

          ความสามารถของเทคโนโลยีในอนาคตในการแก้ไขยีนส์ที่บกพร่องจะทำให้มนุษย์มีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น ไม่เจ็บป่วยอันเนื่องมาจากพันธุกรรม แต่สิ่งนี้มิได้เกิดกับมนุษย์ทั้งมวล หากเฉพาะกลุ่มที่มีเงินทองพอที่จะจ้างแพทย์ให้แก้ไขยีนส์ให้มีความสมบูรณ์ขึ้นได้ ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าห่วงเพราะปัจจุบันความเหลื่อมล้ำของฐานะทางเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ของโลกอยู่แล้ว หากคนที่มีเงินสามารถทำให้ยีนส์ของตนเองมีคุณภาพดียิ่งขึ้นเช่น ฉลาดและแข็งแรงมากขึ้น ก็จะส่งผลให้มีฐานะทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก็จะยิ่งมากขึ้น

          ข้อเสนอแนะที่หลายประเทศเห็นพ้องต้องกันในการรับมือกับการปฏิวัติครั้งใหม่นี้ก็คือการดำเนินการปฏิรูปใน 3 ประเด็นสำคัญดังนี้ (1) ในระยะสั้นควรเร่งผลักดันมาตรการปรับทักษะการทำงาน (retraining) ของกำลังแรงานที่มีอยู่โดยเร็วเพื่อให้เกิดทักษะใหม่ ๆ อันเป็นที่ต้องการของนายจ้าง

          (2) ในระยะกลาง ภาครัฐควรปฏิรูประบบการศึกษาครั้งใหญ่โดยผนึกกำลังจาก ทุกภาคส่วนในแนวรุกเพื่อให้ระบบการศึกษาสามารถผลิตทักษะของกำลังคนที่ตรงกับความต้องการใหม่ของตลาดแรงงาน อีกทั้งยังสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างเหมาะสม

          (3) ในระยะยาว ภาครัฐควรสนับสนุนการลงทุนเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อให้สามารถตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ สำหรับการพัฒนากำลังคนและการส่งเสริมการลงทุนภาคธุรกิจ ตลอดจนเพื่อให้สามารถปรับยุทธศาสตร์ของประเทศไทยได้อย่างทันเวลา

          สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของข้อเสนอทั้ง 3 ระยะก็คือการมีกำลังคนที่มีคุณภาพ ประกอบกับการตัดสินใจในเชิงนโยบายที่ถูกต้องของภาครัฐ ประเทศใดที่มีสองสิ่งสำคัญนี้ก็จะสามารถตอบรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ของโลกได้อย่างดี

          ไม่มีใครสามารถหยุดพลังความก้าวหน้าของเทคโนโลยีภายใต้การปฏิวัติครั้งที่สี่ได้ สิ่งที่แต่ละสังคมพอทำได้ก็คือการปรับตัว โดยมีสมาชิกสังคมที่มีคุณภาพเป็นฐาน

พระนักต้มตุ๋นแห่งสิงคโปร์

วรากรณ์  สามโกเศศ 
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 มีนาคม 2559

          เรามักได้ยินเรื่องฮื้อฉาวของพระและนักเทศน์ในดินแดนไกล ๆ เช่นสหรัฐอเมริกัน มีข้อมูลว่าในรอบ 40 ปี ที่ผ่านมามีจำนวนถึง 28 คนที่ติดคุกและถูกลงโทษ ในประเทศใกล้บ้านเราคือสิงคโปร์ก็มีเรื่องราวลักษณะนี้เช่นกัน

          เรื่องแรกฮื้อฉาวมากในระหว่างปี 2008-2010 คือเมื่อพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายจีน ชื่อ Shi Ming Yi ถูกสอบสวนเรื่องแอบเอาเงินบริจาคไปใช้ส่วนตัว เรื่องก็มีอยู่ว่าหลวงพ่อองค์นี้ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัด Foo Hai Ch’an ในสิงคโปร์ ในปี 1994 สร้างโรงพยาบาล 175 เตียง ชื่อว่า Ren Ci Hospital and Medicare Center เพื่อช่วยคนป่วยที่ยากจน ในปี 1996 รัฐบาลสิงคโปร์มอบเหรียญ Public Service Medal ให้หลวงพ่อสำหรับการเสียสละทำงานให้สังคม

          หลวงพ่อ Ming Yi ไม่หยุดแค่นั้น รับเงินบริจาคที่ไหลเข้ามาเป็นสายน้ำสร้างสถาน พยาบาลสำหรับคนสูงอายุ เข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลขนาด 270 เตียง เวลาระดมทุนก็มีนักร้องดัง ๆ มาช่วยกันมากมายแบบฟรีด้วย นอกจากนี้หลวงพ่อไปรับเป็นเจ้าอาวาสวัดในฮ่องกงและมาเลเซียด้วย เรียกว่าดังขนาดข้ามประเทศ สำหรับประเทศไทยก็เข้าออกอยู่หลายครั้ง

          ในปี 2007 หลวงพ่อถูกทางการสิงคโปร์ซึ่งเป็นหน่วยตรวจสอบการบริหารจัดการที่ดีขององค์กรการกุศลตรวจสอบหลังจากมีข่าวว่าหลวงพ่อทำมิดีมิร้ายกับเงินที่ประชาชนบริจาค การสอบสวนพบว่าหลวงพ่อซึ่งเป็นทั้งประธานกรรมการบอร์ดและ CEO ของโรงพยาบาล ปล่อยเงินกู้ไม่มีดอกเบี้ยเป็นเงินหลายล้านเหรียญสิงคโปร์ให้บุคคลและบริษัทซึ่งมีความเกี่ยวพันกับหลวงพ่อ อีกทั้งยังลงทุนในหลายบริษัทในชื่อส่วนตัวอีกด้วย และพบอีกว่ามีการเอาเงินบริจาคไปซื้อคอนโดราคาแพงในสิงคโปร์ อสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ รถหรูราคาแพง ม้าแข่ง ฯลฯ

          ในปลายปี 2009 หลวงพ่อ Ming Yi ก็ถูกศาลแรกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 10 เดือน แต่เมื่อมีการอุทธรณ์ศาลก็ลดโทษจำคุกเหลือ 6 เดือน โดยเห็นว่าในอดีตหลวงพ่อยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในโชว์ตื่นเต้นของรายการโทรทัศน์ Ren Ci Charity Show เพื่อหาทุน

          ในปี 2010 หลวงพ่อในวัย 48 ปี ก็ถูกจำคุกแต่อยู่จริงเพียง 4 เดือน เพราะเป็นนักโทษ ชั้นดีเยี่ยม เมื่อออกมาก็กลับมาเป็นพระอีก และยังคงเรี่ยรายเงินเหมือนเดิม ล่าสุดเมื่อกลางปี 2015 หลวงพ่อบริจาคไตข้างหนึ่ง หลวงพ่อบอกว่าจงอยู่กับปัจจุบันดีกว่า เมื่อตอนที่เกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลนั้นอาตมายังเป็นเด็กอยู่ (ตอนนั้นก็ 40 เศษ ๆ แล้วนะหลวงพ่อ) จงลืมมันเสีย แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่จะดีกว่า แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรทางการสิงคโปร์ก็ถอดถอนเหรียญรับใช้สังคมที่เคยให้

          อีกรายหนึ่งสด ๆ ร้อน ๆ ก็คือกรณีของพระนักเทศน์ในคริสต์ศาสนานิกายหนึ่งในสิงคโปร์เช่นกัน เขามีชื่อว่า Kong Hee กรณีของเขาโลดโผนกว่ามาก มีคนร่วมติดคุกกับเขาถึง 5 คน ต่างจากกรณีหลวงพ่อที่มีเพียง 1 คน

          Kong Hee มาในสไตล์นักเทศน์แบบอเมริกันที่เรียกกันว่า Evangelist พวกนี้จะออกโทรทัศน์เอาคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลมาขยายความ และก็รับเงินบริจาค บางกลุ่มก็ใช้การออกเดินทางไปพูดในเมืองต่าง ๆ บ้างก็แสดงอภินิหารช่วยให้คนพิการ (หน้าม้า) ลุกขึ้นเดินได้ ส่วนใหญ่ใช้กลวิธีชดเชยทางใจสำหรับสิ่งที่ผู้ศรัทธาขาดในด้านจิตวิทยา เช่น ความกลัว ความรู้สึกไม่มั่นคง ความเดียวดาย

          Kong Hee มีสาวกของกลุ่มเขาที่มีชื่อเรียกว่า City Harvest Church (CHC) ประมาณ 24,000 คน ปัจจุบันเขาอายุ 52 ปี เรียนหนังสือในโรงเรียนดี ๆ ของสิงคโปร์มาตลอด และจบด้าน IT จาก National University of Singapore ระหว่างที่เรียนเขาช่วยงานหลายโบสถ์และนักเทศน์ หลายคน เมื่อเห็นช่องทางก็ออกมาตั้งของตัวเองในปี 1989 โดยเป็นสาขาของนิกายหนึ่งในคริสต์ศาสนา เขาประสบความสำเร็จมากเพราะความสามารถในการพูดโน้มน้าวและความสามารถในการจัดการ ในปี 2010 เขามีสาขาอยู่ถึง 29 แห่งทั้งในสิงคโปร์ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไต้หวัน (ไม่มีในไทยเพราะมีคนจองกิจกรรมต้มตุ๋นอยู่มากแล้ว) และมีกลุ่มเครือข่ายอีกนับเป็นสิบ ๆ

          บทเรียนจากหลวงพ่อ Ming Yi ทำให้ทางการสิงคโปร์จับตาพวกรับบริจาคเงินเพื่อการ กุศลผ่านศาสนา ในปี 2003 มีสมาชิกของ CHC โวยว่าที่นี่มีการใช้เงินที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการบริจาค ทางการจึงจับตามองเป็นพิเศษ สืบสวนแบบลับ ๆ เป็นเวลายาวนาน

          ในที่สุดก็มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการในปี 2010 พบว่า Hong Kee ซึ่งมีสถานะเป็น pastor (พระในรูปแบบหนึ่งของคริสต์ศาสนา) ของ CHC ใช้เงินบริจาคอย่างไม่เกรงใจผู้บริจาค มีข่าวว่าภรรยาของเขาซึ่งเป็นนักร้องมีชื่อ (Sun Ho) ใช้ชีวิตหรูหรามาก

          ทางการเจาะลึกดูธุรกรรมของ CHC และการใช้เงินส่วนตัวก็พบว่า Kong Hee ใช้เงินที่คนบริจาคประมาณ 50 ล้านเหรียญ (1,250 ล้านบาท) มาใช้ส่วนตัว ในจำนวนนี้ใช้ 24 ล้านเหรียญ (600 ล้านบาท) ไปเพื่อสนับสนุนให้ภรรยานักร้องดังในระดับโลก มีการทำอัลบั้ม โปรโมทเพลงและอาชีพของเธออย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังใช้เงินนับล้านเหรียญในการปิดบัง ทำธุรกรรมอำพราง ปลอมและแก้ไขหลักฐานของธุรกรรมต่าง ๆ จนทำให้เพื่อนร่วมงาน 5 คน ติดร่างแหไปด้วย

          Kong Hee อ้างว่าเงินที่ว่าสนับสนุนภรรยาเขานั้นโดยแท้จริงแล้วใช้ไปในโครงการ Crossover คือชักชวนคน ภรรยาเขาที่เพิ่งได้เป็น pastor เสียสละร้องเพลงก็เพื่อหาคนมาร่วมนับถือพระเจ้ามากขึ้น อย่างไรก็ดีหลักฐานการใช้เงินต่างๆ ไม่สนับสนุนข้ออ้างนี้ และที่ศาลเห็นว่าต้องลงโทษหนักก็คือการปลอมและแก้ไขหลักฐานการเงินเพื่อให้พ้นผิด

          หลังจากต่อสู้เพื่ออุทธรณ์อยู่หลายปี ในที่สุดเมื่อต้นปี 2016 Kong Hee ถูกตัดสินจำคุก 8 ปี ผู้จัดการการเงินของ CHC และเจ้าหน้าที่ทั้งชายและหญิงก็โดนกันคนละหลายปี เบาสุดคือ 21 เดือน

          วิธีของ Kong Hee ในการระดมทุนอย่างหนึ่งก็คือการออกพันธบัตรยืมเงินชนิดปลอม ๆ จากผู้มีศรัทธา นอกจากใช้เงิน 50 ล้านเหรียญไปแล้ว ยังเอาเงินไปซื้อคอนโดขนาดใหญ่งดงาม ใกล้ ๆ Marina Bay มูลค่าปัจจุบัน 10 ล้านเหรียญ แถมยังสะสมไวน์จีนชั้นดีไว้เกือบ 4 หมื่นขวด เป็นเจ้าของ 2 บริษัท คือ บริษัทอบรม และบริษัทธุรกิจแฟชั่น นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าสองสามีภรรยาเป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์หรูถึง 13 แห่ง

          หลักฐานชี้ว่า Kong Hee เลียนแบบวิธีการของหลวงพ่อ Ming Yi บวกเทคนิคของบรรดานักเทศน์ในคุกอเมริกัน โดยเชื่อว่าใครจะสงสัยอย่างไรก็ช่างเขาตราบที่มีบรรดาผู้ศรัทธาเขาอยู่นับหมื่นในมือ

          นักต้มตุ๋นเกิดขึ้นทุกวันในโลกเช่นเดียวกับเหยื่อให้ตุ้มตุ๋น เพียงแต่กลุ่มหลังมีจำนวนมากกว่า เชื่อว่าเมื่อออกมาจากคุกก็ยังคงเป็นนักเทศน์แบบเดิมอีก เช่นเดียวกับหลวงพ่อ Ming Yi ในปัจจุบันซึ่งยังคงมีผู้ศรัทธาอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

คู่ชีวิต Einstein ที่ไม่มีคนรู้จัก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8 มีนาคม 2559

          โลกรู้จัก Albert Einstein ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก แต่แทบไม่รู้จักภรรยาของเขาเลย ทั้ง ๆ ที่ผลงานทฤษฎีฟิสิกส์ของเขานั้นภรรยามีส่วนร่วมด้วยอย่างสำคัญ ชีวิตคู่ของทั้งสองเริ่มต้นด้วยความหวานชื่นและจบลงด้วยความข่มขื่นอย่างไม่น่าเชื่อ

          Mlileva เป็นลูกสาวหน้าตาดีของครอบครัวชาว Serbia ที่พ่อแม่เป็นห่วงว่าจะหาชายแต่งงานด้วยไม่ได้เนื่องจากเธอมีปัญหาเกี่ยวกับข้อสะโพกทำให้ขาสองข้างยาวไม่เท่ากันจน เดินกะเผลก และเธอมีสมองเป็นเยี่ยม

          Milos พ่อของเธอมองการณ์ไกล พยายามสนับสนุนให้เธอเรียนชั้นมัธยมปลายฃึ่งมีแต่ในโรงเรียนชายโดยต้องไปขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ

          เธอเรียนเก่งมากได้คะแนนฟิสิกส์สูงสุดในโรงเรียนเท่าที่เคยมีการสอบกันมา เธอฝันจะเรียนมหาวิทยาลัยและเป็นนักฟิสิกส์ แต่ในปี 1894 ที่เธอเรียนจบนั้น อาณาจักร Austro-Hungarian (เป็นประเทศ Serbia ในปัจจุบัน) ห้ามผู้หญิงเรียนมหาวิทยาลัยแต่พ่อเธอก็เอาชนะด้วยการส่งเธอไปเรียนที่ Switzerland ที่ Zurich Polytechnic ซึ่งเปรียบเสมือน MIT ของยุโรปในสมัยนั้น

          Mileva เป็นผู้หญิงคนที่ห้าที่เข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้ และ ณ ที่นี้ในวัย 22 ปี เธอก็ได้พบหนุ่มเยอรมันยิวอายุ 17 ปีมีนามว่า Albert Einstein ความรักของทั้งสองมิใช่รักแรกพบ หากเป็นความรักที่เกิดจากการมีรสนิยมทางวิชาการเหมือนกันคือความบ้าคลั่งวิชาฟิสิกส์

          Mileva รู้สึกประทับใจหนุ่มคนนี้ที่ไม่รู้สึกหวาดหวั่นความเก่งของเธอที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จากการสอบเพียงครั้งเดียวในขณะที่เขาต้องสอบถึงสองครั้ง

          หลังจากรู้จักกันได้ 1 ปี ทั้งสองก็ตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เขาเรียกเธอในจดหมายอย่างรักใคร่ว่า Doxerl (little doll) ส่วนเธอเรียกเขาว่า Johonzel (Johnnie) ทั้งสองคลั่งไคล้ดนตรีและคณิตศาสตร์เหมือนกัน ว่ากันว่าภาษารักของทั้งสองปนเปด้วยภาษาคณิตศาสตร์และดนตรีคลาสสิก

          เมื่อ Einstein ให้แม่ดูรูปแฟนของเขา แม่ก็ร้องไห้ฟูมฟายเพราะหมายตาเด็กหญิงที่บ้านเกิดไว้แล้ว และที่ยิ่งตกใจมากขึ้นก็เพราะเธอเป็นคน Serbia ซึ่งคนเยอรมันค่อนข้างเหยียดหยาม ยิ่งกว่านั้นเธอแก่กว่าเขา เดินกะเผลก และเหนืออื่นใดไม่ใช่ยิว

          Einstein ไม่ฟังแม่ เขามุ่งมั่นในความรักที่มีต่อเธอเช่นเดียวกับความพยายามที่จะอธิบายปรากฏการณ์ของโลกด้วยฟิสิกส์อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เมื่อเรียนจบเขาก็ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิบัตรในเมือง Bern และหลังจากนั้นไม่นาน Mileva ก็เกิดท้องขึ้นมา สิ่งที่เธอเสียใจมากก็คือเมื่อเธอบอกเขา ๆ ตกใจและแสดงทีท่าไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อ เธอจึงเดินทางกลับบ้านพร้อม Lieserl ลูกสาวคลอดใหม่ อย่างไรก็ดีหลังจากเขาเขียนจดหมายถึงเธอแสดงความห่วงใยลูกสาวแล้ว Lieserl ก็หายไปจากโลกนี้ ไม่มีการพูดถึงเธออีกเลย ไม่ว่าในจดหมายหรือเอกสารเกี่ยวกับชีวิตของทั้งสอง มีคนเข้าใจว่าเธอคงเสียชีวิตหรือไม่ก็มอบให้คนอื่นไปเป็นลูกบุญธรรม

          ในปีต่อมาเมื่อพ่อของ Albert ใกล้ตายจึงยอมให้ทั้งสองแต่งงานกัน เธอรับเขาเป็นสามีทั้งน้ำตาเพราะการท้องทำให้เธอต้องเลิกเรียน และกลายเป็นขี้ปากในสถาบันที่แทบไม่มีนักศึกษาหญิงเลย

          ชีวิตของ Mileva ดีขึ้นมาก เธอมีความสุขเพราะในปี 1904 ลูกชายคนโตคือ Hans Albert ก็เกิดซึ่งช่วยลดความเศร้าในการสูญเสียลูกสาวคนโต ในช่วงเวลานี้ทั้งสองช่วยกันทำงานค้นคว้า ถกเถียง ร่วมกันเขียนบทความวิชาการจนดึกดื่นพร้อมกับที่เธอต้องเลี้ยงลูกด้วย

          ในปี 1905 ก็กลายเป็นปีอัศจรรย์ของ Einstein (Annus Mirabilis หรือ Year of Miracles) เพราะ 5 บทความของเขาได้รับการตีพิมพ์และชื่นชมโดยนักฟิสิกส์ว่าเป็นการเปิดยุคใหม่ของวิทยาศาสตร์

          Einstein ได้เขียนในหนังสือต่อมาว่าเขาและภรรยาได้ร่วมกันสร้างผลงานเหล่านี้ อย่างไรก็ดีเธอมิได้ใส่ชื่อในผลงานด้วย มีเพียงชื่อของ Albert Einstein เพียงคนเดียว ซึ่งต่างจาก Pierre และ Madame Curie ซึ่งเป็นสามี-ภรรยาที่ได้รางวัลโนเบลคู่กัน

          Albert ได้เปลี่ยนสภาพจากพนักงานจดสิทธิบัตรเป็นศาสตราจารย์ และในปี 1910 ลูกชายคนที่สอง คือ Eduard ซึ่งต่อมาสร้างความปวดร้าวให้ทั้งสองเป็นอย่างมากก็เกิดในเมือง Zurich

          ในปี 1914 ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเริ่มต้น Albert ก็รับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่ University of Berlin ซึ่งเธอไม่ยินดีอย่างยิ่งเพราะคนเยอรมันดูถูกชนชาติเธอ และประการสำคัญเธอมีสัญชาติญาณว่าสามีของเธอมีใจให้ลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นหญิงหม้ายชื่อ Elsa Löwenthal ยิวตาสีฟ้าและ ผมบลอนด์

          Albert หลงรักเธอสุดใจพร้อมกับแปรเปลี่ยนมาชิงชัง Mileva จนถึงกับเขียนกฎเกณฑ์กำหนดการอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีเยื่อใยของความรัก ทั้งสองทนอยู่กันเพื่อให้ลูกชายทั้งสองมีพ่อและแม่ “อย่างสมบูรณ์”

          Mileva เสียใจจนสติแตกต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เมื่อรักษาจนหายแล้วเธอก็ตัดสินใจรักษาศักดิศรีของตัวเอง ไม่ต้องการอยู่กับคนที่ไม่รักเธอแล้ว ทั้งสองจึงหย่ากันใน วันวาเลนไทน์ของปี 1919 และในปีนั้นเองเขาก็แต่งงานกับ Elsa

          Mileva มั่นใจว่างานวิชาการที่ได้ทำด้วยกันจะต้องได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นในอนาคต ดังนั้นเงื่อนไขการหย่าข้อหนึ่งก็คือการแบ่งปันรายได้ที่ได้รับจากงานวิชาการที่ได้ทำร่วมกัน และสัญชาติญาณของเธอก็ถูกอีกเพราะอีก 3 ปีต่อมา Albert ก็ได้รับรางวัลโนเบล

          Nazi ให้ความสนใจในตัวเขา ต้องการตัวเขาไปรับใช้การสร้างอาวุธ ดังนั้นในปี 1933 เขากับ Elsa และลูกติด 2 คน ก็อพยพไปสหรัฐอเมริกาโดยไปเป็นอาจารย์ที่ Princeton

          อีก 7 ปีต่อมาลูกชายคนโตของเขาคือ Hans Albert ก็อพยพไปสหรัฐอเมริกา มาเป็นอาจารย์ที่ Berkeley ทั้งสองติดต่อกันน้อยมากถึงแม้ว่า Elsa จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ส่วน Mileva นั้นหายไปจากสังคม จมอยู่กับความเศร้าและความยากจน ชีวิตของเธอที่Zurich ทุ่มเทให้กับการเลี้ยงดู Eduard ลูกชายคนเล็กซึ่งมีมันสมองเป็นเลิศ แต่ป่วยเป็นโรคจิตเภทมีอาการคุ้มคลั่งเป็นพัก ๆ เธอเสียชีวิตในปี 1948 และ Eduard ต้องรักษาตัวตลอดไปจนเสียชีวิตในโรงพยาบาลในที่สุด

          Albert Einstein เขียนในหนังสือว่าเขาไม่ได้พบ Eduard เป็นเวลากว่า 30 ปี และคงจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะไม่เกิดมาเสียเลย ไม่แปลกใจเลยที่ความคิดเช่นนี้สอดคล้องกับความเชื่อของลูกคนโตของเขาว่าพ่อได้ทอดทิ้งเขาและแม่

          ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้นี้จะทิ้งผลงานไว้เป็นบทความวิชาการกว่า 300 ชิ้น และข้อเขียนไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้น มีบทบาทเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมากมาย แต่ก็มิได้มีความสุขจากการมีครอบครัวที่อบอุ่นเลย ทั้งหมดเขาเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้นเองทั้งสิ้น

สุนัขมาจากไหน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1 มีนาคม 2559

          สุนัขเป็นสัตว์ที่มนุษย์รู้จักและรักใคร่มานับหมื่น ๆ ปี แต่แปลกมากที่ถึงปัจจุบันนี้เราก็ยังไม่รู้อย่างแน่นอนว่ามันมีจุดเริ่มต้นอย่างไรและมาอยู่กับเราตั้งแต่เมื่อใด ล่าสุดมีงานวิจัยขนาดใหญ่ที่เก็บข้อมูลจากโครงการกระดูกสุนัขอายุนับหมื่นปีจากทั่วโลกมาวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบอันจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายเรื่อง

          ก่อนที่มนุษย์รู้จักรีดนมวัว เลี้ยงแพะ เลี้ยงหมู หรือแม้แต่ก่อนมีเกษตรกรรม มีภาษาเขียน หรือแม้แต่ก่อนที่มนุษย์จะตั้งหลักแหล่งสร้างบ้านเรือนและเลี้ยงแมว สุนัขได้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์แล้ว

          อย่างไรก็ดีสิ่งที่กล่าวมานี้มีหลักฐานทางโบราณคดียืนยัน แต่สิ่งที่ยังไม่มีหลักฐานอย่างชัดแจ้งก็คือเมื่อใดและสถานที่ไหนแน่ ๆ ที่สุนัขและมนุษย์เริ่มมีความสัมพันธ์กัน งานวิจัยขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย Oxford ที่ได้รับความร่วมมือจากทั่วโลกอาจให้คำตอบได้ในเวลาอันใกล้

          ที่ผ่านมานักประวัติศาสตร์จินตนาการว่าอาจมีนักล่าสัตว์ซึ่งเป็นนักเก็บของป่าด้วยเก็บเอาลูกสุนัข (wolf) มาเลี้ยงจนมันเชื่องมากขึ้นทุกที ๆ และกลายเป็นสุนัขที่เราเห็นในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีนักวิชาการปัจจุบันเห็นว่าเรื่องที่จินตนาการขึ้นนี้มันง่ายเกินไป และขัดแย้งกับความจริงที่ว่า ลูกสุนัขป่านั้นยากหนักหนาที่จะทำให้เชื่องแม้แต่ตอนเป็นลูกหมาดังที่ได้มีการทดลองกัน ที่น่าจะเป็นคือสุนัขโดยแท้จริงแล้ว อาจทำตัวมันเองให้มาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์

          ความคิดในเรื่องนี้กลับกับที่จินตนาการแต่ต้น นักวิชาการส่วนหนึ่งมีความเห็นว่าอาจมีสุนัขป่าในสมัยโบราณบางตัวที่เชื่องกว่าตัวอื่น ๆ โดยธรรมชาติเข้ามาค้นหาอาหารในที่อยู่ของมนุษย์จนคุ้นกับคนมากขึ้น ๆ และมีลูกหมาเล็ก ๆ มาใกล้คน จนในที่สุดเอามาเลี้ยงเป็นหมาที่เชื่องดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

          ไม่ว่าจะเป็นว่ามนุษย์เอาหมาป่ามาเลี้ยง หรือหมาป่าเสนอตัวเองให้เลี้ยงต่างขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ดังนั้นจึงเกิดโครงการวิจัยดังกล่าวขึ้นเพื่อเก็บฐานข้อมูล DNA ของสุนัขโบราณและนำมาวิเคราะห์ว่ามีลักษณะคล้ายกันหรือต่างกันจากหมาป่าเมื่อกี่ปีมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ทราบถึงแหล่งที่มาและความเป็นมาเพราะสามารถนำมาเทียบเคียงกับความรู้เรื่องพัฒนาการของมนุษย์ซึ่งหลักฐานโบราณคดีนั้นมีความสมบูรณ์อยู่ในระดับหนึ่ง

          ผลเบื้องต้นจากงานวิจัยชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สุนัขบ้านมิได้พัฒนามาจากสุนัขป่า หากพิจารณาสัตว์ 2 ประเภทในปัจจุบันก็จะเห็นข้อแตกต่างหลายประการ เช่น (1) สุนัขบ้านกินอาหารโดยไม่ระแวงต่อหน้ามนุษย์ซึ่งต่างจากสุนัขป่า (2) สุนัขบ้านจะมีหัวกระโหลกกว้างกว่าและส่วนปากถึงจมูกสั้นกว่า (3) สุนัขบ้านไม่อยู่เป็นฝูงเมื่อมันอยู่ด้วยกันเองซึ่งต่างจากสุนัขป่า (4) สุนัขป่ามีคู่เป็นระยะเวลายาว และตัวพ่อจะช่วยดูแลลูกของมันเป็นอย่างดีซึ่งต่างจากสุนัขบ้าน อย่างไรก็ดีมีนักวิชาการที่ไม่เชื่อว่ามีความแตกต่างระหว่างสุนัขบ้านและสุนัขป่าเพราะมีพฤติกรรมที่เหมือนกันหลายประการ ไม่ว่าอากัปกิริยา การเดินเหิร การหยอกล้อเล่นกันระหว่างลูกหมา พฤติกรรมที่รักฝูง เชื่อฟังและ จงรักภักดีหัวหน้าฝูง

          สิ่งที่ค่อนข้างมั่นใจก็คือสุนัขมาอยู่ในบ้านมนุษย์เมื่อประมาณ 15,000 ปีก่อน เนื่องจากมีการพบการฝังสุนัข และบางครั้งฝังติดกับคนเมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน แต่มีนักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งเมื่อพิจารณาหลักฐานจาก DNA และรูปร่างของกระดูกประกอบแล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นเวลากว่า 30,000 ปี

          สำหรับแหล่งกำเนิดสุนัขนั้นเชื่อว่าอยู่ในเอเชียตะวันออก มองโกเลีย ไซบีเรีย ยุโรป และอาฟริกา (ไม่ใช่อเมริกาและออสเตรเลีย) โดยพิจารณาอายุของกระดูกสุนัขเทียบเคียงกับแหล่งพักพิงในสถานที่เหล่านี้

          สาเหตุที่นักวิจัยไม่เห็นตรงกันในทุกเรื่องก็เพราะการใช้ DNA ของสุนัขเพื่อพิสูจน์ประเด็นต่าง ๆ นั้นยุ่งยากมากเนื่องจากพันธุกรรมของสุนัขนั้นยุ่งเหยิงไปหมดอย่างผิดไปจากที่ควรเป็นไปตามธรรมชาติทั้งนี้ก็เพราะว่าในศตวรรษที่ 19 ซึ่งคนในยุโรปบ้าคลั่งการเลี้ยงสุนัข มีการผสมพันธุ์เพื่อสร้างพันธุ์ใหม่ขึ้นมามากมาย และสุนัขเป็นสัตว์ที่แปลกจากสัตว์อื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเมื่อผสมข้ามพันธุ์ไม่กี่ชั่วอายุ ก็จะเกิดพันธุ์ใหม่ซึ่งคงลักษณะของพันธุ์ใหม่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่นสุนัขพันธุ์บ๊อกเซอร์เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง Bullenbeisser กับ Bulldogs

          ถ้าเปรียบงานวิจัยนี้กับการต้มซุบมะเขือเทศก็จะพอเห็นภาพพันธุกรรมของสุนัขว่าตีกันยุ่งไปหมดเหมือนซุปมะเขือเทศ กล่าวคือมะเขือเทศพันธุ์ใดใส่ลงไปในหม้อก็เป็นซุปมะเขือเทศไปหมด โดยยากที่จะบอกว่าอะไรเป็นส่วนประกอบของซุปนี้ ถ้าต้องการรู้ว่ามีวัตถุดิบใหญ่ ๆ อะไรมาผสมลงไปบ้างก็จะต้องเก็บฐานข้อมูลพันธุกรรมจากซากโครงกระดูกสุนัขโบราณจากทุกมุมโลกเพื่อจะนำเอาสิ่งที่อยู่ในซุปมาเปรียบเทียบก็จะทำให้รู้ลักษณะใหญ่ ๆ ของวัตถุดิบที่ใส่ลงไปในหม้อ

          โครงการวิจัยนี้ได้รับความร่วมมือย่างดียิ่งจากทุกมุมโลก (ยกเว้นจีน) จนสามารถเก็บสะสมฐานข้อมูลพันธุกรรมจาก 1,500 ตัวอย่าง ตลอดจนรูปภาพ ขนาดวัดกระโหลกและส่วนประกอบต่าง ๆ ของสุนัข สาเหตุที่ได้รับความร่วมมือก็เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดที่เก็บได้ ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการศึกษาวิเคราะห์เขียนเป็นบทความเท่าเทียมกัน

          เหตุใดการทราบว่าสุนัขมาอยู่ในบ้านมนุษย์ตั้งแต่เมื่อใดและที่ใดจึงมีความสำคัญ? การศึกษาครั้งนี้ก็คล้ายกับการศึกษาพันธุกรรมจากโครงกระดูกเก่าแก่ของมนุษย์ที่พบว่ากระจายอยู่ทั่วโลก กล่าวคือทำให้ทราบถึงจุดเริ่มของวิวัฒนาการ แบบแผนการอพยพ การอพยพการอยู่อาศัย ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งก็คือประวัติศาสตร์ของการครองโลกของมนุษย์นั่นเอง

          การทราบคำตอบเกี่ยวกับสุนัขในลักษณะคล้ายกันอาจนำไปสู่ความเข้าใจจิตใจของมนุษย์ในการมีความสัมพันธ์กับสัตว์ที่มีคุณอนันต์ต่อการอยู่รอดของมนุษย์โดยผ่านการเห่าเตือนภัยและกัดต่อสู้เพื่อคุ้มครองก็เป็นได้

          นอกจากนี้กระบวนการพิสูจน์จนได้คำตอบแน่ชัดว่าสุนัขต่างจากสุนัขป่าจากหลักฐานพันธุกรรมซึ่งเก็บจากซากกระดูกเก่าแก่จะเป็นประโยชน์ต่อการพิสูจน์ความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ของสัตว์บางชนิดที่มีลักษณะใกล้กัน และอาจใช้เป็นบรรทัดฐานในการแยกเผ่าพันธุ์ทางชีววิทยาสำหรับงานวิจัยในอนาคตได้

          มีประมาณการว่าในปัจจุบันมีสุนัขอยู่ทั่วโลกประมาณ 500-1,000 ล้านตัว (ประชากรโลกคือ 7 พันล้านคน) ประมาณ 1 ใน 4 เท่านั้นที่เป็นสัตว์เลี้ยง ส่วนใหญ่เป็นสุนัขจรจัดวิ่งอยู่ทั่วไปในหมู่บ้าน ขุดคุ้ยอาหารจากแหล่งขยะหรือจากที่มีคนให้บ้าง ทุกปีจะมีคนตายในเอเชียและอาฟริกาจากโรคพิษสุนัขบ้าประมาณ 44,000 คน จนอาจถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่สร้างความเดือดร้อน

          การคิดในลักษณะนี้เกิดจากการไม่ได้คำนึงถึงว่าหากสุนัขอีก 3 ใน 4 ที่จรจัดอยู่ในขณะนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีก็จะไม่เกิดปัญหาขึ้น คนที่ก่อปัญหาคือมนุษย์ที่ละเลยปล่อยให้มันมีจำนวนมากขึ้นอย่างไม่รับผิดชอบ สุนัขเพื่อนตายของมนุษย์สมควรได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้

          สุภาษิตฝรั่งเศสบอกว่า “สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ก็คือสุนัขของเขา”

แหกคุกโลกตะลึง ภาค 2

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
23 กุมภาพันธ์ 2559

          ผู้เขียนเคยเขียนเรื่องหนีคุกชนิดโลกตะลึงในเดือนกรกฎาคม 2015 ของยอด นักค้ายาเสพติดผู้ยิ่งใหญ่ของโลกด้วยการขุดอุโมงค์ยาว 1.5 กิโลเมตรออกจากคุก ซึ่งครั้งนั้นเป็นการหนีครั้งที่สอง บัดนี้มีข่าวคราวของเขาหลังจากการหนีสุดอมตะครั้งนั้น

          Joaquín Guzmán Loera คือชื่อจริงของเขา ผู้คนรู้จักเขาในชื่อ El Chapo หรือ “ไอ้เตี้ย” เขาเป็นอัครมหาเศรษฐีชาวเม็กซิโกฃึ่งรวยจากการค้ายาเสพติดแทบทุกชนิด ตัวเขามีมูลค่าสุทธิประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (33,000 ล้านบาท) โดยรวยเป็นอันดับ 10 ของเม็กซิโก นอกจากความร่ำรวยแล้วเขายังมีความเลวติดอันดับโลกเช่นกัน

          ทางการสหรัฐอเมริกาเรียกเขาว่า “นักค้ายาเสพติดผู้มีอิทธิพลที่สุดของโลก” “เจ้าพ่อค้า ยาเสพติดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกยุคสมัย” ในปี 2014 ซึ่งเป็นการถูกจับครั้งที่สอง เขาได้ชื่อว่าเป็น ผู้ลักลอบนำยาเสพติดเข้าสหรัฐอเมริกามากกว่าใครทั้งหมดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ เขาจะไม่เป็นหมายเลขหนึ่งได้อย่างไรในเมื่อแก๊ง Sinaloa ของเขาเกี่ยวพันกับการผลิต การลักลอบนำเข้า การขายปลีกสาร Methamphetamine (สารต้นน้ำใช้ผลิตยาบ้า) กัญชา ยาอี (Ecstasy หรือ MDMA) ตลอดจนเฮโรอีน ทั้งหมดเขาค้าขายอย่างมีเครือข่ายกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาจนเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของทางการสหรัฐอเมริกา

          Chapo ไต่เต้าจากตำแหน่งเล็ก ๆ ในแก๊งจนเป็นหัวหน้าด้วยลักษณะต่อไปนี้ ความกล้าที่จะยิงทิ้งทุกคนได้อย่างเลือดเย็น ความเจ้าเล่ห์ ความทะเยอทะยาน ความมีใจนักเลงกล้าได้ กล้าเสีย และความสามารถในการจัดการ

          ทางการสหรัฐให้ค่าหัวเขา 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เขาจึงหนีจากเม็กซิโกไปอยู่กัวเตมาลาที่อยู่ไกลออกไป แต่ในที่สุดก็ถูกจับส่งตัวเข้าคุกที่เม็กซิโกในปี 1993 เขาติดคุกอยู่นาน 8 ปี ก็สามารถหนีรอดออกมาได้ในปี 2001 ด้วยการติดสินบนผู้คุมหลายคนให้ช่วยเขาโดดลงไปซ่อนตัวในรถเข็นผ้าซัก และแอบขึ้นรถหลบหนีออกไปจากคุก

          El Chapo ออกมาทำงานเดิมอีกโดยปราบปรามแก๊งอื่น ๆ อย่างโหดเหี้ยม และกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง ทางการสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกควานหาตัวอย่างหนัก แต่เขาก็ลื่นไหลหลบไปได้ทุกครั้ง อย่างไรก็ดีในที่สุดเขาถูกจับได้ในปี 2014 หลังจากหนีรอดไปได้ 13 ปี ครั้งนี้

          เม็กซิโกดูแลเขาเป็นอย่างดีไม่ให้หนีด้วยการขังเดี่ยวและมีโทรทัศน์เฝ้าดูตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ดีหลังจากติดคุกได้ 17 เดือนก่อนส่งตัวให้สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งในต้นดือน กรกฎาคม 2015 เขาเดินไปที่จุดลับตาเล็กน้อยในห้องขัง เปิดช่องที่พื้นและหนีผ่านอุโมงค์ยาว 1.5 กิโลเมตร ไปโผล่ที่บ้านร้างในแปลงที่ดินที่มีรั้วมิดชิดซึ่งเขาซื้อไว้ จากนั้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวก็พาเขาไปอาศัยอยู่ในบริเวณป่าของเขตแดนระหว่างรัฐ Durango และ Sinnalos ของเม็กซิโก

          การหลบหนีชนิดพลิกโลกเช่นนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลกและเสริมบารมีของ El Chapo แต่ทำลายชื่อเสียงของเม็กซิโกในสายตาชาวโลกอย่างร้ายแรงเพราะมองเห็นการไร้ประสิทธิภาพในการคุมขัง การคอรัปชั่น การติดสินบน การไร้น้ำยาของรัฐบาลและผู้นำในการจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบภาพลักษณ์ของประเทศในการต่อสู้ยาเสพติดเป็นอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลเม็กซิโกจึงทำทุกวิถีทางที่จะจับเขาคืนสู่คุกให้ได้โดยเร็วเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

          กลยุทธ์ของทางการเม็กซิโกก็คือการรุกไล่ค้นบ้าน 18 แห่งของเขาในป่าในเขาบริเวณที่เขาหลบซ่อนอยู่ชนิดไม่วางมือ จนสร้างแรงกดดันให้เขาออกมาอยู่ในเมืองพร้อมกับแอบดักฟังโทรศัพท์บ้าน ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ให้ความร่วมมือ เช่นหัวหน้าชุดขุดอุโมงค์ เนื่องจาก El Chapo นั้นชอบอุโมงค์ ใต้ดินนักหนาเพราะนอกจากเป็นหนทางลำเลียงยาเสพติดข้ามพรมแดนของเขาแล้วยังเป็นวิธีการที่ช่วยให้เขาหลบหนีมาได้ตลอด

          ในบ้านของเขาจะมีหลายอุโมงค์ ทั้งจริงและลวง ประตูอุโมงค์บ้างอยู่ใต้ตู้เย็น บ้างอยู่ในตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ ห้องนอน ฯลฯ โดยเชื่อมไปยังบ้านหลังอื่นหรือถนนหรือกลางป่า ในการบุกจับหลายครั้ง เขารอดมาได้เพราะกลวิธีหนีใต้ดินนี้

          สิ่งที่ทำให้เขาถึงจุดจบหลังจากหลบหนีมาได้ 6 เดือนก็คืออีโก้ของตัวเขา เขาต้องการให้ทุนสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของเขาเพื่อให้คนชื่นชม ดังนั้นหลังจากออกมาอยู่ในเมือง ทนายความของเขาก็ติดต่อดาราภาพยนตร์ชั้นนำของเม็กซิโกให้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ คนหนึ่งที่มีทีท่าตกลงกับเขาก็คือ Kate del Castillo ดาราหญิงยอดนิยมของเม็กซิโกซึ่งเมื่อได้คุยกับเขาทางโทรศัพท์ก็รู้สึกชอบพอกันมากจนถึงกับนัดพบหารือกันโดยเธอขอนำดาราฮอลลีวู๊ดคนดัง Sean Penn มาร่วมพบด้วย และเขาก็ไม่ปฏิเสธ

          ทางการเม็กซิโกรู้ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ดีแต่ไม่กล้าเสี่ยงจับขณะที่ทั้งสามพบกัน เพราะรู้ดีว่าต้องมีการต่อสู้เสียเลือดเนื้อ หากดาราทั้งสองเป็นอะไรไปจะทำให้เป็นเรื่องดังยิ่งขึ้น ชื่อของ El Chapo ก็จะขลังยิ่งขึ้นหากหลบหนีไปได้อีก

          ถึงแม้จะไม่จับแต่ก็ทำให้รู้จักหลักแหล่งที่พบกัน วิธีการคิด ลักษณะการคุ้มกัน วิธีการเคลื่อนไหว ทั้งหมดนี้ทางการเม็กซิโกติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นชื่อเสียงของประเทศ ฝ่าย El Chapo เมื่อมาอยู่ในเมืองก็เพลิดเพลินสนุกสนานกับชีวิต นึกไม่ถึงว่าทางการจะเอาจริงกับเขาในระดับนี้ และแล้วในวันหนึ่งของต้นเดือนมกราคม 2016 ทางการก็ลงมือ หลังจากเฝ้ามองบ้านหลังหนึ่งที่เพิ่งมีการขุดอุโมงค์ และแอบดักฟังโทรศัพท์มายาวนาน

          ในกลางดึกของวันนั้น บุคคลสำคัญคนหนึ่งก็เดินทางมาถึงบ้านดังคาด แต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเขาจนกระทั่งมีการโทรศัพท์สั่ง taco อาหารโปรด และก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหน่วยปราบปรามพิเศษ 17 คน ก็บุกเข้าไปในบ้าน ในขณะที่ทหาร 50 คน เฝ้าระวังท่อน้ำทิ้งและทางออกของอุโมงค์อยู่รอบ ๆ บ้าน แต่กว่าจะบุกเข้าไปในบ้านที่มีประตูเหล็กปิดหนาแน่นก็ต้องใช้ระเบิด และเมื่อเข้าไปแล้วก็มึนงงเพราะพบห้องที่มีประตูอยู่หลายบานมาก เจ้าหน้าที่ดวลปืนกับผู้คุ้มกันอย่างหนักจนฝ่ายอธรรมตายไป 6 คน และกว่าจะเข้าไปถึงห้องชั้นในก็ปรากฏว่า El Chapo หายตัวไปแล้ว เมื่อตรวจเช็ดหาประตูอุโมงค์ก็พบในตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของเขา

          ทหารที่อยู่ข้างนอก 50 คน ก็ทำงานได้ผลเพราะถึงแม้ El Chapo จะลับลวงพลางการหนีโดยมุดท่อน้ำออกมาแทนลอดอุโมงค์ แต่ก็ยังตามทันมองเห็นว่าเมื่อเขาออกมาพ้นบ้านก็ใช้ปืนจ่อชิงรถคันแรกเพื่อหนี แต่ไปได้สักพักควันก็ออกมาจากเครื่อง เขากับลูกน้องหนึ่งคนจึงต้องเปลี่ยนรถและจี้ อีกคัน แต่หนีไปได้ไม่ไกลก็ถูกจับได้ นับเป็นการสิ้นสุดอิสรภาพของเขาหลังจากทางการเม็กซิโกทุ่มเททรัพยากรติดตามจับเขามาหลายเดือน

          ชื่อเสียงจากการหลบหนีของเขาครั้งที่สองผ่านอุโมงค์อันลือลั่นถูกบดบังลงด้วยประสิทธิภาพที่มีอยู่ (บ้าง) ของทางการเม็กซิโก ในสายตาชาวโลกเม็กซิโกดูดีขึ้นจากการเอาจริงในการปราบปรามยาเสพติดด้วยการโค่นล้มเจ้าพ่อคนสำคัญระดับโลก

          บทเรียนจากการจับกุม El Chapo ก็คือหากทางการไม่ว่าชาติไหนเอาจริงแล้ว ยากนักที่อาชญากรจะหลุดรอดไปได้ ในบ้านเราก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าหากตำรวจเอาจริงแล้วจะสามารถจับคนร้าย (ตัวจริง) ได้เสมอ ประเด็นอยู่ที่ว่าต้องการเอาจริงหรือเปล่าเท่านั้น

          ความประมาทคือความชะล่าใจ ระวังตัวน้อยลง ไม่คิดว่าจะโดนจับได้ มักเป็นจุดจบของโจรเสมอ และปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความประมาทก็คืออีโก้

โครงกระดูกในตู้ของ Zhou Enlai

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
16 กุมภาพันธ์ 2559

          เมื่อบุคคลสำคัญที่ผู้คนในประเทศเคารพนับถือสิ้นไป บ่อยครั้งที่มีคนขุดคุ้ยชีวิตและตีแผ่สิ่งที่เป็นลบเพื่อความดังของตนเองหรือเพื่อขายหนังสือ คนอ่านก็ต้องประเมินว่ามีความเป็นจริงเพียงใด และมีผลต่อประวัติศาสตร์อย่างไร ล่าสุดบุคคลที่ถูกเปิดเผยคือ Zhou Enlai รัฐบุรุษที่คนจีนรักใคร่ และข้อหาที่ร้ายแรงสำหรับสังคมจีนคอมมูนิสต์ก็คือการเป็นชายรักร่วมเพศ

          เมื่อปลายปี 2015 มีหนังสือออกมาจากฮ่องกงเป็นภาษาจีนชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Secret Emotional Life of Zhou Enlai” เขียนโดยนักเขียนหญิง Tsoi Wing-mui หนังสือพิมพ์ฝรั่งได้นำบางตอนที่สำคัญของหนังสือมาเผยแพร่ ซึ่งทำให้คนจีนจำนวนมากตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึง และไม่รู้ว่าจริงหรือไม่

          ผู้เขียนหนังสือใช้จดหมายและสมุดบันทึกส่วนตัวของ Zhou และภรรยาคือมาดาม Deng Yingchao ที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นข้อมูลหลัก เธออ่านละเอียดทุกตัวอักษรและเดาว่าคงใช้ข่าวซุบซิบที่มีมานานแล้วเป็นแรงบันดาลใจ เธอแสดงให้เห็นหลายข้อความที่อ่านแล้วอาจตีความได้ว่าเป็นความรักระหว่าง Zhou กับน้องรักร่วมวิชาการ Li Fujing หรือ “น้อง Hui”

          ชื่อ Zhou Enlai นั้นชาวโลกรู้จักดี โดยเฉพาะคนจีนส่วนใหญ่ที่รักบูชาเพราะเป็นผู้อุทิศตัวให้แก่ประเทศอย่างแท้จริง เมื่อเสียชีวิตนั้นทั้งสองไม่มีสมบัติใด ๆ ทิ้งไว้เลย ไม่มีลูกของตนเอง แต่เลี้ยงเด็กจำนวนมากเป็นลูกบุญธรรม หนึ่งในนั้นคือ Li Peng ซึ่งต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของจีน

          Zhou ต่อสู้เพื่อพรรคคอมมูนิสต์จีนมาตลอด มีความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศเป็นอย่างมาก เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่าง 1949-1958) และอีกหลายตำแหน่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 1949 ถึง 1976 เมื่อป่วยจนเสียชีวิต ผู้นำต่างประเทศชื่นชมความเป็นนักการทูตชั้นยอด เขาเป็นผู้เสียสละต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่ตนเองเชื่อถืออย่างเหนียวแน่น

          สิ่งที่คนจีนจำไม่ลืมก็คือ Zhou ได้ช่วยชีวิตหรือลดความทุกข์ที่ผู้นำ นักวิชาการ บุคคลผู้มีคุณค่าของสังคมจีนฯลฯ ต้องประสบในช่วงการปฏิวัติของจีนที่เรียกว่า Cultural Revolution( การปฏิวัติวัฒนธรรม ค.ศ. 1966-1976) ซึ่งเป็นวิธีการของเหมา เจ๋อตุงในการกลับมามีความสำคัญและกวาดล้างคู่แข่ง หรือศัตรูให้ราบคาบ ในช่วงเวลานั้น แม้แต่ Deng Xiaoping รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งก็ถูกปลดให้ไปทำงานในโรงงานเล็ก ๆ ในที่ห่างไกล ลูกชายถูกเยาะเย้ยถากถางดูถูกจนพยายามฆ่าตัวตายโดยการโดดตึก แต่ไม่ตายจนเป็นอัมพาตมาจนทุกวันนี้

          นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า Zhou เป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยทำให้ความบ้าคลั่งของคนรุ่นหนุ่มที่เรียกว่า Red Guards ไม่ไปไกลจนถึงกับทำลายชีวิตของคนที่มีค่าของประเทศจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ก็คือ Zhou ไม่ทำให้ประเทศเละเทะไปมากกว่าที่ได้เกิดขึ้น

          Zhou ไม่เผชิญหน้ากับเหมาโดยตรงในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติวัฒนธรรม หากใช้วิธีของเขาเองในการช่วยเหลือ โดยเฉพาะในกรณีของDeng ซึ่งต่อมาเป็นคนสำคัญในการขับเคลื่อนจีนยุคใหม่

          Zhou มีชีวิตวัยเด็กที่น่าสงสาร พ่อแม่ตายหมดตั้งแต่ยังเด็ก ต้องอาศัยอยู่กับญาติ การรักการเรียนรู้และการเรียนเก่งทำให้เขาโดดเด่นได้รับทุนการศึกษาเล่าเรียน และได้รับแรงบันดาลใจว่าวันหนึ่งจะต้องทำงานสำคัญเพื่อชาติให้จงได้ เขาเล่าว่าโชคดีมากที่มีครูให้ความเมตตาสนับสนุน/ในปี 1917 เขาตามเพื่อนหลายคนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นโดยลุงเป็นผู้สนับสนุนการเงิน เขาอยู่ญี่ปุ่น 2 ปี จึงกลับบ้าน

          Zhou เริ่มศึกษาและดื่มด่ำคำสอนของลัทธิมาร์กซ์ เขาเรียนหนังสือในจีนอีกครั้งโดยเข้าเรียนมหาวิทยาลัย Nankai ในช่วงเวลานั้นแนวคิดมาร์กซ์แพร่กระจายในกลุ่มนักศึกษาและประชาชน สหภาพโซเวียตให้ทุนและบุคคลากรสนับสนุนการเคลื่อนไหว Zhou ถูกจับเข้าคุกเพราะกิจกรรมการเมือง และในช่วงเวลาที่กลับมานี้เอง ผู้เขียนหนังสือระบุว่าเขาพบนักเรียนร่วม ชั้นเรียน อายุน้อยกว่าเขา 2 ปีซึ่งเขาเรียกว่า “น้อง Hui” บันทึกของเขากล่าวถึงน้องคนนี้อย่างอ่อนหวานและรักใคร่ ถวิลหา ในปี 1921 ทั้งสองเดินทางไปอังกฤษด้วยกันโดยหวังที่จะไปเข้ามหาวิทยาลัย ‘น้องฮุย’ เข้ามหาวิทยาลัยได้แต่ Zhou เงินหมดต้องเดินทางไปเรียนที่ฝรั่งเศส และได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มคอมมูนิสต์สากล และกลับมารับใช้พรรคต่อสู้สงครามกลางเมือง จนได้รับชัยชนะในปี 1949

          สำหรับชีวิตรักของ Zhou นั้น เขามีภรรยาเพียงคนเดียวคือ Deng Yingchao ทั้งสองพบกันในปลายศตวรรษ 1920 แต่ผู้เขียนระบุว่าความรักเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ในปี 1925 หลังจากหมั้นหมายกันมานานและไม่ได้พบกันเป็นเวลา 5 ปี เธอเดินทางมาหา Zhou ที่สำนักงานแรงงานในกวางตุ้งขณะที่เขากำลังประชุมอยู่ เมื่อเขาเห็นเธอก็ยิ้มเพียงเล็กน้อยและประชุมต่อไป และเมื่อเลิกประชุมเขาก็เดินออกไปราวกับไม่ใยดีเธอเลย

          มาดาม Yingchao ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนรู้จักกันดี อุทิศตนเพื่อชาติตลอดตั้งแต่ยัง เป็นสาว เป็นคอมมูนิสต์หัวเก่าที่ทำงานด้านสตรีเป็นเวลายาวนานจนเป็นที่ยอมรับและรักใคร่ของ คนจีน เธอมีชีวิตคู่กับ Zhou ในสาธารณะอย่างเป็นที่ชื่นชม แต่เบื้องหลังนั้นผู้เขียนระบุว่าความสัมพันธ์มิได้เป็นไปอย่างที่สาธารณชนเห็นเนื่องจากเขามีความรักกับ ‘น้องฮุย’ แนบแน่น

          อย่างไรก็ดีหนังสือก็มิได้พูดถึงการมีสัมพันธ์กับชายคนใดอีกถึงแม้จะกล่าวหาว่า Zhou เป็นรักร่วมเพศแล้วก็ตาม เมื่อมีคนกล่าวหาว่า Zhou เป็นเกย์ก็มีนักประวัติศาสตร์พยายามมองหานัยสำคัญ เช่น (1) เหตุใด Zhou จึงไม่กล้าลุกขึ้นต่อต้านเหมา ถึงแม้จะรู้ว่าการปฏิวัติครั้งนั้นนำความเสียหายอย่างมหาศาลมาสู่ประเทศ หรือเป็นเพราะว่าเหมารู้ความลับของเขา (2) เหตุการณ์หลายอย่างในประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนไปได้หรือไม่หากความลับนี้รั่วออกมา เป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถอยู่ในสังคมได้คอมมูนิสต์จีนถือว่าการรักร่วมเพศเป็นบาปอันใหญ่หลวงที่อภัยให้ไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินชีวิตหนึ่งของพวก ทุนนิยม (3) ความลับทำให้เขายอมสยบให้เหมาตลอดชีวิต ทั้ง ๆ ที่ในตอนต้นชีวิต Zhou อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าในพรรคและมีคนชื่นชมในความเก่งกาจของเขามากกว่าเหมาด้วยซ้ำ

          ผู้คนก็จินตนาการย้อนรอยประวัติศาสตร์กันได้ไม่มีจุดจบเมื่อมีสมมุติฐานว่า Zhou เป็นรักร่วมเพศ เขาจะเป็นจริงหรือไม่คงจะต้องหาหลักฐาน เอกสารหรือบันทึกตลอดจนการบอกเล่าของคนเก่า ๆ ซึ่งจะเชื่อได้หรือไม่ก็ยากที่จะหยั่งถึง ตัว ‘น้องฮุย’ เองก็เสียชีวิตในปี 1960 ก่อนหน้า Zhou ซึ่งเสียชีวิตในปี 1976 ก่อนหน้าเหมาเสียชีวิตเพียง 8 เดือน ส่วนมาดาม Yingchao มีชีวิตอยู่จนถึง 88 ปี โดยเสียชีวิตในปี 1992

          ไม่ว่าความจริงในเรื่องการเป็นเกย์ของ Zhou จะเป็นอย่างไรก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับความจริงที่ว่า Zhou เป็นรัฐบุรุษที่อุทิศตนให้ชาติอย่างจริงใจและอย่างแท้จริงโดยมิได้คำนึงถึงผลตอบแทนส่วนตัว

          การเป็นรักร่วมเพศของ Zhou หากเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องน่าศึกษาเชิงวิชาการว่ามีผลกระทบอย่างไรต่อประวัติศาสตร์ของจีน และต่อสันติภาพของโลก

          ผลงานที่ทิ้งไว้อย่างไม่ต้องสงสัยของบุคคลหนึ่งในประวัติศาสตร์เปรียบเสมือนขุนเขา ซึ่งนาน ๆ อาจมีคนมาขุดคุ้ยบ้างแต่ก็ไม่อาจสั่นคลอนความเป็นภูผาที่แข็งแกร่งได้

Ba ผู้สนับสนุนมหาตมะ คานธี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
9 กุมภาพันธ์  2559

          โลกรู้จักและชื่นชมแต่มหาตมะ คานธี โดยมักไม่ทราบว่าภรรยาของเขานี่แหละคือบุคคลสำคัญซึ่งอยู่เบื้องหลังช่วยผลักดันให้ประสบความสำเร็จจนเสมือนเป็นพระเจ้าและเป็นต้นแบบที่เป็น แรงบันดาลใจจนเกิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงขึ้นในหลายประเทศ

          Kasturba Kapadia หรือที่คนอินเดียเรียกว่า “Ba (แม่)” คู่กับ “Bapu (พ่อ)” ของ มหาตมะ คานธี หรือชื่อเดิม Mohandas Gandhi เกิดใน ค.ศ. 1869 เป็นลูกสาวของพ่อค้าผู้มีอันจะกินของเมือง Porbandar

          เมื่อตอนอายุ 7 ขวบพ่อแม่หมั้นหมายไว้กับเด็กชายวัยเดียวกันชื่อ Mohandas Karamchand Gandhi ลูกพ่อค้าฮินดูเช่นเดียวกัน และแต่งงานกันในเวลา 6 ปีต่อมา โดยทั้งสองไม่รู้ว่าการแต่งงานหมายความว่าอย่างไร

          Gandhi เขียนในตอนหลังว่าทั้งสองไร้เดียงสาในเรื่องเพศ อยู่กันนานพอควรจึงเข้าใจและมีลูก ในตอนแรกสามีนั้นไม่ยอมรับประเพณีดั้งเดิมที่สามีอยู่เหนือภรรยาซึ่งกำหนดให้เธอมีหน้าที่เพียงท้อง ทำกับข้าว และเลี้ยงลูกเท่านั้น เขาสอนเธอให้อ่านหนังสือ เรียนรู้โลกด้วยกันจากหนังสือพิมพ์ Gandhi สารภาพว่าถ้าไม่มีเรื่องเพศเข้ามาปะปน เขาเชื่อว่าเธอจะมีเวลาเรียนหนังสือจนเป็นคนมีการศึกษาดีกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

          อย่างไรก็ดีเมื่อโตขึ้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป จากชายผู้ไม่ยอมรับประเพณีดั้งเดิม กลายเป็นชายอินเดียดั้งเดิม คือภรรยาเป็นทาส เช่นเวลาเธอจะไปไหนต้องขออนุญาตเขาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้ยอมเขาง่ายดายนัก มีการต่อสู้กันในทีอยู่เสมอ

          เมื่อทั้งสองอายุได้ 15 ปี ก็เกิดเหตุร้ายกับครอบครัว ลูกชายคนแรกของทั้งสองเสียชีวิตหลังจากเกิดได้ไม่กี่วัน และสามีของ Gandhi ก็ตายลงในเวลาใกล้กัน ซึ่งทำให้เขาเสียใจมากที่มิได้อยู่ข้างเคียงพ่อเมื่อตอนเสียชีวิต และนี่เป็นความผิดในใจของเขาซึ่งเป็นสาเหตุไปสู่ความแปลกในชีวิตสมรสในเวลาต่อมา

          เมื่ออายุได้ 18 ปี Gandhi ก็ปรารถนาจะศึกษากฎหมายในอังกฤษโดยใช้เงินจากการขายสินสอดที่ได้มาจากครอบครัวภรรยา (ประเพณีอินเดียนั้นผู้หญิงขอผู้ชาย) เธออยู่เฝ้าบ้านแต่ก็ไม่เหงาเพราะลูกชายคนโตชื่อ Harilal เกิดพอดี หลังจากห่างหายไปอังกฤษหลายปี เขาก็เรียนจบกลับมาและไม่นานนักก็มีลูกชายคนที่สอง

          Gandhi ทำงานเป็นทนายความในเมืองบอมเบย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงรับงานใหม่แต่อยู่ไกลมากคือที่ South Africa ซึ่งอยู่ในจักรภพอังกฤษเหมือนกัน เธอไม่ได้เดินทางไปด้วยเพราะต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก

          ที่ South Africa ซึ่งเป็นประเทศเหยียดผิว เขาต่อสู้กับความอยุติธรรมโดยการ ปลุกเร้ากระตุ้นให้คนอินเดียที่ไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยเฉพาะในเมือง Durban ลุกขึ้นต่อสู้ จนมีชื่อเสียงกระฉ่อนไม่เป็นที่สบอารมณ์ของอังกฤษ

          Gandhi เดินทางกลับมาอินเดียเพื่อรับภรรยาและลูกกลับไป Kasturba ไม่อยากเดินทางไปแต่ก็ต้องจำใจเพราะอยากอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ลูกชาย 2 คนก็ไม่คุ้นเคยกับพ่อเลย ขณะเดินทางไปถึงเธอกับสามีถูกแกล้งกักให้อยู่ในเรือเป็นเวลาหลายวันโดยอ้างการตรวจโรค แต่ความจริงก็คือเกรงกลัว Gandhi ซึ่งมีชื่อเสียงไปกว้างไกลในการก่อเหตุต่อต้านการเหยียดผิว เขาเป็นที่ชื่นชมจนคนเริ่มเรียกเขาว่า Bapu

          เธอซึ่งกำลังท้องลูกคนที่ 3 และลูก 2 คน เดินลงจากเรือขึ้นฝั่งด้วยความหวาดหวั่นเพราะสามีถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน ไข่เน่า แต่ก็ไม่สะทกสะท้านโดยบอกว่าอภัยให้ทุกคนเพราะการให้อภัยคือลักษณะของผู้มีความเข้มแข็ง

          Kasturba มีความสุขพักหนึ่งกับบ้านหลังใหญ่สไตล์ยุโรปงดงามกับลูกชายเดิม 2 คน และคลอดที่นี่อีก 2 คน รวมกันเป็น 4 คน อย่างไรก็ดีความสุขของเธอก็หมดสิ้นลงเมื่อสามีประกาศว่าเขานับถือปรัชญาในเรื่องการไม่เป็นเจ้าของสมบัติพัสถาน ดังนั้นต้องละทิ้งบ้านหลังนี้เพื่อไปอยู่บ้านชนิดอยู่ร่วมกันซึ่งตั้งอยู่กลางไร่อ้อยไกลออกไปอีก

          เขาศึกษาคู่มือคลอดลูกเอง หาซื้อกรรไกรมาตัดผมเอง อย่างไรก็ดีในเวลาไม่นานนักเขาก็บอกเธอว่าต่อนี้ไปเขาจะไม่นอนกับเธอแล้ว เพราะนับถือปรัชญาเรื่อง “พรหมจรรย์” โดยบอกว่าถ้าถนอมอสุจิไว้ได้มากเท่าใดก็จะยิ่งมีพลังมากเพียงนั้น

          นักวิเคราะห์ในภายหลังเชื่อว่าความรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่กับพ่อตอนตาย เพราะหลงระเริงอยู่กับเรื่องเพศน่าจะมีผลต่อการตัดสินใจเช่นนี้ Gandhi ภาคภูมิใจกับความสามารถในการรักษาพรหมจรรย์มาก จนในภายหลังขณะที่พักอาศัยในอาศรม (ashram) เขานอนแก้ผ้ากับผู้หญิงสาวเปลือยกายหลายคนเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น (อย่าได้ให้สามีที่ว่าแสนดีของท่านพิสูจน์แบบนี้นะครับ)

          การต่อสู้แบบ “อารยะขัดขืน” (civil disobedience) โดยไม่ใช้ความรุนแรงหากยอมให้ถูกกระทำแต่ฝ่ายเดียวที่ใช้ได้ผลของเขาในการกู้เอกราชอินเดียเชื่อว่ามีที่มาจากการกระทำของ Kasturbar เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ขณะที่ Gandhi พยายามกำหลาบให้เธออยู่ในโอวาท ซึ่งเธอก็ยอมโดยไม่มีการใช้ความรุนแรงโต้กลับเมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกันทุกครั้ง จนในที่สุดสามีก็ผ่อนปรนลงไปมาก

          ในการต่อสู้เพื่อเอกราชอินเดีย เธออยู่เคียงข้างช่วยเหลือเขาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงใดก็ตาม จนถูกจับติดคุก ยอมอดอาหาร ทั้งหมดก็เพื่อสามีของเธอ ครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่คุกไม่ยอมให้อาหารไร้เนื้อสัตว์ เธอก็ยอมอดอาหารจนเกือบตาย และในที่สุดก็ยอมให้อาหารชนิดที่เธอต้องการ

          หลังจากอยู่ South Africa มา 20 ปี ก็กลับมาต่อสู้ในอินเดียโดยไม่ใช้ความรุนแรงและหันมาใส่เสื้อผ้าแบบชาวบ้าน ทอผ้าเอง เมื่อมีคนศรัทาและเชื่อในกลวิธีนี้มากขึ้น ๆ ก็เกิดการประท้วงที่กว้างขวางขึ้นเป็นลำดับ แรงกดดันสู่การปลดปล่อยอินเดียก็มากขึ้นจนในที่สุดได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1947

          เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เป็นเรื่องเศร้าของครอบครัวก็คือการไม่ถูกกันระหว่างลูกคนโต Harilal กับพ่อผู้ซึ่งแทบไม่รู้จักเขา Harilal ทอดทิ้งครอบครัวไม่ยอมรับความสำคัญของพ่อ คิดและกระทำทุกอย่างตรงข้ามพ่อ มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งที่สถานีรถไฟก่อนได้รับชัยชนะจากอังกฤษ ทั้ง Gandhi และ Kasturba พบลูกชายในสภาพไร้ฟัน เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งราวขอทาน เขาเดินเข้ามาหาและให้ส้มแก่แม่ Gandhi ก็ถามว่าแล้วมีอะไรให้พ่อบ้าง เขาตอบว่า “ไม่มีอะไร ถ้าพ่อยิ่งใหญ่จริงก็เป็นเพราะแม่นี่แหละ”

          คำพูดนี้โดนใจ Gandhi มาก เขารู้ดีว่าที่ลูกพูดนั้นเป็นความจริง และรู้สึกปวดร้าวมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเขากับลูกชาย เมื่อตอนที่ Kasturba ใกล้ตายจาก heart attack 2 ครั้ง มีโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและล้มเจ็บด้วยนิวมอเนีย Harilal พยายามให้แม่กิน ยาเพ็นนิซิลินซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะใหม่ แต่ Gandhi ให้กินยาพื้นบ้าน เธอเหน็ดเหนื่อยมากและยอมจิบน้ำจากแม่น้ำคงคา หลังจากนั้นก็นอนลงเรียกชื่อสามีเพื่อหวังให้คืนดีกับลูก แต่เธอก็ขาดใจตาย บนตักของ Gandhi เสียก่อน เมื่ออายุได้ 74 ปี ก่อนที่อินเดียจะได้รับเอกราช 3 ปี

          ชีวิตของเธออุทิศเพื่อสามี เมื่ออินเดียมี Bapu ของประเทศ เธอก็เป็น Ba ของอินเดียโดยแท้

ภูกระดึงที่ต้องหวงแหน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 กุมภาพันธ์ 2559

          ภูกระดึงสำหรับผู้เขียนเปรียบเสมือนภูเขาหิมาลัยสำหรับเหล่านักไต่เขาระดับโลก มันเป็นความฝันมานานว่าต้องพิชิตให้ได้สักครั้ง และเมื่อถึงวัยนี้ก็ตระหนักว่าต้องรีบให้เร็วที่สุด มิฉะนั้นจะไม่มีปัญญาเพราะสังขารไม่สนับสนุน ในที่สุดก็ได้ลงมือและได้แง่คิดบางประการที่ขอนำเสนอ

          ภูกระดึงเป็นอุทยานแห่งชาติโดยได้รับการจัดตั้งให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติตั้งแต่ปี 2486 สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยมีหลักฐานจากรายงานสภาพภูมิศาสตร์เสนอต่อกระทรวงมหาดไทยของสมุหเทศภิบาล (พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ ศิลปาคม พ.ศ. 2399-2467)

          ภูกระดึงมาจากคำว่า “ภู” แปลว่า ภูเขา และ “กระดึง” แปลว่ากระดิ่งซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของจังหวัดเลยซึ่งเป็นสถานที่ตั้ง เมื่อรวมกันจึงอาจแปลได้ว่า “ระฆังใหญ่” ชื่อนี้มาจากเรื่องเล่าของชาวบ้านว่าในวันพระมักได้ยินเสียงกระดิ่งหรือระฆังจากภูเขาลูกนี้เสมอ ซึ่งหมายความว่าเป็นสถานที่อันเปรียบเสมือนสวรรค์

          สวรรค์จริงหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่การจะขึ้นไปถึงยอดซึ่งเป็นที่ราบนั้นหนักหนาสาหัสสำหรับคนทุกวัยโดยเฉพาะกลุ่มของผู้เขียนซึ่งเป็นชายล้วน 7 คน (รวมอายุกันแล้วเฉียด 500 ปี)ลักษณะของภูกระดึงเป็นรูปหัวใจ

          พื้นที่ราบซึ่งอยู่บนยอดนั้นมีพื้นที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร (37,500 ไร่) สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร เส้นทางขึ้นภูกระดึงนั้นไม่ราบเรียบ เต็มไปด้วยก้อนหินตะปุ่มตะปํ่า สมองต้องทำงานตลอดเวลาว่าจะเลือกเดินอย่างไร ซอกหลืบ หรือซอกหินใดที่จะทำให้ตนเองสามารถเคลื่อนที่ขึ้นไปตามระยะทางประมาณเกือบ 6 กิโลเมตรได้ ก่อนที่จะถึงยอดเขาซึ่งเป็น ที่ราบ และเดินไปอีก 3 กิโลเมตรบนทางเรียบเพื่อไปถึงสถานที่ตั้งที่อยู่อาศัยของนักผจญภัยทั้งหลาย

          ระหว่างทางก็มีจุดพักเป็นระยะ ๆ เรียกว่า “ซำ” บางซำก็มีน้ำ อาหาร ของที่ระลึก ผลไม้ ฯลฯ ขายอยู่หนาแน่นโดยตั้งอยู่บนสถานที่ๆพอเป็นที่ราบเรียบ พวกเราใช้เวลาเดินขึ้นถึงยอดภูประมาณ 5 ชั่วโมง และอีก 1 ชั่วโมงไปยังที่พัก เรียกได้ว่าสุดโหดสำหรับคนในวัยร่วงโรยนี้ แต่ทุกคนก็ไปถึงได้อย่างสบาย ๆ ไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เนื่องจากทุกคนมีการเตรียมออกกำลังกายและพักผ่อนมาเป็นระยะเวลายาวนานพอควร และรู้จักสุขภาพของตนเองดีจึงหาญกล้าเช่นนี้

          ข้อสังเกตที่พบและน่าชื่นใจก็คือเกือบทุกคนที่เดินสวนผ่านกันทั้งขาขึ้นและลงจะมีความเป็นมิตรต่อกันอย่างมาก คนที่ลงมาก็จะให้กำลังใจคนที่กำลังจะขึ้นว่าอีกสักพักก็ถึง “ซำ” ต่อไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วอาจอีกนานพอควร นอกจากนี้คนที่เดินขึ้นและลงด้วยกันก็มักจะพูดคุยกันเสมือนเป็นเพื่อน มีความสนุกสนาน และดูจะอิ่มเอิบในความกล้าของตนเองยามไต่ขึ้นและภูมิใจตนเองยามขาลงว่าได้ทำสำเร็จแล้ว

          ระหว่างการเดินทางก็จะมีลูกหาบที่รับจ้างขนกระเป๋าและแบกวัตถุดิบขึ้นไปสำหรับร้านอาหารที่มีอยู่นับสิบร้าน (ห้ามหุงหาอาหารต้องซื้ออย่างเดียว เนื่องจากเกรงการตัดไม้มาทำฟืนและการเป็นต้นเชื้อไฟป่า) เดินขึ้นอยู่หนาตา ลูกหาบเหล่านี้แบกคนละประมาณ 60-80 กิโลกรัม มีทั้งชายและหญิง ร่างกายแข็งแรงกำยำ จะเอากระเป๋าซ้อนกันและใช้เชือกมัดเพื่อหาบโดยใช้ไม้คานขนาดใหญ่ ขณะหาบไปก็เปิดเพลงดัง ๆ ให้กำลังใจไปอย่างน่าเห็นใจ เพราะแค่ลำพังขึ้นไปตัวเปล่าก็หนักหนาแล้ว แต่ลูกหาบเหล่านี้กลับแบกน้ำหนักขนาดนี้ขึ้นไปหน้าตาเฉย (แต่หนักมาก)

          ได้คุยกับลูกหาบก็พบว่าเป็นลูกหลานของลูกหาบเก่าเกือบทั้งสิ้น บางคนมีอายุถึง 60 ปี ก็มี แบกมาตั้งแต่ยังหนุ่ม โดยเฉลี่ยขึ้นลงวันละ 1 เที่ยว หากในช่วงเทศกาลอาจมี 2 เที่ยว ส่วนใหญ่จะขึ้นลงทุกวันราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อสูงอายุก็มีปัญหาเข่าเสื่อม (ขาลงนั้นต้องใช้กำลังเข่ามากยิ่งขึ้น) ปวดหลัง ปวดไหล่ คล้ายกับนักยกน้ำหนักทั้งหลาย

          ข้อคิดจากการผจญภัยครั้งนี้ก็คือความยากลำบากในการขึ้นคือเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง ผู้เขียนรู้สึกว่าคนที่พบกันบนยอดภูจะมองซึ่งกันและกันอย่างทึ่งเพราะทุกคนต้องผ่านเส้นทางเดียวกันทั้งนั้น (ยกเว้นพวกเราที่เด็ก ๆ อาจมองอย่างทึ่งหรือสมเพชว่าควรอยู่บ้านเลี้ยงหลานมากกว่ามาทำสิ่งเดียวกับคนวัยเขา) ข้างบนไม่มีรถ ไม่มีมอเตอร์ไซค์ (ยกเว้นของเจ้าหน้าที่ซึ่งเห็นเพียงคันเดียว) ไม่มีช้างให้ขี่ (ยกเว้นช้างป่าซึ่งต้องพยายามหลีกเลี่ยงในยามเย็นเมื่อออกมาหากิน) ไม่มีม้าให้ขี่ ทั้งหมดต้องเดินด้วยตนเองทั้งสิ้น

          บนยอดเขามีน้ำตกและหน้าผาให้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกหลายแห่ง แต่ทั้งหมดต้องเดิน ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ และที่ไกลที่สุดก็ประมาณ 9 กิโลเมตร เมื่อนับระยะทางไปกลับแล้ววันหนึ่งต้องเดินไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร หรืออาจถึงกว่า 20 กิโลเมตร (มีอยู่วันหนึ่งพวกเราเดินรวมระยะทาง 25 กิโลเมตร)

          ใครที่ไม่ชอบเดิน ไม่ชอบธรรมชาติ ไม่ชอบอากาศเย็นหรือหนาว ไม่ชอบความท้าทาย ไม่ชอบความลำบากเล็กน้อย (ไม่มีน้ำอุ่นอาบ ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ทั้งคืน) ก็จงอย่ามาขึ้น ภูกระดึงเป็นอันขาดเพราะจะไม่สนุกเลย

          ใครที่เสนอไอเดียให้สร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงนั้นในความเห็นของผู้เขียนคือคนที่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของชีวิต ตื้นเขินในความคิดอันถูกครอบงำด้วยกระแสทุนนิยมอย่างเขลา คำถามง่าย ๆ ก็คือจะสร้างเพื่ออะไร คำตอบอาจเป็นว่าจะได้มีนักท่องเที่ยวขึ้นได้สะดวก มีนักท่องเที่ยวแยะ ๆ จะได้มีการค้าขาย มีการทำมาหากินสร้างรายได้ให้ผู้คนจำนวนมาก

          คำโต้กลับคำตอบเหล่านี้ก็คือความสะดวกจะนำไปสู่การทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าที่สุดแห่งหนึ่งของบ้านเรา เพราะยังไม่มีภูเขาลูกใดที่มีลักษณะแบนราบบนยอดเหมือนภูกระดึง อีกทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชุกชุม มีทั้งช้าง เก้ง กวาง หมูป่า กระต่าย เลียงผา ฯลฯ ตลอดจนสัตว์ปีกเกือบ 200 ชนิด อีกทั้งมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ไม่ว่าป่าเต็งรัง หรือป่าสน

          กระเช้าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มจากจำนวนสูงสุดที่ควบคุมไว้ที่ 5,000 คน ในช่วงเวลาหนึ่งเป็นนับหมื่น ๆ คน สัตว์ป่า ต้นไม้จะถูกกระทบและทำลาย ขยะจะเพิ่มพูนขึ้น ขนาดใด สิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งก็หายไปข้ามคืน

          ปัจจุบันภูกระดึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีอย่างน่าชมเชย โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถานที่แห่งนี้มีการควบคุม การให้บริการ การจัดการในเรื่องต่าง ๆ การดูแลป่าและสัตว์ป่า ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลนักท่องเที่ยวในเรื่องการให้ความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงจำนวนนักท่องเที่ยวด้วยกระเช้าจะทำลายทุกสิ่งที่มีอยู่ลงอย่างสิ้นเชิง

          สิ่งมีค่าของชาติจะอยู่อย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อคนในชาติผู้เป็นเจ้าของร่วมกันรับผิดชอบ รักและหวงแหนอย่างแท้จริงเท่านั้น