Estonia บุกเบิก Digital Society

วรากรณ์  สามโกเศศ
25 เมษายน 2560

          Estonia เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่น้อยคนจะรู้จักมักคุ้น แต่ทั้งเล็กและน้อยนี้แหละเป็นตัวอย่างก่อนใครในโลกในการเปลี่ยนเป็นสังคม-E หรือ Digital Society ไม่น่าเชื่อว่าที่นั่นลงคะแนนเลือกตั้งออนไลน์กันมากว่า 10 ปีแล้ว
ลองจินตนาการถึงโดนัทที่ตัดแหว่งออกไประหว่าง 6 กับ 8 นาฬิกา รูโหว่คือทะเล Baltic เหนือจากเนื้อโดนัทที่มิได้ถูกตัดขึ้นไปคือNorway / Sweden / Finland / Russia (ตรงเมือง St.Petersburg) / Estonia / Latvia / Lithuania / Poland / Germany และ Denmark ซึ่งเป็นเนื้อโดนัทริมที่แหว่งด้านใต้

          Estonia มิได้ถูกนับรวมไว้ในกลุ่ม Scandinavia ทั้งที่มี Vikings เป็นบรรพบุรุษเหมือนกัน เหตุผลก็คือแทบไม่เคยเป็นประเทศที่มีอิสรภาพเลย 700 ปีอยู่ภายใต้อิทธิพลของเยอรมัน และอีก 200 ปี เป็นลูกไล่ของรัสเซีย

          ครั้งหนึ่งดินแดน Finland (อยู่ใกล้กับ Estonia เพียงนั่งเรือข้ามทะเล Baltic เพียง 2 ชั่วโมง มีภาษาคล้ายกันอย่างแตกต่างจากกลุ่ม Scandinavia) กับดินแดน Estonia ก็เคยเป็นของสวีเดนมาก่อน ประเทศเหล่านี้ต่อสู้ฆ่าฟันกันนานนับร้อย ๆ ปี จนเกิดเป็นประเทศ Estonia ขึ้นครั้งแรกในปี 1918 แต่ก็อยู่ได้เพียง 22 ปี ในปี 1940 รถถังรัสเซียบุกยึด Estonia เข้ามาเป็นรัฐหนึ่งของสหภาพ โซเวียต (USSR)

          คน Estonia ขมขื่นที่ถูกกดขี่โดยโซเวียตมาก พยายามต่อสู้แต่ก็ไม่เป็นผล มาสำเร็จเมื่อสหภาพโซเวียตเริ่มซวนเซในปี 1987 โดยรุมเร้าทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจคอมมูนิสต์ โลกสมัยใหม่ที่ข่าวสารเข้าถึงผู้คน “หลังม่านเหล็ก” ฯ จุดเริ่มต้นก็คือคน 300,000 คนชุมนุมกันร้องเพลงปลุกใจรักชาติที่สหภาพโซเวียตห้าม ซึ่งก็คือการท้าทายอำนาจครั้งใหญ่ ถึงจะร้องเพลงสู้แบบนิ่มนวลแต่รถถังโซเวียตก็ยังออกมาปราบในปี 1991 แต่ประชาชนลุกฮือขึ้นขวาง และในที่สุดการต่อสู้ก็สุกงอมเมื่อเกิดปฏิวัติในปี 1991 ในสหภาพโซเวียตโดยกลุ่มอำนาจเก่าและล้มเหลว

          ผู้ร่วมขัดขืนคือรัฐ Latvia และ Lithuania ทั้งหมดสู้ยิบตาเพราะรู้ว่าถึงเวลาแล้ว ผู้คน 3 ประเทศนี้จับมือถึงกันยาว 600 กิโลเมตร พร้อมกับร้องเพลงปลุกใจรักชาติ และในที่สุดก็ประกาศเป็นเอกราชใกล้เคียงกันในเดือนสิงหาคม 1991
Estonia เหมือนปลาได้น้ำ ผู้นำมีวิสัยทัศน์ว่าโลกจะต้องเป็น digital อย่างแน่นอน จึงเริ่มลงมือทันทีในประมาณปี 1995 ใช้การถูกสหภาพโซเวียตห้ามมิให้เยาวชนเรียนสังคมศาสตร์ โดยถูกบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เท่านั้นให้เป็นประโยชน์ รัฐบาลโหมการศึกษาด้าน IT และวิทยาศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพร้อมกับลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแผนการเปลี่ยนประเทศเป็น digital อย่างเป็นขั้นตอน Estonia นั้นมีพื้นฐานด้าน IT อยู่มากพอควร คน Estonia เขียนซอฟแวร์โปรแกรมในโครงการอวกาศของสหภาพโซเวียตโดยพยายามตั้งศูนย์วิจัย AI (ปัญญาประดิษฐ์) อยู่ใกล้ Tallinn เมืองหลวง

          ในปี 1995 รัฐบาลมีโครงการชื่อ Tiger Leap ที่มุ่งให้การ “อ่านออกเขียนได้” ด้าน IT กลมกลืนเข้าไปในชีวิตของประชาชนทุกคน

          ในเวลาเพียง 5 ปี ก็เริ่มเห็นผล ด้วยปัจจัยของการมีประชากรจำนวนน้อย (ปัจจุบันมีประมาณ 1.3 ล้านคน มีพื้นที่ 1 ใน 10 ของไทย) กอปกับมีการลงทุนเศรษฐกิจอย่างมากจากนอกประเทศตลอดจนมีกำลังคนเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลง ในปี 2003 ก็เริ่มใช้ระบบ ID Smart Care คือเป็นทั้งพาสปอร์ต ตั๋วเดินทางทุกรูปแบบใน EU ตั๋วรถไฟใต้ดินและบนดิน ใช้ยื่นเสียภาษี บัตรชำระเงิน ใบขับขี่ซึ่งบันทึกประวัติการขับขี่ ฯลฯ ข้อมูลทั้งหมดจะอยู่ในชิปที่ฝังอยู่ในการ์ดโดยสามารถเปลียนแปลงข้อมูลได้ตลอดเวลา

          Wi-Fi นั้นมีอยู่ทุกแห่งหน ไม่ว่าปั้มน้ำมันหรือริมถนน ซึ่งปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วและอื่น ๆ ก็มีเช่นเดียวกันไม่ว่า Smart Card หรือการให้ความสะดวกแก่ประชาชนในการรับบริการด้านต่าง ๆ เช่น ต่ออายุใบอนุญาต ใบขับขี่ ฯลฯ การเลียนแบบและแข่งขันกันเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบัน แต่ต้องไม่ลืมว่า Estonia เป็นผู้เริ่มก่อนคนอื่น

          อย่างไรก็ดี Estonia มี 2 โครงการที่ประเทศอื่นยังไล่ไม่ทัน โครงการแรกคือ E-cabinet หรือการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบ E กล่าวคือ รัฐมนตรีทุกคนจะมีวาระและข้อมูลเอกสารอยู่ใน PC หรือ smartphone โดยเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลจากทุกกระทรวง สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ประสานการให้ความเห็นแก่ที่ประชุมผ่านมือถือก่อนประชุม และระหว่างประชุมเพื่อการตัดสินใจ และทันทีที่ลงมติข้อมูลจะปรากฏให้ประชาชนเห็น และถ้าเป็นการแก้ไขหรือออกกฎเกณฑ์ก็จะให้สาธารณชนเห็นทันที

          โครงการที่สองคือ E-voting ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2001 โดยเลือกตั้งทั่วไปมาแล้ว 3 ครั้ง ผู้ลงคะแนนเลือกได้ว่าจะหย่อนบัตร หรือโหวตออนไลน์ หากเป็นอย่างหลังจะมีระบบการใช้ National Identity Card ประกอบเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นตัวตนคนลงคะแนนจริง จะลงกี่ครั้งก็ได้โดยโหวตจากที่ไหน ก็ได้ แต่จะนับการลงคะแนนครั้งสุดท้าย และเมื่อลงคะแนนไปแล้วสามารถขอดูได้ว่าการโหวตเป็นไปตามที่ตนได้ลงคะแนนไว้จริง ๆ

          เมื่อระบบเป็นเช่นนี้รัฐบาลจึงสามารถทราบความรู้สึกและความเห็นของประชาชนได้ ทุกเรื่อง แทบทุกนาทีโดยใช้เครื่องมือเช่นเดียวกับ E-voting ประชาชนทุกคนสามารถแสดงความเห็นถึงรัฐมนตรี และ ส.ส. ได้ทุกคน ทุกเวลา โดยมีต้นทุนต่ำที่สุด ทั้งหมดนี้ทำให้นักการเมืองสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          สิ่งที่น่าชื่นชมของ Estonia ก็คือการเก็บข้อมูลที่สำคัญของประชาชนทุกคน และเก็บอย่างเป็นความลับยิ่งยวด ประชาชนทุกคนสามารถเข้าไปดูได้ตลอดเวลาว่ารัฐเก็บข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตน หากไม่ถูกต้องก็แจ้งได้ นอกจากนี้ยังรู้อีกว่ามีใครเข้าไปดูข้อมูลเรื่องใดของตนเมื่อใดอีกด้วย

          การหนาวสุด ๆ ถึงต่ำกว่า 10๐-20๐c เป็นเวลา 3 เดือน หนาวมากใกล้ต่ำกว่าศูนย์อีก 3 เดือน หนาวใกล้ศูนย์ถึง 10๐ อีก 3 เดือน และอุ่นแบบเหนือ 10๐c อีก 3 เดือน ทำให้การทำธุรกรรมและเรื่องส่วนตัวที่บ้านได้เป็นเรื่องที่วิเศษมาก แรงกดดันเช่นนี้จึงเป็นผลให้เกิดการให้บริการที่ประชาชนพอใจไม่ว่าการซื้อของออนไลน์ต่าง ๆ การขออนุญาต การทำสัญญา การจ่ายภาษี การโอนเงิน หรือแม้แต่การหย่าออนไลน์ (หากทั้งสองเห็นพ้องและยืนยันความเป็นตัวตนถูกต้อง แต่การแต่งงานยังจำเป็นต้องไปปรากฏตัวพร้อมกัน)

          การมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีขนาดประชากรที่ไม่มากเกินไป มีการสะสมทุนความรู้ในด้าน IT และการริเริ่มเป็น digital society โดยผู้นำในช่วงเวลาที่เหมาะสมทำให้ Estonia ได้เป็นประเทศที่พิเศษในประวัติศาสตร์โลก

edtech เปลี่ยนแปลงโลกการเรียนรู้

วรากรณ์  สามโกเศศ
1 สิงหาคม 2560

          การเรียนรู้ในห้องเรียนแบบที่เราใช้กันมาเกือบ 300 ปีกำลังถูกทำให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและลามไปทั่วโลกด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้มีผลกระทบต่อนโยบายการศึกษาและการใช้ทรัพยากรในการให้การศึกษาอย่างไม่เคยมีมาก่อน

          รูปแบบการเรียนรู้ในห้องเรียนแบบดั้งเดิมชนิดที่นักเรียนทุกคนเรียนรู้สิ่งเดียวกัน ในเวลาเดียวกันด้วยวิธีการสอนเดียวกันและด้วยความเร็วในการเรียนรู้ (pace of learning) เดียวกัน กำลังถูกท้าทายด้วยเทคโนโลยี ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพการให้การศึกษาได้อย่างสำคัญ

          รูปแบบการศึกษาดั้งเดิมใช้การมีชั้นเรียนไต่ลำดับขึ้นไป มีหลักสูตรมาตรฐาน และมีตารางเรียนคงที่ ลักษณะการสอนดังกล่าวนี้มีต้นแบบมาจากประเทศปรัสเซีย (ต่อมาคือเยอรมัน) ในศตวรรษที่ 18 และถูกนำไปใช้กันทั่วโลกในเวลาต่อมา ก่อนหน้านั้นหากเป็นคนมีเงินก็จ้างครูมาสอนตัวต่อตัวหรือให้ครอบครัว แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้รับการศึกษา

          ความคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบดั้งเดิมซึ่งใช้ต้นทุนต่อหัวผู้เรียนต่ำและเป็นวิธีเรียนรู้ที่เชื่อว่าได้ผลที่สุดนั้นเริ่มเกิดขึ้นในกลางศตวรรษที่ 20 และมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเมื่อมีคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะและแบบโน้ตบุ๊คโดยสร้างซอฟต์แวร์ให้ผู้เรียนตอบคำถามแบบปรนัยและมีคำเฉลยให้โดยไม่มีการตอบโต้กลับระหว่างครู (เครื่อง) กับผู้เรียน อย่างไรก็ดีในรอบ 5-10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีไอทีมีความก้าวหน้ามากขึ้น การเรียนรู้แบบใหม่เป็นที่นิยมอย่างมาก โรงเรียนทั่วโลกจำนวนมากกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การศึกษาที่อาศัยซอฟต์แวร์ทันสมัยซึ่งทำให้การสอนแบบกลุ่มในห้องเรียนมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับ การสอนส่วนตัว

          Adaptive Learning Software หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ของแต่ละคนอย่างแตกต่างกันด้วยความเร็วในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันและ แก้ไขจุดอ่อนที่ไม่เหมือนกันของผู้เรียน โปรแกรมพัฒนาจากการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บมาจากผู้เรียนจำนวนมากมาวิเคราะห์และสร้างปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) ขึ้นเป็นซอฟต์แวร์ ในการใช้ของผู้เรียนเพื่อศึกษาเนื้อหาวิชานั้นผู้เรียนต้องตอบคำถามจำนวนหนึ่งจนโปรแกรมสามารถประเมินความสามารถในการเรียนรู้และการขาดความรู้ในบางเรื่อง จากนั้นซอฟต์แวร์ก็จะให้คำถามที่เลือกมาเป็นการเฉพาะและแนะนำให้เรียนรู้บางเรื่องเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้รายบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ

          personalized learning หรือการเรียนรู้เฉพาะบุคคลกำลังเกิดขึ้นในห้องเรียนเดิมโดยใช้ edtech (education technology) หรือเทคโนโลยีการศึกษาสมัยใหม่อย่างหลากหลายชนิด ตัวอย่างที่โดดเด่นก็คือ adaptive learning software

          edtech กำลังก้าวหน้ายิ่งขึ้นโดยเทคโนโลยีไอทีที่เรียกว่า machine learning (สาขาหนึ่งของ artificial intelligence) ซึ่งหมายถึงการที่ machine (อาจเป็นหุ่นยนต์ หรือในรูปแบบอื่น) เรียนรู้เพิ่มขึ้นผ่านประสบการณ์ตามที่โปรแกรมสั่งให้ทำ ตัวอย่างเช่นนอกจากสังเกตเห็นพฤติกรรมการติดต่อเพื่อนบางคนผ่านสมาร์ทโฟนบ่อยเป็นพิเศษจนเครื่องทำให้สะดวกขึ้นในการติดต่อแล้ว เครื่องยังให้ความสะดวกเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ถูกสั่งให้ทำ อีกตัวอย่างคือนอกจากการสังเกตเห็นการขาดความรู้ในบางเรื่องของผู้เรียนหรือการมีจุดบกพร่องในการเรียนรู้จากการสังเกตการตอบคำถามของผู้เรียน เครื่องก็จะให้บริการอื่นเพิ่มเติม

          มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า personalized learning ช่วยทำให้สัมฤทธิ์ผลการเรียนรู้ของนักเรียนสูงกว่าการศึกษาในแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน อีกทั้งยังทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุก อยากเรียนรู้มากขึ้นอีกด้วยเนื่องจากตรงกับความต้องการ ความสนใจ ความใฝ่ฝัน และพื้นฐานวัฒนธรรมอีกด้วย

          นักเรียนแต่ละคนมีอัตราการเติบโตของร่างกายและสมองที่แตกต่างกัน เด็กบางคนเรียนรู้ได้เร็วในวัยต้น บางคนเรียนรู้ช้าในวัยต้น แต่มาเร่งความเร็วในตอนวัยกลาง หากต้องมาเรียนในห้องเดียวกัน เรียนเรื่องเดียวกัน ถูกสอนด้วยวิธีการเดียวกันในอัตราความเร็วเดียวกัน เด็กบางคนจะตามไม่ทันจนอาจท้อใจและเลิกเรียนได้ แต่ถ้าหากเป็น personalized learning ผ่านการใช้ adaptive learning software แล้วก็สามารถช่วยเพิ่มสัมฤทธิ์ผลของการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี

          ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์มีความรู้เรื่องการทำงานของสมอง ความจำ กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนจิตวิทยาของการเรียนรู้มากกว่าเดิมเป็นอันมาก จนทำให้เกิดความก้าวหน้าในเรื่อง science of learning (วิทยาศาสตร์ของการเรียนรู้) อันเป็นผลต่อการสร้างซอฟต์แวร์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น edtech ในปัจจุบันที่ใช้กันทั่วโลกได้แก่ Mindspark / ALEKS / Geekie / Khan Academy ฯลฯ

          edtech ครอบคลุมหลากหลายวิธีของการเรียนรู้และชนิดของฃอฟแวร์ แต่ไม่ว่าจะก้าวหน้าอย่างไรก็ตาม การเรียนรู้แบบดั้งเดิมก็ยังคงอยู่อย่าง เหนียวแน่นสำหรับเด็กเยาวชนเกือบ 1,500 ล้านคนในโลก การนำ edtech มาใช้ประกอบในห้องเรียนดั้งเดิมจึงช่วยทำให้ “การบังคับให้เหมือนกัน” หายไปได้มาก

          การใช้ edtech ให้ได้ผลขึ้นอยู่กับทัศนะคติฝังใจ (mindset) ของครูเป็นอย่างมาก ไม่ว่าภาครัฐจะให้การสนับสนุนมากเพียงใด หากครูใจไม่กว้างพอ ไม่ยอมปรับตัวเปลี่ยนจาก “การเป็นครู” เป็น “ผู้อำนวยการเรียนรู้” ไม่ยอมเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่แล้ว ผู้เรียนก็จะไม่ได้รับประโยชน์จาก edtech และถ้าหากปล่อยให้เด็กใช้ edtech ตามยถากรรมโดยไม่ติดตามความก้าวหน้าของการเรียนรู้ ไม่เอาใจใส่กระบวนการเรียนรู้แบบผสมของเด็ก และไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของครูอย่างเต็มที่แล้ว edtech จะกลับให้ผลเสียด้วยซ้ำ เพราะเด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ในช่วงชีวิตที่สำคัญของเขา

          ในประเทศไทยเท่าที่ผู้เขียนติดตามงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน (นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ก็พบว่าท่านมีความรู้และให้ความสนใจเรื่อง edtech เป็นพิเศษ เท่าที่ทราบมีหลายโครงการในหลายโรงเรียนที่มีการดำเนินการอยู่ในขั้นตอน ต่าง ๆ ในปัจจุบัน ประเด็นที่สำคัญเป็นพิเศษของประเทศเราก็คือการปรับตัวของครูอย่างสอดคล้องกับวิวัฒนาการของการเรียนรู้ผ่าน edtech

          edtech มิได้ทดแทนครู นักเรียนยังต้องการการสอนตัวต่อตัว การอบรมบ่มเพาะด้านคุณธรรม ตลอดจนการเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ในการดำรงชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่ทดแทนครูได้ มีแต่ สิ่งที่มาช่วยให้ครูมีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่มากขึ้นเท่านั้น

10 คุณสมบัติของเจ้านายที่พึงปรารถนา

วรากรณ์  สามโกเศศ
13 มิถุนายน 2560

        คนที่มีประสบการณ์การทำงานย่อมได้พบเห็นเจ้านายที่เข้าท่าชนิดลูกน้องยินดีร่วมมือและทำงานให้ด้วยความเต็มใจและไม่เข้าท่าอย่างสุดจะพรรณนาได้ เจ้านายประเภทแรกทำให้เกิดความสำเร็จในการทำงานขององค์กร ส่วนเจ้านายประเภทหลังก็พอจะเห็นภาพได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

          ผู้เขียนได้พบข้อเขียนในอินเตอร์เน็ตเรื่อง “10 คุณสมบัติเจ้านายที่ลูกน้องยอมเทใจให้สุดกำลัง” ซึ่งเรียบเรียงโดย BusinessCafe.com ซึ่งต้นฉบับมาจาก Businessnewsdaily.com จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ ในตอนท้ายผู้เขียนขอเพิ่มเติมในบริบทของสังคมไทย

          การเป็นนักบริหารที่ดีไม่เพียงแต่คุณจะต้องเก่งกาจในเรื่องของการบริหารงาน การวิเคราะห์ตลาด และการวางแผนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่การเป็นสุดยอดนักบริหารตัวจริง คุณจะต้องเก่งในเรื่องของ “การบริหารคน” ด้วย เพราะธุรกิจของคุณจะไม่มีทางขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีได้เลยถ้าคุณไม่ได้ใจลูกน้อง

          10 คุณสมบัติเจ้านายที่ทำให้ลูกน้องยินดีร่วมมือและทำงานให้ด้วยความเต็มใจ

          จากผลการสำรวจและวิจัยของ Gallup พบว่าใน 100 คน มีเจ้านายเพียง 10 คนเท่านั้นที่ลูกน้องรักและยินดีร่วมงานด้วยแบบไม่มีเงื่อนไข ยินดีให้ความร่วมมือ ปฏิบัติตาม และให้ความเคารพอย่างแท้จริง ไม่ใช่การทำไปเพราะตำแหน่งและบทบาทในหน้าที่การงานเท่านั้น และต่อไปนี้คือ 10 คุณสมบัติเจ้านายที่ได้ใจลูกน้องและลูกน้องรักเหลือเกิน

          1. ใช้อำนาจเป็น การใช้อำนาจในที่นี้คือการใช้อำนาจในฐานะของเจ้านายอย่างเหมาะสมและไม่มากจนเกินไป ไม่เบ่งอำนาจจนลูกน้องรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นทาสอยู่รึเปล่า รวมทั้งใช้อำนาจตามอำเภอใจ สั่งให้ลูกน้องทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนืองานที่รับผิดชอบ

          2. มีความยุติธรรมและมีภาวะความเป็นผู้นำ ความยุติธรรมและภาวะความเป็นผู้นำคือคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ของผู้ที่จะเป็นหัวหน้า หากคุณต้องการให้บริษัทดำเนินธุรกิจอย่างราบรื่น รวดเร็ว และงานมีคุณภาพสูง คุณต้องมีความยุติธรรมและสร้างภาวะความเป็นผู้นำให้ลูกน้องเกิดความเชื่อถือให้ได้ นอกจากนี้ห้ามเป็นเจ้านายที่ลำเอียงเด็ดขาด เพราะบอกได้คำเดียวว่าลูกน้องเกลียดที่สุด

          3. สามารถแก้ไขปัญหาได้ดี เจ้านายที่ลูกน้องรักนอกจากจะมีความยุติธรรม มีคุณธรรมและภาวะความเป็นผู้นำสูงแล้ว อีกหนึ่งคุณสมบัติที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกน้องได้คือความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างยอดเยี่ยม ยิ่งปัญหาได้รับการแก้ไขรวดเร็วเท่าไหร่ ลูกน้องจะยิ่งให้ความเคารพในตัวเจ้านาย เชื่อมั่น และมีศรัทธา มากขึ้นตามไปเท่านั้น

          4. ชี้เป้าหมายที่ชัดเจน การชี้เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้ลูกน้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการสร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อบริษัท เนื่องจากบางครั้งความคลุมเครือ การไม่พูดและบอกออกไปตรง ๆโดยคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าต้องทำอะไรเป็นวิธีที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่เกิดประโยชน์ และลูกน้องไม่ชอบ เพราะไม่รู้ว่างานที่ทำผิดตรงไหนหรือหัวหน้าต้องการให้งานเป็นอย่างไร อยากให้ทำอย่างไรก็บอกลูกน้องไปตรง ๆ แบบนี้แหละได้ใจ

          5. ทำงานร่วมกับลูกน้อง การทำงานร่วมกับลูกน้องช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น แตกต่างจากเจ้านายที่จะพบเจอกันเฉพาะในการประชุมเท่านั้น ส่งผลให้เจ้านายประเภทนี้มีความเข้าอกเข้าใจลูกน้องมากเป็นพิเศษ เพราะการทำงานร่วมกันทำให้ได้เรียนรู้ตัวตน ความคิด ทัศนคติ ศักยภาพ และความสามารถที่ลูกน้องแต่ละคนมี ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานราบรื่นรวดเร็วและเป็นระบบ นอกจากนี้การแจกจ่ายงานยังเป็นเรื่องง่ายเพราะเจ้านาย รู้ว่าใครเก่งอะไร เจ้านายมั่นใจในผลงาน ลูกน้องก็สบายใจได้ทำงานที่ถนัดที่สุด

          6. สร้างความรู้สึกมีส่วนร่วม ลูกน้องส่วนใหญ่มักจะประทับใจและให้ความร่วมมือในการทำงานอย่างสุดความสามารถกับเจ้านายที่เห็นความสำคัญและทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าพวกเขามีส่วนร่วมกับบริษัท เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ และทุกความสำเร็จเกิดขึ้นจากพนักงานทุกคนร่วมมือกัน ไม่ใช่เพราะการบริหารงานที่ดีของเจ้านายเพียงคนเดียว

          7. เปิดโอกาสให้ลูกน้องแสดงความคิดเห็น เจ้านายที่ดีต้องให้ลูกน้องได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของตนเองได้ ซึ่งข้อดีของการเปิดโอกาสให้ลูกน้องได้แสดงความคิดเห็นนั้นจะช่วยให้รูปแบบการทำงาน ผลงาน และความสัมพันธ์ในการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เกิดแนวคิดและไอเดียธุรกิจใหม่ ๆ อยู่เสมอ

          8. ช่วยให้ลูกน้องเห็นศักยภาพของตนเอง ถึงแม้ว่าลูกน้องแต่ละคนจะทราบดีว่าตนเองมีความสามารถอะไรอยู่ แต่นั่นก็อาจไม่ใช่ทั้งหมด การที่เจ้านายช่วยให้ลูกน้องเห็นศักยภาพที่แท้จริงหรือศักยภาพทั้งหมดที่ตนเองมี ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ลูกน้องสามารถทำงานตามความสามารถได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น แต่ลูกน้องยังมีโอกาสพัฒนาศักยภาพที่ตนเองมีให้มีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ อีกด้วย

          9. เปลี่ยนเรื่องยากเป็นเรื่องที่ง่าย ในแต่ละวันของการทำงาน นอกจากปัญหาสารพัดที่สามารถเกิดขึ้นได้แล้ว ความเยอะของเจ้านายยังสามารถสร้างความลำบากในการทำงานให้กับลูกน้องได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเจ้านายที่ช่วยให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายหรือเปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้เป็นเจ้านายที่ลูกน้องรักจริง ๆ

          10. ให้กำลังใจที่ดีและให้ความช่วยเหลือสนับสนุน บางครั้งความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นจากการทำงาน เจ้านายที่คอยให้กำลังใจที่ดี เข้าใจ ให้อภัย และให้ความช่วยเหลือสนับสนุนลูกน้องอยู่เสมอคือเจ้านายในดวงใจ เพราะไม่มีลูกน้องคนไหนอยากทำผิดพลาด และเมื่อผิดพลาดแล้วได้รับกำลังใจที่ดีให้เริ่มต้นใหม่ แบบนี้ลูกน้องคนไหนไม่รักและทุ่มเทใจทำงานให้ก็บ้าแล้ว

          ทั้ง 10 คุณสมบัตินี้คือคุณสมบัติของเจ้านายที่ลูกน้องอยากให้เกิดขึ้นกับเจ้านาย ทุกคน เพราะคนเป็นลูกน้องต่างให้ความเห็นว่าเจ้านายเป็นส่วนสำคัญของการทำงาน ถ้ามีเจ้านายดี การทำงานก็ราบรื่นมีความสุข ต่อให้งานยากแค่ไหน พวกเขาก็เต็มใจทำให้ด้วยความยินดีและอยากทำงานให้เจ้านายแบบนี้ตลอดไป

          ในสังคมไทย “การซื้อใจ” ผ่าน “การมีน้ำใจ” หรือ “การดีกับลูกน้อง” อย่างจริงใจ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การมี “น้ำใจ” กินความกว้างขวางในบริบทของวัฒนธรรมไทย ตั้งแต่การเห็นอก เห็นใจ การเข้าถึงความรู้สึกของลูกน้อง (empathy) ความโอบอ้อมอารี การมีใจคอกว้างขวาง การไม่เห็นแก่ตัว ความเอื้ออาทร ความมีเมตตา “การดี” กับลูกน้อง ฯลฯ

          อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ “ความมีใจนักเลง” ซึ่งมีนัยยะของความกล้าหาญในเชิงยอมรับผิดรับชอบ กล้าแอ่นอกรับความผิดที่เกิดขึ้น ไม่ขี้ขลาดเอาหัวซุกทรายเหมือนนกกระจอกเทศเพื่อไม่ให้คนมองเห็น ฯลฯ ลูกน้องไทยดูจะรังเกียจคุณลักษณะนี้เป็นพิเศษ

          เจ้านายที่เป็นผู้นำที่แท้จริงต้องเป็นคนที่ know the way, go the way, and show the way (John Maxwell)

“เสียคนเมื่อแก่” กับการพนัน

วรากรณ์  สามโกเศศ
16 พฤษภาคม 2560

         ข่าวคราวเรื่องการต้มตุ๋นคนมีความรู้จำนวนมากเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 400-500 ล้านบาท โดยคนที่มีความรู้เช่นกัน อีกทั้งมีฐานะในสังคมเป็นครูบาอาจารย์ อดีตเป็นผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของประเทศได้สร้างความงุนงงให้แก่คนเดินดินกินข้าวแกงว่ามันเกิดอะไรขึ้นจนทำให้สถาบัน “ผู้สูงอายุ” และสถาบัน “อาจารย์ด็อกเตอร์ “สั่นคลอน

          ผู้เขียนไม่รู้จักอาจารย์วัยเหยียบ 80 ปีท่านนี้เป็นส่วนตัว แต่เคยได้ยินชื่อเสียงมายาวนานว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกของไทยคนหนึ่ง จบปริญญาเอกด้านคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยมีชื่อของอังกฤษ เคยเป็นผู้อำนวยการสำนักทะเบียนและประมวลผลของสถาบันการศึกษาเก่าแก่แห่งนี้มายาวนาน ก่อนที่จะหันไปเป็นผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์ของมหาวิทยาลัย และของชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย วงการสหกรณ์ออมทรัพย์ของบ้านเรารู้จักชื่อเสียงเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องฝีมือการบริหารและความชื่นชอบการพนันเป็นพิเศษ

          หลังการจับกุมก็สารภาพว่าสาเหตุของปัญหาคือการพนัน แต่ดูแล้วจะยังหยิ่ง ๆ ว่าไม่ได้โกงแต่จะคืนทรัพย์ให้ เพียงแต่อาจได้”ไม่ครบ “(คือคืนให้ได้ 10% !!) ไม่เห็นว่าจะสำนึกว่าคดโกงเพื่อนและ ต้มตุ๋นคนที่ให้เกียรติไว้วางใจแต่อย่างใด

          ผู้เขียนสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะไม่น่าเชื่อว่าคนในวัย 80 ปี มีการศึกษาดีมาก มีความรู้ความสามารถ ผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนานอย่างน่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกหลานก่อนที่จะจากไปในไม่กี่ปีจะขาดวุฒิภาวะได้ขนาดนี้ สาเหตุขั้นต้นสุดที่เชื่อว่าไม่น่าจะผิดก็คือความโลภและเมื่อเสริมด้วยความชอบการพนันจนน่าจะอยู่ในขั้นเสพติดจนมีปัญหาการเงิน มีช่องทางสะดวกและต่อมจริยธรรมอักเสบ เรื่องที่เหลือก็พอจะเดาได้

          ผู้เขียนค้นคว้าพบข้อมูลเรื่องการพนันในจุลสารชื่อ “ทันเกม” ออกโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (มันช่างเป็นสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า irony หรือแย้งกันอย่างประชดประชันเสียนี่กระไร) สนับสนุนโดย สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) และหนังสือชื่อ “เยาวชนกับการพนัน” (ผศ. พญ.สุพร อภินันทเวช) / “แกะรอยหยักสมองมองผลกระทบของการพนัน” (ผศ. พญ.พรจิรา ปริวัชรากุล และบทสัมภาษณ์) และ “แกะรอยผลกระทบของการพนัน” สิ่งที่เขียนต่อไปนี้นำมาจากข้อมูลในสิ่งพิมพ์ดังกล่าว

          การพนันเป็นสิ่งคู่กับมนุษย์นับย้อนหลังไปได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี คนจำนวนมากเล่นการพนันเพื่อความสนุกสนาน แต่มีบางส่วนที่เป็นโรคติดการพนัน (Pathological Gambling) เกณฑ์การวินิจฉัยของสมาคมจิตแพทย์อเมริกันซึ่งใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานอ้างอิงของวงการแพทย์ทั่วโลกระบุว่าหากมีอาการต่อไปนี้มากกว่า 5 ข้อขึ้นไป ถือว่าอยู่ในขั้นติดการพนัน และหากมี 4 ข้อลงมา ก็พึงระวังว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะติดการพนันสักวันในอนาคตอันใกล้ (1) หมกมุ่นอยู่กับการเล่นพนัน เช่น คิดถึงแต่การเล่นพนันที่ผ่านมา วางแผนหรือหาทางที่จะไปเล่นพนันอีก หรือครุ่นคิดหาวิธีที่จะได้เงินมาโดยการเล่นพนัน (2) ต้องการเล่นพนัน และใช้เงินหรือทรัพย์สินเพื่อไปเล่นพนันมากขึ้นเรื่อย ๆ (3) ไม่สามารถหยุดการเล่นพนันได้ หรือพยายามจะเลิกเล่นก็ทำไม่ได้ (4) มีอาการหงุดหงิด กระวนกระวายถ้าหยุดเล่นหรือไม่ได้เล่นการพนัน (5) ใช้วิธีเล่นการพนันเพื่อหลบหนีปัญหาหรือความไม่สบายใจบางอย่าง เช่น ความรู้สึกสิ้นหวัง ความรู้สึกผิด ความวิตกกังวล หรือซึมเศร้า (6) เมื่อเสียพนัน ก็พยายามจะเล่นใหม่เพื่อเอาคืน (7) โกหกคนในครอบครัว หมอ หรือคนอื่น ๆ เพื่อปกปิดข้อมูลของตนเกี่ยวกับการเล่นพนัน (8) ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่น ปลอมแปลง ฉ้อโกง โจรกรรม ยักยอกเงิน เพื่อนำมาเล่นการพนัน (9) ทำตัวเป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น เสียหน้าที่การเงิน การเรียน หรือเสียความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างเนื่องจากการพนัน (10) ต้องพึ่งพาผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง เพราะปัญหาการเงินของตนที่เกิดจากการพนัน

          มีผู้ศึกษาสาเหตุของการเกิดโรคติดการพนันไว้มาก ซึ่งพอสรุปได้ดังต่อไปนี้ (1) พันธุกรรม การศึกษาพบว่ามนุษย์มียีนบางตัวที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเป็นนักการพนัน เช่น dopamine D2 receptor gene คนที่ติดพนันส่วนใหญ่มักมียีนตัวนี้

          ปัจจุบันงานวิจัยพบว่าคนที่มี “อุบัติเหตุทางสมอง” เช่น คลอดออกมาแล้วหัวโดนบีบ โดนกระแทกอย่างแรง แม่ดื่มเหล้า แม่ใช้ยาเสพติดขณะท้อง เด็กเหล่านี้อาจมีไอคิวที่ต่ำกว่าปกติ เมื่อโตขึ้นพบกับสิ่งที่มากระตุ้นก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นนักการพนันมากกว่าเด็กทั่วไป

          (2) สิ่งแวดล้อม การคุ้นเคยกับการพนันแต่ยังเด็ก จากสิ่งแวดล้อมทางสังคม โดยเฉพาะทางครอบครัว มีผลอย่างมากต่อการเป็นนักพนัน การเห็นพ่อแม่เล่นการพนันเป็นเรื่องปกติประจำวัน ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องความถูกต้องทางจริยธรรม และได้รับอิทธิพลจากเพื่อนตอนวัยรุ่น ล้วนสร้างความเสี่ยงในการเป็นโรคติดการพนันเมื่อโตขึ้นทั้งสิ้น

          การที่ใช้คำว่า “ความเสี่ยง” อยู่บ่อย ๆ ก็เพราะไม่จำเป็นว่าภายใต้เงื่อนไขข้างต้นจะต้องเป็นนักพนันเสมอไป เด็กบางคนอาจมีอิทธิพล “คาน” จากครู หรือจากญาติคนอื่น หรือจากศาสนา จนทำให้ไม่เป็นโรคติดการพนันก็เป็นได้

          งานศึกษาในเรื่องการพนันพบว่าคนเป็นโรคติดการพนันมักมีโรคจิตเวชอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย เช่น โรคทางด้านอารมณ์ (มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเองต่ำ เช่นในเรื่องการอดทนรอคอย การควบคุมความต้องการของตนเอง ฯลฯ) มีงานวิจัยพบว่าในจำนวนคนเล่นการพนัน ร้อยละ 61 เป็นคนชอบดื่มแอลกอฮอร์ ร้อยละ 15 ใช้สารเสพติด ร้อยละ 32 เคยเป็นโรคซึมเศร้า

          วงจรอุบาทว์ของการพนันที่เราเห็นกันทั่วไปก็คือ (1) เล่นพนันชนิดเป็นยาเสพติด (2) เมื่อเสียพนันก็หน้ามืด ต้องกลับไปแก้ตัว (3) เสียการพนันหนักเข้าจนนำไปสู่ปัญหาการเงิน (4) เมื่อไม่มีหนทางแก้ไขเรื่องเงินก็ต้องกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม เพื่อหาเงินไปเยียวยาสถานะและเพื่อกลับไปแก้มือ และก็จะยิ่งเสียหนักขึ้น (5)มีปัญหาชีวิตโดยเฉพาะเรื่องครอบครัวและการเงิน (6) เล่นพนันหนักมือยิ่งขึ้น

          สำหรับคนแก่ที่เสียคนไปแล้วเพราะการพนัน เราคงทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้ผลพวงจากการกระทำของตนเองเป็นตัวตัดสิน แต่กลุ่มคนที่เราสามารถช่วยเหลือคุ้มครองป้องกันได้ก็คือเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นสิ่งมีค่ายิ่งของสังคมเรา

          เราต้องช่วยกันกำจัดและควบคุมสิ่งแวดล้อมด้านการพนันที่อยู่รอบตัวเรา เช่น การพนันออนไลน์ พนันบอล ชิงโชค “ชาเขียว” เล่นหวยใต้ดิน ฯลฯ เพราะเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่ยังไม่เสียคนเช่นเรา ประเด็นการแปลงร่างของเยาวชนจากเล่นพนันเพื่อสนุก เป็นเล่นพนันจนเป็นนิสัยเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

          ความมั่งมีเกิดขึ้นจากการหาเงินและการเก็บออมส่วนหนึ่งไว้เพื่อความมั่นคงและเพื่อนำไปลงทุนให้งอกเงยยิ่งขึ้น การพนันคือสิ่งที่บ่อนเฃาะกระบวนการนี้อย่างร้ายแรงและอาจนำไปสู่ปัญหาชีวิตและการงานได้อีกมากมาย

“เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย” ของอาจารย์ป๋วย

วรากรณ์  สามโกเศศ
14 มีนาคม 2560

          ถึงแม้ตอนเกิดแสนจะเป็นเด็กธรรมดา ไม่มีข้อได้เปรียบทางสังคม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับเป็นคนพิเศษของสังคมไทย เป็นที่รักของผู้คนเพราะวัตรปฏิบัติส่วนตัวและคุณประโยชน์ที่ทำให้แก่แผ่นดินจนเป็นที่ยอมรับของสังคมไทย และได้รับการยกย่องจาก UNESO ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในวาระ 100 ปีชาตกาลในปี 2559 ใช่แล้วครับผมกำลังจะพูดถึงท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

          เดือนมีนาคมเป็นเดือนเกิดของท่าน ในวาระชาตกาล100ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาหลายเล่มเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของท่าน ตลอดจนมีชุดวิดิทัศน์เกี่ยวกับผลงาน หนึ่งในจำนวนหนังสือนั้นคือ“เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย” เขียนโดยป๋วย อึ๊งภากรณ์ และคุณหญิงสุภาพ ยศสุนทร ปิยมิตรของท่าน ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2498 หรือกว่า 60 ปีมาแล้ว

          “เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย” มีคำนิยมโดยศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญของไทยผู้มีผลงานโดดเด่นมากมายเป็นที่รักใคร่ของมิตรและศิษย์ กษิดิศ อนันทนาธร ผู้ทำงานหนักอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “งาน 100 ปี ชาตกาลอาจารย์ป๋วย” ได้เลือกบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

          ผู้เขียนขอนำเอาข้อเขียนบางส่วนของ ดร.ฉัตรทิพย์ ซึ่งสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างกะทัดรัดมาสื่อต่อดังต่อไปนี้

          “…..หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเศรษฐกิจแห่งชาติ คือเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย หรือการทำมาหากินของประชาชนไทยเรา ท่านอาจารย์ป๋วยนึกถึงเศรษฐกิจเมืองไทยโดยประยุกต์หลักเศรษฐศาสตร์อธิบาย

          …..ในการทำความเข้าใจเศรษฐกิจแห่งชาติท่านอาจารย์ป๋วยอธิบายว่ามีเรื่องอยู่ 3 เรื่อง คือ 1) การเพิ่มปริมาณสินค้าและบริการ 2) การเฉลี่ยมาตรฐานการครองชีพ และ 3) การแก้สภาพลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของเศรษฐกิจ ท่านอาจารย์ป๋วยเรียกเรื่องทั้ง 3 นี้ว่า “จุดหมายทางเศรษฐกิจ”

          …..เรื่องสำคัญที่สุดคือการเพิ่มปริมาณสินค้าและบริการ นี่คือการผลิตให้ได้มากนั่นเอง คือการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติที่เราเรียกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจ ไทยเป็นประเทศยากจน ผลิตได้น้อย เป็นประเทศด้อยพัฒนา เพราะฉะนั้นเรื่องผลิตให้ได้มากจึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจของประเทศเรา…..

          ท่านอาจารย์ป๋วยอธิบายว่า “ความหมายของเศรษฐกิจ….. คือเพ่งเล็งในทางที่เราจะมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความหิว ปราศจากโรค ได้รับการป้องกันความร้อน ความหนาว หรือกล่าวอย่างสั้น ๆ เพื่อให้มีความสุขสบายในทางร่างกาย”

          …..เรื่องสำคัญทัดเทียมกับการพัฒนาเศรษฐกิจอีกเรื่องหนึ่ง คือที่ท่านอาจารย์ป๋วยเรียกว่า “การเฉลี่ยมาตรฐานการครองชีพ” นี้คือเรื่องการกระจายรายได้และทรัพย์สิน ท่านอาจารย์มีความคิดว่าควรพยายามให้เหลื่อมล้ำกันให้น้อยลง ถ้าชุมชนมีการเหลื่อมล้ำทางรายได้กันมาก จะยังทำให้เกิดความไม่ปรองดองในหมู่ชนและโดยการรับมรดก “การเหลื่อมล้ำจะยิ่งสืบต่อกันไปเรื่อยจนเกิดความอยุติธรรมขึ้น เช่น ลูกเศรษฐีซึ่งไม่เคยประกอบกิจการงานเลยกลับมีมาตรฐานการครองชีพสูงกว่าคนอื่นที่ขยันกว่าแต่บังเอิญจนกว่า” แต่ละคนในชุมชนควรจะมีรายได้ขั้นต่ำ (Minimum Income) พอสำหรับซื้อของที่จำเป็น “ใช้วิธีภาษีอากรและวิธีการจำกัดมรดกตกทอด เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในทางเศรษฐกิจมากขึ้น”….,

          ในเรื่อง “การเฉลี่ยมาตรฐานการครองชีพ” ข้าพเจ้าประทับใจความคิดของท่านอาจารย์ในหนังสือเล่มนี้ในอีก 3 ประเด็น คือ 1) พยายามขจัดการคอร์รัปชั่น การทุจริตและใช้อำนาจมิชอบของข้าราชการซึ่งทำให้เกิดการผูกขาด ได้สิทธิพิเศษ ราคาสินค้าแพงขึ้น เกิดการร่ำรวยที่ไม่เป็นธรรม กำไรที่ไม่ได้เกิดจากประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า 2) ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย การควบคุมการใช้จ่ายเงินแผ่นดินโดยรัฐสภา จะช่วยควบคุมให้รัฐบาลใช้ทรัพยากรของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นประโยชน์กับส่วนรวม ไม่รั่วไหล และเจ้าหน้าที่ไม่อาจทุจริตได้ 3) ควรให้เอกชนประกอบการทางเศรษฐกิจได้โดยเสรีเพราะรัฐวิสาหกิจมักมีการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ควรส่งเสริมระบบสหกรณ์เพื่อให้ชาวบ้านสามัญสามารถรวมตัวกันในการผลิตและการค้าขายได้ สามารถต่อรองกับระบบทุนนิยมได้

          เรื่องที่ 3 ซึ่งเป็นจุดหมายของเศรษฐกิจแห่งชาติ คือการแก้สภาพลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของเศรษฐกิจ นี่คือการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาวัฏจักรเศรษฐกิจ ปัญหาระยะสั้นเงินเฟ้อเงินฝืด

          พิจารณาโดยรวม สำหรับประเทศไทย ท่านอาจารย์ป๋วยเสนอระบบเศรษฐกิจเสรีที่ประกอบด้วยองค์กรการผลิตทุนนิยม และองค์กรการผลิตสหกรณ์ ภายใต้การกำกับของรัฐและรัฐบาลประชาธิปไตย ใช้ระบบภาษีและงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันจัดการไม่ให้สังคมมีความเหลื่อมล้ำกันมาก รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ท่านอาจารย์ป๋วยมองไปในอนาคตและเป็นห่วงว่า “เมื่อเศรษฐกิจเจริญขึ้น การแบ่งสรรรายได้ของประเทศจะแตกต่างออกไป บุคคลบางคนอาจร่ำรวยมากขึ้น แต่บุคคลบางคนอาจจนลงก็ได้ ในเรื่องเหล่านี้รัฐบาลจะต้องพิจารณาและหาทางแก้ไขอยู่เสมอ …..เพื่อให้ความสุขแก่คนโดยทั่วถึง”…..”

          นี่คือข้อความจากหนังสือที่เขียนเมื่อ 62 ปีที่แล้ว ภายใต้ข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง วิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่ายังทันสมัยและเป็นความจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้เป็นการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในยุคก่อนการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้ข้อมูลและสถิติของสมัยนั้นสนับสนุนการประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพเศรษฐกิจไทยอย่างชัดแจ้ง

          คำนำของหนังสือเล่มนี้สะท้อนความตั้งใจของผู้เขียนในการผลิตข้อเขียนที่หาไม่ได้ในเรื่องสภาวะเศรษฐกิจในสมัยนั้น ตอนหนึ่งของคำนำ “…..ผู้เรียบเรียงหวังอยู่ว่าหนังสือนี้จะมีประโยชน์ ยืนนาน ถ้าผู้อ่านใช้ความพินิจพิจารณาและความเข้าใจสุขุมมองลึกทะลุผิวของตัวเลขและปัญหาซึ้งลงไปถึงแก่นสารทฤษฎี การพิจารณาปัญหาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพื่อนำเอาความเข้าใจดีนั้นเป็นประโยชน์ต่อไป…’ และเมื่อพิมพ์ครั้ง พ.ศ. 2504 ท่านอาจารย์เขียนในคำนำว่า “…ข้อเท็จจริงและสถิติ ระเบียบวิธีการย่อมเปลี่ยนไปตามกาลสมัย แต่ธรรมะและหลักวิชาย่อมคงอยู่และไม่ตาย”…..”

          Winston Churchill กล่าวไว้ว่า “ถ้ายิ่งสามารถมองย้อนไปข้างหลังได้ไกลเพียงใดก็จะยิ่งมีโอกาสมองเห็นไปข้างหน้าไกลเพียงนั้น” (The farther backward you can look, the farther forward you are likely to see) “เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย” เป็นหนังสือที่ขาดไม่ได้สำหรับการสร้าง “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ของบ้านเรา

“แม่ะ” ช่วยให้โดนใจ

วรากรณ์  สามโกเศศ
21 มีนาคม 2560

          ภาษาเป็นสิ่งที่ไม่อยู่นิ่ง เปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะมีการเกิดของศัพท์ ใหม่ ๆ ในทุกภาษาเพื่อให้สามารถระบายความรู้สึกได้อย่างตรงใจและตรงกับสถานการณ์ น่าเสียดายที่ภาษาไทยไม่มีใครรวบรวมเก็บไว้เป็นหมวดหมู่ทั้งความหมายและที่มาข้ามเวลา ต่างไปจากภาษาอังกฤษที่มีการทำกันมายาวนาน วันนี้มีศัพท์อังกฤษอยู่คำหนึ่งที่แพร่หลายอย่างมาก โดยเฉพาะในอินเตอร์เน็ต ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายของมันก็อ่านสิ่งที่เขาเขียนไม่รู้เรื่อง ความหมายของมันมีนัยยะที่น่าสนใจทางสังคมอยู่ไม่น้อย

          ก่อนที่จะถึงคำนี้ขอกล่าวถึงคำใหม่อื่น ๆ ที่มีการใช้กันแพร่หลายจนมีการเอาไปใส่ไว้ใน Oxford Dictionaries Online (ODO) ซึ่งเป็นการรวมคำทันสมัยไว้ให้ผู้คนใช้ประโยชน์ แต่จะยังไม่นำไปใส่ไว้ใน Oxford English Dictionary (OED) ซึ่งคลาสสิกสุด ๆ ถ้าหากได้นำมาใส่ไว้ใน OED แล้วจะไม่มีวันเอาออกถึงแม้ว่าจะตกยุคไปแล้วก็ตาม

          คำแรกก็คือ phablet ซึ่งมาจากการผสมคำของ phone กับ tablet คำนี้หมายถึง smartphones ที่มีจอขนาดใหญ่ คำที่สองคือ digital detox หมายถึงช่วงเวลาซึ่งคน ๆ หนึ่งไม่ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน โดยถือกันว่าเป็นโอกาสที่จะลดความเครียด หรือผ่านการลดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม เรียกว่า “การปลีกวิเวกดิจิตอล”

          คำที่สาม FoMO ซึ่งมาจาก fear of missing out คือ กลัวว่าจะตกข่าวหรือเสียโอกาส หรือ ไม่รู้ ไม่ได้ดู ไม่เห็นเหตุการณ์อย่างต่างไปจากคนอืน ๆ FoMO เป็นสิ่งที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่คนบางคนในสมัยปัจจุบันได้

          คำที่สี่ ที่คนไทยรู้จักเพราะกรุงเทพฯ ได้กลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่มีสิ่งนี้ นั่นก็คือ street food ซึ่งหมายถึงอาหารที่ขายริมถนน หรือสถานที่สาธารณะเพื่อการบริโภคกันตรงนั้นเลย

          คำอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้แก่ Frankenfood หมายถึงอาหารที่มี GMO เป็นวัตถุดิบโดยมาจาก Frankenstein บวก food / Grrrl เป็นคำนามหมายถึงผู้หญิงอายุน้อยที่อิสระ เข้มแข็ง และไปทางก้าวร้าว โดยเฉพาะมีทัศนคติต่อเพศชายในทางลบ (ผสม Grrrr กับ Girl)

          sexting หมายถึงการส่งภาพอุจาดทางเพศอย่างชัดแจ้งผ่านสมาร์ทโฟน มาจากการผสม sex กับ texting ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความหรือรูปภาพทางอินเตอร์เน็ต

          คราวนี้มาถึงคำที่เป็นพระเอกของเราคือคำว่า meh (ออกเสียงว่า “แม่ะ “) เป็นคำอุทานซึ่งหมายถึงคำที่พูดออกมาด้วยอารมณ์ต่าง ๆ เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น ดีใจ โกรธ เสียใจ เป็นต้น อย่างไรก็ดีในกรณีนี้แสดงออกถึงอารมณ์ที่ยากจะบรรยาย

          “ไปเที่ยวมาเป็นไงบ้าง” คำตอบคือ“meh” ฃึ่งให้ความหมายที่ยากจะอธิบายได้ง่าย ๆ คำแสลงนี้อาจไม่มีความหมายสำหรับคนที่ไม่ใช้มัน แต่สำหรับคนจำนวนมากมันเป็นคำที่บอกอารมณ์เราได้เหมาะเหม็งอย่างโดนใจ ในตัวอย่างข้างต้น meh ซึ่งมีความหมายไปทางลบ หมายถึง “น่าเบื่อ” “งั้น ๆ แหละ” “เฉย ๆ”

          meh ใช้ได้ในหลายโอกาส ถ้าถามว่า “ไปกินข้าวด้วยกันไหม” คำตอบคือ “meh” ก็คือการไม่ตอบรับว่าไปหรือไม่ไป อาจหมายถึง “ไม่มีอารมณ์” หรือ “ไม่อยากตอบ” หรือแสดงออกถึงความไม่ ใยดี ความเฉยเมย ความไม่สนใจ ฯลฯ

          ถ้านักศึกษาบอกว่าการสอนของคุณ “meh” ก็หมายถึงว่า “ไม่น่าสนใจ” “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” “น่าเบื่อ” หรืออาจหมายถึงการเฉยเมย ไม่ใยดี ที่จะตอบก็ได้ แต่ไม่ว่าจะหมายความอย่างไร มันก็คือไม่เข้าท่า ถึงเวลาต้องปรับปรุงตัวเองแล้ว

          ไม่มีใครรู้อย่างแท้จริงว่า meh มาจากไหน บ้างก็ว่ามาจากภาษา Yiddish ของยิวเพราะคล้ายคลึงกับคำอุทาน “feh” ซึ่งมีความหมายคล้ายกัน โดยปรากฏอยู่ในเพลงที่แต่งในปี 1936

          คนเริ่มรู้จักคำนี้และใช้กันบ้างหลังจากมีการใช้คำนี้ในซีรีย์การ์ตูน “The Simpsons” ระหว่างปี 1994 ถึง 2001 ต่อมาก็เริ่มใช้กันกว้างขวางยิ่งขึ้นในยุคอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู ในปี 2009 BBC News Online ใส่ meh ไว้ในรายการ 20 คำซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคำที่บรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นของทศวรรษ 2000 ได้ อย่างดี และนับตั้งแต่นั้นมา meh ก็ปรากฏตัวให้เห็นในอินเตอร์เน็ตที่เป็นภาษาอังกฤษเกือบทุกวันในหลายข้อเขียน

          การเป็นที่นิยมของ meh สะท้อนให้เห็นอารมณ์ของคนในยุคปัจจุบัน ที่ความ เบื่อหน่าย ความไม่ใยดี ความเฉยเมย ความรู้สึก “งั้นงั้น” ครอบครองใจอยู่บ่อย ๆ ในคนทุกวัยในแทบทุกประเทศ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของชีวิตจนปรับตัวไม่ทันอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีทำให้เกิดความยากในการบรรยายความรู้สึกของตนเอง และหากบรรยายก็มักไปในทางลบ ดังนั้นเมื่อ meh เกิดขึ้น จึงกลายเป็นคำอุทานที่แสดงถึงอารมณ์อันไม่อาจบรรยายได้ง่าย และสะท้อนความยากที่จะเอาใจคนเหล่านี้ที่มีทางเลือกมากมายในการสร้างความสุขให้ตนเอง

          ในแต่ละวัน ผู้คนในโลกตะวันตกที่ใช้ภาษาอังกฤษ พูดคำว่า meh กันหลายครั้งเพื่อบรรยายอารมณ์ของตนเอง ในภาษาไทยเรายังไม่มีคลังคำ ที่แสดงออกถึงความรู้สึกเดียวกันได้อย่างดีถึงแม้ว่ามีคนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากที่อยู่ในสภาพอารมณ์เดียวกันก็ตาม

          การเรียนรู้ด้วยตนเองในโลกที่รายล้อมไปด้วยความรู้ดังเช่นในปัจจุบัน ความรู้สึก “meh” เป็นสิ่งอันตรายเพราะจะทำให้เป็นคนไม่ทันโลก ไม่ทันประเทศไทย 4.0 หรือแม้แต่ 3.0 เองก็เถอะ

          ถ้าเอาข้อความที่เพิ่งกล่าวนี้ไปสอนคนรุ่นใหม่ เขาอาจบอกว่า ‘meh’ ก็ได้…..ก็ไม่ว่าอะไร อย่างน้อยก็ดีใจที่เขารู้จักคำนี้

“ธัญพืชโบราณ” และ “Thailand 4.0”

วรากรณ์  สามโกเศศ
4 เมษายน 2560

          การบริโภคอาหารกับฐานะทางเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิด ในขณะที่คนเอเชียบริโภคข้าวน้อยลง โดยหันไปหาข้าวสาลีมากขึ้น คนอาฟริกากลับบริโภคข้าวมากขึ้น และคนในโลกตะวันตกหันไปบริโภคเมล็ดธัญพืชแปลก ๆ ที่มีราคาสูงเพื่อสุขภาพ ตรงจุดนี้แหละที่คนไทยภายใต้รหัส “Thailand 4.0” สามารถหาประโยชน์ได้

          เป็นเรื่องแปลกที่คนในหลายชาติมักเรียกชื่อคนชาติอื่นทำนองเยาะ ๆ ที่กินอาหารแตกต่างจากที่ตนคุ้นเคย เช่นเรียกคนฝรั่งเศสเป็นภาษาแสลงว่า “frogs” (เนื่องจากกบเป็นเมนูพิเศษราคาแพงที่คนฝรั่งเศสชอบ) คนเม็กซิกันว่า “beaners” (เพราะชอบกินถั่ว) เรียกคนอังกฤษว่า limeys (มีที่มาจากว่าสมัยก่อนคนอังกฤษเอาน้ำมะนาวจาก lime ผสมลงในเหล้าให้กลาสีเรือกินเพื่อป้องกันการขาดวิตามินซีฃึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกตามไรฟัน) คนญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 19 เรียกฝรั่งว่า bata kusai (พวกมีกลิ่น นมเนย) ล่าสุดในภาษาอังกฤษเรียกนักการเมืองที่ขาดการสัมผัสกับชีวิตชาวบ้านว่าพวก latte-drinker (latte คือกาแฟร้อนที่มีนมเดือดลอยอยู่เป็นฝ้า ดื่มกันในร้านกาแฟราคาแพง) ไม่รู้ว่าคนต่างชาติจะเรียกคนไทยว่า “ฟันเหล็ก” หรือเปล่าเพราะคนบางส่วนกินได้ทุกอย่าง

          การบริโภคอาหารชนิดต่างๆ บ่อยครั้ง เป็นสิ่งที่นิยมกันเป็นพัก ๆ (fad) อันอาจเป็นผลจากการเลียนแบบ ราคาอาหาร สิ่งทดแทน ฐานะทางเศรษฐกิจ คุณค่าอาหารที่เพิ่งค้นพบ รสนิยม ฯลฯ

          ระหว่างทศวรรษ 1970 ถึงทศวรรษ 1990 คนอเมริกันบริโภคข้าวสาลีมากขึ้นทุกปีซึ่งอาจ โยงใยกับการพยายามหลีกหนีสภาวะคอเรลตอรอลสูงตามสมัยนิยม ต่อมาก็บริโภคอาหารประเภท คาโบไฮเดรตต่ำมากขึ้นเพราะพบว่ามีการการเพิ่มขึ้นของคนเป็นโรคแพ้สาร glusten (gluten เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในข้าวสาลี) ฯลฯ โดยระหว่างปี 1997-2015 บริโภคแป้งสาลีลดจาก 67 กิโลกรัมต่อคน เป็น 60 กิโลกรัม

          คนเอเชียนั้นบริโภคข้าวกันเป็นหลักมาเนิ่นนาน 90% ของข้าวที่ผลิตในโลกบริโภคโดยคนเอเชีย (ร้อยละ 60 บริโภคโดยคนจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย) ระหว่างต้นทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1990 ปริมาณบริโภคข้าวต่อหัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 85 เป็น 103 กิโลกรัม อย่างไรก็ดีในปัจจุบันการบริโภคข้าวในเอเชียต่อหัวอยู่ในระดับคงที่ไม่เพิ่มขึ้นดังก่อน เนื่องจากหลายประเทศในเอเชียที่ร่ำรวยขึ้นนั้น ประชาชนหันไปบริโภคผัก ผลไม้ ปลา เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์นมแทน
ปริมาณบริโภคข้าวต่อหัวตั้งแต่ปี 2000 ลดลงในจีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์ ข้าวสาลีซึ่งเป็นต้นน้ำของแป้งสาลีเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการขยายตัวของร้านประเภท pastry (นานาขนมปัง โดนัท ขนมหวานจากแป้ง พิซซ่า บิสกิต) ในทุกแห่งหน

          ปริมาณการบริโภคข้าวสาลีต่อหัวพุ่งขึ้นมากในไทยและเวียดนาม โดยไทยบริโภคประมาณ 50-74.9 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 40% ระหว่างปี 2000-2016 (ตัวเลขบริโภคเฉลี่ยของโลกคือ 78 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)
อย่างไรก็ดีข้าวก็ยังเป็นอาหารหลักของคนเอเชียและไทย ถึงแม้คนไทยจะบริโภคข้าวน้อยลงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาโดยลดลงจาก 190 กิโลกรัมต่อคนต่อปี เหลือเพียง 106 กิโลกรัมเท่านั้น

          กลุ่มประเทศที่หันมาบริโภคข้าวมากขึ้นก็คือคนอาฟริกันโดยเฉพาะในแถบอาฟริกาตะวันตกอันเป็นผลพวงจากความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ที่เหมาะต่อภูมิประเทศ (พันธุ์ NERICA และ WITA) ตลอดจน ดีมานด์ของคนทำงานที่มีต่อข้าวในเมืองเพิ่มขึ้นเพราะหุงสะดวกกว่าการกิน sorghum หรือ millet (อย่างแรกคือข้าวฟ่าง และอย่างหลังอีกพันธุ์หนึ่งของ ข้าวฟ่างแต่เมล็ด เล็กกว่า นิยมให้นกกิน)

          อย่างไรก็ดีที่น่าสนใจก็คือคนในประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้ว หันมาบริโภค “ธัญพืชโบราณ “(ancient grains) กันมากยิ่งขึ้นโดยเชื่อว่าเป็นพืชพันธุ์ที่ยังไม่กลายพันธุ์จากการนำมาปลูกในหลายร้อยหลายพันปีผ่านมา ดังนั้นจึง “บริสุทธิ์” และมีคุณค่าทางอาหารสูง (ความเชื่อนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนทางวิชาการอย่างเด่นชัด แต่คนมีเงินที่แสวงหาทางใช้เงินเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าหมกมุ่นในความเชื่อของตนเองมากกว่า)

          “ธัญพืชโบราณ” กลายเป็นอาหารประเภทใหม่ ธัญพืชเหล่านี้ได้แก่ ข้าวสาลีพันธุ์ Khorasan (Kamut) / Teft / Farro / ข้าวโอ๊ต / Freeken / Bulgar / Einkorn / Emmer / Buck wheat / และที่กำลังดังก็คือ Quinoa (คี-นัว)
Quinoa มีเมล็ดเล็กค่อนข้างกลม มีความใกล้ชิดทางชีววิทยากับ ผักโขม / Spinach / Beetroot ต้นสูง 1-2 เมตร เป็นไม้ล้มลุก เมล็ดอยู่ในรวงของ ช่อใหญ่ เปลือกนอกมีชื่อว่า Saponins ฃึ่งมีรสขมจนป้องกันแมลง การหุงหาก็เหมือนข้าว ใบของมันที่ไม่เหมือนใบหญ้า บริโภคได้ด้วยเพราะคล้ายใบผักโขม ซึ่งเมล็ดผักโขมก็เป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง

          FAO ได้ประกาศให้ปี 2013 เป็น “International Year of Quinoa” เพื่อสนับสนุนการปลูกและบริโภคพืชนี้ ซึ่งมีที่มาจากเทือกเขาแอนดีส (เทือกเขาที่ยาวตลอดจากเหนือจดใต้ของทวีปอเมริกาใต้ มีความยาว7,000 ไมล์ กว้าง 100-700 ไมล์ ) แหล่งกำเนิดอยู่บริเวณเปรู (ประเทศที่ผลิตมากที่สุดในโลก) อีกัวดอร์ คอลัมเปีย ชิลี โบลิเวีย

          ชาวอินคา (Inca) ของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของโลกในบริเวณเทือกเขาแอนดีส (ตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 15 จนล่มสลายไปใน ค.ศ. 1572 ด้วยฝีมือของกองทัพสเปน) บริโภค Quinoa โดยนำมาปลูกเนื่องจากมีสารพัดองค์ประกอบของโภชนาการที่มีประโยชน์

          Quinoa มีหลายพันธุ์ ปลูกได้ในเกือบทุกสภาพแวดล้อมตราบที่ไม่มีน้ำขังแฉะ ปัจจุบันมีคนพยายามปลูกในบ้านเรา เมล็ดพันธุ์ที่ขายกันนั้นมีราคาแพงขนาดนับเม็ดขายกัน เช่นเดียวกับ “ธัญพืชโบราณ” อีกหลายชนิดที่คนไทยรู้จักและไม่รู้จักมาก่อน บ้างก็เป็นตระกูลหญ้า ตระกูลถั่ว ฯลฯ ความแปลกใหม่เป็นที่นิยมของคนมีเงินในหลายประเทศ และการสามารถขายออนไลน์ให้แก่ต่างประเทศได้ ทำให้เกิดช่องทางของการหารายได้มากขึ้นจากที่ดินเท่าเดิม productivity ที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้เกิดรายได้มากขึ้นจากการออกแรงเท่าเดิม (หัวใจของ ‘Thailand 4.0’)

          ออแกนิคของข้าว Barley สีดำขายได้ 20 เหรียญ (700 บาท) ต่อกิโลกรัม Farro อีกพันธุ์หนึ่งของข้าวสาลีขายได้ในราคา 15 เหรียญ (525 บาท) สำหรับ Quinoa นั้นราคาซื้อขายแพงกว่าข้าวสาลีธรรมดา 10 เท่า กล่าวคือตกกิโลกรัมละ 8 เหรียญสหรัฐ (280 บาท) ขึ้นไป

          ปลูกข้าวไว้บริโภคเองตามความเคยชินก็ไม่ว่าอะไรกัน แต่ถ้าจะทดลองปลูกธัญพืชพวกนี้เสริมหรือทดแทนบ้างก็อาจเพิ่มรายได้อีกมากภายใต้รหัส “Thailand 4.0”

“เครื่องมือคิด” ให้มีความสุข

วรากรณ์  สามโกเศศ
19 ธันวาคม 2560

         ใคร ๆ ก็อยากมี “ชีวิตที่มีความสุข” บ้างก็แสวงหาจากคำสอนของศาสนา บ้างจากนักปราชญ์ บ้างจากพ่อแม่และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่มนุษย์มีปัญญาคิดและรู้จักแสวงหาเมื่อไม่ต่ำกว่า 2,500 ปี ก่อนหรือมากกว่านั้น ทุกชั่วคนก็พยายามหาคำตอบสูตรสำเร็จ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะชีวิตมนุษย์ซับซ้อนมากจนไม่มีคำตอบเดียว สำหรับศตวรรษใหม่ที่ 21 มีการพูดถึงกันมากในเรื่องการมีวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้มี “ชีวิตที่ดี” คำถามที่สำคัญก็คือ “ชีวิตที่ดี” จะเป็น “ชีวิตที่มีความสุข” ด้วยหรือไม่

          “ชีวิตที่ดี” หมายถึงชีวิตที่มีความกินดีอยู่ดี มีมาตรฐานการครองชีพที่สูง ฯลฯ ส่วน “ชีวิตที่มีความสุข” ก็คือมีชีวิตที่มีความมั่นคงในชีวิตด้วยการดำเนินไปอย่างยั่งยืนและมีความสุข ฯลฯ 

          หากสมมุติว่าเรามี “ชีวิตที่ดี” แล้ว คำถามที่ตามมาก็คือแล้วทำอย่างไรจึงจะเป็น “ชีวิตที่มีความสุข” คำตอบของคำถามนี้กว้างขวางไม่มีขอบเขต มีปัจจัยต่าง ๆ ประกอบมากมาย อย่างไรก็ดีถ้าเราจะเน้นลงไปที่ตัวเราเองเพื่อให้มีชีวิตที่มีความสุขแล้ว เราจะต้องมีชุดของเครื่องมือด้านความคิด (mental toolkit) ซึ่งประกอบด้วยหลายวิธีการ เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจโลก และสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้ 

          มีนักคิด นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะด้านจิตวิทยา และล่าสุด นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมจำนวนมากในรอบ 200 ปี ที่ผ่านมา ที่เสนอหลากหลายเครื่องมือด้านความคิดเพื่อเอามาจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเพื่อให้มี “ชีวิตที่มีความสุข” 

          เครื่องมือด้านความคิดที่กล่าวมานี้อาจถือได้ว่าเป็น “ระบบปฏิบัติการสำหรับชีวิต” ซึ่งไม่ใช่เพื่อการหาเงินหรือเพื่อการหาความรู้ ถ้าอุปมาก็เหมือนกับเป็นเครื่องมือซึ่งอยู่ในกล่อง ประจำกายเพื่อเอาไว้ปฏิบัติการให้เกิดความสุขในชีวิต

          เครื่องมือเหล่านี้มิได้มาจากจินตนาการ หากมาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และมีการทดลองปฏิบัติจริง Rolf Dobelli ได้นำเสนอเครื่องมือทางความคิดจำนวนมากเพื่อการมีชีวิตที่ดีไว้ในหนังสือชื่อ The Art of the Good Life (2017)

          ผู้เขียนขอยกบางตัวอย่างเพื่อให้เห็นชัดเจนว่าการมีเครื่องมือคิดดังกล่าวไว้ข้างกายแล้ว จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น Mental Accounting (บัญชีทางความคิด) คือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิลคนล่าสุดสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม Richard Thaler ได้เสนอไว้

          Mental Accounting คือ สถานการณ์ที่สมองมนุษย์คล้ายกับมีสองลิ้นชักในเรื่องการได้รับเงิน ลิ้นชักแรกบรรจุเงินที่มาจากการต้องออกแรงตรากตรำหาเงิน กับลิ้นชักที่สองใส่เงินที่ได้มาอย่างง่ายดายกว่า เช่น จากการมีคนให้ จากความบังเอิญ จากการมีโชค ฯลฯ

          สำหรับเงินที่ในลิ้นชักแรก มนุษย์จะใช้จ่ายอย่างระมัดระวังกว่าเงินที่อยู่ในลิ้นชักที่สอง การสุรุ่ยสุร่ายมักเกิดจากการใช้เงินจากลิ้นชักนี้จนทำให้สูญเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย (หาคนถูกล๊อตเตอรี่ที่รวยอย่างยั่งยืนได้ยากกว่าหาคนอื่นที่อ้างว่าเป็นเจ้าของสลากเดียวกัน) มนุษย์ที่แก้ไขปัญหานี้ได้ก็จะย้ายเงินในสองลิ้นชักในสมองมารวมกันก่อนใช้จ่าย พูดง่าย ๆ ก็คือมนุษย์กระทำต่อเงินที่ได้รับมาแตกต่างกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่ามนุษย์สามารถคิดแยกแยะและโยกย้ายได้ตามใจต้องการ ส่วนจะรู้ตัวว่าเหมาะสมหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

          ถ้าเราเอา Mental Accounting มาประยุกต์ ก็จะทำให้เรามีชีวิตที่มีความสุขได้ถึงแม้เราจะประสบสถานการณ์ที่เป็นลบก็ตาม ตัวอย่างเช่นถ้าเราทำกระเป๋าสตางค์หายในประเทศยากจน และได้ทุกอย่างกลับคืนมายกเว้นเงินสด ถ้าเราคิดเสียว่ามันเป็นเงินบริจาคให้คนยากจนซึ่งทุกปีก็ต้องบริจาคให้สาธารณกุศลอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง ดังนั้นในปีนี้ก็จงบริจาคให้น้อยลงโดยเอายอดเงินหายนี้ไปหักลบ การมีเครื่องมือคิดเช่นนี้ก็จะทำให้เรามีความสุขได้กับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ 

          การถูกปรับจากการทำผิดกฎจราจร การถูกคดโกงเอาเปรียบบ้าง การสูญหายของของมีค่า การถูกโก่งราคาในบางครั้ง ฯลฯ สามารถเอามาประยุกต์ในลักษณะคล้ายกันได้อย่างทำให้ชีวิตมีความสุข

          การจ่ายภาษีก็เหมือนกัน หากคิดว่ามีรายได้อีกหลายลักษณะที่เราไม่ได้จ่ายภาษีเลย เช่น มีกำไรจากขายหุ้น มูลค่าบ้านและที่ดินสูงขึ้น มูลค่าหุ้นในมือสูงขึ้น ฯลฯ ดังนั้นการต้องจ่ายภาษีตามกฎหมายเป็นเรื่องสูญเสียที่ไม่ใหญ่โต คิดแล้วเป็นอัตราภาษีจริงที่ต่ำมาก การคิดเช่นนี้ก็จะทำให้เกิดความสุขขึ้นได้ ประเด็นคืออย่างไรเสียก็ต้องจ่ายภาษี เราจะทำให้มันเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์หรือสุขสำหรับเราก็อยู่ที่ใจเป็นที่ตั้ง

          เมื่อไปเที่ยวกับครอบครัวก็ควรจ่ายเงินค่าโรงแรมเต็มก่อนที่จะเข้าพัก รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่สามารถจ่ายก่อนได้ มิฉะนั้นจะเกิดความไม่เป็นสุขเมื่อต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ตอนท้ายของการท่องเที่ยว นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิลอีกคนหนึ่งคือ Daniel Kahneman เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า peak-end rule กล่าวคือเรามักจำได้แต่ตอนสนุกสุดกับตอนสุดท้ายของฮอลิเดย์ ส่วนอื่น ๆ นั้นเราลืมหมด หากจ่ายไปเสียเลยแต่แรกก็จะช่วยทำให้การท่องเที่ยวครั้งนี้มีความสุขมากขึ้น

          peak-end rule ใช้ได้กับการสำรวจความเห็นผู้ประกอบธุรกิจโดยเฉพาะรายย่อยว่าธุรกิจการค้าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นงานอดิเรกในทุกโอกาสของผู้เขียน ทำให้ได้รับคำตอบเกือบทุกครั้งว่า “มันไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน” หากถามว่าเมื่อก่อนคือเมื่อใด ก็มักไม่ได้คำตอบ รู้แต่ว่าปัจจุบันเทียบกับอดีตไม่ได้ ผู้เขียนไม่เคยพบคนใดตอบว่าธุรกิจปัจจุบันนั้นดีกว่าที่เคยผ่านมาทั้งหมด ใจของเขานั้นชอบที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับตอนที่ดีที่สุดเสมอ

          สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกนั้นเราทำอะไรกับมันไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการควบคุมความคิดของเราที่จะทำให้เรามีความสุขหรือความทุกข์ คิวรับบริการที่ยาวหรือการจราจรติดขัดทำให้ความดันของท่านสูงขึ้น พร้อมกับการหลั่งของฮอร์โมนที่ไม่เป็นมงคลอันเกิดจาก

          ความเครียด (มีชื่อว่า cortisol) ลองคิดดูว่าถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลต่อตัวท่านเลย ชีวิตที่จะสั้นเข้า 1 ปีก็ไม่เกิด ดังนั้นมันแสนคุ้มระหว่างเวลา 1 ปี กับเวลาที่เสียไปเล็กน้อย

          บางคนอาจบอกว่ามันเป็นวิธีคิดที่หลอกลวง ใช่ครับมันเป็นการจงใจหลอกตัวเองด้วยการตีความเพื่อให้เรามีความสุขขึ้น และนี่คือเครื่องมือที่เป็นประโยชน์
 

“ความบังเอิญ” เปลี่ยนชีวิต

วรากรณ์ สามโกเศศ
18 กรกฎาคม 2560

          เดือนกรกฎาคม 2017 เป็นวาระครบรอบ 74 ปี ของการผลิตยาเพนนิซิลินอย่างเป็นกอบเป็นกำ ยาปฏิชีวนะpenicillin นี้พลิกโลกเพราะเยียวยาโรคติดเชื้อได้ชะงัด เป็นยาที่พบโดยบังเอิญอย่างเป็นสิ่งประเสริฐที่เกิดขึ้นในโลกโดยแท้ “ความบังเอิญ” ได้เกิดขึ้นในอีกหลายเรื่องจนทำให้ชีวิตผู้คนและประวัติศาสตร์โลกเปลี่ยนแปลง

          ความบังเอิญในด้านดีดังกล่าวภาษาอังกฤษมีคำเรียกว่า serendipitous accident ใช้ได้กับยาเพนนิซิลิน ซึ่งค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวสก็อต Alexander Fleming ในปลายทศวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์และแพทย์หลายคนพยายามค้นหายาปฏิชีวนะเพื่อนำมาฆ่าเชื้อโรคโดยได้นำเชื้อราหลายชนิดมาทดลอง วันหนึ่งในเดือนกันยายน ค.ศ. 1928 Fleming ได้สังเกตเห็นว่าในจานแก้วทดลองของเขาซึ่งใส่เชื้อ Staphylococcus ไว้ ลืมปิดฝาและมีเชื้อราสีน้ำเงิน-เขียวเติบโตขึ้นอยู่ เขาพบว่าบริเวณที่อยู่ใกล้เชื้อรานี้เชื้อโรคจะหยุดการเติบโต เขาจึงสงสัยว่าเชื้อรานี้คงปล่อยสารอะไรบางอย่างที่หยุดการเติบโตของเชื้อโรคได้

          Fleming ทดลองจนได้เชื้อที่เขาเรียกว่า penicillin บริสุทธิ์ และทดลองจนมั่นใจว่ามันหยุดการเติบโตของเชื้อโรคอย่างได้ผล แต่ก็ไม่มีใครสนใจการค้นพบของเขา จนกระทั่งในปี 1940 นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย Howard Florey กับทีมนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดได้ทดลองใช้สารสกัดจากเชื้อราเพนนิซิลินรักษาการติดเชื้อในหนูอย่างได้ผล และในปีต่อมาก็ทดลองกับคนที่มีการติดเชื้อรุนแรงอย่างได้ผลเช่นกัน

          ในปี 1941 ทีมวิจัยนี้ก็สามารถผลิตยาเพนนิซิลินออกมาได้และใช้ได้ผลมากขึ้นทุกวัน บริษัทในสหรัฐอเมริกาสนใจมากและเริ่มผลิต ในเดือนกรกฎาคม 1943 กองทัพสหรัฐอเมริกาก็ผลิตยานี้ออกมาอย่างเป็นล่ำเป็นสันเพื่อรักษาทหารพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1945 Fleming กับ Florey และ Chain ก็ได้รับรางวัลโนเบิลสาขาการแพทย์ จากการค้นพบยาปฏิชีวนะตัวแรกของโลก

          ถ้า Fleming ไม่ได้ลืมปิดผาจากแก้วทดลองก็อาจไม่พบยาปฏิชีวนะอันทรงพลังของโลกก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง การค้นพบโดยบังเอิญได้ช่วยชีวิตมนุษย์นับร้อยล้านคนและนำไปสู่ยาปฏิชีวนะอีกหลายตัวในสกุลเพนนิซิลินนี้

          เรื่องที่สองเกี่ยวกับ “ความบังเอิญ “อย่างไม่น่าเชื่อซึ่งได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก กองทัพอันเกรียงไกรของ Napoleon Bonaparte จักรพรรดิฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่จำนวนกว่า 500,000 คน เดินหน้าฝ่าความหนาวเข้าโจมตีรัสเซียในกลางปี 1812 แต่อีกเพียง 6 เดือนต่อมาไพร่พลลดเหลือเพียงไม่ถึง 10,000 คน ทั้งหมดหายไปเพราะการต่อสู้ การอดอาหารและความหนาว แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง อันเป็น”ความบังเอิญ “ซึ่งซ้ำเติมชะตากรรมอย่างเหลือเชื่อจนทำให้จอมทัพหลุดจากตำแหน่งในที่สุด

          ท่านผู้อ่านลองจินตนาการว่าทหารที่มือหนึ่งต้องแบกปืนบนบ่าและมือที่เหลือต้องดึงขอบเสื้อโค๊ตที่เผยอออกจากกันเพื่อป้องกันความหนาว อีกทั้งกางเกงหลุดลุ่ยต้องใช้มือที่ไม่ได้แบกปืนมาสลับดึงไว้ อย่างนี้จะไปรบชนะใครได้ แค่เดินฝ่าความหนาวก็ตายแล้ว ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นก็เพราะ “บังเอิญ” ที่กระดุมเสื้อโค้ท กางเกงและกระเป๋า ล้วนทำจากดีบุกซึ่งจะแตกย่อยออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยในอากาศหนาวมาก ๆ

          อีก 68 ปีต่อมานักประพันธ์เพลงคลาสสิกชื่อดังก้องโลกชาวรัสเซีย Pyotr Llyich Tchaikovsky แต่งเพลง 1812 Overture เพื่อรำลึกถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชาวรัสเซียในสงครามกับ Napoleon ในปี 1812 โดยมีเสียงปืนใหญ่ประกอบเพลงแต่ไม่มีเสียงกระดุมแตกเป็นผง

          เรื่องที่สามของ “ความบังเอิญ” เกิดในยุคกลางของยุโรป (ศตวรรษที่ 5 ถึง 15) เมื่อพริกไทยมีราคาแพงมาก หนึ่งปอนด์ของมันสามารถไถ่ตัวทาสได้หนึ่งคน ที่จริงแล้วยุคนั้นมีความต้องการเครื่องเทศหลากหลายชนิดแต่ ที่มีค่าสูงมากชนิดหนึ่งคือ nutmeg (จันทน์เทศ หรือ ลูกจันทน์) ฃึ่งนำไปสู่สงครามและการที่เกาะ Manhattan ของ New York กลายเป็นของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน

          ในทศวรรษ 1660 ชาวเนเธอร์แลนด์ หรือดัตช์คือผู้ค้าเครื่องเทศรายใหญ่สุดของโลกต้องการผูกขาดการค้าจันทน์แดงแต่เพียงผู้เดียวด้วยการได้ Spice Island of Run ซึ่งอยู่ใน หมู่เกาะ Banda ของอินโดนีเซียภายใต้การยึดครองของอังกฤษมาเป็นของตน
ดัตช์ล้อมเกาะนี้ไว้เพื่อตอบโต้อังกฤษที่โจมตีเรือบรรทุกสินค้ามีค่าของ Dutch East India Company รบกันอยู่ 3 ปี ในที่สุดก็ตกลงกันได้โดยดัตช์ขอเกาะ Run ไว้โดยแลกกับเกาะเล็ก ๆ ชื่อ Manhattan ที่ชาวดัตช์ไปตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้และเกาะอยู่ในการยึดครองของดัตช์ เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นเกาะนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้ไป

          ถ้าไม่ “บังเอิญ” มีจันทน์แดงเข้ามาเกี่ยวข้อง New York อาจมีชื่อว่า New Amsterdam (คล้ายกับที่คนดัตช์ตั้งชื่อ New Sealand และกลายมาเป็น New Zealand ในปัจจุบัน) ก็เป็นได้

          จันทน์แดงใช้ปรุงรสอาหารและรักษาอาหารเช่นเดียวกับเครื่องเทศ เหตุที่จันทน์แดงเป็นที่นิยมมากก็เพราะคนเชื่อว่าหากใส่ถุงแล้วแขวนคอจะสามารถป้องกันโรคกาฬโรค (Black Death ซึ่งเป็นเหตุการณ์ระบาดครั้งใหญ่ของกาฬโรคระหว่างปี 1346-1353 มีคนตายถึง 75-200 ล้านคน หรือประมาณ 30-60% ของคนยุโรป) งานวิจัยปัจจุบันพบว่ากลิ่นพิเศษของจันทน์แดงมาจากสารเคมี isoeugenol ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงเมื่อคำนึงถึงว่ากาฬโรคติดต่อกันผ่านเห็บที่เกาะอยู่บนตัวหนู การแขวนจันทน์แดงไว้จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล

          เรื่องที่สี่คือ “ความบังเอิญ” ของการรักษาโรคมาเลเรีย คำว่า “malaria” มาจากภาษาอิตาลีซึ่งแปลว่า “bad air” เนื่องจากคนสมัยโบราณเชื่อกันมาเป็นร้อย ๆ ปีว่าหมอกจากแหล่งน้ำชื้นเฉาะเป็นสาเหตุของมาเลเรียซึ่งเป็นโรคที่ตายได้ง่ายๆ (ปัจจุบันในปีหนึ่ง ๆ ประชากรโลก 300 ถึง 500 ล้านคน ถูกผลกระทบจากมาเลเรีย)

          เรื่องเล่าของ “ความบังเอิญ” ก็คือเคาน์เตสร์ของสเปนชื่อ Chinchón เดินทางไปดินแดนในเทือกเขา Andes (ประเทศเปรู โบลิเวีย ในปัจจุบัน) ในประมาณกลางศตวรรษที่ 16 และล้มป่วยเป็นไข้มาเลเรีย

          หมอยุโรปที่ไปด้วยหมดปัญญารักษา จึงขอความช่วยเหลือจากเจ้าของถิ่น จึงได้ดื่มชาที่ต้มจากเปลือกต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งชาวบ้านกินแก้โรคนี้กันมาเป็นเวลายาวนานแล้ว เธอจึงหายจากโรคนี้ สารที่สกัดจากเปลือกต้นไม้นี้รู้จักกันในชื่อยาควินิน (Quinine) และสกุลของต้นไม้นี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cinchona ซึ่งมาจากชื่อของเคาท์เตส

          ถ้าเธอไม่บังเอิญเดินทางไปป่วยเป็นมาเลเรีย คนยุโรปอาจไม่รู้จักหนทางรักษากันอีกนานและผู้คนอาจล้มตายอีกมากมาย หลังจากการค้นพบความวิเศษของต้นไม้นี้ ผู้คนแตกตื่นกันมากจนอเมริกาใต้ค้าขายควินินจนร่ำรวย และห้ามการส่งออกเมล็ดต้นไม้นี้เด็ดขาด จนต้องมีการลักลอบออกมาปลูกและกระจายไปทั่วโลกในที่สุด

          ในระดับบุคคล “ความบังเอิญ” ทั้งดีและร้ายเกิดขึ้นกับทุกคนโดยเฉพาะในเรื่องการพบและรู้จักผู้คนราวกับมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำกับอยู่จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ดีและเลว อย่างไรก็ดีถ้าบุคคลมีสติและใช้ปัญญาในการคบหาผู้คนแล้ว ก็เชื่อได้ว่าจะสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเองได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

“กบในน้ำเดือด” : เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

วรากรณ์  สามโกเศศ
12 กันยายน 2560

          เรื่องราวของ “กบในน้ำเดือด” ที่กบตายอย่างไม่รู้ตัวมีมานานแล้วโดยถูกใช้เป็นเรื่องเล่าสอนใจ ไม่ว่าเป็นเรื่องจริงหรืออิงนิยายก็ตาม มันมีที่มาที่ไปที่สนุกและมีแง่ให้คิดอย่างสมควรพิจารณา

          มีการพูดอ้างกันมานานว่าหากเอากบใส่ในหม้อน้ำที่ตั้งไว้บนเตาไฟตั้งแต่น้ำยังเย็น มันจะอยู่อย่างมีความสุขถึงแม้อุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเป็นสัตว์เลือดเย็นทำให้สามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สอดคล้องกับข้างนอกได้โดยมิได้ตระหนักถึงอันตราย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อ น้ำเดือดและพร้อมต่อการกลายเป็นส่วนประกอบของต้มโคล้งไปแล้ว

          เราได้ยินเรื่องเล่านี้กันบ่อย ๆโดยเอาไปโยงกับการที่คน หรือองค์กรไม่ยอมปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยเหมือนอุณหภูมิของน้ำรอบตัวกบและ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว

          เมื่อได้ยินเรื่องเล่าแปลก ๆ อย่างนี้ก็จำเอาไปประยุกต์ต่อกันมานับร้อย ๆ ปี โดยหารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องอิงนิยาย เพราะเมื่อมีการทดลองจริง กบจะโดดออกมาตั้งแต่เริ่มร้อนแล้ว

          ในปี 1869 แพทย์ชาวเยอรมัน Friedrich Goltz สาธิตให้เห็นว่าแม้แต่กบที่สมองถูกผ่าออกไปก็จะทนอยู่ในน้ำร้อนได้เพียง 25๐C แล้วก็จะโดดออกจากหม้อ อย่างไรก็ดีใน ค.ศ. 1872 และ 1875 มีนักวิทยาศาสตร์ทดลองและป่าวประกาศว่ากบไม่โดดออกจากหม้อ หากเพิ่มความร้อน ทีละน้อยจนมันสุกตาย

          ต่อมาก็มีผู้ทดลองอีกในปี 1875 และยืนยันว่าหากเพิ่มความร้อนในอัตรา .002๐C ต่อวินาทีแล้วกบก็จะไม่โดดออกมาและตายในเวลา 2.5 ชั่วโมง อย่างไรก็ดีในปี ค.ศ. 1995 มีการทดลองเรื่องนี้ (หลังจากที่กบตายไปแล้วหลายตัว) ซึ่งถือว่าเป็นอันยุติ กล่าวคือ Professor Douglas Melton แห่ง Harvard ได้ทดลองและสรุปว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะ “กบโดดออกมาจากหม้อเมื่อน้ำร้อนขึ้น มันไม่นั่งอยู่เพื่อเอาใจมนุษย์ และถ้าโยนกบลงไปในหม้อน้ำเดือดมันไม่โดดออกมาแน่นอน เพราะมันตายแล้ว”

          ใน U-Tube ท่านผู้อ่านอาจเห็นการทดลองเรื่อง “กบในน้ำเดือด” โดยแสดงให้เห็นว่ากบไม่ได้โดดออกมาจนลอยตายอยู่ในน้ำเดือด ขอเรียนว่าเป็นการทดลองที่เก๊ เพราะตอนจบมีข้อความบอกว่าไม่มีกบตายจริง ซึ่งก็หมายความว่ากบในหม้อน้ำเดือดเป็นกบยาง นี่คือคำสารภาพว่าเป็นการทดลองที่เชื่อถือไม่ได้

          ถึงมันจะเป็นเรื่องไม่จริง แต่ก็สามารถนำไปคิดต่อยอดและใช้เตือนใจผู้คนได้ดี (ตราบที่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เพราะมันอาจเป็นเรื่องของการปล่อยไก่มากกว่าต้มกบ) ดังที่มีคนนำไปใช้ในคำว่า creeping normality ซึ่งหมายถึง “การคืบคลานสู่ความเป็นปกติ” กล่าวคือคนจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ว่าเป็นสถานการณ์ปกติได้หากมันเกิดขึ้นช้า ๆ โดยไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงอย่างมากและอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ๆ แล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ยอมรับ

          Jared Diamond นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เจ้าของผลงานเรืองชื่อ Gun, Germs, and Steel (1997) อธิบายโดยใช้แนวคิด creeping normality ว่าเหตุใดใน ระยะยาวสิ่งแวดล้อมจึงเลวร้ายลงได้จากการตัดต้นไม้โดยดูเหมือนว่าผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินขาดความมี เหตุมีผล

          Diamond อธิบายว่าเมื่อเริ่มตัดต้นไม้เพราะมีประชากรอยู่อาศัยมากขึ้นก็จะตัดไปทีละเล็กทีละน้อย กว่าต้นไม้ต้นใหญ่ต้นสุดท้ายจะถูกตัดลง ประโยชน์ของมันก็หมดความสำคัญเชิงเศรษฐกิจไปนานแล้ว ที่เหลือก็คือต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยที่พอมีให้ตัดเป็นประจำจนไม่มีใครสังเกตว่าต้นไม้ใหญ่นั้นมันไม่มีเหลืออยู่แล้ว

          การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยที่สำคัญของมนุษย์ก็คือคุณธรรมหลักที่อยู่ในใจของ แต่ละคน คงไม่มี creeping normality ใดที่เลวร้ายไปกว่าการเห็นคนเลวและความเลวเป็นเรื่องธรรมดาและสังคมเห็นว่าคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรที่คงที่เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ สิ่งสำคัญก็คือต้องระวังให้มันเปลี่ยนแปลงทีละน้อยไปในทิศทางที่เป็นคุณแก่สังคมและตนเอง

          ไม่ว่า “กบในน้ำเดือด” เป็นเรื่องจริงทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ก็ตาม ประเด็นที่น่าคิดก็คืออะไรที่ฆ่ากบ คำตอบไม่ใช่น้ำร้อนแต่เป็นความไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะกระโดดออกมาเมื่อใด ถ้าหากโดดออกมาแต่เมื่อเริ่มร้อนก็รอด แต่ถ้าหากลังเลความร้อนก็จะทำลายเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อจนทำให้โดดออกมาไม่ได้ มนุษย์ก็เช่นกันต้องอยู่ในความสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น ๆ และต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจสำคัญ ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างหรือตัดความสัมพันธ์ การเปลี่ยนอาชีพ หรือเปลี่ยนงาน การพัฒนาตนเอง การลงมือปฏิบัติในบางเรื่อง ฯลฯ หรือยังรอ ไปก่อน มนุษย์ทุกคนจึงล้วนเป็น “กบในน้ำเดือด” ที่ต้องตัดสินใจกระโดดอย่างถูกเวลาด้วยกันทั้งนั้น

          ในยุคสมัยที่โลกเปลี่ยนแปลงในด้านวัตถุนิยมอย่างรวดเร็วจนเข็มทิศศีลธรรมชำรุด กบก็สามารถมีคำสอนให้มนุษย์ได้ว่าสิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละน้อยในตนเองในทางลบอย่างมิได้สังเกตเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอ ทัศนคติ ค่านิยม วัตรปฏิบัติ ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยกันทำให้แขนขาเป็นอัมพาตเพราะจมปลักอยู่กับความเสื่อม จนไม่สามารถโดดออกจากหม้อน้ำที่กำลังร้อนขึ้นทุกทีได้

          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าทุกเรื่องที่ได้ยินอาจไม่เป็นจริงแต่ก็สามารถเอามาหาประโยชน์ได้ตราบที่เราไม่ด่วนปฏิเสธด้วยจิตที่คับแคบ ทุกสิ่งล้วนมีประโยชน์จากแต่ละแง่มุมของมัน