เรื่องเล่าดี ๆ มีพลัง

วรากรณ์ สามโกเศศ
11 มกราคม 2565

เรื่องเล่าดี ๆ สามารถเป็นพลังใจสำหรับดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี เรื่องเหล่านี้จากหนังสือ ภาพยนตร์ นิทาน เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของตนเองและของผู้อื่น คำพูดของผู้คนทั้งด้านบวกและลบ ฯลฯ สามารถนำมาใช้เป็นมุมมองของชีวิต ปีใหม่นี้ถ้าเริ่มด้วยเรื่องเล่าดี ๆ ก็อาจเป็นประโยชน์ได้บ้างกระมัง

เรื่องแรก ภาพยนตร์เรื่อง October Sky (ท้องฟ้าเดือนตุลาคม) สร้างจากชีวิตจริงของวิศวกรการบินคนหนึ่งของ NASA ให้ข้อคิดที่ดีมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างในปี 1999 เล่าเรื่องชีวิตของเด็กในชั้นมัธยมปลาย 4 คน ในเมืองเล็ก ๆ ของรัฐ West Virginia ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ประชากรของรัฐส่วนหนึ่งอาศัยในเมืองที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขา Appalachian โดยมีธุรกิจเหมืองถ่านหินเป็นแหล่งจ้างงานใหญ่ คนเหล่านี้ที่ค่อนข้างยากจนตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างไม่น่าเชื่อ นานมาแล้วผู้เขียนเคยเดินทางไปหนึ่งในเมืองเล็กเหล่านี้และพบเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะหน้าตาแปลก ๆ ร่างกายไม่เป็นปกติ น่ามาจากการผสมของพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกัน เข้าใจว่าเมื่อถูกตัดขาดมากจึงแต่งงานกันในกลุ่มคนที่มีจำนวนจำกัด

​เด็ก 4 คนนี้มีความฝันอย่างเดียวคือเมื่อเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้วก็ทำงานเป็นกรรมกรเหมืองถ่านหินเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ เหมือนปู่ พ่อ ลุง ฯลฯ ที่สืบทอดกันมายาวนานนับร้อยปี ชีวิตมักจบลงด้วยการป่วยเกี่ยวกับโรคปอด หรือไม่ก็ตายจากเหมืองถล่ม แต่แล้วก็มีครูคนหนึ่งมาจากนอกรัฐมากระตุ้นให้เด็กฝันไปไกล ไม่วนเวียนอยู่ด้วยความน่าสังเวชแบบนี้ ครูบอกว่ามนุษย์เรานั้น “ฝันแค่ไหนก็ไปไกลแค่นั้น” เด็ก 4 คนจึงเริ่มคิดผิดไปจากที่เคยเป็นกันมา เมื่อไปปรึกษาพ่อ ๆ ก็หัวเราะและบอกว่าอย่าไปคิดอะไรมากเลย ที่เป็นอยู่นี้ก็ดีแล้ว จบแล้วก็มีงานทำ มีชีวิตเหมือนที่เป็นกันมา คนที่นี่เรียนจบแล้วมี 2 หนทางที่จะหลุดออกไปอยู่ข้างนอก หนึ่ง ได้ทุนไปเรียนมหาวิทยาลัย สอง ได้ทุนกีฬาเพื่อเรียนมหาวิทยาลัยไปและเล่นกีฬาไป แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่เคยมีเด็กคนไหนที่ได้รับทุนเลย เพราะฉะนั้นเลิกคิดและจงเป็นอย่างที่เราเคยเป็นกันมา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณต้นทศวรรษ 1960 คนอเมริกันกำลังตกใจที่สหภาพโซเวียตสามารถส่ง Sputnik I ขึ้นไปโคจรรอบโลกได้ก่อนคนทั้งโลกในเดือนตุลาคม 1957 (เหตุผลว่าทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้จึงชื่อ “ท้องฟ้าเดือนตุลาคม”) ในช่วงสงครามเย็นนี้คนอเมริกันรู้สึกว่าถูกแซงหน้าจึงมีแรงกดดันให้รัฐบาลบุกเบิกด้านอวกาศ ประธานาธิบดี Kennedy เมื่อเข้ารับตำแหน่งในปี 1961 จึงประกาศว่าสหรัฐจะเหยียบโลกพระจันทร์ก่อนสิ้นทศวรรษ 1960 ให้ได้

เด็ก 4 คน ภายใต้กระแสนี้จึงตื่นตัวเรื่องจรวด เรียนรู้จากหนังสือและคำแนะนำของครูคนนี้ รัฐบาลสหรัฐประกาศประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอวกาศในหมู่นักเรียนทั่วประเทศ เด็ก ​4 คนนี้ส่งโครงงานเข้าประกวด และในที่สุดก็ชนะได้เดินทางไปรับรางวัลและได้รับทุนไปเรียนมหาวิทยาลัย หลายปีต่อมาคนหนึ่งก็ได้เป็นวิศวกรของ NASA อีก 2 คนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และอีกคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจ
​ ถ้าเด็กเหล่านี้ไม่ฝันไกล ในที่สุดก็คงได้เป็นแค่กรรมกรเหมืองแก่ ๆ ที่เป็นโรคปอดอันเนื่องมาจากผงดำของถ่านหิน หรืออาจตายไปแต่ยังหนุ่มเพราะเหมืองถล่มก็เป็นได้ ไม่มีโอกาสได้เป็นอย่างที่เป็นนี้ ทั้งหมดก็เพราะ “ฝันแค่ไหนก็ไปไกลแค่นั้น”

เรื่องที่สอง นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์ ถึงไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็เป็นตัวอย่างของการมีความคิดนอกกรอบชนิดที่ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต เรื่องก็มีอยู่ว่าพ่อค้าคนหนึ่งที่มีลูกสาวเป็นหนี้เจ้าหนี้หน้าเลือดอย่างท่วมท้น ไม่รู้จะหาทางแก้ไขอย่างไร วันหนึ่งเจ้าหนี้ก็บอกว่าให้เอาลูกสาวมาแลกหนี้ก็แล้วกัน หากแต่งงานกับฉันแล้วก็จะยกหนี้ให้หมดเลย พ่อค้าก็ต่อรองว่าขอโอกาสเสี่ยงแล้วกัน ทางเลือกแรกคือล้างหนี้หมดเลยและไม่ต้องแต่งงานด้วย ส่วนอีกทางก็คือล้างหนี้และยอมให้ลูกสาวแต่งงานด้วย กติกาคือหยิบก้อนหินจากสองก้อนโดยเสี่ยงว่าจะเป็นทางไหน

ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหนี้หน้าเลือดจะยอมแต่ที่ยอมก็เพราะเขาคิดจะโกง ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าถ้าลูกสาวจับได้หินก้อนสีขาวก็พ้นหนี้และไม่ต้องแต่งงาน หากจับได้ก้อนสีดำถึงจะพ้นหนี้แต่ก็ต้องแต่งงานด้วย เจ้าหนี้ก็เริ่มกระบวนการโดยแอบเอาหินสีดำ 2 ก้อนใส่ลงไปในถุงเพื่อที่ว่าจับอย่างไรก็ไม่พ้นแต่งงาน บังเอิญลูกสาวแอบเห็น เมื่อถึงเวลาเธอต้องเลือกก้อนหินจากถุงโดยมี 3 ทางเลือก (1) ปฏิเสธไม่ยอมจับ (2) ยอมแพ้โดยดี โดยจับก้อนใดก็ได้ (3) เปิดโปงว่ามีก้อนหินดำอยู่ทั้งสองก้อน แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเธอ จึงยอมจับขึ้นมาก้อนหนึ่งโดยไม่ให้ใครเห็นสีของก้อนหินแล้วเธอก็แกล้งทำมันหล่นลงไปบนกองก้อนหินที่มีจำนวนอยู่มากมาย

​ เธอขอโทษที่ทำหล่นจนไม่รู้ว่าเป็นหินสีอะไร แต่ไม่เป็นไรลองดูหินอีกก้อนที่อยู่ในถุงก็จะรู้ได้ว่าก้อนที่ทำหล่นไปนั้นสีอะไร เจ้าหนี้เสียรู้ความคิดสร้างสรรค์จึงเทก้อนหินออกมาและเป็นสีดำ ซึ่งแสดงว่าก้อนที่เธอหยิบมานั้นเป็นสีขาว ดังนั้นจึงหลุดทั้งหนี้และไม่ต้องแต่งงานกับชายหน้าเลือด

เรื่องที่สาม เด็กวัย 10 ขวบนั่งรถไฟไปกับพ่อ ตลอดเวลาที่นั่งก็พร่ำพูดถึงความเขียวของต้นไม้ ทิวทัศน์ที่งดงามข้างทางจนทำให้ชายหนุ่มที่นั่งถัดไปรู้สึกรำคาญมาก จึงพูดกับพ่อเขาว่าคุณควรเอาลูกไปตรวจสมองบ้างนะ ดูจะไม่เต็มบาท พูดจาเพ้อเจ้อและไม่สมวัย พ่อเด็กก็บอกว่าผมขอโทษแทนลูกด้วยเพราะเมื่อเช้านี้หมอเพิ่งเปิดผ้าปิดตาหลังจากผ่าตัดแก้ไขตาที่พิการมาแต่กำเนิด เขาเพิ่งเห็นต้นไม้และทิวทัศน์เป็นครั้งแรกในชีวิตครับ เรื่องนี้ทำให้ชายขี้รำคาญเกิดสติ รู้จักสังเกตและคิดให้รอบคอบก่อนที่จะพูดหรือกระทำการใด ๆ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเรื่องเล่านี้

เรื่องที่สี่ ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผู้เขียนมีประสบการณ์ของครอบครัวจากการที่น้องชายต้องรีบพาญาติผู้ใหญ่ไปโรงพยาบาลอย่างรีบด่วนกลางดึกเมื่อมีอาการตัวหนาวสั่น ปัสสาวะติดขัดมาหลายวันจนเข้าใจว่าเกิดการอักเสบจนอาจมีภาวะการติดเชื้อในกระแสโลหิตได้ การขับรถด้วยความเร็วสูง การต้อง แซงปาดหน้ารถราที่วิ่งบนถนนอาจทำให้เกิดอันตราย แต่ในขณะนั้นมันดูเล็กมากเมื่อเทียบกับอาการของผู้ป่วยบนรถ ถึงจะรู้ว่ามีคนใช้รถใช้ถนนที่ไม่พอใจจำนวนมากแต่ก็เป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ประสบการณ์นี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกเห็นใจบางคนที่ขับรถเร็ว แซงหน้าและปาดไปมาโดยพยายามคิดว่าเขาคงมีเหตุผลของเขาในการกระทำเช่นนั้น เขาอาจกำลังพาคนเจ็บหนักไปโรงพยาบาลหรือเขาอาจกำลังจะไปทำงานสาย กำลังจะตกเครื่องบิน ฯลฯ หากพยายามคิดอย่างนี้แล้วจะรู้สึกสบายใจ ให้อภัย และมีความสุข ไม่ต้องทะเลาะแบะแว้งกับใครโดยเฉพาะในยามนี้ที่ฟิวส์ของอารมณ์มันเปราะบางอย่างยิ่ง

​ไม่ว่าเรื่องเล่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง จริงหรือเท็จก็ตาม หากมันมีแง่มุมที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราแล้ว จำไว้คิดและเล่าต่อก็จะเกิดประโยชน์ครับ