ชะลอความเสื่อมในการดมกลิ่น

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3 ธันวาคม 2556

          กลิ่นเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีความสุขกับชีวิตไม่น้อยไปกว่าการสัมผัสรสชาติ เสียงและ ภาพ เมื่อมีอายุมากขึ้นความสามารถในการรับรู้กลิ่นก็ลดน้อยลงเป็นลำดับ อย่างไรก็ดีปัจจุบันนักวิชาการมีงานวิจัยในด้านนี้และมีข้อแนะนำหลายประการในการชะลอความเสื่อมในการรับรู้กลิ่น

          คนจำนวนหนึ่งเมื่อถึงอายุ 60 ปี ประมาณครึ่งหนึ่งจะมีความสามารถในการรับรู้กลิ่นลดลงไป และเมื่อถึงอายุ 80 ปี (หากยังอยู่ถึง) จำนวนนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสามในสี่

          ก่อนที่จะพูดถึงวิธีที่จะใช้ชะลอความเสื่อมในเรื่องนี้ ลองมารับทราบความจริงที่น่าสนใจบางประการเกี่ยวกับกลิ่น

          ความสามารถในการรับรู้กลิ่นจะสูงที่สุดในบรรยากาศที่อุ่นและชื้น (ดังบ้านเราโดยปกติ) เช่น หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ ๆ ในทางตรงกันข้ามสิ่งแวดล้อมมีบทบาทในการทำให้ไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ดี เช่น สีทาบ้าน กลิ่นบุหรี่ มลภาวะในอากาศ น้ำยาทำความสะอาด ฯลฯ

          สิ่งที่น่าเป็นห่วงในเรื่องยิ่งมีอายุมากขึ้นความสามารถในการรับรู้กลิ่นน้อยลงก็คือความเสี่ยงของการบริโภคอาหารที่เป็นพิษเนื่องจากไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ดี กลิ่นไฟไหม้ และกลิ่นก๊าซรั่ว ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องระวัง

          การรับประทานอาหารจะมีรสชาติน้อยลงหากกลิ่นหายไป ลองทดลองโดยหลับตาและบีบจมูกเอาช็อกโกเลตสักชิ้นหนึ่งใส่ปากก็จะบอกไม่ได้ว่าเป็นช็อกโกเลต ความกลมกล่อมของกลิ่นและรสตลอดจนภาพที่สะอาดงดงามของอาหารเป็นหัวใจของการปรุงอาหารทุกชาติมานานแล้ว มิฉะนั้นแล้วเครื่องเทศก็คงจะไม่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เมื่อหลาย ร้อยปีก่อน

          อย่างไรก็ดีในขณะที่ตาบอดสีและหูเสื่อมลงรักษาได้ยาก การรักษาความสามารถในการรับรู้กลิ่นสามารถทำได้ง่ายกว่าและด้วยตนเอง ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงเลย

          การทดลองว่าตนเองมีความเสื่อมในเรื่องกลิ่นมากน้อยเพียงใดสามารถทำได้ง่ายด้วย 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรกให้เอาไอศครีมวานิลากับช็อกโกเลตวางคู่กัน เอาผ้าปิดตาและตักใส่ปากสักช้อน ถ้าสามารถบอกได้ถูกต้องว่าเป็นไอศครีมชนิดใดก็ยังไม่น่ากังวล

          วิธีที่สอง ให้เอาสำลีชุบแอลกอฮอร์ชนิดที่ใช้ประจำกันในบ้านไว้ใต้คางและลองหายใจเข้า ถ้าไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอร์หรือได้กลิ่นน้อยมากก็แสดงว่าความสามารถในการรับรู้กลิ่นลดน้อยลง ถ้าอยากทดลองอย่างแรง ๆ ก็ลองดมหัวหอมและกระเทียมดู ถ้าไม่ได้กลิ่นอันรุนแรงนั้นเลยก็คงสรุปได้ว่าควรจะต้องเริ่มให้ความสนใจเรื่องการฟื้นฟูความสามารถ หากทดลองดมกลิ่นดอกกุหลาบแล้วยังไม่รู้สึกใดเลยก็น่ากังวลเพราะการทดลองพบว่ามนุษย์มักจะได้กลิ่นกุหลาบถึงแม้ว่าความสามารถในการดมกลิ่นอื่น ๆ หายไปแล้วก็ตามที

          หากพบว่ามีปัญหาเรื่องการดมกลิ่นอย่าหมดหวัง แพทย์มีวิธีรักษาหลายทางด้วยกัน หลักการก็คือพยายามกระตุ้นเซลล์ประสาทที่รับกลิ่นอย่างสม่ำเสมอด้วยกลิ่นที่แตกต่างกัน

          วิธีแรกให้เอาเครื่องเทศ เช่น พริกไทย กระวาน กานพลู ตลอดจนกลิ่น อื่น ๆ เช่น วานิลา ช็อกโกเลต แยกใส่ขวดที่มีฝาปิดแน่นและเปิดฝาสูดดมขวดแก้วเหล่านี้วันละหนึ่งครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงโดยสูดดมเรียงขวด สูดดมกลิ่นเข้าไปสั้น ๆ สัก 2 หรือ 3 ครั้ง และ ปล่อยลมหายใจออก หากทำมากไปในหนึ่งวันก็อาจทำให้เซลล์ประสาทในจมูกเกิดการอ่อนล้าขึ้นมาได้

          วิธีที่สอง ให้เลือกกลิ่นที่เราชอบสัก 3-4 กลิ่น อาจเป็นกลิ่นกุหลาบ ลาเวนเดอร์ หรือกลิ่นผลไม้ และกลิ่นพิเศษที่แปลกออกไปหนึ่งกลิ่น เช่น กลิ่นกาแฟ โดยแยกเก็บกลิ่นไว้ใน ขวดแก้วมีฝาปิด ให้สูดดมบ่อย ๆ 3-4 ครั้งต่อวัน ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นเซลล์ประสาทรับกลิ่นให้สามารถแยกแยะกลิ่นที่แปลกออกไปได้

          สำหรับผู้ที่ความสามารถในเรื่องกลิ่นยังดีอยู่ วิธีชะลอความเสื่อมง่าย ๆ ก็คือก่อนดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มประจำตลอดจนอาหารจงสูดดมกลิ่นเสียก่อนทุกครั้ง (ที่จริงก็ควรทำเพื่อความซาบซึ้งแบบพวกดื่มไวน์เขาทำกัน…..เพื่อให้คุ้มราคา)

          อีกวิธีหนึ่งก็คือเอาเครื่องเทศหลายชนิดใส่ขวดแยกกันและสูดดมทุกวัน และพยายามบอกให้ถูกว่าเป็นกลิ่นของอะไรโดยไม่ดูป้าย พูดง่าย ๆ ก็คือพยายามสังเกตและตระหนักเรื่องกลิ่นใน ทุกสิ่งที่ทำเสมอ

          ข้อเท็จจริงที่พบว่าคนอายุแตกต่างกัน มีความสามารถในการรับรู้กลิ่นแตกต่างกัน ทำให้นักการตลาดเริ่มคิดที่จะผลิตสินค้าสำหรับผู้สูงอายุที่นับวันจะมีสัดส่วนมากขึ้นในประชากรของหลายประเทศซึ่งมีกลิ่นแรงกว่าปกติเพื่อดึงดูดความสนใจ

          การผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะเจาะจงลูกค้าที่เรียกว่า customized products นับวันก็มีมากขึ้น เช่น กางเกงยีนส์ที่ระบุขนาดของส่วนอื่น ๆ นอกจากเอวตลอดจนแบบได้ในระดับหนึ่ง สีรถยนต์ (ราคายังสั่งไม่ได้) กระเป๋าถือผู้หญิง และล่าสุดเครื่องดื่มยี่ห้อดังผลิตในรูปกระป๋องที่มีชื่อคนและข้อความปรากฏอยู่บนกระป๋องชื่อและข้อความที่ปรากฏก็เป็นกลาง ๆ ที่น่าจะตรงกับความต้องการลูกค้า ไม่มีเรื่องทวงเงิน ข่มขู่ หากเป็นข้อความที่แสดงถึงความรัก ผูกพัน และห่วงใย

          สำหรับคอกาแฟ นักวิจัยพบว่ากลิ่นกาแฟถือว่าเป็นกลิ่นล้างจมูกหลังจากดมกลิ่นอื่น ๆ มาแล้ว นักดมตัวอย่างน้ำหอมมืออาชีพมักพักการทำงานด้วยการสูดดมกลิ่นกาแฟ

          เราตัดสินคนดีคนชั่วกันด้วยการมอง พิจารณาสังเกตพฤติกรรมประกอบซึ่งเสียงมีบทบาทประกอบสำคัญ ถ้าหากกลิ่นสามารถช่วยได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในภาษาไทย “คนกลิ่นไม่ดี” คือบทสรุปความสงสัยในพฤติกรรมทั้งปวงของบุคคลหนึ่ง

          สิ่งที่ต้องระวังเกี่ยวกับคนพวกนี้ก็คือมักมีจุดเด่นจนทำให้เราละเลยมองข้ามธาตุแท้ของพวกเขาไป เพราะมัวแต่ไปชื่นชมจุดเด่นของเขา เช่น ความร่ำรวย การศึกษา หน้าตา พื้นฐานครอบครัว ความเก่ง ฯลฯ