เข้าใจหน้าที่และความสุข

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 ตุลาคม 2559

          แนวคิดหนึ่งที่ “ผิด” ในสังคมไทย คือคิดว่าถ้าลูกต้องลำบากบ้าง ความผิดอยู่ที่พ่อแม่ มนุษย์อาจจะเป็นสัตว์เดียวในโลกที่ไม่เข้าใจตรงนี้ เพราะไม่มีสัตว์ประเภทไหนในโลกที่จะพยายามหากินให้ลูกจากเกิดถึงตาย จากเปลถึงหลุม

          แม่นกอินทรีย์มันจะคาบอาหารมาเลี้ยง มาป้อนลูกของมันทุกวันไม่เคยขาด แต่เมื่อวันหนึ่ง ที่ลูกนกจะต้องเริ่มออกจากรังหัดบิน มันจะเริ่มเอาอาหารมาป้อนน้อยลง แต่เอาหนาม เอาหินมาทิ้งในรัง สุมไว้เพื่อสร้างความอึดอัดให้กับลูกเพื่อเป็นการผลักลูกให้เริ่มอยู่ในรังไม่ได้ ทุกวันมันจะคาบลูกมันบินขึ้นไปให้สูง แล้วปล่อยลูกมันทิ้งลงมาให้หัดกระพือปีก ถ้าลูกนกร่วงลงมาไม่บิน มันก็จะโฉบลงมารับบินกลับขึ้นไปและทิ้งลงมาใหม่ ทำอย่างนี้จนวันหนึ่งลูกนกจะกางปีกแล้วเริ่มกระพือบิน เมื่อถึงวันนั้น หน้าที่ของพ่อแม่ก็สำเร็จ

          แต่บางคนเลี้ยงลูกเสมือนว่าเขาจะอยู่ในโลกอย่างค้ำฟ้า จะไม่มีวันจากลูกไป ลูกไม่เคยต้องดิ้นรนทำอะไรเลย รอเงิน รอรถ รอเสื้อผ้า รอไอโฟน จากพ่อแม่ หน้าที่ของพ่อแม่ “ไม่ใช่” การหาความสุขใส่ชีวิตลูก อย่าสำคัญผิด หน้าที่ ของพ่อแม่ไม่ใช่การโปรยกลีบกุหลาบให้ลูกเดิน

          หน้าที่ของคุณ ในฐานะพ่อแม่คือเตรียมชีวิตลูก ให้เขาอยู่ได้บนโลกนี้ (ที่บางทีโหดร้าย) ในวันที่ไม่มีเรา พ่อแม่มีหน้าที่ให้ความรู้ การศึกษา ปลูกฝัง ถ่ายทอดค่านิยมและทัศนคติการมองโลกที่ถูกต้องให้กับเขา แล้วส่งเขาออกไปมีชีวิตของเขาเองโดยที่มีเราคอยเฝ้ามองและส่งเสริมอยู่ห่าง ๆ จนกว่าเขาจะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเราอีกต่อไป นั่นคือหน้าที่ของพ่อแม่

          ถ้าตลอดชีวิตของคุณ ลูกคุณไม่เคยต้องลำบากดิ้นรนขวนขวายอะไรเลย เพราะมีคุณคอยวิ่งเอามาประเคนให้ ไม่เคยหกล้ม เข่าของเขาไม่เคยเลือดซิบ เพราะคุณไม่เคยปล่อยให้เขาผิดพลาดบ้างในชีวิต เมื่อเขาจะล้ม คุณวิ่งเอาฟูกมารองไว้ตลอด แต่วันที่คุณต้องจากโลกนี้ไปและลูกคุณกลายเป็นเรือที่ขาดหางเสือ คุณพลาดในหน้าที่ของคุณแล้ว

          เรื่องที่สองคือ “ทักษะการมีความสุข” ข้อความแนะนำเกี่ยวกับความสุขมีดังต่อไปนี้ (1) ถ้าตอนนี้คุณไม่มีความสุข ในอนาคตคุณก็จะไม่มีความสุข เพราะมันคือนิสัยของคุณ นิสัยที่ชอบสร้างเงื่อนไขการมีความสุขให้ตัวเอง (2) หัดใส่ใจกับสิ่งที่คุณมี หรือข้อดีในชีวิต ตราบใดที่คุณมัวโฟกัสแต่สิ่งที่ยังไม่มี คุณจะไม่มีวันพบความสุข เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘มี’ อะไร แต่อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘เป็น’ คนยังไง (เป็นคนที่โหยหาแต่สิ่งที่ตัวเองขาด) ไม่สนใจคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีในมือ

          (3) ถึงได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ความสุขคุณจะขึ้นมาแค่วูบเดียว หลังจากนั้นจะลดลงไปจุดค่าเฉลี่ยของคุณ แล้วคุณจะหันไปไขว่คว้า และทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่ได้ต่อไป เป็นวงจรไม่รู้จบ (4) คนที่รอความสุขจากคนอื่นน่าสงสารที่สุด “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเขาโทรมา” “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้งานใหม่” หารู้ไม่ว่าความสุขนั้นสร้างเองได้เลยโดยไม่ต้องรอเงื่อนไขใด ๆ และไม่ต้องรอใคร (5) พื้นฐานของการมีความสุขคือการชื่นชมในสิ่งที่คุณมี ถ้าคุณนึกข้อดีในชีวิตคุณไม่ออก ให้ไปถามคนอื่น

          (6) การบ่นเรื่องที่ไม่ดีไม่ได้ช่วยให้คุณสบายใจขึ้น กลับจะทำให้แย่ลง เพราะการเอามาเล่าใหม่เป็นการฉายภาพนั้นซ้ำ ๆ อยู่ในหัว (7) โดยปกติความสุขมักอยู่ตรงหน้าคุณ แอร์เย็น ๆ อาหารอร่อย ๆ วิวสวย ๆ แต่ใจคุณดันไปคิดเรื่องอื่นในหัว (เรื่องที่ไม่มีความสุข) ในตอนนั้นเอง แล้วก็ชอบมาบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุข (ตลกสิ้นดี) (8) ตราบใดที่คุณยังเป็นคนธรรมดา คุณจะยังเจอความทุกข์อยู่เรื่อย ๆ จงหัดเป็นคนมองโลกในแง่ดี มองหาประโยชน์ทุกครั้งจากเหตุการณ์แย่ ๆ แล้วคุณจะมีกำไรชีวิตมากกว่าคนอื่น

          (9) คนเราชอบอยู่ใกล้คนมีความสุข ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบบ่นแต่ปัญหาตัวเอง มองแต่ด้านร้าย เอาแต่ด่าคนอื่น คนอยู่ใกล้ ๆ ประสาทจะกิน สุดท้ายจิตใต้สำนึกของพวกเขาจะสั่งให้ค่อย ๆ ห่างคุณไปโดยไม่รู้ตัว (10) ความสุขและการมองโลกในแง่ดีเป็นโรคติดต่อ จงอยู่ใกล้คนเหล่านี้เพื่อรับ และจงแพร่กระจายความสุขเพื่อให้คนอื่นต่อไป

          (11) ความสุขเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด และผลิตจากอากาศได้ทันที ดังนั้นไม่ต้องกลัว คนอื่นแย่งความสุขไป ทุกคนสามารถมีได้มากเท่าที่ต้องการ (12) จงทำตัวเป็น Happiness Machine เครื่องผลิตความสุข แล้วคนมีความสุขเหมือนกันจะถูกดึงดูดเข้ามาหาคุณ (13) ไม่มีคนไร้สุขที่ไหนจะมีความรักที่ดี ไม่มีคนขี้ระแวงมองโลกในแง่ร้ายที่ไหนจะมีความสัมพันธ์ที่สงบสุข (14) ความสุขปลายทางเป็นเพียงมายา จงมองหาความสุขที่มีอยู่ระหว่างทาง (15) ความสุขและการมองโลกในแง่บวกเป็นทักษะ นั่นหมายความว่าคุณสามารถ “ฝึก” ที่จะเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่บวกได้