ระวังอคติ ตัวเลขและอารมณ์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
29 ตุลาคม 2556

          ไม่มีอะไรน่าเจ็บใจเท่ากับถูกหลอกจากการใช้อารมณ์ของตัวเราเองมากกว่าเหตุผล แต่ที่น่าเจ็บปวดกว่านี้ก็คือทั้งที่ใช้เหตุใช้ผลแล้วก็ยังตัดสินใจผิดอีก

          ขอนำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับอคติ ตัวเลข และอารมณ์ ในบางเรื่องมาเล่าสู่กันฟังเพื่อป้องกันการเจ็บกระดองใจ

          เรื่องแรกคืออคติเกี่ยวกับผลงานที่เห็นจนทำให้มองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ตัวอย่างเช่นจะต้องตัดสินใจเลือกหมอผ่าตัดหัวใจหนึ่งใน 3 คน ในจำนวนคนไข้ 30 คนที่ผ่านมา หมอ ก. มีสถิติที่คนไข้ตายระหว่างผ่า 3 คน หมอ ข. 6 คน และหมอ ค. 9 คน เมื่อเผชิญหน้ากับสถิติ อย่างนี้คนทั่วไปจะเลือกหมอ ก. ทันทีเพราะผลงานน่าชื่นชม (ถึงแม้จะมีตาย 3 คน ก็ตาม)

          อย่างไรก็ดีหากพิจารณาลงไปลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็จะพบว่าหมอ ค. นั้นเชี่ยวชาญผ่าตัดหัวใจผู้สูงอายุ หมอ ข. ถนัดผ่าตัดหัวใจเด็กอ่อน ส่วนหมอ ก. นั้นผ่าตัดคนปกติเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเห็นข้อมูลประกอบแล้ว หมอ ก. อาจไม่ใช่การเลือกที่ดีที่สุดไปแล้วก็ได้

          ในประการแรก ขนาดตัวอย่างเพียง 30 คนนั้นเล็กเกินกว่าจะสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของหมอได้ ประการที่สองการผ่าตัดคนสูงอายุและเด็กอ่อนนั้นยากกว่าและมีโอกาสที่จะเสียชีวิตระหว่างผ่าตัดสูงกว่าคนวัยอื่น ตัวเลขคนตายมากเกินปกติของหมอ ข. และ ค. จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่หมอ ก. ที่มีคนปกติตายถึง 3 คนนั้นอาจน่ากลัวกว่า

          บทเรียนในเรื่องนี้ก็คือมนุษย์มักมีอคติในการมองไปที่ผลที่เกิดขึ้นทันที โดยละเลยการพิจารณาข้อมูลประกอบ ในชีวิตจริงเรามักโดดเข้าใส่อาหารอร่อย หน้าตาดี โดยไม่รู้ว่าเขาทำสะอาดแค่ไหน เราเลือกงานโดยดูที่เงินเดือนโดยไม่พิจารณาว่างานที่ทำนั้นช่วยทำให้เป็นคนมีคุณค่าเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด เราเลือกคนมาช่วยงานบ้านโดยดูที่หน้าตาการพูดจารู้เรื่อง โดยไม่พิจารณาให้ดีว่ามีประวัติอย่างไร เราเลือกคนหน้าตาดีมาเป็นแฟนโดยละเลยการดูข้อมูลประกอบ ฯลฯ

          เรื่องที่สองคือตัวเลขเฉลี่ย มนุษย์มักชอบดูตัวเลขเฉลี่ยเพื่อประเมินข้อเท็จจริงโดยหารู้ไม่ว่าตัวเลขเฉลี่ยนั้นหลอกลวงได้ง่าย ตัวอย่างเช่นคน 19 คนนั่งอยู่ในห้องด้วยกัน เมื่อลองคิดรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีก็พบว่าตกประมาณ 500,000 บาท อีกสักพักหนึ่ง Bill Gates (ขอใช้ชื่อฝรั่งแทนเศรษฐีไทยเพื่อตัดประเด็นอารมณ์ออก) ก้าวเข้ามาในห้อง คราวนี้เมื่อคำนวณรายได้เฉลี่ยของ ทุกคนในห้องนี้ดูปรากฏว่าเป็นคนละ 500 ล้านบาท

          รายได้เพิ่มขึ้นจาก 500,000 บาทต่อคน เป็น 500 ล้านบาทเนื่องมาจากอิทธิพลของข้อมูลจากคน ๆ เดียวซึ่งทำให้ภาพมันบิดเบี้ยวไปหมด จากภาพของการเป็นคนมีรายได้สูงพอควรกลายเป็นสูงมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ใน 19 คนแรกไม่มีใครมีรายได้ถึง 1 ล้านบาทสักคนก่อนหน้า Bill Gates เข้ามานั่งด้วย

          ข้อมูลฝนตกเฉลี่ยก็ลวงเราได้เช่นกัน พื้นที่ ก. ฝนตกเฉลี่ย 1,500 มิลลิเมตรต่อปี พื้นที่ ข. เฉลี่ย 1,000 มิลลิเมตรต่อปี เมื่อเห็นตัวเลขอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าพื้นที่ ก. ชุ่มฉ่ำกว่า แต่เมื่อดูการกระจายตัวของตัวเลขฝนตกก็อาจพบว่าในพื้นที่ ก. นั้นฝนไม่ตก 11 เดือน มีเดือนสุดท้ายเท่านั้นที่ฝนตกหนักมากทั้งเดือนจนฉุดให้ตัวเลขเฉลี่ยสูง ในขณะที่พื้นที่ ก. ฝนตกเฉลี่ยสม่ำเสมอทุกเดือน คำถามก็คือพื้นที่ใดน่าพึงปรารถนากว่ากัน

          คนไข้ไปหาหมอให้ตรวจร่างกายโดยบอกว่าในปีที่ผ่านมาได้ดื่มไวน์แดงเฉลี่ยวันละ 1 แก้วเพื่อสุขภาพตามที่หมอแนะนำ (น่าได้คุณหมอคนนี้มารักษาประจำตัว) อย่างแน่นอน หมอถามว่าดื่มอย่างไร คนไข้ตอบว่า 364 วันแรกไม่ได้ดื่มเลย แต่วันสุดท้ายคือวันที่ 365 ดื่ม 365 แก้ว ดังนั้นจึงดื่มรวม 365 แก้วใน 365 วัน หรือหนึ่งปีจึงมีค่าเฉลี่ยวันละ 1 แก้วพอดีตรงตามที่หมอสั่ง ส่วนคนไข้อีกคนบอกหมอว่าดื่มทุกวัน ๆ ละแก้วตลอด 365 วัน ดังนั้นจึงเฉลี่ย 1 แก้วต่อวันเช่นกัน ตัวเลขเฉลี่ยเหมือนกันแต่ผลที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน (ข้อมูลของคนแรกทราบจากวิญญาณของเขา)

          เรื่องที่สาม เมื่อเราเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดมักพบเห็นการทดลองให้ชิมสินค้าเสมอ อยากบอกว่าถ้าไม่ต้องการซื้ออย่าได้ชิมของเขาเป็นอันขาดเพราะธรรมชาติของมนุษย์จะโน้มน้าวให้เราตอบแทน “ความรู้สึกเป็นหนี้” จากการชิมด้วยการซื้อในที่สุด

          นักจิตวิทยาการตลาดและนักวิจัยเรื่องการบริจาคได้ทำการทดลองอย่างกว้างขวาง และพบว่ากลยุทธ์ “ให้ก่อน และเอาทีหลัง” นั้นผูกพันกับ “ความรู้สึกเป็นหนี้” ที่ต้องตอบแทนและมักได้ผลเสมอ

          มนุษยชาติอยู่รอดกันมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะสัญชาตญาณตอบแทนหนี้กันและกัน สิ่งนี้คือวิธีจัดการความเสี่ยงอย่างหนึ่งของมนุษย์ กล่าวคือตอนอยู่ในถ้ำเวลาที่จับสัตว์เป็นอาหารได้มากก็แบ่งปัน และยามที่ไม่มีอาหารเพื่อนบ้านก็จะแบ่งให้

          มองด้านหนึ่งเป็นความงดงาม แต่อีกด้านหนึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการค้าที่กระทำกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ตราบที่ผู้บริโภคตระหนักถึงอารมณ์ตอบแทน “ความรู้สึกเป็นหนี้” เช่นนี้ของตนเองก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้าไม่ทันเกมส์ก็จะเสียเงินมากกว่าที่ต้องการก็เป็นได้ การซื้อเสียงที่ได้ผลส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่รับเงินไปนั้นไว้ใจได้ว่าจะลงคะแนนให้เพราะเกิด “ความรู้สึกเป็นหนี้” ขึ้นในใจ

          ทุกวันมนุษย์จะเผชิญหน้ากับการเลือกในหลายสิ่ง ถ้าเข้าใจอคติ ข้อมูลตัวเลขลวงตาบางอย่าง และอารมณ์ตามธรรมชาติของตัวเราเองแล้ว การตัดสินใจที่ผิดพลาดก็อาจมีน้อยลง

          คนที่หลอกเราได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือตัวเราเอง

นักต่อสู้เพื่อความสว่างแห่งปัญญา

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 ตุลาคม 2556

          ขณะที่ชายใส่แว่นตาท่าทางใจดีไม่มีพิษมีภัยกำลังเดินข้ามถนนในเมืองปูเน่ รัฐมหารัชตะในอินเดียก็ถูกมือปืนสาดกระสุน 4 นัดใส่อย่างจังจนล้มดับวูบไปพร้อมกับความหวังที่คนยากจนจะหลุดพ้นจากการถูกต้มตุ๋นเพราะความเชื่อถือในโชคลางอย่างงมงาย

          Narendra Dabholkar คือชื่อของชายวัย 67 ปี ซึ่งสิ้นชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน ถึงแม้เขาจะเกิดในวรรณะพราหมณ์ พ่อแม่มีฐานะมั่นคง ได้รับการศึกษาในโรงเรียนชั้นดีของประเทศ เรียนจบเป็นแพทย์ แต่ก็ไม่มีความชื่นชอบในการแบ่งวรรณะของฮินดูที่ทำให้คนในวรรณะต่ำสุดคือจัณฑาลหรือ dalits ถูกกดขี่ ต้องตกระกำลำบากอย่างที่สุดมานับเป็นพัน ๆ ปี 

          คุณหมอนเรณทราทำงานในฐานะแพทย์เป็นเวลา 12 ปี ก่อนที่จะมาทำงานสังคมเพื่อความเป็นธรรมในสังคมเนื่องจากมีแรงบันดาลใจที่จะช่วยคนยากไร้และมืดมนในความคิด ในปี 1989 คุณหมอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชื่อ MANS แปลเป็นอังกฤษว่า Committee for Eradication of Superstition in Maharashtra (คณะกรรมการเพื่อขจัดความเชื่อถือโชคลางในรัฐมหารัชตะ)

          อินเดียนั้นเป็นประเทศที่ผู้คนยังเชื่อถือโชคลาง สิ่งที่อยู่เหนือวิทยาศาสตร์อย่างงมงายจนคนจนถูกหลอกลวงมากมายโดยโจรที่มาในร่างของผู้ทรงศีลในสารพัดรูปแบบ ยิ่งไปกว่านั้นความงมงายเช่นนี้คุณหมอเห็นว่าทำให้อินเดียพัฒนาประเทศไปได้ยากตราบที่คนไม่ใช้เหตุใช้ผลในการตัดสินใจ

          ความเชื่อถือโชคลางในอินเดียมีตัวอย่างเช่น (ก) เวลาบริจาคเงินจะไม่เป็นเลขลงตัว เช่น 100 รูปี แต่จะเป็น 101 รูปี โดยเชื่อว่า 1 รูปีที่เกินมานี้จะนำซึ่งความโชคดี (ข) ตัดเล็บตัดผมโกนหนวด หรือเย็บผ้าหลังตะวันตกดินจะนำความโชคร้ายมาให้ เช่นเดียวกับการกวาดบ้านเวลากลางคืน (ค) แม่หม้ายถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นกาลกิณี (ง) ห้ามกระทำพิธีกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าแต่งงานหรืออื่นใดที่เป็นมงคลในวันเสาร์ (จ) อาบน้ำในแม่น้ำคงคาจะเป็นหนทางสู่สวรรค์ ฯลฯ

          การเชื่อถือโชคลางข้างต้นนี้อาจดูน่ารัก ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่มันสื่อความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของการคิด การไม่มีเหตุมีผล การขาดการวิเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งเป็นอาการของสังคมที่พัฒนาได้ลำบาก เป็นประตูสู่การหลอกลวงและสูญเสียทรัพยากรอย่างไม่สมควรอีกมากมาย

          วิธีง่าย ๆ ของการหาเงินก็คือ “ผู้วิเศษ” สามารถแก้ไขล้มล้างความโชคไม่ดี กำจัดมนต์ดำที่คนอื่นทำกับเรา หรือทำมนต์ดำกับคนอื่น ทำพิธีให้คำอธิษฐานประสบผลสำเร็จ แก้กรรม (แก้เวร) ดูอนาคต ดูอดีต ฯลฯ คนขี้โกงนั้นมักมีความคิดสร้างสรรค์และมีนวตกรรมสูงกว่าเหยื่ออยู่ หลายขุม ดังนั้นจึงมีคนถูกต้มตุ๋นเพราะความเขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่เสมอ

          มีผู้เคยวิเคราะห์ว่าการกำหนดให้กลุ่มคนในวรรณะจัณฑาลเป็นวรรณะต่ำสุดจนไม่สามารถข้องแวะกับคนวรรณะอื่นได้ ไม่ว่าจะใช้บ่อน้ำ เข้าห้องน้ำ กินอาหารโต๊ะเดียวกัน กินช้อนคันเดียวกัน นั่งติดกัน ฯลฯ ก็เพราะในอดีตบรรพบุรุษของเขาเป็นผู้ใช้แรงงานแบกหามสิ่งสกปรก เช่น ตักถังอุจจาระ ล้างสิ่งปฏิกูล เก็บขยะ สัปเหร่อ ลูกจ้างโรงฆ่าสัตว์ ฯลฯ ซึ่งทำให้ตนเองเป็นพาหะของโรคติดต่อ

          วัฒนธรรมฮินดูจึงกีดกันคนเหล่านี้ออกไปเป็นวรรณะพิเศษที่ต่ำสุด เมื่อนาน ๆ เข้าก็เลยกลายเป็นกลุ่มคนที่สังคมรังเกียจเดียดฉันท์และชิงชังอย่างมาก และมีการสืบทอดความรู้สึกเช่นนี้มาเป็นเวลานับพัน ๆ ปีจนเกิดความเคยชินในสังคมอินเดีย 

          จัณฑาลต้องรู้จักอยู่ในที่ของตัวเอง จะไปเดินเพ่นพ่านตามถนนผ่านบ้านที่มีงานมงคลหรือบริเวณพิธีเปิดร้านขายของริมถนนไม่ได้ เพราะอาจเจ็บตัวเนื่องจากเขาถือว่าเป็นตัวซวย ร้านอาหาร ที่พัก ร้านค้า โรงเรียน ก็ต้องเป็นสิ่งที่พวกเดียวกันใช้บริการและอยู่ในบริเวณที่พวกเดียวกันอาศัยอยู่ แม้แต่คูหาเลือกตั้งก็เคยมีข้อเสนอให้แยกออกต่างหาก ไม่จำเป็นต้องบอกว่าโอกาสในการได้รับการศึกษาของจัณฑาลเป็นอย่างไร จนเป็นกลุ่มที่ถูกต้มตุ๋นง่ายที่สุดและไม่มีปากมีเสียง

          ที่ผ่านมามีจัณฑาลเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของอินเดียเท่านั้นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักของคนอินเดียถัดจากมหาตมะ คานธี คือ Dr.Ambedkar บิดาของรัฐธรรมนูญอินเดียในยุคอิสรภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Dr.Ambedkar หลุดพ้นจากชะตากรรมของจัณฑาลไปก็เพราะตอนเป็นเด็กได้รับการอุปถัมภ์ให้เรียนหนังสือ จนเรียนจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยโคลัมเปีย และเป็นนักการศึกษา นักการศาสนา นักประวัติศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ที่มีชื่อเสียงของสังคมอินเดีย

          Dr.Ambedkar ไม่เคยลืมกำพืดตัวเอง ประกาศว่าตนเองเป็นจัณฑาล และขอเลิกการเป็นฮินดู ประกาศจะนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเพราะไม่มีการถือชั้นวรรณะ ทุกคนเท่าเทียมกัน และในการชุมนุมประกาศเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธในปี ค.ศ. 1956 นั้นมีจัณฑาลกว่า 500,000 คน มาร่วมพิธี 

          คุณหมอนเรนทรา เจริญรอยตามความคิดของมหาตมะ คานธี คือต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง และสานต่องานที่ Dr.Ambedkar ได้ทำไว้โดยต่อยอดไปในเรื่องการกำจัดความเชื่อถือโชคลาง

          คุณหมอเปิดโปงการเล่นกลว่าเป็น “ผู้วิเศษ” หลอกเงินชาวบ้าน จนคุณหมอมีศัตรูอยู่มาก เหล่าฮินดูหัวโบราณกล่าวหาว่าคุณหมอกำลังทำลายวัฒนธรรมฮินดูที่เชื่อถือเทพเจ้าหลายองค์ คุณหมอบอกว่าท่านไม่ได้ต่อต้านการนับถือเทพเจ้า แต่ต่อต้านการเอาเทพเจ้ามาเป็นเครื่องมือหลอกลวง 

          คุณหมอพยายามมาหลายปีในการผลักดันกฎหมายของรัฐลงโทษผู้ใช้ความเชื่อถือโชคลางเป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีผู้เสียประโยชน์ขัดขวาง ล่าสุดการตายของคุณหมอทำให้นักการเมืองถูกแรงกดดันและดูเหมือนว่าร่างกฎหมายจะใกล้ความจริงมากขึ้น

          รัฐมหารัชตะอยู่ทางตะวันตกโดยมีเมืองมุมไบ (หรือชื่อเก่าบอมเบย์) เป็นเมืองหลวง มีประชากร 110 ล้านคน เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง (มีพื้นที่ 3 ใน 5 ของไทย) และเป็นรัฐรวยที่สุดในอินเดีย คุณหมอหวังว่าหาก MANS ต่อสู้ได้สำเร็จก็อาจมีผลแพร่กระจายไปยังรัฐที่เหลือของอินเดียได้

          การทำพิธีต่าง ๆ ที่หรูหราฟุ่มเฟือยเสียเงินเสียทองตามประเพณีหรือตามแนวความเป็นมงคลดังที่ “ผู้วิเศษ” บอกก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณหมอต่อต้าน ลูกของคุณหมอ 2 คน แต่งงานด้วยพิธีง่าย ๆ ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้นแทนที่จะทำกันเป็นวัน ๆ การเสียประโยชน์ของ “ผู้วิเศษ” และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทำให้คุณหมอต้องต่อสู้อย่างหนักตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
 

          บ้านเรายังไม่มีนักต่อสู้เพื่อสังคมในการกำจัดความงมงายในการเชื่อถือโชคลาง การสูญเสียคุณหมอน่าจะกระตุกให้ทั้งโลกนึกถึงสิ่งที่คุณหมอนเรนทราเชื่อว่าเป็นการสูญเสียที่ใหญ่ยิ่งของมนุษยชาติ นั่นก็คือความสว่างแห่งปัญญา 

เงินเฟ้อรุนแรงนั้นร้ายสุด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 ตุลาคม 2556

          ต่อให้ขุดหลุมลึกหนึ่งกิโลเมตรเพื่อฝังเซฟที่ใส่เงิน 5 ล้านบาทหนีสภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่ตามมาเขมือบก็ไม่มีวันรอดไปได้และไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ด้วย เงินเฟ้อทั้งรุนแรงและไม่รุนแรง ทำให้คนบอบช้ำได้ทั้งนั้น

          เมื่อตอนฝังเงินนั้นเงิน 5 ล้านบาทซื้อบ้านงาม ๆ ได้หนึ่งหลัง แต่หลังจากราคาสินค้าโดยทั่วไปมีระดับสูงขึ้นอย่างมากและต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อขุดเงินนั้นขึ้นมาก็อาจพอซื้อรถยนตร์ญี่ปุ่นมือสองได้สักคันก็เป็นได้

          นี่คืออิทธิฤทธิ์ของเงินเฟ้อรุนแรงที่ร้ายกว่ายุง ร้ายกว่าเสือ ร้ายกว่าไฟไหม้บ้าน และร้ายกว่าโจรปล้นด้วย เพราะทุกคนถูกกระทบถึงแม้ในระดับที่ไม่เท่ากันก็ตาม

          เพียงแต่ราคาสินค้าแพงขึ้น 20% ในเวลาหนึ่งปี คนฐานะปานกลางและยากจนก็แย่แล้ว เพราะเงินจำนวนเท่าเก่าจะซื้อของซึ่งมีราคาแพงขึ้นได้ปริมาณน้อยลง

          อย่าลืมว่าแท้จริงแล้วเรามีความพอใจจากสินค้าที่เงินซื้อหามาให้ เราไม่ได้พอใจกับตัวเงิน ยิ่งของมีราคาสูงขึ้นเราก็ยิ่งมีอำนาจซื้อน้อยลงเพราะเราจะยิ่งได้ปริมาณของน้อยลงจากเงินจำนวนนั้น

          ถ้าจะขยายขอบเขตการคิดออกไปอีกในแนวนี้ก็จะพบว่าเงินเป็นเพียงพาหะหรือตัวกลางที่นำไปสู่ความสุข ไม่ใช่ตัวความสุขเอง และบ่อยครั้งเงินก็ไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขด้วยซ้ำ

          ถ้าเงินนำมาซึ่งความสุขเสมอ เราคงไม่เห็นมหาเศรษฐีที่รุ่มร้อนหาความสุขไม่ได้ เสาร์อาทิตย์ต้องไปไหว้พระ 9 วัด 10 วัด และพอใจกับ “รดน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก” เป็นแน่

          ถ้าเห็นเงินสกุลใดที่เวลาซื้อของตามปกติแล้วต้องจ่ายเงินกันเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนหน่วยแล้วละก็ บอกได้เลยว่าประเทศนั้นได้ผ่านสภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง (hyperinflation) มาแล้วในอดีต เช่น เงินเยน เงินลีร์ของอิตาลี เงินโด่งของเวียดนาม เงินรูเปียของอินโดนีเซีย เงินเรียลของกัมพูชา เงินกีบของลาว เงินจั๊ตของพม่า ฯลฯ คำจำกัดความง่าย ๆ ของ hyperinflation ก็คือราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% ในเวลาหนึ่งเดือน

          บางประเทศก็มีประสบการณ์เงินเฟ้อรุนแรงมากเช่นเดียวกัน แต่ได้ปรับเปลี่ยนเงินสกุลของตนให้ดูไม่รุงรังจนเวลาซื้อของในชีวิตประจำวันไม่ต้องจ่ายเงินกันเป็นจำนวนสูงจนน่าตกใจ (ถ้าได้กินข้าว 1 มื้อในเวียดนามจะรู้สึกภูมิใจมากที่มีปัญญาจ่ายเป็นล้านคือล้านโด่ง)

          สาเหตุของ hyperinflation มักมาจากสงคราม หรือไม่ก็สถานการณ์หลังความวุ่นวายทางสังคม เช่น สงครามกลางเมือง วิกฤตที่ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีไม่ได้ วิกฤตธรรมชาติรุนแรง ฯลฯ

          ในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ จีนในศตวรรษที่ 11 ภายใต้ราชวงศ์ซ่ง (Song Dynasty) มีการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ และเมื่อรัฐบาลพิมพ์ออกมามากเพื่อใช้จ่ายอย่างสนุกมือโดยเฉพาะในการทำสงคราม พลังซื้อที่เกิดขึ้นอย่างมากและรวดเร็วในขณะที่ปริมาณสินค้าไม่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้นมากทันที และถ้ารัฐบาลไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็เสมือนกับเอาน้ำมันราดลงไปในไฟ

          เมื่อราคาเพิ่มขึ้นมากเช่นนี้ก็สร้างวงจรอุบาทว์ กล่าวคือเมื่อรัฐบาลเพิ่มปริมาณธนบัตรจนทำให้ข้าวของมีราคาสูงขึ้นก็จำเป็นต้องเพิ่มธนบัตรมากขึ้นอีกเพื่อเอามาซื้อของที่ราคาสูงขึ้น คราวนี้ทั้งปริมาณธนบัตรที่เพิ่มขึ้นและราคาที่เพิ่มขึ้นก็ไล่จับกัน ในสภาวการณ์เช่นนี้ประชาชนจะไม่อยากถือธนบัตรไว้เพราะอำนาจซื้อจะลดลง ประชาชนจะยิ่งรีบใช้จ่ายออกไปทันทีที่ได้ธนบัตรมา ผลที่ตามมาก็คือทำให้ราคายิ่งสูงขึ้นไปอีก

          หลายประเทศมากมายในอดีตประสบกับ hyperinflation ตัวอย่างเช่น (1) เยอรมันนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1923 hyperinflation รุนแรงจนต้องพิมพ์ธนบัตรใบละ 2 ล้าน ๆ มาร์คมาใช้เป็นเรื่องปกติ (แสตมป์มีราคา 50 ล้านมาร์ค) ธนบัตรใบที่มีมูลค่าสูงสุดคือ 100 ล้าน ๆ มาร์ค (เลขหนึ่งตามด้วยศูนย์ 14 ตัว) เนื่องจากราคาสูงขึ้นเป็นหมื่นเท่า ๆ ในเวลาไม่กี่ปี

          (2) ตุรกีเงินเฟ้อรุนแรงมากก่อนปี 2005 จนต้องปรับหน่วยเงินใหม่ให้สะดวกในการใช้ (ก่อนที่จะงงจนเสียชีวิตเพราะเลขศูนย์) โดยปรับให้ 1 lira ใหม่ = 1 ล้าน lira เก่า ดังนั้น 10 ล้าน lira เก่าจึงเท่ากับ 10 lira ใหม่

          (3) ซิมบับเวหรือชื่อเก่าว่าโรดีเชีย ในปี 2004 มีอัตราเงินเฟ้อ 624% ปี 2006 อัตราเงินเฟ้อ 1,730% และ 11,000% ในปี 2007 เหตุการณ์เลวร้ายจนในปี 2008 อัตราเงินเฟ้อ 11.25 ล้านเปอร์เซ็นต์ (ราคาเพิ่มหนึ่งเท่าตัวทุก ๆ 17.3 วัน) hyperinflation หยุดลงได้ในปี 2009 เมื่อรัฐบาลประกาศเลิกใช้เงินสกุลเดิมและให้ใช้เงินอเมริกันดอลล่าร์แทน และเมื่อรัฐบาลพิมพ์ดอลล่าร์เองไม่ได้ พลังซื้อขนาดใหญ่จึงหายไปทันที

          ในยาม hyperinflation นั้น ผู้คนจำนวนหนึ่งต้องยอมเอาบ้าน ที่ดิน และทรัพย์สมบัติมาแลกกับอาหารและสินค้าเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด การดำเนินชีวิตของผู้คนทุกระดับระส่ำระสายต้องดิ้นรนให้มีชีวิตอยู่รอดท่ามกลางราคาสินค้าที่ถีบตัวสูงขึ้นตลอดเวลา

          ขออย่าให้บ้านเราพานพบสภาวะน่าหวาดกลัวเช่นนี้เลย ขอให้รัฐบาลใช้จ่ายเงินตามฐานะที่เก็บภาษีมาได้ ไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัวและอาจบังเอิญถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยสังคมทั้งในและนอกที่ควบคุมไม่ได้จนตกอยู่ในฐานะที่ต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเป็นทางออกในการใช้จ่าย

          ความรอบคอบระมัดระวังเป็นคุณลักษณะสำคัญของบรรพบุรุษเรา และเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้เราอยู่รอดและอยู่ดีกันมาจนทุกวันนี้

“สัตว์เลี้ยง” เก่าแก่สุดของมนุษย์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8 ตุลาคม 2556

          มนุษย์มี ‘สัตว์เลี้ยง’ อยู่บนตัวมานับล้าน ๆ ปีอย่างน่าอัศจรรย์และมันทำให้คันอย่างไม่ให้เหงาด้วย นอกจากนี้ยังเป็นขุมทรัพย์ของข้อมูลมหาศาลเพราะการศึกษา DNA ของมันทำให้เข้าใจวิวัฒนาการของมนุษย์และเพื่อนสัตว์อื่น ๆ ดีขึ้น

          “สัตว์เลี้ยง” ที่พูดถึงนี้ก็คือเหาซึ่งกำเนิดขึ้นเมื่อ 130 ล้านปีก่อน ถัดมาอีก 60-70 ล้านปีก่อน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมและนกมีการแตกแขนงสปิชีส์ออกไปมากมายซึ่งการมีสปิชีส์ใหม่หมายถึงแหล่งที่อยู่และอาหาร (โฮสต์ หรือ Host) ใหม่ของเหาซึ่งเป็นปรสิต (parasite) ชนิดหนึ่ง เผ่าพันธุ์เหาจึงแตกหน่อแพร่กระจายไปอยู่บนตัวสัตว์ต่าง ๆ มากมายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          เวลาล่วงจนถึงเมื่อ 25 ล้านปีก่อน เหาก็ไปรุ่งเรืองอยู่บนตัวสัตว์ตระกูลลิงซึ่งเป็นต้นพันธุ์ของมนุษย์ และอีก 13 ล้านปีต่อมาเหาก็แยกออกเป็น (ก) เหาที่อยู่บนตัวลิงกอริลลาและ (ข) เหาที่อยู่บนตัวบรรพบุรุษมนุษย์และเหาชิมแปนซี จากนั้นถัดมาอีก 6 ล้านปี (เขียนราวกับว่าเพียงลัดนิ้วเดียวก็ผ่านความคันไป 6 ล้านปีแล้ว) เหาบนตัวบรรพบุรุษมนุษย์และชิมแปนซีก็แยกออกเป็นเหาชิมแปนซีและเหามนุษย์

          พูดง่าย ๆ ก็คือบรรพบุรุษของมนุษย์และชิมแปนซีร่วมกันเกาหัวเพราะเหาพันธุ์เดียวกัน เป็นเวลา 6 ล้านปี ก่อนที่เหาจะแยกพันธุ์จากกัน และมนุษย์ก็มีเหาพันธุ์เฉพาะบนตัวเราตลอด 6 ล้านปีที่ผ่านมา

          ที่รู้วันเวลาเหล่านี้ได้ชัดก็เพราะนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ DNA ตลอดจนหลักฐานทางชีววิทยาของการสืบทอดเผ่าพันธุ์และพัฒนาการของเหาพันธุ์ต่าง ๆ และนำมาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง จนทำให้สามารถรู้ช่วงเวลาของพัฒนาการของมนุษย์แม่นยำขึ้น

          เหาที่อยู่บนตัวมนุษย์นั้นมี 3 พันธุ์ คือ เหาศีรษะ (pediculus humanus capitis หรือ head lice) เหาตามตัว (pediculus humans humanus หรือ body lice) และเหาในที่ลับ (pthirus pubis หรือ pubic lice) งานวิจัยพบว่าเหาศีรษะนั้นอยู่กับมนุษย์มานาน ส่วนเหาตามตัวนั้นหลังจากอาศัยอยู่ในขนบนตัวมนุษย์อยู่ชั่วเวลาหนึ่งก็มาอาศัยอยู่บนเสื้อผ้าของมนุษย์เมื่อราว 100,000 ปีก่อน

          ส่วนเหาในที่ลับหรือที่เรียกว่าโลนนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์รับมาจาก ลิงกอริลลาเมื่อ 3.3 ล้านปีก่อนโดยมันอยู่อาศัยในขนหัวหน่าว (ไม่มีใครตอบได้ว่ามนุษย์ติดมาจากลิงกอริลลาได้อย่างไรเพราะหวาดเสียวเกินกว่าจะคาดเดา)

          สำหรับเหาศีรษะซึ่งเป็นเรื่องปวดหัวที่สุดนั้นอยู่บนตัวมนุษย์มานานที่สุด ถึงแม้มันจะอยู่บนหัวบรรพบุรุษมนุษย์ตลอด 25 ล้านปีที่ผ่านมา แต่มนุษย์ก็ไม่เคยเห็นมันชัด ๆ จนกระทั่งเมื่อมีการประดิษฐ์แว่นเห็บ (felea glass) ขึ้นมาเมื่อ 500 ปีก่อน และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นกล้องจุลทรรศน์เมื่อ 350 ปีก่อน

          มนุษย์เห็นเหาผ่านกล้องจุลทรรศน์ว่ามีปากแหลมคม มีกรงเล็บชนิดที่มีตะขอที่ขาเพื่อเกี่ยวตัวไว้กับเส้นผม สามารถไต่ขึ้นลงเส้นผมอย่างรวดเร็ว ไข่เหาติดอยู่บนผมแน่นเพราะมีกาวธรรมชาติจากแม่เหาช่วยติดไว้ แถมมีเมือกเหนียวแข็งตัวเป็นเกราะรอบ ๆ ไข่อีกด้วย ดังนั้นไข่เหาจึงไม่หลุดจากเส้นผมได้ง่าย ๆ ไข่เหาใช้เวลา 10 วันที่จะกลายเป็นเหาเต็มวัย

          มนุษย์สมัยอียิปต์โบราณเมื่อ 5,000 ปีก่อนสู้กับเหาโดยใช้หวีเสนียด (หวีซึ่งมีซี่ถี่ไว้ใช้สางผม) ส่วนคนจีนใช้ส่วนผสมของปรอทและสารหนูกำจัดเหาเมื่อ 3,200 ปีก่อน แต่ละสังคมใช้ภูมิปัญญาหลากหลายในการกำจัดเหา สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แตกต่างกันออกไป

          เหาเป็น ‘สัตว์เลี้ยง” ที่ยากจะกำจัดเพราะมันเป็นสัตว์อายุ 130 ล้านปี ที่มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับโฮสต์ได้อย่างดียิ่ง ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 2-3 ชั่วโมงหากโดนแยกจากโฮสต์ ก็ตาม แต่ไม่ว่าในสภาพอากาศใดก็ตาม ถ้ามันอยู่กับโฮสต์ได้มันก็อยู่รอดเสมอ

          เหาตัวกับเหาศีรษะมีพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ แต่วิถีชีวิตและพฤติกรรมแตกต่างกันมาก เดิมเหาตัวอาศัยอยู่ในขนบนร่างกายและปรับตัวมาอยู่ในเสื้อผ้า และอาจอยู่ในที่พักที่ขาดสุขอนามัย เช่น เรือนจำ ศูนย์อพยพ ฯลฯ สิ่งที่น่ากลัวก็คือเมื่อเหาศีรษะแปลงกายเป็นเหาตัว มันกลับเป็นพาหะนำโรค

          มีการพบเชื้อกาฬโรค และไข้รากสาดใหญ่ (typhus) บนเหาตัวเมื่อเหาตัวสามารถอาศัยอยู่ในเสื้อผ้าได้ การย้ายถิ่นของเสื้อผ้าโดยเฉพาะเสื้อผ้าใช้แล้วและไม่สะอาดจากต่างประเทศจึงเป็นเรื่องควรระวัง

          Charles Darwin ผู้เขย่าโลกเมื่อ 154 ปีก่อนโดยเสนอทฤษฎีว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิงบอกว่าสัตว์ที่อยู่รอดนั้นไม่ใช่สัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดหรือฉลาดที่สุด หากแต่เป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด เหามีชีวิตอยู่ในโลกมา 130 ล้านปี โดยปรับเปลี่ยนตนเองมาตลอด

          เมื่อเหาอยู่บนตัวลิงกอริลลาก็มีลักษณะอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเหาบางตัวที่ทิ้งพี่น้องโดดมาอยู่กับคนโดยอาศัยอยู่ในขนตามตัวที่หยาบหนาคล้ายโฮสต์เดิมมันก็ปรับตัว และเมื่อมนุษย์มีขนตามตัวน้อยลงก็โดดไปอยู่ในเสื้อผ้า ในขณะที่ญาติเดิมที่อยู่บนตัวลิงกอริลลาก็ปรับตัวไปอีกลักษณะหนึ่ง (เมื่อเอาลักษณะใน DNA ของเหาทั้งสองกลุ่มนี้มาเปรียบเทียบกันและรู้เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาของมัน ก็ทำให้ทราบได้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์กับลิงกอริลลาแยกความสัมพันธ์กันเมื่อใด)

          เมื่อเอาการปรับตัวของเหามาเปรียบเทียบกับมนุษย์ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่รู้จบก็จะเห็นได้ว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของมนุษย์นั้นต้องเป็นนิรันดร์จึงจะอยู่รอดได้ ในระดับปัจเจกบุคคลนั้นใครที่ไม่ปรับตัวก็จะไม่มีโอกาสอยู่รอดได้ดีเท่าเหา

          เหากับคนแตกต่างกันตรงที่เหาเป็นสัตว์สร้างความคัน แต่มนุษย์นั้นบางส่วนของเผ่าพันธุ์เป็นผู้สร้างความแสบ

โลกของคน 7 พันล้านคน

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1 ตุลาคม 2556

          โลกใบนี้ของเราเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของมนุษย์อาศัยอยู่นับตั้งแต่เดินหลังตรงตลอดระยะเวลา 1.7 ล้านปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 7 พันล้านคน ประชากรโลกมีลักษณะแตกต่างกันโดยเด่นชัดในเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความเข้าใจเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจมนุษย์ในโลกได้ดียิ่งขึ้น

          โลกเรามีอายุ 4 พันล้านปี มีมนุษย์ที่มีและเคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้รวมแล้วประมาณ 100-115 พันล้านคน ประชากรโลกได้ถึงจำนวนหนึ่งล้านคนแรกเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน เพิ่มเป็น 200 ล้านคนเมื่อ ค.ศ. 1 และอีกหนึ่งพันปีต่อมามีประมาณ 300 ล้านคน ใน ค.ศ. 1800 มีประชากรโลก 1 พันล้านคน และเพิ่มขึ้นสูงยิ่งเมื่อถึง ค.ศ. 2000 โดยมีประชากร 6 พันล้านคน

          ที่น่าตกใจคือการเพิ่มขึ้นของประชากรในช่วงเวลา 200 ปีเศษหลังโดยเพิ่มขึ้นจาก 1 เป็น 6 พันล้านคน หรือเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าตัว

          ถ้าจะเอาตัวเลขละเอียด ปัจจุบันโลกมีประชากร 7.108 พันล้านคน สหประชาชาติพยากรณ์ว่าโลกจะมีประชากรโลก 8.3-10.9 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2050

          ในปัจจุบันมีเด็กเกิดหนึ่งคนทุก 8 วินาที ตายหนึ่งคนทุก 12 วินาที มีประชากรเพิ่มสุทธิหนึ่งคนทุก 12 วินาที

          10 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เรียงลำดับดังนี้ (1) จีน 1,349 ล้านคน (2) อินเดีย 1,220 (3) สหรัฐอเมริกา 317 (4) อินโดนีเซีย 251 (5) บราซิล 201 (6) ปากีสถาน 193 (7) ไนจีเรีย 175 (8) บังคลาเทศ 164 (9) รัสเซีย 143 (10) ญี่ปุ่น 127 ล้านคน

          มนุษย์เกิดมาช้ากว่าสัตว์อื่น ๆ ในโลกมาก ถ้าเอาประวัติศาสตร์ของมนุษย์มาย่อให้4,000 ล้านปีเป็น 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง มนุษย์ปรากฏตัวครั้งแรกเวลา 15.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม

          ถึงมาล่าช้ากว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แต่ความฉลาดอันเลิศล้ำของมนุษย์ (สัตว์ที่ฉลาด รองลงไปจากมนุษย์นั้นไม่อาจเปรียบเทียบได้เลยกับหมายเลขหนึ่ง) สามารถเอาสิ่งแวดล้อมมารับใช้ตนเอง ซึ่งต่างจากสัตว์อื่นโดยทั่วไป จึงมีโอกาสทำร้ายและทำลายโลกได้อย่างฉกาจฉกรรจ์

          ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบทางจริยธรรมของสมาชิกผู้ที่ฉลาดที่สุดและ “มั่งคั่ง” ที่สุดทุกคนที่จะต้องสอดส่องดูแลและรับผิดชอบโลกใบนี้ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องบินที่ล่องลอยอยู่ในท้องฟ้าให้บินอยู่ได้อย่างดีนานที่สุดเท่าที่จะนานได้

          สิ่งที่น่ารู้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับประชากรโลกก็คือ ใน 7 พันล้านคนของมนุษย์นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นขอย่อจำนวนคนทั้งโลกให้เปรียบเสมือนมีอยู่ 100 คน “คิ้วคางตาจมูก” ก็เป็นดังต่อไปนี้

          ใน 100 คน มีจำนวนหญิงและชายเท่ากัน (50-50 แต่เพศที่สามมิได้มีการสำรวจ) มีเด็ก 26 ผู้ใหญ่ 74 (อายุ 65 ปีและเกินกว่า 8 คน)

          ในจำนวนทั้งหมดนี้มีคนเอเชีย 60 คน อาฟริกา 15 ทวีปอเมริกา 14 ยุโรป 11 สำหรับการนับถือศาสนานั้นมีคริสเตียน 33 คน มุสลิม 22 ฮินดู 14 พุทธ 7 ศาสนาอื่น ๆ 12 และอีก 12 ไม่เข้าร่วมศาสนาใด

          ในเรื่องการสื่อสาร ภาษาแม่ของ 100 คนนี้คือภาษาจีน 12 คน อังกฤษและสเปน อย่างละ 5 ภาษาอาหรับ ฮินดู เบงกาลี ปอตุเกส อย่างละ 3 รัสเซียและญี่ปุ่น อย่างละ 2 และที่เหลือ 62 คน พูดภาษาอื่น ๆ

          ข้อสังเกตก็คือถึงแม้มีคนใช้อังกฤษเป็นภาษาแม่เพียง 5 คน แต่ก็มีคนอื่น ๆ ใช้อีกเป็นจำนวนมากและกลายเป็นภาษาสำคัญของโลก และมีศักยภาพและพลวัตรสูงมากในการเป็นภาษากลางในทุกพื้นที่ของโลก

          การศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณภาพชีวิตของชาวโลก สถิติบอกว่ามีคนอ่านออกเขียนได้ 83 คน ในจำนวน 17 คนนี้ที่อ่านและเขียนไม่ได้เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

          สถิติที่น่าสนใจอันหนึ่งก็คือจำนวนผู้ได้รับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในปี 2006 มีเพียง 1 คน แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 7 คน ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาในระดับนี้ในทวีปเอเชีย

          สถิติอีกตัวหนึ่งที่ทำให้สังคมโลกเปลี่ยนแปลงก็คือมีผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองมากกว่าอยู่ในเขตชนบท กล่าวคือ 51 และ 49 คน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้เทคโนโลยี โดยมีอยู่ 75 คน ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ 30 คน ใช้อินเตอร์เน็ต 22 คน เข้าถึงการใช้คอมพิวเตอร์ และ 78 คน มีไฟฟ้าใช้

          อย่างไรก็ดียังมีผู้คนเป็นจำนวนมากในโลกที่อยู่ในสภาพยากจน กล่าวคือ 15 คน ได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอ 1 คนจะตายจากการอดอาหาร 21 คนมีน้ำหนักเกินพอดี 48 คน มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 2 เหรียญสหรัฐ (เส้นแบ่งความยากจนของสหประชาชาติ) และเด็กครึ่งหนึ่งในโลกหรือ 13 คนจาก 26 คน อยู่ในสภาพที่ยากจน

          ใครที่มีการศึกษาระดับปริญญา มีรายได้เกินกว่าวันละ 2 เหรียญสหรัฐ มีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์ ใช้อินเตอร์เน็ต ลูกไม่อยู่ในสภาพยากไร้ มีอาหารกินทุกมื้อ ชีวิตมีความหวัง ควรสำนึกในความโชคดีเพราะอยู่ในสถานะที่ดีกว่าหลายพันล้านคนในโลก

          ที่น่าเสียดายก็คือคนจำนวนมากไม่เห็นความจริงข้อนี้ของตัวเขา เพราะตาถูกบดบังด้วยความไม่รู้จักพอ จึงรู้สึกอยู่ร่ำไปว่าชีวิตของเขายังมีไม่เพียงพอตามที่ใจปรารถนา

หน้าม้าปรบมือของบัลเล่ต์ Bolshoi

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 กันยายน 2556

          ไม่น่าเชื่อว่าบัลเล่ต์ชื่อเสียงเรืองนามระดับโลกดังเช่น Bolshoi จะมีการจ้างหน้าม้า ปรบมือนำเพื่อเชียร์นักแสดง ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ฉุกคิดเกี่ยวกับหลายเรื่องที่เราพานพบกันในชีวิตประจำวัน

          เมื่อเร็ว ๆ นี้หนังสือพิมพ์ International Herald Tribune รายงานการทำงานของ “หน้าม้าปรบมือ” หรือ claqueurs ในโรงละครรัสเซีย Bolshoi ชื่อดังของโลก สิ่งที่พบนี้ได้สร้างความแปลกใจและความเขินอายไปทั่ว

          Bolshoi มีความหมายสองอย่าง ๆ แรกคือ (ก) บริษัทบัลเล่ต์ Bolshoi ของรัสเซียซึ่งมีทั้ง The Bolshoi Ballet และ Bolshoi Opera (2) โรงละครรัสเซียมีชื่อเสียงซึ่งมีชื่อว่า Balshoi Theatre

          บริษัท Ballet Bolshoi มีอายุกว่า 200 ปี และมีชื่อเสียงมากตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 มีนักแสดงรวมกว่า 200 คน ส่วนโรงละครมีอายุกว่า 200 ปีเช่นกัน โดนไฟไหม้หลายครั้งและเปลี่ยนชื่อหลายหนจนในที่สุดกลายเป็นชื่อปัจจุบัน

          ในการแสดงไม่ว่าจะเป็นละคร มิวซิเคิล โอเปร่า หรือบัลเล่ต์ ล้วนมีช่องว่างระหว่างการแสดงซึ่งผู้ชมที่ชื่นชอบบทพูด เสียงร้อง การแสดง ท่วงท่า สามารถแสดงออกซึ่งความพึงพอใจในบางจังหวะได้อย่างไม่ผิดประเพณีนิยม และนี่เป็นช่องทางให้ “หน้าม้าปรบมือ” ทำมาหากินด้วยการเป็นผู้นำในการปรบมือ

          “claqueurs” เป็นคำมาจากภาษาฝรั่งเศส” “claque” ก็คือ “to clap” (ปรบมือ) การมีหน้าม้าปรบมือโดยแท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่เลย มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน มีบันทึกว่าเวลาจักรพรรดิ เนโรเล่นละครจะมีทหารเป็นกองเชียร์ปรบมือชื่นชมถึง 5,000 คน

          ในศตวรรษที่ 16 หน้าม้าปรบมือสมัยใหม่ก็เริ่มขึ้นโดยการริเริ่มของกวีชาวฝรั่งเศส Jean Daurat ในปี 1820 ก็กลายเป็นธุรกิจจริงจัง โดยมีการรับจ้างกันลับ ๆ โดยนักแสดงและเจ้าของโรงละคร และในปี 1830 ผู้จัดการโรงโอเปร่าก็จ้างหน้าม้าปรบมืออย่างเป็นระบบเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ การเชียร์ก็ทำได้หลายวิธี เช่น ชวนคนนั่งข้าง ๆ พูดคุยเพื่อแสดงความชื่นชมตัวละครระหว่างเปลี่ยนฉาก หัวเราะดัง ๆ นำเมื่อมีบทที่ขบขัน แกล้งร้องไห้ซับน้ำตานำเมื่อมีบทเศร้า ตะโกนร้อง “bis bis” (หมายถึง encores หรือขอให้เล่นซ้ำอีก) ฯลฯ

          ต่อมาการจ้างหน้าม้าปรบมือระบาดไปทั่วถึงอิตาลี เวียนนา ลอนดอน นิวยอร์ก รัสเซียและในโรงละครใหญ่โตมีชื่อเสียงด้วย เช่น Covent Garden ในลอนดอน Metropolitan Opera ในนิวยอร์ก โรงละคร Bolshoi ในมอสโคว์ ฯลฯ

          สื่อเปิดเผยว่าใน Bolshoi Theatre ปัจจุบันก็มีการจ้างปรบมือนำโดยนักแสดงเพื่อเชียร์ การแสดงของตน หรือจ้างโดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของคณะละคร ในแต่ละรอบจะมีกองทัพหน้าม้านับ สิบ ๆ คน นั่งกระจายกันอยู่ในที่นั่งอันเหมาะสมต่อการรับสัญญาณและการชี้นำการปรบมือ หัวหน้าใหญ่จะเป็นผู้ให้สัญญาณโดยพิจารณาดูความเหมาะสมของจังหวะและอารมณ์ของผู้ชมที่แตกต่างกันในแต่ละรอบ

          หัวหน้าทีมให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นศิลปะขั้นสูงที่ต้องเข้าใจจังหวะ จะโคนของการแสดง หน้าม้ามิได้รับจ้างมาหากแต่เป็นพวกแฟนคลับที่ชื่นชอบนักแสดงโดยแลกกับบัตรเข้าชม

          การยอมรับว่ามีหน้าม้าจริงแต่ไม่มีการจ่ายเงินขัดแย้งกับความเป็นจริงโดยเฉพาะเมื่อผู้นำปรบมือเหล่านี้ต้องเข้าชมซ้ำรอบแล้วรอบเล่า สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือในแต่ละรอบ โรงละครจะมอบ ตั๋วฟรีเพื่อเข้าชมให้แก่นักแสดง ๆ ก็จะไปจ้างหน้าม้ามาปรบมือเชียร์ตนโดยแลกกับบัตรเข้าดูซึ่งมีมูลค่าถึงใบละ 300-500 เหรียญสหรัฐ

          ในแต่ละรอบกลุ่มหน้าม้านี้จะได้ตั๋วฟรีส่วนเกินจากที่พวกตนใช้ไปนั่งแล้วประมาณ 28 ใบ ถ้าเอา 28 คูณกับราคาตั๋วก็พอจะได้ไอเดียว่าเป็นค่าจ้างนำปรบมือที่สูงมาก อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงว่า Bolshoi Theatre มีการแสดงกว่าปีละ 300 ครั้งก็น่าเห็นใจ เพราะจะต้องชมการแสดงเรื่องหนึ่งถึง 20 ครั้งในเวลา 10 วัน ชมไปก็ต้องเหลือบมองสัญญาณจากหัวหน้าไปเพื่อจะได้ปรบมือได้ถูกจังหวะอย่างไม่ผิดพลาด

          การจ้างปรบมือเป็นเรื่องที่นักแสดงจะไม่มีวันพูดถึงเป็นอันขาด น้อยครั้งมากที่จะมีนักแสดงออกมาต่อสู้ในสาธารณะกับกลุ่มรับจ้างปรบมือ สาเหตุที่ทำให้กล้าก็มักมาจากความเหลืออดอันป็นผลจากการแตกคอกับผู้รับจ้าง ในตอนแรกนักแสดงก็ยินดีจ้างเพราะต้องการเสียงปรบมือ แต่เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นก็มักจะเลิกจ้าง จุดนี้ถ้าตกลงกันไม่ดีก็จะเป็นปัญหา อาจถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่ม หน้าม้า เช่น ปรบมือผิดจังหวะ ทำเสียงดังให้เสียสมาธิ ส่งเสียงไล่ ฯลฯ

          สิ่งที่น่าสงสัยก็คือเหตุใดผู้ชมจึงปรบมือตามหน้าม้าเกือบทุกครั้ง หัวหน้าทีม หน้าม้าบอกว่าผู้ชมทั่วไปนั้นไม่ไว้ใจตัวเอง ชอบที่จะดูคนอื่นและทำตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อผู้ชมเห็นคนหนึ่งหรือหลายคนปรบมืออย่างแข็งขันแสดงความพอใจ ก็จะนึกว่าสิ่งอันเป็นพิเศษได้เกิดขึ้นแล้วซึ่งตนเองอาจมองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจดังนั้นก็จะปรบมือตามเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นคนโง่เง่าที่ดูไม่เป็น ตรงนี้แหละที่ทำให้หน้าม้ามีเงินใช้ถึงแม้จะเบื่อแสนเบื่อกับการดูบัลเล่ต์ก็ตาม

          เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของหน้าม้าในโรงละครกับชีวิตจริงแล้วก็ไม่แตกต่างกันเลย บ่อย ๆ ที่เราถูกหลอกโดยสื่อ โดย “คนเชียร์แขก” ที่ปรากฏในสื่อโทรทัศน์ โดยข้อความในอินเตอร์เน็ตให้หลงเชื่อในบางข้อเท็จจริงหรือยอมรับความคิดหรือพฤติกรรมของบางคน ทั้งหมดนี้มีการชี้นำอย่างเป็นระบบ เฉกเช่นเดียวกับการปรบมือนำของหน้าม้าในโรงละคร

          การโฆษณาสินค้าโดยมีผู้น่าเชื่อถือของสังคมเป็นผู้นำเสนอก็เข้าหรอบเดียวกับการทำงานของหน้าม้าปรบมือ การชี้นำผู้คนอย่างเป็นระบบมีอยู่จริงในสังคมเราและมีการพยายามเสริมสร้างให้เติบโตแข็งแรงขึ้นทุกวันอย่างมีวัตถุประสงค์แอบแฝง

น้ำผึ้งฤาถึงจุดจบ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 กันยายน  2556

          น้ำผึ้งเป็นหนึ่งในสิ่งอัศจรรย์ของโลกที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ อย่างไรก็ดีในช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ที่น่าตกใจได้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา นั่นก็คือการล้มหายตายจากของผึ้งซึ่งเป็นกองทัพสร้างน้ำผึ้งจำนวนมาก สัญญาณเช่นนี้หมายถึงจุดเริ่มต้นการสูญสลายของน้ำผึ้งไปจากโลกหรือไม่

          มนุษย์เอาน้ำผึ้งป่ามาเป็นอาหารไม่ต่ำกว่า 15,000 มาปีแล้ว ภาพเขียนในถ้ำอายุ 8,000 ปีของเมืองวาเล็นเซียในสเปนแสดงให้เห็นคนสองคนกำลังช่วยกันปีนเก็บรังผึ้งโดยใช้บันได หลักฐานอีกชิ้นก็คือการพบตะกอนน้ำผึ้งอยู่บนภาชนะในหลุมฝังศพที่ประเทศจอร์เจีย ซึ่งมีอายุ 4,700-5,500 ปี ผู้คนในบริเวณนั้นตั้งใจให้น้ำผึ้งเป็นอาหารของผู้ตายระหว่างเดินทางไปสู่โลกหน้า

          ยุคอียิปต์เมื่อ 5-6 พันปีก่อนก็ใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนหนึ่งของสารช่วยเก็บรักษามัมมี่ ซึ่งมีทั้งมัมมี่คนและสัตว์เลี้ยง ทั้งคนอียิปต์และโรมันใช้น้ำผึ้งผสมในขนมเพื่อสร้างความหวาน

          ศิลปะของการเลี้ยงผึ้งปรากฏในตำราจีนโบราณซึ่งไม่อาจระบุอายุได้ แต่เป็นที่ชัดเจนว่ามนุษย์เลี้ยงผึ้งเพื่อเอาน้ำผึ้งมาใช้นานหนักหนาแล้ว มิได้หวังพึ่งน้ำผึ้งป่าแต่เพียงอย่างเดียว

          การเลี้ยงในลักษณะสมัยใหม่ กล่าวคือสร้างรังเพื่อให้ผึ้งไปทำรังโดยสามารถย้ายไปมาได้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 หลังจากที่เข้าใจธรรมชาติของผึ้งและการสร้างน้ำผึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกพันธุ์ผึ้งมาเลี้ยง

          ในศตวรรษที่ 19 นวตกรรมการเลี้ยงผึ้งทั้งการสร้างรังและการผลิตน้ำผึ้งก้าวหน้าไปเป็นอันมาก นักบุกเบิกชาวอเมริกันชื่อ Walter T. Kelley ประสบความสำเร็จในการออกแบบรัง และการผลิตน้ำผึ้งอย่างเป็นกอบเป็นกำ

          ผึ้งแบ่งได้เป็น 3 พวก พวกแรกคือผึ้งงาน (worker) มีหน้าที่สร้าง เก็บ ป้องกัน รังผึ้ง และผลิตน้ำผึ้ง มีอายุอยู่ได้ 20-30 วัน พวกสองคือผึ้งผสมพันธุ์ (drone) มีหน้าที่ผสมพันธุ์กับแม่ผึ้งแต่เพียงอย่างเดียวและตายทันทีหลังจากผสมพันธุ์เสร็จ พวกสามคือแม่ผึ้ง (queen) มีหน้าที่วางไข่วันละ 1,500 ใบ หรือกว่านั้น จะปล่อยสาร pheromones เพื่อควบคุมผึ้งงาน

          ผึ้ง 6 พันธุ์ใน 20,000 พันธุ์คือพวกที่สามารถเอามาใช้ผลิตน้ำผึ้งเชิงพาณิชย์ได้ ผึ้งมีตัวเลขที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ (1) ผึ้งงานหนึ่งตัวตลอดชีวิตจะผลิตน้ำผึ้งได้ 1/12 ช้อนชา (2) ในการผลิตน้ำผึ้งหนัก 1 ปอนด์ (0.4 กิโลกรัม) ผึ้งงานต้องบินเพื่อเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้รวมกันทั้งสิ้นเป็น ระยะทาง 89,000 กิโลเมตรโดยสัมผัสดอกไม้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านดอก

          ผึ้งมีหน้าที่สำคัญคือเป็นตัวกลางในการนำเกสรตัวผู้และตัวเมียมาผสมกันจนเกิดเป็นผลและเมล็ดขึ้น พืชบางอย่างเกสรผสมกันเองได้โดยไม่ต้องอาศัยผึ้ง แต่พืชหลายอย่างต้องอาศัยผึ้งในระดับที่แตกต่างกัน เช่น อัลมอนด์ อาศัยผึ้ง 100% แอปเปิ้ล หน่อไม้ฝรั่ง อะโวกาโด บล็อคโคลี่และหัวหอมต่างพึ่งผึ้ง 90% และพืชผลไม้อื่น ๆ ดังนี้ แตงโม (65%) ส้ม (45%) มะนาว (20%) ถั่ว (2%) และองุ่น (1%)

          ผึ้งเป็นแรงงานที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างแม้แต่สตางค์แดงเดียว แต่กลับสร้างมูลค่าพืชผักผลไม้ซึ่งแปรเป็นรายได้มหาศาล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมนุษย์ไม่สำนึกในบุญคุณของผึ้ง หรือด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อย่างอื่นที่ทำให้ผึ้งพันธุ์ที่ใช้ผลิตน้ำผึ้งในสหรัฐอเมริกามีจำนวนที่ลดลงอย่างผิดสังเกตในช่วงเวลา 7 ปี ที่ผ่านมา

          ในปี 2006 นักเลี้ยงผึ้งอเมริกันตกใจมากเมื่อเปิดกล่องรวงผึ้งและพบว่ามีจำนวนผึ้งเหลือเพียงครึ่งเดียว บางลังก็ไม่มีผึ้งเลย ในช่วงฤดูหนาวของปี 2012 จำนวนรังผึ้งในสหรัฐอเมริกาหายไปถึง 1 ใน 3 ซึ่งการหายไปนี้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับจำนวนของปีก่อนในเวลาเดียวกัน (ปกติจะหายไปเพียง ร้อยละ 10-15)

          นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์ที่น่ากลัวนี้ว่า CCD (Colony-Collapse Disorder) ข้อกังวลนี้มิใช่หมายถึงเพียงการลดลงของปริมาณน้ำผึ้งเท่านั้น หากจะกระทบอย่างมากต่อผลผลิตการเกษตรที่ต้องอาศัยผึ้ง หากไม่แก้ไขปัญหาแล้วอัลมอนด์ซึ่งอาศัยผึ้งมากที่สุดและเป็นพืชเกษตรสำคัญที่สุดของรัฐแคลิฟอร์เนียก็จะต้องสูญอนาคตไป

          หลังจากการวิเคราะห์โดยวงวิชาการและภาครัฐก็คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก (1) ยาฆ่าแมลงตระกูล neonicotinoid ซึ่งใช้กันแพร่หลายตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ไม่ว่าในพืชเกษตร หรือแปลงดอกไม้หลังบ้าน ยานี้ต่างจากยาฆ่าแมลงอื่น ๆ เพราะเมล็ดจะถูกแช่ในน้ำยา neonicotinoid ก่อนนำไปปลูก ดังนั้นยาจะปรากฏอยู่ในทุกส่วนของพืชซึ่งรวมไปถึงเกสรดอกไม้ด้วย

          ผู้เลี้ยงผึ้งเชื่อว่ายาฆ่าแมลงชนิดนี้เป็นสาเหตุสำคัญ จากการทดลองพบว่าเมื่อผึ้งสะสม ยาฆ่าแมลง neonicotinoid ในร่างกายในระดับหนึ่งแล้วประสาทของมันจะถูกทำลายจนไม่สามารถบังคับการบินให้ถูกทิศทางได้ และตายในที่สุด

          (2) ฆาตกร varroa ซึ่งเป็นแมลงตัวเล็กมองไม่เห็นสามารถเจาะเซลล์ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนการเลี้ยงตัวอ่อนจนทำให้ตัวอ่อนตาย ฆาตกรตัวร้ายนี้ปรากฏในสหรัฐอเมริกาในปี 1987 โดยเชื่อว่าติดมากับผึ้งที่นำเข้าจากอเมริกาใต้ (3) แบคทีเรียหรือฟังกัสที่นำเชื้อโรคมาฆ่าผึ้งทั้งรังได้นั้นมีอยู่หลายตัวซึ่งอาจมีบทบาทร่วมอย่างสำคัญ

          น้ำผึ้งมีสรรพคุณเป็นยาและอาหารสุขภาพชั้นเลิศ ถ้ามนุษย์ไม่ดูแลผึ้งซึ่งทำงานหนักมากเพื่อสร้างน้ำผึ้งให้ชาวโลกภายใต้ความสมดุลของธรรมชาติแล้ว ธรรมชาติอาจทวงกลับไปจากมนุษย์ก็ได้และหลังจากจุดนั้นแล้ว อีกหลายอย่างก็อาจถูกทยอยทวงกลับคืนไปก็เป็นได้

กลุ่มบุคคลตัดสินใจพลาดได้อย่างไร

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10 กันยายน 2556

 

          มนุษย์แปลกใจเสมอกับการตัดสินใจบางครั้งที่ไม่เข้าท่าของกลุ่มบุคคลหรือคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งต่อมาก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดจริง คำถามก็คือปรากฏการณ์เช่นนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

          การพิจารณาตัดสินใจโดยการใช้กลุ่มบุคคลหรือคณะกรรมการเป็นวิธีปฏิบัติสากลซึ่งเชื่อกันว่าจะได้สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกลุ่มบุคคลประกอบด้วยผู้เปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์ มีใจบริสุทธิ์ ตั้งใจดี และเฉลียวฉลาด

          Rolf Dobelli ในหนังสือชื่อ The Art of Thinking Clearly (2013) ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับ สิ่งที่เรียกว่า groupthink เขาถามว่าคุณเคยกัดลิ้นตัวเองโดยไม่พูดอะไรเลย และพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอในที่ประชุมเพราะไม่อยากเป็นคนชอบค้านจนกลายเป็นคนแปลกแยกไหม ยิ่งไปกว่านั้นคุณก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอที่กลุ่มหนึ่งเขาเห็นดีเห็นงามกัน

          เมื่อทุกคนคิดและทำแบบคุณเขาเรียกพฤติกรรมนี้ว่า groupthink การตัดสินใจที่โง่ ๆ จากกลุ่มบุคคลที่แต่ละคนฉลาดจึงเกิดขึ้นได้

          groupthink เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องมาจากอิทธิพลของการทำตามกัน เราไม่เคยเห็นเด็กชั้นประถมที่ไม่ร้องเพลงตามเพื่อน เราไม่เคยเห็นผู้ใหญ่ที่ไม่ปรบมือเมื่อคนทั้งห้องเขาปรบมือกัน เราไม่เห็นคนขวางโลกที่นั่งหน้าบึ้งตึงท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันของผู้ร่วมฟังเดี่ยวไมโครโฟน ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็เพราะมุนษย์เราต่างมีสัญชาตญาณฝูงสัตว์ (herd instinct) ที่ติดตัวมากว่า 150,000-200,000 ปี ตั้งแต่เราเป็น “มนุษย์สมัยใหม่”

          ในยุคที่เราอยู่ในถ้ำล่าสัตว์เป็นอาหาร ถ้าขณะที่เพื่อนซึ่งออกไปล่าสัตว์ด้วยกัน หยุดเดินทันทีและกลับหลังหันวิ่ง เราคงไม่หยุดและคอยดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่เพราะรู้ว่าอาจมีภัยอันตรายเกิดขึ้นได้ สิ่งที่เราคงทำก็คือหันหลังวิ่งตามเพื่อนอย่างแน่นอน (อาจวิ่งแซงหน้าด้วยซ้ำ)

          ราคาหุ้นที่ตกลงอย่างน่ากลัวหรือภาวะฟองสบู่ที่เกิดจากการเก็งกำไรก็เป็นผลพวงจาก สัญชาตญาณฝูงสัตว์ และจากอิทธิพลของการทำตามกันนี่แหละ การที่ละคร sit-com ในโทรทัศน์สอดแทรกเสียงหัวเราะจากเทปเข้าไปด้วยตรงจุดที่คิดว่าตลกก็หวังใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของการตามกัน กล่าวคือกระตุ้นให้รู้สึกขบขันตามเสียงหัวเราะนำ

          ในการประชุมครั้งหน้าถ้าสังเกตดูให้ดีอาจเห็นการทำงานของ groupthink ก็เป็นได้ ถ้าในการประชุมนั้นมีผู้นำทางความคิดที่พูดเก่งโน้วน้าวใจคน หรือเป็นผู้ใหญ่อาวุโสสูงอยู่สักคน และมีผู้มักตามความเห็นอยู่สัก 2-3 คนในคณะกรรมการ เชื่อได้ว่าเกือบทุกการตัดสินใจจะมาจากสิ่งที่คนกลุ่มนี้เห็นพ้องกัน คนอื่น ๆ จะนั่งเงียบไม่ปฏิเสธ โดยอยู่ในสภาวะอารมณ์ของคนไม่อยากเป็นคน ช่างค้าน ลักษณะอย่างนี้แหละที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ไม่ยากนัก

          อีกเงื่อนไขที่ทำให้เกิด groupthink ก็คือเมื่อกลุ่มบุคคลที่รักใคร่สนิทสนมร่วมจิตวิญญาณเดียวกันประชุมเพื่อตัดสินใจหาคำตอบ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือภาพลวงตาของความเป็นเอกฉันท์ กล่าวคือถ้าส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทางเลือกเดียวกันแล้ว ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยต้องผิดอย่างแน่นอน

          เมื่อความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นก็จะไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากเป็นคนที่ทำลายความสามัคคีของทีมและเป็นคนแปลกแยกที่น่ารำคาญ เมื่อความรู้สึกเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ทีมหารือกันก็จะได้คำตอบที่เป็นเอกฉันท์เสมอโดยคำตอบนี้มักมาจากผู้มีอิทธิพลทางความคิดเพียงคนเดียว ซึ่งมักเป็นหัวหน้าทีม เงื่อนไขนี้แหละที่จะทำให้พากันลงเหวอยู่บ่อย ๆ

          นาซีในสงครามโลกครั้งที่สองผิดพลาดในลักษณะที่ว่านี้ ในยุคแรกก่อนเผด็จการสมบูรณ์แบบของระบบนาซี ไม่ว่าประชุมหารือกันอย่างวิถีประชาธิปไตยครั้งใด ข้อตกลงก็เป็นไปตามที่ฮิตเลอร์ต้องการเสมอ และจุดจบของนาซีเราก็ได้เห็นกันแล้วจากประวัติศาสตร์

          สายการบิน Swissair ที่มีชื่อเสียงม้วนเสื่อไปในปี 2001 ก็เพราะการทำงานของ groupthink เรื่องก็มีอยู่ว่าบริษัทที่ปรึกษาที่จ้างมามีอิทธิพลต่อ CEO ของ Swissair และกรรมการบริษัทที่มีอิทธิพลบางคนเกินขอบเขต จนในที่สุดคณะกรรมการบริษัทตกลงใจกู้เงินเพื่อขยายกิจการครั้งใหญ่เพราะภาคภูมิใจผลสำเร็จของการประกอบการ โดยเริ่มซื้อกิจการหลายสายการบินในยุโรป แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกผันผวน เงินสดขาดมือ Swissair ก็ต้องล้มไป

          เราเห็นคำตัดสินของคณะกรรมการภายใต้การทำงานของ groupthink อยู่บ่อย ๆ แต่โชคดีที่มิได้เป็นการตัดสินใจที่ผิดฉกรรจ์ แต่คำถามก็คือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าในการประชุมในอนาคต groupthink จะไม่ทำร้ายเราจนบาดเจ็บสาหัสได้

ทูตอเมริกันหญิงประจำญี่ปุ่น

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3 กันยายน 2556

          ญี่ปุ่นมีประเพณีในการตอบรับบุคคลจากสหรัฐอเมริกามาเป็นทูตด้วยมาตรฐานที่สูงมายาวนาน ในครั้งล่าสุดนี้ก็อีกเช่นกัน ญี่ปุ่นเพิ่งตอบรับบุคคลสำคัญซึ่งเป็นทูตสตรีคนแรกด้วยความยินดี Caroline Kennedy คือชื่อของเธอ

          ชื่อนี้มักออกเสียงว่า แค-โร-ลีน แต่ในกรณีนี้อาจแตกต่างออกไป เราได้รับการยืนยันว่าชื่อเธอออกเสียงอย่างไรจากเหตุการณ์ในงานเลี้ยงวันเกิดของเธอตอนอายุ 50 ปี เมื่อ 6 ปีก่อน Neil Diamond นักแต่งเพลงเอกของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าเขาแต่งเพลงโด่งดังชื่อ “Sweet Caroline” (คงจำได้ว่าในเพลงนี้ออกเสียงว่าแค-โร-ไล) เมื่อต้นทศวรรษ 1960 เนื่องจากได้รับแรงจูงใจเมื่อเห็นเธอ ขี่ม้าอย่างน่ารักอยู่ในทำเนียบขาว

          Caroline เป็นลูกสาวคนโตของประธานาธิบดี Kennedy (JFK) ตอนพ่อเธอเป็นประธานาธิบดีนั้นเธออายุเพียง 3 ขวบ และตอนพ่อเธอตายเธออายุ 6 ขวบเท่านั้นเอง

          เธอมีน้องชายคือ John Jr. (จูเนียร์) อายุน้อยกว่าเธอ 3 ปี ที่จริงเธอยังมีน้องชาย คนเล็กสุดอีกคนชื่อ Patrick แต่เกิดได้ 2 วันก็ตายในปีเดียวกับพ่อของเธอ เธอรัก John Junior มาก โดยเฉพาะเมื่อแม่ของเขาสองคนคือ Jacqueline จากไปในปี ค.ศ. 1994 อย่างไรก็ดีในปี 1999 เธอก็สูญเสีย John ไปจากเครื่องบินตก ปัจจุบันเธอเป็นทายาทคนเดียวของ JFK

          เธอเป็นจุดสนใจของคนอเมริกันและชาวโลกมายาวนานว่าชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรเมื่อไร้พ่อและแม่ ชีวิตของเธอประสบความสำเร็จ เธอเรียนจบปริญญาตรีด้านศิลปะจาก Radcliff และจบกฎหมายจาก Columbia เธอทำงานการกุศลให้องค์กรไม่หวังกำไรหลายแห่ง เขียนหนังสือและเป็นบรรณาธิการหนังสือหลายเล่ม เธอแต่งงานกับ Edwin Schlossberg นักออกแบบงานแสดงศิลปะเมื่อเธออายุ 29 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน โดยเป็นหญิง 2 และชาย 1 ทั้งสองครองชีวิตคู่มานาน 27 ปี

          มีคนทาบทามเธอให้ลงสมัครประธานาธิบดีหลายครั้งเพราะเชื่อว่าชื่อ JFK นั้นศักดิ์สิทธิ์แตะใจคนอเมริกัน แต่เธอก็ไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งใด ๆ ที่ใกล้สุดก็คือเธอแสดงความสนใจตำแหน่งวุฒิสมาชิกของรัฐนิวยอร์กแทน Hilary Clinton ในปี 2008 เมื่อเธอลาออกไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อตำแหน่งว่างลงเช่นนี้ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กจะต้องแต่งตั้ง คนแทนโดยมีอายุเป็นสมาชิกจนถึงเลือกตั้งครั้งหน้า แต่เมื่อมีเสียงวิจารณ์เธอมากพอควรเธอก็ขอ ถอนตัว

          Caroline มีทั้งคนรักและไม่รัก พวกหลังเห็นว่าเธอเกิดมาเป็นอภิสิทธิชน ไม่ต้องออกแรงก็ได้ทุกสิ่งจากการเป็นลูก JFK เธอถูกจับผิดว่าจะเป็นวุฒิสมาชิกได้อย่างไร ไม่ลงคะแนนเลือกตั้งหลายครั้ง เวลาให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ก็พูดอะไรไม่ชัดเจน แถมพูด “you know” ตั้ง 168 ครั้งในการสัมภาษณ์ทางทีวีในเวลา 30 นาที

          เธอเป็นคนแรก ๆ ที่ออกมาสนับสนุน Obama ตั้งแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แถมเธอช่วยหาเสียงและหาเงินสนับสนุนอีกด้วย เธอชอบพอกับประธานาธิบดี Obama เป็นพิเศษ และเมื่อ John Roos อดีต CEO ของบริษัทใหญ่ใน Silicon Valley ซึ่งเป็นทูตอเมริกาประจำญี่ปุ่นครบเทอม ประธานาธิบดีก็ต้องการให้เธอไปเป็นทูตญี่ปุ่นแทน

          ในประเพณีการแต่งตั้งทูตของอเมริกานั้น มีการแต่งตั้งคนใกล้ชิดหรือผู้สนับสนุนทางการเงินเมื่อครั้งเลือกตั้งไปเป็นทูตในบางประเทศกันเป็นประจำ ในเทอมของประธานาธิบดี Obama ก็ได้มีการแต่งตั้งทูตในลักษณะนี้ไปประจำอิตาลี อาฟริกาใต้ และอังกฤษไปแล้ว (ปู่ของเธอก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตอังกฤษในลักษณะเดียวกัน)

          อย่างไรก็ดีชื่อเธอจะต้องผ่านการอนุมัติของกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภา ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาเพราะข่าวได้ออกมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2013 แล้ว และเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2013 ญี่ปุ่นก็ตอบรับมาอย่างเป็นทางการ

          มีคนวิจารณ์ว่าเธออ่อนหัดในเรื่องการทูต ตำแหน่งนี้มีความสำคัญอย่างมากเพราะญี่ปุ่นกำลังมีปัญหากับจีนในเรื่องความเป็นเจ้าของหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก สหรัฐอเมริกากำลังส่งสัญญาณว่าสหรัฐอเมริกาจะอยู่ข้างญี่ปุ่น ไม่ต้องการให้จีนแสดงอำนาจทางการทหาร และก็ไม่อยากให้ญี่ปุ่นไปแหย่หางเสือด้วยท่าทีก้าวร้าว (จีนกับญี่ปุ่นมีเรื่องกินใจกันในประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นฆ่าคนจีนถึง 300,000 คน ในเวลาเพียง 3 อาทิตย์ในนานกิงในปี 1937)

          สหรัฐอเมริกาต้องการให้ความสัมพันธ์ของมหามิตรในภูมิภาคคือญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แนบแน่นเพื่อเป็นแรงต้านอำนาจจีนไม่ให้มีอิทธิพลมากเกินไปในบริเวณนี้ แต่ญี่ปุ่นกับเกาหลีก็มีเรื่องกินใจกันในประวัติศาสตร์มายาวนานอีกเช่นกัน (เกาหลีถูกญี่ปุ่นยึดครองยาวนานตั้งแต่ 1910 ถึง 1945)

          การดำเนินการทูตของอเมริกาภายใต้เงื่อนไขที่เป็นผลพวงมาจากประวัติศาสตร์ดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ อย่างไรก็ดี Caroline ก็ไม่ธรรมดา เธอมีการศึกษาดี มีกึ๋น มีประวัติชีวิตที่ไม่ด่างพร้อย และการเป็นลูกสาว JFK นั้นมีความหมายมากเพราะคนญี่ปุ่นมีความผูกพันทางใจกับ JFK ภาพที่ลูกเล็ก ๆ 2 คนวิ่งเล่นอยู่ใกล้โลงศพพ่ออย่างไร้เดียงสาในพิธีศพนั้นตรึงใจคนทั่วโลกมายาวนาน

          ชาวโลกขอให้กำลังใจหญิงเก่งคนนี้ให้ทำงานสำเร็จเพื่อสันติภาพของโลก

จราจรจาการ์ต้าให้บทเรียน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27 สิงหาคม 2556

          รถติดเป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วโลก ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งในรูปของการใช้พลังงาน การสูญเสียเวลา การเผาไหม้ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ความสึกหรอของเครื่องยนต์เกินจำเป็น โอกาสที่เสียไปจากการเลือกเมืองอื่น ๆ ในการท่องเที่ยวและการประชุม ฯลฯ การแก้ไขก็ทำกันในหลากหลายรูปแบบอย่างน่าสนใจ

          จาการ์ต้าของอินโดนีเซียเป็นเมืองที่รถติดมากที่สุดในอาเซียนและมากที่สุดเมืองหนึ่ง ของโลก กรุงเทพมหานครของเรานั้นถึงแม้รถจะติดมากในความรู้สึกของเรา แต่ก็ถือได้ว่ายังไม่อยู่ในภาวะวิกฤติและไม่อยู่ในลีกเดียวกับจาการ์ต้า

          จาการ์ต้ามีประชากรใกล้เคียงกรุงเทพมหานครคือ 10 ล้านกว่าคน แต่ถ้านับประชากรในปริมณฑลเข้าด้วยแล้ว ตัวเลขก็จะขึ้นไปถึง 28 ล้านคน โดยอยู่ในอันดับ 17 ของ 200 เมืองใหญ่ในโลก (ขึ้นไปจากอันดับ 171 เมื่อ 4 ปีก่อน) จาการ์ต้าเติบโตในด้านประชากรเร็วกว่าปักกิ่ง กัวลาลัมเปอร์ และกรุงเทพมหานคร เมื่อปี 1960 จาการ์ต้ามีประชากรเพียง 1.2 ล้านคนเท่านั้น

          คนทำงานในจาการ์ต้าส่วนใหญ่อาศัยอยู่นอกเมืองซึ่งมีค่าเช่าถูกกว่าในเมือง เดินทาง มาทำงานใช้เวลาหนึ่งเที่ยว 1.5 ถึง 2 ชั่วโมง โดยใช้เวลายืนบนรถเมล์ประมาณ 1 ชั่วโมง และต่อรถเมล์เล็ก (minivans) อีก 0.5 ถึงเกือบชั่วโมง และเดินอีก 5-10 นาที

          ข้อมูลสำรวจการเดินทางของคนจาการ์ต้าพบว่าในจำนวนเที่ยวทั้งหมดของการเดินทางในแต่ละวัน ร้อยละ 40 หมดไปกับการเดินเท้า ร้อยละ 21 ใช้ไปกับรถเมล์ขนาดเล็ก ร้อยละ 13 กับรถมอเตอร์ไซต์ ร้อยละ 7.5 กับรถส่วนตัว ร้อยละ 5.4 กับรถเมล์ขนาดกลาง ร้อยละ 3.3 กับรถเมล์ขนาดใหญ่ ร้อยละ 2.9 กับมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ร้อยละ 2.1 กับจักรยาน ฯลฯ

          เหตุที่เราไม่เห็นการเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่เช่นรถไฟบนดิน รถไฟ ใต้ดิน รถโดยสารสาธารณะอย่างเป็นระบบ ฯลฯ ก็เพราะจาการ์ต้าไม่มีให้ใช้ การลงทุนส่วนใหญ่ที่ผ่านมาหมดไปกับการสร้างถนนเพื่อรองรับการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว

          จาการ์ต้ามีชื่อเสียงในเรื่องรถติดอย่างชนิดที่ชาวต่างชาติไม่ว่านักท่องเที่ยว นักลงทุน หรือนักธุรกิจครั่นคร้าม ถึงแม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาจราจรในเกือบทุกลักษณะแต่ก็ยังไม่เป็นผล

          เรื่องแรกที่ใช้แก้ไขปัญหาจราจรก็คือการสร้างเลนด่วนสำหรับรถโดยสารสาธารณะ ดังเช่นที่ใช้ได้ผลในอิสตันบุล นิวเจอร์ซี บริสเบน กวางเจา และหลายเมืองในอเมริกาใต้ ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อรถติดมากรถส่วนตัว มอเตอร์ไซต์ รถเมล์ขนาดเล็ก ก็จะเข้าไปวิ่งในเลนพิเศษนี้อัดกันแน่นจนรถโดยสารสายด่วนวิ่งไม่ได้

          เรื่องสองคือการเก็บค่าผ่านทางในบางถนนที่ติดขัดมากเพื่อทำให้มีโสหุ้ยเพิ่มขึ้นในการผ่านเข้าไปโดยเชื่อว่าจะจูงใจให้คนใช้ถนนนี้หันไปใช้เส้นทางอื่น อย่างไรก็ดีเมื่อทางการโดนคนสวดหนักก็ต้องเลิกไปในที่สุด เช่นเดียวกับการเลิกระบบห้ามรถที่มีบางเลขทะเบียนลงท้ายไม่ตรงกับวันที่กำหนดให้วิ่งในบางสาย

          ความคิดในเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ (electronic road price) เพื่อจงใจให้มี ค่าโสหุ้ยสูงขึ้นในการเข้ามาวิ่งในเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วนนั้นใช้ได้ผลในหลายประเทศเนื่องจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีบันทึกการวิ่งผ่านจุด จนปัจจุบันเป็นที่นิยมไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ (ประเทศแรกที่เริ่มใช้เมื่อ 30 กว่าปีก่อน) ลอนดอน สตอกโฮล์ม โตรอนโต มิลาน ดูไบ ฯลฯ การจะใช้ให้ได้ผลนั้นจำเป็นต้องมีเส้นทางอื่นที่ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเป็นทางเลือกจึงจะได้รับความร่วมมือ ปัจจุบันคนจาการ์ต้ากำลังรอรัฐบาลตัดสินใจวิธีแก้ไขปัญหาจราจรโดยใช้ตรรกะทางเศรษฐศาสตร์นี้อยู่

          เรื่องสามคือการพยายามแก้ไขปัญหาจราจรสารพัดรูปแบบที่ทำกัน ไม่ว่าจะเป็น ไฟจราจรอัตโนมัติ ตำรวจช่วยโบกรถ เพิ่มพื้นที่และช่องจราจร เพิ่มทางลัด ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้ผลเนื่องจากจาการ์ต้าไม่มีระบบทางด่วน ไม่มีรถไฟใต้ดิน ไม่มีระบบถนนวงแหวนรอบเมือง ฯลฯ

          เมื่อประชาชนอดทนกับการเดินทางแบบโหดร้ายทารุณเช่นนี้ไม่ไหว (บ้านเราเมื่อยี่สิบ ปีก่อนก็อยู่ในสภาพเดียวกัน) ก็เกิดแรงกดดันต่อรัฐบาล และเมื่อฐานะการคลังของประเทศมั่นคงขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจอินโดนีเซียดีขึ้นเป็นลำดับ รัฐบาลก็ตัดสินใจใช้เงิน 4,000 ล้านเหรียญลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดินช่วงแรก ทางด่วน รถไฟด่วน ทางยกระดับ รถไฟรอบเมือง ฯลฯ โดยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจร

          อย่างไรก็ดีโครงการเหล่านี้ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปีจึงจะเห็นผล และในช่วงเวลาของการก่อสร้างก็จะยิ่งทำให้การจราจรของสารพัดยานพาหนะที่วิ่งอยู่กว่า 9 ล้านคันในแต่ละวันติดขัดมากยิ่งขึ้น

          การจราจรมิได้แก้ไขได้ด้วยการเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง การเพิ่มผิวถนน สร้างระบบขนส่งมวลชน ฯลฯ แต่เพียงอย่างเดียว การปรับเปลี่ยนช่วงเวลาทำงาน การใช้รถยนต์ร่วมกัน ฯลฯ ตลอดจนการเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์จากเจ้าของผู้ได้อานิสงส์จากการเกิดขึ้นของระบบขนส่งมวลชนในบริเวณใกล้เคียง และเอาทรัพยากรนั้นมาช่วยแก้ไขปัญหาจราจร ก็ควรกระทำไปพร้อมกันด้วย

          การลงทุนแก้ไขปัญหาจราจรนั้นจะให้ผลตอบแทนมีมูลค่านับเป็นสิบเท่าในระยะเวลายาว ปัญหาที่สำคัญในปัจจุบันก็คือการหาเงินทุนในระยะสั้นเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของผู้อยู่อาศัยใน เขตเมือง

          การวางแผนการจราจรในทุกมิติก่อนหน้าที่จะเกิดปัญหาจราจรคือทางออกที่เหมาะสม การคอยให้เกิดปัญหาแล้วแก้ไขทำให้ปัญหารุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น ต้องใช้เงินมากขึ้น และยากต่อการแก้ไขยิ่งขึ้น