โลกนี้ไม่มีอีเมล์ฟรี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8
เมษายน 2557

Photo by Stephen Phillips – Hostreviews.co.uk on Unsplash

          บริการอีเมล์ของต่างประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น gmail / yahoo / hotmail ผู้ใช้บริการไม่ต้องเสียเงินแต่อย่างใดจนคิดว่าเป็นบริการฟรี แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้ฟรีจริงดังที่คิด เพราะ “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”

          วลี ‘โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี’ ผู้เขียนใช้หากินมากว่า 20 ปีแล้ว โดยตั้งเป็นชื่อหนังสือหลายภาค และนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในหลายบทความ ที่มาของวลีนี้ก็คือ ‘there’s no free lunch’ หรือไม่มีอาหารกลางวันที่ฟรี วลีภาษาอังกฤษนี้มีที่มาจากการที่โรงเตี้ยมในอังกฤษเมื่อ 200 กว่าปีก่อน มักติดป้ายว่า ‘free lunch’ แต่ถ้าหากผู้

          เข้าไปใช้บริการไม่ยอมจ่ายเงินสั่งอาหารอื่นเพิ่มด้วยก็จะถูกโยนออกมาข้างนอก ดังนั้นจึงทำให้เกิดวลีว่า ‘there’s no free lunch’ มีความหมายว่าไม่มีอะไรที่ฟรีจริง ๆ มันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่

          Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิลชื่อดังนำเอาวลีในภาษาอังกฤษนี้มาใช้ในเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีความหมายว่าไม่มีอะไรที่ฟรี กล่าวคือหากจะได้อะไรมาก็จำเป็นต้องเอาบางสิ่งหรือหลายสิ่งไปแลก

          สิ่งที่ Friedman เอามาใช้นี้เป็นสัจธรรมทางเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือทุกสิ่งที่ได้มาล้วนมีต้นทุนทั้งสิ้น ซึ่งมิได้หมายความว่าต้องเป็นตัวเงิน ตัวอย่างเช่นหากเอาที่ดินไปปลูกมะม่วง อาจได้มะม่วงมาก็จริงอยู่แต่ก็จำต้องเสียสละมะละกอซึ่งอาจปลูกได้แทนจากที่ดินผืนนี้ หรือพูดอีกอย่างว่าได้มะม่วงมาโดยเอามะละกอไปแลก อีกตัวอย่างก็คือการอ่านหนังสือที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงินก็ไม่ฟรีเพราะต้องเสียเวลาไปกับการอ่าน เวลาที่อ่านนี้สามารถเอาไปนอนได้ ดังนั้นจึงได้ความรู้จากหนังสือแต่จำต้องเอาการนอนไปแลก

          หากต้องการเป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิตก็ต้องเสียสละเวลาที่ควรเอาไปหาความสุขเพื่อเอามาใช้ทำงาน อยากมีรูปร่างสวยก็ต้องยอมเสียสละไม่กินอะไรตามใจชอบ อยากรักษาโรคให้หายก็ต้องยอมรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น อยากมีความรู้ดีก็ต้องยอมอดทนเอาเหงื่อและน้ำตาไปแลก ฯลฯ

          สำหรับบริการอีเมล์ก็เช่นเดียวกัน ตลอดเวลากว่า 15 ปีที่มีบริการนี้มา ผู้คน นับพันล้านคนในโลกใช้บริการกันอย่างกว้างขวางเพราะไม่เสียค่าบริการ โดยมิได้ตระหนักว่าต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัวมากมาย เนื่องจากผู้ให้บริการมีเทคโนโลยีในการประมวลข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อนำไปขายหรือใช้ประโยชน์ต่อ

          ในสัญญาที่ทุกคนรีบคลิกคำว่า ‘agree’ เมื่อเริ่มใช้บริการอีเมล์นั้น คนแทบจะทั้งหมดมิได้อ่านอย่างละเอียดว่าเขาสามารถเอาข้อความที่เราส่งและรับจากใครต่อใครนั้นไปใช้อะไรได้บ้าง และถึงแม้จะอ่านก็คงละเลยในเนื้อหาเพราะอยากใช้บริการที่เกือบจะเป็นสิ่งขาดไม่ได้ในชีวิตไปแล้ว

          วิธีการหลักที่ผู้ให้บริการใช้เพื่อหารายได้ก็คือมองหาคำหลัก ๆ เพื่อให้รู้ว่าผู้ใช้กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องอะไร ด้วยความถี่มากน้อยเพียงใด และในบริบทใด จากนั้นก็เอาบทสรุปของข้อมูลไปจับคู่กับสินค้าที่ผู้โฆษณาเชื่อว่าผู้ใช้บริการสนใจ

          ตัวอย่างเช่นถ้ามีการคุยกันถึงเรื่องการรักษาสุขภาพ การออกกำลังกาย ระหว่างผู้ใช้อีเมล์กันอยู่เนือง ๆ โดยใช้คำหลัก ๆ ในเรื่องนี้ เครื่องจักรที่แสนฉลาดก็จะตรวจจับได้และนำไปสังเคราะห์และจับคู่กับสินค้าประเภทอาหารสุขภาพที่ผู้โฆษณาแต่แรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้มีทางโน้มสูงที่จะซื้อสินค้านั้นอยู่ที่ใด แต่ตอนนี้ผู้ให้บริการรู้และจะจับคู่ให้โดยการโฆษณาสินค้านั้นจะไปปรากฏบนจอของผู้รับบริการนั้นอยู่บ่อย ๆ ข้อสังเกตก็คือผู้ให้บริการมิได้ทำสิ่งนี้ให้ผู้โฆษณาสินค้าโดยไม่เก็บเงินอย่างแน่นอน และนี่คือแหล่งรายได้ของผู้ให้บริการ

          นอกจากนี้ผู้ให้บริการอีเมล์ยังใช้วิธีการที่เรียกว่า ‘data mining’ หรือขุดเหมืองข้อมูล จากข้อความที่ส่งเข้าและส่งออกของผู้ใช้บริการคนหนึ่ง เมื่อตรวจจับ วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ข้ามเวลาก็จะได้ ‘หน้าตา’ ของผู้รับบริการว่าเป็นผู้มีรสนิยมสินค้าใดเป็นพิเศษ มีรายได้สักเท่าใด (หากโอนเงิน ถอนเงิน ยื่นภาษี พูดคุยถึงเรื่องรายได้ผ่านบริการอีเมล์) ‘หน้าตา’ ของผู้บริโภคเช่นนี้เป็นสิ่งหอมหวานในเชิงการตลาดเป็นอย่างยิ่ง

          การตรวจจับข้อมูลออกและเข้าเช่นนี้อุปมาเหมือนกับการหา ‘หน้าตา’ ของเจ้าของขยะจากการวิเคราะห์ขยะที่เขาทิ้ง ขยะจะบอกหมดว่าชอบกินผลไม้ใด กินน้ำผลไม้หรือไม่ ชอบกินเหล้าหรือกินเบียร์ ชอบกินเนื้อหรือกินปลา บริโภคผักมากน้อยแค่ไหน เป็นหนี้บัตรเครดิตมากน้อยเพียงใด กินยารักษาโรคอะไร ฯลฯ

          พูดสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือเจ้าของขยะหรือผู้ใช้บริการเกือบ ‘ล่อนจ้อน’ หมด หากขุดเหมืองข้อมูลนี้ได้ลึกจริง ๆ และสามารถถลุงสินแร่จากเหมืองนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          นี่คือสิ่งที่ผู้ใช้บริการอีเมล์ต้องจ่ายไปเพื่อแลกกับการได้ใช้บริการอีเมล์โดยไม่เสียค่าบริการ พูดอีกอย่างแบบเล่นโวหารก็คือใช้บริการโดยไม่ต้องจ่ายเงินแต่ไม่ฟรี

          ถ้าคิดว่าการสูญเสียความเป็นส่วนตัวเช่นนี้น่าตกใจ ลองพิจารณาคำให้การของ Edward Snowden อดีตผู้ทำงานให้ National Security Agency ของสหรัฐอเมริกาที่ระบุว่าทางการสหรัฐอเมริกามีโครงการชื่อ Prism ซึ่งเป็นโปรแกรมที่วิเคราะห์อีเมล์และข้อมูลสื่อสารทุกชิ้นในโลกไซเบอร์ ตลอดจนคำพูดที่สื่อสารกันทางโทรศัพท์ทั่วโลกและนำมาหาความเชื่อมต่อกันในเรื่องที่เป็นประเด็น เช่น การค้ายาเสพติด การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ฯลฯ หากคำกล่าวนี้เป็นจริงก็หมายความว่าความเป็นส่วนตัวของพวกเรานั้นแทบไม่เหลือเลย

          รัฐบาลจีนมีบริการอีเมล์ให้ประชาชนใช้ จีนมี facebook ในเวอร์ชั่นของจีนเองเนื่องจากไม่ไว้ใจอีเมล์อเมริกัน สำหรับคนไทยและข้าราชการไทยนั้นเราใช้บริการอีเมล์ต่างประเทศกันอย่างกว้างขวาง และน่าจะ ‘ล่อนจ้อน’ โดยมิได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดต่อประเทศ

          ปัจจุบันสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. มีบริการอีเมล์ MailGoThai สำหรับให้ข้าราชการไทยสื่อสารถึงกัน ปัจจุบันมีผู้ใช้ประมาณกว่า 230,000 คน ซึ่งถือว่ายังต่ำอยู่มาก

          บริการอีเมล์นั้นสะดวก ไม่เสียค่าบริการ แต่อย่าได้คิดเลยแม้แต่ขณะจิตว่ามันเป็นของฟรี…..เพราะ ‘โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *