โศกนาฏกรรมของทรัพยากร และชุมชน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 กันยายน 2556

          ชะตากรรมจากการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างไม่มีขอบเขตอันนำไปสู่ความเจ็บปวดนั้นเป็นที่ยอมรับกันในแวดวงวิชาการ แต่มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งเชื่อมั่นในสปิริตของการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ออกมาบอกว่าชุมชนนี่แหละสามารถร่วมมือกันหลีกหนีโศกนาฏกรรมนี้ได้

          ในปี 1968 นิตยสาร Science ได้ตีพิมพ์บทความซึ่งต่อมามีการกล่าวขวัญถึงทั่วโลกของ Garrett Hardin ชื่อ “The Tragedy of the Commons”

          ข้อเขียนพยายามอธิบายว่าเหตุใดปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงยากที่จะแก้ไขได้ Hardin ผู้ประดิษฐ์วลี “โศกนาฏกรรมของการใช้ทรัพยากรร่วมกัน” ซึ่งเป็นชื่อของบทความนี้อธิบายว่า ลองจินตนาการว่าที่ดินแปลงหนึ่งที่ “เป็นของทุกคนจนไม่มีใครเป็นเจ้าของ (อย่างแท้จริง)” “เปิดกว้างสำหรับทุกคน” ถูกใช้เป็นที่เลี้ยงวัว สถานการณ์เช่นนี้จะจูงใจให้แต่ละคนเอาวัวเข้าไปเลี้ยง เพราะวัวทุกตัวที่นำไปเลี้ยงจะนำกำไรมาสู่เจ้าของ จำนวนวัวก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงจูงใจ

          ด้วยการเป็นที่ดินซึ่งมีพื้นที่จำกัดและทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ จะทำให้ไม่สามารถใช้เลี้ยงวัวได้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่จำกัดจำนวน ณ จุดหนึ่งที่มีจำนวนวัวมากเกินไป ระบบธรรมชาติก็จะล้มเหลว ความเสี่ยงที่จะเกิดผลเสียขึ้นเช่นนี้สังคมจะเป็นผู้รับไปไม่ใช่ผู้เลี้ยงแต่ละคน

          ในบริบทดังกล่าว Hardin เรียกจุดจบที่เขาเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้ ว่าโศกนาฏกรรม (tragedy) ซึ่งมิได้สื่อถึงความเศร้า หากหมายถึงการไม่สามารถหลีกหนีสภาวการณ์เสียหายนี้ได้

          Hardin มิใช่คนแรกที่เห็นปรากฏการณ์นี้ หากเขาสามารถให้คำอธิบายประกอบวลีใหม่ได้อย่างกะทัดรัดและโดนใจผู้คน เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนหน้านี้ Aristotle ได้เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว

          เศรษฐศาสตร์ตอบรับไอเดียนี้อย่างอบอุ่นเป็นเวลาหลายสิบปีเพราะสอดคล้องกับปัญหาความไม่ชัดเจนของสิทธิความเป็นเจ้าของ (property rights) ในกรณีที่ทรัพยากรเป็น ‘สมบัติร่วมกัน’ เศรษฐศาสตร์เสนอให้ใช้มาตรการที่ช่วยทำให้ความเป็นเจ้าของปรากฏชัดเจนขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา

          ตัวอย่างเช่นการให้เช่าที่ดินสาธารณะหรือการแบ่งพื้นที่ป่าให้ชุมชนเป็นเจ้าของ ในกรณีของการเช่า ผู้เช่าหรือ “เจ้าของ” จะดูแลผลประโยชน์เป็นอย่างดีมิให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่เกินความเหมาะสมจนนำไปสู่ความล้มเหลวของสิ่งแวดล้อม

          ถ้าที่ดินแปลงเดียวกันนี้แบ่งออกเป็นแปลง ๆ ให้เช่า ผู้เช่าก็จะต้องควบคุมให้จำนวนของวัวที่นำมาเลี้ยงและกินหญ้าอยู่ในระดับพอดี หรือกรณี “เจ้าของ” ป่า ก็จะมีการดูแลไม่ให้ใครมาขโมยตัดไม้ หรือใช้ประโยชน์จากป่าอย่างผิดกฎหมาย

          อย่างไรก็ดีในปี 1965 สตรีผู้หนึ่งคือ Lin Ostrom ผู้เรียนจบปริญญาเอกจาก UCLA ด้าน Political Science ได้เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการจัดการน้ำโดยศึกษาความร่วมมือกันของประชาชนฝ่ายต่าง ๆ ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ซึ่งได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาการสูบน้ำสะอาดจากฟาร์มและแหล่งต่าง ๆ มาทำน้ำประปาของเมือง Los Angeles

          เธอพบว่าประชาชนสามารถจัดการแก้ไขปัญหาการมีทรัพยากรอันจำกัดได้กันเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเสมอไปดังที่ Hardin กล่าวไว้ ชุมชนทั้งหลายร่วมกันหาข้อตกลงและร่างสัญญาแบ่งสรรน้ำและกำหนดกติกาใช้น้ำร่วมกันได้อย่างประสบผลสำเร็จ

          เธอไม่เห็นด้วยกับบทสรุปของ Hardin ที่ระบุว่าโศกนาฏกรรมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ภาครัฐเข้ามาจัดการไม่ให้เป็นทรัพยากรที่ชุมชนเป็นเจ้าของร่วมกันอีกต่อไป หรือกลายเป็นของรัฐ หรือจัดการโดยภาคเอกชน เธอมั่นใจในการร่วมมือกันของชุมชนที่จะแก้ไขปัญหาของการมีทรัพยากรที่ต้องใช้ร่วมกัน

          ยิ่งศึกษาทั่วโลกเธอก็พบว่ามีชุมชนอยู่ทั่วโลกที่ร่วมกันแก้ไขปัญหา (ตัวอย่างการจัดการทุ่งหญ้าในสวิสเซอร์แลนด์ การจับกุ้งมังกรในรัฐ Maine การจัดการใช้ป่าในศรีลังกาและน้ำในเนปาล) โดยเธอคิดว่า ‘สมบัติร่วมกัน’ (commons) นี้ มิได้เหมือนกันไปทั้งหมด แต่ละแห่งก็มีลักษณะแตกต่างกันไปและชุมชนก็ร่วมมือกันในลักษณะที่แตกต่างกันไปด้วย

          ‘สมบัติร่วมกัน’ เป็นของชุมชนร่วมกัน ดังนั้นชุมชนจึงสมควรจัดการกันเอง ทุกคนเป็นเพื่อนบ้านกัน มีผลประโยชน์ร่วมกันและมีตัวอย่างแล้วว่าสามารถจัดการได้ การมีบทบาทของภาครัฐไม่ใช่คำตอบ


          ชาวนาสวิสของหมู่บ้าน Torbel มีกฎระเบียบในเรื่องการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม มีบทลงโทษปรับเพื่อจัดการใช้ทุ่งนาและทุ่งหญ้าตลอดจนใช้ไม้ฟืนมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 นอกจากนี้ยังมีชาวประมงของเมือง Alanya ในตุรกีที่จับฉลากกันทุกกันยายนของปีเพื่อสิทธิจับปลาในฤดูหน้า

          เธอได้ศึกษาไปทั่วโลกและบันทึกสิ่งที่เธอพบเพื่อยืนยันบทบาทของชุมชนในการแก้ไขปัญหา ‘สมบัติร่วมกัน’ งานของเธอมีนัยยะสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในระดับโลกว่าไม่ใช่วิธี top-down เธอเห็นว่าการลงนามของผู้นำเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกร้อนในระดับโลกเป็นความผิดพลาดเพราะปัญหาการใช้ร่วมกันมันซับซ้อนจนต้องแก้ไขจากชุมชนขึ้นมาแบบ bottom-up

          Lin Ostrom เป็นสตรีคนแรกที่รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2009 เธอเสียชีวิตในวัย 78 ปี เมื่อ 3 เดือนก่อน โดยข้างเตียงของเธอก่อนเสียชีวิตมีร่างวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่เธอกำลังตรวจแก้ไขให้ลูกศิษย์

          Garret Hardin และภรรยาเสียชีวิตอย่างตั้งใจพร้อมกันในปี 2007 หลังจากแต่งงานมา 62 ปี และทนทุกข์ทรมานโรคร้ายมานานปี

          ถึงแม้ทั้งสองจากไปแล้ว แต่ก็ได้ทิ้งข้อคิดสำคัญไว้อย่างน่าชื่นชมเกี่ยวกับการระมัดระวังการใช้ “สมบัติร่วมกัน” ของชาวโลกและการแก้ไขปัญหาทรัพยากรของโลกด้วยปัญญาของชุมชน