คิดบนเส้นทางลบ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 พฤศจิกายน 2556

          หลายอย่างในชีวิตเราไม่รู้ชัดเจนว่าทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ แต่เรารู้ว่าต้องไม่ทำอะไรจึงจะบรรลุผลสำเร็จ วิธีคิดเช่นนี้เป็นประโยชน์มากหากรู้จักนำไปใช้

          Role Dobelli เล่าไว้ในหนังสือชื่อ The Art of Thinking Clearly (2013) ว่าครั้งหนึ่งสันตะปาปาซึ่งเป็นผู้จ้างรายใหญ่ในการผลิตงานศิลปะได้ถาม Michelangelo ศิลปินเอกของโลกร่วมสมัยกับ Leonardo De Vinci เมื่อ 500 กว่าปีก่อนว่า “ช่วยบอกความลับของการเป็นอัจฉริยะของท่านหน่อยเถอะว่าทำอย่างไรจึงสามารถสร้างสรรรูปปั้นเดวิด (The Statue of David) ซึ่งเป็นงานชิ้นเอกของชิ้นเอกทั้งหมดได้” คำตอบของ Michelangelo ก็คือ “ง่ายนิดเดียว ผมก็สกัดทุกสิ่งที่ไม่ใช่ David ออกไป”

          รูปสลักหินอ่อน David ซึ่งเป็นชายเปลือยยืนอยู่คนเดียว มือขวาแนบลำตัวและมือซ้ายจับผ้าผืนเล็กที่พาดอยู่บนบ่าซ้าย ว่ากันว่าเป็นรูปสลักที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก David ในที่นี้เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ David ในคัมภีร์ไบเบิล และ David คนนี้แหละที่สู้กับ Goliath

          รูปสลักนี้ Michelangelo เป็นเจ้าของผลงาน ใช้เวลาสร้างระหว่าง ค.ศ. 1501-1504 ตลอดเวลากว่า 500 ปีรูปสลักนี้ได้รับความสนใจจากชาวโลกมาตลอด ปัจจุบันก็ยังเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่หลั่งไหลไปอิตาลีเพื่อชื่นชม

          คำพูด “ต้องสกัดทุกสิ่งที่ไม่ใช่ David ออกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งรูปสลัก David” ของ Michelangelo ฟังดูแล้วเวียนหัวเสมือนการตีโวหารเล่นกับสันตะปาปา แต่จริง ๆ แล้วเขาหมายความถึงวิธีคิด ซึ่งต่อมามีชื่อเรียกว่า Via Negativa

          แนวคิด Via Nagativa หมายถึงเส้นทางลบ หรือเดินทางการปฏิเสธ หรือเส้นทางของการตัดออกไป หรือเส้นทางของการตัดลด เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่ยุคกรีกโรมัน และสืบทอดมาจนถึง ทุกวันนี้

          ในเส้นทางนี้เราไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ เพราะเราไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ แต่เรารู้ชัดเจนว่าอะไรจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ การตระหนักเช่นนี้ทำให้เราเห็นว่า negative knowledge (what not to do) อาจเป็นพลังสำคัญมากกว่า positive knowledge (what to do) ด้วยซ้ำ

          ไม่เชื่อลองพิจารณาแนวคิดของศีล 5 ก็ได้ ทั้งหมดเป็นการห้าม เริ่มตั้งแต่งดเว้นการ ฆ่าสัตว์ งดเว้นการลักขโมย งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม งดเว้นการกล่าวเท็จ และงดเว้นการดื่มสุราเมรัย การไม่ทำสิ่งเหล่านี้จะทำให้มีชีวิตอยู่ในครรลอง ไม่เกิดปัญหา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการห้ามในเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

          ข้อสอบแบบปรนัยมีคำตอบให้เลือกก็อาจใช้ Via Negative ช่วยได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าข้อใดถูกต้องแต่ก็มีหลายข้อที่รู้ว่าไม่ใช่คำตอบแน่นอน จึงสามารถขจัดข้อไม่ถูกออกไปจนเหลือข้อให้คาดเดาน้อยลง โอกาสตอบถูกต้องก็มีมากขึ้น

          Michelangelo บอกสันตะปาปาว่าไม่รู้เหมือนกันว่าจะสร้างสรร David อย่างไร รู้แต่เพียงว่าสกัดส่วนที่คิดว่าไม่ใช่ David ออกไปทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่เหลือก็คือรูปสลักที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก (มีไม่กี่ครั้งที่รูปปั้นหรือรูปสลักชายเปลือยชนิดเห็นอวัยวะเพศได้รับความนิยมจากทุกเพศ ไม่ว่าเพศที่ 1 หรือ 2 หรือ 3)

          การคิดของมนุษย์ก็เหมือนกัน เราถูกหลอกเพราะสิ่งลวงตามากมาย จนไม่รู้ว่าการคิดที่ถูกต้องคืออะไร รู้แต่เพียงว่าต้องตัดสิ่งที่ลวงออกไปให้มากที่สุด ก็จะทำให้ได้การคิดที่ผิดพลาดน้อยที่สุด

          ตัวอย่างเช่นเราถูกลวงตาเพราะ Halo Effect กล่าวคือเมื่อเราเห็นชายหรือหญิงมีความงามเป็นพิเศษ ใจเราก็จะถูกครอบงำโดยความงามนั้นจนลักษณะประกอบพิเศษอื่น ๆ ถูกมองข้ามไป ถ้าประยุกต์ไปไกลอีกหน่อย ความร่ำรวย (หรือคิดว่าร่ำรวยเพราะเห็นใช้ของหรือขับรถราคาแพง) การศึกษา ชาติกำเนิด บุคคลิก ความสามารถ ฯลฯ ก็สร้าง Halo Effect ได้เช่นกัน

          “การเชื่อว่าคนรวยแล้วไม่โกง” “คนหน้าตาดีมักเป็นคนฉลาดไว้ใจได้” “เก่งอย่างนี้ต้องดีด้วยแน่” ล้วนเป็นผลพวงจาก Halo Effect ที่ทำให้การคิดตัดสินใจของเราผิดพลาดอยู่บ่อย ๆ

          อีกลักษณะหนึ่งของการลวงก็คือเรามักเชื่ออย่างที่เราอยากจะเชื่ออย่างขาดเหตุผล เช่น ชื่นชมเทิดทูนว่าคน ๆ หนึ่งเก่ง เป็นคนดี ก็จะปักใจอย่างนั้น มิใยที่มีหลักฐานท่วมท้นที่เป็นอย่างอื่น อย่างนี้เรียกว่าหลอกตัวเองได้มีประสิทธิภาพกว่าถูกคนอื่นหลอก

          ถ้าเราตระหนักว่าตัวอย่างสองปรากฏการณ์นี้ลวงใจเราได้จริง ๆ เราก็ต้องระมัดระวัง และในที่สุดเราก็จะได้การคิดที่ปราศจากการถูกลวงมากที่สุด

          มนุษย์เราได้ยินแต่ว่าการคิดที่เป็นบวก (positive thinking) จะสร้างพลังและสิ่งงดงามก็จะตามมาซึ่งเป็นวิธีคิดที่ไม่ผิด อย่างไรก็ดียังมีแนวคิดชนิดที่เป็นลบ (Via Negativa) (ซึ่งมิใช่ทิศทางตรงกันข้ามกับแนวคิดบวกดังกล่าว) ที่อาจช่วยให้ตัดสินใจได้ผิดพลาดน้อยที่สุด

          แนวคิดลบนี้เน้นการคำนึงถึงสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร ฯลฯ กล่าวคือไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าอะไรที่ไม่ใช่มัน

          ผมบอกไม่ได้ชัดเจนว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งมีเสน่ห์น่ารัก แต่ผมรู้ว่าสิ่งใดที่ เธอทำแล้วหมดเสน่ห์ไม่น่ารัก เช่น สูบบุหรี่ จู้จี้จุกจิกกับการไปไหนมาไหนของผม ชอบข่มผมต่อหน้าคนอื่น เรื่องมาก ขี้หึงอย่างไร้เหตุผล เอาแต่ใจตัว ฯลฯ

          Via Negativa ไม่เพียงแต่ให้คำแนะนำที่ดี ๆ แก่หญิงเท่านั้น หากยังสามารถเป็นประโยชน์แก่ชายอีกด้วย เพราะผู้หญิงเขาก็รู้เหมือนกันว่าชายที่เรียกว่าดีนั้นไม่สมควรทำอะไรบ้าง