ธรรมชาติอำนาจเหนือ

วรากรณ์ สามโกเศศ
18 มกราคม 2565

​เมื่อก่อนมนุษย์ผยองในความสามารถของตนเองจนบ่อยครั้งลืมไปว่าธรรมชาติมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง ‘โควิด’ ช่วยเตือนให้เห็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง ผู้เขียนได้พบเรื่องซึ่งยืนยันความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

เรื่องแรก คือความสำคัญของสีฟ้าในการทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่รอด การที่มนุษย์จำนวนมากชอบสีฟ้านั้นอาจเนื่องมาจากความชื่นชมในใจเกี่ยวกับสีฟ้าของท้องฟ้าและของน้ำสะอาด ซึ่งมีความหมายไปในทางที่ดี ผึ้งก็เหมือนกันชอบสีฟ้ามากถึงแม้จะไม่ค่อยมีดอกไม้สีฟ้าให้บินเข้าไปดอมดมมากก็ตาม ผึ้งทำให้เกสรผู้และเมียผสมกันเกิดเป็นผลและเป็นอาหารของมนุษย์ ซึ่งหนึ่งในสามของอาหารทั้งหมดมาจากกระบวนการนี้

ความคลั่งไคล้สีฟ้าของมนุษย์มีมานานแล้ว มีหลักฐานจากอารยธรรมอียิปต์เมื่อ 5,000 กว่าปีก่อนว่าคนสมัยนั้นชอบสีฟ้าเป็นพิเศษ เช่น ดอกบัวสีฟ้า มีการตกแต่งประดับวัตถุต่าง ๆ รวมถึง เครื่องประดับด้วยสีฟ้าโดยการบดหินสีฟ้า เช่น lapis lazuli และ turquoise เป็นผงแล้วนำมาตกแต่ง

การย้อมผ้าฝ้ายด้วยครามเพื่อให้ได้สีน้ำเงินมาจากยุคเก่าแก่ของเปรูเมื่อ 6,000 ปีก่อนแล้วมาถึงอินเดียในคริสตศตวรรษที่ 16 จนมีบทบาทในสีของเสื้อผ้าที่เราใส่กันทุกวันนี้เช่นกางเกงยีนส์และ เสื้อฟ้าสีโทนฟ้าจากการย้อมด้วยครามและสีวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน

นักวิชาการสนใจเรื่องสีฟ้ากับแมลงเป็นพิเศษเพราะมีนัยสำคัญด้านอาหาร ได้ตรวจสอบและไม่พบดอกไม้สีฟ้าใดเลยซึ่งไม่ต้องอาศัยการผสมเกสรด้วยผึ้ง แต่พบว่ามีดอกไม้สีฟ้าจำนวนไม่มากนักที่อาศัยมันเป็นตัวช่วยผสม

​ ธรรมชาติสอนให้พืชรู้ว่าหากไม่มีการผสมของเกสรก็จะอยู่ไม่รอด ดังนั้นต้นไม้ที่ออกดอกไม้สีฟ้าจึงมักอยู่ในบริเวณที่มีภาวะค่อนข้างแร้นแค้นทางธรรมชาติเช่นบริเวณเทือกเขาหิมาลัย มีการพบดอกไม้สีฟ้ามากโดยเปรียบเทียบกับบริเวณอื่น ๆ ต้นไม้ต้องแข่งขันกันดึงดูดผึ้งให้มาช่วยผสมเกสรด้วยการพยายามปรับตัวให้มีการผลิตดอกสีฟ้าข้ามระยะเวลาเพื่อความอยู่รอด

​ ทำไมจึงมีดอกไม้สีฟ้าจำนวนไม่มากในโลกให้ผึ้งช่วยผสมพันธุ์? คำตอบอาจเป็นว่าธรรมชาติไม่ต้องการให้พืชขยายพันธุ์มากเกินไปเพราะแค่ดอกไม้สีแดง เหลือง และอื่น ๆ ผึ้งก็ผสมเป็นว่าเล่นแล้ว ถ้าเป็นดอกไม้สีฟ้าอีกแยะ ๆ ผึ้งคงบ้าไปแน่เพราะเป็นสีที่ชอบเป็นพิเศษ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมผึ้งจึงชอบสีฟ้า

ในสภาพการณ์ปัจจุบันที่จำนวนผึ้งและแมลงทั่วโลกมีน้อยลงเป็นลำดับอันเนื่องมาจากฝีมือมนุษย์ในการตัดถางป่า การเกษตร การสร้างถิ่นฐาน ฯลฯ และวิกฤตการณ์โลกร้อน มนุษย์จึงต้อง ใส่ใจกับการมีสีฟ้าของดอกไม้มากเป็นพิเศษเพื่อให้เกิดการผสมของเกสรด้วยผึ้ง การทำสวนดอกไม้ที่มีสีฟ้าอันถูกใจทั้งคนและผึ้งจึงเป็นการช่วยเหลือโลกทางอ้อม การปรับปรุงพันธุ์ของพืชเศรษฐกิจให้ดอกมีสีฟ้าหรือมีสีฟ้าผสมมากขึ้นเพื่อดึงดูดผึ้งจึงไม่ใช่เรื่องที่อยู่ไกลตัว

เรื่องที่สอง ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองมายาวนานในสมัยรัชกาลที่ 4 ภาพช้างอยู่บนธงชาติสยาม เป็นพาหนะในการขนส่งและในการทำสงครามอีกด้วย ไม่กี่ปีมานี้มีการพบว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่แปลกมากเพราะมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมากอย่างสวนทางกับความเข้าใจของมนุษย์มายาวนาน กล่าวคือมะเร็งเป็นผลพวงจากการแบ่งตัวของเซลล์ในร่างกายที่เกิดจากความผิดปกติและการกลายพันธุ์นี้นำไปสู่เนื้องอกที่ไปขัดขวางระบบการทำงานของร่างกายและการทำงานของอวัยวะตามปกติจนเกิดความเจ็บป่วยขึ้น ตรรกะในเรื่องนี้ก็คือเมื่อสัตว์ตัวใหญ่ขึ้นก็มีจำนวนเซลล์มากขึ้น โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติในการแบ่งตัวของเซลล์ก็น่าจะมีมากขึ้น แต่ปรากฏว่าถึงแม้ช้างจะมีจำนวนเซลล์มากกว่ามนุษย์ประมาณ 100 เท่า มีอายุ 60-70 ปี แต่เป็นมะเร็งน้อยมาก

ในปลายคริสตศตวรรษที่ 20 จึงได้ข้อสรุปว่าสัตว์มีโอกาสเป็นมะเร็งไม่เท่ากัน โดยโอกาสที่เป็นไม่ผูกพันกับขนาดหรืออายุขัย สัตว์บางชนิดมีกลไกของร่างกายอันเกิดจากลักษณะพิเศษทางพันธุกรรมในการควบคุมมะเร็งที่แตกต่างกัน ช้างมียีนส์ที่มีชื่อเรียกว่า TP53 อยู่ 40 ก็อปปี้ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเติบโตของเซลล์เนื้องอกไม่ให้ลุกลามขยายตัว ซึ่งต่างจากมนุษย์และสัตว์อื่นที่มีเพียง 2 ก๊อปปี้ นอกจากนี้ช้างยังมีกลไกต่อสู้มะเร็งอีกด้วยกล่าวคือเซลล์ของช้างตอบรับจากการสัมผัสกับสารที่ทำลาย DNA อย่างแตกต่างออกไป แทนที่จะซ่อมแซมความเสียหายแต่กลับทำให้เซลล์นั้นตายไปเลย ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยกว่าเพราะเซลล์ที่พยายามซ่อมแซมตัวเองมีโอกาสที่จะกลายพันธุ์ และกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นช้างจึงมีโอกาสเป็นมะเร็งเพียง 5%

สัตว์อื่น ๆ ที่มีโอกาสเป็นมะเร็งได้น้อยมากได้แก่ม้า วาฬ ค้างคาว กระรอกเทา ฯลฯ สำหรับสัตว์อื่น ๆ นั้นมีโ อกาสเป็นมะเร็งแตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปสัตว์ส่วนใหญ่มีโอกาสเป็นมะเร็งในชีวิตประมาณ 20-40% มนุษย์มีโอกาส 50% สุนัขมีโอกาสเป็นมะเร็งตามพันธุ์ที่แตกต่างกัน มากกว่าครึ่งหนึ่งของพันธุ์ golden retrievers ตายด้วยมะเร็ง พันธุ์ Scottish terriers มีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากกว่าสุนัขทั่วไป 18 เท่า พันธุ์ Irish wolfhounds มีโอกาสเป็นมะเร็งในกระดูกมากกว่าสุนัขทั่วไป 100 เท่า

สัตว์ที่ประหลาดที่สุดและน่าเกลียดที่สุดคือ blind naked mole rats หนูพันธ์นี้มีขนาดประมาณ 5 นิ้ว ไม่มีขน ตัวมีสีชมพู ไม่มีตา อาศัยอยู่ในรูแถบตะวันออกของอาฟริกา มีอายุยืนถึง 30 ปี โดยแทบไม่เป็นมะเร็งเลย นักวิชาการกำลังศึกษากลไกในร่างกายที่ทำให้รอดจากมะเร็งเพื่อเอามาประยุกต์กับมนุษย์ งานวิจัยมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ

สองเรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่ว่ามนุษย์จะพยายามแก้ไข เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมาอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะได้ทั้งหมดธรรมชาติยังคงมีอำนาจเหนือมนุษย์อยู่เสมอ ถ้ามนุษย์ปรารถนาอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีกนาน ๆด้วยการต่อสู้กับธรรมชาติ ก็ต้องกระทำด้วยความเคารพธรรมชาติในระดับหนึ่ง และยอมสยบต่อความจริงที่ว่า “ธรรมชาติมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง” เสมอ