อยู่กับความจริง ไม่ทิ้งความฝัน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
สิงหาคม 2556

          เกือบทุกคนมีความฝันด้วยกันทั้งนั้น ฝันว่าจะรวย มีชื่อเสียง มีอาชีพนั้น ๆ เป็นที่ยอมรับและชื่นชอบของผู้คน ฯลฯ แต่บ่อยครั้งที่เราเห็นผู้คนหลุดลอยไปกับความฝันของตัวเองอย่างไม่อยู่กับความจริง จนในที่สุดไม่บรรลุความฝันใด ๆ ทั้งสิ้น ทำอย่างไรที่เราจะมีความฝันโดยไม่หลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริง

          ในภาษาไทย “ความฝัน” มีสองความหมาย หนึ่งหมายถึงสิ่งที่เราฝันในยามที่เราหลับ กับอีกความหมายคือความหวังหรือความใฝ่ฝันที่อยากให้เกิดขึ้นในอนาคต ในที่นี้เรากำลังพูดถึงความฝันในความหมายที่สอง

          คนที่จะมีความฝันได้นั้นจะต้องเป็นคนมีความทะเยอทะยาน อยากมีและอยากเป็น ส่วนคนเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ อยู่ไปวัน ๆ จะไม่มีความฝัน เนื่องจากผูกพันอยู่แต่กับปัจจุบันโดยมิได้คำนึงถึงอนาคต ดังนั้นการเป็นคนมีความฝันจึงไม่มีอะไรเสียหาย

          อย่างไรก็ดีถ้าบุคคลหนึ่งมีความคิดพัวพันอยู่แต่กับอนาคตที่อยากเป็นอย่างไม่ใส่ใจกับความเป็นจริงในปัจจุบันและอดีตซึ่งเป็นที่มาของปัจจุบันแล้วก็คือการไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่าลืมว่าการจะเป็นอย่างไรในอนาคตนั้นผูกพันโยงใยกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

          มนุษย์ที่มีปัญญาจะนึกถึงปัจจุบันและอนาคตมากกว่าจมปลักอยู่กับอดีต ฝรั่งบอกว่าอดีตคือสิ่งที่ตายไปแล้ว อนาคตคือสิ่งที่ยังไม่เกิด ปัจจุบันเท่านั้นคือสิ่งที่มีชีวิตอยู่ คนที่มีความฝันคือคนที่ให้ความสำคัญกับชีวิตปัจจุบันโดยมองไปถึงอนาคต

          มนุษย์ต้องฝันถึงสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริง คนผอมตัวเตี้ยสูง 150 เซนติเมตรในวัย 30 ปี ฝันว่าจะเป็นแชมป์มวยปล้ำของโลก คือ ความเพ้อฝัน

          หญิงวัยปลาย 20 ที่เพียงเดิน 100 เมตรก็หอบแล้ว หากฝันว่าจะเป็นนักวิ่งลมกลดก็เป็นความเพ้อฝัน เช่นเดียวกับหญิงวัยรุ่นผู้ชอบอยู่ในโลกคนเดียวและไม่ชอบการปรับตัว ฝันว่าจะเป็นแอร์โฮสเตสซึ่งเป็นงานบริการผู้คนทุกระดับก็เป็นความเพ้อฝันอีกเช่นกัน

          อย่างไรก็ดีในบางกรณีความฝันบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นจริงก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในปี 2008 เด็กตาบอดชาวทิเบต 6 คน กับพี่เลี้ยงซึ่งมาจากหลากหลายประเทศ 8 คน สามารถทำให้ความฝันของเด็กตาบอดเป็นจริงได้ด้วยการปีนเขาจนเกือบขึ้นไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ของเทือกเขาหิมาลัย

          ในหลายกรณี ความฝันกับความเพ้อฝันซึ่งไม่อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงมีเส้นแบ่งบาง ๆ ที่มองไม่เห็นคั่นอยู่ การจะรู้ว่าเราอยู่กับความฝันที่อยู่กับความเป็นจริงหรืออยู่กับความเพ้อฝัน มีขั้นตอนหลักให้ตรวจสอบอยู่อย่างน้อย 3 ขั้นด้วยกัน

          ข้อที่หนึ่ง จงตรึกตรองว่าอะไรคือความฝันของเรา ความฝันของเราชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมเท่าใดก็จักได้รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างจึงจะถึงความฝันนั้นได้ ถ้ามันเป็นเพียงความฝันเบลอ ๆ ก็เป็นการยากที่จะบรรลุความฝันนั้นได้ เพราะเมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจนก็ไม่รู้จะเดินทางไปถึงได้อย่างไร

          ข้อที่สอง พึงตรวจความเป็นไปได้ในการบรรลุความฝันอย่างจริงใจ ดังกรณีของคน ตัวเตี้ยในวัย 30 ปี ที่อยากเป็นแชมป์มวยปล้ำ หากตรวจสอบแล้วมีความเป็นไปได้ต่ำมากก็จงละทิ้งความฝันนั้นเสีย และเลือกฝันในเรื่องอื่นที่พอจะเป็นไปได้

          ข้อที่สาม เมื่อความฝันชัดเจนและมีโอกาสแห่งความบรรลุความฝัน สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการพิจารณาว่าจะต้องทำอะไรเพื่อให้เดินทางถึงเป้าหมายนั้น และตรวจสอบว่าเราสามารถกระทำสิ่งที่จำเป็นนั้นได้หรือไม่

          สมมุติว่าความฝันคืออยากเป็นนักร้องมีชื่อเสียงดังก้องประเทศ เมื่อเข้าใจความฝันของตนเองอย่างชัดเจนแล้วต่อไปก็คือตรวจสอบอย่างจริงใจว่าตนเองมีคุณลักษณะพอที่จะเป็นนักร้องระดับนั้นหรือไม่ กล่าวคือมีน้ำเสียง มีหน้าตา มีบุคลิก ฯลฯ รวมกันแล้วเรียกว่าพอไปได้หรือไม่

          หากผ่านขั้นที่สองคือมีแววแล้วก็ถึงขั้นที่สามคือต้องตรึกตรองว่าต้องทำอะไรบ้าง และเราสามารถกระทำสิ่งที่จำเป็นเหล่านั้นเพื่อให้บรรลุฝันได้หรือไม่ กล่าวคือต้องฝึกหัดเป็นเวลายาวนาน อดนอน ตรากตรำ บากบั่นมานะ ฯลฯ จึงจะได้เป็นนักร้องมีชื่อเสียง และเราสามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ตัวอย่างในเรื่องการอดทนและอดกลั้นเช่น ต้องไม่กินอาหารรสจัด ไม่กิน ของเย็น ไม่กินอาหารมากเกินไป ไม่เที่ยวดึกดื่น ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฯลฯ ถ้าตอบว่าทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ก็จงเลิกความฝันนั้นเสีย และปรับลงมาเป็นนักร้องระดับครอบครัวและญาติมิตรในคาราโอเกะแทน

          ทุกคนจงฝันเพราะมันเป็นความหวังที่บันดาลให้ทุกคนมีกำลังใจ คนขาดกำลังใจก็เปรียบเสมือนคนขาดอ๊อกซิเจน เพียงแต่ต้องตระหนักเสมอว่าความฝันนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ ต้องทำอะไรเพื่อให้บรรลุความฝัน และสามารถทำสิ่งที่จำเป็นทั้งยากลำบากเพื่อให้ความฝันนั้นเป็นจริงได้หรือไม่

          จงมีความฝันพร้อมกับสติในการตรวจสอบเพื่อทำให้เราฝันอย่างมีเหตุผลโดยอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่หลงวนเวียนอยู่ในโลกแห่งความเพ้อฝัน