“ทานาคา” เผชิญศึก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 สิงหาคม 2557

          คนไทยน้อยคนนักที่มีเพื่อนอาเซียนทำงานบ้านให้แล้วไม่รู้จักทานาคาซึ่งเป็นผงแป้ง ทาหน้าซึ่งถูกละเลงบนใบหน้าจนถูกล้อว่าเหมือนแมวคราว ถึงแม้ว่าคนพม่าจะใช้ทานาคามายาวนานแต่ล่าสุดทานาคากำลังถูกไล่ล่าโดยเครื่องสำอางค์สมัยใหม่

          ทานาคาเป็นชื่อต้นไม้ที่คนพม่าตัดลำต้นสดเป็นท่อนขนาดมือกำได้มาฝนกับน้ำบนแท่นดินเผาจนกลายเป็นแป้งเหลว เอามาใช้ทาหน้าทาแขนหรือแม้แต่ทาทั่วตัว บางครั้งใช้เปลือกหรือแม้แต่รากของมัน

          ในพม่าหรือปัจจุบันมีชื่อทางการว่าเมียนมาร์ ไม่ว่าไปทางไหนจะพบเห็นผู้หญิงแก่และสาว เด็กหญิง หรือแม้แต่เด็กชายและชายหนุ่ม ทาหน้าด้วยทานาคากันอย่างภาคภูมิใจเพราะเชื่อว่าป้องกันเปลวแดดได้ดี สามารถป้องกันสิวฝ้า ทำให้ผิวผ่องเป็นนวล มีกลิ่นคล้ายไม้จันทน์ และทาแล้วรู้สึกเย็น

          คนพม่าใช้ทานาคากันเป็นกิจวัตร ทากันตั้งแต่เด็กยันแก่ เลียนแบบถ่ายทอดกันมาชั่วคนแล้วชั่วคนเล่า บทกวีเขียนโดยสนมคนหนึ่งของกษัตริย์ Razadarit ในศตวรรษที่ 14 หรือเมื่อ 700 ปีก่อน กล่าวถึงทานาคาเช่นเดียวกับเอกสารประวัติศาสตร์ในศตวรรษต่อมา

          คนพม่าใช้ทานาคากันมายาวนานจนเป็นนิสัยประจำชาติ ทานาคาดูจะเป็นที่นิยมอย่างมากเป็นพิเศษในบริเวณเมือง Mandalay ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของย่างกุ้ง และเป็นเมืองหลวงสุดท้ายที่สร้างเมื่อ ค.ศ. 1857 ก่อนสูญเสียอิสรภาพให้อังกฤษ

          คนในแถบนี้มีทานาคาซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพันธุ์ที่ดีที่สุด (ต้นไม้หลายชนิดในสกุลเดียวกันสามารถนำมาใช้ได้) ที่นิยมกันมากที่สุดคือ Shwebo Thanaka จากเมือง Sagaing ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ อิระวดี และเชื่อกันว่าเป็นแหล่งพำนักใหญ่ของชาวอยุธยา (คนพม่าเรียกว่าโยเดีย) ที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งเสียกรุง พ.ศ. 2310

          ทานาคาเป็นไม้ยืนต้น เติบโตได้ดีในบริเวณอากาศร้อนแห้งแต่ก็โตช้า หากจะ ให้ได้ครีมชั้นดีต้นไม้ต้องมีอายุอย่างน้อย 35 ปี หรืออย่างเลวสุดก็ 20 ปีขึ้นไป เราจะเห็นการขายท่อนทานาคาในตลาดพร้อมกับแท่นดินเผาอยู่ทั่วไปในบริเวณเมือง Mandalay

          ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทานาคาในปัจจุบันก็คือหลังจากพม่าเปิดประเทศอย่างจริงจังได้ประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา เครื่องสำอาค์สมัยใหม่จากต่างประเทศก็ทะลักเข้าประเทศ พร้อมกับป้ายโฆษณาความสวยแบบสมัยใหม่ที่ใช้สารพัดเครื่องสำอางค์

          ที่เป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมของการใช้ทานาคาก็คือการพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเฉพาะหญิงบ้านนอกเท่านั้นที่เขาใช้ทานาคากัน หญิงสมัยใหม่ที่ทันสมัยเขาหันมาใช้เครื่องสำอางค์สมัยใหม่กันแล้ว

          อย่างไรก็ดีมีผู้ผลิตทานาคาสมัยใหม่ออกมาสู้เพื่อความสะดวกและเพื่อลด ‘ความเป็น บ้านนอก’ ด้วยการผลิตครีมทานาคาในหลอดหรือเป็นกะปุกโดยตั้งใจเอาใจผู้คุ้นเคยทานาคาและรักความเป็นสมัยใหม่ด้วย (การนั่งฝนท่อนทานาคากับแท่นดินเผาทุกเช้าไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนทันสมัย) และก็ได้รับความนิยมไม่น้อย (ผู้เขียนเคยอ่านตัวหนังสืออังกฤษบนหลอดครีมทานาคาและพบว่าผลิตที่บางกะปิใกล้บ้านผู้เขียน จึงรู้สึกตื่นเต้นน้อยลงเป็นอันมาก)

          ข่าวร้ายของผู้ใช้ทานาคาปรากฏในสื่อต่างประเทศว่า ในปี 2013 มีเด็กก่อนวัยเรียนสองคนในเมืองแคนซัสซิตี้ มิสซูรี่ (ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ติดกันแต่เล็กกว่าโดยอยู่ในฝั่งรัฐแคนซัส คือ แคนซิสซิตี้ แคนซัส) ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ของกลุ่มพม่าอพยพในสหรัฐอเมริกามีสารตะกั่วในร่างกายในระดับอันตราย (อาจทำลายสมองหรือระบบประสาทจนเป็นคนพิการได้ในระยะยาว) ซึ่งหลังจากการตรวจสอบแล้วเชื่อว่ามาจากผงทานาคาที่บ้านของเด็กทั้งสอง ผู้พิสูจน์เชื่อว่าตะกั่วอาจมาจากอุปกรณ์หรือภาชนะที่ใช้ฝนท่อนทานาคาก็เป็นได้

          ก่อนหน้านี้ในปี 2012 ทางการออสเตรเลียในเมืองซิดนีย์ที่มีคนพม่าอพยพอยู่เป็นจำนวนมากก็เตือนให้ระวังเครื่องสำอางค์ทานาคา เพราะพบว่าในครีมหรือผงนั้นมีสารโลหะหนักมากอยู่เป็นพิเศษ

          ไม่มีใครรู้ว่าข่าวนี้ถูกประโคมโดยสื่อต่างประเทศเพื่อห้ำหั่นการใช้ทานาคาเพื่อให้หันมาใช้เครื่องสำอางค์สมัยใหม่หรือไม่ แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม สาวพม่าก็ยังคงใช้ทานาคาทาหน้ากันเหมือนเดิมอย่างไม่หวั่นไหว ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าทานาคา มีคุณภาพรักษาผิวตามที่เชื่อกันมายาวนานก็ตาม

          ถ้าทานาคาไม่ดีจริง คนพม่าคงไม่ใช้กันมาได้ยาวนานขนาดนี้ และคนไทยก็เห็นผลแล้วว่าคนพม่ามีผิวงามจริง หลักฐานการใช้เช่นนี้พิสูจน์ตัวของมันเองได้พอควรโดยมิพักต้องรอวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ แต่มั่นใจได้ว่าไม่ว่าผลพิสูจน์จะออกมาอย่างไร คนพม่าก็จะยังคงใช้ทานาคาอยู่เช่นเดิมด้วยความเคยชิน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเขา

          การใช้ทานาคาเป็นวัฒนธรรมที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์ของคนพม่า ซึ่งเราน่าจะช่วยกันเชียร์ให้มีชัยชนะเหนือเครื่องสำอางค์สมัยใหม่ได้ในระดับหนึ่ง คำถามที่น่าสงสัยก็คือเราก็อยู่ติดกับพม่ามานานเหยียบพันปีด้วยพรมแดนยาว 1,450 กิโลเมตรในปัจจุบัน แต่เหตุไฉนเราจึงเพิ่งรู้จักทานาคากันเมื่อ ไม่นานมานี้เอง