การบ้านนั้นสำคัญหรือ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
26 กุมภาพันธ์ 2556
         

การบ้านของนักเรียนไทยกำลังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในปัจจุบันว่ามีมากไปหรือไม่   หากมีก็ควรมีลักษณะใด    ใช้เวลานานเท่าใดในแต่ละวัน   เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเด็กหรือไม่    ประเด็นเหล่านี้หลายคนอาจบอกว่าเป็นเรื่องรอง  พราะความสำคัญอยู่ที่วัตถุประสงค์ของการมีการบ้าน

           ดร.จุฬาภรณ์ มาเสถียรวงศ์  แห่งสถาบันรามจิตติยืนยันในรายงานวิจัย “ปรับการเรียนเปลี่ยนการบ้าน ประสบการณ์และแนวโน้มนานาประเทศ”   ว่าทั่วโลกกำลังมีกระแสต่อต้านการบ้าน (เด็กร้องไชโย)  ที่ฝรั่งเศสเมื่อ 3 เดือนก่อนทางการประกาศยกเลิกนโยบายมีการบ้าน  สิงคโปร์ก็ไม่   ประกาศไม่เอาการบ้าน     กระแสสังคมจีนหนุนให้ลดการบ้าน    เดนมาร์ก  ฟินแลนด์  ญี่ปุ่น   มีทางโน้มลดการบ้านลงอีก

          ครั้งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1901      รัฐแคลิฟอร์เนียออกกฎหมายยกเลิกการบ้านของเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมปีที่สอง     อย่างไรก็ดีในปัจจุบันการบ้านในสหรัฐอเมริกาก็กลับมา    อีกครั้งและดูจะหนักขึ้นในทุกชั้นเรียน     แต่ถึงจะหนักอย่างไรก็คงสู้เด็กไทยในโรงเรียนที่มีการแข่งขันกันสูงโดยเฉพาะในเมืองไปไม่ได้

           เด็กไทยในโรงเรียนเหล่านี้ในช่วงชั้นประถมปลายต้องทำการบ้านกัน 5 คืนต่ออาทิตย์   ใช้เวลาคืนละไม่ต่ำกว่า 2-3 ชั่วโมง   ยิ่งในชั้นมัธยมปลายยิ่งหนักขึ้นเพราะต้องแข่งขันกันสู่อุดมศึกษา  

        จุดประสงค์ดั้งเดิมของการบ้านก็คือการเพิ่มพูนความรู้    ทักษะและความสามารถของเด็ก     การบ้านที่เหมาะสมควรถูกออกแบบเพื่อสนับสนุนเพิ่มเติมสิ่งที่นักเรียนได้เรียนไปแล้ว     เตรียมตัวสำหรับบทเรียนที่ยากในวันถัดไป   ต่อยอดสิ่งที่ได้รู้โดยนำไปประยุกต์กับสถานการณ์ใหม่     ตลอดจนนำความสามารถหรือทักษะที่ได้รับไปบูรณาการ

           การบ้านที่ดีในยุคปัจจุบันและยุคต่อไป     ต้องเน้นเรื่องของการเรียนรู้ผ่านการฝึกทักษะ     ไม่ใช่การเรียนรู้ผ่านการรับข้อมูลหรือองค์ความรู้     ทั้งนี้เนื่องจากความรู้แตกตัวขยายองค์ความรู้มากมายอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีไอทีในปัจจุบัน      ความรู้หลายเรื่องอาจผิดในวันข้างหน้า (เช่นไม่มีภาวะเรือนกระจก)   และเด็กสามารถหาอ่านได้เองจากอินเตอร์เน็ต 

          ตัวอย่างเช่น     ทักษะชีวิต     ซึ่งได้แก่ความสามารถในการอดกลั้น     ความสามารถในการทำให้คนอื่นทำตามที่ตัวเองต้องการ    ความสามารถในการพูดโน้มน้าว    ความสามารถในการเอาตัวรอดในสิ่งแวดล้อมที่ลำบาก   ฯลฯ   นักเรียนอาจมีทักษะเช่นนี้ได้จากการทำการบ้าน   ในการฝึกหัดทักษะเหล่านี้ผ่านเกมส์    ข้อสอบทางจิตวิทยา      แบบฝึกหัดทดลองสถานการณ์ออนไลน์       การอ่านหนังสือที่เป็นประโยชน์     ตลอดจนการฝึกฝนกับครอบครัว

           การบ้านที่ไม่ดีคือการส่งเสริมการท่องจำ       การรับความรู้โดยไม่ผ่านการใช้เหตุใช้ผลหากใช้ความจำ     การทำแบบฝึกหัดที่เน้นผลลัพธ์โดยไม่ได้สนใจกระบวนการคิด

           ปัจจุบันมีการเชื่อว่าการบ้านคือการเตรียมตัว     ฝึกฝนทักษะเพื่อจะไปรับการเรียนรู้ที่โรงเรียนในวันรุ่งขึ้น   กล่าวคือเรียนด้วยตนเองที่บ้านแต่ไปทำโครงงานหรือเข้ากระบวนการเรียนรู้กับ เพื่อน ๆ ที่โรงเรียน

            การบ้านเป็นส่วนประกอบสำคัญของการจัดการเรียนการสอนของครู     เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้    การบ้านไม่ควรเป็นเครื่องมือของการหารายได้พิเศษของครูในตอนเย็นหลังโรงเรียนเลิกแล้ว       โดยพ่อแม่จำเป็นต้องยอมจ่ายเงินเพื่อลดภาระของตนเองหรือเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับครูจนลูกของตนเองเสียประโยชน์

           กฎที่ใช้กันของเวลาในการทำการบ้านในแต่ละวันของเด็กก็คือ   เพิ่มขึ้น 10 นาที    ทุกชั้นเรียนของเด็ก    เช่น   ประถมสามควรทำการบ้านคืนละ 30 นาที   แต่เมื่อขึ้นไปเรียนประถมสี่   ควรทำการบ้านคืนละ 40 นาที  ดังนี้เรื่อยไป      กฎ “10 นาที”  นี้ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด

           อย่างไรก็ดีปัจจุบันเวลาที่ทำการบ้านดูจะไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลาการบ้านนั้นใช้ทำอะไร      ถ้าเป็นการบ้านที่ส่งเสริมการท่องจำถึงแม้จะใช้เวลานานก็ไม่มีประสิทธิภาพต่อการเป็นผู้มีการศึกษาเมื่อเติบโตขึ้น      เท่ากับการบ้านที่ใช้ไปในการเตรียมพร้อมต่อการฝึกฝนและรับทักษะสำคัญเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการเรียนรู้   และเป็นผู้มีการศึกษาอย่างแท้จริงในเวลาต่อไป

           การมีความทุกข์จากการทำการบ้านมากเกินไปของเด็กตั้งแต่เยาว์วัย     อาจสะสมจนทำให้เกลียดการเรียนรู้ในเวลาต่อไปซึ่งเท่ากับว่าการบ้านเป็นตัวทำลายการเป็นคนมีการศึกษาซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการเรียนหนังสือ