สุหนัดหญิงแสนโหด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 กรกฎาคม 2557

          ครั้งนี้ผู้เขียนขออนุญาตเขียนเรื่องโหดสยองสำหรับสุภาพสตรี และอาจมีบางคำที่ฟังแล้วอาจสะดุ้ง เรื่องที่จะเขียนนี้เป็นเรื่องจริงที่ยังไม่เป็นที่ทราบกันกว้างขวางนัก และเชื่อว่าจะเป็นประเด็นขึ้นมาในโลกเพื่อแก้ไขสถานการณ์ของกลุ่มผู้หญิงที่แสนน่าสงสารในอนาคตอันใกล้

          หลังจาก Arab Spring หรือคลื่นการปฏิวัติโดยประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้นำเผด็จการซึ่งเริ่มที่ตูนิเซียในปี 2010 และลามไปอียิปต์ ลิเบีย เยเมน และการชุมนุมประท้วงของประชาชนอย่างกว้างขวางในบาเร็น ซีเรีย อัลจีเรีย อิรัก จอร์แดน คูเวต มอร๊อคโค ซูดาน ฯลฯ ผู้หญิงในโลกอาหรับจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอียิปต์เริ่มออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง

          ผู้หญิงอียิปต์กลุ่มนี้ออกมาเล่าให้โลกรู้ถึงการถูกข่มขืนเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยแก๊งชายฉกรรจ์กลาง Tahrir Square เมื่อออกมาชุมนุมประท้วงร่วมกันระหว่างปี 2011-2014 และยังถูกละเมิดทางเพศในลักษณะต่าง ๆ โดยชายร่วมชาติ

          ครั้นเมื่อผู้หญิงออกมาประท้วงเรื่องดังกล่าวในเวลาต่อมาก็ถูกจับไปหลายคนและถูกบังคับให้ทดสอบ “virginity test” (ตรวจสอบความเป็นสาวบริสุทธิ์) ในครอบครัวก็มีความรุนแรงถูก ตบตีโดยสามี ถูกข่มขืนโดยสามีเมื่อไม่เต็มใจหลับนอนด้วย และที่น่าตกใจก็คือเด็กผู้หญิงถูกครอบครัวบังคับให้ทำ “สุหนัดหญิง”

          “สุหนัดหญิง” หรือ Female Genital Mutilation (FGM) คือการตัดอวัยวะเพศหญิงบางส่วนหรือทั้งหมด กล่าวคือตัดหนังหุ้ม clitoris ตัว clitoris แคม หรือ labia ทั้งใหญ่และเล็ก และในกรณีรุนแรงสุดนั้นตัดหมดจดจนเหลือแต่ช่องคลอดและช่องปัสสาวะเท่านั้น

          FGM นี้มิใช่เรื่องทางศาสนาอิสลามแต่อย่างใด หากเป็นวาทกรรมทางวัฒนธรรมของ ชนกลุ่มน้อยในแถบตะวันออกกลาง อาฟริกาตอนเหนือ และบางส่วนของเอเชีย โดยสืบทอดประเพณีกันมายาวนานตามความเชื่อ

          FGM ของแต่ละกลุ่มก็รุนแรงแตกต่างกันออกไป บ้างก็ตัดออกไปทั้งหมด บ้างก็ตัดบางส่วน ที่รุนแรงสุดคือตัดทั้งหมดดังกล่าวแล้วซึ่งตรงกับคำว่า infibulation ในภาษาอังกฤษ บางกลุ่มก็ทำกับเด็กหญิงที่มีอายุไม่กี่อาทิตย์ บ้างก็ทำตอน 5 ขวบ และบ้างก็ทำก่อนเป็นสาว

          วิธีการตัดก็กระทำกันหลายลักษณะ มีทั้งตัดสด ใช้ยาชา และใช้ยาสลบ ส่วนใหญ่ใช้ใบมีดโกนที่ไม่มีการฆ่าเชื้อโดยหมอพื้นบ้านผู้ตัดอย่างชำนาญท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

          สาเหตุของ FGM ก็คือการมองว่าอวัยวะเพศหญิงเป็นสิ่งสกปรกและน่าเกลียด ตัดเพื่อไม่ต้องการให้มีความรู้สึกทางเพศใด ๆ โดยเชื่อว่าจะทำให้เป็นภรรยาที่จงรักภักดี อยู่ในโอวาทของสามี เป็นลูกสาวที่เลี้ยงง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นเครื่องช่วยประกันว่าเป็นสาวบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน อีกทั้งเชื่อว่าจะทำให้เกิดสุขอนามัยที่ดีอีกด้วย

          นักสังคมวิทยาที่ศึกษาพบว่าในกลุ่มชนเหล่านี้พ่อและแม่ตลอดจนญาติก็สนับสนุน FGM เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้หญิง (หญิงผู้ใหญ่ทุกคนก็ถูกทำมาแล้ว จึงไม่อยากให้มีกระต่ายหางไม่ด้วน?)

          FGM เป็นที่ทราบกันในโลกมากขึ้นในทศวรรษ 1980 ทั้ง ๆ ที่กระทำสืบทอดกันมายาวนานแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมามีความพยายามในระดับโลกที่จะทำให้ FGM เป็นสิ่งต้องห้าม ทั่วโลก และสามารถทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง โดยในปี 2012 ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติลงมติเป็น เอกฉันท์ให้ทุกประเทศทำทุกอย่างเพื่อหยุด FGM อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ดีในกลุ่มชนเหล่านี้ก็ยังคงมีการทำกันอยู่เพราะการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ

          ปัจจุบันมีเด็กและผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันกว่า 125 ล้านคนในอาฟริกาและตะวันออกกลางที่ผ่าน FGM ในจำนวนนี้มี 8 ล้านคนในเอธิโอเปีย โซมาเลีย และซูดานที่ประสบ FGM ขั้นรุนแรงสุด

          สถิติที่น่าตกใจของ UNICEF ก็คือมีเด็กและผู้หญิงที่ผ่าน FGM ในแต่ละประเทศเป็น ร้อยละดังนี้ โซมาเลีย ร้อยละ 98 อียิปต์ ร้อยละ 91 เอริเทรีย ร้อยละ 89 มาลี ร้อยละ 89 เซียร์ราลีโอน ร้อยละ 88 ซูดาน ร้อยละ 88 ฯลฯ

          ในกรณีของ FGM ทั้งหมดนั้นหนึ่งในห้าเป็นของอียิปต์ และในประเทศนี้หญิงอายุเกิน 15 ปี ที่ผ่าน FGM มีถึง 48 ล้านคนในประชากรทั้งหมด 86 ล้านคน ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า FGM ในกลุ่มประเทศอาหรับที่ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่นก็คืออียิปต์ และนี่คือคำอธิบายว่าเหตุใดหญิงในประเทศนี้จึงออกมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน

          ไม่มีใครรู้ว่า FGM เริ่มแต่เมื่อใด มีหลักฐานการอ้างถึง FGM ของผู้เดินทางไปอียิปต์ 45 ปีก่อนคริสตกาลว่าเป็นประเทศที่กระทำกันอย่างคึกคักกับทั้งเด็กชายและเด็กหญิง อย่างไรก็ดีจากการศึกษามัมมี่โดยนักวิชาการครั้งหนึ่งก็ไม่พบว่ามี FGM ชนิดตัดทิ้งทั้งหมดในอียิปต์โบราณ หลักฐานเช่นนี้จึงขัดแย้งกันจนหาข้อสรุปไม่ได้

          ในศตวรรษที่ 19 สูตินารีแพทย์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีการตัด clitoris (clitoridectomy) เพื่อรักษาหญิงที่ชอบสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองโดยเชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ

          Isaac Baker Brown ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1812-1873 เป็นสูตินารีแพทย์ และเป็น President ของ Medical Society of London บันทึกไว้ว่าการทำให้เกิด clitoris เกิดความระคายเคือง อย่างผิดธรรมชาติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคชักลมบ้าหมู และเป็นบ้าได้ ดังนั้นการตัด clitoris จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำและเขายืนยันว่าสมควรจะกระทำในทุกกรณีเช่นว่านี้

          ความมืดมนแห่งปัญญาของมนุษย์และความอ่อนแอทางร่างกายของหญิง ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถต่อสู้กับความอยุติธรรมทางสังคมได้อย่างแข็งขันจนต้องตกอยู่ในภาวะทนทุกข์ทรมานมาแสนนานและอาจอยู่ในสภาวะเช่นนี้ไปอีกนานหากชายประเภทที่มีแสงสว่างแห่งปัญญาและหญิงผู้หาญกล้าไม่ร่วมมือกันต่อสู้เพื่อแสวงหาความถูกต้องและยุติธรรมให้แก่เพศแม่ของเรา