Superfood ชื่อ Maca

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
30 ธันวาคม 2557

          โลกเอเชียกำลังบ้าคลั่งหัวพืชใต้ดินจากอเมริกาใต้ที่เชื่อกันว่าเป็นอาหารวิเศษทั้งเป็นยาและอาหารเสริมพละกำลังและแน่นอนครับในเรื่องเพศ

          ขณะนี้ประเทศเปรูกำลังปั่นป่วนเพราะเป็นแหล่งที่ผลิตหัวพืชใต้ดินที่เรียกกันว่า Maca ได้อย่างมีคุณภาพ คนจีนแห่กันไปซื้อจนราคาถีบตัวขึ้นไปถึงกว่า 10 เท่า โจรผู้ร้ายจี้ปล้นก็มากขึ้นเพราะเงินผ่านมือมหาศาลในแต่ละวัน และประการสำคัญไอ้หัว Maca มันยิ่งดังข้ามคืนขึ้นทุกที

          Maca มีหน้าตาคล้ายหัวกระเทียมแต่โตกว่า ผิวสีน้ำตาลมีลักษณะคล้ายหัวพืชใต้ดินทั่วไปคือแข็งแน่น กล่าวกันว่าชาวอินคา (Inca) ผู้มีอาณาจักรใหญ่โตมีวัฒนธรรมก้าวหน้าระหว่างต้นศตวรรษที่ 13 ถึง ค.ศ. 1572 ล่มสลายไปเพราะแพ้สงครามและถูกยึดครองโดยสเปนบริโภค Maca เป็นอาหารวิเศษมานานนับพันปี

          พวกบ้าคลั่ง Maca มีมากเป็นพิเศษในจีน เพราะอะไรที่เป็นยาโป๊คนจีนกินทุกอย่างไม่เคยลังเล ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่มีขา (ยกเว้นโต๊ะเก้าอี้) อะไรที่ว่ายน้ำ (ยกเว้นเรือดำน้ำ) อะไรที่บินในอากาศ (ยกเว้นเครื่องบิน และปัจจุบัน drones) ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไปถึงหมดด้วยความร่ำรวยสมัยใหม่

          เปรูซึ่งเป็นประเทศที่ส่วนใหญ่ของประชากร 31 ล้านคน เป็นคนพื้นเมืองอินเดียน (ลูกหลานชาวอินคานั่นแหละ) ซึ่งอุดมไปด้วยความยากจนต่างไปจากชิลีประเทศเล็ก ๆ (ประชากร 18 ล้านคน) ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ปกติบริเวณ Junin ในตอนกลางของเปรูก็อยู่กันมาอย่างสงบ เก็บรากหรือหัวของต้น Maca ซึ่งปลูกและขึ้นอยู่ในป่าเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000-5,000 เมตรขายต่างประเทศ แต่เมื่อคนจีนมีการศึกษาวิจัยและพบว่ารากหรือหัวใต้ดินของ Maca จากบริเวณ Junin นั้นมีคุณภาพดีกว่าที่อื่น ๆ ก็เฮโลกันมาซื้อเพื่อไปขายต่อ

          Maca มิได้เติบโตทุกแห่ง เฉพาะบนที่ราบสูงแอนดีสของเมริกาใต้ที่เย็นและมีดินแห้งแล้ง ซึ่งพืชอื่นทนอยู่ไม่ได้เท่านั้นที่ Maca โตได้ดี ต้น Maca มีใบกลมรีรูปไข่ มีหัวใต้ดินที่เก็บสะสมอาหารได้มากจึงเชื่อว่ามีสรรพคุณอันวิเศษ บำรุงร่างกาย ช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมนภายในร่างกาย ต้านทานอาการเมื่อยล้าอ่อนแรง กระตุ้นความกระปี้กระเปร่า เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย และประการสำคัญเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

          โลกตะวันตกตื่นตัวในเรื่องสรรพคุณของ Maca กันมากในปัจจุบัน สารคดีเรื่องราวของ Maca ปรากฏในรายการโทรทัศน์สำคัญ ปัจจุบันมีคนกำลังทำวิจัยกันทั่วโลกอย่างขะมักขะเม้นเพื่อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสรรพคุณที่เชื่อและกล่าวอ้างกันนั้นเป็นจริงหรือไม่

          คนเอเชียไม่คอยฟังผลทางวิทยาศาสตร์ ว่ากันว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2002 ที่เกาหลีและญี่ปุ่น สองประเทศนี้ต่างนำเอา Maca มาเป็นอาหารเสริมพลังของนักฟุตบอลทั้งสองทีม ซึ่งก็ไม่ไปถึงดวงดาวแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ตามคนจีนบางกลุ่มก็คลั่งไคล้ Maca กันสุด ๆ แบบเดียวกับกรณีของถั่งเช่าที่มาจากธิเบต

          ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Maca คือ Lepidium meyenii ในทางวิชาการถือว่าเป็นพืชสมุนไพร คนตะวันตกคนแรกที่นำเข้าสู่การแบ่งแยกพืชพันธุ์เชิงวิชาการก็คือ Gerhard Walpers ในปี ค.ศ. 1843 ถึงแม้ว่าชาวอินคาจะรู้จักมันนานนับพันปีแล้วก็ตาม

          การเผยแพร่สรรพคุณของ Maca ทำให้รัฐบาลเปรูห้ามส่งออก Maca ในรูปวัตถุดิบ ดังนั้นจึงมีโรงงานย่อยแปรรูป Maca เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อสนองตอบความต้องการของคนจีนและมีการลักลอบ Maca ดิบออกนอกประเทศมากเช่นเดียวกัน

          เพียงครึ่งปีแรกของปี 2014 มูลค่าการส่งออก Maca อย่างเป็นทางการไปจีนพุ่งขึ้นไปถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับตัวเลข 540,000 เหรียญของทั้งปี 2013 ราคาของ Maca ปัจจุบันตกประมาณปอนด์ละ 13 เหรียญ (10 เท่าของเมื่อต้นปีนี้) แต่ถ้าเป็น Maca ดำซึ่งหาได้ยากกว่าแล้วราคาสูงถึงประมาณปอนด์ละ 45 เหรียญ

          มีคนลักลอบเอาต้น Maca ไปปลูกในจีนแต่มิได้ผลดี Bolivia และพื้นที่ใกล้เคียงก็พยายามปลูก แต่ก็สู้บริเวณ Junin นี้ไม่ได้ การมีพื้นที่จำกัดในการปลูกและรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาสังคม ทางโน้มนั้นชัดเจนว่ากระแสการบูมของ Maca คงจะไม่หยุดง่าย ๆ และปัญหาที่เกิดตามมาก็ไม่หมดไปเช่นกัน

          ปัจจุบันโลกตะวันตกนำราก Maca ไปทำผงชงเป็นชา สะกัดสารเอามาเป็นยาบำรุง ในเว็บไซต์ของบ้านเรา ธุรกิจขายสารสกัดจากราก Maca เป็นไปอย่างคึกคัก มีการประชาสัมพันธ์ว่าเป็น superfood ป้องกันโรคมะเร็ง รักษาได้สารพัดโรค โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเพศ ราคาขายส่ง สารสกัด Maca มีตั้งแต่ 30-500 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งกิโลกรัม โดยมีผู้เสนอขายประมาณ 20 เจ้า

          มนุษย์พยายามหายาวิเศษกันมานานนับพันนับหมื่นปี ค้นพบกันหลายร้อยหลายพันขนาน Maca เป็นตัวใหม่ที่อยู่ในความสนใจของชาวโลกปัจจุบัน Maca จะมีประโยชน์แค่ไหนอย่างไร ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่จะทยอยออกมาในอนาคตอันใกล้เท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ