ยาพิษฆ่าคนได้อย่างไร

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
7 กรกฎาคม 2558

          การวางยาพิษเป็นเรื่องที่ใครได้ยินแล้วก็หูผึ่งเพราะมันเป็นเรื่องลึกลับน่ากลัวและตื่นเต้นไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ดูไร้เดียงสาจะสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น น่าสงสัยว่าเบื้องหลังเชิงวิทยาศาสตร์ของยาพิษเป็นอย่างไร นิตยสาร Science Illustrated ฉบับธันวาคม 2013 ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ

          ยาพิษคือสารซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติในระบบการทำงานในร่างของสิ่งมีชีวิต โดยปกติมักเป็นปฏิกิริยาทางเคมีในระดับโมเลกุล ยาพิษที่ใช้ฆ่าคนนั้นมีมากมายหลายชนิดโดยส่วนใหญ่มีที่มาจากธรรมชาติ แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์เมื่อวิเคราะห์แล้วมีสารหรือธาตุที่สำคัญไม่มากตัวนัก

          เมื่อสารพิษถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายมันจะเข้าจู่โจมและทำลายเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน เซลล์ก็จะตายลง นำไปสู่การอุดตันของเส้นเลือด การล้มเหลวของการทำงานของอวัยวะภายใน เซลล์ต่าง ๆ หยุดทำงาน ซึ่งในที่สุดจะทำให้หัวใจและสมองหยุดทำงานไปด้วย

          ปรอทเป็นสารพิษที่ร้ายแรงมาก ออกฤทธิ์ช้า เมื่อปรอทซึมซาบเข้าไปในร่างกายจะใช้เวลานานกว่าจะเริ่มมีผล พิษสงก็คือมันจะทำลายเอนไซม์ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่มีหน้าที่ซ่อมแซมบริเวณที่ถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ (oxidants) ตามกลไกธรรมชาติ เมื่อการซ่อมแซมไม่เกิดขึ้นก็จะส่งผลร้ายแรงต่ออวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต และสมอง

          ในปี 1996 นักวิจัยด้านเคมีมีชื่อเสียงชาวอเมริกัน แคเรน เวทเทอร์ฮาห์น หยดสารปรอทลงบนแขนตัวเองโดยบังเอิญ อีกสิบเดือนต่อมาเธอก็เสียชีวิต อาการหลังได้รับสารพิษนี้ก็คือปวดศีรษะคล้ายเข็มทิ่ม ผิวหนังมีผื่นแดง ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกายล้มเหลว ไตวาย และสูญเสียความจำ

          ในประวัติศาสตร์ยุโรปเป็นที่รู้กันดีว่ามีดอกไม้มีพิษร้ายแรงมากชื่อดอกอะโคไนต์ (Aconitum napellus) ดอกไม้นี้มีสารอะโคนิทีน (aconitine) ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทโดยทำให้ระบบหายใจเป็นอัมพาต การวางยาพิษกันในประวัติศาสตร์ยุโรปมายาวนานก็ใช้ดอกไม้พิษรุนแรงนี้ ในเวลาต่อมามีการใช้สารนี้กันในญี่ปุ่นและเอเชีย การลอบวางยาพิษของพวกโชกุนที่เราเห็นในภาพยนตร์น่าจะใช้ดอกไม้มหาภัยนี้

          อีกยาพิษหนึ่งที่รู้จักกันกว้างขวางก็คือสตริกนิน (strychnine) ปริมาณเพียง 100 มิลลิกรัม หรือ 1 ใน 10 ของกรัม (100 กรัมเท่ากับ 1 ขีด) ก็ทำให้ตายได้ อาการหลังได้รับสารพิษก็คืออาเจียน ชักกระตุกอย่างรุนแรง เกร็งตามใบหน้า น้ำลายฟูมปาก ตาบวม หมดสติ หายใจไม่ออก

          เมื่อสตริกนินเข้าสู่ร่างกายมันจะเคลื่อนที่ไปตามร่างกายพร้อมกับเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยการจับตัวอย่างหลวม ๆ กับโปรตีนบางชนิดในกระแสเลือด ดังนั้นจึงซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อได้อย่างง่ายดาย และมุ่งโจมตีเซลล์ประสาทซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระบบการทำงานของประสาท ผลที่เกิดตามมาก็คือการกระตุกของกล้ามเนื้อที่ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจและการทำงานของระบบหายใจ

          ยาพิษยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งก็คือไซยาไนด์ (cyanide) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถดูดซึมพิษได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงที่นาซีล่มสลาย ผู้นำพรรคนาซีหลายคนใช้ไซยาไนด์เป็นเครื่องมือในการฆ่าตัวตาย ฮิมม์เลอร์ผู้บัญชาการหน่วยทหาร SS ฆ่าตัวตายด้วยการกินยาเม็ดไซยาไนด์ซึ่งออกฤทธิ์เต็มที่ในเวลา 15 นาที

          โยเซฟ เกิบเบลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการของฮิตเลอร์ จบชีวิตตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ อีก 6 คน ด้วยไซยาไนด์ ไม่น่าเชื่อว่าคนมีการศึกษาขนาดจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย ไฮเดลเบิร์ก จะฆ่าลูกของตัวเองได้ลงคอโดยร่วมมือกับภรรยาเอาไซยาไนด์ผสมเครื่องดื่มให้ลูกหญิง 5 คน ชาย 1 คน ที่อยู่ในวัยไม่ถึง 10 ขวบดื่มและนอนหลับไม่รู้ตัวในบังเกอร์หลบภัยเดียวกับฮิตเลอร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายด้วยการกินไซยาไนด์และยิงตัวเองซ้ำ

          ทุก ๆ เซลล์ในร่างกายมนุษย์จะมี “โรงไฟฟ้า” ขนาดจิ๋วที่เรียกว่าไมโทคอนเดรีย (mitochondria) แอบซ่อนอยู่ มันมีหน้าที่รีดออกซิเจนออกจากเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ตลอดเวลาเพื่อนำออกซิเจนมาใช้ภายในเซลล์ เมื่อไซยาไนด์เข้าไปในร่างกายมันก็จะไปประกบติดกับโมเลกุลใน ไมโทคอนเดรียจนทำให้ระบบการป้อนออกซิเจนเข้าสู่เซลล์หยุดทำงาน ปอดและหัวใจเกิดภาวะล้มเหลวอย่างรวดเร็วตามมา

          สารหนู (arsenic) เป็นยาพิษที่ทำให้ตายภายในไม่กี่ชั่วโมงด้วยปริมาณ 100 มิลลิกรัม อาการหลังได้รับสารหนูในปริมาณนี้ก็คือเวียนหัว ปวดศีรษะ ผมร่วง ปัสสาวะเป็นเลือด อาเจียน

          สารหนูฆ่าคนได้เพราะมันเข้าไปทำลายความสามารถในการผลิตสาร ATP ซึ่งเป็นสารทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับเซลล์เพื่อให้ทำงานได้ตามปกติ ถ้าขาด ATP เซลล์จะหยุดทำงานและตายลง อันเป็นผลทำให้ระบบประสาทเป็นอัมพาต และอวัยวะภายในล้มเหลว

          อีกสารหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกันก็คือไรซิน (ricin) ปริมาณที่น้อยมากเพียง 1.8 มิลลิกรัมก็ทำให้เสียชีวิตภายใน 72 ชั่วโมง เมื่อได้รับสารพิษนี้จะรู้สึกหายใจขัด ร้อนวูบวาว เหงื่อออกผิดปกติ ถ่ายเป็นเลือด ปวดเกร็งช่องท้อง ประสาทหลอน ตับและไตวาย เมื่อไรซินเข้าไปในร่างกายก็จะไปขัดขวางกระบวนการผลิตโปรตีนภายในเซลล์ ตลอดจนทำให้การซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์หยุดทำงานไปด้วย การเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์เช่นนี้ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายรวน จนเสียชีวิตในที่สุด

          ไรซินเป็นสารเคมีที่สะกัดจากเมล็ดละหุ่ง การห้ามกินเมล็ดละหุ่งเพราะทำให้เสียชีวิตได้ก็เพราะสารไรซินนี้แหละ (ขนาด 5-6 เมล็ดก็ทำให้ผู้ใหญ่เสียชีวิตได้) ในปี 1978 เกออร์กี มาร์คอฟ นักต่อต้านรัฐบาลเชื้อสายบุลกาเรีย ถูกลอบสังหารด้วยการยิงสารไรซินเข้าสู่ร่างกาย ร่มถูกแปลงเป็นปืนยาวชนิดอัดลมโดยลูกปืนมีไรซินเป็นส่วนประกอบ เมื่อถูกยิงแบบเผาขน สารไรซินก็เข้าสู่ร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด

          ยาพิษทันสมัยที่สุดก็คือธาตุกัมมันตรังสีพอโลเนียม-210 (polonium 210) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายผ่านการปะปนกับอาหารก็จะไปสะสมอยู่ในม้าม ไต และตับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะระดมปล่อยกัมมันตรังสีออกมาจากกระบวนการสลายตัวของธาตุพอโลเนียม รังสีที่ปล่อยออกมาจะทำให้ตับและหัวใจล้มเหลวในที่สุด

          ปริมาณพอโลเนียมเพียง 0.1 ไมโครกรัม (1 ไมโครกรัมเท่ากับ 1 ใน 1,000 ของกรัม) สามารถทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ อาการหลังรับสารพิษก็คือผมร่วง เลือดออกทางจมูก และเหงือก อาเจียน มีไข้ และอวัยวะภายในล้มเหลว

          สารอันตรายเหล่านี้ถ้าจงใจใช้เพื่อฆ่าฟันเพื่อนมนุษย์ก็สร้างความเจ็บปวดและน้ำตาให้แก่ผู้คนมหาศาล อย่างไรก็ดียังมี “สารพิษ” อื่นที่เลวร้ายเช่นเดียวกัน นั่นก็คือคำพูด ขงจื่อบอกว่าคำพูดที่เป็นพิษนั้นแทงผ่านกลางใจและสร้างรอยแผลเป็นไปตลอดชีวิตอย่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่ามีดดาบ