โครงกระดูกในตู้ของ Zhou Enlai

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
16 กุมภาพันธ์ 2559

          เมื่อบุคคลสำคัญที่ผู้คนในประเทศเคารพนับถือสิ้นไป บ่อยครั้งที่มีคนขุดคุ้ยชีวิตและตีแผ่สิ่งที่เป็นลบเพื่อความดังของตนเองหรือเพื่อขายหนังสือ คนอ่านก็ต้องประเมินว่ามีความเป็นจริงเพียงใด และมีผลต่อประวัติศาสตร์อย่างไร ล่าสุดบุคคลที่ถูกเปิดเผยคือ Zhou Enlai รัฐบุรุษที่คนจีนรักใคร่ และข้อหาที่ร้ายแรงสำหรับสังคมจีนคอมมูนิสต์ก็คือการเป็นชายรักร่วมเพศ

          เมื่อปลายปี 2015 มีหนังสือออกมาจากฮ่องกงเป็นภาษาจีนชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Secret Emotional Life of Zhou Enlai” เขียนโดยนักเขียนหญิง Tsoi Wing-mui หนังสือพิมพ์ฝรั่งได้นำบางตอนที่สำคัญของหนังสือมาเผยแพร่ ซึ่งทำให้คนจีนจำนวนมากตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึง และไม่รู้ว่าจริงหรือไม่

          ผู้เขียนหนังสือใช้จดหมายและสมุดบันทึกส่วนตัวของ Zhou และภรรยาคือมาดาม Deng Yingchao ที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นข้อมูลหลัก เธออ่านละเอียดทุกตัวอักษรและเดาว่าคงใช้ข่าวซุบซิบที่มีมานานแล้วเป็นแรงบันดาลใจ เธอแสดงให้เห็นหลายข้อความที่อ่านแล้วอาจตีความได้ว่าเป็นความรักระหว่าง Zhou กับน้องรักร่วมวิชาการ Li Fujing หรือ “น้อง Hui”

          ชื่อ Zhou Enlai นั้นชาวโลกรู้จักดี โดยเฉพาะคนจีนส่วนใหญ่ที่รักบูชาเพราะเป็นผู้อุทิศตัวให้แก่ประเทศอย่างแท้จริง เมื่อเสียชีวิตนั้นทั้งสองไม่มีสมบัติใด ๆ ทิ้งไว้เลย ไม่มีลูกของตนเอง แต่เลี้ยงเด็กจำนวนมากเป็นลูกบุญธรรม หนึ่งในนั้นคือ Li Peng ซึ่งต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของจีน

          Zhou ต่อสู้เพื่อพรรคคอมมูนิสต์จีนมาตลอด มีความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศเป็นอย่างมาก เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่าง 1949-1958) และอีกหลายตำแหน่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 1949 ถึง 1976 เมื่อป่วยจนเสียชีวิต ผู้นำต่างประเทศชื่นชมความเป็นนักการทูตชั้นยอด เขาเป็นผู้เสียสละต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่ตนเองเชื่อถืออย่างเหนียวแน่น

          สิ่งที่คนจีนจำไม่ลืมก็คือ Zhou ได้ช่วยชีวิตหรือลดความทุกข์ที่ผู้นำ นักวิชาการ บุคคลผู้มีคุณค่าของสังคมจีนฯลฯ ต้องประสบในช่วงการปฏิวัติของจีนที่เรียกว่า Cultural Revolution( การปฏิวัติวัฒนธรรม ค.ศ. 1966-1976) ซึ่งเป็นวิธีการของเหมา เจ๋อตุงในการกลับมามีความสำคัญและกวาดล้างคู่แข่ง หรือศัตรูให้ราบคาบ ในช่วงเวลานั้น แม้แต่ Deng Xiaoping รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งก็ถูกปลดให้ไปทำงานในโรงงานเล็ก ๆ ในที่ห่างไกล ลูกชายถูกเยาะเย้ยถากถางดูถูกจนพยายามฆ่าตัวตายโดยการโดดตึก แต่ไม่ตายจนเป็นอัมพาตมาจนทุกวันนี้

          นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า Zhou เป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยทำให้ความบ้าคลั่งของคนรุ่นหนุ่มที่เรียกว่า Red Guards ไม่ไปไกลจนถึงกับทำลายชีวิตของคนที่มีค่าของประเทศจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ก็คือ Zhou ไม่ทำให้ประเทศเละเทะไปมากกว่าที่ได้เกิดขึ้น

          Zhou ไม่เผชิญหน้ากับเหมาโดยตรงในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติวัฒนธรรม หากใช้วิธีของเขาเองในการช่วยเหลือ โดยเฉพาะในกรณีของDeng ซึ่งต่อมาเป็นคนสำคัญในการขับเคลื่อนจีนยุคใหม่

          Zhou มีชีวิตวัยเด็กที่น่าสงสาร พ่อแม่ตายหมดตั้งแต่ยังเด็ก ต้องอาศัยอยู่กับญาติ การรักการเรียนรู้และการเรียนเก่งทำให้เขาโดดเด่นได้รับทุนการศึกษาเล่าเรียน และได้รับแรงบันดาลใจว่าวันหนึ่งจะต้องทำงานสำคัญเพื่อชาติให้จงได้ เขาเล่าว่าโชคดีมากที่มีครูให้ความเมตตาสนับสนุน/ในปี 1917 เขาตามเพื่อนหลายคนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นโดยลุงเป็นผู้สนับสนุนการเงิน เขาอยู่ญี่ปุ่น 2 ปี จึงกลับบ้าน

          Zhou เริ่มศึกษาและดื่มด่ำคำสอนของลัทธิมาร์กซ์ เขาเรียนหนังสือในจีนอีกครั้งโดยเข้าเรียนมหาวิทยาลัย Nankai ในช่วงเวลานั้นแนวคิดมาร์กซ์แพร่กระจายในกลุ่มนักศึกษาและประชาชน สหภาพโซเวียตให้ทุนและบุคคลากรสนับสนุนการเคลื่อนไหว Zhou ถูกจับเข้าคุกเพราะกิจกรรมการเมือง และในช่วงเวลาที่กลับมานี้เอง ผู้เขียนหนังสือระบุว่าเขาพบนักเรียนร่วม ชั้นเรียน อายุน้อยกว่าเขา 2 ปีซึ่งเขาเรียกว่า “น้อง Hui” บันทึกของเขากล่าวถึงน้องคนนี้อย่างอ่อนหวานและรักใคร่ ถวิลหา ในปี 1921 ทั้งสองเดินทางไปอังกฤษด้วยกันโดยหวังที่จะไปเข้ามหาวิทยาลัย ‘น้องฮุย’ เข้ามหาวิทยาลัยได้แต่ Zhou เงินหมดต้องเดินทางไปเรียนที่ฝรั่งเศส และได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มคอมมูนิสต์สากล และกลับมารับใช้พรรคต่อสู้สงครามกลางเมือง จนได้รับชัยชนะในปี 1949

          สำหรับชีวิตรักของ Zhou นั้น เขามีภรรยาเพียงคนเดียวคือ Deng Yingchao ทั้งสองพบกันในปลายศตวรรษ 1920 แต่ผู้เขียนระบุว่าความรักเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ในปี 1925 หลังจากหมั้นหมายกันมานานและไม่ได้พบกันเป็นเวลา 5 ปี เธอเดินทางมาหา Zhou ที่สำนักงานแรงงานในกวางตุ้งขณะที่เขากำลังประชุมอยู่ เมื่อเขาเห็นเธอก็ยิ้มเพียงเล็กน้อยและประชุมต่อไป และเมื่อเลิกประชุมเขาก็เดินออกไปราวกับไม่ใยดีเธอเลย

          มาดาม Yingchao ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนรู้จักกันดี อุทิศตนเพื่อชาติตลอดตั้งแต่ยัง เป็นสาว เป็นคอมมูนิสต์หัวเก่าที่ทำงานด้านสตรีเป็นเวลายาวนานจนเป็นที่ยอมรับและรักใคร่ของ คนจีน เธอมีชีวิตคู่กับ Zhou ในสาธารณะอย่างเป็นที่ชื่นชม แต่เบื้องหลังนั้นผู้เขียนระบุว่าความสัมพันธ์มิได้เป็นไปอย่างที่สาธารณชนเห็นเนื่องจากเขามีความรักกับ ‘น้องฮุย’ แนบแน่น

          อย่างไรก็ดีหนังสือก็มิได้พูดถึงการมีสัมพันธ์กับชายคนใดอีกถึงแม้จะกล่าวหาว่า Zhou เป็นรักร่วมเพศแล้วก็ตาม เมื่อมีคนกล่าวหาว่า Zhou เป็นเกย์ก็มีนักประวัติศาสตร์พยายามมองหานัยสำคัญ เช่น (1) เหตุใด Zhou จึงไม่กล้าลุกขึ้นต่อต้านเหมา ถึงแม้จะรู้ว่าการปฏิวัติครั้งนั้นนำความเสียหายอย่างมหาศาลมาสู่ประเทศ หรือเป็นเพราะว่าเหมารู้ความลับของเขา (2) เหตุการณ์หลายอย่างในประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนไปได้หรือไม่หากความลับนี้รั่วออกมา เป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถอยู่ในสังคมได้คอมมูนิสต์จีนถือว่าการรักร่วมเพศเป็นบาปอันใหญ่หลวงที่อภัยให้ไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินชีวิตหนึ่งของพวก ทุนนิยม (3) ความลับทำให้เขายอมสยบให้เหมาตลอดชีวิต ทั้ง ๆ ที่ในตอนต้นชีวิต Zhou อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าในพรรคและมีคนชื่นชมในความเก่งกาจของเขามากกว่าเหมาด้วยซ้ำ

          ผู้คนก็จินตนาการย้อนรอยประวัติศาสตร์กันได้ไม่มีจุดจบเมื่อมีสมมุติฐานว่า Zhou เป็นรักร่วมเพศ เขาจะเป็นจริงหรือไม่คงจะต้องหาหลักฐาน เอกสารหรือบันทึกตลอดจนการบอกเล่าของคนเก่า ๆ ซึ่งจะเชื่อได้หรือไม่ก็ยากที่จะหยั่งถึง ตัว ‘น้องฮุย’ เองก็เสียชีวิตในปี 1960 ก่อนหน้า Zhou ซึ่งเสียชีวิตในปี 1976 ก่อนหน้าเหมาเสียชีวิตเพียง 8 เดือน ส่วนมาดาม Yingchao มีชีวิตอยู่จนถึง 88 ปี โดยเสียชีวิตในปี 1992

          ไม่ว่าความจริงในเรื่องการเป็นเกย์ของ Zhou จะเป็นอย่างไรก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับความจริงที่ว่า Zhou เป็นรัฐบุรุษที่อุทิศตนให้ชาติอย่างจริงใจและอย่างแท้จริงโดยมิได้คำนึงถึงผลตอบแทนส่วนตัว

          การเป็นรักร่วมเพศของ Zhou หากเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องน่าศึกษาเชิงวิชาการว่ามีผลกระทบอย่างไรต่อประวัติศาสตร์ของจีน และต่อสันติภาพของโลก

          ผลงานที่ทิ้งไว้อย่างไม่ต้องสงสัยของบุคคลหนึ่งในประวัติศาสตร์เปรียบเสมือนขุนเขา ซึ่งนาน ๆ อาจมีคนมาขุดคุ้ยบ้างแต่ก็ไม่อาจสั่นคลอนความเป็นภูผาที่แข็งแกร่งได้