วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 มกราคม 2556
การเดินนอกจากจะทำให้ถึงที่หมายแล้ว ยังช่วยสร้างมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้น และสมองทำงานเข้าที่เข้าทางอีกด้วย
โครงการรณรงค์ “10,000 ก้าว” เพื่อสุขภาพ ซึ่งริเริ่มในประเทศญี่ปุ่นเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดเป้าหมายซึ่งเป็นรูปธรรมของการเดินในแต่ละวัน ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์เชื่อว่าการเดินมีส่วนช่วยทำให้ความดันโลหิต ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่ดี ทั้งทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ดีมีหลักฐานปัจจุบันว่าการเดินสำคัญกว่านั้นมาก สำคัญขนาดทำให้มนุษย์อยู่รอดได้ มนุษย์ฉลาดขึ้น และทำให้สมองทำงานเป็นปกติด้วย
นักชีววิทยาสองคน คือ D.E. Lieberman และ D.M. Bramble ได้เขียนบทความในวารสาร Nature ในปี 2004 โดยชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราสืบทอดลูกหลานมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะความอึดทนทานในการเดินวิ่งตามเหยื่อที่เป็นสัตว์อย่างไม่ลดละ จนในที่สุดสัตว์ก็ทนไม่ไหวต้องล้มลงและเป็นอาหารในที่สุด
การเดินทนทานทำให้เกิดอาหาร และอาหารทำให้มีกำลังที่จะผลิตลูกหลาน ยีนส์จากผู้แข็งแรงเหล่านี้ก็ถูกถ่ายทอดลงมาเรื่อย ๆ เมื่อกฎธรรมชาติมีว่าคนเข้มแข็งสุดเท่านั้นที่อยู่รอด ก็เลยสรุปได้ว่าลูกหลานปัจจุบันคือผู้ที่มียีนส์ของความอึดอดทนในการเดินเป็นเยี่ยม (เมื่อรู้แล้วและรู้สึกภูมิใจแล้ว พวกเราก็จงลุกขึ้นเดินกันให้มาก ๆ เพื่อเป็นการคารวะบรรพบุรุษ)
คู่ขนานไปกับข้อสรุปของสองนักวิชาการข้างต้นก็คือความจริงที่พบว่ามนุษย์นั้นฉลาดขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือมีมันสมองที่ใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวตลอดระยะเวลาของการพัฒนาในหนึ่ง ล้านปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วง 150,000-200,000 ปีหลังที่เป็นมนุษย์ยืนสองขา หน้าตาเหมือนพวกเราในปัจจุบัน
ปัจจุบันมนุษย์มีมันสมองใหญ่เป็น 3 เท่าของมันสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิด อื่น ๆ หากแม้นว่ามีน้ำหนักตัวเท่ากัน
เหตุที่มันสมองใหญ่ได้ขนาดนี้ก็เพราะการกินเนื้อและความเป็น “สัตว์สังคม” กล่าวคือมีการติดต่อสัมพันธ์กันทางสังคมของมนุษย์ตั้งแต่ยุคแรก ๆ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบรรพบุรุษของเราในยุคแรก ๆ จำเป็นต้องวางแผนล่าสัตว์เป็นอาหารและออกปฏิบัติการเป็นกลุ่ม ความจำเป็นดังกล่าวทำให้เกิดการพัฒนาระบบการคิดขึ้น ใครมีการพัฒนาดีก็ได้รางวัลคือสัตว์ที่ล่าได้ ดังนั้นความจำเป็นต้องคิดจึงเป็นตัวผลักดันวิวัฒนาการของสมอง
ล่าสุดนักมานุษยวิทยาเชื่อว่านอกเหนือจากการกินเนื้อและการเป็น “สัตว์สังคม” แล้ว การออกแรงในแต่ละวันของมนุษย์ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้น ในเอกสารวิชาการ Proceedings of the Royal Society ประจำเดือนมกราคมของปี 2013 นักมานุษยวิทยาชื่อ D.A. Raichlen ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความทนทานในการออกกำลังของหนูทดลองในกรงกับการเพิ่มขึ้นของโปรตีนชนิดที่ช่วยทำให้เซลล์สมองขยายตัวขึ้น
สัตว์ชนิดที่มีความสามารถในการอึดอดทนการออกกำลังสูงคือ หนู สุนัข และหมาป่า หมาจิ้งจอก ฯลฯ จะมีมันสมองที่ใหญ่กว่าสัตว์อื่นเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว
การทดลองผสมพันธุ์หนูที่มีความอึดทนทานในการออกกำลังผ่านหลายชั่วพ่อแม่ ทำให้พบสารหลายตัวที่สนับสนุนการเติบโตของเนื้อเยื่อในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีนชื่อ BDNF (Brain-derived Neurotrophic Factor) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเติบโตของสมอง และความฉลาดที่ตามมา
การอึดทนทานในการออกกำลังของมนุษย์ยุคแรกพร้อมไปกับการมีอาหารดี ทำให้สมองใหญ่ขึ้นและฉลาดขึ้นคล้ายกับกรณีของหนู ยิ่งเคลื่อนไหวมากขึ้นก็ยิ่งทำให้สามารถทรงตัวได้ดีขึ้น ยิ่งคล่องตัวในการออกกำลังอึดทนทานมากขึ้น และฉลาดยิ่งขึ้น
ข้อสรุปก็คือถ้าการออกกำลังช่วย “ปั้น” โครงสร้างของสมองแล้วไซร้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การออกกำลังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพของสมองในปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้นล่าสุดมีหลักฐานทางการแพทย์มากชิ้นขึ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพียงการเดินก็ช่วยทำให้ความสามารถในการทำงานของสมองดีขึ้น ดังนั้นการเดินจึงมิใช่เป็นเพียงเรื่องของการเคลื่อนไหวธรรมดาเพื่อให้ถึงจุดหมายเท่านั้น
กลุ่มคนที่สมองยากที่จะฝ่อเพราะต้องออกกำลังวิ่งอย่างอึดทนทานอยู่เป็นประจำและตามฤดูกาลก็คือส่วนใหญ่ของข้าราชการไทยระดับสูง