อย่ามั่นใจจนหลอกตัวเอง

วรากรณ์ สามโกเศศ
7 กุมภาพันธ์ 2560 

          มนุษย์หลอกตัวเองอยู่ทุกวันอย่างไม่รู้ตัว บางลักษณะก็ไม่สำคัญ แต่บางลักษณะสำคัญขนาดอาจทำให้การปรองดองที่สังคมกำลังพิจารณากันอยู่ในขณะนี้ล้มเหลวก็เป็นได้

          ผมชอบหนังสือ “The Art of Thinking Clearly” (2013) ของ Rolf Dobelli มาก จึงขอนำเนื้อหาอีกเรื่องหนึ่งมาขยายความต่อเพราะสอดคล้องกับกาลสมัย

          ถ้ามีคลิปโฆษณาวิตามินโดยเจ้าของบริษัทยืนยันว่ากินทุกวันมาตั้งแต่เด็กและเมื่อสื่อไปถามเขาว่ามันมีผลดีอะไรไหม ก็ตอบว่า “ผมมั่นใจว่าเป็นผลดีแน่นอน” คุณเชื่อเขาไหม?

          คราวนี้หันกลับมาตัวเราเอง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่คุณมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น สิ่งศักดิ์สิทธ์มีจริง ทองคำและที่ดินของบ้านคุณราคาจะสูงขึ้นกว่าปัจจุบันใน 5 ปี ฯลฯ คุณก็จะบอกว่าของคุณน่าเชื่อถือกว่าอย่างแน่นอน คนโฆษณาวิตามินก็ต้องพูดแบบนี้เพราะเป็นผลประโยชน์ของ ตัวเขา แต่สำหรับกรณีของคุณนั้นมันเป็นการสังเกตภายใน (ใจ) ในขณะที่ของคนขายวิตามินเป็นการสังเกตภายนอก (ใจ)แต่ คุณสามารถพิจารณาสิ่งที่อยู่ในใจคุณอย่างลึกซึ้งได้ คุณจึงกล่าวอย่างเป็นกลางเพราะมันเป็นความจริง

          คำถามก็คือการพิจารณาใคร่ครวญภายในสิ่งที่คุณมั่นใจหนักหนานั้นมันผ่องแผ้วและซื่อสัตย์เพียงใด ลองดูการทดลองต่อไปนี้เพื่อหาคำตอบ

          นักจิตวิทยาชาวสวีเดนชื่อ Peter Johannson ได้ทำการทดลองโดยให้ผู้เข้าทดลองมองดูสองภาพที่สุ่มเลือกมา และให้เลือกว่าคนใดหน้าตาดีกว่ากัน จากนั้นเขาก็เอาภาพที่เลือกมาให้ดูใกล้ ๆ เพื่อขอให้บรรยายว่าส่วนใดที่ช่วยทำให้หน้าตาดี อย่างไรก็ดีก่อนที่จะเอาภาพให้ดู Dr.Johannson แอบสลับรูปกับอีกรูปที่ไม่ได้เลือก

          ผู้เข้าทดลองส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตว่ามีการสลับรูป แต่ก็สามารถบรรยายได้เป็นตุเป็นตะว่าส่วนใดของรูปที่เขาคิดว่าเลือกมานั้นดูดี ข้อสรุปก็คือการใคร่ครวญพิจารณาของมนุษย์นั้นเชื่อถือไม่ได้ เมื่อเราค้นหาภายในใจของเรานั้น แท้จริงแล้วเราแสร้งหาหลักฐานมาประกอบสิ่งที่เราเชื่อว่าจริง

          ความเชื่อว่าการใคร่ครวญนำไปสู่ความจริงและความแม่นยำมีชื่อเรียกว่า “ภาพลวงตาจากการใคร่ครวญ” (introspection illusion) ปรากฏการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นยิ่งกว่าการลวงให้เข้าใจผิดอย่างตั้งใจเพราะเป็นทึกทักเอาเองว่าถูกต้อง

          เมื่อบุคคลมีความมั่นใจในความเชื่อของตนเอง ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้น 3 ประการในใจเมื่อคนอื่นไม่เห็นพ้องกับตนคือ (1) การละเลยเพิกเฉยกับความจริง คนที่ไม่เห็นด้วยขาดข้อมูลที่สำคัญ ถ้าเขารู้สิ่งที่เรารู้ เขาต้องมีความเห็นเหมือนที่เรามีแน่นอน กลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองมักคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะหาคนมาเป็นพวกได้ด้วยการทำให้คนเหล่านี้เห็นแสงสว่างขึ้นกล่าวคือโน้มน้าวให้เห็นสิ่งที่ตนเองเชื่อและมั่นใจว่าเป็นความจริงแท้แน่นอน

          (2) คนปัญญาอ่อน คนที่ไม่เห็นด้วยนั้นมีข้อมูลเพียงพอ แต่จิตใจยังด้อยพัฒนา ปัญญาอ่อนจนไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ข้าราชการและผู้รักษากฎหมายมักมีความรู้สึกเช่นนี้จึงมักพยายามปกป้องพวกที่ “โง่เขลาเบาปัญญา” จากความไม่รู้ด้วยการออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ

          (3) คนชั่วร้าย คนที่ไม่เห็นด้วยนั้นมีข้อมูลเพียงพอและเข้าใจประเด็น เพียงแต่ต้องการเผชิญหน้าอย่างจงใจ เนื่องจากมีความตั้งใจที่ชั่วร้ายแฝงอยู่ กลุ่มผู้นำศาสนามักมีความรู้สึกเช่นนี้กับพวกที่ไม่เห็นตามตน เมื่อไม่นับถือ ก็ต้องเป็นสาวกของปีศาจ

          กล่าวโดยสรุปก็คือ มนุษย์โดยทั่วไปมักมีความเห็นว่าไม่มีอะไรที่น่าเชื่อไปกว่าความเชื่อของตนเอง และการใคร่ครวญพิจารณาเปรียบเสมือนการขุดค้นและได้ความรู้ที่จริงแท้ออกมา

          อย่างไรก็ดี ความจริงก็คือมนุษย์เราโดยทั่วไปไว้ใจสิ่งที่ตนเองเชื่อไม่ได้เพราะมักเอนเอียง ไม่เที่ยงตรง ใจเราชอบที่จะสร้าง “หลักฐานเท็จ” ขึ้นมาสนับสนุนความเชื่ออละความชอบของตนเอง ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังใจตนเองเป็นพิเศษ

          การไม่ระมัดระวังการใคร่ครวญของตัวเราเองก่อให้เกิดอันตรายอย่างน้อย 2 ประการ (ก) ถ้าเราเชื่อมั่นความเชื่อของเราอย่างไม่ระวังแล้ว introspection illusion ก็จะทำงาน และหากทำงานมากเกินไปเป็นเวลายาวนานแล้ว เมื่อเกิดมีความผิดพลาดในอนาคตก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้มากเป็นพิเศษ

          (ข) การเชื่อว่าการใคร่ครวญพิจารณาของเราน่าเชื่อถือไว้วางใจมากกว่าของคนอื่นเสมอแล้ว มันก็จะก่อให้เกิดภาพลวงตาว่าเราเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น การถ่อมตนซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญยิ่งของความเป็นมนุษย์ก็จะมลายหายไป ภยันตรายต่าง ๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้โดยง่าย

          ลองจินตนาการดูว่า เมื่อแต่ละฝ่ายของกระบวนการฟื้นความสัมพันธ์มาพบกันโดยต่างก็มี “ภาพลวงตาจาการใคร่ครวญ” อยู่เต็มที่โดยมีความมั่นใจว่าความเชื่อของตนเองนั้นถูกต้องแม่นยำแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น

          ในการดำรงชีวิต คนที่ไม่เคยมีความสงสัยเลยว่าสิ่งที่ตนเองเชื่ออยู่นั้นอาจผิดพลาด ไม่เที่ยงตรงแม่นยำ จะมีโลกพิเศษที่ตนเองอยู่ และเป็นโลกที่แสนเหงา

          การระมัดระวังมีสติอยู่เสมอว่าตนเองอาจเป็นคนที่หลอกตัวเองได้อย่างแนบเนียนที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และเป็นการใคร่ครวญพิจารณาที่ถูกต้อง
 

หมดสงสัยกับ QR Code

วรากรณ์  สามโกเศศ
6 มิถุนายน 2560

          ในการประชุมหัวหน้างานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ )จะมีกระดาษแปะไว้หน้าห้องหนึ่งแผ่นเป็นเอกสารการประชุมในรูป QR Code ใครจะเข้าห้องก็สแกน QR Code นี้เอกสารประชุมก็จะปรากฏบนมือถือทำให้ประหยัดเวลาและกระดาษได้มาก ขณะนี้การใช้ QR Code ระบาดไปไกลขนาดขอทานในเซี่ยงไฮ้ขอเงินผ่าน QR Code เราได้ยินมานานเรื่องโค้ดนี้ มันคืออะไร มาจากไหน เอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง ฯลฯ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องน่าฉงน

          หน้าตาของ QR Code คือ ภาพหรือตราขนาดเท่าแสตมป์ดวงใหญ่ มีตารางขาวดำสลับ ไปมา เราเห็นอยู่ทุกแห่งหนในปัจจุบัน ตั้งแต่หน้าร้านขายของ บนตัวสินค้า บนธนบัตร บนเหรียญ หรือแม้แต่บนใบ Visa ของบางประเทศ

          QR Code ย่อมาจาก Quick Response Code เป็นลักษณะหนึ่งของ barcode สองมิติ ดังที่เรียกว่า matrix barcodes สารพัดข้อมูลบรจุอยู่ในตราช่องตารางสี่เหลี่ยม ข้างในคล้ายตาหมากรุกดำบ้างขาวบ้าง บ้างก็มีเส้นเป็นมุมฉากขาวดำแทรกอยู่

          แท้จริงแล้วมันก็คือ barcode ชนิดหนึ่ง (barcode คือ “ตรา” ที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้ว่ามีข้อมูลใดอยู่ในสินค้าที่แนบมา )ที่เราเห็นบนสติ๊กเกอร์บนสินค้า barcode มิติเดียว เป็นเส้นตรงลากยาวลงมาโดยแถบความหนาต่าง ๆ กัน และมีตัวเลขอยู่ตรงข้างล่าง บางตราก็เป็นเส้นตรงคล้ายคลื่นวิทยุ เป็นแท่งตามแกนนอนก็มี เป็นสีๆ ก็มี หลากหลายกันไปตามมาตรฐานของแต่ละประเทศ

          ปัจจุบัน barcode ที่เป็นมาตรฐานของ UPC (Universal Product Code) ระหว่างประเทศก็คือแถบยาวลงมา หนากว้างสลับกันไปมา และมีเลขกำกับอยู่ใต้เส้นที่เป็นแถบ เราเห็นติดอยู่ตัวสินค้าเพื่อประโยชน์ในการอ่านราคา ข้อมูลที่มา ฯลฯและคิดเงินกับเราได้อย่างรวดเร็ว

          อย่างไรก็ดี barcode ปัจจุบันซึ่งเป็นที่นิยมคู่กับ barcode แบบดั้งเดิมก็คือ QR Code ซึ่งประยุกต์ใช้ได้ในหลายเรื่อง เริ่มแรก QR Code ใช้กันในอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น ซึ่ง code แต่ละอันมาจากการผสมปนเปอย่างเป็นระบบของ 4 ข้อมูล คือ (1) ตัวเลข (2) ตัวหนังสือ (3) byte หรือ binary คือ ระบบตัวเลข 0 และ 1 (4) ตัวอักษร Kanji ของญี่ปุ่น

          ระบบ QR Code ได้รับความนิยมนอกวงการรถยนต์ญี่ปุ่นก็เพราะสามารถอ่านได้รวดเร็ว อีกทั้งมีความสามารถในการเก็บข้อมูลได้มากเมื่อเปรียบเทียบกับระบบ UPC

          QR Code สามารถอ่านโดยเครื่องมือที่รับภาพได้ เช่นกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง เครื่องอ่านฯลฯตราแบ่งออกเป็น 5 พื้นที่ ตั้งแต่ข้อมูลเกี่ยวกับเวอร์ชั่นของมัน รูปแบบการวางข้อมูล (format) แบบแผนฃึ่งกำหนดไว้ เช่น ในเรื่องตำแหน่งของข้อมูล ระยะเวลา การปรับวางข้อมูล ฯลฯ และสุดท้ายคือบริเวณขอบของตราที่เป็น zone ให้รู้ว่าเป็นเขตสิ้นสุด

          ระบบ QR Code ประดิษฐ์โดย Denso Wave ของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1994 โดยมีวัตถุประสงค์ในตอนแรกเพื่อติดตามรถคันที่ผลิตในกระบวนการว่าไปถึงจุดใดแล้วโดยเน้นการอ่านที่รวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพก็มีการนำเอามาใช้นอกอุตสาหกรรมและข้ามประเทศ (ผลงานเด่น ๆ ของญี่ปุ่นในรอบ 10-20 ปี เห็นกันทุกวันนี้อย่างเป็นรูปธรรมก็คือหลอด LED / Line ที่เราส่งกันทุกค่ำเช้า / QR Code / การใช้พลังงานของรถยนต์ ฯลฯ)

          ประโยชน์ของ QR Code ก็คือให้ข้อมูลแก่ผู้อ่านผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเข้าถึง URLหรือ email address ตลอดจนอีเมล์หรือข้อความ ส่วนผู้ใช้ก็สามารถสร้างตราของ QR Code ขึ้นเพื่อให้คนอื่น scan ดาวโหลดข้อมูลและแอพพลิเคชั่นได้เช่นเดียวกัน

          ในการประชุมนั้น เพียง scan ตรา QA Code ผู้ร่วมประชุมก็สามารถดาวน์โหลดเอกสารการประชุมได้ทั้งหมด การแปะ QR Code ประกอบไว้ในเอกสารก็เป็นทางเลือกของผู้อ่านที่จะดาวโหลดเอกสารเพิ่มเติม

          ขอทานไม่ต้องวางกระป๋องขอเงิน เพียงหงายโทรศัพท์มือถือและเปิด QR Code ไว้ ผู้คนที่ผ่านไปมาหากต้องการให้ก็เพียง Scan QR Code ด้วยโทรศัพท์มือถือ หากทั้งสองอยู่ในระบบการจ่ายเงินเดียวกัน (เซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่เป็น AliPay หรือ UnionPay) เพียงกดตัวเลขที่ต้องการให้ เงินก็จะโอนเข้าบัญชีขอทานทันที เรื่องที่บรรยายนี้เกิดขึ้นจริงที่เซี่ยงไฮ้ และจะมีมากขึ้นทั่วโลก บนตั๋วรถเมล์รถไฟในต่างประเทศหรือบัตรที่นั่ง บนเครื่องบินในบ้านเรา ก็มี QR Code ทั้งนั้น

          ผู้เขียนเห็นคนจีนนั่งเล่นไพ่กัน ต่างคนต่างมีโทรศัพท์มือถือที่มี QR Code ได้เสียก็โอนกันตรงนั้นเลย ได้ยินมาว่าในบางหอพักในมหาวิทยาลัยจีนที่ต้องการเก็บเงินจากนักศึกษาชนิดให้ตระหนักในคุณค่าของน้ำและไฟฟ้า ทุกครั้งที่ใช้น้ำต้อง Scan QR Code ของก๊อกน้ำ โคมไฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ สิ้นเดือนก็จะรู้ว่าแต่ละคนใช้น้ำใช้ไฟฟ้าเป็นเงินเท่าใด

          ร้านค้าในจีนแม้แต่ในตลาดจะติดQR Code ไว้หน้าร้าน เวลาจ่ายเงินก็ให้ QR Code ของร้านและของผู้ฃื้อมาจับคู่กันและโอนเงินผ่านมือถือ บางร้านอาหารหากเป็นสมาชิกและมาเติมเงินที่ร้าน เขาก็จะแถมเงินเข้าบัญชีให้อีกร้อยละ 10 ด้วย

          ในนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ เราจะเห็น QR Code อยู่เต็มไปหมดเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งสะดวกมากเพราะเพียง scan ตราก็เข้าถึงข้อมูลแล้ว

          ในเดือนมิถุนายน 2011 เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่ออกเหรียญมี QA Codeบนเหรียญเพื่อฉลองครบ 100 ปีของ Royal Dutch Mint เมื่อใช้โทรศัพท์มือถืออ่านก็จะเข้าถึงเว็บไซต์พิเศษที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการออกแบบเหรียญ

          ในปี 2015 ธนาคารกลางของรัสเซียพิมพ์ธนบัตร 100 รูเบิลที่มี QR Code เพื่อฉลองการจัดตั้ง (ยึด) แหลมไครเมีย หนังสือปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ทุกเล่มมี QR Code เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับผู้เขียนหรือเรื่องราวที่เกี่ยวพัน

          การต้องพิมพ์ URL เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคทั่วไปไม่ชอบเพราะไม่สะดวกเท่ากับการ Scan QR Code ดังนั้นในเชิงการตลาดมันจึงมีความสำคัญ แต่ก็อาจลดลงในอนาคตเมื่อผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเข้าถึง URL ได้ง่าย ๆ ด้วยคำสั่งที่เป็นเสียง

          QR Code มีอันตรายเช่นกัน การทิ้ง QR Code ซึ่งบรรจุข้อมูลส่วนตัวบนบัตรหรือตั๋วเป็นสิ่งไม่ควรทำ เช่นเดียว กับการ Scan QR Code อย่างเลอะเทอะ เพราะอาจนำไปสู่การนำไวรัสที่เลวร้ายเข้ามาในเครื่องได้

หนีไม่พ้นเพราะเทคโนโลยี

วรากรณ์  สามโกเศศ
10 ตุลาคม 2560

         นานนับแสนปีตั้งแต่มีมนุษย์หน้าตาเช่นปัจจุบัน มนุษย์จำว่าใครเป็นใครด้วยการจดจำใบหน้าเป็นหลักอีกทั้งพยายามอ่านอารมณ์และความรู้สึก เพื่อสื่อสารถึงกันผ่านใบหน้า อย่างไรก็ดีในปัจจุบันเทคโนโลยีได้ไล่ทันและกำลังจะแซงหน้าความสามารถมนุษย์ในเรื่องเหล่านี้ ที่กล่าวมามิใช่นิยายแนววิทยาศาสตร์ ของ H.G.Wells หรือ Isaac Assimov หากกำลังเกิดขึ้นจริงและลามไปทั่วโลกโดยมี นัยยะสำคัญยิ่งต่อสังคมมนุษย์

          ในบางเมืองใหญ่ของประเทศจีน และบางประเทศในโลกตะวันตก การเบิกเงินจาก ATM การชำระเงิน การลงโทษคนทำผิดกฎจราจร ตลอดจนการปราบปรามอาชญกรรม ฯลฯ ใช้เทคโนโลยีจดจำและพิสูจน์ใบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่แสดงใบหน้าในจอของเครื่องมือก็สามารถเบิกเงินและชำระเงินได้อย่างสะดวก ที่เมืองเซินเจิ้นในจีนคนที่ข้ามถนนผิดกฎหมาย ภาพใบหน้าพร้อมชื่อจะปรากฏบนจอใกล้ ๆ เพื่อประจาน ที่ทำอย่างนี้ได้ก็เพราะจีนมีฐานข้อมูลของประชาชนพร้อมรูปถ่ายกว่า 700 ล้านคน เพียงกล้องถ่ายใบหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน

          ในสหรัฐอเมริกามีฐานข้อมูลเช่นนี้กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรผู้ใหญ่ (รวมกว่า 100 ล้านคน) โดยภาครัฐเป็นผู้เก็บและหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมต่างๆของประเทศสามารถใช้ร่วมกันจนทำให้สถิติอาชญากรรมลดลงไปมาก โดยเฉพาะการขโมยรถยนต์เพราะเพียงเห็นภาพคนขโมยรถก็รู้ชื่อได้ทันทีพร้อมข้อมูลประกอบอื่น ๆ ของบุคคลนี้

          นิตยสาร The Economist เล่มเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ลงเรื่อง “Nowhere to hide” โดยภาพปกเป็นรูปหน้าคนที่มีลายนิ้วมืออยู่เต็มใบหน้า ซึ่งสื่อว่าใบหน้าคนให้ข้อมูลที่มีลักษณะไม่ต่างไปจากลายนิ้วมือเฉพาะของแต่ละคน ผู้เขียนขอนำข้อมูลจากบทความนี้มาสื่อสารต่อ

          ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำโลกในด้านเทคโนโลยีบันทึกและพิสูจน์ใบหน้า ประเทศในโลกตะวันตกกำลังไล่ตามเพราะตระหนักดีว่าจะแพร่กระจายไปทั่วโลกในเวลาอีกไม่นาน ไอโฟนรุ่น 10 นั้นผู้ใช้เพียงส่องหน้ากับจอเครื่องแม้แต่ในความมืดก็จะเปิดให้ใช้งานโดยไม่ต้องใช้รหัสหรือลายนิ้วมือใด ๆ

          แอพลิเคชั่น ชื่อ VKontakte ของรัสเซีย สามารถพิสูจน์รูปภาพบุคคลหนึ่งที่ถ่ายมาโดยเอาไปเทียบกับรูปภาพในฐานข้อมูล หากมีรูปอยู่ในฐานก็สามารถพิสูจน์ได้ถูกถึงร้อยละ 70 นอกจากนี้คนที่เล่น Facebook จะรู้สึกแปลกใจที่มีการค้นหารูปที่มีอยู่มากมายมาจัดให้เป็นหมวดหมู่ บางครั้งแค่แท็กชื่อ ใบหน้าของเขาก็จะปรากฎอย่างถูกต้องทันที

          สองคำถามในใจคือ (1) หากมีศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแล้วจะยังแม่นยำอยู่หรือไม่ และ (2) คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไรจึงสามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์นี้ขึ้นมาได้

          สำหรับคำถามแรก การจดจำใบหน้ากระทำโดยบันทึกข้อมูลหลากหลายของใบหน้าเช่นระยะห่างระหว่างปลายจมูกกับใบหู ภาพเรขาคณิตที่เชื่อมต่อจุดต่าง ๆ บนใบหน้าและแปรเป็น ค่าตัวเลข พร้อมกับใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูงมาประยุกต์หาค่าเฉพาะของแต่ละจุด และใช้วิชาสถิติในการพิสูจน์ว่าข้อมูลบนใบหน้าที่บันทึกไว้ตรงกับใบหน้าที่นำมาเทียบเคียง ถึงแม้จะทำศัลยกรรมไปบางส่วนแต่ข้อมูลระยะห่างระหว่างอวัยวะต่างๆบนใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะดวงตา ดังนั้น คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานด้วยความแม่นยำที่สูง

          สำหรับคำถามที่สองนั้น สิ่งที่เรียกว่า Algorithm เป็นตัวอธิบาย ในภาษาชาวบ้าน Algorithm คือชุดของขั้นตอนเพื่อให้ทำงานได้สำเร็จ ตัวอย่างเช่นลืมรหัส 3 ตัวของกระเป๋าเอกสาร ในการค้นหารหัสต้องดำเนินงานทีละขั้นตอนโดยไล่ตัวเลขจาก 001 ถึง 999 ก็คือ Algorithm ซึ่งให้ความแม่นยำในการเปิดกระเป๋า แต่เป็น Algorithm ที่ขาดประสิทธิภาพเพราะใช้เวลานานมาก หากจะพัฒนา Algorithm นี้ต้องทดลองกับตัวเลขต่าง ๆ ที่มีความเป็นไปได้ก่อน เช่นบ้านเลขที่ เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด ฯลฯ หากล้มเหลวแล้วจึงมาไล่ตัวเลขอื่น ๆจนสามารถเปิดได้

          การทำกับข้าวก็เป็น Algorithm โดยเริ่มทีละขั้นตอนของการปรุงอาหารจนสำเร็จ หมอตรวจคนไข้เพื่อค้นหาสาเหตุของโรคก็เป็น Algorithm เช่นกัน

          Algorithm เพื่อพิสูจน์ใบหน้าก็คือชุดของขั้นตอนสำหรับให้คอมพิวเตอร์โปรแกรมทำงานจนสำเร็จ ในการทำงานของเทคโนโลยีพิสูจน์ใบหน้า ซอฟต์แวร์โปรแกรมก็จะทำไปทีละขั้นตอน ตรวจสอบจุดต่าง ๆ ที่สำคัญของใบหน้า ตรวจสอบค่าตัวเลขจากสมการคณิตศาสตร์ที่สร้างไว้โดยเฉพาะ โดยไล่ไปทีละขั้นตอนจนสำเร็จออกมาเป็นคำตอบว่าใช่ใบหน้าของคนที่มีข้อมูลบันทึกไว้ก่อนในฐานข้อมูลหรือไม่ และตรงกับชื่อใด มีเลขประจำตัวใด

          เทคโนโลยีพิสูจน์ใบหน้าใช้ประโยชน์ได้ 2 กลุ่มใหญ่กล่าวคือ หนึ่งใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตนโดยใช้เป็น biometrics อย่างหนึ่งเช่นเดียวกับลายนิ้วมือ ม่านตา DNA ฯลฯ สิ่งที่ได้เปรียบก็คือสามารถใช้ได้ในระยะไกล ไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปใกล้ หรือกดนิ้วบนเครื่อง สองใช้ประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมาย ในการค้า สร้างความสะดวกในชีวิต อ่านใจคนอื่น ช่วยให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฯลฯ ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น

          ในเรื่องการค้า เทคโนโลยีนี้สามารถสร้างเงินได้มหาศาล นับตั้งแต่รับจ้างสร้าง Algorithm เพื่อการค้า (ถ่ายรูปคนยืนหน้ากระจกดูสินค้าประเภทหนึ่ง เมื่อเอารูปคนนี้ไปจับคู่กับรูปภาพในฐานข้อมูล ต่อจากนี้ไปการโฆษณาสินค้าที่สนใจนั้นก็จะปรากฎบนมือถือบ่อยเป็นพิเศษ) หรือการขายฐานข้อมูลรูปภาพ (Facebook มีอยู่นับเป็นพันล้านรูป)หรือการที่คนขับแท๊กซี่ต้องถ่ายภาพตนเองทุกเที่ยวก่อนรับผู้โดยสารเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นคนขับรถตัวจริง (ในอินเดีย UBER มีข้อบังคับเช่นนี้) สายการบินใช้การจับคู่ภาพใบหน้ากับหนังสือเดินทางเพื่อพิสูจน์ตัวตนและลดการใช้บัตรระบุเบอร์ที่นั่ง

          ที่น่าตื่นเต้นมากก็คือ Dr.Craig Venture ยักษ์ใหญ่ของโลกด้านการค้นคว้า DNA ตีพิมพ์เอกสารวิชาการในฉบับล่าสุดของ Proceedings of the National Academy of Sciences ที่มีเนื้อหาว่าจากการทดลองใช้ฐานข้อมูล DNA และภาพของ 1,061 คน สามารถใช้ลักษณะของพันธุกรรมพยากรณ์หน้าตาของเจ้าของได้แม่นยำขนาด 8 ใน 10 คน นอกจากนี้ Algorithm นี้ยังสามารถผลิตภาพของเจ้าของ DNA เมื่อตอนอายุ 20 ได้ เมื่อเอาภาพนี้กับภาพจริงมาเทียบเคียงกันก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด

          เมื่อใช้ DNA ผลิตภาพได้ ในทางกลับกันหากมีภาพก็สามารถพยากรณ์ลักษณะของพันธุกรรมได้เช่นกัน มีการพบว่าร้อยละ 40 ของโรคบกพร่องทางพันธุกรรมสามารถบอกได้จากการใช้ภาพถ่ายเพราะรูปลักษณ์ของผู้ป่วยเหล่านี้จะมีลักษณะเฉพาะอันเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนตั้งแต่อยู่ในครรภ์โดยมีพันธุกรรมที่บกพร่องเป็นตัวกำหนด

          คิดแล้วก็น่าหวาดหวั่นในเรื่องความเป็นส่วนตัว เพียงเห็นภาพก็สามารถมองทะลุเห็น DNA ของเรา บอกได้ว่ามีลักษณะพันธุกรรมซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวอย่างยิ่งอย่างไร นอกจากนี้ ใครปล่อยของเสียส่วนตัวเลอะเทอะในที่สาธารณะก็สามารถรู้ว่าใครเป็นคนทำ เดินไปทางไหนที่มีกล้อง CCTV ก็รู้หมดว่า ชื่ออะไร เป็นใคร และมีโอกาสป่วยตายด้วยโรคอะไรตามพันธุกรรม

          ต่อนี้ไปนอกจากจะหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ยังขาดความเป็นส่วนตัวอีกด้วย หนทางรอดทางเดียวคือต้องเป็นคนเถื่อนแต่แรกเกิด และสวมหัวเป็นไอ้โม่งตลอดเวลา
 

สุขภาพดีต้องหนีหวาน

วรากรณ์  สามโกเศศ
26 ธันวาคม 2560

          ถ้าสารพิษคือสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วเป็นอันตรายต่อร่างกายแล้ว สารพิษที่ใกล้ตัวมนุษย์มากเพราะบริโภคอยู่ทุกวันก็คือน้ำตาล ฟังแล้วน่าตกใจแต่มีงานวิจัยยืนยันมากขึ้นว่าทำให้อ้วนได้ง่าย และนำไปสู่สารพัดโรค อีกทั้งยังโยงใยกับการเติบโตของเซลล์มะเร็งอีกด้วย

          มนุษย์เสพรสหวานกันมานานนับหมื่นนับแสนปีอย่างไม่ได้คิดว่าหากเสพเป็นปริมาณ มาก ๆ แล้วจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตนเอง ในประการแรก น้ำตาลซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยเรียกของที่ให้ความหวานนั้นทำให้คนติด ในทางเคมีแล้วการเสพติดน้ำตาลมีลักษณะที่ไม่ต่างไปจากเฮโรอีน โคเคน นิโคติน หรือคาเฟอีน กล่าวคือถ้าบริโภคในครั้งละมาก ๆ สมองก็จะหลั่งสาร dopermine (โดพ-พา-มีน) ซึ่งทำให้เกิดความสุขเช่นเดียวกับเสพสารเสพติดที่เรารู้จัก

          เมื่อบริโภคน้ำตาลมาก ๆ และบ่อยครั้ง ตัวรับ dopermine (dopermine receptors) ก็จะมีความสามารถในการควบคุมการหลั่งได้น้อยลงและมีจำนวนน้อยลง ดังนั้นมนุษย์ซึ่งติดความสุขอันเกิดจากการเสพน้ำตาลจึงบริโภคน้ำตาลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรักษาระดับของความสุขที่เคยชิน

          ทุกคนชอบน้ำตาลเพราะทำให้สิ่งที่บริโภคมีรสชาติดี และทำให้เกิดความสุข หากติดน้ำตาลแล้วโอกาสที่น้ำหนักจะเกินพอดีจึงมีสูงเพราะน้ำตาลให้พลังงาน (ให้ 4 แคลอรี่ทุก ๆ 1 กรัม) เข้าไปในร่างกาย หากไม่เผาผลาญพลังงานจากอาหารและน้ำตาลที่บริโภคเข้าไปให้หมดไปในแต่ละวันแล้ว ไขมันก็จะพอกพูนสะสมเป็นน้ำหนักมากขึ้น

          คนติดน้ำตาลซึ่งบริโภคน้ำตาลมากจึงมีพลังงานเข้าไปในร่างกายที่จำต้องเผาผลาญมากเป็นพิเศษ หากไม่ออกกำลังเพื่อเผาผลาญพลังงานอย่างจริงจัง น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นและยิ่งติดน้ำตาลมากเท่าใดก็มีทางโน้มที่จะอ้วนขึ้นเท่านั้น การบริโภคน้ำตาลแต่พอดีในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องสำคัญ

          ประการที่สอง น้ำตาลมากเกินไปทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปัญหาได้ dopermine ที่หลั่งเมื่อบริโภคน้ำตาลนั้นมีบทบาทสำคัญในการส่งต่อสัญญาณของเซลล์ประสาท ในการหลั่งของฮอร์โมนหลายตัว ในการควบคุมเคลื่อนไหวของร่างกาย ในการทำงานของไต ในการผลิต insulin ในการสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ในการสร้างอารมณ์และความสุข ในการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ฯลฯ การบริโภคน้ำตาลมาก ๆ นาน ๆ และ dopermine หลั่งออกมามากจึงเท่ากับไปขัดขวางการทำงานตามปกติของระบบการหลั่ง dopermine การเจ็บป่วยต่าง ๆ จึงเกิดตามมาเป็นธรรมชาติ

          ประการที่สาม การบริโภคน้ำตาลมาก ๆ จนเคยชินเป็นนิสัย นำไปสู่โรคเบาหวาน กล่าวคือ insulin ซึ่งตับอ่อนผลิตจะหลั่งออกมาเมื่อมีน้ำตาลเข้าไปในร่างกาย (จากการบริโภคน้ำตาลโดยตรงซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรต ผลไม้ แป้ง แอลกอฮอล์ ฯลฯ ) เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน อีกทั้งทำหน้าที่สะสมไขมันในเซลล์ซึ่งต่างจากฮอร์โมนอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่เผาผลาญไขมันในเซลล์

          เมื่อบริโภคน้ำตาลมาก ๆ และนาน ๆ insulin ก็มีอิทธิฤทธิ์น้อยลง ร่างกายเกิดการต่อต้าน insulin กล่าวคือมีการใช้น้ำตาลไปเป็นพลังงานได้น้อยลง เหลือน้ำตาลไปปรากฏในปัสสาวะ (โรคเบาหวาน) พลังงานไม่เข้าถึงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายดังปกติ เกิดอาการอ่อนเพลีย แผลหายยาก ไตทำงานหนักขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายรวนเร dopermine ไม่สามารถควบคุมการผลิต insulin ได้อย่างเป็นปกติ ฯลฯ ทั้งหมดนี้มาจากตัวการสำคัญของเรา

          สิ่งที่วงการแพทย์กังวลก็คือ กลุ่มโรคที่เรียกว่า NCD (Non-Communicable Diseases) ซึ่งได้แก่เบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจและสมองอุดตัน ไตวาย มะเร็ง ฯลฯ โรคเหล่านี้มิได้เกิดจากการติดเชื้อ หากมาจากพฤติกรรมความเคยชินในการบริโภค ดังที่มีคำกล่าวว่า “you are what you eat”
          การมีน้ำหนักเกินพอดีซึ่งมักมีสาเหตุจากการบริโภคน้ำตาลมาก ๆ นำไปสู่โรคเบาหวานและโรคในกลุ่ม NCD ที่มักตามกันมาเป็นชุด การแนะนำให้บริโภคน้ำตาลแต่พอควรจึงเป็นเรื่องน่าพิจารณานอกเหนือจากคำแนะนำให้บริโภคอาหารที่มีไขมันน้อย และไม่เค็มจัด (เรามักไม่ได้ยินคำเตือนเรื่องกินหวาน คนไทยเราจึงกินน้ำดำคู่กับอาหารอย่างสนุกสนาน)

          คำถามที่สำคัญก็คือควรกินน้ำตาลเท่าใดในแต่ละวันจึงจะอยู่ในระดับที่ปลอดภัย เนื่องจากอาหารผ่านกระบวนการผลิตที่เราบริโภคแทบทุกชนิดล้วนใส่น้ำตาลกันในปริมาณไม่น้อย โดยเฉพาะของหวานและเครื่องดื่มสำเร็จ อีกทั้งเรากินผลไม้ในแต่ละวันกันอยู่แล้ว ดังนั้นคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) จึงค่อนข้างเคร่งครัด ตัวเลขที่แนะนำจึงเกี่ยวพันกับส่วนของ “น้ำตาลที่เติมเข้าไป” ด้วยตัวเราเอง เช่น จากเครื่องดื่มชากาแฟ น้ำตาลตักใส่อาหาร อาหารจานด่วน น้ำหวาน ขนมหวาน ฯลฯ

          ตัวเลขคือไม่ควรกินน้ำตาลชนิด “เติมเข้าไป” เกินกว่า 6 ช้อนชาต่อวัน (24 กรัม) ซึ่งเป็นการปรับตัวเลขลงหลังจากพบการเชื่อมโยงกับหลายโรคโดยเฉพาะโรคมะเร็ง เดิมชายไม่ควรเกิน 9 ช้อนชาต่อวัน ส่วนหญิงไม่เกิน 6 ช้อนชา
“6 ช้อนชา” ไปได้ไกลแค่ไหนต่อวัน? ลองดูตัวเลขจากงานศึกษา (ก) ช็อกกาแลต แท่งเล็ก มีน้ำตาลประมาณ 4.9 ช้อนชา (ข) เครื่องดื่มชูกำลังกระป๋องเล็ก 4.1 ช้อนชา (ค) เครื่องดื่มกระป๋องน้ำดำ 5.6 ช้อนชา (ง) น้ำส้มครึ่งลิตร 7.5 ช้อนชา (จ) น้ำแดงโซดา 15.5 ช้อนชา (ฉ) ชามะนาว 12.6 ช้อนชา (ช) ชาดำเย็น 12.5 ช้อนชา (ซ) นมเย็น 12.3 ช้อนชา)

          สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) สำรวจและพบว่าน้ำแดงโซดานั้นเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของคนไทย (ชอบมากจนเผื่อเอาไปบูชารูปปั้นกัน แม้แต่ในสนามบินสุวรรณภูมิ) รวมทั้งอีก 3 ชนิดหลังด้วยบวกกับการชอบใส่น้ำตาลในอาหาร ชากาแฟ และเครื่องดื่มที่สุดหวานต่าง ๆ สถิติวิจัยการบริโภคน้ำตาลชนิด “เติมเพิ่ม” ของคนไทยคือวันละ 28 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขปลอดภัยเกือบ 5 เท่าตัว

          ในตอนเย็นแทบทุกหน้าโรงเรียน เราจะเห็นการขายลูกชิ้นทอดในน้ำมันซึ่งใช้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง สารพัดเครื่องดื่มสุดหวาน ไอศครีม เครื่องดื่มกุบกรับที่แสนเค็ม ฯลฯ พฤติกรรมเช่นนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเพราะเด็กเหล่านี้คือสมบัติที่มีค่าของสังคมเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต

          ในเรื่องความสัมพันธ์ของน้ำตาลกับมะเร็งนั้น งานวิจัยล่าสุดที่ศึกษาถึง 7 ปี โดยความร่วมมือของสถาบันวิจัยเบลเยี่ยม VIB–KULEuven (2008-2017) พบในห้องทดลองว่าเซลล์มะเร็งต้องการน้ำตาลเป็นอาหารมากกว่าเซลล์ปกติแทบทุกชนิดของร่างกาย อีกทั้งพบว่าการบริโภคน้ำตาลเกินความพอดีมีความสัมพันธ์อย่างเด่นชัดกับการเติบโตของเซลล์มะเร็ง

          น้ำตาลมีประโยชน์มหาศาลต่อร่างกายแต่ประเด็นอยู่ที่การบริโภคเป็นปริมาณมากเกินความพอดีเป็นเวลายาวนานอย่างเป็นนิสัยเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพ สิ่งที่ต้องระวังก็คือการเสพติดน้ำตาลขนาดหนักจนทำให้ต้องการเสพเป็นปริมาณมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในเวลาไม่นาน

          เราจะมีอายุยืนนานอย่างมีสุขภาพดี ถ้าไม่ติดนิสัยจากครึ่งชีวิตแรกจนทำให้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งสั้นลง
 

สินแร่ธาตุหายาก ยาพิษและอำนาจ

วรากรณ์  สามโกเศศ
15 สิงหาคม 2560

         ชีวิตในยุคเทคโนโลยีใหม่อาศัยความสุขจากการมีอุปกรณ์และเครื่องมือทันสมัยที่สร้างความสะดวกและความบันเทิง แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังฉากการถ่ายทำนั้นมีธาตุหายากเป็นตัวกำกับอยู่ และบทบาทเช่นนี้ทำให้เกิดอำนาจในการต่อรองระหว่างประเทศขึ้น
ธาตุหายาก (rare earth metal___REM) คือชื่อเรียกกลุ่มธาตุ(element) ทางเคมีที่มีสมาชิก 17 ตัว ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง ผลิตจอทีวี จอคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์นานาชนิด ตัวถังเครื่องบิน วงจรไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบอาวุธ ฯลฯ

          เมื่อได้ยินว่าเป็นธาตุหายาก ทุกคนก็นึกว่าเป็นสิ่งหายากเช่น เพชร หรือทองคำ แต่แท้ที่จริงแล้วมัน “หายาก” ในอีกความหมายหนึ่ง กล่าวคือธาตุ 17 ตัวนี้มีอยู่ทั่วไปบนผิวพื้นโลก แต่มันมีปริมาณน้อยมาก ๆ ต้องขุดดินและหินเป็นร้อย ๆตันกว่าจะได้ธาตุบางตัวมาสัก หนึ่งกรัม เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้นที่ 17 ตัวนี้อยู่ด้วยกันอย่างหนาแน่นเป็นพิเศษ

          คงจำได้ว่าเมื่อเรียนเคมีเราจะพบกับตารางธาตุ (periodic table) ที่มีชื่อธาตุต่าง ๆ เช่น อ๊อกซิเจน(0) / ไฮโดรเจน (H) / เงิน (Ag) / ทองคำ (Au) / โซเดียม (Na) ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 118 ธาตุ สินแร่ธาตุหายากนั้นหากนำมาผ่านกระบวนการสะกัดจะได้ 17 ธาตุ ซึ่งอยู่ใน 118 ธาตุนี้

          ในปี ค.ศ. 1787 มีผู้พบหินดำก้อนหนึ่งซึ่งมีลักษณะแปลกที่เหมืองใกล้เมือง Ytterby ในสวีเดน หลังจากการวิเคราะห์ก็พบว่าหนึ่งในสามของหินก้อนนี้ประกอบด้วยส่วนประกอบทางเคมีของธาตุหลายตัวที่ยังไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน อย่างไรก็ดียังไม่สามารถสะกัดเอาธาตุต่าง ๆ ออกมาได้ เกือบสองร้อยปีผ่านไปจึงประสบผลสำเร็จได้หลายธาตุเพื่อเอาไปทำประโยชน์

          ตัวแรกที่สะกัดออกมาได้อย่างบริสุทธิ์มีชื่อว่า yttrium (เพื่อเป็นเกียรติแก่แหล่งที่พบ) และเอาไปเป็นส่วนผสมกับสารอื่น ๆ เพื่อผลิตจอที่ให้สีแดง เช่น จอเรดาห์ จอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

          ธาตุ 17 ตัวซึ่งประกอบกันเป็น REM นั้นมีชื่อแปลก ๆ เช่น cerium (Ce) / dysprosium (Dy) / erbium (Er) / lanthanum (La) / thallium (Tm) / เป็นต้น

          ประโยชน์ประการแรกของ REM ก็คือการเอาธาตุบางตัวในกลุ่มไปประกอบกับก้อนที่เป็นสารกัมมันตภาพ เช่นยูเรเนียมโดยรวมกันวางอยู่ในท่อที่เรียกว่า fuel rod เพื่อช่วยทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากสารกัมมันตภาพวางอยู่ใกล้กันนั้นมีความรุนแรงน้อยลง ไม่เกิดความร้อนที่รุนแรง หากค่อยเป็นค่อยไป โดยพลังงานความร้อนนั้นจะนำไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ผลิตไฟฟ้า

          ในประการที่สอง บางตัวของ REM นั้นเมื่อนำไปผสมกับธาตุอื่นก็กลายเป็นโลหะ beryllium-aluminum ซึ่งมีน้ำหนักเบาและแข็งแรงมาก ในทางทหารเอาไปใช้เป็นโครงสร้างของตัวถังเครื่องบินรบ นอกจากนี้เอาไปใช้ในเทคโนโลยีเกี่ยวกับเรดาร์และการตรวจสอบสารระเบิดและระเบิด เป็นส่วนผสมในกระจกที่ต้านแรงสั่นสะเทือนได้ดี เช่น รถถังและเครื่องบินรบ ในทางพลเรือนเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างวงจรไฟฟ้าขนาดเล็กและเบาเพื่อใช้ ในเครื่องบินขนาดเล็กไร้คนขับ (drones) โทรศัพท์มือถือ เครื่องบินขนาดเล็ก ฯลฯ

          ประโยชน์ประการที่สาม ก็คือ เป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าเนื่องจาก lanthanum เป็นวัตถุดิบสำคัญของการสร้างแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ในรถยนต์ไฮบริด เช่น รถ Toyota รุ่น Priusนั้น ใช้ lanthanum ไม่ต่ำกว่าคันละ 20 ปอนด์ เพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการเก็บกระแสไฟฟ้าของแบตเตอรี่

          นอกจากนี้ยังมีการวางแผนที่จะใช้ thorium (สมาชิกที่มีกัมมันตภาพรังสี)ทดแทนยูเรเนียมที่หาได้ยากขึ้นทุกที ในความเป็นจริงมีการใช้ REM ประกอบในการสร้างอุปกรณ์และเครื่องมือทางทหารอีกมากที่เป็นความลับของแต่ละประเทศ ประโยชน์หรือโทษหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ thallium ได้กลายเป็น ยาพิษยอดนิยม

          ในยุคก่อน ค.ศ.1972 thallium sulfate ซึ่งเกิดจากการผสมของธาตุสมาชิกหนึ่งใน REM กับ sulfur กลายเป็นผงขาวเหมือนเกลือจนสามารถละลายในน้ำได้ สารนี้เป็นส่วนผสมสำคัญของยาเบื่อหนูซึ่งหาซื้อได้ง่าย เมื่อมีผู้รู้มากขึ้นก็กลายเป็นเครื่องมือฆาตกรรมที่เนียนจนมีชื่อเรียกว่า ผงพินัยกรรม (inheritance powder) กล่าวคือเป็นผงที่ช่วยให้ได้รับมรดก

          สำหรับมนุษย์นั้นผงขาวนี้เพียง 1 กรัมในกาแฟก็จะทำให้ล้มป่วย สุขภาพเลวลงอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตในเวลา 2-3 อาทิตย์ โดยมีอาการปนเปกับโรคอื่น ๆ จนแยกไม่ออกและหาหลักฐานไม่ได้ ความเนียนทำให้มันเป็นเครื่องมือที่แพร่หลายในปัจจุบันจนมีคดีฆาตกรรมในโลกตะวันตกอยู่ไม่น้อย

          ขอเล่ารายละเอียดเพื่อให้หวาดเสียวเล่นสักหน่อย เมื่อผงนี้ถูกย่อยสลายในร่างกายและเข้าไปในกระแสเลือด อะตอมของ thallium มีลักษณะคล้ายโปแตสเซียมมากจนร่างกายยอมให้เข้าไปในเซลล์ได้ และเมื่อบุกทะลวงเข้าไปได้ก็ไปทำปฏิกริยาทางเคมีจนทำลายสุขภาพลงอย่างช้า ๆ

          ผู้แนะนำว่าผงนี้เป็นยาพิษก็คือนักเขียนเรื่องฆาตกรรมลึกลับมือเอกของโลกคือ Agatha Christie (1890-1976) ผู้เขียนนิยาย 66 เรื่อง รวมพิมพ์ทั้งหมด 2,000 ล้านเล่ม (อันดับ 3 รองจากคัมภีร์ ไบเบิล และบทประพันธ์เช็คสเปียร์) ผงนี้เป็นยาพิษสำคัญในนิยายชื่อ The Pale Horse (1961) จนถูกวิจารณ์ว่าชี้โพรงให้กระรอก

          REM มีบทบาทสำคัญในเรื่องดุลอำนาจของโลกเนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีสินแร่ของ REM รวมตัวกันแน่นเป็นปริมาณมหาศาลที่สุดในโลก โดยอยู่ในบริเวณ Inner Mongolia ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจีน ว่ากันว่ามีมูลค่ามหาศาลอย่างไม่ต่างไปจากที่ซาอุดิอาระเบียมีน้ำมันเลย เหตุที่มีมากในบริเวณนี้ก็เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการเคลื่อนตัวของผืนแผ่นดินเมื่อ 400 ล้านปีก่อน จนภูเขาไฟระเบิดดัน REM ขึ้นมาจากใจกลางของโลก

          ประเทศที่มี REM เป็นปริมาณรองลงมาก็คืออาฟกานิสถาน ประเทศซึ่งมีภูมิรัฐศาสตร์ที่น่าอันตราย เพราะอยู่ใจกลางระหว่างตะวันออกกลาง รัสเซีย จีน และอินเดีย หากความวุ่นวายสู้รบในประเทศนี้ที่เริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1980 จบลงก็จะมีรายได้มหาศาลจาก REM

          ไม่มีใครบอกได้ว่าการสู้รบฆ่าฟันแย่งชิงดินแดนกันนั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการมี REM อยู่มากเป็นพิเศษหรือไม่ รายงานการสำรวจในปี 2010 ของ US Geological Survey ระบุว่า นอกจากมีสินแร่ REM อยู่มากแล้วก็ยังมีแร่เหล็กและทองคำอยู่อีกมากเป็นพิเศษอีกด้วย มูลค่าทั้งหมดนั้นอาจมีค่าระหว่าง 1-3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

          โครงการอวกาศพิชิตดวงดาวของสหรัฐ รัสเซียและจีนนั้น มีจุดมุ่งหมายประการหนึ่ง คือ แสวงหาสินแร่ REM และแร่ธาตุใหม่ ๆ จากดาวทั้งดวง สหประชาชาติในปี 1966 ได้เสนอ Outer Space Treaty โดยระบุว่าทรัพยากรจากนอกโลกเป็นของทุกคนบนโลกเช่นเดียวกับสิ่งที่อยู่ในก้นมหาสมุทร แต่ถึงปัจจุบันประเทศทั้ง 3 ก็ยังมิได้ลงนาม
 

สร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม

วรากรณ์  สามโกเศศ
24 มกราคม 2560

          เราเห็นคนที่มี “ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด” กันไม่น้อยในโลก สิ่งที่ทำให้เขา ‘เอาตัวไม่รอด’ นั้นส่วนใหญ่ก็มาจาก บุคลิกอุปนิสัยส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความไม่ซื่อสัตย์ การไม่ทำอะไรจริงจัง ความใจแคบ ความเห็นแก่ตัว ความขี้ขลาด การไม่ตรงต่อหน้าที่ ความโลเล การไร้ความรับผิดชอบ ฯลฯ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการมี บุคลิกอุปนิสัยที่ดีงามมาจากการศึกษา

          เมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนล่าสุด นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ได้มอบนโยบายในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา โดยมี ใจความตอนหนึ่งว่า “…….สำหรับพระบรมราโชวาทด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรนั้น มีใจความสำคัญว่า “การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน 2 ด้าน คือ (1) ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง (2) การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิต หรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education)…….”

          ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตขยายความเรื่องนี้เพื่อสืบสานพระบรมราโชวาท ผู้เขียนมั่นใจว่าคงไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยว่าปัญหาของสังคมไทยเราทุกวันนี้โยงใยกับ 2 เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ถ้าเด็กไม่มีทัศนคติที่ถูกต้องและขาดบุคลิกอุปนิสัยที่ดีงามแล้ว สังคมเราจะเดินหน้าอย่างมีความสุขสงบกันได้อย่างไร

          ในที่นี้ผู้เขียนขอกล่าวถึงเฉพาะเรื่องการสร้าง ‘บุคลิกและอุปนิสัย’ ที่ดีงาม ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วเป็นความรับผิดชอบสำคัญยิ่งที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน นับตั้งแต่พ่อแม่ สื่อ ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนผู้มีความรับผิดชอบ จนถึงครู

          ในโลกตะวันตกที่ใช้ภาษาอังกฤษ คำว่า character นั้นมีความหมายกว้างขวางมาก (‘บุคลิกและอุปนิสัย’ ในภาษาไทยพอใช้แทนคำนี้ได้) Cambridge International Dictionary of English ให้คำจำกัดความของ character ว่า “คือการผสมผสานกันของคุณลักษณะในบุคคลที่ทำให้แตกต่างจากผู้อื่น” คนที่มี “character ก็คือคนที่มีความดี มีจริยธรรม มีความกล้าหาญ มีบุคลิกลักษณะของความมุ่งมั่นในชีวิต มีความสุภาพ ฯลฯ มีความสามารถเป็นอย่างดีในการต่อสู้กับสิ่งที่เป็นลบในชีวิต”

          เมื่อกว่า 7 ปีมาแล้วผู้เขียนได้เขียนบทความชื่อ “Character is Destiny” หรือ “บุคลิกและอุปนิสัยคือชะตากรรม” ซึ่งประโยคนี้ผู้เป็นเจ้าของคือ Heraclitus (535 BC – 475 BC เกิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพานไม่กี่ปี) นักปรัชญาชาวกรีกผู้มีชื่อเสียง ผู้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและการไม่มีอะไรที่แน่นอนคือความจริงของชีวิต

          ประโยคนี้เป็นที่รู้จักกันดีในโลกตะวันตก ในปี 2005 วุฒิสมาชิก John McCain ของสหรัฐอเมริการ่วมกับ Mark Salter เขียนหนังสือขายดีชื่อ ‘Character is Destiny’ โดยนำคุณลักษณะของการเป็นคนมี character มาใส่เรียงกันและเอาชีวิตของผู้คนในประวัติศาสตร์มาเล่าว่าเขามีคุณลักษณะนั้น ๆ อย่างไรเพื่อปลุกเร้าความคิด เช่น เรื่องการเคารพผู้อื่น (มหาตมะคานธี) ความขยัน (Sir Winston Churchill) การควบคุมตนเอง (George Washington) การให้อภัย (Nelson Mandela) ความถ่อมตัว (Dwight D. Eisenhower) ฯลฯ

          ไม่มีคำจำกัดความที่ลงตัวว่าบุคคลจะต้องมีคุณลักษณะใดบ้างจึงจะเรียกว่าเป็นคนมี character แต่ที่ดูจะเห็นฟ้องต้องกันก็คือ นอกจากคุณลักษณะข้างต้นแล้วต้องมีความเชื่อมั่น การมีจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น กตัญญูกตเวที การไม่เห็นแก่ตัว ความมีเมตตา ฯลฯ ซึ่งสามารถเขียนได้ไม่รู้จบ

          อย่างไรก็ดีพอสรุปได้ว่า การมี ‘บุคลิกและอุปนิสัย’ ที่ดีงาม นั้นก็คือมีความดีงามในตนเอง ยึดจริยธรรมในการนำชีวิต มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น มีความสามารถในการต่อสู้กับความผันผวนที่เป็นลบ และมีอุปนิสัยที่งดงามเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลอื่นที่รู้จัก
คำถามสำคัญก็คือ เราจะสร้าง ‘บุคลิกและอุปนิสัย’ ที่ดีงามได้อย่างไร? ในประวัติศาสตร์โลก ศาสนาและความเชื่อมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในหลายวัฒนธรรมมีหลักสูตรการศึกษาเฉพาะที่สอนในเรื่อง Character Education ล้วน ๆ เพื่อให้เติบโตขึ้นเป็นคนที่มีศีลธรรม มีความเป็นพลเมือง มีกิริยามารยาทอันเหมาะสม มีทัศนคติอันเหมาะสม ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีความสุขในชีวิตและเป็นกำลังสำคัญของชาติ

          มี 4 รูปแบบใหญ่ของ Character Education ที่กระทำกันในหลายประเทศโดยอาจผสมปนเปกันตามความเหมาะสม อันได้แก่ (1) Cheerleading ซึ่งหมายถึงการทำให้ประเด็นเรื่อง character โดดเด่นขึ้นในใจของเด็ก เช่น ติดโปสเตอร์ในห้องเรียนและ โรงเรียนประชาสัมพันธ์แต่ละคุณลักษณะ มีประกาศเสียงตามสาย การประชุมเพื่อปลุกเร้า ระดมทุนอย่างมีจุดประสงค์ส่งเสริมการมี character ฯลฯ

          (2) Praise-and-reward คือการให้รางวัลหรือ positive reinforcement เพื่อทำให้คุณลักษณะที่ต้องการเข้าไปหล่อหลอมในอุปนิสัยของเด็ก โดย มองหาการกระทำความดีเพื่อให้รางวัล ทั้งเป็นคำพูดและสิ่งของเพื่อแสดงความชื่นชม

          (3) Define-and-drill วิธีการนี้คือให้นักเรียนท่องจำคุณลักษณะต่างๆของการมี character ตลอดจนคำนิยามวิธีการทางจิตวิทยานี้จะช่วยทำให้คุณลักษณะเหล่านั้นซึมลึกลงไปในตัว (ค่านิยม คุณลักษณะที่เคยท่องกันมาตอนเด็ก และที่ให้โดยนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา เข้าลักษณะนี้) การท่องบทสวดมนต์สร้างศรัทธาในศาสนาและการทำความดีได้ฉันใด วิธีการนี้ก็คล้ายคลึงกันในเชิงจิตวิทยา

          (4) Forced-formality คือการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด เช่น การเข้าแถว การใช้คำพูดที่ต้องจบด้วย ‘ครับ’ ‘ค่ะ’ การแต่งเครื่องแบบ ความยาวของเส้นผม ความยาวของกระโปรง การเข้าเรียนตรงเวลา ฯลฯ ในเชิงจิตวิทยา การบังคับเช่นนี้จะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อม

          ทั้ง 4 วิธีนี้อาจก่อให้เกิดผลในระยะสั้นและระยะกลางเท่านั้น การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงามนั้น ต้องมาจากการบ่มเพาะข้ามเวลา (โดยเฉพาะในช่วงอายุ 0-6 ขวบ) อย่างเหมาะสมจากสิ่งแวดล้อมในครอบครัว สังคมภายนอกและโรงเรียน

          พ่อแม่และครูที่มีประสิทธิภาพต้องมีความเข้าใจแนวคิดและวิธีการของการสร้าง character อยู่เสมอ โลกวิชาการเสนอแนะสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ เช่น วุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ-Emotional Quotient) ใช้การเล่าเรื่องเป็นเครื่องมือ ความฉลาดทางด้านจริยธรรมและศีลธรรม (MQ-Moral Quotient) (ดูหนังสือชื่อนี้ซึ่งเขียนโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน)

          ‘Character is Destiny’ นั้นจริงแท้แน่นอน คนมีบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยอย่างไรแต่เด็กเมื่อดำเนินชีวิตหรือทำงานก็จะนำคุณลักษณะเหล่านั้นไปด้วย คนขาดจริยธรรมและศีลธรรมก็จะเดินไปได้ไกลในระดับหนึ่งตามชะตากรรมที่เขากำหนดขึ้นเองอันมีบุคลิกอุปนิสัยเป็นฐาน

          ข้อเสนอแนะง่าย ๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง และคุณครู ในวิธีการสอนให้เด็กมี ‘บุคลิกและอุปนิสัย’ ที่ดีงามก็คือสอนคุณลักษณะที่พึงปรารถนาเสมือนให้กินเกลือวันละนิด อย่างไม่ว่างเว้นผ่านเรื่องเล่าที่เห็นในชีวิตประจำวันอย่างแนบเนียนและที่สำคัญตนเองปฏิบัติให้เป็นตัวอย่าง อย่าให้กินเกลือครั้งเดียวในปริมาณมากเพราะจะเป็นโรคไตวาย หรือตายไวได้

สปิริตของ 100 ปี JFK

วรากรณ์  สามโกเศศ
19 กันยายน 2560

          2017 เป็น 100 ปี ชาตกาลอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ (JFK) บุคคลผู้อยู่ในใจของคนอเมริกันและชาวโลกตลอดเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา ประกายไฟความคิดของ JFK ในเรื่องการรับใช้ชาติและสังคมก่อให้ผลกระทบกว้างไกลในโลก

          เมื่อเดือนพฤษภาคม 2017 ที่ผ่านมา อดีตประธานาธิบดีโอบามาเป็นผู้ได้รับรางวัล ซึ่งมีชื่อว่า “2017 John F. Kennedy Profiles in Courage Award” โดย The John F. Kennedy Library and Foundation มอบรางวัลให้ผู้ซึ่งแสดงออกฃึ่งคุณลักษณะของ “politically courageous leadership” (ความเป็นผู้นำที่กล้าหาญทางการเมือง) และบังเอิญตรงกับปีที่ JFK เกิดครบ 100 ปี ด้วย จึงเป็นรางวัลที่ใหญ่เป็นพิเศษ

          JFK เกิด 29 พฤษภาคม 1917 เป็นประธานาธิบดีเมื่อมีอายุได้ 44 ปี และเสียชีวิตตอนอายุ 46 ปี รางวัลดังกล่าวเริ่มมีการให้ตั้งแต่ปี 1990 โดยพิจารณามอบให้ผู้ที่ทำงานให้สังคมทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น และไม่จำเป็นต้องเป็นคนใหญ่โต ขอให้มีการแสดงออกฃึ่งคุณลักษณะของความกล้าหาญอันสะท้อนสปิริตของ “Profiles in Courage”

          “Profiles in Courage” เป็นชื่อหนังสือที่ JFK เขียนในปี 1957 (ตอนอายุ 40 ปี) และได้รับรางวัล Pulitzer ซึ่งถือเป็นรางวัลสุดยอดของนักเขียนในสหรัฐอเมริกัน

          หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงชีวประวัติของวุฒิสมาชิกอเมริกันแปดคนในอดีตที่มีความกล้าหาญและความสัตย์ซื่อ หรือ integrity (ทั้งซื่อสัตย์และมั่นคงในหลักการอันสอดคล้องกับคุณธรรม) ผู้เขียนกล่าวถึงการต่อสู้ของคนเหล่านี้ที่กล้ากระทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มั่นคงในหลักการ ถึงแม้จะตรงข้ามกับความเห็นของพรรคและของประชาชนผู้เลือกเข้ามาจนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและสูญเสียความนิยมไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีก

          ขณะที่ตีพิมพ์ JFK (มีคนกล่าวหาว่า JFK เพียงให้ไอเดีย ควบคุมเนื้อหา และการเขียน คนเขียนจริง ๆ คือ Ted Sorensen) เป็นวุฒิสมาชิก หนังสือเล่มนี้ฃึ่งเป็นเรื่องของนักการเมืองในยุคใกล้สงครามกลางเมือง (ทศวรรษ 1860) สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสองได้รับความนิยมมากจนได้รับรางวัล ถือได้ว่าเป็นตัวช่วยผลักดันให้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในเวลาอีก 3 ปีต่อมา

          สำหรับคนอเมริกันและชาวโลกจำนวนมากที่รู้จักเขา ไม่อาจจินตนาการได้ว่า JFK มีอายุครบ 100 ปี ในใจยังคงมีอายุเพียง 40 เศษ เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่จุดประกายไฟแห่งการอุทิศให้ “สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง ” อย่างเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ กล่าวสั้น ๆ ก็คือ JFK เป็นบุคคลที่หนุ่มตลอดกาล (คล้ายพ่อแม่ที่มองลูกไม่ว่าอายุมากแค่ไหน มีงานการใหญ่โตแค่ไหนว่าเป็นเด็กอยู่เสมอ) ในใจของผู้ชื่นชอบเขา ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในโลก

          “สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง” ก็คือประโยชน์ของชาติ ของมหาชน และของสาธารณะ ซึ่งครอบคลุมทั้งคนมีฐานะ คนขาดโอกาส คนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีเสียงในสังคม ในองค์การ ในสถาบัน ฯลฯ         

          ความกล้าหาญและความสัตย์ซื่อ มีความหมายกว้างขวางและสำคัญยิ่งหากปรารถนาจะทำงานเพื่อสร้าง “สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

          ปัจจุบันมนุษย์ในโลกจำนวนมาก อยู่ใน “ความกลัว” โดยกลัวตกงาน กลัวขาดรายได้ กลัวสูญเสียตำแหน่ง กลัวการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้จัก กลัวความไม่มั่นคงของสถาบันครอบครัว ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นผลพวงจากโลกาภิวัตน์ การโยงใยของระบบเศรษฐกิจ กระแสบริโภคนิยม ตลอดจนทัศนคติที่เปลี่ยนไปของผู้คน ทั้งหมดล้วนมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเป็นสาเหตุร่วมทั้งสิ้น

          “ความกลัว” ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ดังเช่นการเกิดความเกลียดชังคนที่คิดและเชื่อถือสิ่งที่ไม่เหมือนตน คนที่สวดมนต์แตกต่างออกไป คนที่พูดภาษาและมีขนบธรรมเนียมแตกต่างจากกลุ่มตน คนที่หน้าตาไม่เหมือนตน ฯ

          ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่เป็นพนักงานของรัฐและนักการเมืองต้องต่อสู้กับ”ความกลัว “ดังกล่าวที่นำไปสู่ปัญหาที่ฃับฃ้อนยิ่งด้วยการแสดงออกฃึ่งคุณลักษณะของความกล้าหาญอันได้แก่ (ก) ความกล้าหาญในการหันหลังให้แก่ผลประโยชน์จากการทุจริตคอรัปชั่นและการฉ้อราษฎร์ บังหลวง (ข) ความมีใจยึดมั่นในหลักคุณธรรมทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิต (ค) ความกล้าหาญยืนหยัดต่อสู้สิ่งไม่ถูกต้องในงานที่ตนรับผิดชอบ และ (ง) การต่อสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในทุกลักษณะของสังคมอันเป็นบ่อเกิดของสารพัดปัญหา

          ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา บุคลากรของภาครัฐไทยโดยทั่วไปมีความอ่อนแอในความรู้ความสามารถในงาน ตลอดจนการอุทิศตนเองเพื่อรับผิดชอบในหน้าที่ของตนตามกฎหมายถึงแม้จะได้รับผลตอบแทนและผลประโยชน์สูงกว่าที่เคยเป็นมาในอดีตก็ตาม สปิริต Profiles in Courage ของ JFK เป็นสิ่งที่สังคมเราขาดแคลนยิ่ง

          สำหรับสังคมโดยทั่วไป ความกล้าหาญที่สำคัญคือความกล้าที่จะพิจารณาและวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง เกลียดสิ่งไม่ดีในตัวเรา ยึดมั่นในการเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ และกล้าที่จะคิดว่าสังคมเราสามารถสมานสามัคคี และร่วมกันแก้ไขปัญหาของชาติได้

          ความกล้าหาญของคนในภาครัฐมิได้หมายความถึงความไม่กลัว (คนโง่เขลาที่ไม่รู้อะไรเป็นอะไรก็จะไม่กลัวอะไร) หากหมายถึงการรู้จักตนเองว่ามีหน้าที่รับผิดชอบสิ่งใด อีกทั้งมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะฝ่าฟันความยากลำบากทั้งปวงเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนผู้จ่ายภาษีให้เป็นเงินเดือนอย่างแท้จริง

          การทำงานให้สาธารณะของพนักงานรัฐและนักการเมืองมิใช่เพียงกระทำด้วยความ ตั้งใจดี ด้วยประสิทธิภาพและด้วยความฃื่อสัตย์เท่านั้น หากต้องเป็นไปด้วยการทุ่มเทอย่างเต็มที่ด้วย
 

เวเนซูเอลลาขัดแย้งไม่จบสิ้น

วรากรณ์  สามโกเศศ
22 สิงหาคม  2560

          ประเทศที่ประท้วงกันมิได้หยุดหย่อนจนเศรษฐกิจพังพินาศประเทศหนึ่งในปัจจุบันก็คือเวเนซูเอลลา ผู้คนทั่วโลกสนเท่ห์ว่ามันอะไรกันนักกันหนาจึงไม่มีความสงบเลย พูดกันไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร ข้อเขียนต่อไปนี้อาจสร้างความกระจ่างขึ้นได้บ้าง

          เวเนซูเอลลาเป็นประเทศในอเมริกาใต้ที่มีประชากรประมาณ 32 ล้านคน และมีพื้นที่ประมาณ 900,000 ตารางกิโลเมตร จำง่าย ๆว่า มีประชากรน้อยกว่าไทยครึ่งหนึ่งแต่มีพื้นที่มากกว่าไทยเกือบหนึ่งเท่าตัว

          ประเทศนี้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันดิบมากกว่าซาอุดิอาระเบีย อีกทั้งมีสินแร่ทองคำอยู่มากมาย แต่เหตุไฉนผู้คนจึงเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าในขณะนี้ หากตอบสั้น ๆ ในตอนนี้ก็คือมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างคน 2 กลุ่มในประเทศ

          ประชากรของเวเนซูเอลลาประกอบด้วย Mestizo (ลูกผสมระหว่างคนผิวขาวยุโรป คนพื้นเมืองอเมริกันอินเดียน คนอาฟริกา ฯลฯ) ร้อยละ 52 เป็นคนผิวขาว ร้อยละ 43 ในจำนวนทั้งหมด ร้อยละ 77 เป็นโรมันคาธอริก อีกร้อยละ 17 เป็นโปรแตสแตนท์ เมืองหลวงซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดคือ Caracas

          ประเทศล้มลุกคุกคลานมาตลอดสลับไปมาระหว่างประชาธิปไตยและเผด็จการตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20หลังจากหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของสเปน การค้นพบปริมาณน้ำมันปริมาณมหาศาลระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) ผลักดันให้เปลี่ยนจากเศรษฐกิจพึ่งพิงการเกษตรในการส่งออกมาเป็นน้ำมัน การมีน้ำมันเช่นนี้เสมือนกับเป็นปีศาจแปลงร่างมา (devil in disguise) กล่าวคือทำให้มีเงินเข้าประเทศมหาศาล แต่ คอรัปชั่นเบ่งบานเป็นประเพณี เอาแต่คิดพึ่งพิงการส่งออกน้ำมันอยู่เสมอ และเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้นอย่างมาก

          ในทศวรรษ 1960 ก็เกิดกลุ่มก่อการร้ายเอียงซ้ายเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในลาตินอเมริกา ความคิดแนวมาร์กซิสและสังคมนิยมแพร่กระจายในเวเนซูเอลลา และมีโมเมนตัมเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ในทศวรรษ 1990 ก็เกิดกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองที่มีชื่อเรียกว่า The Bolivarian Revolution (ตามชื่อของ Simon Bolivar ผู้นำปฏิวัติ ซึ่งเป็นวีรบุรุษของทวีปนี้ ในตอนต้นศตวรรษที่ 19ได้ ช่วยให้หลายประเทศหลุดพ้นจากแอกของสเปน) ซึ่งมุ่งสร้างประชาธิปไตย ความเสรีทางเศรษฐกิจ การกระจายรายได้ที่เป็นธรรม การจบสิ้นของคอรัปชั่น ฯลฯ ทั้งหมดด้วยวิธีการของลัทธิสังคมนิยม

          ในยุคทศวรรษ 1990 มีนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งชื่อ Hugo Chavez สมัยหนุ่มตอนเป็นทหารได้ตั้งกลุ่มลับในเหล่าทหารเพื่อหาทางนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้พัฒนาประเทศ เขาสามารถหาพรรคพวกได้มากจนทำการปฏิวัติใน ค.ศ. 1992 แต่ล้มเหลวต้องติดคุกเมื่อรัฐบาลที่เป็นพรรคพวกเดียวกันเป็นรัฐบาล Chavez ก็ได้รับการปล่อยตัวหลังจากติดคุกนาน 2 ปี เมื่อออกมาก็ลุยการเมือง อาศัยความกล้าได้กล้าเสีย วาทศิลป์ บุคคลิกและเสน่ห์ส่วนตัว Chavez ก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1998  Chavez เรียนจบโรงเรียนนายทหาร มีความรู้ดีมากในด้านลัทธิการเมืองและในการหาคะแนนนิยม แต่อ่อนมากในเรื่องการจัดการเศรษฐกิจ

          เขาเริ่ม The Bolivarian Revolution โดยให้ผลประโยชน์แก่คนยากจนที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างจริงจัง ให้ทั้งเงินโดยตรง สร้างบ้านให้ แจกอาหาร ให้เข้าถึงสาธารณสุขและการศึกษา โดยใช้เงินมหาศาลที่ได้รับจากการส่งออกน้ำมันในต้นทศวรรษ 2000 จนทำให้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนเป็นขวัญใจของคนยากจน ผู้เลื่อมใสแนวทางของเขาเรียกตัวเองว่า Chavistas ส่วนผู้ที่ไม่เห็นชอบคือพวก Non-Chavistas นั้นได้แก่ผู้นิยมประชาธิปไตย ผู้ประกอบธุรกิจ คนชั้นกลางและสูง (ธุรกิจอาจถูกยึดเป็นของรัฐได้อย่างไม่ยากนัก)

          Chavez ได้รับเลือกตั้งอีกหลายครั้งต่อเนื่องมาจนมาถึงปี 2012 ที่ถึงชนะแต่ก็ไม่ได้เป็นอีก เพราะตายเสียก่อนจากโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ การชุมนุมประท้วงก่อนเลือกตั้ง ระหว่างและหลังเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติของคนในประเทศนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ Chavez เป็นประธานาธิบดีนั้นประท้วงกันไม่ขาด

          เชื้อไฟของเหตุการณ์วุ่นวายก็มาจากการแขวนโชคชะตาของประเทศไว้กับราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันตกลงตั้งแต่ประมาณกลางทศวรรษ 2000 เงินที่จะนำมา “แจก” ก็ไม่มี รัฐบาลก็พิมพ์ธนบัตรมากขึ้น (ราคาสินค้าก็พุ่งขึ้นเพราะอำนาจซื้อสูงขึ้น แต่สินค้ามีอยู่เท่าเดิม) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ลดลงเป็นลำดับเพราะส่งออกน้ำมันไม่ได้มากแต่นำเข้าสูงตลอดมาจนเกิดการขาดดุลการค้าและตามด้วยการขาดดุลการชำระเงิน จึงไปกินเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จนอาจชำระหนี้ต่างประเทศในปีหน้าไม่ได้

          การควบคุมราคาสินค้าทำให้สินค้าหายไปจากตลาด (ไม่คุ้มที่จะผลิตออกมาหรือผลิตออกมาก็มีขายแต่ในตลาดมืดในราคาที่สูงลิบจนคนทั่วไปเข้าไม่ถึง) ครั้นจะนำเข้าก็ไม่ได้เพราะจะทำให้ราคาเกินที่กำหนด การขาดแคลนสินค้าดำรงชีพโดยเฉพาะยานั้นรุนแรงมาก เงินเฟ้อก็สูงถึงปีละกว่า 100% ในปี 2017 นี้อาจสูงถึง 1,000%

          สภาวะเช่นนี้ดำรงอยู่ตลอดทั้งก่อนหน้าและหลังการตายของ Chavez ในปี 2013 รองประธานาธิบดีชื่อ Nicolas Maduro ในวัย 51 ปี ฃึ่งเป็น Mestizo ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน Maduro นั้นเรียนไม่จบชั้นมัธยม อดีตเป็นคนขับรถโดยสารประจำทางและผู้นำสหภาพแรงงานก่อนที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 2000 เมื่อ Chavez ถูกใจก็ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 2005 ทั้ง ๆ ที่พูดได้แต่ภาษาสเปน

          Maduro เป็นคนฉลาด มีฝีมือทางการเมืองแต่ขาดเสน่ห์อย่างต่างไปจาก Chavez นับตั้งแต่เป็นประธานาธิบดีมาก็ถูกประท้วงเป็นประจำเพราะต้องเผชิญกับ “มรดก” ที่ลูกพี่ทิ้งไว้ให้ นโยบายสังคมนิยมในอดีตที่ไม่ปล่อยให้กลไกลตลาดทำงานเสรีในระดับหนึ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจยิ่งขึ้น ผู้คนลำบากกันทั่วหน้า ว่างงาน ทำมาหากินได้ลำบาก เพราะทุกวันมีแต่การชุมนุมประท้วงไล่

          เหตุการณ์มาผันผวนเลวร้ายลงอย่างฉับพลันเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2017 เมื่อศาลสูงซึ่งเป็นพวกเดียวกันตัดสินให้เลิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด (สองในสามคือ ส.ส.ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามพรรคของประธานาธิบดี และสนับสนุนผู้ประท้วง) ผู้คนจึงประท้วงอย่างกว้างขวางจนศาลสูงสุดกลับคำตัดสินในอีก 3 วันต่อมา ตลอดเวลา 4 เดือนกว่า การประท้วงรุนแรงขึ้นเป็นลำดับจนมีคนตายไปแล้วกว่า 100 คน และบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 400 คน แต่Maduro ก็ไม่ยอมลาออกและมีลูกเล่นคือให้มีการเลือกตั้งสภาชนิดใหม่ที่เรียกว่า Constitutional Assembly ขึ้นในปลายเดือนกรกฎาคม เพื่อมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2018 ต้องเลื่อนออกไป และทำให้ตนเองอยู่ในอำนาจนานขึ้น

          Maduro จัดการกับฝ่ายค้านอย่างสไตล์เผด็จการ จับขังคุกหลายร้อยคน สื่อตายไปหลายคน มีคนกล่าวหาว่าประธานาธิบดี Maduro และ Chavez ใช้วิธีการสกปรกแบบรุนแรงหลายรูปแบบ จนผู้นำประเทศลาตินอเมริการวม 11 คน ลงนามในจดหมายประท้วง อีกทั้งกีดกันเวเนฃูเอลลาออกไปจาก Mercosur (กลุ่มสนับสนุนการค้าเสรีในอเมริกาใต้)

          ขณะนี้ไม่มีใครคาดเดาว่าจะจบลงอย่างไร Maduro ไม่ยอมอ่อนข้อเพราะกลัวโดนคิดบัญชีหลังตกจากอำนาจแล้ว ฝ่ายค้านก็มีพลังเพราะดูจะอยู่ในฝ่ายธรรมะจึงไม่ยอมลดราวาศอกตราบที่ Maduroไม่ลาออก และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีตามกำหนดเวลาของรัฐธรรมนูญคือ ปี 2017

          กลุ่มชื่นชมนโยบายสังคมนิยม และกลุ่มต่อต้านซึ่งขัดแย้งกันมายาวนาน ยากที่จะจบลงได้เนื่องจากไม่เห็นพ้องกันในบทบาทของภาครัฐในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ อยากเชื่อว่าประเทศสารขันธ์ขัดแย้งน้อยกว่าเพราะเป็นประเด็นเรื่องตัวบุคคล ซึ่งมาและก็จะหายไป
 

วิชามารการตลาด

วรากรณ์  สามโกเศศ
4 กรกฎาคม 2560

          วิชา “การตลาด” มีคุณค่าสำหรับการเรียนรู้ อย่างไรก็ดีผู้ประยุกต์วิชานี้ในปัจจุบันใช้วิชาการตลาดไปในแนวทางมาร หลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงผิด เสียเงินเสียทองเกินกว่าจำเป็น สูญเสียคุณภาพชีวิต และอาจถึงแก่ชีวิตด้วย นอกจากนี้ยังเท่ากับกำลังสนับสนุนแนวคิดเรื่องการโกหกหลอกลวงผู้คนว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

          การตลาด (marketing) คือการศึกษาและการจัดการการแลกเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้ขาย ผู้ขายกับผู้สัพพลายสินค้าและวัตถุดิบ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน

          The American Marketing Association ให้คำจำกัดความของ marketing ว่าคือ “กิจกรรม และกระบวนการ ซึ่งเป็นไปเพื่อการสร้าง เพื่อการสื่อสาร เพื่อการส่งมอบ และการแลกเปลี่ยนข้อเสนอซึ่งมีคุณค่าแก่ลูกค้า ผู้ร่วมค้าขาย และสังคมโดยส่วนรวม”

          เมื่อพิจารณาสองคำจำกัดความนี้ก็จะเห็นว่า “การตลาด” เป็นกิจกรรมที่มุ่งแลกเปลี่ยน สื่อสาร สร้างสรรค์สิ่งมีคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและแก่สังคม สิ่งทั้งหมดไม่ใช่วิชามารอย่างแน่นอน

          ผู้ดำเนินการมุ่งสร้างกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสื่อสารสิ่งที่มีคุณค่าให้แก่ผู้เกี่ยวข้องและแก่สังคม ถ้าเป็นธุรกิจก็หมายถึงว่าผู้ประกอบธุรกิจพยายามสร้างสิ่งที่มีคุณค่า สื่อสารและส่งมอบของให้แก่ลูกค้าโดยผ่านการแลกเปลี่ยน ซึ่งได้แก่ให้เงินและรับสินค้าที่มีคุณค่าไป

          “marketing” มาจากภาษาละติน “mercatus” ซึ่งหมายถึงสถานที่เป็นตลาด ซึ่งมนุษย์รู้จักกันมายาวนาน อาจถึง 10,000-20,000 ปี มนุษย์ทำการตลาดกันโดยธรรมชาติอย่างไม่รู้ตัวมาแต่ดึกดำบรรพ์ ผลิตของที่มีคุณภาพมาขาย ชี้ชวนให้เห็นว่าเป็นของดีและแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงิน และกว่าที่จะมีการซื้อขายกันได้ก็เป็นที่แน่นอนว่ามนุษย์ต้องมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างกัน คงเหมือนปัจจุบันที่ ๆ ใดคนขายหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี เป็นมิตรกับผู้คน ก็ย่อมค้าขายเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการแลกเปลี่ยนนั้นเป็นไปอย่างเป็นธรรม กล่าวคือราคาสอดคล้องกับคุณภาพ

          คำว่า marketing ปรากฏครั้งแรกในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ในศตวรรษที่ 16 ซึ่งให้ คำจำกัดความว่าเกี่ยวพันกับการซื้อและการขายที่ตลาด คำจำกัดความสมัยใหม่ของ marketing ซึ่งกินความกว้างขวางกว่าปรากฏในพจนานุกรมใน ค.ศ. 1897 ส่วนศาสตร์เรื่องการตลาดนั้นเพิ่งเริ่มเป็นจริงเป็นจังกันเมื่อประมาณ ค.ศ. 1900 นี้เอง

          ถึงแม้ว่าการตลาดจะไม่ใช่วิชามาร แต่ทุกวันเราเห็นผู้ค้าขายใช้วิชามารมาเป็นกลยุทธ์ในด้านการตลาดอย่างน่าละอายใจ มองไปทางไหนในสังคมเราเห็นแต่การตลาดชนิดหลอกลวง สายการบินโลว์คอสต์นั้นเห็นบ่อยที่สุด ระบุราคาแสนถูกในทุกสถานที่โฆษณา แต่เมื่อซื้อจริงก็จะมีการเก็บเงินเพิ่มโน่น นี่ นั่น จนบ่อยครั้งแพงกว่าที่ระบุไว้ 2 เท่าก็ ยังมี กระทำกันเช่นนี้จนประชาชนเห็นว่าการโกหกให้สนใจเข้าไว้ก่อนเป็นเรื่องธรรมดา

          ในต่างประเทศส่วนใหญ่นั้นผมไม่เคยเห็นการตลาดแบบวิชามารดังที่กระทำกันในกลุ่มสายการบินราคาต่ำในบ้านเราในปัจจุบัน ระบุราคาใดก็ต้องเป็นราคานั้นจะกระทำกันแบบ “หน้าหนา” ดึงลูกค้าให้สนใจไว้ก่อนนั้นผิดกฎหมาย สำนักงานผู้บริโภคอันเข้มแข็งเขาจะปรับและอาจมีคดีอาญาพ่วงด้วย สำหรับผู้บริโภคไทยนั้นเคยชินกับวิธีการมารจนไม่รู้ว่าที่อื่นเขาไม่ทำกัน

          การอ้างว่าเมื่อสายการบินหนึ่งทำ อีกสายการบินก็ต้องทำนั้นเป็นคนละประเด็นกันในเรื่องความเหมาะสม บ้านเรายอมรับวิชามารการตลาดกันจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่กระทะ รถยนต์ ทีวี เครื่องไฟฟ้า ยันตั๋วเครื่องบิน และซึมซับวัฒนธรรมการหลอกลวงกันอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คอรัปชั่นที่กระจายอยู่แทบทุกวงการทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความเคยชินกับความเท็จจนรับมาเป็นค่านิยมในชีวิตอย่างไม่ตั้งใจ

          คนที่ทำการตลาดบ้านเราทุกวันนี้เขาถือว่าพูดอะไรที่เกินเลยความจริง พูดความเท็จ เพื่อดึงดูดความสนใจผู้บริโภคไว้ก่อนมิใช่เรื่องเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้นบางส่วนเชื่อว่าการตลาดสำคัญกว่าเนื้อหาที่เป็นของจริง การตลาดแบบเท็จนั้นทำให้ขายของได้ไม่ว่าคุณภาพจริง ๆ จะเป็นอย่างไร ขอให้สร้างภาพให้ดูดีไว้ก่อนเป็นสำคัญ

          ความศรัทธาในเรื่อง “ความกลวง” มากกว่า “ของจริง” เป็นมายาคติที่แฝงอยู่ในการประกอบธุรกิจของคนยุคใหม่ไม่น้อย ในระดับหนึ่งกลยุทธ์วิชามารเช่นนี้อาจได้ผลในสังคมที่อ่อนแอในการดูแลผู้บริโภค แต่ในระยะเวลาที่ยาวขึ้นแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่า “ความกลวง” นั้นก็คือ “ความกลวง” อยู่วันยังค่ำ จะไม่มีวันชนะ “ของจริง” ได้เลย

          กระทะเกาหลีอันอื้อฉาวของไทยเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน “ของกลวง” ขายราคาแพงด้วยการตลาดที่พิลึกอัศจรรย์อาจขายได้ดีในช่วงระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้วก็จะหนีสัจธรรมไปไม่พ้น

          “คนกลวง” จะหลอกผู้คนบางกลุ่มได้ในบางเวลา และในบางสถานการณ์ แต่จะไม่สามารถหลอกทุกคนได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์

          หลายปีก่อนผู้เขียนเห็นโฆษณาขายบ้านจัดสรรว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟ ด่านช้าง สนามบินสุวรรณภูมิแค่ 100 เมตร ใครที่เห็นโฆษณาก็ต้องนึกว่าเป็นหมู่บ้านที่มีชัยภูมิดี จนวันหนึ่งผู้เขียนนั่งรถยนต์ผ่านไปจึงพบว่าหมู่บ้านนั้นอยู่ใกล้จริงแต่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามสถานี ซึ่งถ้าจะไปสถานีดังว่าต้องขับรถไปอ้อมบนถนนทางด่วนกรุงเทพฯ-ชลบุรี อีกเป็นนับสิบ ๆ กิโลเมตร นี่คืออีกตัวอย่างของการใช้วิชามารในการตลาด

          กลับมาเรื่องวิชามารในสายการบินราคาถูก สายการบินเกี่ยวข้องกับการไว้เนื้อเชื่อใจมากเพราะผูกพันกับความปลอดภัยและชีวิต ถ้าใช้วิธีการขายตั๋วแบบกะล่อนหลอกลวงเช่นนี้อยู่ ร่ำไป แล้วจะเชื่อถือได้อย่างไรว่าในเรื่องความปลอดภัยจะไม่กะล่อนด้วย
ไม่เข้าใจว่าผู้ดูแลในเรื่องการโฆษณาให้ถูกต้องและเหมาะสมแก่ผู้บริโภคปล่อยไว้ได้อย่างไร จะอ้างว่าไม่มีผู้ร้องจึงทำอะไรไม่ได้นั้นฟังไม่ขึ้น ผมอยากถามว่าคนในราชการที่รับผิดชอบงานชนิดนี้เอาเงินเดือนมาจากไหน ซึ่งแน่นอนว่ามาจากภาษีประชาชน แค่นี้ยังไม่พอหรือว่าเขาจ้างมาเพื่ออะไร ถ้าตั้งขึ้นมาแล้วยังต้องรอคนมาแจ้งก็ยุบไปดีกว่า

          การตลาดที่ดีต้องอาศัยคนที่มีคุณธรรมและกฎกติกาของสังคมที่เข้มแข็ง การตลาดที่ดีทำให้บริษัทดูยิ่งใหญ่และทำให้ผู้บริโภคฉลาดขึ้น

โลกกลั้นใจกับเลือกตั้งฝรั่งเศส

วรากรณ์  สามโกเศศ
2 พฤษภาคม 2560

          ชาวโลกใจจดใจจ่อกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสครั้งนี้เป็นอย่างมากเพราะตระหนักดีว่าผลที่ออกมาอาจหมายถึงการแตกสลายของ EU ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโลกเป็นอย่างมาก ถ้าจะว่ากันตรง ๆ ก็คือกลัวว่าผู้สมัครคนหนึ่งจะชนะเลือกตั้งมากกว่ากลัวว่าคนที่ตนเชียร์จะแพ้ ผู้เขียนจะพยายามเขียนถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ในแนวที่ไม่ซ้ำนักกับที่ได้ยินกันอยู่ในสื่อไทยขณะนี้

          การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสนั้น คนจะได้เป็นต้องได้คะแนนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มาลงคะแนน ถ้ารอบแรกไม่มีใครได้ถึง ก็เอา 2 คนแรกที่ได้คะแนนสูงสุดมาตัดเชือกกันในยกสอง ซึ่งต้องไม่ห่างจากรอบแรกเกินกว่า 15 วัน
ในรอบแรกเมื่อ 23 เมษายนที่ผ่านมา ผลปรากฏว่าใน 11 คนที่ลงสมัคร มี 5 คน ที่ได้คะแนนมากพอจะเอามาพูดกัน

          คนได้สูงสุดคือ Emmanuel Macron จากพรรค EN (En Marche) ได้ 24.01% คนที่สองคือ Marine Le Pen จากพรรค FN (National Front) ได้ 21.3% คนที่สามคือ Francois Fillon จากพรรค LR (The Republicans) ได้ 20.01% คนที่สี่คือ Jean-Luc Mélenchon จากพรรค FI (La France insoumise) ได้ 19.58% และคนที่ห้าคือ Benoît Hamon จากพรรค Socialist ได้ 6.36%

          เมื่อผลเป็นเช่นนี้คนที่ได้เข้าไปชิงชัยรอบสองก็คือ Macron กับ Le Pen คนที่คนฝรั่งเศสและชาว EU จำนวนมากกลัวว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีก็คือ Le Pen สาวใหญ่วัย 49 ปี ลูกสาวคนสุดท้องของคนก่อตั้งพรรค NF ผู้แสนอื้อฉาว ลงสมัครแข่งเป็นประธานาธิบดีหลายครั้งหลายหนแต่ไม่เคยใกล้ความจริงเลย

          ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นไปตามโพลอย่างแม่นยำก็คือ Macron หนุ่มอายุไม่ถึง 40 ปีดี ผู้ซึ่งเป็นประเด็นในสื่อไทยอย่างมากในเรื่องที่มีภรรยาอายุมากกว่าเขาถึง 24 ปี โดยเขาพบเธอตอนอายุ 15 ปี โดยเธอเป็นครูสอนวิชาการละคร และเป็นแฟนอยู่กินกันเมื่อเขามีอายุได้ 18 ปี เขาแต่งงานกับเธอเมื่อตอนเขามีอายุ 30 ปี โดยเธอมีลูกติดมา 3 คน ปัจจุบันเธออายุ 63 ปี ในขณะที่เขามีอายุใกล้ 40 ปี

          เมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัวแล้ว Le Pen ผู้น่ากลัวก็โลดโผนไม่น้อย เธอแต่งงานมาแล้ว 2 ครั้ง ๆ ละประมาณ 4-5 ปี โดยมีลูกกับสามีคนแรก 3 คน ปัจจุบันเธออยู่กินกับคนที่สามโดยมิได้แต่งงานมา 7 ปี คนนี้เป็นเลขาธิการพรรค FN ที่เธอเป็นหัวหน้าพรรค

          Macron ซึ่งเป็นตัวเก็งประธานาธิบดีเพราะโพลระบุว่าเขาจะชนะ Le Pen ประมาณ 62% กับ 38% ไม่เคยลงเลือกตั้งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประสบการณ์ที่เขามีคือเคยเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของประธานาธิบดี Hollande และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวง Economy, Industry และ Digital Affairs ซึ่งเป็นอยู่ 2 ปี ก่อนออกมาตั้งพรรค EM เมื่อกลางปี 2016 ว่ากันว่าที่เขาสามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะภรรยาของเขาเป็นกุนซือสำคัญ

          Macron มีพ่อเป็นหมอและมีแม่เป็นศาสตราจารย์ทางประสาทวิทยา เขาเรียนจบปริญญาตรีด้านปรัชญา และเรียนต่อจนจบปริญญาชั้นสูงที่เรียกว่า DEA (เกือบถึงระดับปริญญาเอก เพียงแต่ไม่มีการเขียนวิทยานิพนธ์ตรงกับที่เรียกกันว่า ABD หรือ All But Dissertation ในสหรัฐอเมริกา) ต่อมาจบปริญญาโทด้าน Public Affairs จาก Sciences Po (Paris Institute of Political Studies) อันมีชื่อเสียงเพราะประธานาธิบดีและคนใหญ่คนโตหลายคนจบจากสถาบันอันเก่าแก่นี้ และเรียนต่อที่ École nationale d’administration(ENA)

          ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีทุกสเกลของการเมืองให้เลือก Hamon นั้นซ้ายสุดเกือบถึงคอมมูนิสต์ ถัดมาซ้ายจัดคือ Mélenchon ส่วนขวาของตรงกลาง (center-right) คือ Fillon และขวา ตกขอบ คือ Le Pen ตรงกลางมีที่ว่างและคนที่พยายามเข้าไปสวมก็คือ Macron

          เหตุที่ผู้คนกลัว Le Pen ก็เพราะพรรคเธอนั้นต่อต้านยิว ต่อต้านคนอพยพ โดยเฉพาะมุสลิม ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านการแต่งงานของรักร่วมเพศ เห็นด้วยกับโครงการประหารชีวิต ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง ต่อต้าน EU และที่สำคัญที่สุดเธอบอกว่าถ้าชนะจะต่อรองกับ EU ให้ได้สถานะของฝรั่งเศสที่ดีกว่าเก่า ถ้าไม่ได้ก็จะให้มีการลงประชามติว่าจะออกจาก EU หรือไม่

          ข้อหลังนี้แหละที่ชาว EU หวาดกลัวเพราะฝรั่งเศสเป็นหัวหอกในการก่อตั้ง EU ถ้าออกไปเหมือนอังกฤษ (คนอังกฤษจำนวนมากกำลังรู้สึกเสียดายที่ได้มติ Brexit มา) ก็พอจะเห็นอนาคตของ EU ได้เพราะจะมีอีกหลายประเทศที่เลียนแบบอย่างแน่นอน

          ความคิดของ Le Pen นั้นคล้ายคลึงกับ Trump มาก Trump ก็โทรไปเชียร์เธอและประกาศให้โลกรู้ (เธอเลยไม่มาอันดับ 1?) ส่วน Obama นั้นก็ทำเช่นเดียวกันโดยโทรไปให้กำลังใจ Macron

          สื่อต่างประเทศบอกว่าในการโหวตรอบแรกนั้น คนฝรั่งเศสมักลงคะแนนโดยใช้หัวใจและในการลงคะแนนรอบสองจึงใช้สมอง ในการลงคะแนนวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ก็จะชี้ชะตาว่าโลกจะเดินไปในทิศทางใด ในรอบแรกก็เห็นแล้วว่าฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศสพ่ายแพ้ล้มลุกคุกคลาน ขนาดประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ Francois Hollande สังกัดพรรคสังคมนิยมแต่ Harmon ผู้สมัครพรรคเดียวกันได้คะแนนเพียงร้อยละ 6.36% เท่านั้น Macron ซึ่งเคยเป็นสมาชิกพรรคนี้รีบตีตนออกห่างโดยไปตั้งพรรคตนเอง ในขณะที่สองผู้สมัครเอียงขวาคือ Fillon กับ Le Pen ได้คะแนนรวมกันกว่า 40%

          Le Pen เป็นผู้สมัครที่มีคนนิยมไม่น้อย การพลาดจากอันดับหนึ่ง ทำให้โอกาสของเธอในยกสองลดลงมาก เธอเป็นนักการเมืองมากว่า 10 ปี ในปี 2012 เธอเคยลงแข่งประธานาธิบดี ด้วยซ้ำแต่มาเป็นที่ 3 จึงสอบตกยกแรก

          Le Pen เรียนจบกฎหมาย และได้ปริญญา DEA เช่นเดียวกับ Macron มีประสบการณ์การเมืองโชกโชน เป็นหญิงเก่งที่ดังจากความคิดขวาสุดโต่ง ซึ่งสอดรับกับความคิดของคนฝรั่งเศสจำนวนไม่น้อยที่ไม่สบอารมณ์กับการเป็นสมาชิก EU ไม่พอใจกับสถานการณ์ว่างงานที่สูงถึงกว่า 10% โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวนั้นขึ้นไปสูงถึง 20-25%

          ล่าสุดหลังการเลือกตั้งรอบแรกเธอประกาศพักมือจากการเป็นหัวหน้าพรรค FN เพราะอยากเป็นประธานาธิบดีของคนทั้งประเทศ เพื่อหนีแบรนด์ขวาจัดของ FN ในการต่อต้านหลายสิ่งหลายอย่าง นอกจากนี้เธอก็ได้ขับพ่อเธอออกไปจากพรรค FN ที่เขาก่อตั้งขึ้นมาด้วย (ไม่แน่ใจว่ารู้เห็นเป็นใจกันหรือไม่) เพื่อลบความเป็นขวาสุดโต่งของเธอ

          ถ้าโพลฝรั่งเศสแม่นยำเหมือนที่เชื่อกัน เราคงเห็น Macro ชนะอย่างขาดลอย ชาวโลกก็คงถอนหายใจไปได้อีกเฮือกหนึ่ง แต่ถ้า Le Pen แหกโผมา เราคงได้เห็น Lady Trump ผงาด และคงดูกันไม่จืดไปอีกนาน