วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 ธันวาคม 2556
บุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกเพิ่งจากไป สิ่งเขาทำและไม่ได้ทำสมควรนำมากล่าวถึง เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่มนุษย์โลกในปัจจุบันและที่จะเกิดตามมาอีกมากมายในอนาคต
มหาบุรุษท่านนี้ผมเคยเขียนประวัติของท่านในนามของ Madiba ซึ่งเป็นชื่อที่ประชาชนเรียกอย่างรักใคร่ ผมขอนำเอาบางส่วนของข้อความเดิมที่ได้เขียนไว้มาสื่อสารต่ออีกครั้งในที่นี้
ประเทศอาฟริกาใต้ถึงแม้จะอยู่ในดินแดนอาฟริกาซึ่งเป็นของคนพื้นเมือง แต่คนผิวขาวก็ไปตั้งรกรากอยู่ตั้งแต่เมื่อ 200 ปีก่อน กล่าวคือเป็นอาณานิคมของอังกฤษเมื่อ ค.ศ.1806 และขยายเติบโตใหญ่ขึ้นจากการอพยพของคนยุโรปชาติอื่น ๆ ความร่ำรวยทรัพยากรของอาฟริการใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพชร ทำให้เกิดสงครามสู้รบระหว่างคนผิวขาวที่ไปตั้งรกรากอยู่เดิมกับรัฐบาลของหลายชาติในยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษหลายครั้ง
ใน ค.ศ. 1961 ผู้นำประเทศซึ่งมาจากพรรคคนผิวขาวเป็นผู้สืบทอดผู้ตั้งรกรากได้ ประกาศแยกตัวจากจักรภพอังกฤษเป็นประเทศอิสระที่เป็นสาธารณรัฐและใช้นโยบายกีดกันคนผิวดำพื้นเมืองออกจากคนผิวขาว แยกบริเวณที่อยู่อาศัย ห้ามคบหาสมาคมหรือแต่งงานกัน แยกร้านอาหารและเหนืออื่นใดไม่ให้ความเท่าเทียมกันในเรื่องการศึกษา การทำงาน สิทธิทางกฎหมาย สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง ฯลฯ นโยบายกีดกันนี้เรียกว่า Apartheid ซึ่งเป็นขั้นรุนแรงที่สุดของการกีดกันซึ่งมีมาโดยตลอดและรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
ในประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ของคนผิวดำพื้นเมืองเพื่อความเท่าเทียมกันนี้ก็เกิดผู้กล้าหาญคนหนึ่งซึ่งติดคุกนานถึง 27 ปีก่อนที่จะได้รับอิสรภาพและออกมาต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันอย่างประสบผลสำเร็จได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศภายใต้ทิศทางใหม่ ในวันที่เขาได้รับอิสรภาพในปี 1990 นั้นมีการถ่ายทอดโทรทัศน์สดไปทั่วโลก ชายผู้นี้คือ Nelson Mandela
Nelson Mandela โดยสายเลือดแล้วเขาสืบทอดมาจากกษัตริย์ในราชวงศ์ Thembu ซึ่งครองอำนาจในพื้นที่ของอาฟริกาใต้ในปัจจุบัน ชวดของเขาเป็นกษัตริย์ของชาวเผ่า Thembu ลูกชายคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า Mandela เป็นปู่ของเขา
Mandela ทำงานในบริษัทพร้อมกับเรียนกฎหมายทางไกลจนจบได้ปริญญา เมื่ออายุได้ 34 ปีก็โดดเข้าการเมืองเต็มตัวและต่อสู้ในสิ่งที่เขาเชื่อโดยใช้สันติวิธียึดแนวของมหาตมคานธี เขาถูกจับข้อหากบฏกับเพื่อน 150 คนจากการต่อต้านประท้วงในปี 1956 แต่หลุดรอดคดีมาได้
หลังจากรู้สึกว่าสันติวิธีไม่ได้ผล เขาก็ใช้ความรุนแรง ในปี 1961เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธ ANC (African National Congress) ประสานงานใช้อาวุธบ่อนทำลายกำลังทหารและฝ่ายรัฐบาล ในปี 1962 Mandela ถูกจับหลังจากหลบหนีอยู่นานในข้อหากบฏ เขาติดคุกและเป็นนักโทษในประเภท D คือนักโทษชั้นต่ำสุด (ชั้นต่ำแรกคือผิวดำ ต่ำสุดคือนักโทษการเมือง ดังนั้นนักโทษการเมืองผิวดำจึงเป็นชั้นต่ำสุดของต่ำสุด) ซึ่งได้รับส่วนแบ่งอาหารน้อยที่สุด และมีโอกาสได้รับจดหมาย 6 เดือนครั้ง ซึ่งก็มักถูกแกล้งให้ตัวอักษรเลอะเลือนอ่านไม่ออก
นโยบาย Apartheid ถูกต่อต้านหนักขึ้นทุกทีจากภายในประเทศจากคนผิวดำพื้นเมืองจนกลายเป็นชนวนของการฆ่าหมู่หลายครั้ง และต่อมานานาประเทศทั่วโลกก็รังเกียจนโยบายนี้และบอดคอตอาฟริกาใต้
ระหว่างที่เขาติดคุก เพื่อนฝูงผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งในและต่างประเทศไม่ลืมเขา ได้พยายามต่อสู้ให้เขาได้รับอิสรภาพมาตลอด และเมื่อการประท้วงรุนแรงขึ้นในประเทศ รัฐบาลของประธานาธิบดี F.W. de Klerk ก็ต้องยอมปล่อยเขาใน ค.ศ. 1990 และทันทีที่พ้นโทษเขาก็เป็นผู้นำของ ANC ต่อสู้เพื่อผลักดันให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่ทุกภาคส่วนมีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง
ในปี 1993 เขาได้รับรางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพร่วมกับประธานาธิบดี F.W. de Klerk และในการเลือกตั้งในปี 1994 ก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในวัย 76 ปี ด้วยเสียงท่วมทันและเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของอาฟริกาใต้ (ครองตำแหน่ง 1994-1999)
สิ่งที่ผู้คนชื่นชม Nelson Mandela มากก็คือเมื่อเขาได้รับอิสรภาพแล้วแทนที่จะแก้แค้นรังควาญคนที่ทำกับเขามาตลอดเวลาที่ถูกคุมขัง เขากลับร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างจริงใจเพื่อสร้างความสมานฉันท์ระหว่างสีผิวต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายในอาฟริกาใต้ จนกระทั่งแม้แต่ศัตรูเก่าของเขาก็แสดงความชื่นชมในความกล้าหาญทางจริยธรรมที่เขาละเว้นการสนับสนุนฆ่าล้างแค้นคนผิวขาว ไล่คนผิวขาวออกจากแผ่นดิน สิ่งที่เขาปรารถนาอย่างแรงกล้าคือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของชาวอาฟริกาใต้
ชื่อของ Madiba ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก ในฐานะผู้ต่อสู้กับความลำบากยากเข็ญ คิดคุกยาวนาน 27 ปี แต่เมื่อได้รับอิสรภาพและเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว กลับทำทุกอย่างเพื่อสร้างสรรค์ความสมานฉันท์ ความรักความสามัคคีของคนอาฟริกาใต้ โดยไม่ได้มีความโกธร อาฆาต หรือนึกถึงความรู้สึกส่วนตัวแต่อย่างใด
Madiba ยิ่งใหญ่เพราะมีชัยชนะเหนือตนเอง เห็นแก่ประโยชน์ของเพื่อนร่วมชาติเป็นสำคัญ เมื่อ 2000 กว่าปีมาแล้ว Juvernal กวีชาวโรมันกล่าวไว้ว่า “การแก้แค้นเป็นความสุขที่ไร้แก่นสารของใจที่คับแคบ” (Revenge is the weak pleasure of a narrow mind).
เฉพาะคนที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะคิดอย่างนี้ได้