ข้อเสนอเสริมสร้างจิตสำนึกจริยธรรม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22
เมษายน 2557

          ความรู้สึกว่าคอรัปชั่นแพร่ขยายในหมู่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐของบ้านเรามีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน และเปรียบเสมือนมะเร็งร้ายทำลายบ้านเมืองทั้งในด้านศรัทธาที่คนอื่นมีต่อเราและในด้านมาตรฐานจริยธรรมของสังคม ถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ไข สถานการณ์ก็จะเลวร้ายลงทุกที
คำถาม

          สำคัญในเรื่องคอรัปชั่นก็คือถ้าพวกเราไม่ช่วยกันแก้ไขในปัจจุบันแล้วเมื่อไหร่จะทำ และถ้าพวกเราไม่เป็นคนทำแล้วใครจะเป็นคนลงมือ เราต้องช่วยกันทันทีและโดยคนไทยด้วยกันเองนี่แหละ

          ด้วยสปิริตดังกล่าวนี้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีคณะกรรมการการส่งเสริมจิตสำนึกด้านจริยธรรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกด้านจริยธรรม ผู้เขียนได้มีโอกาสรับฟังและร่วมแสดงความคิดเห็น จึงขอนำมาสื่อสารต่อ

          สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมองการณ์ไกลร่วมมือกับโครงการ “โตไปไม่โกง” ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และร่วมมือกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จัดตั้ง “โครงการพัฒนาโรงเรียนต้นแบบด้านคุณธรรมจริยธรรม” โดยมีองคมนตรี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย เป็นผู้ผลักดันสำคัญ

          โครงการโรงเรียนต้นแบบนี้ประสบความสำเร็จดังที่รู้จักกันดีในนามของ “บางมูลนากโมเดล” ซึ่งประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ พัฒนาครู พัฒนานักเรียน และพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม โดยมุ่งสู่ 3 คุณธรรมเป้าหมาย ได้แก่ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และความพอเพียง จากการพัฒนาภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี พฤติกรรมของครูและนักเรียนเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเริ่มจากพฤติกรรมที่ “ดี” ขึ้นของเด็กไปสู่ “เก่ง” ขึ้น (กรณีกลับกันคือ ‘เก่ง’ ไปสู่ “ดี” นั้นอาจไม่เกิดขึ้น)

          โครงการส่งเสริมสำนึกด้านจริยธรรมเช่นนี้ก็สมควรทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งและควรแพร่ขยายไปยังโรงเรียนอี่น ๆ ทั่วประเทศเพราะภายในเวลาไม่กี่ปีคนเหล่านี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ เป็นพลังสำคัญของชาติ และจำนวนหนึ่งก็จะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ

          อย่างไรก็ดีในระยะสั้นและกลางการแก้ไขจิตสำนึกด้านจริยธรรมของบางส่วนของคนเหล่านี้ที่เสื่อมก็ต้องทำคู่ไปด้วย ในความเห็นของผู้เขียนสองด้านที่ต้องทำเพื่อแก้ไขปัญหาก็คือ (1) ด้านการบังคับใช้กฎหมาย (law enforcement) (2) ด้านการดำเนินการเพื่อให้เกิดการฉุกคิดด้านจริยธรรม (moral enforcement)

          คนเหล่านี้มีอายุเกินกว่าที่จะแก้ไขจิตสำนึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนทางหนึ่งที่จะทำให้ผู้ขาดจิตสำนึกจริยธรรมเกิดความกลัวและเกิดความคิดที่จะไม่กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็คือการลงโทษอย่างเห็นผล และการได้รับข้อมูลจนเกิดความคิดที่เหมาะสม

          ในด้านแรกคือการบังคับใช้กฎหมายนั้น จะต้องมีกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ มีการจับคุมขังที่จริงจังในกรณีคอรัปชั่นหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ตลอดจนปฏิรูปสร้างกลไกป้องกัน ใหม่ ๆ ดังนี้ (ก) สร้างระบบและสภาพแวดล้อมที่คนไม่ดีไม่อาจกระทำความเลวได้เพราะจะถูกจับและถูกลงโทษเสมอ ส่วนคนดีก็ไม่กล้าทำความเลวเพราะไม่มีช่องทางโน้มน้าวให้ทำได้

          งานวิจัยเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมชี้ให้เห็นว่าคนจะกระทำสิ่งผิดกฎหมายเมื่อประมาณการว่าผลตอบแทนที่อาจได้รับสูงกว่าสิ่งเป็นลบที่คาดว่าจะเกิดกับตัวเขา ตัวอย่างเช่นถ้าการคอรัปชั่นมีโอกาสก่อให้เกิดผลตอบแทนมาก โดยโอกาสที่จะถูกจับลงโทษนั้นใกล้สูญ คนจำนวนมากก็จะคอรัปชั่นอย่างแน่นอน หรือการจี้ปล้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมากกว่าความเจ็บปวดจากการติดคุกซึ่งคาดว่าอยู่ในระดับต่ำเพราะตำรวจไม่เคยจับได้และถูกลงโทษเลย ถ้าเป็นเช่นนี้โจรผู้ร้ายก็จะชุกชุม

          การบังคับใช้กฎหมายอย่างแข็งขันกับคนโกงโดยหน่วยงานของรัฐและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การลงโทษที่เกิดขึ้นในเวลาอันควรจะทำให้คนอื่น ๆ ที่คิดจะทำความผิดเห็นผลลบที่จะเกิดขึ้นแจ่มชัดยิ่งขึ้น

          ในด้านที่สองคือการดำเนินการเพื่อให้เกิดการฉุกคิดด้านจริยธรรมด้วยการให้ข้อมูลที่เหมาะสม ประกอบด้วย (ก) ตลอดเวลายาวนานคนไทยจำนวนมากรวมทั้งกลไกของรัฐมักมีความคิดว่า “ผู้ใหญ่” โดยปกติแล้วไม่ควรติดคุกหรือติดคุกไม่ได้ ดังนั้นเราจึงเห็นคนใหญ่คนโตเกือบทั้งหมด หลุดรอดจากการถูกจำคุกถึงแม้จะมีความผิดก็ตาม หรือไม่ก็หลุดรอดไปเลยเมื่อเวลาของคดียาวนานจนคนลืมอยู่เนือง ๆ

          สังคมต้องช่วยกันให้ข้อมูลเพื่อช่วยทำให้ความคิดที่ล้าสมัยนี้ตกไป ในต่างประเทศนั้นข้าราชการชั้นสูง รัฐมนตรี แม้แต่ประธานาธิบดีก็ติดคุกได้ (ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ อิสราเอล ไต้หวัน ฯลฯ เป็นตัวอย่าง) ถ้าสังคมเราทำลายป้อมความคิดนี้ลงได้ “ผู้ใหญ่” ไทยก็จะเกรงกลัวผลลบจากการโกง และจิตสำนึกแห่งจริยธรรมอาจดีขึ้นทันที การติดคุกจากการทำความผิดเป็นอาหารความคิดอย่างดีสำหรับคนคิดจะโกง

          (ข) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิลชาวสวีเดนชื่อ Gunnar Myrdal (1898-1987) ทำวิจัยและเขียนหนังสือชื่อ Asian Drama : An Inquiry into The Poverty of Nations (1968) ได้พบความจริงจากงานวิจัยว่า สิ่งที่ช่วยกระพือให้คนในประเทศกำลังพัฒนาโกงกันอย่างกว้างขวางก็คือความเชื่อที่ว่าใคร ๆ ก็โกงทั้งนั้น คนที่คิดจะโกงจึงคิดว่าการโกงของเขามิได้เป็นสิ่งผิดปกติเพราะใคร ๆ ก็ทำกันทั้งนั้น (แถมไม่ติดคุก)

          Group Psychology หรือจิตวิทยาหมู่เช่นนี้เป็นจริงเสมอไม่ว่าในเรื่องแฟชั่น กระแสความนิยมสินค้า พฤติกรรมการบริโภค ฯลฯ การให้ข้อมูลว่าคนที่ไม่โกงก็ยังมีในสังคมไทยด้วย การเผยแพร่ตัวอย่างประวัติชีวิตบุคคลดีเด่นของสังคมไทย เรื่องเล่าการต่อสู้จนชนะใจไม่คดโกง การทำให้เห็นว่าการคดโกงและบ้าอำนาจเป็นความผิดปกติที่ชั่วร้าย ฯลฯ การประชาสัมพันธ์ในสื่อต่าง ๆ ทุกรูปแบบจะเป็นการสร้างการฉุกคิดที่ดี

          แนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือการออกกฏหมายคุ้มครองผู้เปิดโปงความไม่ชอบมาพากล (Whistleblower) ของการทำงานในภาครัฐซึ่งมีอยู่ในหลายประเทศในปัจจุบัน เช่น สหรัฐอเมริกา คานาดา มาเลเซีย อังกฤษ อินเดีย มอลต้า ฯลฯ การที่คนเปิดโปงความไม่ถูกต้องได้รับการคุ้มครองจะทำให้ผู้คิดกระทำผิดเกิดความกลัว และกล้าที่จะทำสิ่งผิดน้อยลง แนวคิดนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของ Oscar Wilde (นักประพันธ์เอกชาวไอริช ค.ศ. 1854-1900) ที่ว่า “ถ้าให้หน้ากากเมื่อใด เมื่อนั้นเขาก็จะพูดความจริง”

          การสร้างจิตสำนึกด้านจริยธรรมต้องทำพร้อมกันในหลายด้านอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งสอดแทรกในระบบการศึกษา บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง สร้างกลไกป้องกัน สร้างความกลัว บ่มเพาะความคิด ฯลฯ และมีมาตรการใหม่ ๆ เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้เปิดโปงความไม่ชอบมาพากล เป็นต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *