วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 พฤศจิกายน 2557
Air bag หรือถุงลมกันกระแทกในรถมีคุณอนันต์ แต่สำหรับถุงลมที่พองออกในรถด้วยความเร็ว 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 1 ใน 20 ของวินาทีเมื่อมีการกระแทกแรง ๆ จากภายนอกก็ย่อมมีโทษมหันต์เช่นเดียวกัน
‘ถุงลม’ เป็นนวตกรรมที่ช่วยชีวิตคนไว้ได้มากมายถึงกว่า 6,300 ชีวิต และช่วยบรรเทาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้นับไม่ถ้วนในช่วงเวลา ค.ศ. 1990-2000 ที่มีการสำรวจในสหรัฐอเมริกา ในจำนวน 3.3 ล้านครั้งที่ ‘ถุงลม’ ทำงาน นอกจากสร้างประโยชน์ดังกล่าวแล้วก็ทำให้เกิดการตายถึง 175 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กอยู่ 104 ราย
เด็กที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากการนั่งข้างหน้าคู่คนขับในรถที่มี ‘ถุงลม’ คู่ กล่าวคือ นอกจากคนขับแล้วยังมีอีกหนึ่งถุงสำหรับคนนั่งคู่ เมื่อเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี หนักไม่ถึง 30 กิโลกรัม ถูก ‘ถุงลม’ ที่พองออกอย่างรุนแรงอัดเข้าศีรษะและอกในช่วงเวลาก่อนถึงจุดที่ถุงจะพองออกเต็มที่ก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บ บางรายถึงกับคอขาดก็มี
ไอเดียของ ‘ถุงลม’ ก็คือให้มันพองออกเมื่อเกิดการกระแทกขึ้นในทิศทางตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวของรถเพื่อให้เป็นเบาะลมช่วยรับแรงกระแทกอันเกิดจากการที่ร่างกายถูกเหวี่ยงไปข้างหน้า อย่างไรก็ดีหากร่างกายถูกเหวี่ยงไปปะทะก่อนที่ ‘ถุงลม’ พองออกเต็มที่มันก็จะไม่ทำหน้าที่เป็นเบาะหาก เป็นสิ่งที่พุ่งออกมาปะทะเต็มแรง
เด็กอายุน้อย ๆ ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับแรงต้านของ ‘ถุงลม’ มักชอบนั่งข้างหน้าใกล้กระจกหน้าเพื่อให้เห็นวิว ซึ่งตำแหน่งนี้ใกล้กับจุดที่ถุงลมจะพองออกมาด้วยแรงเต็มที่ และเมื่อไม่รัดเข็มขัดนิรภัยด้วยเพราะชอบเต้นไปมาไม่อยู่นิ่งตามประสาเด็ก ‘ถุงลม’ จึงเป็นภัยต่อเด็กเหล่านี้ อย่างยิ่ง
คำแนะนำก็คือให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีนั่งข้างหลังตรงกลาง และถ้าหากต้องการเห็นวิวก็ให้หาที่นั่งเสริมให้สูงขึ้นและรัดเข็มขัดนิรภัยด้วย หากต้องนั่งคู่ข้างหน้ากับคนขับจริง ๆ ก็ให้ถอยเบาะออกมาไกลที่สุด และรัดเข็มขัดนิรภัย
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเอาเบาะที่นั่งทารก (ซึ่งหันทางศีรษะไปข้างหน้าเพื่อป้องกัน คอบาดเจ็บหากมีการชนเกิดขึ้น) ไปวางบนที่นั่งคู่คนขับโดยหัวทารกตรงกับจุดที่ ‘ถุงลม’ จะพองออกมา
ไม่เพียงแต่ทารกเท่านั้นที่อันตรายในการนั่งข้างหน้าคู่คนขับ คนบางกลุ่มก็อาจตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน งานวิจัยของ Craig Newgard แห่ง Oregon Health & Science University ซึ่งนำเสนอต่อ The Society for Academic Emergency Medicine Annual Meeting พบว่า ‘ถุงลม’ ปลอดภัยในที่นั่งข้างหน้าเฉพาะคนมีความสูงระหว่าง 157-177 เซนติเมตร อันตรายมักเกิดกับคนที่เตี้ยกว่า 147 เซนติเมตร และสูงกว่า 188 เซนติเมตร ข้อเท็จจริงนี้พบจากการเก็บข้อมูล 11 ปีของคนขับและคนที่นั่งคู่ 67,284 คนที่ประสบอุบัติเหตุ เหตุผลก็คือคนตัวเตี้ยและสูงเกินไปจะไม่ได้รับประโยชน์จาก ‘ถุงลม’ อันเนื่องมาตำแหน่งของอวัยวะส่วนหัวและลำตัวที่อาจปะทะ ‘ถุงลม’
ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์ของ ‘ถุงลม’ ก็พบว่าไอเดียของการมีถุงรองรับแรงกระแทกมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1941 แต่ที่ใช้ได้จริงเกิดใน ค.ศ. 1953 โดยนักประดิษฐ์ชาวเยอรมันชื่อ Walter Linderer และชาวอเมริกันชื่อ John Hetrick ใช้ลมเป็นตัวอัดเข้า ‘ถุงลม’ ซึ่งไม่สามารถเอามาใช้ได้จริงเนื่องจากกลไกที่ปลุกให้ถุงทำงานมาจากการสัมผัสบังโคลนหรือคนขับเป็นผู้บังคับเองดังนั้นจึงช้าไม่ทันการณ์
นักประดิษฐ์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Yasuzaburou Kobori ประดิษฐ์ ‘ถุงลม’ ที่ทำงานได้ดีกว่า แต่ก็ยังคงใช้ลมอัดเช่นเดียวกัน ในปี 1967 นักวิชาการชาวอเมริกันชื่อ Allen Breed พลิกผันแนวคิด ‘ถุงลม’ โดยประดิษฐ์กลไกที่เป่าลมเข้าถุงได้รวดเร็ว และลมที่อัดเข้าถุงคือกาซไนโตรเจนอันเกิดจากการระเบิดของสาร sodium azide เมื่อถูกกระแทก
กลไกแนวนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดจน ‘ถุงลม’ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในสหรัฐอเมริกาการติดตั้งในรถบางรุ่นเริ่มต้นในทศวรรษ 1970 และตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมามีการใช้ ‘ถุงลม’ ในรถเกือบทุกรุ่น สำหรับยุโรปนั้นเริ่มใช้ในต้นทศวรรษ 1990 ส่วนรถญี่ปุ่นนั้น ‘ถุงลม’ เริ่มใช้กันเป็นกอบเป็นกำในทศวรรษ 1980 และพัฒนาขึ้นจนเป็นอุปกรณ์บังคับของรถทุกรุ่นในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน ‘ถุงลม’ ส่วนใหญ่ใช้กาซอาร์กอนในการเติมถุงลม และมีกลไกอัดลมที่มีประสิทธิภาพมาก ในรถราคาสูงหลายรุ่นมิได้มีเพียงถุงลมเฉพาะที่นั่งข้างหน้าเท่านั้น ยังมี ‘ถุงลม’ เหนือประตู ‘ถุงลม’ ตรงกลางที่นั่ง และอีกหลายตำแหน่งในรถ บางรุ่นของรถ SUV มี ‘ถุงลม’ ที่จะพองออกภายในรถหากรถพลิกคว่ำอีกด้วย
รถบางยี่ห้อมีสวิทซ์ปิดเปิดถุงลมสำหรับที่นั่งคู่คนขับเพราะตระหนักดีถึงภัยที่เกิดจากการพองออกในภาวะที่มิได้พึงประสงค์ มีคำเตือนว่าหลังอุบัติเหตุรถชนกัน หากต้องเข้าไปที่นั่งหน้ารถจะต้องระวังให้ดีเพราะ ‘ถุงลม’ อาจพุ่งออกมาได้หลังจากเกิดอุบัติเหตุแล้วพอควรเนื่องจากกลไกยังค้างอยู่
ข่าวล่าสุดที่ฟังแล้วน่าตกใจก็คือมีคนขับรถในสหรัฐอเมริกาสองรายที่เสียชีวิตเนื่องจากถังจุดปฏิกิริยาสร้างลมระเบิดออกมาแรงมากจนถังอัดแตกเป็นเศษเหล็กและฝังเข้าซอกคอคนขับหญิงทั้งสองคนจนเสียชีวิต เมื่อตรวจเช็คก็พบว่า ‘ถุงลม’ ที่จ้างผลิตโดยบริษัท Takata ในญี่ปุ่น โดยหลายบริษัทรถยนต์นั้นบกพร่อง จำเป็นต้องมีการเรียกเข้ามาแก้ไข
รถหลายรุ่นของสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ใช้ ‘ถุงลม’ ของบริษัทดังกล่าว ดังนั้น รถกว่า 20 ล้านคันในสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในคิวที่จะต้องแก้ไข ระหว่างนี้คนขับก็ขับไปลุ้นไป ส่วนคนที่ไม่ต้องลุ้นก็คือคนในประเทศที่ไม่มีการตรวจสำรวจว่า ‘ถุงลม’ ในรถรุ่นต่าง ๆ ที่วิ่งกันอยู่นั้นเกี่ยวพันกับบริษัท Takata มากน้อยเพียงใด…..พูดง่าย ๆ ก็คืออะไรที่ไม่รู้ก็ไม่ต้องลุ้น
‘ถุงลม’ ที่ทำงานเสมออย่างไว้ใจได้และไม่มีส่วนประกอบจาก Takata เจือปน ก็จำเป็นต้องมีการตรวจสอบและเปลี่ยนอะไหล่ทุก 10-14 ปี เพราะทุกอย่างย่อมมีการเสื่อมสลายเป็นธรรมดา
ไม่มีอะไรที่ดีไปเสียทั้งหมดโดยไม่มีการต้องเอาบางสิ่งไปแลก ‘ถุงลม’ นั้นดีเมื่อเสริมกับการใช้เข็มขัดนิรภัย แต่ก็มีจุดเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กและผู้ใหญ่ได้หากไม่ระวังการใช้ให้ดี
ทั้งหมดนี้กำลังจะบอกว่า ‘โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี’ เพราะทุกอย่างได้มาด้วยการต้องเอาบางสิ่งไปแลกทั้งนั้น ซึ่งหมายถึงว่าชีวิตของมนุษย์ประสบกับ trade-off คือได้แลกกับเสียอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ จึงสมควรกระทำด้วยความรอบคอบยิ่ง