วรากรณ์ สามโกเศศ
1 พฤศจิกายน 2559
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอย่างชนิด ติดจอ ทั้งจอทีวีและจอสมาร์ทโฟน โต้วาทีทั้งสามครั้งก็ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ แถมดูทั้งรายการก่อนหน้าและหลัง อ่านข้อเขียน อ่าน blog ฯลฯ เพราะเรื่องนี้เป็นความสนใจส่วนตัวมาตั้งแต่ปี 1972 วันนี้ขอเล่าเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2016 ที่ถือได้ว่าแปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง
ประการแรกของความแปลกก็คือทั้งสองคนคือ Hillary Clinton และ Donald Trump เป็นคนที่ไม่เป็นที่สบใจของคนอเมริกัน Hillary โดยทั่วไปนั้นโพลล์ก่อนโต้วาทีครั้งแรกมีคนไม่ชอบประมาณร้อยละ 40 ส่วน Trump นั้นร้อยละ 60 แต่ก็จำต้องเลือก ดังนั้นการเลือกครั้งนี้สำหรับคนจำนวนหนึ่งจึงเป็นการบังคับให้เลือกคนที่ไม่ชอบน้อยที่สุดหากปรารถนาจะไปลงคะแนน (อเมริกันชนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีกันไม่เคยเกินร้อยละ 40 ของผู้มีสิทธิ์)
ประการที่สอง ถึงแม้ Hillary จะเคยเป็น First Lady ถึง 8 ปี เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นวุฒิสมาชิก เป็นอดีตศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ทำงานให้สาธารณะมายาวนาน ฯลฯ มีผลงานเด่นหลายชิ้น แต่ก็ “ช้ำ” (ก) จากการถูกวิจารณ์การทำงานในอดีต (ข) จากความเจ้าชู้ของสามีคือประธานาธิบดี Clinton (ค) จากการรับส่งอีเมล์ที่มีลำดับชั้นความลับโดยใช้เสิรฟ์เวอร์ส่วนตัว ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่ FBI บอกว่าเป็นการเลินเล่อ (ง) จากการมี Clinton Foundation ซึ่งได้เงินบริจาคจากรัฐบาลต่างประเทศด้วยขณะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ (จ) จากการพูดของทั้งสองสามีภรรยาโดยเรียกเก็บเงินแพงหูดับเพื่อเข้ามูลนิธิซึ่งทำงานกว้างขวางในโลก
สรุปว่าถึงเธอจะมีผลงาน มีความรู้ มีประสบการณ์ มีบุคลิกเหมาะสมพร้อมต่อการเป็นประธานาธิบดีมาก แต่ก็ “ช้ำ” จากกระบวนการทางการเมืองและการกระทำส่วนตัวในบางเรื่องที่บางคนอาจดูว่าก้ำกึ่ง เธอเคยแพ้ Obama เมื่อ 8 ปีที่แล้วในการชิงเป็นตัวแทนพรรค Democrat แต่ก็ไม่ เคยท้อ สู้ไม่ถอยจนได้เป็นตัวแทนพรรคอย่างเรียกได้ว่าชนะคู่แข่งขาด
ประการที่สาม Donald Trump นั้นประหลาดสุด คนอเมริกันชาวพรรค Republican กำลังหันมาพิจารณาตัวเองกันว่า เลือกคนอย่างนี้มาเป็นตัวแทนพรรคได้อย่างไร เป็นเรื่องแปลกมากที่สามารถหลุดเข้ามาได้ถึงระดับนี้ ที่พูดอย่างนี้เพราะ Trump เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ (ระหว่างที่โต้วาทีก็พูดแทรก มีอากัปกิริยาชนิดคนเห็นว่าไม่เหมาะสมต่อการเป็นประธานาธิบดี ด่าโจมตี พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ดูถูกผู้หญิง เหยียดคนอเมริกันผิวสี หาว่าคนเชื้อสายลาตินเป็นพวกข่มขืน ค้ายา) บ่อยครั้งไม่ให้เกียรติคน มักทำอะไรตามใจตนเอง ขาดวุฒิภาวะ
Trump ดังมานานจากการเป็นมหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ของนิวยอร์ก เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จัดนางสาวอเมริกา เป็นเจ้าของโรงแรม สนามกอล์ฟ ฯลฯ แถมจัดรายการ TV Reality “The Apprentice” ที่หนักสุดคือไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและขาดความรู้อย่างลึกซึ้งในประเด็นต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ
Trump ได้เป็นตัวแทนพรรค Republican ก็เพราะเขาพูดถูกใจคนอเมริกันกลุ่มหนึ่งซึ่งเชื่อว่ามีอยู่ไม่น้อยในจำนวนคนที่มีสิทธิลงคะแนนกว่า200 ล้านคน คนกลุ่มนี้นักทำโพลล์และนักวิชาการเรียกว่าพวกคนผิวขาว-ไม่จบมหาวิทยาลัย ซึ่งจำนวนมากคือคนชั้นกลางที่รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าและขาดความมั่นคงจากการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองต้องรับกรรมและไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ สิ่งเหล่านี้ได้แก่การค้าระหว่างประเทศซึ่งทำให้ถูกแย่งงานโดยคนต่างชาติ การอพยพต่างชาติเข้ามาอยู่ในถิ่นฐานที่เคยมีแต่คนขาวอยู่ ว่างงานหรือกลัวว่าจะว่างงานในอนาคตอันใกล้เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง
คนเหล่านี้ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนตั้งแต่ปี 2008 และถึงแม้เศรษฐกิจฟื้นตัวในภาพรวม แต่คนเหล่านี้ซึ่งมักอยู่ในเขตนอกเมืองในหลายรัฐก็ยังย่ำแย่ ต่อต้านการค้าเสรี ไม่พอใจรัฐบาลกลางและนักการเมือง ไม่พอใจที่คนผิวสีได้เป็นประธานาธิบดี และที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นประธานาธิบดี เห็นว่าทุกอย่างมีลับลมคมใน รวมหัวกันในกลุ่มคนรวยและคนมีอำนาจโดยหาประโยชน์จากคนกลุ่มเขา
Trump วางฐานเสียงการเมืองมาหลายปี จึงเห็นช่องทางที่จะเข้ามาหาประโยชน์ เป็นฮีโร่ของคนเหล่านี้ พูดสิ่งที่โดนใจคนกลุ่มนี้ ไปที่ไหนก็พูดแต่ข้อความเดิมซ้ำ ๆ (จนเผลอนำมาใช้บนเวทีโต้วาที จึงทำให้ดูเป็นคนตื้นเขินในความรู้เรื่องบ้านเมือง) ใช้ความเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วประชาสัมพันธ์ตนเอง จิกรัฐบาลกลาง จิกนักการเมือง จิกคอรัปชั่นในวงการธุรกิจชั้นสูง จุดประกายข่าวสื่อว่าโอบามาไม่ได้เกิดในสหรัฐ ทำตนเป็นตัวแทนคนเสียเปรียบ แต่แท้จริงแล้วตนเองนั่นแหละมีประวัติทั้งโกง ทั้งเอาเปรียบคนจน (ฟังดูคุ้น ๆ) เคยล้มละลายโดยล้มบนฟูกกว่า 6 ครั้ง ไม่ยอมเปิดเผยใบแสดงรายการเสียภาษี (ทุกคนที่แข่งในระดับนี้ใน 40 ปี ที่ผ่านมาเปิดเผยทุกคน) และหลักฐานของปี 1995 ระบุว่าเขาไม่เสียภาษีเลย และอาจไม่เสียภาษีอีก 18 ปีต่อมาก็เป็นได้
Trump เป็นคนขี้คุย ขี้โม้ อวดร่ำรวย โกหกคำโตแบบไม่อาจฟ้าดิน (มีสถิติว่าพูดสิ่งที่เป็นเท็จ 1 ครั้งทุก ๆ การพูด 4 นาทีครึ่ง) มั่นใจในตัวเองสูงมาก ๆ ไม่ฟังใคร (แม้แต่ผู้จัดการแคมเปญ) ทุกอย่างเป็นความผิดของคนอื่น และเหนือสิ่งอื่นใดขาดวินัยในการบังคับการกระทำของตนเอง
Trump คุยโม้โอ้อวดโดยถูกอัดเสียงว่าคนดังนั้นจะทำอะไรกับผู้หญิงก็ได้ จะคว้าจะจับอะไรก็เป็นเรื่องเล็ก ผู้หญิงยอมทั้งนั้น แต่เมื่อเขาถูกจับได้ก็บอกว่าแค่โม้ ไม่เคยทำจริง ต่อมาจึงมีผู้หญิงถึง 11 คน ออกมาบอกว่าเคยถูก Trump ละเมิด ทั้งจูบ ทั้งจับ ทั้งลวนลามตลอดเวลาสิบ ๆ ปีที่ผ่านมา Trump ตอบโต้ว่าจะฟ้อง เขาไม่เคยทำ พวกนี้โกหกทั้งนั้น แต่ตนเองก็ไม่เคยปฏิเสธแบบลงในรายละเอียดโต้เถียงหญิงเหล่านี้เลย
หนักที่สุดของ Trump ก็คือในการโต้วาทีครั้งสุดท้าย สำหรับคำถามว่าเมื่อผลเลือกตั้งออกมาแล้ว เขาจะยอมรับผลนั้นหรือไม่ เขาบอกว่าไม่ขอตอบ แต่จะขอดูอีกที ระหว่างนี้จะขอทำให้คนอเมริกันลุ้นไปก่อน (วันต่อมาก็บอกว่าจะรับผลถ้าหากตนเองชนะ!) คำตอบนี้สื่อและประชาชนไม่พอใจกันมากเพราะมันเป็นรากฐานของประชาธิปไตย เป็นพฤติกรรมที่กระทำกันมายาวนานกว่า 200 ปี ที่คนแพ้ยอมรับผลการเลือกตั้ง และร่วมมือกับผู้ชนะทำงานให้แก่ประเทศ
ประการที่สี่ สื่ออเมริกันนั้นไม่เป็นกลางเลยในหลายกรณี สถานี CNN นั้นเชียร์ Clinton แบบรู้ ๆ กัน ส่วน Fox News นั้นเชียร์ Trump แบบไม่อายเลย สื่ออเมริกันและ นักคิด นักวิชาการส่วนใหญ่รุมถล่ม Trump เพราะเห็นว่าไม่มีความเหมาะสมทั้งบุคลิก ความรู้ และประสบการณ์ อีกทั้งไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ที่คนเหล่านี้รู้ดีว่าการค้าระหว่างประเทศ โลกาภิวัตน์ การปรับตัวกับเทคโนโลยี การอพยพของคนต่างชาติเข้าประเทศเพื่อหาแรงงานถูกและสร้างดีมานด์ ฯลฯ ล้วน เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากสนใจว่าใครจะชนะ กรุณาดู fivethirtyeight.com ซึ่งพยากรณ์เชิงสถิติไว้อย่างน่าสนใจ เชิงวิทยาศาสตร์และไม่มั่ว เจ้าของคือ Nate Silver สุดยอดนักพยากรณ์ซึ่งทำนายไว้ ณ เวลา 10 กว่าวันก่อนเลือกตั้งว่า Clinton มีโอกาสที่จะชนะ 86.5%