วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
26 มกราคม 2559
“Comfort Women” หรือ “หญิงให้ความสบาย” เป็นคำสุภาพที่ใช้หลีกเลี่ยงคำว่า “หญิงโสเภณี” ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้ใช้ให้บริการทหารในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปลายปี 2015 เรื่องนี้ได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งแต่เป็นไปในทางที่ดีแก่หญิงเหล่านั้นที่เหลืออยู่ไม่มากคนนัก
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945) กองทัพญี่ปุ่นในตอนแรกได้จัดหาอาสาสมัครจากญี่ปุ่นมาให้บริการทางเพศแก่ทหาร แต่เมื่อทหารมีจำนวนมากขึ้นก็ต้องหาคนท้องถิ่นในดินแดนที่ยึดครองเช่นจีนบางเมือง (เซี่ยงไฮ้ 1937 / นานกิง 1938) เกาหลี (ญี่ปุ่นยึดครอง 1910-1945) Dutch East Indes (อินโดนีเซียในปัจจุบัน) มาเลย์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน พม่า ฮ่องกง อินโดจีน ฯลฯ และลามไปถึงฝรั่งชาวดัลในเขตยึดครองอีกด้วย
“การหาคนท้องถิ่น” ของกองทัพญี่ปุ่นในตอนแรกคือประกาศในหนังสือพิมพ์ในญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน และผ่านคนกลาง แต่เมื่อมีทหารจำนวนมากเข้าและหา หญิงท้องถิ่นมาได้ยากจากความสมัครใจ ก็หันไปใช้การลักพาตัว การบังคับ การหลอกล่อ การหลอกลวง ฯลฯ อย่างน่าอนาถใจ
การล่อหลอกและหลอกลวงก็คือสัญญาว่าได้เงินดีโดยจะให้ไปทำงานในร้านอาหาร หรือโรงงาน ที่เลวร้ายสุด ๆ ก็คือการบุกเข้าไปในบ้านและฉุดเอาแม่และลูกสาว (ทั้งสองและเด็ก) เอาไปทำงานในสถานที่ซึ่งเรียกว่า Comfort Stations (ซ่องเราดี ๆ นี้แหละเพียงแต่ตั้งอยู่ในค่ายทหาร หรือ สถานที่ ๆ กองทัพจัดขึ้น) ซึ่งมียอดรวมประมาณ 2,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วเอเชียโดยมีจำนวน Comfort Women รวมประมาณ 200,000 คน
นักวิชาการประมาณการว่าส่วนใหญ่ของหญิงเหล่านี้คือคนเกาหลี (ร้อยละ 52) คนจีนร้อยละ 36 และญี่ปุ่นร้อยละ 12 สามในสี่เสียชีวิตในเวลาไม่นาน เวลาประจำการก่อนถูกส่งกลับถ้าไม่ตายเสียก่อนคือ 6 เดือน ต้องรับแขกวันละประมาณ 25-35 คน
หญิงเหล่านี้เป็นเป้าของความรุนแรง ทหารซึ่งมีความกลัว ความเคียดแค้นชิงชัง ความโมโหโกรธา (ที่ถูกบังคับให้มาเป็นทหาร ฆ่าฟันผู้คน) ความแค้น ความกดดันอยู่ในใจจึงมาระบายเอากับหญิงเหล่านี้ทางเพศและการตบตี
ในจำนวนหญิงน่าสมเพชเหล่านี้มีจำนวนหนึ่งที่อาสามาเองโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นเพื่อหาชีวิตที่ดีกว่าเดิมโดยไม่รู้ว่าจะพบกับความเลวร้ายในระดับนี้ ทางการญี่ปุ่นเองในตอนหลังก็ไม่ต้องการผู้หญิงญี่ปุ่นเพราะหวั่นว่ากระทบภาพลักษณ์ จึงหันมาใช้หญิงท้องถิ่นมากขึ้น เมื่อหามาดี ๆ ไม่ได้ก็หันไปใช้กำลังในการบังคับและฉุดมาเป็น Comfort Women
ความเลวร้ายของกองทัพญี่ปุ่นที่กระทำต่อผู้หญิงเช่นนี้จึงเป็นประเด็นขึ้นมาในโลกตลอดเวลากว่า 20 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะใน 10 ปีหลัง โลกเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นรับผิดชอบทางกฎหมายและศีลธรรมสำหรับการกระทำซึ่งเลวร้ายสุด ๆ เช่นนี้ องค์การต่าง ๆ เช่น UN / EU Parliament / รัฐสภาอเมริกัน / Amnesty International ตลอดจนกลุ่ม Women Activists ในหลายประเทศ
รัฐบาลญี่ปุ่นเองโดยแท้จริงแล้วในปี 1993 ก็ยอมรับและขอโทษ Comfort Women โดยนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นลงนามในจดหมายพร้อมทั้งจัดตั้งกองทุนรัฐ-เอกชน ให้เงินชดเชยประมาณ 500 คน ๆ ละ 42,000 เหรียญ แต่กองทุนนี้เลิกไปในปี 2007
ถึงจะขอโทษแล้วเรื่องก็ไม่จบเพราะเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมากของเกาหลีใต้ ประเทศที่มี Comfort Women มากที่สุด และได้กลายเป็นประเด็นของกลุ่มผู้หญิงในระดับโลกไปแล้ว อนุสาวรีย์ระลึกถึง comfort Women ถูกสร้างขึ้นหน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงโซล พร้อมกับอนุสาวรีย์อีก 3 แห่ในสหรัฐอเมริกา
ญี่ปุ่นและเกาหลีมองหน้ากันไม่ติดเป็นเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา เพราะเรื่อง Comfort Women เป็นสาเหตุ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับผู้นำในโลกในการประชุมผู้นำ ทุกครั้งจนญี่ปุ่นระอา แต่ก็ไม่กล้าให้เงินชดเชย ทั้งนี้เพราะมีกลุ่มรักชาติต่อต้านการชดเชยและบอกว่าไม่มีเหตุการณ์นี้จริงในประวัติศาสตร์ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งเปลี่ยนหน้ากันมาหลายคนมากในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่กล้าต่อสู้กับกลุ่มนี้จึงต้องทนกับความลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทางการทูตกับ เกาหลีใต้ ประเทศที่มีพรมแดนติดกัน และล้วนเผชิญกับอิทธิพลของจีน และความเกเรของเกาหลีเหนือ
ในที่สุดเมื่อญี่ปุ่นได้นาย Abe มาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ข้อตกลงเรื่อง Comfort Women กับเกาหลีใต้ก็เป็นไปได้เนื่องจากนาย Abe เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มชาตินิยมที่ต่อต้านการยอมรับว่ามี Comfort Women มาก่อน กลุ่มนี้จึงไม่อยากขัดใจนาย Abe อีกทั้งเห็นชัดขึ้นว่าถ้าดื้อดึงต่อไปญี่ปุ่นมีแต่จะเสีย อีกทั้งมีหลักฐานประวัติศาสตร์จากเอกสารของฝ่ายจีน เกาหลี สหรัฐอเมริกา มากขึ้นทุกทีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มีการตีพิมพ์หนังสือของหญิงสาวชาวดัชที่ถูกฉุดไปทั้งแม่และลูกสาวว่าถูกทารุณอย่างไรอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อปลายปี 2558 ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็ตกลงกันได้ว่าญี่ปุ่นจะบริจาคเงินตั้งกองทุนชดเชย Comfort Women 300 ล้านบาท จะขอโทษการกระทำที่เลวร้าย ฝ่ายเกาหลีใต้ก็จะเลิกพูดเรื่องนี้พร้อมยินดีรื้อถอนอนุสาวรีย์หน้าสถานทูตเกาหลี ทั้งสองตกลงกันว่าเรื่องนี้จบแล้วต่อไปจะเป็นความร่วมมือของสองประเทศในการป้องกันประเทศและการทหาร เศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในคาบสมุทรเกาหลี (เกาหลีเหนือทดลองระเบิดปรมาณูใต้ดินจนแผ่นดินไหวเมื่อเร็ว ๆ นี้คือหลักฐาน) และคานอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้
คนเกาหลีส่วนใหญ่เห็นว่าเพียงแค่นี้ยังไม่สาสมกับความเจ็บปวดของ Comfort Women และของคนเกาหลีจากการสูญเสียเกียรติภูมิ จนประธานาธิบดีปาร์คออกมาบอกว่าขณะนี้เหลือ Comfort Women อยู่เพียง 46 คน (ปี 2015 ก็ตายไป 9 คนแล้ว) อยู่ในวัยปลาย 80 ด้วยกันทั้งนั้น หากช้ากว่านี้ก็จะไม่มีคนเหลือให้รับการชดเชย
ปฏิบัติการในเรื่องนี้ยังไม่จบเพราะเรื่อง Comfort Women เป็นเรื่องใหญ่ที่หลายฝ่ายต้องการให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคตโดยทำให้เห็นชัดเจนว่าหากประเทศใดทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังสงคราม
ประเทศที่ดูจะได้ประโยชน์จากการตกลงครั้งนี้ก็คือสหรัฐอเมริกา ซึ่งพยายามผลักดันให้สองมหามิตรของสหรัฐอเมริกานี้จับมือกันมานาน การร่วมมือกันระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะช่วยให้สหรัฐอเมริกาสามารถคานอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ และร่วมมือกันต่อสู้ภัยคุกคามโลกจากเกาหลีเหนือได้เป็นอย่างดี
สองประเทศนี้มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมายาวนานถึงแม้จะมาจากรากวัฒนธรรมเดียวกันก็ตาม เกาหลีถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 35 ปี (1910-1945) โดยถูกกระทำอย่างเลวร้ายหลายเรื่อง ไม่ว่าในเรื่องฆาตกรรมพระราชินีของเกาหลี หรือทารุณกรรมผู้หญิงเกาหลี “ความไม่ลงรอย” นี้ดำรงอยู่แม้แต่ในปัจจุบัน
โทรศัพท์ Samsung (เกาหลีอ่านว่า ซัม ซัง) ไม่มีขายในญี่ปุ่นเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นของเกาหลี แต่มีโทรศัพท์เหมือน Samsung แต่ชื่อว่า Notes และ Galaxy ทั้งนี้เพราะนักการตลาดไม่แน่ใจว่าถ้าใช้ชื่อ Samsung แล้วจะขายได้หรือไม่ในญี่ปุ่น นอกจากนี้วันที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามนั้นเป็นวันฮอลิเดย์ในเกาหลีใต้
สิ่งเลวร้ายที่ทำไว้ในประวัติศาสตร์จะเป็นปีศาจที่ตามมาหลอกหลอนเสมอ การจะไม่ให้ถูกหลอกหลอนก็ต้องไม่กระทำสิ่งเลวร้ายต่อกันเท่านั้นในปัจจุบัน