ปราบคอรัปชั่นถอยหลังลงคลอง

วรากรณ์  สามโกเศศ
21 พฤศจิกายน 2560

          ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่าเรากำลังจะมีกฎหมายปราบคอรัปชั่นที่อ่อนแอลงกว่าเก่าท่ามกลางปัญหาคอรัปชั่นที่รุนแรง และความพยายามที่จะกำจัดจากรัฐบาล

          ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ได้ผ่านวาระแรกโดยที่ประชุม สนช. ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปคือการพิจารณารายมาตราในวาระที่ 2 ภายใน 58 วัน จากนั้นก็พิจารณาวาระที่สามโดยที่ประชุม สนช.และออกมาเป็นกฎหมาย

          สิ่งที่น่าตกใจว่าจะทำให้การปราบปรามคอรัปชั่นอ่อนแอลงอย่างยิ่งก็คือมาตรา 104 ของร่าง พ.ร.บ. ป.ป.ช. ฉบับใหม่ที่ว่า “เพื่อประโยชน์ในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลโดยสรุปเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์สินและหนี้สินและที่ตั้งของทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเฉพาะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปโดยเร็ว ข้อมูลโดยสรุปดังกล่าวต้องไม่ระบุถึงรายละเอียดทางทะเบียนของทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่จำเป็น หรือที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเจ้าของข้อมูลได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด”

          มาตรานี้แตกต่างจากมาตรา 35 วรรคสองของ พ.ร.บ. ป.ป.ช. (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันที่บัญญัติว่าบัญชีเอกสารทรัพย์สินของเหล่าบุคคลข้างต้นให้เปิดเผยให้สาธารณชนทราบโดยเร็ว ซึ่งที่ผ่านมา ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ที่ยื่นไว้กับ ป.ป.ช. ต่อสาธารณชนโดยละเอียด

          ร่าง พ.ร.บ. ป.ป.ช. ฉบับใหม่จึงเปลี่ยนจากการเปิดเผยรายการทรัพย์สินของบุคคลสาธารณะเหล่านี้ “อย่างละเอียด” มาเป็น “โดยสรุป” ซึ่งจะทำให้แทบไม่เห็นอะไรเลย การเปิดเผย “อย่างละเอียด” จะช่วยทำให้ประชาชนทั้งประเทศสามารถร่วมตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของบุคคลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในอดีตได้นำไปสู่การดำเนินคดีคอรัปชั่นหลายคดี

          ภายใต้กฎหมายปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินตอนเข้าดำรงตำแหน่ง ยื่นอีกครั้งเมื่อพ้นจากตำแหน่ง และอีกครั้งเมื่อพ้นเวลา 1 ปี การเห็นข้อมูลเช่นนี้โดยสาธารณชนจะเป็นการป้องกันให้บุคคลเหล่านี้ไม่กล้าคิดร้ายต่อชาติ และสามรถปราบปรามคอรัปชั่นได้ดีขึ้นเพราะจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สิน ยิ่งรายละเอียดปรากฎต่อตาประชาชนมากเท่าใดก็ยิ่งตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเท่านั้น

          ยุคปัจจุบันของโลกคือยุค Open Data ประเทศต่าง ๆ ที่ปราบคอรัปชั่นได้ผลก็ใช้วิธีการสร้างความโปร่งใสเช่นว่านี้ เพราะความโปร่งใสคือดาบที่คม ความมืดดำมัว ๆ คือปุ๋ยของมะเร็งร้าย

          รัฐบาลปัจจุบันได้ดำเนินการเรื่อง Open Data มาไกลแล้ว โดยให้เปิดเผยข้อมูลจัดซื้อ จัดจ้าง การใช้งบประมาณของรัฐทั้งหมด (ดูแอพพลิเคชั่น “ภาษีไปไหน”) ซึ่งเป็นการกระทำเยี่ยงสากล การเปลี่ยนมาเป็นเปิดเผย “โดยสรุป” คือการไม่สนับสนุนนโยบายปราบปรามคอรัปชั่นของชาติ

          ผู้สนับสนุนมี 2 ข้ออ้างเพื่อการเปลี่ยนแปลง (1) “การเปิดเผย” อย่างละเอียดเป็นการไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้ยื่นบัญชีทรัพย์สินเหล่านี้ (2) รัฐธรรมนูญ 2560 ให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพียง “เปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน” เท่านั้น หากให้เปิดเผยโดยละเอียดจะขัดกับรัฐธรรมนูญปี 2560

          ข้ออ้างแรก มองข้ามความจริงที่ว่าบุคคลเหล่านี้คือนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ มิได้ถูกบังคับให้มาดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจล้นฟ้า (ไม่มีกลุ่มบุคคลใดที่สามารถเพิ่มเงินเดือน เพิ่มอำนาจ ให้นกเป็นไม้ บัญญัติให้สาหร่ายเป็นปลา ฯลฯ ได้เหมือนบุคคลเหล่านี้) ดังนั้นการสูญเสียบางสิ่งเพื่อทำให้บ้านเมืองมีกฎกติกาที่ดีจึงเป็นเรื่องที่สมควร มันไม่ใช่เรื่องของบุคคลหากเป็นเรื่องของหลักการ การเสียสิทธิส่วนบุคคลไปบ้างเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ เหมือนที่เขากระทำกันในประเทศที่ดีอื่น ๆ ทั่วโลก

          ข้ออ้างที่สอง ขอลอกข้อความในรัฐธรรมนูญ 2560 มาให้อ่านเพื่อจะได้ตัดสินว่าการ “เปิดเผยโดยละเอียด” นั้นขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

          มาตรา 234 …….คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้ …….(3) กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งตรวจสอบและเปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

          …….ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม (1) (2) และ (3) ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่จะต้องจัดให้มีมาตรการหรือแนวทางที่จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม…….”

          เห็นได้ชัดว่าการ “เปิดเผยโดยละเอียด” นั้นทำได้และไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ หากต้องการให้การปราบปรามคอรัปชั่นเดินไปข้างหน้าก็ต้องเขียนลงไปในร่าง พ.ร.บ. ที่กำลังพิจารณาอยู่นี้ให้เป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา กล่าวคือ “เปิดเผยโดยละเอียด” มิใช่ “เปิดเผยเพียงข้อมูลโดยสรุป”

          ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่องร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของ ปชช. ที่กำลังอยู่ในวาระ 2 ว่าต่อนี้ไปจะมีการเปลี่ยนแปลงการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของบุคคลผู้มีความสำคัญยิ่งต่อประเทศโดยไม่เป็นไปอย่างละเอียดอย่างที่เคยเป็นมา
ผมมั่นใจว่าถ้ารู้จะมีคนจำนวนมากไม่พอใจเพราะตระหนักดีว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นแบบถอยหลังลงคลองโดยแท้

ปรากฏการณ์ “ตูนฟีเวอร์”

วรากรณ์  สามโกเศศ
12 ธันวาคม 2560

          ปรากฏการณ์ที่คนไทยนับล้านร่วมบริจาคเงินและเอาใจช่วยให้กระทำการสำเร็จ เช่นการวิ่งของตูน หรืออาทิวราห์ คงมาลัย ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และมีนัยสำคัญหลายประการ

          ขณะที่เขียน ตูนวิ่งถึงสุพรรณบุรีบ้านเกิด วิ่งมาแล้ว 29 วัน เป็นเวลา 254 ชั่วโมง รวม 1,400 กิโลเมตร จากเป้าหมายคือเบตงถึงแม่สาย 2,191 กิโลเมตร (วิ่งไปได้แล้ว 64 กว่าเปอร์เซ็นต์ อีกไม่กี่วันก็จะบรรลุเป้าหมาย 2 ใน 3 ของระยะทาง) ได้รับเงินบริจาคแล้วประมาณ 650 ล้านบาท จากเป้าหมาย 700 ล้านบาท หรือ 93 เปอร์เฃ็นต์ของเป้าหมาย

          พูดง่าย ๆ ก็คือวิ่งมาได้เกือบ 2ใน3 ของระยะทาง แต่ได้รับเงินบริจาคแล้วเกือบ 100 เปอร์เฃ็นต์ของเป้าหมาย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น

          สาเหตุของ “ตูนฟีเวอร์” น่าจะมาจากไม่ต่ำกว่า 5 ปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยแรก คนไทยบ่มเพาะจิตใจมาแล้ว 1 ปีเต็มจากความตั้งใจ “ทำความดีเพื่อพ่อหลวง” ความดีที่อยู่ในจิตใจของคนไทยโดยทั่วไปสุกงอมเต็มที่ เมื่อตูนออกมาวิ่งเพื่อรับบริจาคเงินมันจึงเป็นโอกาสของการหล่นผลอย คนไทยมีความสุขที่ได้ทำความดี ไม่ว่าจะบริจาคเงินมากน้อยเท่าใดก็ตาม

          ปัจจัยที่สอง ตูนเองเป็นนักร้องร็อคเกอร์ชื่อดังที่ถูกใจเยาวชนและคนในวัยกลางคนอยู่แล้ว วงดนตรีของพวกเขาจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ เมื่อปลายปี 2559 เขาก็ได้วิ่งการกุศล 10 วัน รวม 400 กิโลเมตร ได้รับเงินบริจาค 63 ล้านบาทให้โรงพยาบาลบางสะพานอย่างประสบความสำเร็จยิ่ง ด้วยความบากบั่นไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ผู้คนเห็นความเสียสละและความจริงใจของเขา เมื่อเขามาวิ่งจากใต้สุดสู่เหนือสุดของประเทศ ระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร จึงมีคนเชื่อถือและพร้อมที่จะสนับสนุนโดยเฉพาะเอกชนรายใหญ่ทั้งหลายที่ต้องการทำ CSR อยู่แล้ว

          ปัจจัยที่สาม บุคลิกภาพของตูนในเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ไหว้อย่างงดงาม มีกิริยามารยาท พูดจาสุภาพอย่างถูกกาลเทศะ มีความจริงใจและมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ชีวิตส่วนตัวก็ไม่อื้อฉาวเป็นที่ยอมรับในวงการ อีกทั้งแฟนสาว ก้อย (รัชวิน วงศ์วิริยะ) ก็สวยน่ารัก วิ่งไปยิ้มไปอยู่ข้างแฟนอย่างไม่ท้อถอย อีกทั้งไม่มีชื่อเสียงเสียหาย ได้รับการศึกษาที่ดีทั้งคู่ ทั้งหมดจึงผสมกันเป็นแรงสร้างศรัทธาต่อตัวบุคคลและสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างดี

          ปัจจัยที่สี่ การเป็นดาราดังอยู่แล้ว รู้จักคุ้นเคยกับทุนใหญ่ มีเครือข่ายในวงการบันเทิงและสื่อกว้างขวาง ทำให้ได้รับทุนสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง สามารถจัดทีมแพทย์ ทีมจัดการได้อย่างเต็มชุด แถมมีรถยนต์และอุปกรณ์ประกอบสมบูรณ์ โดยเฉพาะการส่งภาพออกทางโซเชียลมีเดีย เปิดทุกช่องการบริจาค (ยกเว้นผ่านผูกขานกพิราบเท่านั้น)

          ปัจจัยที่ห้า สังคมไทยโดยเฉพาะเยาวชนขณะนี้โหยหิว “ฮีโร่” หรือ “ไอดอล” ดังนั้นใครที่โดดเด่น โด่งดัง โดยเฉพาะกระทำความดีและมีภาพลักษณ์ที่ดีเช่นตูน จึงกลายเป็นบุคคลในดวงใจโดยปริยาย ปัจจุบันคนรุ่นกลางคนและเยาวชนขาด “ไอดอล” ประเภทคนดีที่สามารถใช้เป็นจุดอ้างอิงในชีวิต (เหมือนกับช่างไม้ต้องมีระดับน้ำอ้างอิงไว้ที่หนึ่งเสมอเวลาปลูกบ้าน) ดังนั้นจึงหันไปหา “เน็ตไอดอล” “นักกีฬา” “นักแสดง” หรือศิลปินดารา ฯลฯ ตูนก้าวออกมาอย่างถูกจังหวะของความต้องการ

          สิ่งที่ตูนทำนั้นก่อให้เกิดผลไม่น้อยกว่า 3 ประการ คือ หนึ่ง ปลุกเร้าให้คนไทยคิดถึงการทำความดี การเสียสละ การมีจิตอาสา ฯลฯ ยิ่งขึ้น แฟชั่นนี้เป็นเรื่องดีที่สังคมไทยต้องการ แรงกระตุ้นเช่นนี้เป็นระยะ ๆ ตูนเป็นตัวอย่างที่เยาวชนจดจำและอยากเลียนแบบ

          สอง ปลุกให้ผู้คนตื่นขึ้นมาดูแลสุขภาพตัวเอง การวิ่งกำลังกลายเป็นแฟชั่นของคนหนุ่มสาวเช่นเดียวกับการขี่จักรยาน และการออกกำลังกาย (นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ ก็มีส่วนในเรื่องนี้) ซึ่งเป็นผลดีต่อตนเองและสุขภาพการเงินของประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาว

          การวิ่งวันละ 50-70 กิโลเมตรของตูน สร้าง “new normal” สำหรับนักวิ่งทั้งหลาย เดิมวิ่งวันละ 5-6 กิโลเมตรก็ดูเป็นภารกิจที่ใหญ่หลวงแล้ว พอเห็นตูนกับก้อยและพรรคพวกวิ่งสบาย ๆ วันละ 10 เท่าตัวของระยะทางที่ตนเองวิ่ง จึงรู้สึกว่าเป็นภารกิจที่เล็กลงไปมาก กล้าที่จะวิ่งไกลขึ้น

          การเริ่มบางอย่างก่อให้เกิดผลอย่างไม่น่าเชื่อ ตูนบอกว่าเขาเริ่มวิ่งจากงานวิ่งที่ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) จัดเมื่อ 5ปีก่อน

          สาม การเปลี่ยนมาดูแลสุขภาพตนเองยิ่งขึ้นก่อให้เกิดผลดีต่อการให้บริการสาธารณสุขของไทยเพราะเป็นการลดด้านดีมานด์และการได้รับทรัพยากรแพทย์และเงินทุนมากขึ้นก็คือการเพิ่ม สัพพลาย

          การหาเงินเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องที่เขาทำกันเป็นประจำทั่วโลกเนื่องจากไม่มีโรงพยาบาลใดในโลกที่สามารถมีอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยได้ทุกชิ้น มีบ้างขาดบ้างเป็นเรื่องปกติเนื่องจากเทคโนโลยีการแพทย์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีราคาแพงมากเพราะเป็นธุรกิจผูกขาด การวิ่งของตูนครั้งนี้จึงมิใช่การแสดงว่าสาธารณสุขไทยแย่จนต้องหาเงินด้วยวิธีนี้ หากแต่เป็นการแสดงออกซึ่ง ความรักของประชาชนที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

          การวิจารณ์ว่าการวิ่งหาเงินสนับสนุนโรงพยาบาลเช่นนี้มิใช่เรื่องยั่งยืน และมิใช่หนทางที่ถูกต้องในระยะยาวนั้นถูกต้อง แต่เมื่อคนร่วมโครงการเขามีความตั้งใจที่จะทำความดีหาเงินช่วยสนับสนุนเพื่อลดความขาดแคลนไปบ้าง แล้วจะไปว่าเขาได้อย่างไร ตัวผู้วิจารณ์เองก็ไม่ได้ออกแรง ไม่ได้วิ่ง ไม่โดนแดดร้อนและนั่งสบายในห้องแอร์ ถึงวิจารณ์ก็ควรให้กำลังใจกัน บางสิ่งที่พูดนั้นถูกต้องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ควรพูดอย่างผิดกาลเทศะบั่นทอนคนตั้งใจดี

          ตามประสาคนที่อยากเห็นตูนวิ่งถึงแม่สายก็อยากบอกว่าเป้าหมายของตูนนั้นมีสองประการคือ หนึ่ง วิ่งให้ถึงแม่สาย สอง หาเงินให้ถึงเป้า 700 ล้านบาท เป้าที่สองนั้นถึงแน่นอนอยู่แล้ว และอาจทะลุถึง 1,000 ล้านบาท เอาด้วย จึงไม่ต้องกังวล สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือประการแรกคือวิ่งให้ถึงแม่สาย

          จากที่ฟังตูนพูดเข้าใจว่าเขาเป็นนักกีฬา เขาเชื่อมั่นว่าวิ่งถึงแน่นอนและต้องให้ถึงภายใน 25 ธันวาคมด้วยตามเป้าเขาถึงจะ “ชนะ” อย่างไรก็ดีการรับเงินบริจาคของตูนไปจากประชาชนนั้นเปรียบเสมือนการสัญญาว่าจะวิ่งให้ถึงแม่สายโดยผู้ให้ไม่ได้คำนึงว่าจะถึงเมื่อใด ตูนจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันมากพอควร เมื่อวิ่งนานวันเข้ากำลังแรงย่อมอ่อนล้า มีโอกาสเจ็บป่วยสูงหากไม่ระวังตัว (วิ่งเร็ว ๆ และหยุดโดยไม่อุ่นเครื่องขาลงอาจทำให้หน้ามืดเพราะขาดเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้) สิ่งที่ประชาชนต้องการคือไป ให้ถึง อย่าเอาการไปถึงเป้าหมายภายในกำหนดเวลาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากตูนเร่งมือเกินไปก็อาจล้มเหลวไปไม่ถึงในที่สุดก็เป็นได้

          ตูนเสียสละมากจากการวิ่งครั้งนี้ ถึงทำได้สำเร็จแล้วก็อาจมีผลต่อร่างกายโดยเฉพาะการปวดขาและเข่าในระยะยาวต่อไป ผู้เขียนขอชื่นชมการเสียสละและการกระทำดีครั้งนี้ ขอเชียร์ว่า “พี่ตูนสู้ ๆ” ซึ่งหมายถึงขอให้ต่อสู้เอาชนะใจตนเองจากการต้องการ “ชนะ” ซึ่งอาจทำให้ตนเองแพ้ในที่สุดก็เป็นได้

บุคลิกภาพท้าทายนโยบายรัฐ

วรากรณ์  สามโกเศศ
5 กันยายน 2560

          เราสังเกตเห็นกันมานานว่าคนขัดสนมักใช้เงินไปมากในเรื่องไม่เป็นเรื่องโดยเชื่อว่าเป็นการเพิ่มสถานะในสังคม เช่น แขวนพระบนสร้อยคอทองคำเส้นใหญ่ ใส่แหวนทองคำหรู ขี่บิ๊กไบค์ กินอยู่ไปทางโก้หรู และเราก็เห็นอีกเช่นกันว่าบางคนในฐานะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น อะไรคือตัวอธิบายข้อแตกต่าง และเมื่อฐานะเขาดีขึ้นเขายังใช้จ่ายแบบเดิมหรือไม่ คำตอบเหล่านี้จะช่วยให้นโยบายเศรษฐกิจในการช่วยเหลือคนขาดแคลนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองคิดดูง่าย ๆ ว่าถ้าช่วยเหลือด้วยวิธีเดียวกันคือ ให้เงินสดแก่คนทั้งสองกลุ่มเหมือนกันจะเกิดผลอย่างใดขึ้น

          บทความในนิตยสาร Psychological Science เมื่อเร็ว ๆ นี้ของ Dr.Blaine Landis และ Dr.Joe Gladstone แห่ง University College มาจากการศึกษาข้อมูลของเจ้าของบัญชีธนาคารในอังกฤษ 700 คน ในปี 2014 โดยดูว่าแต่ละคนใช้จ่ายซื้อสิ่งใดบ้างโดยแยกออกเป็นสินค้าชนิดเพิ่มสถานะในสังคม (ของแบรนด์เนม ท่องเที่ยวต่างประเทศ เครื่องไฟฟ้า เครื่องประดับ ) และสินค้าชนิดตรงกันข้าม เช่น ซื้อของลดราคา สินค้าในชีวิตตามปกติ จากนั้นก็นำข้อมูลเหล่านี้มาหาสหสัมพันธ์กับรายได้และประเภทของบุคลิกภาพ คือ extroverts (คนชอบแสดงความรู้สึก) กับ introverts (คนเก็บความรู้สึกไม่แสดงออก)

          สิ่งที่พบนั้นยืนยันความสงสัยที่มีอยู่แล้วและให้ภาพที่ชัดขึ้น กล่าวคือ คนที่มีฐานะไม่ดีหากเป็นคน extroverts จะใช้สัดส่วนของรายจ่ายไปในเรื่องการเพิ่มสถานะสูงกว่าคน introverts แต่สำหรับคนฐานะดีแล้วทั้ง extroverts และ introverts ใช้จ่ายในเรื่องดังกล่าวไม่แตกต่างกัน มากนัก โดย extroverts ก็ยังเป็นคนใช้จ่ายมากกว่าอยู่ดี

          extroverts กับ introverts มีลักษณะนิสัยใจคออย่างไรจึงทำให้เกิดการใช้จ่ายในเรื่องการเพิ่มสถานะแตกต่างกันไม่ว่าในระดับรายได้ใด

          extroverts หมายถึงคนที่มีลักษณะสำคัญอย่างน้อย 5 ประการดังนี้ (ก) สนุกสนานกับการพูดคุยกับเพื่อน สมาชิกในครอบครัว ญลฯ กล้าที่จะเป็นคนเริ่มการพูดจากับคนแปลกหน้า ชอบมีเพื่อนใหม่ ๆ และเรียนรู้ชีวิตของเขา ใช้การพูดเป็นเครื่องมือในการจัดระบบความคิดและ ไอเดีย นอกจากนี้มักมีเพื่อนกว้างขวาง อีกทั้งสนุกสนานกับการพูดจาสังสรรค์

          (ข) มีพลังและตื่นตัวจากการได้พบปะสังสรรค์กับผู้คน มีความสุขกับการใช้เวลากับคนอื่น ถ้าให้เลือกระหว่างใช้เวลาอยู่คนเดียวกับอยู่กับเพื่อน extroverts จะเลือก อย่างหลัง (ค) ชอบแก้ไขปัญหาโดยการหารือกับคนอื่น การพูดถึงปัญหาช่วยให้สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของปัญหาตลอดจนเห็นทางเลือก extroverts จะรู้สึกผ่อนคลายหลังจากงานหนักเมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว

          (ง) คนอื่นจะเห็นว่า extroverts เป็นมิตรกับผู้คนและเข้าถึง ได้ง่าย เนื่องจาก extroverts ชอบการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเป็นพิเศษ ดังนั้นคนอื่นจึงมีทางโน้มที่จะเห็นว่าเป็นคนกันเอง (จ) มีลักษณะเปิดกว้างและผู้คนรู้สึกว่า extroverts ยินดีที่จะแชร์ความคิดและความรู้สึกกับเขาเสมอ และด้วยความรู้สึกนี้ extroverts จึงดูเป็นคนที่ไม่ลึกลับและเข้าถึงได้ง่าย

          ลักษณะของ extroverts ต่าง ๆ เหล่านี้มีดีกรีที่ไม่เท่ากันในแต่ละคน มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้ว extroverts จะเป็นคนมีความสุขจากการพบปะพูดจากับผู้คนทั้งเพื่อนเก่าและมิตรใหม่

          ส่วน introverts นั้นมี 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ (ก) มีความสุขกับการมีเวลาเป็นของตนเอง เวลาว่างชอบจะทำอะไรคนเดียว เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นเกมส์ ฯลฯ เวลาเช่นนี้ introverts ถือว่าเป็นสิ่งมีค่า (ข) คิดออกในยามที่อยู่คนเดียว ถึงแม้จะไม่รังเกียจการถกเถียงและวิพากษ์ยามทำงานร่วมกันกับคนอื่น แต่ introverts จะคิดอะไรได้ทะลุยามที่อยู่คนเดียว (ค) มีความสุขกับการอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมากกว่าการใช้เวลากับคนอื่นโดยเฉพาะการสังสรรค์กับคน กลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนแปลกหน้า (ง) มีเพื่อนสนิทไม่มากคนเนื่องจากไม่ชอบคบหาคนมากหน้าอย่างฉาบฉวย ชอบที่จะมีเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันน้อยคน

          (จ) คนอื่นมักคิดว่า introverts เป็นคนเงียบและยากที่จะเข้าถึง หรือแม้แต่บางครั้งเข้าใจว่าเป็นคนขี้อาย คนหยิ่ง ไม่เป็นมิตร (ฉ) เป็นคนเก็บความรู้สึกไว้กับตนเองไม่ชอบที่จะแชร์หรือหารือกับคนอื่นในการแก้ไขปัญหา

          การเป็น extroverts มิได้หมายถึงการเป็นคนเก่งกล้า และ introverts มิได้หมายถึง คนเงียบ ขี้อาย ไม่เป็นมิตร ทุกคนมีลักษณะทั้งสองอย่างผสมกันในดีกรีที่แตกต่างกัน มิได้สุดโต่งในทุกลักษณะดังกล่าว อย่างไรก็ดีเราพอจะแยกออกได้คร่าว ๆ เป็นสองบุคคลิกภาพ

          งานศึกษาของ Landis และ Gladstone ตีความได้ว่า extroverts เป็นคนขัดสนที่พยายามแสวงหาสถานะทางสังคมที่สูงขึ้นเพื่อให้คนอี่น ๆ เห็นและประทับใจเนื่องจากการพบปะสังสรรค์กับคนเหล่านี้เป็นกิจวัตรที่เขาชอบและทำอยู่เป็นประจำ ความรู้สึกของเขาโยงใยมากกับความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อเขา ดังนั้นการมี “เฟอร์นิเจอร์” ประดับร่างกาย บ้าน ชีวิตประจำวัน ฯลฯ ทำให้เขา “รู้สึกดี” และเป็น “สิ่งจำเป็น” สำหรับตัวเขา

          ส่วน introverts นั้นความรู้สึกของเขาโยงใยกับความรู้สึกของคนอื่นน้อยกว่าสนใจเรื่องของตนเอง ปรารถนาอยู่กับตนเองมากกว่าใช้เวลากับคนอื่น การมี “เฟอร์นิเจอร์” มีความสำคัญต่อตัวเขาน้อยกว่า

          นี่คือคำอธิบายว่าเหตุใด extroverts ที่ขาดแคลนจึงหมกมุ่นกับการใช้เงินเพื่อ “เฟอร์นิเจอร์” เพื่อยกสถานะมากกว่า introverts การเข้าใจเช่นนี้มีผลต่อการใช้นโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในเรื่องดังต่อไปนี้ (ก) หากช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยด้วยเงินสดเหมือนกันทั้ง extroverts และ introverts แล้วเงินจะละลายหายไปอย่างไร้ประโยชน์ในหมู่ extroverts การช่วยเหลือในรูปคูปอง อุดหนุนค่า น้ำ ไฟ ตั๋วเดินทาง ฯลฯ จะเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่า (ข) เน้นการให้ความรู้ในเรื่องการใช้จ่ายและการออมแก่คนขัดสนที่มีลักษณะ extroverts เป็นพิเศษเนื่องจากมีทางโน้มในการซื้อ “เฟอร์นิเจอร์” สูงกว่า (ค) ในการปล่อยสินเชื่อเพื่อ startups ทั้งหลาย การกลั่นกรองบุคลิกภาพเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจมากขึ้นเพราะมีทางโน้มที่ extroverts จะใช้เงินผิดประเภทมากกว่า

          ไม่ว่าจะเป็นคนบุคลิกภาพใดก็ตาม ต่างมีข้อเด่นและข้อด้อยด้วยกันทั้งสิ้น บางคนอาจมีบุคลิกภาพที่ผสมปนเปกันจนแยกออกได้ยาก ประเด็นสำคัญก็คือการที่แต่ละคนเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองและพยายามเสริมข้อด้อยของบุคลิกภาพนั้น ๆ เพื่อให้เกิดผลดีแก่ตนเองมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

          สิ่งสำคัญของมนุษย์นั้นมิได้อยู่ที่การแข่งขันให้เด่นดังกว่าเพื่อนหรือคนที่ไม่เป็นมิตร กับตน หากอยู่ที่ความพยายามให้เป็นคนที่ดีกว่าที่ตนเองเป็น
 

นายก “ซินเดอเรลลา” อายุ 37 ปี

วรากรณ์  สามโกเศศ
7 พฤศจิกายน 2560 

          ความสามารถ จังหวะของชีวิต และเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อมสามารถทำให้ผู้หญิงอายุเพียง 37 ปี ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศพัฒนาแล้วด้วยฝีมือของ เธอเอง

          Jacinda Ardern เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เธอเดินตามรอยผู้นำอายุน้อยในปัจจุบัน เช่น Justin Trudeau แห่งคานาดา (เป็นเมื่ออายุ 44 ปี คุณอภิสิทธิ์ก็เป็นตอนอายุเท่านี้เหมือนกัน) Emmanuel Macron แห่งฝรั่งเศส (39 ปี) Sebastian Kurz แห่งออสเตรีย (31 ปี) Kim Jong-Un แห่งเกาหลีเหนือ (อายุ 28 ปี) ดูเหมือนว่าการมีหน้าตาดีเป็นเงื่อนไขสำหรับชายและหญิงในตำแหน่งนี้ ยกเว้น Kim เพราะแค่ทรงผมก็หล่อเกินขนาดแล้ว

          Jacinda Ardern หน้าตาดี พูดเก่งและมีความสามารถ เธอเรียนจบปริญญาตรีนิเทศศาสตร์ ด้านสื่อสารการเมืองมาโดยเฉพาะโดยจบจาก University of Waikato ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเกิดของเธอคือ Hamilton มหาวิทยาลัยนี้ตั้งขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อสนับสนุนคนเมารี ซึ่งเป็นคนพื้นเมือง ในจำนวนนักศึกษาเกือบหนึ่งหมื่นคน มีนักศึกษาเมารีถึง 15% อาจารย์และเจ้าหน้าที่จำนวนมากก็ทำงานที่นี่

          พ่อของเธอเป็นตำรวจ ส่วนแม่ทำงานในโรงอาหารของโรงเรียน เธอเป็นสมาชิกพรรคแรงงาน (Labor) อย่างเหนียวแน่นตั้งแต่ยังเด็ก ลงเลือกตั้ง 3 ครั้ง ก็แพ้มาตลอด แต่ก็ได้เป็น ส.ส. รายชื่ออย่างสุดลุ้น พอได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขตครั้งแรกได้ไม่ถึง 8 เดือนก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะเล่าว่าเธอได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไร ลองดูการเมืองนิวซีแลนด์กันสักหน่อย

          นิวซีแลนด์มีประชากร 4.8 ล้านคนแต่มีแกะถึง 30 ล้านตัว มีรายได้ต่อหัวต่อคนมากกว่าไทยประมาณ 6 เท่า (36,000 กับ 6,000 เหรียญสหรัฐ) สองพรรคใหญ่คือ National กับ Labor ผลัดกันเป็นรัฐบาลมายาวนาน จนถึงปี 1969 ก็มีการลงประชามติให้มีระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่เรียกว่า MMP (Mixed Member Proportional) กล่าวคือใน 120 ที่นั่งของ ส.ส. ในรัฐสภาซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แบ่งเป็น 71 ที่นั่ง จาก ส.ส. เขต (หนึ่งเขต หนึ่งคน) และ 49 ที่นั่งเป็น ส.ส. จากบัญชีรายชื่อ

          ระบบ MMP ตั้งใจให้พรรคเล็กได้มีโอกาสเข้าไปร่วมรัฐบาล ในการเลือกตั้งผู้ลงคะแนนเลือก ส.ส.เขตจากพรรคและเลือกพรรคที่ชอบ สำหรับ ส.ส. เขตนั้นใครได้คะแนนสูงสุดก็ได้เป็น ส.ส. ส่วน 49 ที่นั่งของบัญชีรายชื่อนั้นเอามาจัดสรรให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ตามสัดส่วนที่ได้รับการลงคะแนนให้พรรค

          ระบบนี้คล้ายกับบ้านเราในสมัยก่อน เพียงแต่พรรคที่ได้คะแนนนิยมจากการเลือกพรรค 5% ขึ้นไปจะได้รับการจัดสรรจำนวน ส.ส. ตามสัดส่วนความนิยมพรรค หรือถ้าพรรคใดได้ ส.ส. จาก เขตหนึ่งคนขึ้นไป ก็จะได้รับจัดสรร ส.ส. ให้เช่นกันโดยเรียงลำดับตามบัญชีรายชื่อ

          นับตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมาถึงแม้ National กับ Labor ผลัดกันเป็นรัฐบาลครั้งละ 6 ปีบ้าง 9 ปีบ้าง (เลือกตั้งทั่วไปทุก 3 ปี) แต่เกือบทุกครั้งพรรคเล็กก็ได้เข้าร่วมรัฐบาล

          Jacinda นั้นเมื่อเรียนจบก็เป็นผู้ช่วยวิจัยของ Helen Clark ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค Labor หญิง และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของนิวซีแลนด์ (คนแรกคือ Jenny Shipley จากพรรค National) และไปทำงานเชิงที่ปรึกษาให้แก่ Tony Blair นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก่อนที่เธอจะกลับมาลงเลือกตั้ง ส.ส. เขตในปี 2008 ผลปรากฏว่าเธอแพ้แต่ก็ได้เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ (ระบบของนิวซีแลนด์ไม่ห้ามการมีชื่อในสองระบบ) โดยเป็นลำดับที่ 20 ของจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค Labor 20 คน เธอจึงได้เป็น ส.ส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในสภาคือ 28 ปี

          สมัยเลือกตั้งต่อมาคือ 2011 เธอก็ลงเลือกตั้ง ส.ส. เขตอีกและก็แพ้แต่ก็ได้เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่ออันดับที่ 13 จากจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ 13 คนที่พรรคได้ ในสมัยเลือกตั้งต่อมาคือปี 2014 เธอก็ลงเลือกตั้ง ส.ส. เขตอีก และก็แพ้อีก แต่ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่ออีกโดยอยู่ในอันดับ 5 จากจำนวน 5 คน ที่พรรคได้

          ชีวิตของเธอนั้นเหลือเชื่ออย่างมาก แพ้เลือกตั้งแต่ก็ได้เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับสุดท้ายของพรรคทั้ง 3 สมัย พอมาถึงสมัยเลือกตั้ง 2017 ในเดือนกุมภาพันธ์ คราวนี้โชคชะตาอยู่ข้างเธออย่างไม่คิดไม่ฝัน เธอลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต ครั้งนี้เธอได้รับคะแนนอย่างท่วมท้นเพราะไม่มีคู่แข่ง ถัดมาอีกเดือนเธอก็ได้รับเลือกให้เป็นรองหัวหน้าพรรคอย่างเป็นเอกฉันท์เพราะคนก่อนลาออก

          ก่อนเลือกตั้งเพียง 7 อาทิตย์ หัวหน้าพรรค Labor ก็ลาออกเพราะดูไปแล้วพรรคแพ้อย่างแน่นอน ในวันที่ 1 สิงหาคม 2017 เธอจึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค Labor เพราะได้รับคะแนนนิยมสูง เป็นกำลังสำคัญที่จะฉุดพรรคให้ได้จำนวน ส.ส.เกินกว่าครึ่งหนึ่งและได้เป็นรัฐบาล เธอก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี

          ผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 23 กันยายน 2017 พรรค Labor ได้ ส.ส. เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อรวม 46 ที่นั่ง แต่ก็ยังน้อยกว่าพรรค National ซึ่งมีอดีตนายกรัฐมนตรี Bill English เป็นหัวหน้า ซึ่งได้รวมทั้งหมด 56 ที่นั่ง (ลดไป 4 ที่นั่ง) จึงเป็นอันว่าเธอไม่ชนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอแพ้

          เวลาผ่านไป 3 อาทิตย์ พรรค Labor ก็ประกาศว่าจะมี 2 พรรค เข้าร่วมรัฐบาล คือ พรรค NZ First (9 ที่นั่งจากบัญชีรายชื่อทั้งหมด) และพรรค Green (8 ที่นั่งจากบัญชีรายชื่อทั้งหมด) รวมแล้วเธอมีเสียงสนับสนุน 63 ที่นั่ง (46 + 9 +8) เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. ทั้งหมดคือ 60 ที่นั่ง เธอจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยมีประสบการณ์การเมืองเป็น ส.ส. มา 9 ปี แต่ได้เป็นเพียงรัฐมนตรีเงา

          Jacinda ได้รับแรงเชียร์จากสื่อทั้งในและนอกประเทศมาก จนเป็นกระแสร้อนแรงทำให้พรรคได้ที่นั่งเพิ่มจากเดิม 14 ที่นั่ง เธอเป็นผู้นำ Women March ตอนต้นปี 2017 ประท้วงการเป็นประธานาธิบดีของ Donald Trump

          นโยบายของเธอคือช่วยเหลือเด็กยากจน (1 ใน 3 ของเด็กนิวซีแลนด์ยากจนซึ่งได้แก่ลูกหลานของเมารี และชาวเกาะในปาซิฟิค) เก็บภาษีคนรวย เงินกู้เรียนมหาวิทยาลัยไม่มีดอกเบี้ย ไม่อนุญาตให้คนต่างชาติซื้อที่ดินและบ้าน ลดจำนวนคนอพยพเข้าประเทศ สนับสนุนการทำแท้ง สนับสนุนการแต่งงานของเพศเดียวกัน ต่อต้านโลกร้อน ฯลฯ เรียกได้ว่าเธอมีความคิด “ก้าวหน้า” เธอเรียกตัวเองว่าเป็น Social Democrat

          ในวัย 37 ปี เธอเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยสุดในโลก เธอเป็นพลเมืองของประเทศที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญ ครั้งหนึ่งในปี 2005-2006 ตั้งแต่ Governor General (ตัวแทนพระราชินีเสมือนเป็นประมุข) นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร จนถึงประธานศาลฎีกาล้วนเป็นผู้หญิงทั้งหมด นอกจากนี้นิวซีแลนด์เป็นประเทศแรกในโลกที่ผู้หญิงมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยเริ่ม ในปี 1893 (สหรัฐอเมริกาผู้หญิงมีสิทธิ์ในปี 1920)

          ถ้าเป็นคนไทยก็ต้องบอกว่าดวงชะตาของเธอกำหนดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้ รองเท้าแก้วที่มาจากฝีมือของเธออยู่ติดแน่นไม่หลุดไปอีกนานเพราะเราเอาใจช่วย “ซินเดอเรลลา” หญิงเก่งวัยละอ่อนคนนี้

นกกระจอกเทศ ก้อนเมฆและปัญหา

วรากรณ์  สามโกเศศ
14 พฤศจิกายน 2560

          มนุษย์บางคนเมื่อมีปัญหาก็อยากให้ปัญหาหายไป ไม่ต้องการเผชิญกับมันด้วยการ“หลับตา” เสมือนกับเอาหัวซุกทรายเยี่ยงนกกระจอกเทศ ปัญหาก็คือ นกกระจอกเทศมันทำเช่นนี้จริงหรือไม่จนมนุษย์สมควรลอกเลียนแบบ และซุกทรายแล้วมันจะได้ผลหรือไม่

          เรื่องนกกระจอกเทศเอาหัวซุกทรายนั้นเป็นสำนวนภาษาอังกฤษมายาวนานว่าเอาหัวฃุกทรายเหมือนนกกระจอกเทศ (“bury your head in the sand like an ostrich”) ซึ่งมีความหมายว่าปฏิเสธที่จะคิดถึงความจริงที่ไม่น่าอภิรมย์ถึงแม้ว่ามันจะกระทบต่อสถานะของตนเองก็ตามที หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์หนึ่งโดยแสร้งทำว่ามันไม่มีอยู่ หรือแอบซ่อนเมื่อเห็นสัญญานอันตราย เช่นเดียวกับนอกกระจอกเทศยามเมื่อเห็นปัญหาหรืออยู่ในสถานการณ์ลำบากหรืออันตรายก็จะเอาหัวซุกทรายโดยเสมือนว่าถ้าไม่เห็นศัตรูแล้วศัตรูก็ไม่เห็นเช่นกัน

          สำนวนนี้ใช้กับคนไม่สู้ปัญหา คนขี้ขลาด คนหลอกตัวเองในสถานการณ์ว่าหากอยู่ เฉย ๆ ไม่กระทำการใดแล้วปัญหาจะหายไปเอง (เช่นหลักฐานที่เป็นหนี้ธนาคารจะหายไป) โดยเอาไปเปรียบเทียบกับนกกระจอกเทศซึ่งฟังดูเข้าท่า แต่ความจริงก็คือนกกระจอกเทศมิได้กระทำเช่นนั้น ถึงแม้ผู้เขียนจะมิใช่ทนายของนกยักษ์นี้ แต่ก็เห็นว่ามันไม่น่าจะเป็นธรรมนักที่มองว่ามัน “โง่” ขนาดนั้น

          นกกระจอกเทศ (ostrich) เป็นนกพื้นเมืองของทวีปอาฟริกา เป็นนกพันธุ์ใหญ่ที่สุด ในโลก มันบินไม่ได้จึงใช้การวิ่งแทน (ความเร็วสูงสุด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ตัวหนึ่งหนัก 60-150 กิโลกรัม หรือเท่ากับมนุษย์ 2 คน เวลายืดคอตรงสูงจากดินถึง 9 ฟุต มนุษย์คุ้นเคยกับนกพันธุ์นี้มากว่า 5,000 ปีแล้ว บริโภคเนื้อ เอาเปลือกไข่ที่ใหญ่มากมาเป็นเครื่องตกแต่งกาย ฯลฯ

          ผู้คนมักสับสนนกกระจอกเทศกับนกอีมู (emu) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน นกอีมูเป็น นกพันธุ์ใหญ่อันดับสองรองจากนกกระจอกเทศโดยหนัก 18-60 กิโลกรัม ตัวสูงไม่เกิน 6 ฟุต มันเป็น นกพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลีย มนุษย์รู้จักมันช้ากว่านกกระจอกเทศมากจึงไม่มีสำนวนว่าอีมูเอาหัวซุกทรายหรือพุ่มไม้

          นกกระจอกเทศมิได้เอาหัวซุกทราย (หากซุกจริงคงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว เพราะขาดอ๊อกซิเจน) แต่ที่มนุษย์เล่าขานกันนั้นคาดว่ามาจากการเห็นว่ามันเอาหัวทิ่มลงไปในทรายหรือดินซึ่งแท้จริงแล้วมันเอาปากลงไปพลิกไข่วันละหลายครั้งที่อยู่ในหลุมขนาดใหญ่ นอกจากนี้อาจมองเห็นจากระยะไกลว่าการหมอบกับดินนิ่งเวลาที่มันหวั่นเกรงอันตรายคือการเอาหัวซุกทรายก็เป็นได้

          ผู้เขียนไม่เชื่อว่ามีคนโง่ในโลกนี้ จะมีก็แต่คนคิดว่าตนเองฉลาดรู้ทุกอย่างหมดยกเว้นรู้จักตัวเอง หรือคนที่ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ หรือคนรู้ไม่ทันคนเพราะไม่มีสันดานเจ้าเล่ห์ ฯลฯ ดังนั้นคนที่เอาหัวซุกทรายเหมือนนกกระจอกเทศจึงมิใช่คน “โง่” เพียงแต่เป็นคนที่มีลักษณะทางจิตวิทยาบางอย่างในชั่วขณะที่ทำให้ไม่คิดสู้ปัญหา หรือฝันไปลม ๆ แล้ว ๆ ว่าจะมีอะไรพิเศษมาช่วยตน

          ความกลัวเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในใจมนุษย์ มันอยู่ในพื้นฐานจิตใจของความเป็นมนุษย์ เหตุที่ทุกคนมีความกลัวก็เพราะโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนผันผวนไปทางบวกและลบไม่หยุดหย่อนในชีวิต อีกทั้งอุดมด้วยสิ่งซึ่งอธิบายไม่ได้ จึงต้องแสวงหาบางสิ่งมาช่วยลดหรืออธิบายความกลัว ซึ่งสิ่งหนึ่งฃึ่งช่วยได้มากก็คือศาสนา

          การปฏิเสธที่จะนึกถึงความจริงที่ไม่พึงปรารถนา หรือหลีกเลี่ยงการแก้ไขปัญหาโดยแสร้งทำว่ามันไม่มีอยู่ ดังที่เรียกว่า “เอาหัวซุกทราย” เป็นเรื่องน่าสงสารมากกว่าน่าหัวเราะเยาะและคิดว่าโง่เขลา (ถ้าจะใช้คำว่า “โง่” มนุษย์ก็มีโอกาส “โง่” ได้ด้วยกันทุกคนตราบที่ยังมีโลภะ โทสะ และโมหะอยู่)

          สถานการณ์ “เอาหัวซุกทราย” นั้นไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน การหลอกลวงตนเองว่าไม่มีปัญหาก็คือการสร้างปัญหาใหม่โดยการทำให้ปัญหาเดิมนั้นเลวร้ายยิ่งขึ้น (คุณเกษม จาติกวณิช อดีตผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตผู้เรืองนามเคยกล่าวว่า “การตัดสินใจที่เลวที่สุดคือการไม่ตัดสินใจเลย”)

          การมองไม่เห็นปัญหากับการ “เอาหัวซุกทราย” นั้นแตกต่างกัน กล่าวคืออย่างหลังคือการแสร้งว่าไม่มีปัญหา (แสดงว่ารู้ว่ามีปัญหา) เพื่อหลีกหนีความจริง ส่วนอย่างแรกนั้นเป็นการมอง ไม่เห็น สิ่งหนึ่งที่ทำให้มองไม่เห็นปัญหาก็คือ การไม่สัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริง จมปลักอยู่ในความฝัน ไม่ให้ความสนใจสิ่งรอบตัวที่กำลังเกิดขึ้นหรือกับสิ่งที่คนบอก หรืออยู่ในโลกแห่งความฝันจนไม่มีอะไรที่จริงจังจับต้องได้ ดังสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า “to have your head in the clouds” (หัวอยู่ในก้อนเมฆ)

          สองสิ่งที่ทำให้ “หัวอยู่ในก้อนเมฆ” ก็คืออำนาจและเงิน ถ้าใครยอมให้สองสิ่งนี้ครอบงำชีวิตก็มีโอกาสสูงที่ “หัวอยู่ในก้อนเมฆ” จนทำให้ไม่เห็นหัวคน ไม่เข้าใจความรู้สึกของคน และสิ่งที่จะเกิดตามมาในภายหลังก็คือปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างไม่รู้จักจบเพราะเท้าไม่ติดดินเนื่องจากหัวถูกก้อนเมฆหนีบอยู่

          นกกระจอกเทศและก้อนเมฆในสองสำนวนนี้ดูจะเป็นตัวสร้างความปวดหัว แต่โดยแท้จริงแล้วคนก่อเหตุก็คือตัวมนุษย์เอง ถ้ามีสติ มีความกล้าหาญ และไม่ยอมให้อำนาจและเงินมาครอบงำแล้ว สัตว์และธรรมชาติใดก็ทำอะไรไม่ได้

ตัวเลขกับชีวิตที่ถูกบงการ

วรากรณ์  สามโกเศศ
31 มกราคม 2560

          แต่ละวัฒนธรรมก็มีเลขที่ถือว่านำมาซึ่งโชคดีหรือโชคร้ายด้วยกันแทบทั้งนั้น ความเชื่อเช่นนี้มีนัยยะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่าง ๆ นั้นอาจเป็นไปอย่างอยู่นอกการควบคุมของตัวเอง หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าตนเองมิได้เป็นผู้ลิขิตชีวิตตนเองทั้งหมด ความจริงข้อนี้ทำให้เกิดแง่มุมที่สามารถนำไปคิดได้หลายประการ

          วัฒนธรรมไทยถือว่าเลข 9 เป็นเลขนำโชค เพราะเสียงของ 9 นั้นตรงกับคำว่า “ก้าว” (คนยียวนอาจถามว่าเราทึกทักกันไปหรือเปล่าว่าก้าวไปข้างหน้า) อย่างไรก็ดีตัวเลขที่โชคดีอาจแปรเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของวันเวลาเกิด ชื่อของตน ฯลฯ ผู้เขียนไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าการนิยมเลข 9 ของคนไทยมีที่มาที่ไปอย่างไรและเชื่อกันมาตั้งแต่สมัยใด อาจเป็นได้ว่าในสมัยโบราณเลขโชคดีมีที่มาจากโหราศาสตร์

          ในวัฒนธรรมจีนถือกันมายาวนานว่าเลข 8 เป็นเลขนำโชคที่สุด คนจีนถือโชคลางเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับคนเอเชียทั้งหลาย เลขคู่ถือว่าเป็นเลขที่นำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวย ความสำเร็จมากกว่าเลขคี่ (เมื่อคนจีนเชื่อในการมีคู่หรือสองคนแต่เหตุไฉนจึงนิยมมีภรรยาหลายคนหรือต้องมีให้เป็นจำนวนเลขคู่เสมอ?) ยกเว้นเลข 4 ที่ถือว่าเป็นเลขไม่เป็นมงคลเพราะออกเสียงว่า “si” (ซี้) ซึ่งหมายถึงความตาย

          อย่างไรก็ดีเลขคี่ 3 ก็นิยมกันมากในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เนื่องจากพุทธศาสนาซึ่งมีอิทธิพลมายาวนานเกี่ยวพันกับเลข 3 เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือท่อง 3 จบ หรือเวียนเทียน 3 รอบ ฯลฯ พุทธศาสนาเข้าสู่แผ่นดินจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220) ปัจจุบันคนจีนจุดธูป 3 ดอก เคาะระฆัง 3 ครั้ง นิยมเลข 3 นำหน้า เช่น 38 (โชคดี 3 เท่า)

          เลขคี่ที่คนจีนนิยมอีกก็คือเลข 7 ซึ่งมีนัยยะของความศักดิ์สิทธิ์ และเลข 9 มีนัยยะของการมีอายุยืน (วัง Forbidden City ในปักกิ่งมี 9,999 ห้อง) ปัจจุบันคู่รักจีนนิยมส่งกุหลาบ 99 หรือ 999 ดอก ซึ่งหมายถึง “รักชั่วนิรันดร์”

          สำหรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นเลข 4 (เสียงตรงกันความหมายว่าตาย เช่น จีน) กับเลข 9 (เสียงตรงกับความหมายว่าเจ็บปวดทรมาน) ถือเป็นเลขที่นำมาซึ่งโชคร้าย เลขอื่น ๆ ที่เสียงฟ้องกับคำอื่นที่มีความหมายที่ไม่ดีก็เช่น 43 (เบอร์ห้องคลอดไม่มีเบอร์นี้เพราะคล้ายกับความหมายว่าลูกแท้ง) หรือ 24 (ตายสองครั้ง) ดังนั้นเบอร์ที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงก็คือ 4 และ 9

          เลขที่ถือว่าเฮงสุดของคนญี่ปุ่นก็คือเลข 7 (ปัจจุบันเจ้าของบริษัท 7-11 คือคนญี่ปุ่น) โดยมีที่มาจากพุทธศาสนาซึ่งแพร่หลายในญี่ปุ่นอย่างมากระหว่าง ค.ศ. 552 ถึง 1868 ส่วนเลข 8 นั้นคนญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นเลขโชคดีเช่นเดียวกับคนจีน

          สรุป คนจีนกับคนญี่ปุ่นมีเลขโชคดีตรงกันคือ 8 และ 7 และเลขโชคร้ายตรงกันก็คือเลข 4 ที่แตกต่างกันก็คือเลข 9 ซึ่งเป็นเลขมงคลของจีน แต่เป็นเลขไม่ดีของญี่ปุ่น

          ในวัฒนธรรมอินเดียซึ่งมีความหลากหลายมากและนับถือโชคลางอย่างยิ่งนั้น เลขมหาเฮงคือเลข 7 และมหาซวยคือ 8 ซึ่งตรงข้ามกับจีนและญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง คำอธิบายความโชคดีและโชคร้ายของเลขทั้งสองก็แตกต่างกันไป บ้างก็อ้างความเชื่อในศาสนาฮินดู บ้างก็ว่าเลข 8 กำหนดชะตากรรมในเรื่องร้าย ๆ ของประเทศ เช่น วัน เวลา แผ่นดินไหว สึนามิ ฯลฯ

          คนอินเดียเวลาทำบุญและทำทานจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่ลงท้ายด้วยเลข 0 เป็นอันขาด มงคลที่สุดก็คือลงท้ายด้วยเลข 1 ของขวัญที่เป็นเงินในวันมงคลจะต้องลงท้ายด้วยเลข 1 เสมอ

          สำหรับวัฒนธรรมตะวันตกนั้นเลข 13 เป็นเลขที่ไม่ดี โดยมีที่มาคือในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูก่อนถูกพวกโรมันจับไปตรึงบนไม้กางเขน มีคนร่วมกันทั้งหมด 13 คน (12 สาวกกับพระเยซู) และเหตุที่ถือว่าเป็นเลขไม่ดีก็เพราะใน 13 คนนี้มี Judas Iscariot ซึ่งทรยศพระเยซูร่วมอยู่ด้วย

          โรงแรมในบางประเทศ หรือแม้แต่ประเทศไทย ลิฟต์โดยสารจะไม่มีชั้น 13 จะไม่มีห้องเบอร์ 13 หรือในโรงแรมจีนและญี่ปุ่นบางแห่งก็ไม่มีชั้น 4 ทั้ง ๆ ที่ลองนึกดี ๆ แล้ว “ชั้น 12A” หรือ “ห้อง 12A” หรือชั้น 3A (ข้ามเลข 4 ไป 5 เลย) นั้นโดยแท้จริงแล้วก็คือชั้นหรือห้อง 13 หรือ 4 นั่นเอง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องหลอกตัวเองกันโดยแท้ เหตุที่เป็นมงคลก็เพราะไม่เห็นเลข 13 หรือ 4 เท่านั้น

          เลขมหาเฮงหรือมหาซวยจึงเป็นเลขสมมุติขึ้นมาในใจที่ถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรมและก่อให้เกิดผลในเชิงจิตวิทยา ปรากฏการณ์นี้แหละที่ช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้แก่รัฐบาลไทยจากการประมูลเลขทะเบียนรถ (บางป้ายก็ไม่ใช่หมายเลขเพื่อความเป็นมงคล หากเป็นหมายเลขสื่อความดังให้ปรากฏแก่คนอื่นว่าตนเองรวย หรือมีความสำคัญทั้ง ๆ ที่โดยแท้จริงหากไปชนคนตาย หรือต้องการลักลอบทำอะไรไม่ให้คนเห็นแล้วจะเป็นหมายเลขที่จำได้ง่ายที่สุด)

          คนที่ยอมให้ตัวเลขเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตอย่างงมงาย ก็คือคนที่ไม่เชื่อว่าตนเองสามารถกำหนดชะตาชีวิตตนเองได้ เป็นคนมืออ่อนเท้าอ่อนยอมให้ตัวเลขมาบงการชีวิต คนที่งมงายเช่นนี้เป็นคนน่าสงสารเพราะเกิดมาก็มีเพียงชีวิตเดียวแต่ไม่ก็ยังยอมให้ตัวเลขมาเป็นเจ้าของ

          เราคงไม่ปฏิเสธว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีขัอแย้งอยู่ในตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไป เช่น นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบิลเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก พุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด (“พุทธ” แปลว่า “ผู้ตื่น” โดย “ตื่น” จากโทสะ โลภะ โมหะ) นับถือผีและนับถือความเชื่อตามวิถีพราหมณ์คู่กันไป นับถือความดีความงามแต่ตนเองขาดเมตตาธรรม ฯลฯ

          การขัดแย้งบ้างเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่ก็ต้องเป็นไปภายใต้กรอบแห่งความมีเหตุมีผลบ้าง แต่ถ้าหมกมุ่นอย่างงมงายกับตัวเลขแล้ว น่าจะจัดได้ว่าเป็นคนน่าเวทนา เพราะไม่พยายามเป็นเจ้าของชีวิตตนเอง หากเอาไปแขวนไว้กับตัวเลข (โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุก ๆ 15 วัน)

          Warren Buffet เคยบอกว่า “ในเมื่อความเป็นจริงก็คือชีวิตเป็นของคุณ เหตุใดเล่าจึงให้โอกาสคนอื่นมาบงการชีวิตของคุณ”

ตั้งมหาวิทยาลัยต่างประเทศในไทย

วรากรณ์  สามโกเศศ
30 พฤษภาคม 2560

          โครงการ “ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก” หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ของรัฐบาลกำลังเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับตามแผนการที่ได้วางไว้ เรื่องหนึ่งที่มีการกล่าวถึงก็คือการยอมให้มหาวิทยาลัยต่างประเทศเข้ามาตั้งในประเทศไทย ปฏิกิริยาในเรื่องนี้มีอยู่เงียบ ๆ อย่างไม่ เปิดเผยนัก ผู้เขียนขอแสดงความเห็นในเรื่องนี้

          EEC เป็นความพยายามที่จะสร้างและเสริมเพิ่มเติมกลไกขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ (Engine of Growth) โดยเล็งไปที่ทำเลที่ตั้งในภาคตะวันออกต่อยอดจากโครงการ Eastern Seaboard บริเวณแหลมฉะบัง มาบตาพุด ฯลฯ ฃึ่งเริ่มในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เมื่อ 30 ปีก่อน โดย ดร.เสนาะ อูนากูล เป็นมันสมอง โดยมีทีมงานสำคัญคือ ดร.สาวิตต์ โพธิวิหค คุณสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม ฯลฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง เกิดท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกขนาดใหญ่ของประเทศไทย เป็นฐานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมรถยนตร์ ชิ้นส่วน ฯลฯ

          จากสัดส่วน GDP ของภาคตะวันออกประมาณร้อยละ 3.6 ของทั้งประเทศในปี 2526 เพิ่มเป็นร้อยละ 17.7 ในปี 2557 ทำให้รายได้ต่อหัวของคนที่อยู่ในภาคตะวันออกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนตัวเลขเฉลี่ยมากกว่าคนกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ คงไม่ผิดถ้าจะกล่าวว่าโครงการ Eastern Seaboard เป็น “คานงัด” ที่สำคัญของอุตสาหกรรมไทยในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา

          รัฐบาลปัจจุบันมองว่า “คานงัด” อันเก่ามันเริ่มจะล้าเพราะทำงานมานาน อุณหภูมิและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนไม้คานของประเทศอื่นที่มีอายุน้อยกว่าเริ่มมีอิทธิฤทธิ์มากขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นประเทศเราจึงต้องการ “คานงัด” อันใหม่ ซึ่งได้แก่ EEC

          EEC จะอยู่ในบริเวณพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ซึ่งแท้จริงก็คือบริเวณที่เดิมของ Eastern Seaboard โดยจะใช้พื้นที่ว่างใกล้เคียงที่มีอีกมาก พื้นที่ขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30,000 ไร่ (มีอยู่แล้วพร้อมลงทุน 15,000 ไร่ และอยู่ระหว่างพัฒนา 15,000 ไร่) มุ่งจะพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้สะดวกเหมาะสมต่อการเข้ามาลงทุนของธุรกิจต่างประเทศและไทยเพราะอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่ไม่ไกลจาก CLMV และจีน สอดคล้องกับการการเป็นศูนย์เชื่อมต่อกับประเทศเหล่านี้อย่างยิ่ง การพัฒนามีดังนี้

          ส่วนแรก คือ การก่อสร้างพื้นฐานคมนาคมและโลจิสติกส์ สร้างมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทางพร้อมปรับปรุงทางหลวงเชื่อมต่อ มีรถไฟรางคู่ รถไฟ ความเร็วสูง และสถานีรถไฟแห่งใหม่ ที่สำคัญคือเน้นให้ 3 สนามบินคืออู่ตะเภา สุวรรณภูมิ และดอนเมือง เชื่อมต่อถึงกันอย่างสะดวก มีการขยายสนามบินอู่ตะเภาเพื่อเป็นอาคารรับผู้โดยสารเพิ่มเติม ศูนย์ซ่อมอากาศยาน ศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศ ฯลฯ

          นอกจากนี้ก็คือพัฒนาสาธารณูปโภค ระบบน้ำ ไฟฟ้า สาธารณสุข สภาพแวดล้อม การท่องเที่ยว โดยมองไปที่การสนับสนุนพัทยา (มีนักท่องเที่ยวปีละ 10 ล้านคน) ตลอดจนขยายเมืองใหม่

          ส่วนที่สอง คือ พัฒนานิคมอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีชั้นสูง กำจัดขยะ น้ำเสีย โดยมองไปที่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

          กล่าวโดยสรุปก็คือต้องการสร้างพื้นที่ดึงดูดใจนักลงทุนจากภูมิภาคนี้และทุกแห่ง ตลอดจนจากภาคธุรกิจไทย โดยทำให้มีต้นทุนต่ำ สามารถเช่าที่ดินได้นานสำหรับการลงทุน มีส่วนประกอบด้านต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตของผู้เกี่ยวพันและครอบครัวมีคุณภาพสูง

          ส่วนสำคัญก็คือแรงจูงใจด้านภาษี และด้านไม่ใช่ภาษี เช่น การถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน การยอมให้นำเข้าช่างฝีมือ และประเด็นของข้อเขียนนี้ก็คือการยอมให้ต่างชาติตั้งมหาวิทยาลัยในไทย ซึ่งมีประเด็นดังต่อไปนี้

          (1) การมีมหาวิทยาลัยต่างชาติในไทยชนิดแบบเป็นแคมปัส มิใช่การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ (ถึงแม้ในตอนต้นอาจไม่ใช่มหาวิทยาลัยต่างชาติ แต่ต่อมากลายร่าง) ตัวอย่างก็คือมหาวิทยาลัย Stamford ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคเอกชนเครือข่าย Laureate International University ซึ่งมีอยู่ 60 มหาวิทยาลัยใน 29 ประเทศ และ Webster University ซึ่งแคมปัสหลักของมหาวิทยาลัยชื่อเดียวกันอยู่ในรัฐ Missouri สหรัฐอเมริกา

          (2) มหาวิทยาลัยต่างชาติในไทยไม่เป็นที่นิยมนัก รวมกันมีนักศึกษาอยู่ในระดับจำนวนพันในจำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนทั้งหมดประมาณ 150,000 คน ในจำนวนนักศึกษาทั้งประเทศไทยซึ่งมีกว่า 1.5 ล้านคน

          เหตุผลก็คือนักเรียนไทยที่มีความรู้ภาษาอังกฤษดีพอที่จะเรียนได้ มีเงิน และปรารถนาเรียนหลักสูตรที่เป็นภาษาอังกฤษสามารถเรียนได้ใน International Program ของมหาวิทยาลัยไทย ซึ่งมีอยู่นับร้อยแห่ง ส่วนกลุ่มที่อยากเรียนหลักสูตรแบบมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ถ้ามีเงินพอที่จะก็ไปเรียนออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา

          (3) เกือบทั้งหมดของนักศึกษาที่เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษในไทย ไม่ว่าในมหาวิทยาลัยไทยหรือต่างประเทศล้วนเรียนในระดับปริญญาตรีเกือบทั้งสิ้น ในบ้านเรามีหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงอยู่น้อยมาก ๆ อีกทั้งอาจารย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากงานวิจัย รู้จริงและรู้ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงนั้นก็มีน้อยมาก บุคลากรเหล่านี้ที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่ใช่อาจารย์ หากเป็นนักวิชาการ นักเทคโนโลยีในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และภาคเอกชน

          (4) หลักสูตรทั้งระดับปริญญาตรี โท และเอกทั้งหลายในบ้านเราไม่ว่าสอนในภาษาใดก็พูดได้ว่าไม่ทันกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง หลักสูตรเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาล่าสุดก็ปีก่อนหน้า ดังนั้นจึงใช้เวลา 4 ปี กว่าจะผลิตคนออกมาได้ และระหว่างที่เรียนนั้นโลกและตลาดก็เปลี่ยนไปจนสิ่งที่เรียนมาไม่สอดคล้องกับโลกที่ต้องเผชิญ หลักสูตรในต่างประเทศก็เข้าหรอบเดียวกับไทย แต่หลายแห่งหลักสูตรมีความคล่องตัวกว่ามาก จนนักศึกษาสามารถเลือกเรียนวิชาที่ตนเองสนใจและคาดเดาว่าจะสามารถนำไปปรับปรุงใช้กับโลกจริงได้อย่างดีที่สุด

          ครูอาจารย์เกือบทั่วโลกจำนวนมากสอนตามเนื้อหาที่ตนเองถูกสอนมาซึ่งอาจเป็นเวลาสิบ ๆ ปีและเราก็ตระหนักกันดีกว่าโลกเมื่อ 10 ปีก่อนนั้นต่างไปจากปัจจุบันอย่างไร และนี่คือปัญหาหนักอกในระดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกในปัจจุบัน

          การอนุญาตให้มหาวิทยาลัยต่างชาติมาเปิดในไทยนั้น จะมีผลกระทบน้อยในการแย่งชิงนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยไทยเพราะส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาคนละกลุ่มกับที่จะไปเรียน

          การมีมหาวิทยาลัยต่างชาติชั้นดีในเขต EEC จะช่วยทำให้ผู้ที่อาจเกี่ยวพันกับกิจกรรมของ EEC ยินดีที่จะมาร่วมมากขึ้นเพราะลูกหลานมีที่เรียน อีกทั้งเป็นแรงกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยไทยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงคุณภาพการเรียนการสอน โดยเฉพาะเป็นต้นแบบของงานวิจัยและการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา

          การมีเครือข่ายเชื่อมต่อกับมหาวิทยาลัยเหล่านี้จะเป็นผลดีต่อไทยมากกว่าผลเสีย แรงดึงดูดนักศึกษา CLMV และจีนให้มาเรียนในไทยอย่างมีคุณภาพก็จะแรงขึ้น ผู้บริหารการศึกษาไทยไม่ควรรังเกียจและหวาดกลัวการมาตั้งมหาวิทยาลัยเช่นนี้ในไทย อย่างไรเสียก็ไม่อาจหยุดกั้นได้ เพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ มีมหาวิทยาลัยต่างชาติมาตั้งอยู่หลายปีแล้ว

          สิ่งหนึ่งที่ขอติงก็คือการอนุญาตให้ตั้งมหาวิทยาลัยต่างชาติชนิดออนไลน์เท่านั้นจะไม่เป็นผลแต่อย่างใดเพราะขณะนี้คนไทยก็สามารถเรียนออนไลน์กับมหาวิทยาลัยต่างชาติเหล่านี้ได้อยู่แล้ว ประเด็นที่ควรตระหนักก็คือการเรียนออนไลน์นั้นพิสูจน์แล้วทั่วโลกว่าไม่ได้ผล มีเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่เรียนจบ (เฉพาะคนที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงเท่านั้น)เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์และมีสังคมแห่งการเรียนรู้ที่จับต้องได้

          การมีทัศนคติที่กว้างขวาง คิดถึงผลประโยชน์ของชาติมากกว่าส่วนตนคือความรักชาติที่แท้จริง
 

ไซเบอร์รับจ้างในอินโดนีเซีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
26 กันยายน 2560

         ในยุคโซเชียลมีเดียครองโลก การเสียผู้เสียคนโดยเฉพาะทางการเมืองเป็นไปได้ไม่ ยากนัก เพื่อนอาเซียนของเราคืออินโดนีเซียกำลังกวาดล้างแก๊งรับจ้างทำลายผู้คนทางไซเบอร์อย่างหนัก ผลงานของแก๊งเมื่อไม่นานมานี้สามารถทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟและอดีตผู้ว่าการเขตจาร์กาต้าต้องติดคุก บ้านเราควรเรียนรู้ไว้เพราะเป็นอันตรายต่อการได้คนดีมีความสามารถเข้าร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย

          นาย Joko Widodo หรือ Jokowi ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของอินโดนีเซีย ถึงแม้จะชนะเลือกตั้งในปี 2557 และทำงานมาแล้ว 3 ปีกว่า แต่ก็ต้องเผชิญวิบากกรรมต่อสู้กับกลุ่มอำนาจทหารที่ฝังรากมายาวนานนับตั้งแต่ประธานาธิบดี Sukarno หมดอำนาจลงในปี 1967 โดยอยู่ในรูปของพรรค Golkar และพรรค Gerindra ที่มีนายพล Probowo Subianto อดีตลูกเขยของประธานาธิบดี Suharto ซึ่งมีอำนาจต่อจาก Sukarno และครองอำนาจยาวนาน 31 ปี จนจบลงในปี 1998

          นายพล Subianto ลงแข่งประธานาธิบดีกับ Jokowi ในเดือนกรกฎาคม 2557 และแพ้ไป 46.9 กับ 53.2% ซึ่งเรียกได้ว่าเฉียดฉิว ถึงจะแพ้เสียงเลือกตั้งแต่ก็ดิ้นรนฟ้องศาล ต่อสู้ ทุกลักษณะ ประท้วงวุ่นวายกันนานพอควรจนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ Jokowi เป็นผู้ชนะ

          Jokowi ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในเรื่องการต่อสู้คอรัปชั่น เขามาจากเส้นทางของนักการเมืองท้องถิ่นคือเป็นนายกเทศมนตรีเมือง Solo และต่อมาได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการเขต Jakarta เมื่อทำงานเข้าตาประชาชนก็มีเสียงเรียกร้องให้ลงแข่งประธานาธิบดี ซึ่งประสบปัญหาทันทีเพราะนายพล Probowo Subianto ผู้เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจเก่าของ Suharto จองตำแหน่งประธานาธิบดีไว้แล้ว

          Subianto ถึงแม้จะมีชื่อเสียงมัวหมองเรื่องล้ำสิทธิมนุษยชน โดยถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนติมอร์ตะวันออกไปนับหมื่นเมื่อตอนพยายามแยกตัวเป็นเอกราชเมื่อกว่า 10 ปีก่อน แต่ก็มีเงินมากมาย เมื่อแพ้เลือกตั้งเขาประกาศว่าจะต่อต้าน Jokowi ในทุกเรื่อง ว่ากันว่าเขาแค้น Jokowi ที่เคยช่วยเหลือผลักดันให้ชนะเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการเขต Jakartaโดยแลกกับคำสัญญาว่าจะอยู่ในตำแหน่ง จนครบ ไม่ลาออกมาสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี

          3 ปีที่ผ่านมา นาย Jokowi หมกมุ่นกับปัญหาในประเทศ อย่างระวังการถูกแทงข้างหลังโดยกลุ่มอำนาจจนละเลยเรื่องต่างประเทศ ไม่สนใจนักกับการเป็นผู้นำของอาเซียนของอินโดนีเซีย จนกล่าวได้ว่าอาเซียนอยู่ในสภาพย่ำแย่ในปัจจุบัน เพราะมิได้รับความสำคัญดังที่ได้เคยฝันร่วมกันไว้

          มันเป็นเรื่องขึ้นมาเมื่อ Basuki Tjahaja Purnama ผู้ว่าการเขตจาร์กาต้า (นายกเทศมนตรีเมืองจาร์กาต้า) ผู้มิได้เป็นมุสลิมและมีเชื้อสายจีน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Ahok แพ้เลือกตั้งผู้ว่าการเขต จาร์กาต้าในปี 2017 ระหว่างหาเสียงเขาได้ปราศรัยครั้งหนึ่งโดยพาดพิงถึงข้อความไม่กระจ่างเรื่องไม่ให้เลือกคนที่มิได้เป็นมุสลิมมาเป็นหัวหน้า ผลปรากฏว่าสร้างความไม่พอใจให้ชุมชนมุสลิมบางแห่งเพราะเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนา และเข้าแจ้งความตำรวจให้จับเขาเพราะในอินโดนีเซียถือว่าการดูหมิ่นศาสนาอิสลามเป็นคดีอาญา

          เหตุที่มันเดือดร้อนมาถึง Jokowi ก็เพราะ Ahok เป็นผู้มีความสนิทชิดเชื้อกับเขา เคยเป็นทีมปราบคอรัปชั่นและทำงานให้จาร์กาต้ามาด้วยกันอย่างประสบความสำเร็จ โดยเป็นรองผู้ว่าการในสมัยที่นาย Jokowi เป็นผู้ว่าการฯ และเมื่อเขาพ้นมาเป็นประธานาธิบดี Ahok ก็ได้ขึ้นเป็นแทนเป็นเวลา 3 ปีเศษ และต้องลงเลือกตั้งในปี 2017

          หากแพ้เลือกตั้งแค่นี้ก็คงไม่กระไรนัก แต่ตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมา Jokowi โดนถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นคนจีน เป็นคอมมูนิสต์ ไม่ใช่มูสลิมแท้ และ Ahok ก็โดนเช่นเดียวกันโดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งเมื่อเขาไปพลาดเรื่องคำปราศรัยก็โดนหนักยิ่งขึ้น สังคมสื่อออนไลน์ปลุกปั่นเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ( “จะเอาคนจีนไม่ใช่มุสลิมเป็นคริสต์มาเป็นผู้ว่าการฯ ได้อย่างไร และอาจได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปก็ได้เพราะ Jokowi ย่อมปูทางไว้ให้”) ปรากฏว่าเรื่องลุกลามใหญ่โตเกิดความ ตึงเครียดและความหวั่นวิตกในประเทศมุสลิมใหญ่สุดของโลก มีคนออกมาชุมนุมเรือนแสนเพื่อต่อต้าน Ahok

          ในที่สุด Ahok ก็แพ้เลือกตั้ง และแถมถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาอีกด้วย Jokowi เข้าใจว่านี่คือการตีวัวกระทบคราด หากทิ้งให้สังคมออนไลน์สนุกกันเช่นนี้ การปกครองของเขา และการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาในปี 2561 จะมีปัญหาอย่างแน่นอน

          ประธานาธิบดีสั่งให้กวาดล้างกลุ่มสุดโต่งทางศาสนาที่ร่วมกันสร้างข่าวลวงให้หมด และเมื่อต้นกันยายน 2560 ก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยได้ 5 คน เมื่อสาวไปก็พบว่าไม่ใช่กลุ่มสนุกธรรมดากับการกระจายข่าวแบบส่งต่อ หากเป็นกลุ่มมือปืนรับจ้างสร้างข่าวลวงตามใบสั่ง โดยมีโรงงานข่าวปลอมชื่อ Saracen ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนึ่งในหลายโรงงาน เครือข่ายนี้โยงใยกว้างขวางไปถึงนักการเมือง และนายทหารใหญ่ด้วย

          ตำรวจพบว่ากลุ่มนี้เรียกค่าจ้างในการทำลายบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มด้วยการใช้สังคมออนไลน์อย่างเป็นระบบในราคา 75-100 ล้านรูเปียะห์ต่อเดือน (1.9-2.5 แสนบาท) เมื่อเจาะลึกลงไปก็พบหลายบัญชีของหลายธนาคารมีการโอนเงินเข้าจากผู้จ้างและโยงใยกับผู้นำการประท้วงต่อต้าน Ahok ด้วย

          การสร้างข่าวลวงนี้มีการเผยแพร่ในระดับท้องถิ่นและในภาษาอังกฤษโดยใส่หลายบัญชีปลอมในเฟสบุ๊คซึ่งเป็นโฃเชียลมีเดียที่นิยมอย่างยิ่งของคนอินโดนีเซีย เมื่อขุดลึกเข้าก็ดูจะโยงใยกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและนายทหารใหญ่ที่ยังมิได้เอ่ยชื่อแต่ดูเหมือนจะรู้กันในสังคม และคาดว่าจะมีการจับกุมเพิ่มเติมอีก

          การปลุกระดมโดยสังคมออนไลน์ได้สำเร็จก็เพราะมีสาเหตุจากการขาดความรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวอินโดนีเซีย อีกทั้งยังมีเรื่องความเปราะบางของเชื้อชาติและศาสนาเข้ามาเกี่ยวพันอีกด้วย ( อย่าลืมว่าในปี 1965-1966 มีคนจีนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมูนิสต์ถูกฆ่าตายในอินโดนีเซีย 300,000-400,000 คน ) หากปล่อยไว้โดยไม่ปราบปรามเด็ดขาดในครั้งนี้ เหตุการณ์อาจลุกลามกว่านี้ได้มากเพราะจะมีอีกหลายกลุ่มที่ออกมารับจ้างและน่าจะมีนักการเมืองอีกจำนวนมากที่ต้องการใช้บริการลักษณะเดียวกันนี้

          ในสังคมไทย กลุ่มรับจ้างทำลายกลุ่มคนและบุคคลน่าจะมีอยู่บ้าง แต่ยังไม่แพร่หลายและยังไม่สามารถจุดได้ติดอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเมื่อใดมีกลุ่มรับจ้างที่มีความสามารถมากจำนวนมากขึ้น บ้านเมืองจะปั่นป่วนและถึงกลียุคได้ไม่ยากนักเพราะเรามีนักไซเบอร์ที่มีความหวือหวาทางอารมณ์เสริมอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

          อาชญากรรมไซเบอร์ล้วนมาจากคนที่มีการศึกษาทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาทางสมอง แต่ขาดการศึกษาทางหัวใจ

จีนมีเทคโนโลยีการผลิตสูงหรือต่ำ

วรากรณ์  สามโกเศศ
17 มกราคม 2560

          “อุปกรณ์และสินค้าประเภทเครื่องจักรของจีนมีคุณภาพด้อยเพราะจีนมีความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตต่ำ” “เราผลิตเก่งแต่ปลาดุกด้านมากกว่าปลาดุกอุยจึงเห็นแต่ปลาดุกด้านในตลาด” “โรงแรมมีหลากหลายคุณภาพ ส่วนใหญ่มีคุณภาพด้อยเพราะขาดเงินทุน” ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิด การเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้องอาจสามารถนำมาประยุกต์ในการทำความเข้าใจโลกได้เป็นอย่างดี

          เราเห็นอุปกรณ์ไฟฟ้าตลอดจนเครื่องจักรจีนมีราคาถูก มอเตอร์ไซต์จีนมีราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่งหรือสองเท่าของรถมอเตอร์ไซต์ญี่ปุ่นแต่คุณภาพต่ำกว่า คนทั่วไปเข้าใจว่าจีนไม่มีปัญญาผลิตอุปกรณ์และเครื่องจักรชั้นดี อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาลงไปลึก ๆ ก็จะเห็นว่าจีนกำลังผลิตเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่แข่งกับ Boeing และ Airbus ออกสู่ตลาด จีนกำลังสร้างยานอวกาศและจะส่งคนขึ้นไปโลกพระจันทร์ในเวลาอีกไม่นาน แถมผลิตลอกเลียนโทรศัพท์ยี่ห้อดีของโลกได้ในราคาถูก

          คำถามง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจีนไม่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตในระดับสูงแล้วจะผลิตยานอวกาศไปนอกโลกได้อย่างไร จะลอกเลียนแบบโทรศัพท์ ลอกเลียนรถยนต์ ลอกเลียนนาฬิกา แบรนด์เนมได้ทุกยี่ห้อทุกรุ่น ฯลฯ ได้อย่างไร
คำตอบก็คือจีนต้องมีขีดความสามารถของเทคโนโลยีการผลิตสูงอย่างแน่นอนจึงจะสามารถผลิตสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วได้ แต่ข้อสงสัยก็คือแล้วทำไมถึงไม่ผลิตเล่า

          ก่อนตอบคำถามนี้ลองพิจารณาเรื่องปลาดุกอุย ปลาดุกพันธุ์นี้เนื้อเหลืองมีรสชาติดีมากแต่เติบโตช้าสู้ปลาดุกด้านไม่ได้ ตัวก็เล็กกว่า ดังนั้นต้นทุนการผลิตจึงสูงเมื่อเทียบกับปลาดุกด้านหรือแม้แต่ปลาดุกรัสเซีย ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการกินปลาดุกราคาถูกถึงแม้จะไม่อร่อยก็ตาม ดังนั้นเราจึงเห็นแต่ปลาดุกด้านในตลาดเป็นส่วนใหญ่ มิใช่เป็นเพราะเราผลิตปลาดุกอุยไม่เก่ง

          สินค้าเครื่องจักรจีนที่มีคุณภาพด้อยเกิดขึ้นด้วยเหตุผลคล้ายกัน กล่าวคือจีนผลิตสินค้า ชั้นดี คุณภาพเป็นเลิศก็ได้ด้วยความสามารถทางเทคโนโลยีและวัตถุดิบที่มี แต่เขาไม่เลือกที่จะผลิตแข่งกับเยอรมันและญี่ปุ่น หากเลือกผลิตสินค้าที่ขายในราคาถูกกว่ามากซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณภาพก็ย่อมต่ำลงด้วย

          ตลาดโลกต้องการสินค้าราคาถูก ประเทศพัฒนาแล้วต้องการสินค้าราคาถูกที่มีคุณภาพใกล้เคียงของดั้งเดิมพอควรจึงจ้างจีนผลิต ซึ่งจีนก็สามารถตอบสนองได้ในราคาต่ำแต่คุณภาพก็จำเป็นต้องลดลง

          ยิ่งเป็นสินค้าที่จีนผลิตเองโดยมิได้รับจ้างผลิตแล้ว จีนก็ผลิตด้วยเทคโนโลยีธรรมดาและด้วยวัตถุดิบราคาถูกเพื่อให้ได้สินค้าราคาถูกเพื่อให้ขายได้มาก ๆ (ยิ่งเงินหยวนมีค่าอ่อนตัวแล้ว ราคาในเงินสกุลต่างประเทศยิ่งถูกลงไปอีก) โดยเป็นทางเลือกให้แก่ชาวโลกที่ไม่สามารถซื้อของดีราคาแพงจากประเทศพัฒนาแล้วได้

          ความเข้าใจว่าจีนอ่อนเรื่องเทคโนโลยีการผลิตจึงเป็นความเข้าใจผิดโดยแท้ เราสังเกตเห็นนาฬิกาแบรนด์เนมปลอมที่มีหลากหลายราคา หากปลอมชนิดชั้นเลิศก็มีราคาสูง หากปลอมแบบธรรมดา ๆ ก็มีราคาต่ำ ถ้าไม่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีอย่างแท้จริงแล้ว จะผลิตของปลอมได้หลากหลายคุณภาพได้อย่างไร ถ้ามีแต่เทคโนโลยีต่ำแล้วก็ผลิตได้แต่ของปลอมคุณภาพแย่ ๆ เท่านั้น

          อย่างไรก็ดี คำว่า “เทคโนโลยีของจีน” นั้นมีความหมายกว้างขวาง เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่มโหฬาร ประชากรกว่า 1,400 ล้านคน ในประชากรโลก 7,000 ล้านคน บางบริษัทเอกชนในบางมณฑลก็มีความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตสูง แต่บางแห่งก็ต่ำ หลากหลายกันไป ภาครัฐของส่วนกลางมีความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตสูงที่สุด

          สินค้าจีนที่ออกสู่ตลาดโลกจึงถูกผลิตโดยโรงงานที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตแตกต่างกัน คุณภาพจึงแตกต่างกันด้วย แต่ทั้งหมดก็มุ่งไปสู่ต้นทุนต่ำเป็นหลัก ดังนั้นคุณภาพจึงไม่ สูงนัก อย่างไรก็ดีคงจะไม่ผิดถ้าจะกล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตของจีนโดยทั่วไปนั้นไม่ต่ำ หากต่ำก็เพราะ จงใจเพื่อให้มีสินค้าถูกตรงใจผู้บริโภคส่วนใหญ่ของโลก

          ในเรื่องโรงแรมที่มีหลากหลายคุณภาพนั้น ทุนมิใช่เป็นคำอธิบาย หากดีมานด์ของโรงแรมที่แตกต่างกันต่างหากเป็นผู้กำหนด ถ้าผมเป็นเจ้าของโรงแรมราคาปานกลางที่มีคนมาพักแน่นตามทำเลที่ตั้ง มีกำไรดีทั้งปี เหตุใดผมจึงสมควรทุ่มทุนปรับปรุงโรงแรมให้มีคุณภาพ 5 ดาว ซึ่งต้องมีค่าห้องแพงหูฉี่ จนอาจไม่มีคนมาพักมาก

          ลักษณะของดีมานด์บริการโรงแรมที่แตกต่างกัน เป็นตัวอธิบายปรากฏการณ์ที่โรงแรมจำนวนมากมีคุณภาพหลากหลาย ไม่มีเหตุผลที่ทุกโรงแรมจะต้องเป็น 5 ดาวหมด

          อเมริกันชนสายพันธุ์ Trump เข้าใจว่าจีนเป็นผู้ทุ่มสินค้าราคาถูกเข้าตลาดอเมริกันจนทำให้คนอเมริกันตกงานเนื่องจากสู้ราคาสินค้าไม่ได้ แต่ความจริงก็คือบริษัทอเมริกันใหญ่ ๆ เกือบทั้งหมดนั่นแหละเป็นผู้ไปจ้างบริษัทในจีนให้ผลิตสินค้าของตนในราคาถูกเพื่อฟันกำไรมาก ๆ อีกทั้งราคาสินค้าก็ไม่สูงขึ้นด้วยถึงแม้ค่าแรงในสหรัฐอเมริกาจะสูงขึ้นก็ตาม

          อเมริกันชนได้รับประโยชน์จากการได้ใช้สินค้าราคาถูกที่มีคุณภาพต่ำลงบ้าง ในขณะที่ค่าแรงสูงขึ้น (ค่าแรงที่แท้จริงสูงขึ้น) อเมริกันชนและจีนจึงอยู่ในสภาพ win-win

          ถ้าอเมริกันสายพันธุ์นี้ผลักดันให้สินค้าทั้งหมดผลิตในสหรัฐอเมริกาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือข้าวของในสหรัฐอเมริกาต้องแพงขึ้นอย่างแน่นอน และถ้าค่าแรงไม่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกับราคาสินค้าก็หมายความว่าค่าแรงที่แท้จริงจะลดลง

          หากนำความเข้าใจเรื่องจีน ปลาดุก และโรงแรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงแล้วก็จะเห็นว่าบ้านที่แข็งแรงที่สุดและสวยที่สุด รถยนตร์ที่มีคุณภาพเป็นเลิศที่สุด โรงเรียนที่ดีที่สุด ภรรยาที่สวยที่สุด สะพานถนนที่แข็งแรงที่สุด ฯลฯ นั้นไม่มี ทุกอย่างมีข้อจำกัดทั้งนั้น

          ถ้าต้องการบ้านที่แข็งแรงที่สุดก็ต้องใช้โลหะชนิดแข็งแรงและทนทานพิเศษ วางรากฐาน กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กหนา 6 ฟุต (ต้องมากกว่านี้มากจึงจะแข็งแรงจริง) โครงสร้างเป็นโลหะเบาพิเศษที่แข็งแรง ฯลฯ ส่วนหากจะให้สวยที่สุด (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร เพราะทุกคนมีรสนิยมที่แตกต่างกัน) ก็ต้องสรรหาวัสดุ และส่วนประกอบอันเป็นเลิศที่สุด (แปลว่าอะไร ?) มาใช้ ราคาบ้านในที่สุดคงสูงอย่างไม่กล้าคิด

          รถยนต์ที่มีคุณภาพเป็นเลิศที่สุดก็เช่นกันคือไม่มีในโลก เพราะแค่คำว่า ‘เป็นเลิศที่สุด’ ก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรแล้ว ถ้าจะอนุโลมว่าเลิศที่สุดคือใช้วัสดุคงทนที่สุด แบบประปลาดที่สุด ใช้พลังคนน้อยที่สุด ฯลฯ ก็ต้องมีข้อจำกัดอีกนั่นแหละว่าแค่ไหนจึงจะถือว่า “เป็นเลิศที่สุด”

          ในเชิงธุรกิจ สินค้าเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า จึงต้องมีอายุอันเหมาะสมกับราคาที่ผู้คนพอซื้อหาได้ในระดับฐานะทางเศรษฐกิจนั้น ๆ ถ้าคุณภาพดีมากก็จะมีราคาสูงจนหาคนซื้อไม่ได้ และถ้าคุณภาพต่ำลงมากเกินไป ราคาถูก คนในชั้นเศรษฐกิจนั้นก็จะไม่ซื้อหา

          หากจีนสามารถผลิตสินค้าได้ในทุกระดับคุณภาพแล้วก็ต้องถือว่าเป็นประเทศที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตสูงเป็นแน่ ในช่วงเวลาต่อไปเราก็คงไม่เห็นสินค้าจีนที่มีคุณภาพดีมากเสมอหน้ากันแบบญี่ปุ่นหรือเยอรมัน ทั้งนี้เนื่องจากจีนเป็นประเทศใหญ่มาก มีผู้ผลิตจำนวนมหาศาลที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่แตกต่างกันอีกทั้งมีผู้บริโภคสินค้าจีนที่มีฐานะเศรษฐกิจแตกต่างกันมาก ในโลก การผลิตสินค้าคุณภาพดีมากในราคาสูงเหมือนกันหมด ไม่เป็นการสนองตอบที่ถูกต้องเชิงธุรกิจ

          ผู้บริโภคไม่บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุดเสมอไปเนื่องจากมีราคาสูงหากต้องการใช้สินค้าที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่งและในระดับราคาที่ตนเองสามารถซื้อหาได้ นี่คือความจริงในเชิงธุรกิจที่ผู้บริโภคพึงตระหนักถึง ส่วนผู้ผลิตนั้นก็ต้องแสวงหาส่วนผสมของคุณภาพและราคาที่เหมาะสมเสมอ

จ่าอัจฉริยะกับปืนที่เปลี่ยนโลก

วรากรณ์ สามโกเศศ
9 พฤษภาคม 2560

         คนไทยกำลังให้ความสนใจในเรื่องอาวุธกันในขณะนี้ วันนี้จึงขอเอาเรื่องปืนที่เปลี่ยนโลกมาเล่าสู่กันฟัง

          คนไทยรู้จักปืนที่มีชื่อว่า “อาก้า” มานานตั้งแต่ยุคต่อสู้คอมมูนิสต์เมื่อ 30-40 ปีก่อน ปัจจุบันได้ยินชื่อปืน AK-47 ซึ่งเป็นอาวุธสงครามของพวกที่สู้รบกันอยู่ในตะวันออกกลางและอาฟริกา ฟังดูเหมือนหนังคนละม้วนแต่แท้จริงแล้วก็คือปืนเดียวกันโดยเป็นปืนซึ่งถือกันว่าเป็นปืนที่เปลี่ยนโลกทีเดียว

          ชื่อ AK-47 มาจาก AK ซึ่งเป็นชื่อทางการคือ Avtomat Kalashnikova ซึ่งคำที่สองมาจากชื่อผู้ประดิษฐ์คือ Mikhail Kalashnikov ส่วน 47 มาจากปี 1947 ซึ่งเป็นปีที่ผลิตปืนต้นแบบได้สำเร็จ

          AK-47 มีชื่อแสลงในภาษารัสเซียว่า Kalash (แผลงมาเป็น “อาก้า?”) บางทีก็เรียกว่า Kalashnikov หรือ AK แต่ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม AK-47 เป็นปืนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์โลก

          หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้นำสหภาพโซเวียตคิดว่าต้องผลิตปืนยาวต่อสู้ประจำกายที่มีฤทธิ์ร้ายแรงเสมอหรือดีกว่าปืน StG 44(Sturmgewehr) ของนาซี ซึ่งคนรัสเซียคุ้นเคยดี เพราะได้ต่อสู้ช่วงชิงเมือง Stalingrad กันนานถึง 5 เดือนอย่างถึงพริกถึงขิง ฝ่ายเยอรมันตายไป 734,000 คน ฝ่ายรัสเซียตายไปเกือบ 500,000 คน บาดเจ็บพิการอีก 650,000 คน นาซีพ่ายแพ้อย่างย่อยยับอันเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่นำไปสู่การแพ้สงครามในที่สุด

          ตลอดสงครามมีเสียงบ่นจากทหารรัสเซียว่าปืนของตนนั้นสู้ของนาซีไม่ได้ทางการสหภาพ โซเวียตจึงจัดประกวดแข่งขันหาปืนในฝันเพื่อมาใช้ประจำกองทัพเมื่อตอนปลายสงครามโลก มีนักประดิษฐ์ปืนมีชื่อของรัสเซียส่งปืนเข้าประกวดหลายราย แข่งกันหลายรอบ จ่าทหารผ่านสงครามคนหนึ่งคือ Kalashnikov ส่งปืนเข้าประกวดและแพ้หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ชนะการประกวดประเภทกึ่งอัตโนมัติ (ยิงได้ทีละนัด) และเปลี่ยนเป็นยิงรัวได้ (ปืนกลยิงได้นาทีละ 100 นัด) โดยใช้ระบบก๊าซจากกระสุนที่ยิงก่อนหน้ามาดันลูกต่อไปให้เข้ารังเพลิง

          จ่าคนนี้ไม่เคยได้รับการศึกษาเรื่องออกแบบอาวุธมาก่อนเลย แต่เป็นคนชอบปืนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถอดและประกอบปืนเล่นเป็นประจำ เป็นนักประดิษฐ์โดยเรียนรู้จากปืนของชาติต่าง ๆ และลักจำเอาส่วนดีมาใช้ AK-47 เป็นลูกผสมของเทคโนโลยีปืนของหลายชาติ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปืนกลอเมริกัน M1Garand / M1Carbine ตลอดจนปืนอเมริกัน Remington Model 8 และ StG44 ของเยอรมัน

          ปืนทุกกระบอกก็เลียนแบบกันมาทั้งนั้น (เหมือนคำพูดที่ว่าแท้จริงแล้วโลกเรามีกางเกงและเสื้อตัวเดียว) เพียงแต่ว่าใครจะเอามาผสมปนเปได้ดีกว่ากัน AK-47 ประสบผลสำเร็จมากเพราะเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ในดิน ในทราย หรือแม้แต่ในน้ำ ก็หยิบขึ้นมาใช้งานได้ทันที ยิงได้แม่นยำพอควร มีขนาดกะทัดรัด ไม่หนักมาก มีผลการยิงที่รุนแรง แมกกาซีนใส่ลูกกระสุนได้ 30 นัดโดยโค้งงอเล็กน้อยเพื่อให้สามารถส่งกระสุนเข้ารังเพลิงได้ง่าย ประการสำคัญสามารถผลิตได้จำนวนมากด้วยต้นทุนที่ต่ำ ใช้งานและดูแลได้ง่ายมาก คนที่ยิงปืนไม่เป็น สมองไม่เฉียบคม ก็สามารถใช้งานได้ และดูแลปืนได้เป็นอย่างดี

          AK-47 มีความเป็นพิเศษคือลำกล้องและส่วนประกอบภายในช่องระเบิดกระสุนเป็นแผ่นโครเมียมซึ่งทำให้ไม่เป็นสนิม ทนต่อทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระสุนปืนทหารประกอบด้วยสารโปแตสเซียมคลอไรด์มาก เมื่อกระสุนระเบิดสารนี้ก็จะไปทำให้เกิดสนิม และปืนติดขัดจนเชื่อถือไม่ได้

          เหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็คือสงครามเย็นระหว่างโลกคอมมูนิสต์กับทุนนิยม และภายใต้ความขัดแย้งนี้ก็คือการส่งออกอุดมการณ์สังคมนิยมและคอมมูนิสต์ ผ่านการสู้รบแบบกองโจร และสิ่งที่ขาดมิได้ก็คืออาวุธโดยเฉพาะปืนยาวประจำกายที่มีคุณภาพ AK-47 จึงกลายเป็นอาวุธของเหล่าผู้ประกอบการร้ายในทุกส่วนของโลกตั้งแต่ตอนนั้นตราบจนถึงยุค IS ในวันนี้

          มีการปรับปรุง AK-47 และแตกลูกไปอีกในตระกูล AK เช่น AKM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สหภาพโซเวียตต้นตำรับก็อนุญาตให้ผลิตปืนนี้ได้ในประเทศมิตรคอมมูนิสต์ ดังนั้นเราจึงเห็น AK-47 ในเวอร์ชั่นที่มีชื่อว่า Type56 ของจีน ซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวางในสงครามคอมมูนิสต์ในภูมิภาคนี้ของเรา

          AK-47 ใช้กระสุนขนาด 7.62 x 39 มิลลิเมตร ความเร็วต้นกระบอก 715 เมตรต่อวินาที แม่นยำพอยิ่งเข้าเป้าเป็นกลุ่มรัศมี 3-5 นิ้วในระยะ 100 หลา หนักประมาณ 3.5 กิโลกรัมถ้าไม่มีกระสุน

          หลายประเทศที่มีนักประดิษฐ์ปืนเก่งๆเช่น ยุโรปตะวันออก อิสราเอล ก็ดัดแปลง AK-47 ให้มีคุณลักษณะที่แปลกออกไป แต่ก็ยังคงเป็นตระกูล AK-47 เช่นเดิม

          มีประมาณการว่านับจนถึงปี 2009 มีการผลิต AK-47 รวมทั้งสิ้น 100 ล้านกระบอก (ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้คือของปลอมที่ทำขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก) เฉลี่ยปีละกว่าหนึ่งล้านกระบอก สหภาพโซเวียตไม่ได้จดทะเบียนสิทธิบัตรจนกระทั่งปี 1997

          การปฏิวัติในจีน เวียตนาม ลาว ประเทศเอเชีย อาฟริกาและยุโรป จะไม่สำเร็จได้เป็นอันขาดถ้าไม่มี AK-47 หรือ Type 56 เข้าไปมีบทบาท ไม่มีใครรู้ว่า AK-47 ฆ่าคนตายและสร้างความทุกข์เข็ญให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนเท่าใด ประเทศตะวันตกในแนวทาง ประชาธิปไตยมองว่า AK-47 คือปีศาจร้ายที่มีประสิทธิภาพสูงของผู้ก่อการปฎิวัติ ผู้ค้ายาเสพติด แก๊งมาเฟีย ผู้ก่อการร้าย ในขณะที่คนในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนหนึ่งมองว่า AK-47 คือเครื่องมือในการต่อต้านจักรวรรดินิยม การล่าเมืองขึ้น การครอบงำและยึดครองของต่างชาติ

          มีคำวิจารณ์สหภาพโซเวียตในเรื่อง AK-47 ว่าพยายามสร้างภาพให้เห็นว่า Kalashnikov เป็นฮีโร่ เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์คนเดียว แต่แท้จริงแล้วมีทีมงานร่วมด้วยและต่อมารัฐเข้าไปช่วยพัฒนา AK-47 จนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งในการช่วงชิงอำนาจด้วยความรุนแรงในทศวรรษ 1970 และ 1980 ของโลกหรือแม้กระทั่งทุกวันนี้

          Kalashnikov เป็นลูกชาวนามาจากชนบทในถิ่น Kurya ในเขต Altai Krai เรียนไม่จบ ชั้นมัธยม ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารใน Red Army ในตำแหน่งพนักงานช่างประจำรถถัง และในที่สุดก็ได้เป็นผู้บัญชาการรถถัง บาดเจ็บจากการสู้รบในปี 1941 และระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลก็ได้ยินทหารบ่นว่าปืนประจำตัวนั้นมีคุณภาพแย่อย่างไร เขาจึงเกิดความคิดที่จะเข้าร่วมประกวดปืนด้วย

          Kalashnikov ไม่เคยได้รับเงินแม้แต่รูเบิลเดียวจากงานประดิษฐ์ชิ้นนี้ของเขา เขาบอกว่าเขามีพออยู่พอกิน และตั้งใจทำเพื่อชาติ ในบั้นปลายชีวิตเขาได้ลงทุนในบริษัทการตลาดที่หลานปู่เป็นผู้จัดการ ได้รับผลตอบแทนพอควรจากการขายเหล้าว๊อดก้า มีด (ชื่อ AK-74) และสินค้าอื่น ๆ ใน ชื่อแบรนด์ Kalashnikov

          ที่บ้านเกิดของเขามีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับ AK-47 และตัวเขา ผู้ซึ่งได้เป็นนายพลในที่สุด และสิ้นชีวิตในวัย 94 ปี เมื่อ ค.ศ. 2013

          นี่คือเรื่องราวของจ่าอัจฉริยะคนหนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีบทบาทอย่างสำคัญในการปฏิวัติระดับโลกและทำให้คนจำนวนมากมายในโลกต้องเสียน้ำตาจากประดิษฐกรรมที่เขาภาคภูมิใจ