“ไอนุ” ชนพื้นเมืองญี่ปุ่น

วรากรณ์  สามโเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27 ตุลาคม 2558

          รู้มานานแล้วว่าญี่ปุ่นมีคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่เรียกกันว่า “ไอนุ” แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร มีประวัติความเป็นมา และปัจจุบันมีจำนวนเท่าใด และอยู่กันในบริเวณไหนบ้าง โอกาสนี้ผู้เขียนขอนุญาตขยายความให้พอเห็นภาพ

          ขอเริ่มต้นที่ภูมิศาสตร์ของญี่ปุ่น เกาะใหญ่ตอนเหนือสุดคือฮอกไกโด เรียงลงมาคือเกาะใหญ่สุดคือฮอนชู (ที่ตั้งของเมืองใหญ่ทั้งหมดเช่นโตเกียว นาโงยา เกียวโต โอซาก้า โกเบ ฯลฯ) และไล่ลงมาด้วยเกาะชิโกกุและคิวชู และไกลออกไปคือโอกินาว่า (อีกชื่อคือ เกาะริวกิวที่มาของชื่อปลาริวกิว)

          ญี่ปุ่นมีเกาะรวมกันทั้งหมด 6,852 เกาะ ฮอกไกโดเป็นเกาะใหญ่รองที่สอง มีพื้นที่ประมาณ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น มีประชากรประมาณ 5.5 ล้านคน มีเมืองหลักคือซัปโปโร และที่เกาะแห่งนี้แหละคือแหล่งที่พักพิงใหญ่ของชาวไอนุ

          เหนือขึ้นไปจากเกาะฮอกไกโดเพียงเล็กน้อยก็คือหมู่เกาะแซคาลินและคูริลของรัสเซีย (ญี่ปุ่นแท้จริงแล้วอยู่ใกล้รัสเซียมาก เมืองวลาดิวอสต็อกซึ่งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ห่างจากเมืองซัปโปโรเพียง 600-700 กิโลเมตรเท่านั้น) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับฮอกไกโดมีชาวไอนุอาศัยอยู่เช่นกัน

          สันนิษฐานว่าชาวไอนุอาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นประเทศญี่ปุ่นมาเป็นหมื่น ๆ ปีก่อนที่คนญี่ปุ่นจะมาตั้งรกราก นักสังคมวิทยาเชื่อว่าชาวไอนุมีรากวัฒนธรรมจากการหลอมรวมของสองวัฒนธรรมเก่าแก่คือ Okhotsk และ Satsumon และถูกรุกไล่จนมาอยู่ที่เกาะเหนือในปัจจุบันด้วยจำนวนที่บอกได้ยากว่ามีเท่าใด

          ในทางวิชาการมีข้อถกเถียงกันมากว่าชาวไอนุเป็นมงโกล เช่น คนเอเชีย หรือ คอเคเซียน เช่น ฝรั่งยุโรป มีการพิสูจน์ด้วย DNA และเปรียบเทียบหน้าตา แต่ไม่ว่าหลักฐานจะเป็นอย่างไรแต่จากรูปภาพสมัยโบราณคนส่วนใหญ่จะบอกว่าหน้าตาไปทางฝรั่งมากกว่าคนเอเชีย เพราะมีผิวขาว ตัวสูงใหญ่ หนวดเครายาว จมูกโด่ง ฯลฯ ดูไม่แตกต่างจากคนรัสเซีย หรือคนในยุโรปตะวันออกมากนัก

          อย่างไรก็ดีรูปภาพก็อาจหลอกลวงได้เพราะไอนุมีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์กันทั้งรัสเซีย และญี่ปุ่นตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา รูปที่ได้มานั้นอาจมาจากกลุ่มที่ใกล้ชิดวัฒนธรรมรัสเซีย หรือลูกครึ่ง ฝั่งฝรั่งก็เป็นได้

          ในสมัยโชกุนโตกุกาวะ (ค.ศ. 1600-1862) ไอนุค้าขายกับคนญี่ปุ่นมากขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากญี่ปุ่นยึดครองเกาะ อย่างไรก็ดีคนญี่ปุ่นมีความอดทนน้อยกับความแปลกแยก ดังนั้น ชนกลุ่มน้อยดังเช่นไอนุจึงประสบปัญหาการถูกกีดกัน ไอนุหาทางออกโดยนิยมให้ลูกหลานแต่งงานกับคนญี่ปุ่นจนในที่สุดความเป็นไอนุถูกกลืนไปเกือบหมด ภาษาไอนุก็แทบไม่มีคนใช้แล้วในปัจจุบัน

          ในปี ค.ศ. 1868 มีตัวเลขว่ามีไอนุอยู่ประมาณ 15,000 คน บนเกาะฮอกไกโด และมาประมาณ 2,000 คน บนเกาะแซคาลิน และ 100 คน บนเกาะคูริล ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงจากต้นศตวรรษก่อนหน้าซึ่งมีประมาณ 80,000 คน

          ปัจจุบันตัวเลขของไอนุอยู่ระหว่าง 25,000-200,000 คน ในญี่ปุ่น และประมาณ 100-1,000 คน ในรัสเซีย สาเหตุที่ตัวเลขไม่มีความแน่นอนก็เพราะการแต่งงานกับคนญี่ปุ่นและรัสเซีย และอีกจำนวนมากไม่เปิดเผยว่าเป็นเชื้อสายไอนุเนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นคนแปลกแยกและถูกกีดกัน

          บนเกาะฮอกไกโดบริเวณเมืองเล็ก ๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะหรือบริเวณที่เรียกว่า Hidaka มีไอนุอาศัยอยู่มากกว่าบริเวณอื่น ๆ อย่างไรก็ดีจำนวนมากไม่พูดภาษาไอนุ หากพูดภาษาญี่ปุ่น และไอนุในฝั่งรัสเซียก็พูดรัสเซีย ไอนุ “แท้” แทบจะไม่มีเหลืออยู่เลย (ในปี 1966 งานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่ามีไอนุ “แท้” อยู่ประมาณ 300 คน)

          ไอนุมาจากคำว่า ainu ซึ่งแปลว่ามนุษย์ อย่างไรก็ดีไอนุปัจจุบันไม่ชอบชื่อที่ถูกเรียกว่า “ไอนุ” เพราะเสมือนเป็นคำดูถูก (คล้ายกรณีของ “แม้ว” จนปัจจุบันต้องเรียกว่า “ม้ง” หรือ “เอสกิโม” ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “อินโนวิต”) ไอนุต้องการที่จะเรียกตัวเองว่า “Utari” ซึ่งแปลว่า “เพื่อน” ในภาษาไอนุมากกว่า เอกสารทางการใช้ทั้งสองชื่อในปัจจุบัน

          ในปี 2008 สภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นลงมติเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับว่าไอนุเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของญี่ปุ่น และขอร้องให้เลิกการกีดกันชนกลุ่มน้อยนี้ มติดังกล่าวระบุชัดเจนว่า “ไอนุเป็น ชนพื้นเมืองดั้งเดิมโดยมีภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นของตนเอง” รัฐบาลญี่ปุ่นก็ตอบสนองทันทีว่า “ยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์ว่าไอนุจำนวนมากถูกกีดกันและถูกบังคับให้เข้าสู่ความยากจนท่ามกลางความสมัยใหม่ถึงแม้ว่าจะเท่าเทียมทางกฎหมายกับคนญี่ปุ่นก็ตามที”

          ไอนุต่อสู้กับคนญี่ปุ่นยาวนาน แต่ก็พ่ายแพ้และถูกกีดกันตลอดจนถูกบังคับใช้แรงงาน ชีวิตที่อยู่รอดด้วยการเกษตรก็เป็นไปอย่างแร้นแค้น พอมีอาหารประเทืองชีวิตเท่านั้น

          ปัจจุบันมีการรื้อฟื้นวัฒนธรรมไอนุบนเกาะฮอกไกโด ลายเสื้อผ้าอันงดงามคล้ายของชาวไทยภูเขาถูกนำมาใช้ในทางศิลปะเพื่อการค้า โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยว มีชาวไอนุที่เปิดเผยตนเองมากขึ้นจนถึงขนาดตั้งพรรคการเมือง The Ainu Party ในปี 2012

          ในปัจจุบันไอนุส่วนหนึ่งเปิดเผยตัวออกมาแสดงศิลปะด้านร้องเพลง แสดงศิลปะการ ปักผ้า เครื่องปั้น ฯลฯ โดยโยงใยกับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคสำคัญยิ่งของฮอกไกโด นอกเหนือจากการผลิตสินค้าเกษตรของเกาะอย่างเป็นกอบเป็นกำจนเรียกได้ว่าเป็นแหล่งอาหารของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศแล้ว สินค้าเกษตรอันได้แก่ ข้าวสาลี มันฝรั่ง หัวหอม ฟักทอง ถั่วเหลือง ข้าวโพด นม เนื้อวัว ฯลฯ เหล่านี้ฮอกไกโดผลิตเป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่นทั้งสิ้น

          ฮอกไกโดอุดมด้วยป่าธรรมชาติ สดเขียวงดงาม รัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้วตระหนักดีว่าการปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีผู้คนอาศัยก็จะถูกรุกรานโดยรัสเซียซึ่งอยู่ใกล้กันมากได้ ดังนั้นจึงมีโครงการอพยพผู้คนไปตั้งรกรากบนเกาะนี้อย่างมากจาก 58,000 คน ในปี ค.ศ. 1876 พุ่งขึ้นเป็น 240,000 คน ใน ค.ศ. 1882 และเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจนถึงหลักล้านในปัจจุบัน

          จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นถึง 5.5 ล้านคน ทำให้ไอนุยิ่งมีสัดส่วนน้อยลง และถูกมองข้ามเมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจครั้งใหญ่บนเกาะ ประเด็นการเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมของไอนุยังมิได้กลายเป็นเรื่องที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ให้ความสนใจนักในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างไปจากอินเดียนแดงในสหรัฐอเมริกา หรือเมารีในนิวซีแลนด์

          ถ้าไอนุกล้าที่จะออกมาแสดงความเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมมากขึ้นและเข้มแข็งขึ้น โดยยอมแลกกับการถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกแยก สวัสดิการชีวิตของเขาก็น่าจะมีโอกาสดีขึ้น

ศึกสายเลือดของ Lotte

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
20 ตุลาคม 2558

          พล็อตเรื่องของละครตอนหัวค่ำหรือเซียรีส์ละครชีวิตต่อสู้ของเกาหลีนั้นเต็มไปด้วยการ แย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ หักหลังทรยศพลิกกลับไปมาอย่างตื่นเต้น เมื่อไม่นานมานี้เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นของกลุ่มบริษัท Lotte ของเกาหลีไม่แตกต่างไปจากพล็อตเรื่องเหล่านี้เลย

          ชื่อ Lotte (ล๊อตเต้) คุ้นหู โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงยี่ห้อหมากฝรั่ง ไม่น่าเชื่อว่าความร่ำรวยจากการขายหมากฝรั่งในตอนต้นทำให้สามารถเป็นอัครมหาเศรษฐีได้ในเวลาต่อมา ผู้ก่อตั้งปัจจุบันอายุ 92 ปี มีชื่อว่า Shin Kyuk-ho ในสมัยวัยรุ่นเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่น (จบจากโรงเรียนมัธยมของมหาวิทยาลัย Waseda) และพอสงครามเลิก ในปี ค.ศ. 1948 เขาก็ตั้งบริษัทผลิตหมากฝรั่งขายให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนร่ำรวยสามารถเอาทุนที่ได้ไปตั้งบริษัทในบ้านเกิดคือเกาหลีใต้จนกลายเป็นกลุ่มบริษัทใหญ่โตในปัจจุบัน

          ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จในตอนต้นจากการผลิตและขายส่งหมากฝรั่ง ลูกกวาด ขนมหวาน และต่อมาขยายไปเกือบทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ธุรกิจก่อสร้าง บ ริการการเงิน ค้าขายสารเคมี อิเล็กทรอนิกส์ IT ขายปลีก สวนสนุก ฯลฯ จนเป็นบริษัทที่มีทรัพย์สินมากเป็นอันดับ 5 ของเกาหลีใต้ โดยทั้งหมดรวมกันประมาณ 80 บริษัท เป็น Lotte Group

          ฐานบริษัทอยู่ในเกาหลี (ร้อยละ 80 ของรายได้มูลค่า 70,000 ล้านเหรียญต่อปีมาจากเกาหลี) รองลงมาคือญี่ปุ่น และในประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ โปแลนด์ ฯลฯ รวมทั้งไทยด้วยโดยทั้งผลิตและขายส่งลูกกวาด

          ความตื่นเต้นเร้าใจเริ่มขึ้นในตอนต้นปี 2015 เมื่อลูกชายคนโตชื่อ Shin Dong-joo อายุ 61 ปี รองประธานกรรมการของกลุ่ม Lotte ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และพ่อแต่งตั้งลูกชายคนเล็ก (พ่อแม่เดียวกัน) อายุ 60 ปี ชื่อ Shin Dong-bin เป็นทายาทสืบแทน แต่หลังจากนั้นไม่นานลูกชาย คนโตก็โน้มน้าวให้พ่อเปลี่ยนใจ เข็นรถพ่อเข้าไปในห้องประชุม ปลดกรรมการ 6 คน รวมทั้งน้องออกจากตำแหน่ง

          สนุกแค่นี้ยังไม่พอ อีก 2 วันต่อมา พอน้องชายตั้งตัวได้ก็ประชุมแต่งตั้งบอร์ดกลับ และบอร์ดปลดพ่อออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและแต่งตั้งตนเองเป็นแทน เรื่องยังไม่จบครับ อีก 2-3 วันต่อมาพี่ชายก็ออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะพร้อมพ่อซึ่งประกาศว่าสนับสนุนลูกชายคนโต

          ขั้นตอนต่อไปคือการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าเพื่อยืนยันการเป็นประธานกรรมการของน้องชาย หรือเปลี่ยนตัวกลับเป็นพี่ชายแทน หรือพ่อจะกลับมามีตำแหน่งอย่างเก่าโดยให้ลูกชายคนโตเป็นรองประธาน

          ระหว่างนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็คุยว่าตนเองมีแรงสนับสนุนจากกรรมการมากกว่ากัน ในทะเบียนผู้ถือหุ้นนั้นลูกชายต่างถือหุ้นของกลุ่มประมาณร้อยละ 20 พ่อถือร้อยละ 28 และอีกเกือบร้อยละ 28 ถือโดยบริษัทเล็ก ๆ ในญี่ปุ่นที่กล่าวกันว่าเป็นของพ่อ การลึกลับดำมืดในข้อมูลเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มบริษัทที่เป็นของครอบครัวซึ่งมีอยู่ประมาณกว่า 40 กลุ่มอันเป็นลักษณะเฉพาะของ เกาหลีใต้ เรียกกันว่า chaebol เช่น Samsung (เกาหลีออกเสียงว่า ซัม-ซัง) ฮุนได / LG / แดวู ฮันจิน ฯลฯ

          ธุรกิจของกลุ่มบริษัทของแต่ละครอบครัวนั้นครอบครองกิจการกว้างขวาง ถือหุ้น ไขว้กันไปมา ซึ่งทำให้การช่วยเหลือหรือปิดบังการล้มเหลวของบริษัทในกลุ่มเป็นไปอย่างแนบเนียน กลุ่มบริษัทเหล่านี้กุมชะตากรรมของเศรษฐกิจเกาหลี และมีอิทธิพลต่อการเมืองมากจนการออกกฎหมายกำกับ ควบคุมและตรวจสอบเพื่อสร้างธรรมาภิบาลนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

          ในแต่ละกลุ่มการสืบทอดอำนาจให้ลูกหรือน้องเป็นปัญหาหนักอก การต่อสู้แย่งชิงของกลุ่ม Lotte ยังไม่จบ เช่นเดียวกับกลุ่มฮุนไดที่ฟาดฟันแย่งชิงกันอย่างหนักระหว่างลูก 8 คน จนแตกออกเป็น 3 กลุ่ม และต้องสู้กับบรรดาอา ๆ และลูก ๆ ของอาอย่างไม่จบสิ้น กลุ่ม Samsung ก็มีเรื่องของการแย่งชิงเช่นกัน

          งานวิจัยของ Credit Suisse พบว่า 3 ใน 4 ของบริษัทใหญ่ที่มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญ โดยมีครอบครัวเป็นเจ้าของไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 อยู่ในเอเชีย เทียบกับตัวเลขเดียวกันของอเมริกาเหนือซึ่งมีจำนวนเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น

          18 ใน 40 บริษัท chaebol ของเกาหลีใต้มีปัญหาเรื่องการสืบทอดอำนาจ ตัวเลขที่เหลือมิได้หมายความว่าไม่มี หากยังไม่ถึงเวลาของการแย่งชิง มีงานศึกษาของ Chinese University of Hong Kong ที่พบว่าการแย่งชิงอำนาจของบริษัทใหญ่ในไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง ทำให้มูลค่าของบริษัทโดยเฉลี่ยลดลงไปร้อยละ 60 ในช่วงเวลาของการต่อสู้ฟาดฟัน

          การเป็นประธานกรรมการของบริษัท chaebol เปรียบเสมือนพระราชา มีอำนาจและเงินมหาศาล จะแต่งตั้งใคร จะปลดใคร ทำได้ง่ายดายเพราะเสมือนเป็นกิจการของครอบครัว ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเป็นบริษัทมหาชนที่มีเงินของประชาชนลงทุนอยู่ด้วย ความอ่อนแอของกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายในทวีปเอเชีย คอรัปชั่นที่มีอยู่ดื่นดาษและการขาดธรรมาภิบาลของบริษัททำให้การลุแก่อำนาจของประธานกรรมการและของสมาชิกครอบครัวเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ

          ประชาชนเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อยรังเกียจพฤติกรรมของ chaebol เพราะบ่อยครั้งที่บรรดาเจ้าของทำตัวเหมือนเทวดาไม่เห็นหัวคนเดินดิน ทั้งเอาเปรียบและคดโกง ดังนั้นครั้งใดที่คนเหล่านี้ผิดพลาด จะโดนเล่นงานหนักดังเรื่องของ Heather Cho ผู้ตกจากสวรรค์เพราะถั่วถุงเดียว

          เรื่องก็มีอยู่ว่าในปลายปี 2014 หญิงสาววัยต้น 40 ผู้เป็นรองประธานกรรมการของกลุ่ม Hanjin (ฮันจิน) ซึ่งเป็นเจ้าของ Korean Air สายการบินแห่งชาติ (เป็นของเอกชนแต่ได้เป็นสายการบินแห่งชาติ คิดดูก็แล้วกันว่า chaebol แห่งนี้ใหญ่แค่ไหน) แผดเสียงพร้อมกับดุด่าเจ้าหน้าที่ต้อนรับ บนเครื่องบินในเที่ยวบินจากนิวยอร์กไปโซลที่เธอโดยสารมา เธอไม่พอใจมากที่เสิร์ฟถั่ว macadamia เป็นถุง ไม่ใส่จานมาให้เธอผู้เป็นลูกสาวประธานกรรมการบริษัทที่เป็นเจ้าของสายการบิน

          เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่เครื่องบินกำลังจะขึ้น เธอสั่งให้เปลี่ยนแผนการบินให้เครื่องบินวิ่งไปส่งเจ้าหน้าที่คนนี้ (ไล่ลง) เมื่อมีผู้เอาเรื่องมาแชร์กันในโลกอินเตอร์เน็ต ก็มีคนโกรธแค้นในความหยิ่งโอหังของเธอเป็นจำนวนมาก บีบคั้นให้อัยการเอาเรื่องกับเธอ ในข้อหาทำให้เที่ยวบินล่าช้า ขู่เข็ญพนักงานบนเครื่องบินคนอื่น ๆ ให้ไม่พูดความจริง กดขี่ข่มเหงลูกจ้าง ฯลฯ กระแสแรงมากจนเธอต้องลาออกจากทุกตำแหน่งเพื่อลดแรงเสียดทานกลุ่มบริษัท แต่ถึงจะลาออกอย่างไรในที่สุดเธอก็ถูกดำเนินคดีอาญา ศาลตัดสินจำคุก 1 ปี เธอต้องติดคุกอยู่หลายเดือนกว่าที่จะออกมาได้

          นี่คือแรงสะท้อนของความรู้สึกของประชาชนเกาหลีใต้ที่มีต่อ ‘ลูกท่านหลานเธอ’ ของบริษัท chaebol การฟาดฟันกันทุกครั้งมีผู้จับตามองอย่างใกล้ชิดว่ามีใครทำผิดกฎหมายบ้างเพื่อจักได้เล่นงาน อย่างไรก็ดีภายใต้สภาพที่เป็นอยู่มีเพียงนาน ๆ ครั้งเท่านั้นที่จะมีข้อผิดพลาดชนิดที่ช่วยเหลือปิดบังกันไม่ได้

ร้องเพลง “Happy Birthday” เสียตังค์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
13 ตุลาคม 2558

 

          เกือบไป…..เกือบไป…..ที่ต่อไปนี้หากร้องเพลง “Happy Birthday” บนเวทีต้องจ่ายตังค์ ศาลในสหรัฐอเมริกาเพิ่งตัดสินเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าบริษัทที่อ้างว่ามีลิขสิทธิ์เพลงนั้นจริง ๆ แล้วไม่มี ชาวโลกจึงโล่งอกไประดับหนึ่งที่จะร้องเพลงนี้ได้ฟรี ๆ

          เพลง “Happy Birthday” ที่ใคร ๆ ในโลกก็รู้จักนั้นชื่อเดิมคือ “Happy Birthday to You” ในปี 1998 Guinness World Records ระบุว่าเพลงนี้เป็นเพลงภาษาอังกฤษที่รู้จักกันมากที่สุด (ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเป็นเพลงที่คนรู้จักมากที่สุดในโลกเอาด้วยซ้ำ) เนื่องจากเป็นเพลงที่ร้องง่าย ๆ และติดหู

          ประวัติของเพลง “Happy Birthday” ก็คือทำนองมาจากเพลงชื่อ “Good Morning to All” ซึ่งแต่งโดยสองพี่น้องชาวอเมริกัน ชื่อ Patty และ Mildred Hills ในปี ค.ศ. 1893 คนแรกแต่งทำนอง ส่วนอีกคนแต่งเนื้อร้อง โดยตั้งใจแต่งให้เด็กเล็ก ๆ ร้องเนื่องจากทั้งสองเป็นครูโรงเรียนอนุบาลในรัฐ Kentucky

          “Good Morning to All” มีเนื้อร้องดังนี้ Good Morning to you / Good Morning to you / Good Morning dear Children / Good Morning to All (ลองพยายามร้องตามทำนองเพลง “Happy Birthday“ แล้วจะเห็นว่าเป็นเพลงที่เหมาะสำหรับเด็กเล็กมาก ๆ เอาเพลงนี้มาฝึกให้เด็กเล็ก ๆ ออกเสียงภาษาอังกฤษก็ไม่เลวนะครับ)

          เพลง “Happy Birthday“ ตามทำนองเพลงของสองพี่น้องปรากฏในหนังสือเพลงที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1912 ทั้ง ๆ ที่เพลงนี้ร้องกันมาก่อนหน้านี้เกือบ 20 ปี สองพี่น้องเสียชีวิตไปก่อนที่ทำนองเพลงที่ตนเองแต่งจะเป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง และต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการฉลองวันเกิดแบบฝรั่งที่จะต้องร้องเพลงนี้ประกอบกับการจุดเทียนบนขนมเค็ก

          มีหลักฐานว่า Summy Company จดทะเบียนลิขสิทธิ์เพลง “Happy Birthday” ในปี 1935 โดยระบุว่าผู้แต่งคือ Preston Ware Orem และ R.R. Forman ต่อมาในปี 1988 บริษัท Warner / Chappell Music ซื้อบริษัท Summy ซึ่งทำให้ได้ลิขสิทธิ์เพลงนี้ติดมาด้วยโดยมีการประเมินมูลค่าของเพลงว่าตกประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ

          บริษัทประกาศว่าอายุความของลิขสิทธิ์เพลงในสหรัฐอเมริกายังไม่หมดลงจนถึง ปี 2030 ใครที่เอาเพลงนี้ไปใช้ในการแสดงสาธารณะผิดกฎหมายนอกเสียจากว่าจะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้บริษัท

          การที่มีการประเมินว่า “Happy Birthday” เป็นเพลงที่ทำเงินได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ (คาดว่าตั้งแต่แต่งมาได้ค่าลิขสิทธิ์ไปแล้ว 50 ล้านเหรียญสหรัฐ) ทำให้เป็นที่สนใจของสาธารณชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีกฎหมายสหรัฐออกมาขยายเวลาลิขสิทธิ์ไปอีก 20 ปี และศาลสูงตัดสินยืนยันว่าการขยายเวลาเช่นนี้ถูกต้อง

          ในปี 2013 บริษัท Good Morning to You Production ฟ้องบริษัท Warner / Chappell ว่าอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของเพลงอย่างไม่ชอบธรรม และในเดือนกันยายน 2015 ศาลขั้นต้นตัดสินว่าบริษัท Warner ไม่มีลิขสิทธิ์ของเพลงนี้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงหมายความว่าผู้คนสามารถเอาเพลงนี้ไปร้องในสาธารณะได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินอีกต่อไป

          ปัญหาที่จะเกิดตามมาก็คือบริษัทอาจถูกผู้ที่เคยจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ก่อนหน้านี้ทวงเงินคืน อย่างไรก็ดีแน่นอนว่าบริษัทจะอุทธรณ์ เราจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าท้ายสุดแล้วเราจะร้องเพลง “Happy Birthday” กันได้สะดวกปอดหรือไม่

          ขอเพิ่มเติมเรื่องเนื้อเพลงว่าเนื้อร้องดั้งเดิมของ “Happy Birthday” คือ Happy Birthday to You / Happy Birthday to You / Happy Birthday dear John / Happy Birthday to You

          ในเวลาต่อมา ตรงชื่อ John ก็เปลี่ยนเป็นชื่อเจ้าของวันเกิด ในประเพณีของคนอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และไอร์แลนด์ เท่าที่เคยเห็นและได้ยินมา พอร้องเพลง “Happy Birthday” จบ ก็มักมีแขกร้องนำว่า “Hip Hip” และแขกทั้งหลายก็เปล่งออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “Hooray” ปกติแล้วจะร้องเป็นชุดแบบนี้ซ้ำ 3 ครั้ง

          ยังมีอีกเพลงหนึ่งซึ่งเกี่ยวพันกับ “Happy Birthday” ซึ่งมักได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ในงาน วันเกิด งานแต่งงาน งานฉลองแต่งงาน หรือฉลองชัยจากกีฬา นั่นก็คือเพลง “For He’s a Jolly Good Fellow” ซึ่งเพลงนี้ Guinness World Records ระบุว่าเป็นเพลงในภาษาอังกฤษที่คนรู้จักมากเป็นอันดับสองรองจาก “Happy Birthday” ส่วนอันดับสามคือเพลง “Auld Lang Syne”

          เพลงนี้เอาทำนองมาจากเพลงฝรั่งเศสย้อนหลังไปไม่น้อยกว่าศตวรรษที่ 18 ว่ากันว่าคนรู้จักเพลงนี้ก็เพราะพระนาง Marie Antoinette ได้ยินนางสนมรับใช้ร้องเพลงลูกทุ่งฝรั่งเศสนี้ และชอบจึงเอามาเผยแพร่ ต่อมาก็แพร่ไปถึงอังกฤษและอเมริกาในประมาณกลางศตวรรษที่ 19

          เนื้อร้องของอังกฤษและอเมริกาแตกต่างกันเล็กน้อย เวอร์ชั่นของอังกฤษมีดังนี้ For he’s a jolly good fellow, for he’s a jolly good fellow / For he’s a jolly good fellow, and so say all of us / And so say all of us, and so say all of us / For he’s a jolly good fellow, for he’s a jolly good fellow / For he’s a jolly good fellow, and so say all of us!

          สำหรับอเมริกานั้นเปลี่ยนตรง “And so say all of us” เป็น “Which nobody can deny” ในทุกแห่ง ส่วน He นั้นเปลี่ยนเป็น She ตามสถานการณ์

          เพลงนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางเช่นกันในเวลาต่อมาในประเทศยุโรปอื่น ๆ และมีเวอร์ชั่นของตนเองด้วย เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ปอร์ตุเกส สเปญ เดนมาร์ก ฯลฯ

          ในเรื่องเพลงวันเกิดกว่า 80 ประเทศในโลกใช้ทำนองเพลง “Happy Birthday” เป็นหลัก และนำเนื้อร้องที่แปลโดยตรงจากภาษาอังกฤษมาใช้หรือดัดแปลงเนื้อร้องขึ้นใหม่ ร้องกันทุกวันทั่วโลก เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง อินเดีย หลายประเทศในกลุ่มอาหรับ ญี่ปุ่น เกาหลี ศรีลังกา เยอรมันนี ทันซาเนีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ฯลฯ (โปรดสังเกตไทยไม่มี)

          ยังมีเพลงวันเกิดอีกประเภทหนึ่งที่เป็นของสังคมนั้น ๆ เอง เช่น ไทย เบลเยี่ยม บราซิล เยอรมันนี อินโดนีเซีย ฯลฯ หรือมีทั้งสองลักษณะ เช่น ไต้หวัน มาเลเซีย เยอรมันนี ฝรั่งเศส อินเดีย ฯลฯ และลักษณะสุดท้ายคือเพลงเกี่ยวกับวันเกิดที่ร้องโดยนักร้องอีกจำนวนมากมาย เช่น The Beatles / Twista / The Sugarcubes / Selena Gomez ฯลฯ

          การร้องเพลงวันเกิดเปรียบเสมือนการให้กำลังใจเจ้าของวันเกิดว่ามีเพื่อนที่มีความปรารถนาดี และเป็นวันประจำปีแห่งการใคร่ครวญบทบาทของตนเองในการได้มีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี

“เลือดสาด” ที่ออสเตรเลีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6 ตุลาคม 2558

          ไม่น่าเชื่อว่าในยุคปัจจุบันจะมีประเทศพัฒนาแล้วซึ่งในช่วงเวลาเพียง 5 ปีจะมีนายกรัฐมนตรีถึง 5 คน และกว่า 10 ปีมาแล้วที่ยังไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดที่อยู่ครบเทอมเลย ออสเตรเลียทำสถิตินี้ให้ดูด้วยเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยเลือดจากการแก้แค้น เรื่องนี้ไม่เว้นแต่ Malcolm Turnbull นายกรัฐมนตรีคนใหม่เอี่ยมอ่อง

          ขอเล่าพื้นฐานการเมืองออสเตรเลียสักเล็กน้อย ประเทศนี้มีพรรคการเมืองใหญ่อยู่ 2 พรรค คือ พรรค Labor ที่เชื่อมโยงกับสหภาพแรงงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดกับพรรค Liberal ซึ่งถึงแม้ชื่อจะบอกว่าเป็นเสรีนิยม แต่จริง ๆ แล้วก็คือพรรค Conservative นั่นเอง (อังกฤษมีพรรค Labor กับ Conservative ซึ่งพรรคอนุรักษ์นิยมก็ใช้ชื่อตรง ๆ เลย)

          สองพรรคของออสเตรเลียนี้ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะตลอดมา พรรค Labor มีอุดมการณ์ไปทางซ้าย คือ ความเชื่อในการแทรกแซงกิจการต่าง ๆ โดยรัฐ ความคิดเสรีนิยม ฯลฯ ส่วนพรรค Liberal ก็ไปในทางอนุรักษ์นิยม ฯลฯ อย่างไรก็ดีในแต่ละพรรคทุกคนก็มิได้คิดเหมือนกันหมด ต่างมีทั้งคนที่เอียงไปทางเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม

          ระหว่างปี 1991-1996 พรรค Labor เป็นรัฐบาลโดยมี Paul Keating เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็พ่ายให้ John Howard แห่งพรรค Liberal ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ถึง 11 ปี (1996-2007)

          เหตุการณ์มาตื่นเต้นเมื่อเกิดมีดาวรุ่งหลายดวงเกิดขึ้นในทั้งสองพรรค ก่อนหน้าเลือกตั้งทั่วไปปี 2007 พรรค Labor กลัวว่าจะแพ้อีกหลังจากฝ่ายตรงข้ามครองอำนาจมาถึง 11 ปี จึงมีการลงคะแนนในพรรคเลือกหัวหน้าพรรคกันใหม่ ซึ่งปรากฏว่า Kim Beazley หัวหน้าเดิมถูกคนที่ท้าทายคือ Kevin Rudd เอาชนะไปและเขาก็นำพรรค Labor ชนะนาย John Howard โดยคนสนิทที่ยืนเคียงข้าง ช่วยเหลือกันมาคือนาง Julia Gillard

          ผู้คนฮือฮากับ Kevin Rudd มากเพราะพูดจีนได้ มีวิสัยทัศน์เรื่องต่างประเทศกว้างไกล แต่ไปไกลเร็วไปหน่อย คือ เสนอให้เก็บภาษีจากกำไรทำเหมืองร้อยละ 40 เสนอให้ต่อสู้ลดคาร์บอน สู้ climate change ฯลฯ ในช่วงเวลาแค่ 2 ปีกว่า คะแนนนิยมของ Rudd ตกวูบวาบจนคนในพรรค Labor กลัวว่าจะนำพรรคแพ้เลือกตั้งทั่วไปในปี 2010

          กลางปี 2010 เลือดก็อาบพรรค Labor เมื่อ Julia Gilliard รองนายกรัฐมนตรีคิดกบฏสมคบกับพวกในพรรค “แทง” Kevin Rudd โดยท้าทายให้มีการลงคะแนนเสียงในพรรคยืนยันว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรค (ธรรมเนียมการเมืองออสเตรเลียเรียกการแข่งโหวตนี้ว่า spills) ซึ่งคนชนะก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีไปโดยปริยาย ปรากฏว่าเธอทำได้สำเร็จสามารถโค่น Rudd ลงได้จนเขาต้องลาออก และเธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ

          ผู้คนทั่วไปคาดว่าเธอน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้แค่ 3 เดือนก่อนที่จะถึงเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม 2010 เพราะผู้คนไม่ชอบการ “แทง” กันแบบนี้ และน่าจะหันไปเทคะแนนให้พรรค Liberal แทน

          ปรากฏว่า Julia Gilliard ทำได้สำเร็จ เธอนำพรรคชนะอย่างเฉียดฉิว โดยร่วมกับพรรคเล็กและ ส.ส. อิสระเป็นรัฐบาล เธอได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และจำต้องแต่งตั้ง Rudd เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ส่วน Rudd ก็ลับมีดไม่หยุดหย่อน ในปี 2012 เขาก็ลาออกจากตำแหน่งและท้าทายเธออีกให้ลงคะแนนยืนยันการเป็นหัวหน้าพรรค แต่เธอก็ยังสามารถชนะโหวตรักษาแชมป์ไว้ได้

          แต่พอมาถึงก่อนกลางปี 2013 หลังจาก Julia Gilliard ได้เป็นนายกรัฐมนตรีได้เกือบ 3 ปี Rudd ก็ท้าทายอีก คราวนี้เขาชนะ เธอต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี Rudd แก้แค้นได้สำเร็จและเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเป็นครั้งที่สอง เหตุที่เขาชนะก็เพราะคะแนนนิยมของเธอในหมู่ประชาชนมีแต่จะตก และพรรค Labor ก็กลัวอีกว่าจะแพ้เลือกตั้งในปี 2013 จึงต้องเปลี่ยนตัว หัวหน้าพรรค

          Rudd ได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สองอยู่ 3 เดือนก็มีเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกันยายนปี 2013 และพรรค Labor ก็พ่ายแพ้แก่พรรค Liberal หัวหน้าพรรค Liberal คือนาย Tony Abbott จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรี

          ฝั่งพรรค Liberal เองก็แทงกันเลือดสาดเหมือนกัน Malcolm Turnbull ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรกในปี 2004 หลังจากประกอบธุรกิจเปิดบริษัทกฎหมาย เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ Goldman Sach ของออสเตรเลีย เป็นเจ้าของสถาบันการเงินประกอบธุรกรรมสมัยใหม่ จนเป็น มหาเศรษฐี และเป็นนักการเมืองออสเตรเลียที่รวยที่สุดคนหนึ่ง ภรรยาของเขาเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมือง Sydney

          หลังเล่นการเมืองได้ไม่กี่ปี Turnbull ก็ได้เป็นรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม และในปี 2008 ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Liberal โดยเป็นผู้นำฝ่ายค้าน แต่ในปีต่อมาเขาก็สูญเสียตำแหน่งให้แก่นาย Tony Abbott จากการท้าทายขอให้นับโหวตยืนยันการเป็นหัวหน้าพรรค ในลักษณะเดียวกันกับที่พรรค Labor กระทำ Turnbull แพ้ Abbot เพียงหนึ่งคะแนน ในขั้นแรกเขาคิดจะลาออกจากการเป็น ส.ส. และ ล้างมือ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ

          ระหว่างที่ Tony Abbot เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านก็ไม่ลงรอยกับ Malcolm Turnbull แต่ในตอนที่พรรค Liberal ชนะเลือกตั้งในปี 2013 และ Abbott ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารด้วยฝีมือและการยอมรับในพรรค

          Tony Abbot เป็นนายกรัฐมนตรีชนิดคะแนนนิยมลดตลอดเพราะบุคลิกของเขาที่ผู้คนไม่ไว้ใจ พูดจาเปลี่ยนไปมา และแล้วจังหวะของ Turnbull ก็มาถึงเมื่อ Abbot ได้เป็นนายกรัฐมนตรีครบ 2 ปีเต็ม เขาก็ขอให้มีการลงคะแนนยืนยันการเป็นหัวหน้าพรรค คราวนี้เขาแก้แค้น Abbott ได้สำเร็จ เขาชนะขาดด้วยคะแนน 54 ต่อ 44 Abbott จึงจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และ Turnbull ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Liberal แทน และเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 15 กันยายน 2015 ที่ผ่านมา

          เลือดเปรอะกันแบบนี้ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2010 ถึงปัจจุบัน ออสเตรเลียมีนายกรัฐมนตรี 5 คน คือ Rudd / Gilliard / Rudd / Abbott และ Turnbull เฉลี่ยปีละ 1 คน ราวกับเป็น “นายกรัฐมนตรีที่มาบนสายพานการผลิต”

          นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลียเรียนจบปริญญาตรีประวัติศาสตร์และกฎหมายจาก University of Sydney และได้รับทุน Rhodes Scholar (ทุนที่มีเกียรติที่สุดอันหนึ่งของโลก) ไปเรียนที่ Oxford (เหมือนที่ Bill Clinton เคยได้รับ) และจบปริญญาตรีด้านกฎหมายอีกหนึ่งใบ

          Turnbull ปัจจุบันอายุ 61 ปี พ่อแม่เป็นคนออสเตรเลียแต่ดั้งเดิม พยายามจะเข้าวงการเมืองตั้งแต่ปี 1981 หลังจากเรียนจบมาใหม่ ๆ แต่ถูกกีดกันจนต้องไปประกอบธุรกิจตั้งบริษัทต่าง ๆ และเป็นมหาเศรษฐี จึงกลับมาลงเลือกตั้งในปี 2004

          เขาเป็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมก็จริงแต่เป็นคนที่มีความคิดเสรีนิยม เขาเห็นด้วยกับ Gay Marriage (ตรงข้ามกับ Abbott) สนับสนุนการเป็นสาธารณรัฐของออสเตรเลีย (ตรงข้ามกับ Abbott) สนับสนุนโครงการเศรษฐกิจเสรีและการค้าขายกับกลุ่มประเทศ ASEAN ฯลฯ

          ทันทีที่เป็นนายกรัฐมนตรีเขาแต่งตั้งผู้หญิงถึง 5 คน เป็นรัฐมนตรีซึ่งแตกต่างจาก ทุกคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา รัฐมนตรีช่วยคนหนึ่งของเขาอายุเพียง 25 ปี เขาบอกว่าเป็น คณะรัฐมนตรีของศตวรรษที่ 21 รัฐมนตรีอาวุโสต่าง ๆ ของพรรคถูกปรับออกไปหลายคน

          นายกรัฐมนตรีคนนี้จะเป็นที่นิยมของประชาชนจนสามารถหยุดประเพณี “เลือดสาด” ได้หรือไม่ ต้องเฝ้าดูกันต่อไปเพราะร่างกายผลิตเลือดอยู่เสมอ

ฆาตกรรมเมืองใหญ่ในสหรัฐพุ่ง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 กันยายน  2558

          บางสิ่งมันอยู่ของมันดี ๆ แล้วก็เกิดระเบิดหรือพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เรื่องฆ่ากันตายในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านี้อย่างน่าแปลกใจ

          เป็นที่ทราบกันดีว่าอาชญากรรมและความรุนแรงในเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาลดลงไปมากในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน นักวิชาการหลายคนพยายามอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยพอสรุปสาเหตุได้ดังนี้ (ก) ชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะคนผิวดำโดยทั่วไปมีสัดส่วนในจำนวนผู้ก่ออาชญากรรมและความรุนแรงสูงกว่าคนขาวและคนอเมริกาใต้ (เม็กซิกันเป็นส่วนใหญ่) มายาวนาน เมื่ออัตราการเกิดของเด็กจากแม่วัยใสผิวดำลดต่ำลงมาก เด็กที่มีความเป็นไปได้สูงในการสร้างปัญหาเมื่อโตขึ้นจึงมีจำนวนลดน้อยลง จำนวนอาชญากรรมโดยเฉพาะฆาตกรรมจึงลดลงตามไปด้วย

          (ข) เทคโนโลยีสมัยใหม่ในเรื่องกล้อง CCTV / GPS ของรถยนต์ / การนำเอา IT มาใช้ในการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจมีกว้างขวางขึ้น (ตรวจสอบ ID ตรวจประวัติผู้ต้องสงสัยและตรวจสอบหมายจับ ตรวจเช็คว่าเป็นรถขโมย การทราบตำแหน่งของรถผู้ต้องสงสัย ฯลฯ) การลักขโมยจึงลดน้อยลงไปอย่างมากเพราะถึงขโมยไปก็ถูกจับแน่นอน หรือขโมยแล้วก็เอาไปไม่ได้เพราะรถ ถูกสั่งให้เคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยโทรศัพท์มือถือผ่าน GPS งานศึกษาชี้ว่าการขโมยรถเป็นบ่อเกิดแห่งนานาปัญหาและความรุนแรงที่เกิดตามมา (คล้ายกับบ่อนการพนันบ้านเราเป็นต้นกำเนิดของปัญหา)

          (ค) ความเอาจริงของตำรวจในการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นผลพวงจากการบีบบังคับของนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งถูกบังคับอีกทีหนึ่งจากประชาชนผ่านกลไกการเลือกตั้งปีเว้นปี ทำให้โจร ท้อใจลงไปมาก การป้องกันอาชญากรรมที่เข้มแข็งคือการปราบปรามอาชญากรรมที่ได้ผลที่สุด

          ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้อัตราการเกิดอาชญากรรมและความรุนแรงโดยเฉพาะฆ่ากันตายลดลงไปและทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่ายุคทศวรรษ 1970 และยุคต้นทศวรรษ 1980 อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ดีเพียงตัวเลข 8 เดือนของปี 2015 ของหลายเมืองก็ให้สถิติที่น่าตกใจ

          ในเมือง Baltimore รัฐ Maryland ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ในปี 2014 ทั้งปีคนฆ่ากันตาย 211 คน แต่แค่ 8 เดือนของปีนี้ฆ่ากันตายไปแล้ว 205 ราย และเช่นกันใน New York ฆ่ากันตาย333 คน (2014) และ 208 (8 เดือนของปี 2015) เมือง St. Louis 159 (2014) เป็น 112 (2015) เมือง Milwaukee 93 (2014) เป็น 105 (2015) Washington D.C. 105 (2014) เป็น 103 (2015) และ Hartford รัฐ Connecticut 19 (2014) เป็น 21 (2015)

          ขนาดฤดูร้อนของปี 2015 ยังไม่จบ สถิติยังขนาดนี้ ถ้าต่อไป 4 เดือนตัวเลขคง แซงหน้าของปีก่อนอย่างแน่นอน

          อะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้? สาเหตุแรก ผู้คนคิดไปถึงสิ่งที่เรียกว่า “Ferguson effect” ซึ่งหมายถึงการระมัดระวังตัวและผ่อนปรนของตำรวจมากขึ้น เพราะเกรงว่าจะไป ซ้ำรอยเหตุการณ์ที่ตำรวจยิงอเมริกันดำตายในเมือง Ferguson รัฐ Missouri ในเดือนสิงหาคม ปี 2014 จนเกิดจลาจลปั่นป่วนและเกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันในอีกหลายเมือง ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง ผิวขาวและผิวดำซึ่งมีเชื้ออยู่บ้างแล้วเกิดระเบิดขึ้นมาในระดับชาติ

          เป็นธรรมชาติของตำรวจในเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นตำรวจผิวขาวที่จะต้องระวังตัว ลังเลและรีรอในการจัดการกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างซึ่งหน้ามากขึ้น เพราะเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด ขึ้นอีก ดังนั้นโจรทั้งหลายจึงได้ใจ

          สาเหตุที่สอง บ้างก็คิดว่าปัญหามิได้อยู่ที่ตำรวจซึ่งเข้มแข็งน้อยลงเท่านั้น หากเป็นผลมาจากผู้ประกอบอาชญากรรมด้วย ตราบที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงปืนได้ไม่ยากนักในประเทศนี้ การฆ่ากันประจำวันจึงยากที่จะหลีกเลี่ยง บางรัฐอาจมีกฎหมายเรื่องการครอบครองปืนและซื้อปืน แข็งขัน แต่ถ้ารัฐใกล้กันมีความเสรีในเรื่องปืน ประชาชนก็เข้าถึงปืนได้เช่นกัน

          งานศึกษาพบว่าผู้ก่อเหตุฆ่ากันมักเป็นคนหน้าเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การไม่มีโทษประหารในสหรัฐอเมริกาอาจทำให้ความกลัวบทลงโทษจากอาชญากรรมน้อยลงจนก่อเหตุซ้ำ ๆ ก็เป็นได้

          สาเหตุที่สาม เกมส์และภาพยนตร์ที่ยั่วยุความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมส์ที่ใช้การฆ่าทำลายเป็นรางวัลเป็นสิ่งน่ากลัว การถูกหล่อหลอมตั้งแต่ยังเป็นเด็กให้สนุกและชื่นชอบความรุนแรงผ่านเกมส์อาจมีผลทางจิตใจเมื่อเวลาหลายปีผ่านไปก็เป็นได้

          ข้อสังเกตของการพุ่งขึ้นของการฆ่ากันตายครั้งนี้ก็คือในบางเมืองใหญ่ก็ไม่เกิดขึ้น เช่น Los Angels / Philadelphia ฯลฯ ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ยากต่อการประเมินว่าอะไรเป็นสาเหตุหลักที่แท้จริง

          มีนักวิชาการหลายคนแสดงความเห็นว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย สถิติยังเข้ามาไม่ครบ ยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง มันอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์สั้น ๆ ที่เพิ่มไม่มากนักก็เป็นได้ และถึงเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเนื่องจากเป็นการเพิ่มของตัวเลขที่ลดลงเป็นเวลายาวนานถึง 20 ปี มันจะพุ่งสูงขึ้นสักเล็กน้อยในบางช่วงเวลาหนึ่งมิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด

          ตัวเลขการฆ่ากันที่พุ่งสูงขึ้นใน 30 เมืองของสหรัฐอเมริการะหว่างปีที่แล้วกับปีนี้อาจมิใช่เรื่องใหญ่โตนักหากไม่มีเหตุการณ์ที่ Ferguson ให้คนต้องใคร่ครวญ “Ferguson effect” จะรุนแรงมากน้อยเพียงใดคนอเมริกันย่อมรู้สึกหวาดหวั่นเพราะมันหมายถึงการบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยานลง ซึ่งคนที่จะรับไปเต็ม ๆ ก็คือประชาชนอเมริกัน

          ไม่ว่าตัวเลขสถิติฆาตกรรมจะขึ้นหรือลงเพียงใดก็ตามจงอย่าหลงใหลไปกับมันเพราะ สิ่งหนึ่งซึ่งแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้เสมอก็คือการสูญเสียทางเศรษฐกิจของครอบครัว น้ำตา และความเจ็บปวด

ความไม่รู้เกี่ยวกับอาเซียน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 กันยายน  2558

          ใครไม่รู้จักคำว่า “อาเซียน” คงหาได้ยากในแผ่นดินไทย คนทั่วไปรู้เรื่องอาเซียนดี แต่ส่วนหนึ่งของความรู้นั้นอาจผิดก็เป็นได้ ลองมาดูกันว่าเราไม่รู้เรื่องอาเซียนกันมากน้อยแค่ไหน

          เรื่องแรก ASEAN ต้องออกเสียงว่า “อา-เซี่ยน” มิใช่ “อาเชี่ยน” หรือ “เอ-เซี่ยน” หรือ “เอ-เชี่ยน” เนื่องจากเป็นอักษรย่อชนิดที่เรียกว่า Acronym (เอาตัวแรกของคำมารวมกัน) ซึ่งมาจาก “Association of Southeast Asian Nations”

          สอง สมาชิก ASEAN น่าจะเป็นญาติกับศรีธนญชัย หรือเซียงเมี่ยงของลาว กล่าวคือเมื่อ ASEAN ร่วมกันประกาศว่าจะเป็นประชาคมอาเซียน (AC___ASEAN Community) ในปี 2015 ด้วยสามัญสำนึกผู้คนก็ต้องคิดว่าวันที่ 1 มกราคม 2015 คือการเป็น AC แต่เมื่อวันนั้นใกล้มาแต่สมาชิกทั้งหมดยังไม่พร้อมก็เลยประกาศว่าจะเป็น AC ในวันที่ 31 ธันวาคม 2015 (ไม่ได้บอกว่าจะเป็นเวลา 23:59 น.)

          สาม วันที่ 31 ธันวาคม 2015 เราจะเป็น AC นะครับ ไม่ใช่ AEC หรือ ASEAN Economic Community (AEC) ซึ่งเคยเป็นแนวคิดดั้งเดิมว่ากลุ่มนี้จะเป็นเพียงการรวมตัวด้านเศรษฐกิจเท่านั้น จึงใช้คำว่าจะเป็น AEC (AFTA หรือ ASEAN Free Trade Area หรือเขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของ AEC)

          ในปัจจุบันขอย้ำว่าเราจะเป็น AC หรือประชาคมอาเซียนกันไม่ใช่ AEC ดังที่ได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อย ๆ ในสื่อ

          AC นั้นครอบคลุมหลายด้านตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคง ฯลฯ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการเป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขอยกตัวอย่างของความกว้างขวางของ AC เช่น มีความร่วมมือกันในด้านปราบปรามการค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด ภัยพิบัติ การก่อการร้ายข้ามชาติ ฯลฯ

          สี่ ที่จริงเราก็เป็น AC กันมานานหลายปีแล้ว ดังเช่นเรื่อง (ก) เรามีแรงงานข้ามชาติจาก ASEAN ไม่ว่าลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม ในประเทศกว่า 5 ล้านคน แรงงานเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของพวกเรา (บ้านผมและบ้านใคร ๆ ก็ ASEAN ทั้งนั้นแหละ) ในประเทศ ASEAN อื่น ๆ ก็มีแรงงานทำงานข้ามกันไปมา เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และทุกประเทศ

          (ข) อัตราภาษีขาเข้าของสินค้าที่ค้าขายระหว่างประเทศ ASEAN เป็นศูนย์กว่าร้อยละ 90 ของจำนวนสินค้าทั้งหมดมานานกว่า 2 ปีแล้ว

          (ค) 9 ประเทศสมาชิกสามารถเดินทางถึงกันได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า ยกเว้นพม่า (ซึ่งล่าสุดก็อนุญาตตามเพื่อน ASEAN ทั้งหมดแล้ว แต่ยังอาจขลุกขลักอยู่บ้าง) ยิ่งถ้าเป็นการเดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องบินโดยใช้พาสปอร์ตแล้วจะสะดวกมาก หากเข้าประเทศผ่านด่านด้วยรถไฟ หรือรถยนต์อาจไม่สะดวกเท่า แต่วีซ่าไม่เป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไปแล้วสำหรับพลเมือง ASEAN ด้วยกัน (หากประเทศใดไม่เห็นควรให้บุคคลบางคนเดินทางเข้าประเทศก็ปฏิเสธได้เสมอ)

          ห้า การเดินทางด้วยรถยนต์ผ่าน CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) ซึ่งเป็นประเทศ ASEAN บนแผ่นดิน (สามประเทศซึ่งไม่ใช่ก็คืออินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน) นั้นสามารถทำได้อย่างสะดวกพอควร เนื่องจากมีถนนถึงกันหมดระหว่าง CLMV กับไทย และต่อผ่านไทยไปมาเลเซีย และสิงคโปร์ ข้อเสียก็คือยังต้องมีการเปลี่ยนรถมาใช้รถท้องถิ่นเมื่อข้ามประเทศในหลายกรณี

          ยิ่งไปกว่านั้นถนนไปถึงจีนจากภูมิภาคนี้ก็มีมาหลายปีแล้ว และมีแผนการสร้างถนนอีกหลายเส้น ตัดข้ามไปมาจากใต้ไปเหนือ ออกไปตก และเฉียงไปมาระหว่างทิศ

          อีกไม่นานกลุ่มประเทศเหล่านี้จะสามารถเดินทางไปอินเดียผ่านพม่าได้สะดวกซึ่งในอนาคตการเชื่อมต่อระหว่างจีนและอินเดียด้วยถนนนั้นจะเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ส่วนทางรถไฟนั้นมีทางเชื่อมจากจีนไปยุโรปอยู่แล้ว

          หก ถึงจะป็น AC ในปลายปีนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีเหมือนเศกคาถา แรงงานจะข้ามไปทำงานกันอย่างคล่องตัว ข้ามไปเปิดธุรกิจกันในแต่ละประเทศโดยไม่มีปัญหา การค้าขายจะราบรื่นคล่องตัว นี่คือความฝันที่ไม่เป็นจริง

          ทุกสิ่งจะค่อย ๆ เกิดทีละน้อย เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ คนที่ปรับตัวได้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลากหลายมิติจะเป็นผู้ได้ประโยชน์มากที่สุด

          เจ็ด ปัจจุบัน AC ดูจะด้อยความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจไปสำหรับกลุ่ม CLMV และไทย เนื่องจากการค้าขายกันในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (CLMV + ไทย + จีน) ด้วยกันเองดูจะสดใสและสะดวกในการเดินทางมากกว่า ขนาดประชากรก็ใหญ่และเริ่มมีเงินทองพอที่จะกลายเป็นตลาดใหญ่ได้ในเวลาอันใกล้

          แปด AC ต่างจาก EU ซึ่งเป็นการรวมตัวอีกลักษณะหนึ่งที่มีการใช้กฎหมายร่วมกันบางฉบับ มีการใช้เงินสกุลเดียวกันในบางส่วนของ EU มีข้อบังคับร่วมกันในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ฯลฯ สำหรับ AC นั้น แต่ละประเทศใช้กฎหมายของตนเอง ถึงแม้จะมีกฎบัตร ASEAN แต่ก็ไม่ใช่กฎหมายที่จะบังคับให้รัฐบาลหรือประชาชนใน AC ปฏิบัติตามอย่างมีบทลงโทษ ทุกสิ่งอยู่บนความร่วมมือกันในทางบวก

          AC นั้นเป็นก้าวสำคัญของอนาคตไทยและเพื่อนบ้านทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ทั้งหมดนี้ต้องเข้าใจว่าเป็นถนนสองทาง กล่าวคือต้องมีทั้ง give (สูญเสียประโยชน์บางอย่าง) และ take (ได้ประโยชน์บางสิ่ง) ถ้าสมาชิกคิดแต่จะได้อย่างเดียวแล้ว คงไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นแน่

          การยอมรับความเป็นจริงเช่นนี้ใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์ที่ต้องการความยั่งยืนมิใช่หรือ

ใช้หมาปราบวัชพืช

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8 กันยายน  2558

           วัชพืชดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับเกษตรกรแล้วมันเป็นผู้ร้ายที่ทำให้ผลผลิตลดหายไปอย่างน่าโมโห เครื่องมือที่ใช้ปราบก็คือยาพ่นฆ่า แต่ถึงกระนั้นก็ตามสำหรับบางพันธุ์แล้วก็ไม่หมดสิ้นไป ต้องใช้สิ่งที่เหลือเชื่อมาช่วย นั่นก็คือสุนัขหรือหมานี่แหละ

           ออสเตรเลียประสบปัญหาการรุกรานของวัชพืชปีหนึ่ง ๆ สูญเสียมูลค่าเกษตรไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี วัชพืชร้ายตัวหนึ่งรู้จักกันในนามของ Hawkweed สามารถแพร่พันธุ์เต็มสนามหญ้า เต็มสวนเต็มไร่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แย่งอาหารจากพืชจนแคระแกร็น หรือไม่โตเต็มที่ ชื่อทางการของ Hawkweed คือ Hieracium เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับดอกทานตะวัน แต่ดอกเล็กกว่ากันมากมาย จนเป็นญาติใกล้ชิดกับดอก dandellion ซึ่งงอกขึ้นมาจากพืชต้นเล็ก ๆ มีดอกสีเหลืองเล็ก ๆ เห็นชัดบนสนามหญ้า

           Hawkweed ตัวร้ายมีสีส้ม แพร่กระจายออกไปรวดเร็วมาก มันจะฟักตัวอยู่อย่างไม่อาจมองเห็นได้แต่พอถึงเวลาก็แพร่กระจายจนปราบไม่ทัน ปัญหาของมันก็คือสามารถอยู่รอดและงอกใหม่ได้จากเพียงแค่เศษของใบที่เล็กที่สุด การปราบโดยใช้ยาพ่นได้ผลแต่มันก็มีที่ไม่ตายหลุดรอดออกไปเป็นเชื้อพันธุ์อีก ตรงนี้แหละที่เจ้าหมาที่น่ารักมันมาช่วยชีวิตเศรษฐกิจของเกษตรกร

           Hawkweed ดอกสีแสดมาจากยุโรป และไปอาละวาดในทวีปอเมริกาเหนือ ต่อมาก็แพร่ไปถึงออสเตรเลียซึ่งเข้าใจว่าอาจติดมากับอุปกรณ์เครื่องบิน มันงอกงามได้ดีในบริเวณที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น โดยเฉพาะในรัฐ New South Wales ซึ่งอยู่ในภาคตะวันออก ผู้คนที่นี่ท้อใจในการปราบปรามจนได้พบตัวช่วย

           หมาถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการรับใช้มนุษย์มานับหมื่นปี ตั้งแต่เฝ้าบ้าน ดูแล ฝูงสัตว์ ดมไล่สัตว์ที่เป็นเหยื่อของการล่าด้วยปืน เช่น กระต่าย สุนัขจิ้งจอก ฯลฯ ตามกลิ่นหาคน ดมหายาเสพติด (เวลาดมกระเป๋าที่สนามบิน ใครมีอาหารไทยกลิ่นแรงไปจะรู้สึกหนาวเพราะกลัวต้องอายเปิดกระเป๋า) ดมหากับระเบิด ฯลฯ และในกิจกรรมล่า Wawkfeed ก็คือดมหาตอหรือต้นที่จะเชื้อแพร่พันธุ์ต่อไป

           หมามีจมูกที่ไวกว่ามนุษย์กว่า 10,000 เท่า มันใช้กลิ่นเป็นตัวกระตุ้นเป็นประการแรก ตามมาด้วยสัมผัส เสียงและการมองเห็น กลิ่นมีความสำคัญสำหรับมันมาก เวลาที่มันวิ่งไปในที่โล่งดมโน่มดมนี่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ชื่นชมความสวยงาม แปลกใหม่ของทิวทัศน์

           เวลาหมาพบกันมันจำกันได้จากกลิ่นเป็นสำคัญโดยเฉพาะหากมิได้พบกันนาน กลิ่นที่ว่านี้มาจากต่อมกลิ่นนับพัน ๆ ที่อยู่ใกล้รูทวาร ซึ่งทำให้เกิดการผสมที่ทำให้แต่ละตัวมีกลิ่นเฉพาะของมันซึ่งก็คือไอดีเรานี่เอง เวลาที่หมาพบกันและดมบั้นท้ายกันก็คือการตรวจไอดีว่าเจ้าคือใคร เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าด้วยประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ดี (เคยกัดกันและฉันแพ้) หมาจำเจ้าของหรือคนรู้จักที่ไม่ได้พบกันนานก็ด้วยการเปรียบเทียบกลิ่นที่มันบันทึกไว้ในสมองกับกลิ่นใหม่ที่มันได้รับ (แต่ไม่ได้มาจากบริเวณเดียวกับสุนัขนะครับ)

           เวลาที่หมาดมหายาเสพติด หรือค้นหากับระเบิด มันไม่ได้คิดว่ากำลังทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่สังคม หากคิดว่าเป็นเกมส์ที่สนุก หากทำได้ดีก็จะได้รับรางวัล ซึ่งอาจเป็นเศษอาหาร คำชม การสัมผัส หรือของเล่นถูกใจ ด้วยเหตุนี้จึงมีอายุใช้งานได้ไม่นานเพราะพอมีอายุมากเข้า เช่น 5 ปี (ในชีวิตประมาณ 10-15 ปี) มันก็ไม่รู้สึกคึกคักอยากเล่นเกมส์เหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว

           ในกรณีของ Hawkweed มันถูกฝึกให้ค้นหา เมื่อพบก็จะได้รับรางวัล ตรงจุดนี้ผู้ฝึกต้องระวังเพราะหากให้มากไปก็จะคาดหวังชิ้นที่ถูกใจมากขึ้น และเมื่อไม่สมหวังก็จะไม่เล่นอีก ซึ่งหมายความว่าประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หากให้รางวัลไม่ถูกใจก็อาจไม่อยากเล่นเกมส์นี้ แต่หันเหความสนใจไปเรื่องอื่น เช่น ไล่จับกระรอก จับหนูแทน

           ผู้ฝึกมักให้ลูกเทนนิสซึ่งเด้งไปมา วิ่งไล่จับสนุกเป็นรางวัล เมื่ออยากได้ลูกเทนนิสมาเล่นกับลูกพี่อีกก็ต้องพยายามหา Hawkweed ให้เจอ ในกรณีของ Hawkweed มันจะกัดและดึงออกตามที่ถูกฝึกโดยมีกลิ่น Hawkweed เป็นตัวนำ สำหรับกับระเบิดนั้นเมื่อดมกลิ่นจนพบก็จะถูกฝึกให้นั่งลงทันที เพราะหากฝึกให้กระโดดโลดเต้นดีใจก็อาจกลับบ้านเก่าทั้งลูกพี่และลูกน้อง ส่วนยาเสพติดนั้นบางครั้งเมื่อพบก็นั่งลง บางครั้งก็เห่า หรือกระดิกหาแสดงอาการว่าพบยาเสพติดแล้ว

           ในปัจจุบันหมาถูกฝึกให้ดมหาโลหะที่มีค่า ในอังกฤษมีการฝึกให้ดมกลิ่นเพื่อพิสูจน์การเป็นมะเร็งในขั้นแรก หรือแม้กระทั่งฝึกให้ดมหาตัวเลือดที่ซ่อนตัวอยู่ในที่นอน ผู้ฝึกหมาสนองตอบความต้องการของตลาดด้วยการฝึกหมาให้ค้นหายาเสพติดชนิดต่าง ๆ ค้นหาผู้รอดชีวิตจากตึกถล่ม ฯลฯ โดยใช้ความสามารถพิเศษในการดมกลิ่น

           หมาพันธุ์ที่ผู้ฝึกใช้ในการค้นหา Hawkweed คือค็อกเกอร์สเปเนียล ( Cocker Spaniel) ซึ่งโดยธรรมชาติซุกซนไม่ค่อนชอบอยู่นิ่ง จมูกเป็นเลิศ และที่มีลักษณะพิเศษคือชอบเห่า

           ออสเตรเลียประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการทำให้เกาะ Macquarie (ได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก) ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐทัสมาเนีย ประมาณ 1,450 กิโลเมตรให้ปลอดจากกระต่ายด้วยการใช้หมาไล่ปราบจนหมดสิ้นในปี 2014 การปราบเช่นนี้ถือว่าเป็นชัยชนะสำคัญเพราะกระต่ายซึ่งถูกนำมาออสเตรเลียเมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว ได้กลายเป็นสัตว์ทำลายเศรษฐกิจตัวฉกาจเนื่องจากแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว

           ตราบที่มนุษย์ใช้ปัญญาควบคุมสิ่งรอบตัวให้กลายเป็นเครื่องมือรับใช้ดังเช่นกรณีของหมาและ Hawkweed แล้ว มนุษย์ชนะเสมอแต่ก็มักจะไม่นึกถึงบุญคุณ เช่น โลกหรือสิ่งแวดล้อม และในกรณีนี้คือหมา

           หมามีบุญคุณต่อมนุษย์มากมาย สารพัดรับใช้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ คำถามที่น่าถามก็คือ แล้วมนุษย์ตอบแทนบุญคุณอะไรหมาบ้างเป็นพิเศษนอกจากให้ข้าวกินไปวัน ๆ เราได้ยินแต่มนุษย์บอกว่าหมาซื่อสัตย์ต่อคน แล้วคนซื่อสัตย์ต่อหมาเท่าเทียมกันหรือไม่เพียงใด

Cecil สิงห์โตชื่อดัง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1 กันยายน 2558

          แนวคิดอนุญาตให้ฆ่าสัตว์ป่าเพื่อควบคุมจำนวนและสร้างความสมดุลของป่าได้รับการยอมรับในบางกลุ่มของนักวิชาการมายาวนาน แต่เมื่อ Cecil สิงห์โตชื่อดังของ Zimbabwe ถูกฆ่าอย่างทารุณเมื่อไม่นานมานี้ แนวคิดนี้ได้กลายเป็นเป้าของผู้รักสัตว์ไป

          เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2015 สิงห์โตรูปงามวัย 13 ปี อันเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและนักศึกษาสัตว์ชื่อ Cecil ถูกยิงด้วยธนูจนบาดเจ็บและอีก 40 ชั่วโมงต่อมาก็ถูกตามยิงด้วยปืนยาวจนตาย

          Cecil มีประวัติที่เลื่องลือ ในปี 2009 Cecil ซึ่งตั้งชื่อตาม Cecil Rhodes (นักค้าทาสชาวผิวขาวเมื่อ 150 กว่าปีมาแล้ว เป็นผู้บุกเบิกตั้งประเทศนี้ ชื่อของเขาถูกเอาไปตั้งเป็นชื่อประเทศ Rhodesia ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น Zimbabwe) เป็นหัวโจกฝูงร่วมกับน้องชายต่อสู้สิงห์โตหนุ่มที่เข้ามาท้าทาย ทั้งสามตัวสู้กันดุเดือดจนน้องชายตาย และคู่ต่อสู้เจ็บหนักจนเจ้าหน้าที่ต้องช่วยทำลาย

          เมื่อ Cecil ชนะก็ย้ายที่และไปร่วมกับสิงห์โตตัวผู้อีกตัวชื่อ Jericho สร้างฝูงใหม่ มีลูกถึง 12 ตัว และมีอีหนูสิงห์โตในฝูง 6 ตัว เรียกได้ว่าผงาดเป็นเจ้าพ่อในป่าบริเวณนี้

          ด้วยประวัติของ Cecil และชื่อที่ตั้งทำให้เป็นสัตว์ที่มีคนสนใจ แผงคอที่มีสีดำแทรกเป็นลักษณะประจำตัว และมีแผงคอเล็กติดไว้เพื่อศึกษาติดตามการเคลื่อนไหวผ่านระบบ GPS โดยทีมนักวิจัยจาก Wildlife Conservation Research Unit แห่ง Oxford University โดยทีมนี้ศึกษามาตั้งแต่ปี 1999 และ Cecil อยู่ในโครงการศึกษามาตั้งแต่ปี 2008

          ในจำนวนสิงห์โต 62 ตัวที่ติดแผงคอนับตั้งแต่เริ่มศึกษา 34 ตัวตายไปแล้ว และในจำนวนนี้ 24 ตัวจากการถูกฆ่าโดย “นักกีฬาฆ่าสัตว์” ในบริเวณขอบอุทยานที่คนมาเที่ยวชม Cecil นั้นเชื่องมาก บางครั้งออกมาใกล้รถนักท่องเที่ยวเพียง 10 เมตร กล่าวได้ว่าเป็นสิงห์โตที่โดดเด่นที่สุด ตัวหนึ่งเนื่องจากมีคนรู้จักในจำนวน 25,000-30,000 ตัวในอาฟริกา

          Cecil ถูกยิงด้วยธนูในบริเวณนอกเขตอุทยาน เข้าใจว่าถูกล่อให้ออกมาโดยใช้เหยื่อ เมื่อยิงแล้วผู้ยิงจึงตกใจเมื่อพบว่าเป็นสัตว์ในโครงการและเป็น Cecil จึงร่วมกันแอบซ่อนแผงคอโดยตัดหัวทิ้งและรีบหนีออกมาโดยเร็ว

          ผู้ติดตามศึกษาเห็น Cecil หายไปจึงตามหาโดยใช้ GPS และเอะอะขึ้น จึงรู้ว่าผู้ยิงคือ ทันตแพทย์ชาวอเมริกันชื่อ Walter Palmer ซึ่งได้หนีกลับอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว แต่กลุ่มผู้รักสัตว์ในโซเชียลมีเดียรุมกระหน่ำพร้อมบุกบ้านพักผ่อนในฟลอริด้า เอาป้ายไปติดหน้าบ้าน ถูกก่นด่าชนิดเสียคนไปทั่วโลก

          เมื่อทางการ Zimbabwe สืบสวนก็พบว่ามีพรานท้องถิ่น 2 คน ร่วมมือด้วยโดยหมอผู้ชอบการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจจ่ายเงินสำหรับการยิงสิงห์โตไป 50,000 เหรียญสหรัฐ (1.7 ล้านกว่าบาท) หมออ้างว่าทุกอย่างถูกกฎหมายและจัดการโดยพรานฝรั่งที่มีใบอนุญาตเรียบร้อยในโควต้าการฆ่าของประเทศอย่างถูกกฎหมายประมาณปีละ 40 กว่าตัวต่อปี

          ก่อนหน้านี้หมอ Palmer มีประวัติถูกปรับมาก่อนเมื่อใช้ธนูยิงหมีในบริเวณที่ไกลออกไปจากบริเวณอนุญาตกว่า 60 กิโลเมตร เขาติดสินบนพรานร่วมทีม 20,000 เหรียญ (700,000 บาท) และรอดไปโดยจ่ายค่าปรับไปเพียงเล็กน้อย

          ปัจจุบันประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าการฆ่ามันถูกกฎหมายหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำหรือไม่เมื่อเอาธนูและปืนไปยิงสัตว์ป่าที่มันอยู่ของมันตามธรรมชาติอยู่ดี ๆ โดยมันไม่มีทางสู้ และก็เอาหัวของมันมาสต๊าฟติดข้างฝาผนังเพื่อแสดงความเก่งอาจอันจอมปลอมและป่าเถื่อน

          การอนุญาตให้ยิงสัตว์ป่าในอุทยานในอาฟริกานั้นเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศเหล่านี้ (โดยเฉพาะของผู้นำ) มายาวนาน ข้ออ้างทางวิชาการซึ่งมีส่วนจริงอยู่บ้างก็คือเพื่อควบคุมความสมดุลของป่ามิให้มีสัตว์ใหญ่มากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อกวาง ม้าลาย และสัตว์อื่น ๆ อีกนานาชนิด ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็บอกว่าเหตุใดจึงไม่จับไปปล่อยอีกอุทยานหนึ่งแทนที่จะฆ่ามัน คำตอบก็คือการปล่อยให้เศรษฐีมาล่าสัตว์แบบนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการควบคุมจำนวนสัตว์และแถมได้เงินมาอีกด้วย

          กระแสที่มาแรงก็คือการต่อต้านการล่าสัตว์เช่นนี้ที่มีชื่อเรียกว่า Trophy Hunting เพราะเป็นการรังแกสัตว์ ที่ถูกวิจารณ์ก็คือในรัฐเท็กซัสและฟลอริด้ามีการซื้อสัตว์ป่าจากทั่วโลกมาปล่อยใน สวนสัตว์เปิดตามธรรมชาติส่วนตัวและให้คนเข้าไปล่าสารพัดสัตว์แปลกที่สรรหามา บ่อยครั้งที่เอาสิงห์โตหรือสัตว์อื่นที่เติบโตในกรงมาปล่อยให้เป็นเป้า การล่าครั้งหนึ่งต้องจ่ายเงินคนละเหยียบล้านบาทและมีโควต้าให้ล่าสัตว์แต่ละชนิดในแต่ละครั้ง

          การ “ฆาตกรรม” Cecil ครั้งนี้อาจเป็นจุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในการอนุญาตให้ล่าสัตว์ใน 20 กว่าประเทศอาฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล่าสัตว์ชนิดเอาสัตว์มาปล่อยเพื่อล่า อย่างไรก็ดีการล่าในอาฟริกาคงเปลี่ยนแปลงได้ยากเนื่องจากทำเงินเข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำมายาวนานโดยเฉพาะตราบที่ “มนุษย์ในร่างสัตว์” (เมื่อเป็นสัตว์จึงต้องการกลับไปสู่สัญชาติล่าสัตว์ด้วยกันเอง?) มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามฐานะทางเศรษฐกิจของผู้คนในหลายประเทศ

          ถ้ากลุ่มผู้รักสัตว์ในโลกสามารถสร้างกระแสต่อต้านการล่าสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การล่าสัตว์แบบ trophy hunting ชนิดซื้อสัตว์มาปล่อยแล้วล่าก็อาจประสบปัญหาได้ อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงกระแสความต้องการมีปืนในครอบครองได้อย่างเสรีในบางรัฐของสหรัฐอมริกายังดำรงอยู่อย่างเข้มข้น มิใยที่ยังมีคนตายเพราะปืนอย่างง่าย ๆ อยู่ทุกวัน การห้ามล่าสัตว์ไม่ว่าในลักษณะใดก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้

          Cecil เป็นเพียงสิงห์โตไร้เดียงสาที่ถูกฆ่าอย่างเจ็บปวดด้วยการทำงานของกลไกทุนนิยม (มีเงินก็ไปล่าได้) ถ้าไม่ต้องการให้ Cecil ตายอย่างไร้ประโยชน์แล้ว เราต้องช่วยกันจดจำเหตุการณ์ครั้งนี้และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อโอกาสมาถึง

          George Bernard Shaw (1856-1950) บอกว่า “เมื่อมนุษย์ต้องการฆ่าเสือเขาจะเรียกว่าเป็นกีฬา แต่เมื่อเสือต้องการจะฆ่าเขา เขาเรียกมันว่าความโหดเหี้ยม”

ประธานาธิบดีจอมเจ้าชู้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 สิงหาคม 2558 

          เขาว่องไวปานกามนิตหนุ่มโดดขึ้นซ้อนรถสกู๊ตเตอร์หายไปในความมืดของการจราจร ยามดึกของปารีสเพื่อไปหากิ๊กสาววัย 41 ปี ซึ่งเป็นดาราภาพยนตร์มีชื่อเสียง ภาพเช่นนี้ไม่มีอะไร น่าตื่นเต้นหากเขาไม่ใช่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบัน และเขาก็ไม่น่ากังวลด้วยหากหนังสือพิมพ์ประเภทซุบซิบจะไม่ลงภาพเขาในชุดหมวกกันน็อคพร้อมภาพของกิ๊กสาวเต็ม 7 หน้า ในวันรุ่งขึ้น

          Francois Hollande (อ่านว่า ฟร็องซัว ออล็องด์) อายุ 61 ปี เป็นโสดตลอดชีวิตโดยไม่เคยจดทะเบียนสมรสเป็นทางการกับใคร เขาเป็นคนดังที่อื้อฉาวทางการเมืองเพราะถึงแม้จะเป็นประธานาธิบดีมา 3 ปีแล้วแต่ประชาชนเห็นว่าผลงานยังไม่ไปถึงไหน โพลระบุว่ามีเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่ยอมรับตัวเขา เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้สื่อก็เลยยิ่งสนุกกันใหญ่ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ โพลอีกเช่นกันระบุว่าร้อยละ 77 ของผู้ลงคะแนนเลือกตั้งเห็นว่าเรื่องกับกิ๊กนี้เป็นเรื่องส่วนตัว และร้อยละ 84 บอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่กระทบความเห็นของเขาที่มีต่อออล็องด์ (คือมีความไม่เข้าท่าหรือเข้าท่าเหมือนเดิม)

          นักการเมืองจากทุกพรรคแม้แต่เพศหญิงออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว (สงสัยว่าต้องพูดกันไว้ก่อนเพราะอาจถึงตาตัวเองกันบ้างในอนาคต?) เสียงวิจารณ์ด้านลบก็มีบ้างไปในทางว่ามีวิจารณญาณที่ไม่ดี ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ด่างพร้อย ใช้เงินหลวงไปในการปิดบังการมีกิ๊ก เสียแรงงานไปกับการปกปิดอย่างไร้ประโยชน์ควรให้ความสนใจแก่เรื่องเศรษฐกิจ และปัญหาอื่น ๆ มากกว่า ฯลฯ

          ใครที่ติดตามการเมืองอเมริกัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ คงรู้สึกแปลกใจเพราะหากมีเรื่องอย่างนี้อย่าว่าแต่ประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีเลย แค่รัฐมนตรี หรือแม้แต่วุฒิสภา หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.อเมริกาโชว์รูปเปลือยตนเองบนโซเชียลมีเดียยังต้องลาออกเลย) ก็อยู่ไม่ได้แล้ว แต่ที่นี่ฝรั่งเศส เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

          อดีตประธานาธิบดี Mitterrand ลูกพี่ของออล็องด์จากพรรคสังคมนิยมด้วยกันมีสองครอบครัวลับ ๆ ตลอดเวลาที่เป็นประธานาธิบดีอยู่ 14 ปี จนตายไปเมื่อปี 1996 จึงมีการเปิดเผยว่ามีลูกสาวลับ ๆ อยู่หนึ่งคนที่ปิดบังมา 20 ปี

          อดีตประธานาธิบดี Sarkozy คนก่อนหน้าออล็องด์ ก็หย่าภรรยาขณะที่อยู่ในตำแหน่งและได้นางแบบสาวและนักร้อง Carla Bruni มาเป็นคู่ชีวิต ภาพเปลือยล่อนจ้อนของเธอปรากฏอยู่ในโลกไซเบอร์กันว่อน

          ประวัติของออล็องด์ในเรื่องผู้หญิงนั้นไม่ธรรมดา ผู้หญิงคนแรกที่เขาอยู่ด้วยนั้นชื่อ Segolene Royal เป็นนักการเมืองพรรคเดียวกัน ปัจจุบันอายุ 61 ปี เขามีลูกกับเธอ 4 คน เธอลงแข่งขันตำแหน่งประธานาธิบดีกับ Sarkozy ในปี 2007 แต่พ่ายแพ้ ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นเขาก็เลิกกับเธอ หลังจากอยู่ด้วยกันมา 29 ปี

          ออล็องด์ได้ Valerie Trierweiler ผู้สื่อข่าวสาวอายุ 42 ปีมาอยู่ด้วยหลังจากเลิกกับคนแรกไม่นานขณะที่เธอก็ยังมีสามีอยู่ (ลูก 3 คน จากการหย่าร้าง 2 ครั้ง) เมื่อออล็องด์ได้เป็นประธานาธิบดีในปี 2012 เธอก็มาอยู่กับเขาในฐานะ First Lady ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน

          ตำแหน่งนี้คนฝรั่งเศสไม่ได้ให้ความสำคัญเหมือนกับคนอเมริกัน เธอออกงานสังคมในฐานะ First Lady อยู่ได้เพียง 2 ปี ในต้นปี 2014 ออล็องด์ก็ถูกจับได้ว่ามีสัมพันธ์สวาทกับ Julie Gayet ดาราภาพยนตร์คนสวยลูกสองดังกล่าวแล้ว ทันทีที่ข่าวนี้ออกในสื่อ First Lady ก็ถึงกับช็อกต้องเข้าโรงพยาบาล และเลิกกันไปหลังจากอยู่กันมาได้ 7 ปี

          แฟนของออล็องด์แต่ละคนล้วนเป็นสาวงามระดับนางงามทั้งสิ้น คนแรกนั้นถึงแม้จะมีอายุ 61 ปี ในปัจจุบัน แต่ก็ยังงดงามสู้กับสาว ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น Valerie อายุ 50 ปี หรือแม้แต่ Julie คนล่าสุดที่อายุ 42 ปี ในปีนี้ก็ตาม

          ถึงแม้ลูกคนโตของออล็องด์มีอายุ 31 ปีแล้ว แต่ชีวิตรักของเขาดำเนินไปอย่างไม่มีขีดจำกัด Julie นั้นได้รับการศึกษาดีและมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง เธอเป็นหลานปู่ของอดีตหัวหน้ากลุ่มใต้ดินต่อต้านนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส Trierweiler ก็เป็นคนมีการศึกษาดีเรียนจบ Sorbonne ส่วน Royal นั้นเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสที่เป็นตัวแทนจากพรรคใหญ่ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

          ออล็องด์มีฝีมือในการได้สาวสวย หัวดี มีชื่อเสียงมาเป็นคู่ แต่ฝีมือการทำงานของเขาในฐานะประธานาธิบดีในสายตาคนฝรั่งเศสนั้นไปในทางตรงกันข้าม เขามีปัญหาในเรื่องภาพพจน์ เริ่มตั้งแต่ภาพถ่ายของเขาให้ความรู้สึกที่แปลก นัยตาและแว่นตาที่เขาใส่ให้ภาพที่คล้ายตัวตลก คนฝรั่งเศสเห็นว่าเขาไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย สัญญาอะไรที่เกินจริงและไม่เคยทำได้ (สัญญาว่าจะลดอัตราการว่างงานร้อยละ 10.5 ซึ่งสูงสุดในรอบ 12 ปี ให้หายไปภายในปี 2014 ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้) ผู้คนรู้สึกไม่แน่ใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มันดูลื่นไหล กลิ้งไปมาแบบจับไม่ติด (เขามีฉายาว่า “Flanby” ซึ่งเป็นยี่ห้อหนึ่งของเยลลี่ในฝรั่งเศส)

          สื่อให้ความเห็นว่าเขาเป็นคนขาดเสน่ห์ทางการเมือง (เสน่ห์ส่วนตัวนั้นมั่นใจว่าไม่ธรรมดา เพราะมิฉะนั้นคงไม่สามารถพิชิตระดับยอดมาได้เท่าที่รู้ถึง 3 คน เป็นแน่) อีกทั้งเป็นคนหน้าบาง ถ้าถูกวิจารณ์แล้วจะออกอาการอย่างไม่สมกับความเป็นนักการเมือง

          ออล็องด์มีพ่อเป็นแพทย์ และแม่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เข้าสู่การเมืองและเป็นนักการเมืองมาตลอดชีวิต คร่ำหวอดในการเมืองของพรรคสังคมนิยมมายาวนาน เขาได้รับโอกาสดีเมื่อคู่แข่งคนสำคัญในพรรคคือ Strauss-Kahn อดีตผู้จัดการ IMF สะดุดขาตนเองเมื่อถูกคดีข่มขืนพนักงานทำความสะอาดโรงแรมในนิวยอร์กในปี 2011 จนต้องถอนตัวออกจากการแข่งขัน ออล็องด์จึงได้เป็นตัวแทนพรรค และเอาชนะ Sarkozy ซึ่งลงแข่งขันสมัยที่สองได้

          หลังจากถูกจับได้ว่ามีความสัมพันธ์กับดาราสาวตอนต้นปี 2014 ข่าวความสัมพันธ์ของเขากับเธอก็เงียบเชียบไปนาน เธอมิได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี และทำหน้าที่ First Lady หากมีข่าวว่าเขาหลบไปหาเธออาทิตย์ละหลายคืน

          ในแต่ละสังคมมีมาตรฐานในเรื่องจริยธรรมทางเพศที่แตกต่างกันออกไป และประชาชนก็ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายในระดับที่ไม่เท่ากัน มีหลายคำถามที่น่าสนใจ เช่น ในโลกเรามีมาตรฐานทางจริยธรรมในเรื่องนี้ที่แตกต่างกันด้วยหรือ เหตุใดคนฝรั่งเศสจึงคิดว่าเรื่องการนอกใจคู่ชีวิตเช่นนี้จึงเป็นเรื่องส่วนตัว และคอรัปชั่นสามารถเข้าหรอบเดียวกันกับเรื่องจริยธรรมทางเพศที่ว่า ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าเห็นเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่

          ความพร่องจริยธรรมทางเพศมักเกิดจากการมีเงินและอำนาจมาก ซึ่งสองสิ่งนี้อาจมาจากคอรัปชั่น ดังนั้นจริยธรรมทางเพศ่ที่บิดเบี้ยวจึงมีความสัมพันธ์กับคอรัปชั่น ถ้าปราบคอรัปชั่นซึ่งทุกสังคมเห็นตรงกันว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายลงได้ จริยธรรมทางเพศอาจมีสภาวะที่ดีขึ้นก็เป็นได้

แหกคุกชนิดโลกตะลึง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 สิงหาคม 2558

          คงไม่มีการแหกคุกครั้งใดใน 100-200 ปีที่ผ่านมาซึ่งยิ่งใหญ่เท่าครั้งที่ผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ของยอดนักค้ายาเสพติดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก จะไม่สุดยอดได้อย่างไรในเมื่อเขาหนีออกจากคุกผ่านอุโมงค์ที่ขุดขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะยาว 1.5 กิโลเมตร

         Joaquín Guzmán คือชื่อจริงของเขา แต่ผู้คนรู้จักเขาในนาม “El Chapo” หรือ “ไอ้เตี้ย” แห่งเม็กซิโก ปัจจุบันอายุ 58 ปี มีภรรยาไม่ต่ำกว่า 4 คน และมีลูกไม่ต่ำกว่า 10 คน

         สื่อระบุว่าเขาเป็นคนรวยอันดับ 10 ของเม็กซิโก (ลำดับที่ 1,140 ในโลก) โดยมีมูลค่าสุทธิประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (33,000 ล้านบาท) อีกทั้งเป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดอันดับสองของเม็กซิโก รองจากนาย Carlos Slim (เศรษฐีอันดับหนึ่งของเม็กซิโก และระหว่างปี 2010 ถึง 2013 เขารวยที่สุดในโลก รวยกว่า Warren Buffett และ Bill Gates) นอกจากความรวยแล้วก็ยังมีความเลวติดอันดับหนึ่งของโลก ทางการสหรัฐเรียกเขาว่า “นักค้ายาเสพติดที่มีอิทธิพลที่สุดของโลก” “เจ้าพ่อค้ายาเสพติดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกยุค” 

         แก๊งค์ของเขาคือ Sinaloa Cartel (Sinaloa เป็นบ้านเกิดของเขาซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของเม็กซิโก) ในตอนแรกทำหน้าที่ลักลอบโคเคนจากโคลัมเบียผ่านเม็กซิโกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งบริโภคโคเคนใหญ่สุดของโลก โดยเขามีเครือข่ายผู้ค้าปลีกกระจายอยู่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา 

         แค่นั้นไม่พอต่อมาแก๊งค์ของเขายังเกี่ยวพันกับการผลิต ลักลอบนำเข้า ขายปลีกสาร Methamphetamine (ซึ่งใช้ผลิตยาบ้า) กัญชา ยาอี (Ecstasy หรือ MDMA) ตลอดจนเฮโรอีนไปทั่วทั้งอเมริกาเหนือและยุโรป เขาค้าขายกว้างขวางจนมีสถิติว่าขณะที่เขาถูกจับในปี 2014 Chapo ลักลอบนำยาเสพติดเข้าสหรัฐอเมริกามากกว่าใครทั้งหมดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์

         ด้วยผลงานทั้งหมดที่กล่าวมา Chapo จึงเป็นที่หมายปองอย่างยิ่งของทางการสหรัฐอเมริกา ค่าหัวของเขาคือ 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ไม่ว่าค่าหัวจะสูงอย่างไร ปลาไหลอย่างเขาก็ยากนักที่จะถูกจับได้เพราะเขามีเงินมหาศาลเป็นเมือกแสนลื่น

         ชีวิต Chapo ลำบากตอนเด็กเพราะต้องช่วยพ่อทำเกษตรกรรมซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการปลูกฝิ่น รัฐ Sinaloa บ้านเกิดมีพื้นที่และภูมิอากาศเหมาะสม เขาได้รับการศึกษาลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะขาดครูในบริเวณภูเขากันดาร Chapo ถูกพ่อเฆี่ยนตีอยู่เสมอถึงแม้จะช่วยพ่อทำงานหนักทั้งปลูกฝิ่น และปลูกกัญชา ตอนเป็นวัยรุ่นเขาถูกพ่อไล่ออกจากบ้านจึงไปอยู่กับปู่และญาติพี่น้อง และก็ได้พบลุงซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกค้ายาของเม็กซิโก

         Chapo ร่วมงานค้ายาจากตำแหน่งเล็ก ๆ ในกลุ่มผู้ผูกขาดค้ายาเสพติดของรัฐ เมื่อแสดงฝีมือลายมือในความกล้ายิงหัวปรปักษ์ทุกคน บวกความฉลาดเจ้าเล่ห์ ความทะเยอทะยาน ความมีใจนักเลงกล้าได้กล้าเสีย และความสามารถในการจัดการ Chapo ก็ใหญ่โตขึ้นเป็นลำดับ

         จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังจากการฆ่าฟันกันอย่างโหดเหี้ยมระหว่างแก๊งค์เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ มีทั้งเรียกค่าไถ่ ทรมาน ยิงทิ้งญาติและลูกเมียฝ่ายตรงข้าม Chapo ผู้มีส่วนร่วมด้วยอย่างแข็งขันก็ก้าวขึ้นเป็นใหญ่เต็มตัวในปี 1995 แทนลูกพี่ซึ่งถูกจับ

         ในช่วงปี 1993 ที่ Chapo กำลังจะเป็นหัวโจก ทางการก็ตระหนักในความสำคัญของเขา และพุ่งเข้ามาที่ตัวเขาจนต้องหนีไปอยู่ประเทศกัวเตมาลา และถูกจับส่งตัวกลับไปเข้าคุกที่เม็กซิโก ในคุกที่มีการคุ้มกันแข็งขันที่สุดด้วยสารพัดข้อหา

         ในขณะที่อยู่ในคุก เขาก็ค้ายาเสพติดไม่หยุด โดยมีน้องชายเป็นมือเป็นแขน ขณะที่อยู่ในคุกก็สุขสบายเพราะเขามีเงินสดเป็นกระเป๋ามาแจกผู้คุม เขาติดคุกไปในขณะเดียวกับที่ธุรกิจใหญ่โตขึ้นเป็นลำดบ Chapo ติดคุกอยู่ 8 ปี และในปี 2001 ผู้คุมหลายคนก็ร่วมมือให้เขา โดดลงไปซ่อนตัวในรถเข็นผ้าซักและขึ้นรถหลบหนีออกไปจากคุกอย่างลอยนวล

         ทั้งหมดนี้เขาติดสินบนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในทุกระดับ มีตัวเลขว่าเขาจ่ายเงินไปทั้งหมด 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่เขาได้รับขณะที่อยู่ในคุก

         เมื่อ Chapo ออกมานอกคุกก็พยายามปราบแก๊งค์อื่น ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จสมบูรณ์ถึงแม้จะเรียกได้ว่าเป็นหัวโจกของการค้ายาเสพติดในเม็กซิโกและโลกก็ตาม ทางการเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกาควานหาตัวเขาอย่างหนักหน่วง แต่ก็หลุดรอดไปได้ทุกครั้ง จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ในปี 2014 หลังจากหนีรอดไปได้ 13 ปี

         ทางการรู้ว่าเขาอยู่ในถิ่นปลูกฝิ่นของบริเวณรัฐบ้านเกิดแต่ก็เข้าไปจับได้ลำบากมากเพราะมีคนคุ้มกันไม่ต่ำกว่า 300 คน และหลบอยู่ในบริเวณที่เข้าไปถึงได้ยาก ฝ่ายตามล่าจึงต้องรอให้เขาออกมาเพราะความชะล่าใจ ในที่สุดเขาก็ถูกจับได้ในตอนต้นปี 2014 ในโรงแรมริมทะเลเมือง Mazatlán โดยหนึ่งในผู้คุ้มกันแอบให้ข้อมูลแก่ทางการ

         Chapo อยู่ในคุกที่ทางการมั่นใจว่าไม่มีทางหนีรอดเด็ดขาดเนื่องจากมีบทเรียนจากการหนีครั้งที่แล้วเพื่อรอส่งตัวไปขึ้นศาลที่สหรัฐอเมริกาในหลายข้อหาหนักซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีทางหลุดรอดออกมาได้อีกเลยตลอดชีวิต

         เขาถูกขังในห้องเดี่ยวที่มีกล้องโทรทัศน์จับตาดูการเคลื่อนไหวของเขา 24 ชั่วโมง ไม่มีการเยี่ยมหรือประกัน ไม่ให้ติดต่อกับใครเลยทั้งในและนอกคุก วันหนึ่งเขามีเวลาออกนอกห้องที่ไม่มีหน้าต่างเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

         หลังจากถูกจองจำอยู่ได้ 17 เดือนในคุกที่ถือว่าสุดยอดที่สุดในการควบคุมดูแล ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2015 เวลาประมาณสามทุ่ม Chapo ก็หายตัวไปจาก Federal Social Readaptation Center No. 1 ของเม็กซิโก ราวกับเป็นนักเล่นกลฝีมือระดับฮูดินี

         เมื่อผู้คุมที่เฝ้ากล้องโทรทัศน์ไม่เห็นตัวเขาเป็นเวลา 18 นาที เพราะเดิมเข้าใจว่าเขาอยู่ในส่วนที่เป็นห้องอาบน้ำซึ่งกล้องถ่ายเข้าไปไม่ถึงเพื่อความเป็นส่วนตัว ก็เอะอะโวยวายขึ้น และกว่าผู้คุมคนอื่น ๆ จะค่อย ๆ เดินมาเวลาก็ผ่านไปอีก 30 นาที เมื่อค้นห้องก็พบว่าเขาหายลงไปในท่อน้ำทิ้งของห้องอาบน้ำ

         เมื่อตรวจเช็คว่าคนจะกลายเป็นน้ำหายไปได้อย่างไรก็พบว่าท่อน้ำทิ้งนั้นเชื่อมต่อไปยังอุโมงค์ลึกลงไปจากผิวดิน 10 เมตรขนาดความสูง 168 เซนติเมตร และกว้าง 70 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร โดยเชื่อมไปถึงบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่า

         ในอุโมงค์ซึ่งมีการสร้างอย่างแข็งแรงมีระบบระบายอากาศอย่างดี พบมอเตอร์ไซค์ และบันไดเพื่อใช้ไต่ขึ้นลง ซึ่งกว่าจะพบอุโมงค์และบ้านปลายทาง Chapo ก็หายตัวไปนานหลายชั่วโมงแล้ว

         การหนีครั้งที่สองนี้เป็นเรื่องใหญ่โตระหว่างประเทศ เพราะเขาเป็นคนดังมาก และสหรัฐอเมริกาก็เตรียมลับมีดรออยู่อย่างมั่นใจ จากการสอบสวนในขั้นต้นก็พบว่ามีการให้สินบนมูลค่ามหาศาลแก่ทุกระดับ มิฉะนั้นจะมีอุโมงค์ซึ่งเป็นเครื่องมือโปรดของเขาในการขนยาเสพติดข้ามพรมแดนสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยในการหนีได้อย่างไร

         การผลิตและค้ายาเสพติดนำไปสู่การแตกสลายของชีวิตมนุษย์และครอบครัว สร้างความเจ็บปวด และรอยน้ำตาอย่างเหลือที่จะพรรณา คนเหล่านี้มองไม่เห็นหรือไม่ต้องการเห็นเพราะความโลภได้บดบังความถูกต้องและความดีงามอย่างมิดชิด