Estonia บุกเบิก Digital Society

วรากรณ์  สามโกเศศ
25 เมษายน 2560

          Estonia เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่น้อยคนจะรู้จักมักคุ้น แต่ทั้งเล็กและน้อยนี้แหละเป็นตัวอย่างก่อนใครในโลกในการเปลี่ยนเป็นสังคม-E หรือ Digital Society ไม่น่าเชื่อว่าที่นั่นลงคะแนนเลือกตั้งออนไลน์กันมากว่า 10 ปีแล้ว
ลองจินตนาการถึงโดนัทที่ตัดแหว่งออกไประหว่าง 6 กับ 8 นาฬิกา รูโหว่คือทะเล Baltic เหนือจากเนื้อโดนัทที่มิได้ถูกตัดขึ้นไปคือNorway / Sweden / Finland / Russia (ตรงเมือง St.Petersburg) / Estonia / Latvia / Lithuania / Poland / Germany และ Denmark ซึ่งเป็นเนื้อโดนัทริมที่แหว่งด้านใต้

          Estonia มิได้ถูกนับรวมไว้ในกลุ่ม Scandinavia ทั้งที่มี Vikings เป็นบรรพบุรุษเหมือนกัน เหตุผลก็คือแทบไม่เคยเป็นประเทศที่มีอิสรภาพเลย 700 ปีอยู่ภายใต้อิทธิพลของเยอรมัน และอีก 200 ปี เป็นลูกไล่ของรัสเซีย

          ครั้งหนึ่งดินแดน Finland (อยู่ใกล้กับ Estonia เพียงนั่งเรือข้ามทะเล Baltic เพียง 2 ชั่วโมง มีภาษาคล้ายกันอย่างแตกต่างจากกลุ่ม Scandinavia) กับดินแดน Estonia ก็เคยเป็นของสวีเดนมาก่อน ประเทศเหล่านี้ต่อสู้ฆ่าฟันกันนานนับร้อย ๆ ปี จนเกิดเป็นประเทศ Estonia ขึ้นครั้งแรกในปี 1918 แต่ก็อยู่ได้เพียง 22 ปี ในปี 1940 รถถังรัสเซียบุกยึด Estonia เข้ามาเป็นรัฐหนึ่งของสหภาพ โซเวียต (USSR)

          คน Estonia ขมขื่นที่ถูกกดขี่โดยโซเวียตมาก พยายามต่อสู้แต่ก็ไม่เป็นผล มาสำเร็จเมื่อสหภาพโซเวียตเริ่มซวนเซในปี 1987 โดยรุมเร้าทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจคอมมูนิสต์ โลกสมัยใหม่ที่ข่าวสารเข้าถึงผู้คน “หลังม่านเหล็ก” ฯ จุดเริ่มต้นก็คือคน 300,000 คนชุมนุมกันร้องเพลงปลุกใจรักชาติที่สหภาพโซเวียตห้าม ซึ่งก็คือการท้าทายอำนาจครั้งใหญ่ ถึงจะร้องเพลงสู้แบบนิ่มนวลแต่รถถังโซเวียตก็ยังออกมาปราบในปี 1991 แต่ประชาชนลุกฮือขึ้นขวาง และในที่สุดการต่อสู้ก็สุกงอมเมื่อเกิดปฏิวัติในปี 1991 ในสหภาพโซเวียตโดยกลุ่มอำนาจเก่าและล้มเหลว

          ผู้ร่วมขัดขืนคือรัฐ Latvia และ Lithuania ทั้งหมดสู้ยิบตาเพราะรู้ว่าถึงเวลาแล้ว ผู้คน 3 ประเทศนี้จับมือถึงกันยาว 600 กิโลเมตร พร้อมกับร้องเพลงปลุกใจรักชาติ และในที่สุดก็ประกาศเป็นเอกราชใกล้เคียงกันในเดือนสิงหาคม 1991
Estonia เหมือนปลาได้น้ำ ผู้นำมีวิสัยทัศน์ว่าโลกจะต้องเป็น digital อย่างแน่นอน จึงเริ่มลงมือทันทีในประมาณปี 1995 ใช้การถูกสหภาพโซเวียตห้ามมิให้เยาวชนเรียนสังคมศาสตร์ โดยถูกบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เท่านั้นให้เป็นประโยชน์ รัฐบาลโหมการศึกษาด้าน IT และวิทยาศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพร้อมกับลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแผนการเปลี่ยนประเทศเป็น digital อย่างเป็นขั้นตอน Estonia นั้นมีพื้นฐานด้าน IT อยู่มากพอควร คน Estonia เขียนซอฟแวร์โปรแกรมในโครงการอวกาศของสหภาพโซเวียตโดยพยายามตั้งศูนย์วิจัย AI (ปัญญาประดิษฐ์) อยู่ใกล้ Tallinn เมืองหลวง

          ในปี 1995 รัฐบาลมีโครงการชื่อ Tiger Leap ที่มุ่งให้การ “อ่านออกเขียนได้” ด้าน IT กลมกลืนเข้าไปในชีวิตของประชาชนทุกคน

          ในเวลาเพียง 5 ปี ก็เริ่มเห็นผล ด้วยปัจจัยของการมีประชากรจำนวนน้อย (ปัจจุบันมีประมาณ 1.3 ล้านคน มีพื้นที่ 1 ใน 10 ของไทย) กอปกับมีการลงทุนเศรษฐกิจอย่างมากจากนอกประเทศตลอดจนมีกำลังคนเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลง ในปี 2003 ก็เริ่มใช้ระบบ ID Smart Care คือเป็นทั้งพาสปอร์ต ตั๋วเดินทางทุกรูปแบบใน EU ตั๋วรถไฟใต้ดินและบนดิน ใช้ยื่นเสียภาษี บัตรชำระเงิน ใบขับขี่ซึ่งบันทึกประวัติการขับขี่ ฯลฯ ข้อมูลทั้งหมดจะอยู่ในชิปที่ฝังอยู่ในการ์ดโดยสามารถเปลียนแปลงข้อมูลได้ตลอดเวลา

          Wi-Fi นั้นมีอยู่ทุกแห่งหน ไม่ว่าปั้มน้ำมันหรือริมถนน ซึ่งปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วและอื่น ๆ ก็มีเช่นเดียวกันไม่ว่า Smart Card หรือการให้ความสะดวกแก่ประชาชนในการรับบริการด้านต่าง ๆ เช่น ต่ออายุใบอนุญาต ใบขับขี่ ฯลฯ การเลียนแบบและแข่งขันกันเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบัน แต่ต้องไม่ลืมว่า Estonia เป็นผู้เริ่มก่อนคนอื่น

          อย่างไรก็ดี Estonia มี 2 โครงการที่ประเทศอื่นยังไล่ไม่ทัน โครงการแรกคือ E-cabinet หรือการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบ E กล่าวคือ รัฐมนตรีทุกคนจะมีวาระและข้อมูลเอกสารอยู่ใน PC หรือ smartphone โดยเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลจากทุกกระทรวง สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ประสานการให้ความเห็นแก่ที่ประชุมผ่านมือถือก่อนประชุม และระหว่างประชุมเพื่อการตัดสินใจ และทันทีที่ลงมติข้อมูลจะปรากฏให้ประชาชนเห็น และถ้าเป็นการแก้ไขหรือออกกฎเกณฑ์ก็จะให้สาธารณชนเห็นทันที

          โครงการที่สองคือ E-voting ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2001 โดยเลือกตั้งทั่วไปมาแล้ว 3 ครั้ง ผู้ลงคะแนนเลือกได้ว่าจะหย่อนบัตร หรือโหวตออนไลน์ หากเป็นอย่างหลังจะมีระบบการใช้ National Identity Card ประกอบเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นตัวตนคนลงคะแนนจริง จะลงกี่ครั้งก็ได้โดยโหวตจากที่ไหน ก็ได้ แต่จะนับการลงคะแนนครั้งสุดท้าย และเมื่อลงคะแนนไปแล้วสามารถขอดูได้ว่าการโหวตเป็นไปตามที่ตนได้ลงคะแนนไว้จริง ๆ

          เมื่อระบบเป็นเช่นนี้รัฐบาลจึงสามารถทราบความรู้สึกและความเห็นของประชาชนได้ ทุกเรื่อง แทบทุกนาทีโดยใช้เครื่องมือเช่นเดียวกับ E-voting ประชาชนทุกคนสามารถแสดงความเห็นถึงรัฐมนตรี และ ส.ส. ได้ทุกคน ทุกเวลา โดยมีต้นทุนต่ำที่สุด ทั้งหมดนี้ทำให้นักการเมืองสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          สิ่งที่น่าชื่นชมของ Estonia ก็คือการเก็บข้อมูลที่สำคัญของประชาชนทุกคน และเก็บอย่างเป็นความลับยิ่งยวด ประชาชนทุกคนสามารถเข้าไปดูได้ตลอดเวลาว่ารัฐเก็บข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตน หากไม่ถูกต้องก็แจ้งได้ นอกจากนี้ยังรู้อีกว่ามีใครเข้าไปดูข้อมูลเรื่องใดของตนเมื่อใดอีกด้วย

          การหนาวสุด ๆ ถึงต่ำกว่า 10๐-20๐c เป็นเวลา 3 เดือน หนาวมากใกล้ต่ำกว่าศูนย์อีก 3 เดือน หนาวใกล้ศูนย์ถึง 10๐ อีก 3 เดือน และอุ่นแบบเหนือ 10๐c อีก 3 เดือน ทำให้การทำธุรกรรมและเรื่องส่วนตัวที่บ้านได้เป็นเรื่องที่วิเศษมาก แรงกดดันเช่นนี้จึงเป็นผลให้เกิดการให้บริการที่ประชาชนพอใจไม่ว่าการซื้อของออนไลน์ต่าง ๆ การขออนุญาต การทำสัญญา การจ่ายภาษี การโอนเงิน หรือแม้แต่การหย่าออนไลน์ (หากทั้งสองเห็นพ้องและยืนยันความเป็นตัวตนถูกต้อง แต่การแต่งงานยังจำเป็นต้องไปปรากฏตัวพร้อมกัน)

          การมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีขนาดประชากรที่ไม่มากเกินไป มีการสะสมทุนความรู้ในด้าน IT และการริเริ่มเป็น digital society โดยผู้นำในช่วงเวลาที่เหมาะสมทำให้ Estonia ได้เป็นประเทศที่พิเศษในประวัติศาสตร์โลก