ปล่อยนก บุญหรือบาป

วรากรณ์  สามโกเศศ
21 กุมภาพันธ์ 2560

          “ปล่อยนก ปล่อยปลา” เป็นสำนวนไทยซึ่งหมายถึงการปล่อยให้เป็นอิสระ พ้นจากการผูกมัด หรือการไม่ถือสาหาความ ไม่เอาผิด คำพูดนี้มาจากสิ่งที่ชาวพุทธกระทำกันมาช้านานในการปล่อยนกปล่อยปลาเพื่อเป็นการทำบุญ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นโดยแท้จริงแล้วเท่ากับเป็นการทำบาปเพราะก่อกรรมทำเข็ญสัตว์

          ในสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้คลิปสั้น “ปล่อยนก บุญหรือบาป” แพร่กระจายในโลกโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ผู้เขียนได้ดูแล้วชอบมากเพราะมันตรงกับความคิดเห็นส่วนตัวที่มีมานาน คลิปนี้มีประโยชน์เพราะจะทำให้คนไทยตระหนักว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นมันตรงข้ามกับสิ่งที่เราตั้งใจอย่างน่าตกใจ

          คลิปสั้น ๆ นี้ถามว่าการให้อิสระภาพแก่นกที่ถูกจับมาเพื่อให้คน (จ่ายเงิน) ปล่อยนั้นคือการให้ซึ่งเสมือนการได้บุญหรือไม่ คำตอบก็คือมันมิได้เป็นการให้ หากเป็นการสร้างความทุกข์ทรมาน ทำให้ชีวิตพลัดพราก เกิดความตาย และนั่นคือบาป ถ้าไม่มีพิธีกรรมปล่อยนกกันก็ไม่มีใครจับนกมาใส่กรง ให้ปล่อย และบาปก็ไม่เกิดขึ้น

          ผู้ทำคลิปนี้คือสมาคมต่อต้านการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีคุณธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ นักธุรกิจใหญ่ใจบุญเป็นนายกสมาคม ซึ่งสมาคมนี้ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ 2557

          การปล่อยนกปล่อยปลาในสังคมพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่ว่าไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา ฯลฯ โยงใยกับเรื่องเล่าถึงผลบุญจากการให้ชีวิตของสามเณร ติสสะ ศิษย์ของพระสารีบุตร ผู้มีชะตาถึงฆาตใน 7 วัน แต่ด้วยอานิสงส์จากการช่วยปลาในสระน้ำที่แห้งขอดกับการปล่อยเก้งจากแร้วของนายพราน จึงทำให้หลุดพ้นจากชะตากรรม

          การให้ชีวิตในสังคมพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็มีเช่นกัน โดยผูกโยงกับ พระสูตร“สุวรรณประภาสสูตร” หรือ “กิมกวงเม้งเก็ง” ซึ่งเริ่มปรากฎในแผ่นดินจีนสมัยราชวงศ์เหลียงฝ่ายเหนือ (ค.ศ. 412-427) ดังนั้นการปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ฯลฯในวัฒนธรรมจีนจึงมีการทำกันอย่างกว้างขวาง

          สังคมปล่อยนกปล่อยปลาฃึ่งมีความสุขอิ่มอกอิ่มใจในผลบุญจากการปล่อยให้สัตว์เป็นอิสระเป็นมาอย่างช้านานจนเริ่มมีเสียงวิพากวิจารณ์จากกลุ่มผู้รักสัตว์ในโลกตะวันตก ในปี 2012 นิตยสาร Scientific American อันมีชื่อเสียงมีบทความเรื่องพิธีกรรมของชาวพุทธในเอเชียในการปล่อยนก ที่ทำร้ายชีวิตสัตว์ตามธรรมชาติ

          ข้อเขียนนี้บรรยายถึงชีวิตของชาวพุทธที่ชอบปล่อยนกยามเมื่อมีคนเจ็บไข้ มีทุกข์ มีเคราะห์ หรือสะสมบุญกุศล การกระทำนี้เรียกว่า “merit releases” (การปล่อยเพื่อให้ได้บุญ) ผู้เขียนได้ติดตามการปล่อยนกในกรุงพนมเปญอยู่ 13 เดือนจนได้ตัวเลขว่า ในแต่ละปีมีสัตว์ที่ผ่านการค้าเพื่อปล่อยในระดับท้องถิ่นนี้ไม่ต่ำกว่า 700,000 ตัว อีกทั้งพบว่ามีนก 57 พันธุ์ที่ถูกจับอยู่ในกรง หลายพันธุ์อยู่ในรายการที่ใกล้สูญพันธุ์ นี่เป็นเพียงสถิติจากเมืองเดียวเท่านั้น

          สำหรับฮ่องกงมีคนประเมินไว้ว่าในวัดพุทธที่ฮ่องกงทั้งหมดมีการปล่อยนกไม่ต่ำกว่าปีละ 580,000 ตัว ตัวเลขของเอเชียทั้งหมดไม่มีใครศึกษาไว้ว่ามีจำนวนเท่าใด แต่คาดว่าน่าจะเกิน 5-10 ล้านตัว ต่อปี ในบ้านเรานั้นมีอยู่ดาษดื่นในเกือบทุกวัดใหญ่ ๆ ที่มีงานบุญ ตัวเลขน่าจะเป็นนับล้านตัว ต่อปี หากใช้ตัวเลขจากพนมเปญเป็นฐาน

          ในบ้านเรากลุ่มนกกระติ๊ด(คล้ายนกกระจาบ)ซึ่งเป็นนกตัวเล็ก เป็นที่นิยมมากเพราะสามารถจับได้ครั้งละเป็นร้อยเป็นพัน ไม่กินพื้นที่กรงถึงแม้จะตายง่ายสักหน่อย วิธีจับก็คือใช้แหทอดในทุ่งนาตอนกลางคืนที่นกเหล่านี้นอนรวมกลุ่มกันบนพื้น เมื่อติดแหไนล่อนก็ต้องปลดแกะออก จำนวนหนึ่งก็จะตาย เมื่อขนส่งก็ตายอีก และเมื่อใส่กรงรอคนปล่อยก็ตายอีก เคยมีการคำนวณของสมาคมหนึ่งของไทยว่าจาก 100 ตัวที่ถูกจับมานั้น ที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนไปมีประมาณ 10 ตัว
The Institute of Supervising Animal Epidemic Control of Guangzhou ในจีนประมาณว่าร้อย 90 ของนกที่ใช้ใน merit releases ตาย

          ประการสำคัญก็คือการจับและฃื้อขายนกกระติ๊ดนั้นผิดกฎหมายอาญาเพราะเป็นสัตว์คุ้มครอง ทั้งผู้จับและผู้ค้ามีโทษทั้งปรับและจำ แต่เราก็เห็นการลักลอบทำธุรกิจนี้ซึ่งมีกำไรงดงาม ตัวหนึ่งได้ราคาปล่อยถึงตัวละ 30-50 บาท ต้นทุนตกประมาณ 5-10 บาท

          การ “ทำบุญ” เช่นนี้จึงเป็นการทำลายสัตว์ตามธรรมชาติ รบกวนวงจรชีวิตและความสงบสุขของมัน เป็นการทารุณสัตว์อย่างมิต้องสงสัย และสำหรับนกนั้นอาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของไวรัสสารพัดชนิดได้ (ที่ร้ายแรงคือไข้หวัดนก H5N1 )

          สัตว์อื่นที่ปล่อย เช่น เต่า หอยขม ปลาไหล ฯลฯ ก็อาจมิใช่การทำบุญเช่นกันเพราะหากปล่อยเต่าในน้ำเชี่ยวที่ไม่มีตลิ่งให้เกาะก็จะตาย หอยขมต้องอยู่ในที่ชื้นแฉะเช่นบึงคลองไม่ใช่แม่น้ำ ปลาไหลอยู่ไม่รอดในน้ำไหลแรง และปลาที่ซื้อจากตลาดและปล่อยในแม่น้ำก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะอาจช็อกในน้ำที่มีอุณหภูมิและสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากที่เคยเติบโตมาได้

          ถ้าไม่มีการซื้อ (จ่ายเงินเพื่อปล่อย) สัตว์ที่ถูกจับเหล่านี้มาก็จะไม่มีการจับมาเสนอขายอย่างแน่นอน เข้าทำนองดีมานด์สร้างสัพพลาย ลองจินตนาการว่าถ้าชาวพุทธทุกคนกระทำ merit releases ในรูปแบบอื่น (ปลดปล่อยอารมณ์โกรธ โลภ หลง หรือไม่บริโภคเนื้อสัตว์แทนการปล่อยสัตว์ที่ถูกจับมา) เราก็จะไม่เห็นการทารุณสัตว์ในวัดอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน

          การไถ่ชีวิตโคกระบือราคาสูงที่นิยมทำกันอย่างกว้างขวางก็เช่นกัน ผู้ที่รู้สึกอิ่มเอิบในบุญว่าได้ไถ่ชีวิตสัตว์แล้วนั้นเคยติดตาม ถามไถ่ หรือไปดูให้รู้แน่แก่ใจหลังจากนั้นหรือไม่ว่ายังมีชีวิตอยู่จริง อยู่ที่ไหนและมีความเป็นอยู่อย่างไร การได้ความอิ่มใจเพราะได้ไถ่ชีวิตโคกระบือแล้วโดยไม่ดูตอนจบนั้นไม่น่าถือว่าเป็นการทำบุญอย่างแท้จริง

          พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ได้สรุปเรื่องการทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ไว้อย่างเหมาะสมยิ่ง ดังข้อความต่อไปนี้

          “…….หากพิจารณาในเรื่องของบุญบาปตามหลักพุทธศาสนา เคยบอกว่าการทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ต้องทำด้วยจิตมุ่งเป็นกุศลจริง ๆ แต่ถ้านำสัตว์มาปล่อยแล้วอธิษฐานว่าสาธุ ขอให้การปล่อยนี้ ขอให้อายุยืน ขอให้ถูกหวย ขอให้หายซวย สิ่งนี้ถือว่าไม่เข้าเกณฑ์เพราะมีเจตนาเคลือบแฝง เป็นการปล่อยเขาเพื่ออยากให้เราดีขึ้น เพื่ออยากให้เราหายทุกข์ หายโศก หายซวย อย่างนี้มันไม่ใช่การทำบุญ แต่เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นการลงทุนทางจิตวิญญาณก็ได้ เพราะเจตนาจริง ๆ ไม่ได้ต้องการช่วยเหลือเขา แต่ต้องการช่วยตัวเองต่างหากโดยยืมชีวิตเขามาเป็นเครื่องมือ

          ถ้าท่านเมตตาจริง ๆ นะ ปล่อยให้นกอยู่บนฟ้า ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ปล่อยให้สัตว์ได้อยู่อย่างสัตว์ นั่นแหละคือการปล่อยนกปล่อยปลาที่แท้จริง…….”