พบขุมทรัพย์ภาพเขียนของนาซี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10 ธันวาคม 2556

          สงครามมิได้เพียงทำลายล้างชีวิตและความหวังของผู้คนเท่านั้น หากส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมขึ้นอีกมากมายหลายลักษณะไม่ว่าจะเป็นยึดครองอสังหาริมทรัพย์ การข่มขืน ข่มเหงรังแก การปล้นของมีค่า บีบบังคับซื้อของมีค่าในราคาต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยึดเอาผลงานศิลปะอันล้ำค่ามาเป็นของส่วนตัว

          เมื่อเร็ว ๆ นี้นิตยสาร FOCUS ของเยอรมันนีได้รายงานว่าทางการได้พบภาพเขียนอันเป็นศิลปะล้ำค่าจำนวนประมาณ 1,400 ชิ้น มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านยูโร (36,000 ล้านบาท) ซึ่งเข้าใจว่าเป็นสมบัติที่ยึดเอามาจากประเทศที่ถูกยึดครองสมัยสงครามโลกครั้งที่สองโดยนาซีเยอรมัน

          ทางการพบภาพเหล่านี้ในอพาร์ทเม้นท์ซอมซ่อแห่งหนึ่งในเมือง Munich โดยบังเอิญ ข่าวนี้สร้างความตื่นเต้นแก่ชาวโลกเพราะเป็นการพบสิ่งที่เข้าใจว่าถูกปล้นมาครั้งใหญ่ที่สุด และที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากก็คือทางการได้พบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ก่อนที่จะมีการเปิดเผยโดยสื่อ

          ภาพเขียนเหล่านี้เป็นของ Picasso / Chagall / Matisse / Nolde / Renoir / Toulouse-Lautrec/ Liebermann / Beckmann / Otio Dik ตลอดจนภาพเขียนประเภท Expressionism / Surrealism / Cubism ของจิตรกรมีชื่อหลายคน

          FOCUS รายงานว่าเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่พบภาพเขียนนี้คือชายในวัย 80 ปี ชื่อ Cornelius Gurlitt เป็นลูกชายของนักค้าศิลปะมีชื่อของนาซีสมัยสงครามชื่อ Hildebrandt Gurlitt ซึ่งเข้าใจว่าเก็บภาพเหล่านี้ไว้เป็นเวลากว่า 70 ปี และตัวเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1956 จากอุบัติเหตุรถยนต์

          การพบก็มาจากเหตุบังเอิญโดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่พบว่า Cornelius พกเงินสดติดตัวเป็นเงินถึง 9,000 ยูโรขณะโดยสารรถไฟระหว่างเมือง Zurich กับ Munich จึงเชื่อว่าเขาน่าจะกระทำผิดหลีกเลี่ยงภาษี เมื่อสอบสวนลึกขึ้นก็ไปค้นบ้านและพบภาพดังกล่าว ปัจจุบันทางการยังหาตัว Cornelius ไม่เจอ

          ในปลายปี 2011 หลังจากตกเป็นเป้าสงสัยเรื่องภาษี Cornelius ก็เอาภาพเขียนชื่อ The Lion Tamer ซึ่งเข้าใจว่าเป็นภาพที่หายไปของจิตรกรมีชื่อ Max Beckmann ออกมาประมูลขายอย่างเปิดเผย หลังจากนั้นมาไม่กี่เดือนทางการก็ค้นบ้านเขาจนพบภาพเขียนจำนวนมากมายดังกล่าวแล้ว

          สองคำถามสำคัญก็คือภาพเขียนเหล่านี้มาจากไหน และเหตุใดทางการเยอรมันนีจึงไม่เปิดเผยการพบครั้งสำคัญนี้แก่สาธารณชน แม้จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ระบุเป็นทางการว่าได้พบภาพเขียนใดบ้าง

          สำหรับคำถามแรกนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าในการยึดครองประเทศต่าง ๆ ในยุโรปของนาซีนั้นมีการยึดครองศิลปวัตถุอย่างกว้างขวางไม่เกรงใจผู้ใด มีการประเมินว่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนศิลปวัตถุในประเทศที่ถูกยึดครอง นาซีเป็นผู้ยึดเอาไป และถึงปัจจุบันก็มีไม่ต่ำกว่า 100,000 ชิ้น ซึ่งยังไม่ได้คืนให้แก่เจ้าของหรือทายาท

          บุคคลผู้มีความสำคัญในเรื่องนี้คือตัว Hitler เอง และ Hermann Goring เจ้าพ่อโฆษณาชวนเชื่อ Hitler นั้นตั้งใจจะเอาไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่จะตั้งในบ้านเกิดคือเมือง Linz ส่วน Goring นั้นเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวซึ่งประมาณว่าเป็นครึ่งหนึ่งของศิลปะวัตถุที่ยึดมา Goring ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลการยึดและรักษาศิลปะวัตถุเหล่านี้เป็นผู้มี
          บทบาทสำคัญที่สุดของอาชญากรรมใหญ่นี้ (เขาชิงกินยาพิษฆ่าตัวตายเสียก่อน หลังถูกศาลที่ Nuremberg ตัดสินให้แขวนคอ)

          ส่วนใหญ่ของสิ่งที่ยึดมาคือภาพเขียนสีน้ำมัน สีน้ำ ภาพสเก็ตช์ รูปปั้น ศิลปะวัตถุทางศาสนาและวัฒนธรรมต่าง ๆ การปล้นศิลปะของนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างกว้างขวาง ทำร้ายจิตใจผู้คนนับเป็นล้าน ๆ คนโดยเฉพาะชาวยิว

          สำหรับยิวนั้นไม่ได้ถูกยึดไปเพียงศิลปะวัตถุมีค่าเท่านั้น ระหว่างที่ปารีสถูกยึดครองนั้น ในปี 1942 วัตถุประสงค์ของนาซีก็คือการทำลายชนกลุ่มนี้ให้ย่อยยับด้วยการเอาของทุกอย่างในที่อยู่ของพวกยิวไปไม่ว่าจะเป็นอัลบั้ม ของเล่น ถ้วยโถโอชาม เครื่องใช้ไม้สอยประจำบ้าน ฯลฯ เรียกว่าเอาไปให้เกลี้ยงบ้านเพื่อให้ดำรงชีวิตปกติไม่ได้ นอกจากนี้ลักษณะการทำลายล้างแบบเดียวกันก็เกิดขึ้นในเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์

          ระหว่าง 1942-1948 คาดว่าไม่ต่ำกว่า 70,000 บ้านถูกกระทำเยี่ยงนี้ นาซีใช้รถไฟ 2,700 โบกี้ขนของไปเก็บไว้เพียงที่เมือง Hamburg แห่งเดียว นาซีแยกสิ่งของที่ได้มาออกเป็นส่วน ๆ เพื่อความสะดวกในการที่ทหารผู้ใหญ่นาซีจะได้มาเลือกเอาไปใช้

          สำหรับคำถามที่สองว่าเหตุใดทางการเยอรมันนีจึงไม่เปิดเผยจนเวลาเกือบ 2 ปีผ่านไป คำตอบก็คือการพิสูจน์ว่ารูปภาพ 1,400 กว่าภาพเป็นของใครจริง ๆ นั้นเป็นเรื่องยากและยุ่งยากมาก ทายาทเจ้าของภาพคงออกมายืนยันความเป็นเจ้าของกันมากมาย ปัญหากฎหมายจะมีไม่น้อยเพราะเยอรมันนีมีกฎหมายการครอบครอง 10 ปี ถือว่าเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Washington Principles ซึ่งรัฐบาลเยอรมันนีในปี 1998 มีข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการให้คืนของที่นาซีปล้นมาให้แก่เจ้าของ

          อย่างไรก็ดีเหตุผลสำคัญของการไม่เปิดเผยก็คือการเสียหน้าของคนเยอรมันแก่ชาวโลกในเรื่องการปล้นของมีค่าระหว่างสงครามซึ่งเป็นเรื่องที่อยากให้ลืม เยอรมันนีเองในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็มิได้กระตือรือร้นนักในการคืนศิลปะวัตถุมีค่าแก่เจ้าของ ผู้ได้ประโยชน์หลายคนจากโจรกรรมครั้งนี้หลุดรอดไปเป็นมหาเศรษฐีมากมาย อย่าลืมว่านักกฎหมายไม่ว่าผู้พิพากษา ทนายความ ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทางการ ก็ล้วนแต่เป็นนาซีเก่าแทบทั้งนั้น

          ทางการเยอรมันนีใช้เวลาเกือบ 2 ปี ในการแยกแยะภาพเขียนประมาณ 1,400 ภาพ โดย 590 ชิ้นมาจากเจ้าของเก่าที่เป็นยิวและถูกบังคับยึดมา 380 ชิ้น มาจากการยึดของนาซีไปจากพิพิธภัณฑ์ในเยอรมันโดยเหตุผลว่าเป็นรูปภาพสมัยใหม่ที่นำความเสื่อมมาสู่อาณาจักร ส่วนอีก 430 ชิ้นหรือกว่านั้นไม่เกี่ยวกับการปล้นของนาซีและไม่ใช่ศิลปะสมัยใหม่ที่ฮิตเลอร์อ้างว่านำความเสื่อมมาสู่เยอรมันนี

          การพบครั้งใหม่สุดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปัญหาการยืนยันความเป็นเจ้าของภาพและ การวิพากษ์วิจารณ์ความเลวร้ายของนาซีในอดีต (ซึ่งก็หนีภาพความเป็นเยอรมันนีไปได้ยาก) โดยชาวโลกในปัจจุบันซึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายสุด ๆ

          สงครามนำความเลวทรามชั่วร้ายและการเสียชื่อเสียงมาสู่มนุษยชาติเสมอ ไม่ว่ามันจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตามที