เรื่องสนุกของธนบัตร

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27 มกราคม 2558

          ธนบัตรเป็นสิ่งที่แปลกกว่ากระดาษทั้งปวง มันมีกลิ่นประจำตัวที่สามารถทะลุซองจดหมายได้ มีพื้นผิวที่ถึงจะหลับตาสัมผัสก็บอกได้ว่าเป็นธนบัตร ธนบัตรของประเทศใดก็ตามล้วนมีความงดงามในตัวจนเป็นที่น่าเชื่อถือ และประการสำคัญไม่มีใครโยนทิ้งไม่ว่าจะเก่าขาดรุ่งริ่งเพียงใดก็ตาม กระดาษประหลาดแผ่นนี้มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ

          เมื่อมนุษย์พัฒนาสมองขึ้นจนเริ่มรู้จักการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ขั้นตอนต่อมาก็คือการใช้สิ่ง “ของมีค่า” เป็นตัวแทนสินค้าที่แลกเปลี่ยนกันเพื่อความสะดวก สิ่งของที่ใช้กันก็ได้แก่เปลือกหอย เมล็ดโกโก้ และเหรียญโลหะเมื่อ 600-700 ปีก่อนคริสตกาล หรือเมื่อเกือบ 3 พันปีก่อน ทั้งในวัฒนธรรมอินเดีย จีน กรีก และโรมัน

          โลหะที่ใช้ก็มีมากมาย เช่น ทองแดง ดีบุก เงิน ทองคำ และพัฒนาขึ้นเป็นลำดับจนเป็นโลหะผสมหลากหลายชนิดที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ อย่างไรก็ดีน้ำหนักและขีดจำกัดมูลค่าของมันเป็นอุปสรรคจนทำให้เกิดธนบัตรขึ้นมาใช้ประกอบ

          นักประวัติศาสตร์พบว่ามีการใช้ธนบัตรเป็นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฮั่นประมาณ 118 ปีก่อนคริสตกาล (หลังพุทธกาลประมาณ 400 ปีเศษ) โดยใช้เป็นแผ่นหนัง ไอเดียก็คือธนบัตรเป็น “สัญญา” ว่าผู้ถือสามารถนำไปชำระหนี้ได้ เอาไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งมีค่าได้ดังที่ระบุไว้ใน ‘สัญญา’ ดังนั้นธนบัตรจึงมีค่าไม่ต่างไปจากเหรียญทองคำหรือเงินตราบที่ผู้ออกธนบัตรทำตามคำสัญญา

          จากแผ่นหนังมาเป็นกระดาษในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) โดยผู้ถือคือพ่อค้า แม่ขายในทุกระดับ ออกโดยผู้ซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือในเมืองต่าง ๆ พ่อค้าไม่ต้องแบกถุงเงินถุงทองหนักข้ามระยะทางไกล แต่รับเป็นธนบัตรแทน เมื่อถึงอีกเมืองหนึ่งก็เอาไปจ่ายและรับมา ธนบัตรรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งออกโดยหลายผู้มีอิทธิพลก็มีการยอมรับซึ่งกันและกันตราบที่ผู้ออกธนบัตรยังมีความน่าเชื่อถือ

          ธนบัตรกลายเป็นเอกสารที่ออกโดยรัฐบาลกลางอย่างถูกต้องตามกฎหมายใน ค.ศ. 960 ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ต่อมาเมื่อเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลกลางก็เลยกลายเป็นผู้ผูกขาดการผลิต “สัญญา” นี้หรือพิมพ์ธนบัตรแต่เพียงผู้เดียว

          ประโยชน์ก็คือรัฐบาลเสกอากาศมาเป็นเงินได้ เมื่อก่อนต้องมีเหรียญเงินเหรียญทองเป็นตัวตนจริง ๆ ให้ประชาชนใช้ คราวนี้แค่ผลิต “สัญญา” หรือกระดาษออกมาโดยใช้บล็อกไม้เป็นแม่พิมพ์ รัฐบาลกลางก็มีเงินใช้อย่างสบาย

          ธนบัตรในยุโรปเริ่มปรากฏตัวใน ค.ศ. 1661 ในสวีเดน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นผลพวงมาจากการกลับมาจากการเดินทางไปเอเชียและอยู่ในจีนรวมทั้งหมด 24 ปีของมาร์โค โปโล (มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1254-1324) มาร์โค โปโล เป็นคนเวนิส และไม่ใช่คนตะวันตกคนแรกที่ไปเอเชีย แต่เป็นคนแรกที่มีการบันทึกการเดินทางและสิ่งที่ได้พบเห็นไว้อย่างละเอียด สารพัด pasta ของคนอิตาลีในปัจจุบันก็เชื่อกันว่ามีที่มาจากเส้นก๋วยเตี๋ยวที่เขาเห็นในเมืองจีน ส่วนมะเขือเทศที่คนอิตาลีขาดไม่ได้ในปัจจุบันนั้นโดยแท้จริงแล้วเพิ่งบริโภคกันไม่เกิน 500 ปีเศษหลังจากที่โคลัมบัสนำมาจากทวีปอเมริกา พืชอื่นที่โลกเก่าคือยุโรปและเอเชียรู้จักหลังการเดินทางไปทวีปอเมริกาของโคลัมบัสก็คือข้าวโพด สาเก มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ

          ธนบัตรมีเรื่องสนุกหลายเรื่องดังต่อไปนี้ (1) นิตยสาร Discovery ฉบับ 1501 เมื่อไม่นานมานี้ระบุว่าร้อยละ 90 ของธนบัตรอเมริกันพบเศษของยาเสพติดโคเคนติดอยู่ ข้อเท็จจริงนี้ได้มาจากการพิสูจน์ธนบัตรจาก 17 เมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา สำหรับวอชิงตันดี.ซี. ซึ่งเป็นเมืองหลวงนั้นตัวเลขนี้สูงขึ้นไปถึงร้อยละ 95 การพบเศษโคเคนเช่นนี้มีความหมายอย่างไรคงไม่ต้องเดาต่อนะครับ

          (2) นอร์เวย์กำลังออกธนบัตรชุดใหม่ที่มีภาพและสัญญลักษณ์สะท้อนวัฒนธรรมนอร์เวย์โดยนำเสนอในรูปของศิลปะสมัยใหม่อย่างงดงามและล้ำหน้า ผู้คนเรียกกันว่า Kroner Creativity

          (3) ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกธนบัตรที่มิใช่กระดาษหากเป็น polymer (เป็นแผ่นพลาสติกบาง บ้านเราก็เคยใช้อยู่พักหนึ่งและเลิกไป) โดยออกในปี 1988 เป็นต้นมา ธนบัตรชนิดนี้คงทนอยู่นานกว่ากระดาษ 4 เท่าซึ่งช่วยลดต้นทุนและทำให้ปลอมได้ยากขึ้น อีกทั้ง รีไซเคิลได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ากระดาษที่มาจากต้นไม้

          (4) อังกฤษปัจจุบันมีการเปลี่ยนธนบัตรเงินปอนด์หลายมูลค่าอยู่เนือง ๆ โดยยกเลิกธนบัตรแต่ละมูลค่าไม่พร้อมกัน เข้าใจว่าเพื่อไม่ให้กลายเป็นสกุลสำคัญในการปลอมแปลงและไม่ให้แอบเก็บไว้โดยมีวัตถุประสงค์ที่ไม่สุจริต

          คนปลอมธนบัตรย่อมไม่อยากปลอมธนบัตรที่ต้องรีบใช้ให้หมดใน 4-5 ปี ต้องลงทุนแกะบล็อกเพื่อปลอมบ่อยทำให้ต้นทุนสูง ไม่มีใครอยากแอบเก็บไว้เพราะเมื่อธนบัตรหมดค่า หากจะใช้ต้องเปลี่ยนธนบัตรโดยเอาไปแลกเป็นธนบัตรใหม่ที่ธนาคารเท่านั้น คนที่เป็นโจรที่อยากแอบเก็บไว้ก็จะไม่ชอบเงินสกุลนี้อย่างแน่นอน

          ในทางตรงกันข้ามธนบัตรดอลล่าร์ของสหรัฐอเมริกาไม่เคยเปลี่ยนหน้าตามานานหลายทศวรรษ ทุกใบมีสีเขียวหมด ไม่ว่าร้อยเหรียญ หรือหนึ่งเหรียญ อย่างไรก็ดีการเป็นเงินสกุลหลักของโลกทำให้ไม่สามารถเลียนแบบการกระทำของเงินปอนด์ได้

          สุดท้ายมีชายผู้หนึ่งหากินโดยหัวใจสร้างสรรค์ เขาเขียนชื่อที่อยู่ด้วยหมึกสีแดงลงบนธนบัตรหนึ่งเหรียญสหรัฐที่ผ่านมือเขาในการใช้จ่ายทุกวันและเขียนว่า ‘กรุณาส่งธนบัตรใบนี้ให้ผมด้วย ผมยากจนมาก’ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาได้รับธนบัตรกลับมาทุกวัน ๆ ละประมาณสองเหรียญอย่างสม่ำเสมอ จนเป็นรายได้หลักของเขา พูดง่าย ๆ ทุกรายจ่ายที่ออกไปจากกระเป๋า มันจะหมุนกลับมาเป็นรายได้ให้เขา

          ธนบัตรโดยแท้จริงแล้วมันก็คือเศษกระดาษธรรมดา ๆ นี่เอง แต่ไม่มีใครทิ้งหรือหากตกอยู่ก็แย่งกันเก็บ บ้างก็ชอบเก็บไว้ที่บ้านเป็นหลาย ๆ สิบล้านเพราะต้องดมกลิ่นก่อนนอน ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะมั่นใจว่ามันมีค่าตามที่ระบุอยู่บนหน้าธนบัตรจนสามารถเอาไปใช้ต่อได้ไม่ว่าในการซื้อของ การออม หรือการชำระหนี้ ถ้าความเชื่อมั่นเช่นนี้หมดไปเมื่อใดมันก็กลายเป็นสิ่งรกบ้านทันที

          จำตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่เจ๊งไปเมื่อตอน ‘ต้มยำกุ้ง’ หรือจดหมายยืนยัน “ชิ้นส่วนรถยนต์” ของแชร์แม่ชม้อยได้ไหมครับ ธนบัตรที่ผู้คนหมดศรัทธาก็เข้าหรอบเดียวกัน

ดั๊ก ฮัมมาร์โชลด์ ตายอย่างน่าสงสัย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
20 มกราคม 2558

          สำหรับคนรุ่นผู้ใหญ่ Dag Hammarskjöld (DH ดั๊ก ฮัมมาร์โชลด์) เป็นชื่อที่คุ้นหูเพราะเป็นเลขาธิการสหประชาชาติที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่เมื่อ 50 กว่าปีก่อน บัดนี้ DH มีชื่อเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีคำขอร้องอย่างเป็นทางการให้เปิดการสอบสวนใหม่เพื่อชำระประวัติศาสตร์ที่คาใจคนสวีเดนมานานปี

          ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1961 ขณะที่ DH เดินทางไปเจรจาหย่าศึกระหว่างรัฐบาลคองโกกับผู้นำกบฏแบ่งแยกดินแดนแคว้นคาตังกาของสาธารณรัฐคองโก (Moise Tshombe) เครื่องบิน Douglas DC – 6 ก็ตกใกล้เมือง Ndola ใน North Rhodesia (ปัจจุบันคือ Zambia) ตัวเขาและอีก 15 คน เสียชีวิตทั้งหมด

          เครื่องบินตกครั้งนั้นสร้างความฉงนใจแก่ชาวโลกโดยเฉพาะชาวสวีเดนซึ่งรักใคร่และชื่นชมความสำเร็จของ DH เนื่องจากไม่อาจสรุปได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตก ถึงแม้จะมีการสอบสวนกันอีกถึง 3 คณะในเวลาต่อมาก็ตาม

          เจ้าหน้าที่อังกฤษผู้สอบสวนสรุปว่าเป็นความผิดพลาดของนักบิน แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาสนับสนุนได้อย่างชัดเจนว่าผิดพลาดอย่างไร

          บริบทของการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านจากการเป็นอาณานิคมสู่การเป็นประเทศอิสระของสาธารณรัฐคองโกก็คือการแย่งชิงผลประโยชน์ในบริเวณนั้น โรดิเชียเหนือเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ส่วนคองโกซึ่งอยู่ใกล้กันเป็นอาณานิคมของเบลเยี่ยมซึ่งมีแคว้นคาตังกาของสาธารณรัฐคองโกต้องการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นอีกประเทศหนึ่ง

          ในแคว้นนี้มีเหมืองยูเรเนียมซึ่งหลายบริษัทเหมืองของตะวันตกมีสัมปทานอยู่ กลุ่มนี้ต้องการสนับสนุนให้คาตังกาเป็นประเทศอิสระเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพวกตน การสู้รบระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนกับรัฐบาลรุนแรงจนสหประชาชาติต้องส่งกองกำลังไม่ติดอาวุธเข้าไปช่วย และจุดนี้ทำให้ DH เดินทางเข้าไปหย่าศึกจนเสียชีวิต

          DH เกิดใน ค.ศ. 1905 เสียชีวิตในขณะมีชีวิตเพียง 56 ปีเท่านั้น แต่ชีวิตคนเรานั้นมิได้มีแต่มิติความยาวเท่านั้น หากมีมิติความลึกด้วย DH เป็นลูกคนสุดท้องของนาย Hjalmar Hammarskjöld อดีตนายกรัฐมนตรีของสวีเดน ค.ศ. 1914-1917 เขาเรียนจบปริญญาตรีจาก Uppsala University ต่อมาจบกฎหมายและปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จาก Stockholm University

          DH ทำงานหลายตำแหน่งในฐานะข้าราชการสวีเดน ในธนาคารกลางและกระทรวงการคลัง เขามีบทบาทสำคัญในการจัดการ Marshall Plan ของฝ่ายพันธมิตรหลังสงคราม ต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีและหัวหน้าผู้แทนสวีเดนประจำสหประชาติก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นเลขานุการสหประชาชาติผู้มีอายุน้อยที่สุดคือ 48 ปี

          ผลงานของ DH ในช่วงเวลา 8 ปีที่เขาเป็นเลขาธิการสหประชาชาตินั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาเหย่าศึกใหญ่และย่อยในยุคสงครามเย็นในทวีปต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสราเอลและอาหรับ การเจรจาปล่อยนักบินอเมริกัน 11 คนในสงครามเกาหลีจากจีน ข้อขัดแย้งคลองซูเอซ ฯลฯ

          ในยุโรปปัจจุบันไม่ว่าสวีเดน เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ คานาดา สหรัฐอเมริกา หลายประเทศในอาฟริกา ฯ จะเห็นถนน สนามกีฬา โรงเรียน วิทยาลัยของมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ฯลฯ ในชื่อของ DH อยู่ไปทั่ว และนี่คืออนุสรณ์แห่งความรักและเตือนใจให้นึกถึงผลงานที่เขาทิ้งไว้ให้แก่ชาวโลก

          เมื่อเขาจากไปประธานาธิบดีจอห์น เคนเนดี้ กล่าวถึง DH ว่าเป็น ‘รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษ’ และ DH ได้รับรางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพซึ่งเป็นเพียงหนึ่งใน 3 คนเท่านั้นในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว (ปกติให้เฉพาะคนที่มีชีวิตอยู่) เพราะชื่อเขาได้รับการเสนอก่อนที่จะเสียชีวิต

          ตลอดเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมา การตายอันเรียกได้ว่าลึกลับของ DH คาใจคนสวีเดน อดีตประธานาธิบดีแฮรี ทรูแมน เคยกล่าวว่า “เขากำลังอยู่ในจุดที่กำลังจะทำบางอย่างสำเร็จในตอนที่พวกเขาฆ่าเขา (DH). ขอให้สังเกตที่ผมพูดว่า ‘ในตอนที่พวกเขาฆ่าเขา’”

          ในปี 2011 Göran Björkdahl ได้เขียนในหนังสือว่าเขาเชื่อว่า DH ถูกฆาตกรรมเพื่อช่วยพวกบริษัททำเหมือง เช่น บริษัท Union Minière เนื่องจากเขาไปขัดผลประโยชน์เมื่อนำกองกำลังสหประชาชาติเข้าไปช่วยแก้ไขวิกฤตคาตังกา ข้อสรุปนี้มาจากการสัมภาษณ์พยานหลายคนที่เห็นตอนที่เครื่องบินกำลังตกว่ามีเสียงระเบิดคล้ายถูกยิง ตลอดจนจากการศึกษาจากเอกสารเก่า ๆ ในยุคนั้น

          เมื่อเร็ว ๆ นี้สวีเดนได้ยื่นร่างญัตติขอให้สหประชาชาติตั้งคณะทำงานอิสระประเมินหลักฐานใหม่อีกครั้ง โดยขอให้ประเทศสมาชิกยอมเปิดเผยเอกสารลับที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อนเกี่ยวกับการตายของ DH โดยมุ่งไปที่เอกสารจากอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA_____National Security Agency)

          ชาวโลกมีสิทธิรับรู้เหตุการณ์เกี่ยวกับความตายของคนที่ทำงานรับใช้ชาวโลกเพื่อให้เกิดสันติภาพ ถึงแม้วันเวลาจะผ่านมากว่า 50 ปีแล้วก็ตาม

ยีราฟอาจสูญพันธุ์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
13 มกราคม 2558

          เปิดโทรทัศน์ดูสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ครั้งใดก็เห็นยีราฟทุกครั้งไปโดยเฉพาะหากเป็นภาพในสวนสัตว์ ภาพที่เห็นว่ามียีราฟอยู่ทุกแห่งหนนั้นลวงตาเพราะความจริงก็คือยีราฟกำลังจะ สูญพันธุ์

          จำนวนยีราฟทั่วโลกในขณะนี้มีประมาณ 80,000 ตัว เมื่อเทียบกับช้าง 440,000 ตัว ลิงกอริลล่า 100,000 ตัว สิงห์โต 23,000 ตัว และหมีแพนด้า 1,600 ตัว เมื่อ 15 ปีก่อนมีจำนวนยีราฟในโลก 140,000 ตัว ซึ่งหมายความว่าหายไปร้อยละ 40

          การมีจำนวนยีราฟมากเป็นอันดับสองรองจากสิงห์โตทะเล (sea lions) ในสวนสัตว์ทำให้ไม่เกิดการระแวดระวังจำนวนยีราฟที่ลดน้อยลงเป็นลำดับในป่าเพราะเมื่อเห็นมีอยู่ทั่วไปในสื่อจึงคิดว่ามีจำนวนมาก

          เมื่อพิจารณาลึกลงไปยีราฟมีอยู่ด้วยกัน 9 พันธุ์ กระจายอยู่ในทวีปอาฟริกาเท่านั้น โดยมีชื่อพันธุ์และจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันในวงเล็บดังต่อไปนี้ West African Giraffe (ต่ำกว่า 400 ตัว) / Thornicroft’s (ต่ำกว่า 550 ตัว) / Nubian (ต่ำกว่า 650 ตัว) / Kordofan (ต่ำกว่า 1,900 ตัว) / Reticulated (ต่ำกว่า 6,500 ตัว) / Rothchild’s (ต่ำกว่า 1,100 ตัว) / Angolan (ต่ำกว่า 20,000 ตัว) / South African (ต่ำกว่า 25,000 ตัว) และ Masai (30,000 ตัว)

          3 พันธุ์ยีราฟที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดว่าจะสูญพันธุ์ก็คือ 3 พันธุ์แรกข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธุ์ West African เหลืออยู่ต่ำกว่า 400 ตัว ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัตว์ขนาดใหญ่เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดในอาฟริกา

          สาเหตุของการสูญพันธุ์ก็ได้แก่ (1) พื้นที่ป่าและต้นไม้สำหรับยีราฟอยู่อาศัยลดน้อยถอยลงไปมากจนขาดอาหาร (2) มนุษย์บุกรุกเข้าไปในป่ามากทุกทีจนขาดที่อยู่อันเหมาะสมสำหรับยีราฟ (3) ถูกล่าเป็นอาหารเพราะเนื้อยีราฟมีรสหวานและเป็นที่นิยม อีกทั้งง่ายต่อการล่าเพราะความสูงทำให้สังเกตุเห็นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในบางกลุ่มของชาว Tanzania ว่าไขกระดูกและสมองของยีราฟสามารถรักษาโรคเอดส์ได้ อีกทั้งหัวและกระดูกสามารถนำไปขายได้ราคาดี

          เมื่อยีราฟป่าขณะนี้มีชีวิตเป็นของทุก ๆ คนเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ต่อเมื่อมันตายลงเพราะถูกล่า ซากของมันจึงจะเป็นของผู้ล่า อย่างนี้ยีราฟป่าจะเหลือมากได้อย่างไร มีคำกล่าวว่า “สมบัติของทุก ๆ คนคือไม่ใช่สมบัติของใครเลย” ซึ่งตรงกับกรณีของยีราฟป่าในปัจจุบันที่การบังคับใช้กฎหมายในป่าอาฟริกาหย่อนยาน จึงมีผู้ต้องการเป็นเจ้าของด้วยการล่าหรือจับมาเป็นของตนเอง ด้วยเหตุนี้จำนวนยีราฟจึงลดลงอย่างรวดเร็ว และหากไม่มีใครสนใจเรื่องการอนุรักษ์ยีราฟอย่างแท้จริงแล้ว เราอาจเห็นการสูญพันธุ์ของยีราฟในอนาคตใกล้ก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของ ยีราฟ 3 พันธุ์ดังกล่าวแล้ว

          ยีราฟเป็นสัตว์กินพืชโดยเฉพาะใบไม้และกิ่งอ่อน ๆ ที่อยู่บนยอดสูงกว่า 4 เมตร โดยเฉลี่ยกินวันละ 34 กิโลกรัม หากินอยู่ในทุ่งกว้าง ถึงแม้จะอยู่กันเป็นกลุ่มแต่ก็ไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน มีการเปลี่ยนข้ามย้ายกลุ่มกันแทบทุกวัน สมาชิกที่อยู่ใกล้กันมากที่สุดคือแม่และลูกยีราฟ อาจอยู่ด้วยกันนานเป็นอาทิตย์หรือเดือน

          มีการศึกษา 9 พันธุ์ของยีราฟและสรุปว่ามี 6 พันธุ์ที่อาจแยกออกเป็นสัตว์คนละพันธุ์ ย่อยได้ ยกเว้น 3 พันธุ์คือ Masiai / Angolan และ South African เนื่องจากมีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างออกไปและผสมพันธุ์กันเฉพาะในกลุ่มของตนเอง

          ถ้ามองให้ดี ๆ จะเห็นยีราฟแต่ละพันธุ์มีลักษณะไม่เหมือนกัน นับตั้งแต่สีและลาย บนตัวที่แตกต่างกันมีทั้งจุด แผ่นสี ลายเป็นตาราง ตั้งแต่สีส้ม สีน้ำตาล จนเกือบดำ ยีราฟทั้ง 9 พันธุ์ในปัจจุบันสูงประมาณ 5-6 เมตร โดยตัวผู้สูงกว่าตัวเมีย ตัวผู้หนักเฉลี่ย 1,200 กิโลกรัม และตัวเมียเฉลี่ย 800 กิโลกรัม

          ยีราฟท้องประมาณ 400-460 วัน มีลูกครั้งละ 1 ตัว (แฝดนั้นนาน ๆ เกิดสักหนึ่งครั้ง) แม่ยีราฟยืนคลอดโดยลูกที่เกิดใหม่สูงประมาณ 1.8 เมตร และภายใน 2-3 ชั่วโมงก็วิ่งได้และมีลักษณะไม่ต่างจากตัวอื่น ๆ ที่มีอายุ 1 อาทิตย์เลย แม่ยีราฟเป็นผู้เลี้ยงและดูแลลูกเองทั้งหมด โดยตัวผู้ไม่มีบทบาทใดในการช่วยเลี้ยงดูลูกยีราฟเลย (เอาไว้ประนามพ่อประเภทนี้ว่า ‘พ่อยีราฟ’)

          ยีราฟเป็นสัตว์ที่ไร้เดียงสาเพราะไม่มีเขี้ยวเล็บ จึงเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ เช่น สิงห์โต หมาไน ฯลฯ อยู่เป็นประจำ ถึงแม้มันจะมองเห็นภาพสี มีจมูก และหูที่ไวพร้อมทั้งวิ่งเร็วก็ตามดังที่เราเห็นกันในภาพยนตร์สารคดี

          มนุษย์ในทวีปอาฟริการู้จักยีราฟมาเป็นพัน ๆ ปีแล้วและถือได้ว่าเป็นสิ่งพิเศษของทวีปนี้โดยเฉพาะคนอียิปต์โบราณเลี้ยงยีราฟเป็นสัตว์เลี้ยงและใส่เรือส่งไปทั่ว คนกรีกและโรมันก็รู้จักยีราฟดีเช่นกัน (เชื่อว่ายีราฟเป็นลูกผสมของอูฐกับเสือลาย)

          จูเลียส ซีซาร์ เป็นผู้นำยีราฟตัวแรกมากรุงโรมเพื่อให้ประชาชนชมเมื่อ 46 BC และ ในศตวรรษต่อ ๆ มาคนยุโรปก็รู้จักยีราฟผ่านการค้ากับพวกอาหรับ

          ใน ค.ศ. 1414 ยีราฟตัวหนึ่งถูกส่งทางเรือจากเมือง Malindi ในอาฟริกาไป Bengal และส่งต่อไปจีนโดยนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่คือเจิ้ง เหอ และนำไปเลี้ยงไว้ในสวนสัตว์ของราชวงศ์หมิง คนจีนพากันมาดูด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดคอยาวอย่างนี้มาก่อน

          ยีราฟอีกตัวหนึ่งที่ฮือฮากันมากคือตัวที่ส่งมาทางเรือจากอียิปต์ถึงปารีสในต้นศตวรรษ ที่ 19 โดยเป็นของขวัญจาก Muhammad Ali แห่งอียิปต์ ถึงพระเจ้า Charles ที่ 10 แห่งฝรั่งเศส คนฝรั่งเศสแห่มาดูกันมากมายและตื่นเต้นไม่แพ้คนจีนเมื่อ 400 ปีก่อนหน้า

          การหลุดพ้นจากภาพลวงตาเรื่องยีราฟเท่านั้นที่จะทำให้การอนุรักษ์ยีราฟอย่างจริงจังเกิดขึ้นได้

Uber บริการแท็กซี่สมัยใหม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6 มกราคม 2558

          คำว่า Uber ได้ยินกันอยู่เนือง ๆ ในปัจจุบันอย่างน่าฉงน มันเป็นความคิดสร้างสรรค์เชิงธุรกิจอย่างน่าทึ่งมากเพราะสามารถทำเงินได้มหาศาลโดยลงทุนและเสี่ยงน้อยตราบที่มีระบบไอทีที่ใช้งานได้ดี

          Uber คือบริการรถแท็กซี่ทันใจผู้โดยสารโดยไม่มีรถเป็นของตัวเอง Uber เป็นบริษัทที่เปิดบริการใน 200 เมืองทั่วโลกรวมทั้งกรุงเทพมหานครและภูเก็ตด้วย ที่บ้านเรานี้แหละที่กำลังเป็นปัญหาเช่นเดียวกับเวียดนามและสิงคโปร์

          Uber ให้บริการแท็กซี่โดยรับสมัครรถยนต์ของบุคคลธรรมดาและคนขับเข้ามาเป็นเครือข่าย บริษัทจะตรวจสอบประวัติรถและคนขับและขึ้นทะเบียนไว้โดยไม่มีสติ๊กเกอร์ติดหน้ารถ เมื่อผู้โดยสารต้องการใช้บริการของ Uber ก็จะเข้าไปใช้ application ผ่านสมาร์ทโฟน เมื่อติดต่อบอกว่าจะไปที่ใดเวลาใด ราคาค่าโดยสารพร้อมกับรูปรถยนต์พร้อมทะเบียนรถก็จะปรากฏขึ้นบนมือถือ ถ้ายินดีรับบริการก็จะต้องโอนเงินจากบัญชีของตนเข้า Uber และรถก็จะมาให้บริการทันที

          คนขับรถแท็กซี่ให้ Uber จะไม่ได้สัมผัสเงินเลย การได้รับค่าโดยสารก็จะมาจากการโอนเงินจาก Uber เข้าบัญชีโดยมีการหักค่าธรรมเนียมไว้เรียบร้อยแล้ว เท่าที่ทราบจากคนขับ Uber หักไว้ร้อยละ 20

          รูปแบบการดำเนินธุรกิจเช่นนี้ถือได้ว่ามีความคิดสร้างสรรค์สูงเพราะไม่ต้องมีรถเอง ไม่ต้องดูแลรถยนต์ ไม่ต้องหาคนขับ ไม่ต้องกังวลเรื่องรถถูกขโมย หรือคนขับรถโกง ฯลฯ ทุกอย่างเป็นไปได้ดีด้วยระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพและด้วยค่าธรรมเนียมหรือค่าหัวคิว คนขับรถแท็กซี่ “สมัครเล่น” เหล่านี้ต่างทำงานให้ Uber โดยใช้เวลาที่รถว่างเอามาวิ่งหาเงิน เรียกว่าเป็นการใช้ทรัพยากรที่สูญเปล่าให้เป็นประโยชน์

          สิ่งที่เป็นประโยชน์เกิดขึ้นกับ Uber คนขับ ‘สมัครเล่น’ และผู้โดยสารที่ได้รับบริการทันใจและมีประสิทธิภาพ แต่ผู้ที่ไม่ได้รับประโยชน์ก็คือรถแท็กซี่ธรรมดาที่เสียโอกาสในการได้ผู้โดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Uber ทำผิดกฎหมายเพราะรถเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นรถรับจ้าง ไม่มีมิเตอร์ คนขับก็ไม่มีใบขับขี่รถรับจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฯลฯ ถึงแม้ธุรกิจของ Uber คือกิจกรรมเศรษฐกิจของ Digital Economy อันพึงส่งเสริมก็ตามที

          Uber ก่อสร้างขึ้นโดยบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง San Francisco โดยใช้ชื่อว่า UberCab นาย Travis Kalanick และ Garrett Camp ร่วมกันก่อตั้งในปี 2009 โดยเปิดบริษัทในปี 2010

          ปารีสเป็นเมืองแรกนอกสหรัฐอเมริกาที่ Uber ให้บริการในปี 2001 ตามมาด้วยเมือง โตรอนโตในคานาดา แพร่กระจายไปซิดนีย์ สิงคโปร์ และเมืองต่าง ๆ อย่างประสบความสำเร็จ

          Uber ให้บริการในกรุงเทพฯ ในเดือนกุมภาพันธ์และภูเก็ตเดือนพฤศจิกายนของปี 2014 สำหรับโฮจิมินห์ซิตี้เปิดบริการเดือนมิถุนายนและฮานอยตุลาคมของปี 2014 บริการ Uber ในสองประเทศนี้ผิดกฎหมาย แต่ทางการไทยมีปฏิกิริยาช้ากว่าเพราะเมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้ทางการไทยเพิ่งบอกว่า Uber ประกอบกิจการต่ออีกไม่ได้แล้วเพราะเป็นแท็กซี่ที่ผิดกฎหมาย

          ส่วนเวียดนามนั้นกำลังเริ่มพลิกตัวเพราะเห็นว่า Uber ผิดกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะห้ามหรือไม่ อย่างไรก็ดีในกรณีของเวียดนามนั้น Uber เพิ่งเข้าไป ส่วนไทยเข้าไปเกือบครบหนึ่งปีแล้วเพิ่งจะห้าม

          ความสำเร็จของ Uber นั้นเรียกได้ว่าอื้อฉาวพอควรเพราะเป็นบริษัทรถแท็กซี่ในรูปแบบของความคิดใหม่ที่มิใช่แบบที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นจึงไม่สอดคล้องกับกฎหมายในเกือบทุกประเทศที่ไปเปิดบริการ เฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศที่สามารถแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยทันการมี Uber

          ฝ่ายเสียประโยชน์ซึ่งได้แก่ผู้ขับแท็กซี่ปัจจุบันพยายามต่อต้าน Uber อย่างประสบผลสำเร็จมากน้อยแตกต่างกันไป อย่างไรก็ดีในเมืองใหญ่ของโลก Uber ก็ยังดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างแข็งขันและเงียบ ๆ เพราะผู้โดยสารพอใจ

          ถ้าพิจารณาและเจาะลึกลงก็จะพบว่าเฉพาะผู้โดยสารประเภทไฮเท็คที่ใช้สมาร์ทโฟนได้ อย่างคล่องแคล่ว (ไม่ใช่เฉพาะรับส่งไลน์ ส่งสติ๊กเกอร์ อีเมล์ ค้น google) เช่น สามารถใช้ application และโอนเงินข้ามบัญชี ฯลฯ เท่านั้นที่จะเป็นลูกค้า คนใช้แท็กซี่ที่ชอบโบกตาม ริมถนน (ทั้งชอบแซงและไม่แซงคิว) จะไม่เป็นลูกค้าของ Uber แน่นอน

          หาก Uber ขยายตัวในบ้านเราหลังจากมีการแก้ไขกฎหมายแล้วหรือแม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เถอะ ใครที่มีรถและจอดไว้โดยไม่ใช้บ่อย ๆ ต้องระวัง อาจมีมือดีเช่นญาติหรือคนขับรถแอบเอารถไปใช้เป็นรถ Uber โดยทำหน้าที่เป็นคนขับ ‘สมัครเล่น’ ได้ ถ้าโชคร้ายก็อาจเจอโจรแฝงมาจี้เอารถไปเพราะรถส่วนตัวมีทางโน้มที่จะอยู่ในสภาพดีกว่าและมียี่ห้อน่าจี้กว่ารถแท็กซี่ธรรมดาเป็นแน่

          โลกหมุนไปพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้นก็ย่อมมีรูปแบบการประกอบธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา Uber ดูจะขยับตัวเร็วกว่ากฎหมายและความคิดของคนโดยทั่วไป

          Uber สอดคล้องกับ Digital Economy ซึ่งใช้เทคโนโลยีไอทีช่วยในการประกอบกิจการทางเศรษฐกิจเพื่อความสะดวก ลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ (productivity) ลดความสูญเสียของทรัพยากร ฯลฯ แต่ก็ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย

Superfood ชื่อ Maca

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
30 ธันวาคม 2557

          โลกเอเชียกำลังบ้าคลั่งหัวพืชใต้ดินจากอเมริกาใต้ที่เชื่อกันว่าเป็นอาหารวิเศษทั้งเป็นยาและอาหารเสริมพละกำลังและแน่นอนครับในเรื่องเพศ

          ขณะนี้ประเทศเปรูกำลังปั่นป่วนเพราะเป็นแหล่งที่ผลิตหัวพืชใต้ดินที่เรียกกันว่า Maca ได้อย่างมีคุณภาพ คนจีนแห่กันไปซื้อจนราคาถีบตัวขึ้นไปถึงกว่า 10 เท่า โจรผู้ร้ายจี้ปล้นก็มากขึ้นเพราะเงินผ่านมือมหาศาลในแต่ละวัน และประการสำคัญไอ้หัว Maca มันยิ่งดังข้ามคืนขึ้นทุกที

          Maca มีหน้าตาคล้ายหัวกระเทียมแต่โตกว่า ผิวสีน้ำตาลมีลักษณะคล้ายหัวพืชใต้ดินทั่วไปคือแข็งแน่น กล่าวกันว่าชาวอินคา (Inca) ผู้มีอาณาจักรใหญ่โตมีวัฒนธรรมก้าวหน้าระหว่างต้นศตวรรษที่ 13 ถึง ค.ศ. 1572 ล่มสลายไปเพราะแพ้สงครามและถูกยึดครองโดยสเปนบริโภค Maca เป็นอาหารวิเศษมานานนับพันปี

          พวกบ้าคลั่ง Maca มีมากเป็นพิเศษในจีน เพราะอะไรที่เป็นยาโป๊คนจีนกินทุกอย่างไม่เคยลังเล ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่มีขา (ยกเว้นโต๊ะเก้าอี้) อะไรที่ว่ายน้ำ (ยกเว้นเรือดำน้ำ) อะไรที่บินในอากาศ (ยกเว้นเครื่องบิน และปัจจุบัน drones) ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไปถึงหมดด้วยความร่ำรวยสมัยใหม่

          เปรูซึ่งเป็นประเทศที่ส่วนใหญ่ของประชากร 31 ล้านคน เป็นคนพื้นเมืองอินเดียน (ลูกหลานชาวอินคานั่นแหละ) ซึ่งอุดมไปด้วยความยากจนต่างไปจากชิลีประเทศเล็ก ๆ (ประชากร 18 ล้านคน) ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ปกติบริเวณ Junin ในตอนกลางของเปรูก็อยู่กันมาอย่างสงบ เก็บรากหรือหัวของต้น Maca ซึ่งปลูกและขึ้นอยู่ในป่าเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000-5,000 เมตรขายต่างประเทศ แต่เมื่อคนจีนมีการศึกษาวิจัยและพบว่ารากหรือหัวใต้ดินของ Maca จากบริเวณ Junin นั้นมีคุณภาพดีกว่าที่อื่น ๆ ก็เฮโลกันมาซื้อเพื่อไปขายต่อ

          Maca มิได้เติบโตทุกแห่ง เฉพาะบนที่ราบสูงแอนดีสของเมริกาใต้ที่เย็นและมีดินแห้งแล้ง ซึ่งพืชอื่นทนอยู่ไม่ได้เท่านั้นที่ Maca โตได้ดี ต้น Maca มีใบกลมรีรูปไข่ มีหัวใต้ดินที่เก็บสะสมอาหารได้มากจึงเชื่อว่ามีสรรพคุณอันวิเศษ บำรุงร่างกาย ช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมนภายในร่างกาย ต้านทานอาการเมื่อยล้าอ่อนแรง กระตุ้นความกระปี้กระเปร่า เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย และประการสำคัญเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

          โลกตะวันตกตื่นตัวในเรื่องสรรพคุณของ Maca กันมากในปัจจุบัน สารคดีเรื่องราวของ Maca ปรากฏในรายการโทรทัศน์สำคัญ ปัจจุบันมีคนกำลังทำวิจัยกันทั่วโลกอย่างขะมักขะเม้นเพื่อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสรรพคุณที่เชื่อและกล่าวอ้างกันนั้นเป็นจริงหรือไม่

          คนเอเชียไม่คอยฟังผลทางวิทยาศาสตร์ ว่ากันว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2002 ที่เกาหลีและญี่ปุ่น สองประเทศนี้ต่างนำเอา Maca มาเป็นอาหารเสริมพลังของนักฟุตบอลทั้งสองทีม ซึ่งก็ไม่ไปถึงดวงดาวแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ตามคนจีนบางกลุ่มก็คลั่งไคล้ Maca กันสุด ๆ แบบเดียวกับกรณีของถั่งเช่าที่มาจากธิเบต

          ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Maca คือ Lepidium meyenii ในทางวิชาการถือว่าเป็นพืชสมุนไพร คนตะวันตกคนแรกที่นำเข้าสู่การแบ่งแยกพืชพันธุ์เชิงวิชาการก็คือ Gerhard Walpers ในปี ค.ศ. 1843 ถึงแม้ว่าชาวอินคาจะรู้จักมันนานนับพันปีแล้วก็ตาม

          การเผยแพร่สรรพคุณของ Maca ทำให้รัฐบาลเปรูห้ามส่งออก Maca ในรูปวัตถุดิบ ดังนั้นจึงมีโรงงานย่อยแปรรูป Maca เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อสนองตอบความต้องการของคนจีนและมีการลักลอบ Maca ดิบออกนอกประเทศมากเช่นเดียวกัน

          เพียงครึ่งปีแรกของปี 2014 มูลค่าการส่งออก Maca อย่างเป็นทางการไปจีนพุ่งขึ้นไปถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับตัวเลข 540,000 เหรียญของทั้งปี 2013 ราคาของ Maca ปัจจุบันตกประมาณปอนด์ละ 13 เหรียญ (10 เท่าของเมื่อต้นปีนี้) แต่ถ้าเป็น Maca ดำซึ่งหาได้ยากกว่าแล้วราคาสูงถึงประมาณปอนด์ละ 45 เหรียญ

          มีคนลักลอบเอาต้น Maca ไปปลูกในจีนแต่มิได้ผลดี Bolivia และพื้นที่ใกล้เคียงก็พยายามปลูก แต่ก็สู้บริเวณ Junin นี้ไม่ได้ การมีพื้นที่จำกัดในการปลูกและรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาสังคม ทางโน้มนั้นชัดเจนว่ากระแสการบูมของ Maca คงจะไม่หยุดง่าย ๆ และปัญหาที่เกิดตามมาก็ไม่หมดไปเช่นกัน

          ปัจจุบันโลกตะวันตกนำราก Maca ไปทำผงชงเป็นชา สะกัดสารเอามาเป็นยาบำรุง ในเว็บไซต์ของบ้านเรา ธุรกิจขายสารสกัดจากราก Maca เป็นไปอย่างคึกคัก มีการประชาสัมพันธ์ว่าเป็น superfood ป้องกันโรคมะเร็ง รักษาได้สารพัดโรค โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเพศ ราคาขายส่ง สารสกัด Maca มีตั้งแต่ 30-500 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งกิโลกรัม โดยมีผู้เสนอขายประมาณ 20 เจ้า

          มนุษย์พยายามหายาวิเศษกันมานานนับพันนับหมื่นปี ค้นพบกันหลายร้อยหลายพันขนาน Maca เป็นตัวใหม่ที่อยู่ในความสนใจของชาวโลกปัจจุบัน Maca จะมีประโยชน์แค่ไหนอย่างไร ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่จะทยอยออกมาในอนาคตอันใกล้เท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ

เล่าเรื่องเลือด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
23 ธันวาคม 2557

          มีหลายเรื่องเกี่ยวกับเลือดที่เราไม่รู้ เมื่อเร็ว ๆ นี้นิตยสาร Discover ได้เล่าเรื่องเลือดที่แปลกและน่าสนใจ วันนี้ขอนำบางส่วนมาเล่าต่อ

          เรื่องแรก ในปี 1901 Karl Landsteiner ได้พบว่าเลือดมนุษย์นั้นแบ่งออกได้เป็นหลายกรุ๊ป โดยสังเกตจากการแข็งตัวของเลือดเมื่อเอาเลือดแต่ละกรุ๊ปมาผสมกัน ต่อมาเขาแบ่งออกเป็นกรุ๊ป A, B, AB และ O และแต่ละกรุ๊ปแตกย่อยเป็น Rh+ และ Rh- ดังนั้นจึงแบ่งได้เป็น 8 กรุ๊ป

          อย่างไรก็ดีในทางการแพทย์มิได้มีการแบ่งเลือดในระบบ ABO เท่านั้น ในปัจจุบันมีระบบการแบ่งเลือดทั้งหมด 33 ระบบที่สมาคมถ่ายเลือดระหว่างประเทศ (International Society of Blood Transfusion) ยอมรับ ดังชื่อเช่น Lutheran, Duffy, Hh/Bombay, Rh ฯลฯ

          ในทางวิชาการแต่ละกรุ๊ปเลือดมีลักษณะของโมเลกุลที่ผิวของเม็ดเลือดแดงแตกต่างกัน ถ้าเลือดมีกรุ๊ปที่แตกต่างกันระหว่างผู้ให้และผู้รับเลือด ลักษณะโมเลกุลที่ไม่เหมือนกันจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันจนผู้รับตายได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของผู้รับจะโจมตีเลือดที่แปลกปลอม เข้ามา

          เรื่องสอง การมีกรุ๊ปเลือดเดียวกันก็มิได้หมายความว่าจะถ่ายเลือดให้กันได้เสมอไปเนื่องจากยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้างแต่ก็มีน้อยมากโดยเกิดขึ้นเฉพาะในบางชาติพันธุ์ การถ่ายเลือดกรุ๊ปเดียวกันโดยทั่วไปจึงมีโอกาสเป็นอันตรายน้อยมาก

          เมื่อ 2 ปีก่อนได้มีระบบที่แบ่งเลือดออกเป็น 2 กรุ๊ปคือ Junior Positive ซึ่งคนส่วนใหญ่ทั้งหมดในโลกอยู่ในกรุ๊ปนี้ กับ Junior Negative ซึ่งมีเฉพาะคนญี่ปุ่นประมาณ 50,000 คน เท่านั้น สำหรับคนเหล่านี้ต้องระวังการรับเลือดอย่างยิ่งเพราะเลือดของกลุ่มตนมีลักษณะพิเศษ ถ้ากรุ๊ปเลือดและลักษณะปลีกย่อยไม่ตรงกันอย่างแท้จริงแล้วผู้รับอาจตายได้

          เรื่องที่สาม ก่อนหน้าที่จะมีการค้นพบว่ามนุษย์มีกรุ๊ปเลือดที่ไม่เหมือนกัน แพทย์ที่ทดลองการถ่ายเลือดระหว่างมนุษย์กับสัตว์ก็ประสบปัญหาหนักหนาสาหัส เรื่องเล่าที่ตื่นเต้นก็คือในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1667 แพทย์ชื่อ Jean-Baptiste Denis ทดลองเอาเลือดวัวถ่ายมาใส่ตัวคนเพื่อรักษาโรคทางจิต

          หลังจากการทดลองครั้งแรกผ่านไป คนไข้ก็พออยู่รอดได้ แต่พอทดลองครั้งที่สองที่ถ่ายเลือดมากกว่าครั้งแรก คนไข้ก็อาเจียร ปัสสาวะเป็นสีดำ และบ่นว่าปวดไต หมอผู้มีความพยายามสูงมากคนนี้ (เพราะไม่ใช่ตัวเองที่เป็นหนูทดลอง) ทดลองอีกเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ได้เรื่องเพราะเป็นการทดลองครั้งสุดท้ายเนื่องจากคนไข้ตายสนิท

          หมอ Denis ถูกนำขึ้นศาลข้อหาฆาตกรรม แต่ก็หลุดรอดมาได้เมื่อมีหลักฐานพบว่าคนไข้มิได้ตายเพราะเลือดวัว หากตายจากการถูกวางยาพิษโดยใช้สารหนูเป็นตัวการ คนที่ลงมือก็คือกลุ่มเพื่อนหมอที่เห็นว่าการเอาเลือดสัตว์มาใช้เช่นนี้ผิดศีลธรรมและอันตรายมาก ดังนั้นจึงต้องให้แน่ใจว่าการทดลองของหมอ Denise ล้มเหลว

          เรื่องที่สี่ มิใช่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีเลือดหลายกรุ๊ป แมว ม้า วัว และสุนัขก็มีหลายกรุ๊ปเลือดเช่นเดียวกัน สุนัขมีมากกว่า 13 กรุ๊ปเลือด (เฉพาะ 4 กรุ๊ปเลือดคือ DEA, DEA4 และ DEA6 รวมกันจะพบในสุนัขประมาณร้อยละ 98)

          สำหรับแมวมี 3 กรุ๊ปเลือด แมวทั่วไปที่ไม่มีเพดดีกรี (แมวที่มีใบยืนยันการเป็น สายพันธุ์และพ่อแม่เป็นใคร) กว่าร้อยละ 87 อยู่ในกรุ๊ปเลือด A สำหรับม้ามี 8 กรุ๊ปเลือด และวัวมี 7 กรุ๊ปเลือด

          เรื่องที่ห้า สัตว์ประเภทแมลงที่กินเลือดรวมกันมีถึงประมาณ 14,000 ชนิด ที่เรารู้จักกันดีก็คือเรือดที่ชอบอยู่ในที่นอน นับแต่โบราณกาลแล้วที่เรือดเป็นศัตรูและสัตว์เลี้ยงบนเตียงของมนุษย์ สำหรับตัวอ่อนนั้นเมื่อกินเลือดคนแล้ว ตัวจะใสบวมเป่งเห็นเลือดแดงจนเป็นที่น่าขยะแขยง

          สำหรับสัตว์เลี้ยงเก่าแก่บนตัวมนุษย์ก็คือเหา และโลน ซึ่งอาศัยอยู่ในผมและขนบนร่างกายมนุษย์ มันมิใช่เพียงทำให้คันรำคาญเท่านั้น หากเป็นพาหนะนำเชื้อโรคอีกด้วย

          เลือดเป็นสิ่งที่มนุษย์มีความรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษเพราะรู้มาตลอดว่าอยู่ในร่างกายของเรา สีแดงของทุกเผ่าพันธุ์จึงมีความหมายไปในทางเดียวกันคือชีวิต เนื่องจากรู้ว่าตายได้หากเลือดไหลออกจากร่างกายไม่หยุด

          2,500 ปีก่อนคริสตกาลถึง ค.ศ. 1000 คือช่วงเวลาของความพยายามไขความลับ ของเลือด มนุษย์ยังไม่เข้าใจการทำงานของร่างกายมนุษย์ รู้แต่เพียงว่าเลือดมีความสำคัญต่อการ มีชีวิต สิ่งที่แปลกก็คือหลายวัฒนธรรมเห็นตรงกันว่าการเอาเลือดออกจากร่างกายคือการรักษาความเจ็บไข้ที่ได้ผล

          ในช่วง ค.ศ. 1000-1699 มนุษย์เข้าใจการทำงานของร่างกายตนเองดีขึ้น เรียกได้ว่าเป็นห้วงเวลาแห่งโลกใหม่ของวิทยาศาสตร์ มนุษย์ทดลองถ่ายเลือดระหว่างสัตว์กับสัตว์ และสัตว์กับคน ตอนสิ้นสุดของช่วงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้เรื่องเลือดดีขึ้นและสามารถนับ เม็ดเลือดแดงได้

          ค.ศ. 1700-1919 คือช่วงเวลาแห่งการค้นพบและบุกเบิกที่แท้จริงของมนุษยชาติ การถ่ายเลือดจากร่างมนุษย์ประสบความสำเร็จโดยจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการพบว่าเลือดมนุษย์แบ่งได้เป็นหลายกรุ๊ปของ Karl Landsteiner (4 ปีก่อนหน้าที่ Albert Einstein ตีพิมพ์บทความ Theory of Special Relativity) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ค.ศ. 1914-1918 การถ่ายเลือดให้คนบาดเจ็บได้กลายเป็นการรักษาปกติที่ประสบผลสำเร็จ

          ในช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1920-1949 นักวิทยาศาสตร์และแพทย์สร้างความก้าวหน้าให้วงการแพทย์อย่างรวดเร็ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองฝ่ายพันธมิตรมีการสะสมเลือดสำรองเพื่อช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บ การปฏิวัติการเก็บรักษาเลือดและการกระจายสัพพลายของเลือดไปยังสถานที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้

          ค.ศ. 1950-2002 เป็นช่วงเวลาแห่งการท้าทายครั้งใหม่ ถึงแม้การใช้ถุงพลาสติกบรรจุเลือดซึ่งเป็นการค้นพบใหม่จะช่วยลดการปนเปเชื้อจากภายนอก แต่ในเวลาต่อมาก็พบว่ามีเชื้อที่ติดมากับเลือดบริจาค เช่น ไวรัส HIV เชื้อตับอักเสบ อันเนื่องมาจากวิธีการตรวจสอบ ดังนั้นจึงเกิดแรงผลักดันให้เกิดวิธีการตรวจแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น จนในปัจจุบันการถ่ายเลือดปลอดภัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา

          ลิ้นมนุษย์คมกว่ามีดเพราะสามารถฆ่าคนได้โดยเลือดไม่ต้องไหล

สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมของปี 2014

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
16 ธันวาคม 2557

 

          ประดิษฐกรรมที่ตรงกับความต้องการของมนุษย์เปลี่ยนแปลงโลกเสมอ ในรอบปี 2014 มีหลายสิ่งประดิษฐ์ที่ “เข้าตา” ผู้ใช้อย่างน่าสนใจ

          ชิ้นแรก แน่นอนที่สุดก็คือเทคโนโลยี 3D ซึ่งพัฒนาการมายาวนานแต่ปรากฏตัวอย่างชัดเจนด้วยการพิมพ์สามมิติของสิ่งของหลากหลายมากขึ้น โดยปกติเรามีการพิมพ์สองมิติซึ่งก็คือการพิมพ์ภาพธรรมดาที่จับต้องไม่ได้ แต่เมื่อมี 3D เครื่องพิมพ์ซึ่งก็คือหุ่นยนต์ลักษณะหนึ่งก็สามารถ “สร้าง” สิ่งของที่เป็นตัวตนขึ้นมาได้ด้วยการพิมพ์หลายชั้นด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น แผ่นและเส้นพลาสติกนานาประเภท ใยกระดาษ โพลิเมอร์ ฯลฯ

          สิ่งของนี้ก็มีตั้งแต่รองเท้า ปากกา ของเล่นเด็ก แท่งช็อกโกแลต ของใช้ในบ้าน ฯลฯ โดยเครื่องพิมพ์ทำงานตามซอฟต์แวร์ ประโยชน์หลักก็คือการพิมพ์ต้นแบบของสินค้า ซึ่งจะนำไปผลิตอย่างเป็นกอบเป็นกำต่อไป

          ชิ้นที่สอง คนที่ต้องกินยาหลายขนานต่อวันปริมาณไม่เท่ากันต่อเนื่องบ้างเว้นบ้าง กำหนดที่ต้องเลิกก็ไม่ตรงกัน เป็นปัญหาปวดหัวมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ดูแลตนเอง จำได้บ้าง ลืมบ้าง การรักษาก็ขาดประสิทธิภาพ หรืออาจเพิ่มปัญหาต่อสุขภาพยิ่งขึ้น

          มีคนหัวแหลมเห็นปัญหานี้จึงรับเป็นผู้จัดยาให้ตามใบสั่งโดยส่งกล่องยามาให้ทุก 2 อาทิตย์ ในกล่องนี้ก็จะบรรจุเม็ดยาในถุงเล็ก ๆ ที่ต่อกันยาวม้วนอยู่ในกล่อง โดยแต่ละถุงก็มีเวลา ตลอดจนวันที่ซึ่งต้องกินยา ระบุไว้ชัดเจน ทุกวันก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ฉีกถุงยาข้างบนออกจากม้วน ดูวันที่และเวลา และก็กินได้เลย

          สำหรับครั้งต่อไปก็ดูเวลาและวันที่ซึ่งเขียนไว้บนถุงยาอันล่าสุดที่ยังไม่ได้กิน ฉีกออกมาและก็กินได้เลย โดยไม่ต้องคิดว่าถึงเวลานี้แล้วต้องกินอะไรหรือต้องเลิกกินแล้ว

          ไอเดียดี ๆ อย่างนี้ทำไมเราไม่คิดก่อนนะ ถ้าจะทำเองโดยเรียงใส่ถุงตามวันเวลาก็จะเกิดประสิทธิภาพในการรักษาและตำรวจไม่จับด้วย

          ชิ้นที่สาม การขี่จักรยานกำลังเป็นกระแสที่แรงในโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้จักรยานในการเดินทางในชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองต่าง ๆ เมือง Copenhagen ของสวีเดนติดอันดับ 2 ในโลกรองจาก Amsterdam ของเนเธอร์แลนด์ในเรื่องนี้ ดังนั้นการประดิษฐ์ล้อจักรยานวิเศษประหยัดแรงงานของผู้ขี่ยามขึ้นเขาจึงได้รับเกียรติเรียกว่า Copenhagen Wheel

          ล้อจักรยานมาตรฐานนี้ตรงดุมล้อตรงกลางเป็นแผ่นกลมประกบปิดสนิทโดยภายในมีมอเตอร์ซึ่งขับเคลื่อนโดยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟได้ ยามเมื่อขี่ขึ้นทางชัน sensors ก็จะส่งสัญญาณให้มอเตอร์ล้อหลังทำงานช่วยส่งพลังเพื่อให้ผู้ขี่สามารถเดินทางขึ้นทางที่ชันได้ หากต้องการ ผู้ขี่ก็สามารถใช้ application ผ่านโทรศัพท์มือถือสั่งให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เช่นกัน

          นอกจากนี้ sensors ก็จะรายงานสถานการณ์จราจร สภาพถนน (ฝนตกถนนลื่น มีหลุมบ่อ กำลังซ่อมแซม) ให้ผู้ขี่ได้ทราบเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อช่วยให้การ ขี่จักรยานสะดวกขึ้น

          มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่าเมื่อเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยมีความจำเป็นต้องปิดเสียง หากมีโทรศัพท์หรืออีเมล์ หรือข้อความจาก Line ซึ่งมาจากบุคคลสำคัญจะทราบได้อย่างไร ข้อความเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์มหาศาลหรืออาจเป็นโทษมหันต์หากไม่ตอบรับทันทีก็เป็นได้ ความจำเป็นต้องรู้เช่นนี้ทำให้เกิดประดิษฐกรรมชิ้นที่สี่ขึ้นมา

          ผู้ประดิษฐ์จึงตอบสนองโดยแหวนหรือกำไรหรือเครื่องประดิษฐ์อื่นที่สามารถมองเห็นได้มีไฟกระพริบทันทีที่มีข้อความจากบุคคลสำคัญเหล่านั้นเข้ามา ต่อไปนี้รับรองได้ว่าไม่อาจอ้างกับ เจ้านายได้อีกต่อไปว่าไม่ได้ตอบทันทีเพราะบังเอิญเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า

          ในทวีปอาฟริการ้อยละ 30 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มีความเสี่ยงที่จะตาบอดเพราะขาดวิตามิน A ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอวัยวะสำคัญนี้

          James Dale นักชีววิทยาด้านพันธุกรรมชาวออสเตรเลีย สังเกตเห็นความจริงนี้จากการเยือนอูกานดาในปี 2000 จึงเกิดไอเดียที่จะสร้าง Superbanana ขึ้นให้เด็กเหล่านี้บริโภคเพื่อป้องกัน ตาบอดจากการขาดวิตามิน A

          เด็กเหล่านี้โดยปกติก็มีกล้วยเป็นอาหารหลักในการดำรงชีพ (ไม่ได้ตั้งใจจะเบียดเบียนลิง แต่มันไม่มีอย่างอื่นที่จะกินดีกว่านี้สำหรับเด็กเหล่านี้) Dale จึงคิดว่าหากเขาทำให้กล้วยธรรมดากลายเป็น Superbanana ที่อุดมด้วยวิตามิน A เป็นพิเศษก็สามารถเอาชนะปัญหาด้

          Dale สร้างกล้วย GMO ซึ่งอุดมด้วยวิตามิน A สำเร็จ และจะเผยแพร่ในเร็ว ๆ นี้โดยวิธีแจกต้นกล้วยฟรีแก่ชาวบ้านโดยมีเงื่อนไขว่าหากให้ 10 ต้นฟรี ก็ต้องเอา 20 หน่อกล้วยไปแจกต่อยามเมื่อกล้วยที่ได้รับโตแล้ว และต้องให้ 10 ต้นฟรีต่อไปแก่คนอื่นภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน เขาเชื่อว่าในเวลาไม่นานจะมี Superbanana กระจายไปทั่วได้

          สิ่งประดิษฐ์ชิ้นสุดท้าย คือ การสร้างเครื่องเล่นสร้างสรรค์ซึ่งเชื่อมต่อการดูจอของ tablet กับการฝึกฝนมือและสมองในโลกจริง ไอเดียก็มีง่าย ๆ คือ ประดิษฐ์ tablet ที่มีกล้องจับภาพสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าเครื่องเป็นเบื้องต้น

          เมื่อซื้อ tablet จะได้ภาพชิ้นส่วนต่อเป็นรูปต่าง ๆ มาด้วย สมมุติเมื่อภาพเปิดซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนขึ้นบนจอ เด็กที่เล่นก็ต้องต่อชิ้นส่วนเป็นภาพเดียวกัน และเครื่องก็จะประเมินให้คะแนนเป็นกำลังใจแก่เด็ก

          ประดิษฐกรรมชิ้นนี้ช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ของเด็กเล็ก และส่งเสริมจินตนาการ ตลอดจนคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี

          ประดิษฐกรรมเหล่านี้มิได้มีไอเดียอะไรที่ซับซ้อน ทุกชิ้นเกิดจากความต้องการหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นความจำเป็นของมนุษย์ ตรงกับคำพูดในภาษาอังกฤษที่ว่า Necessity is the mother of invention ผมอยากจะแถมว่าผู้เป็นพ่อก็คือนักประดิษฐ์ผู้มีจินตนาการเหล่านี้

นักการทูตหญิงและจารชน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
9 ธันวาคม 2557

         เรื่องที่ฮือฮากันมากในวอชิงตันในปัจจุบันนอกจากความตกต่ำของความนิยมที่ประชาชนมีต่อประธานาธิบดีโอบามาแล้วก็คือเรื่องการทำผิดกฎหมายความมั่นคงเชิงจารกรรมของนักการทูตหญิงสหรัฐที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง

         การบุกเข้าตรวจสอบบ้านของเธอผู้มีชื่อว่า Robin L. Raphel ทำให้พบเอกสารลับของทางราชการหลายชิ้นที่ไม่ควรออกมาอยู่ข้างนอก เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อหน่วยจับจารชนของ FBI ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องนี้เพียงลำดับรองจากเรื่องการก่อการร้ายดักฟังการสนทนาของข้าราชการของปากีสถานโดยมีความว่ารัฐบาลรู้ความลับของอเมริกาหลายเรื่องจากการให้ข้อมูลของนักการทูตสหรัฐระดับสูง

         FBI หน่วยนี้จึงสืบสวนสอบสวนลงลึกหาเป้าที่เชื่อว่าเป็นคนทำก็ได้ชื่อนี้ขึ้นมาซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็น “แฟนคลับของปากีสถาน” มาตลอด และหลังจากเฝ้าติดตามดูอยู่ระยะหนึ่งจนแน่ใจก็บุกบ้านของเธอในปลายเดือนตุลาคม 2014 และพบเอกสารลับของทางการหลายชิ้นซึ่งผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงเข้าข่ายจารกรรมซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต (ในความเป็นจริงก็คือโทษจำคุกตลอดชีวิต)

         ทำไมเธอจึงอุกอาจเช่นนี้ทั้งที่มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นถึงหนึ่งในนักการทูตหญิงสหรัฐไม่กี่คนที่ไต่เต้าขึ้นมาจนได้การยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน จะเข้าใจเธอต้องดูประวัติของเธอ

         Robin Raphel ปัจจุบันอายุ 67 ปี เป็นคนรัฐวอชิงตันเช่นเดียวกับ Bill Gates เธอจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์และเศรษศาสตร์จาก University of Washington ที่มีชื่อเสียง ระหว่างที่เรียนเธอได้ไปศึกษาที่ University of London และเมื่อจบแล้วไปเรียนหนึ่งปีที่มหาวิทยาลัย Cambridge ในปี 1970 เธอเป็นครูในวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอิหร่านเป็นเวลา 2 ปี และกลับมาจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ที่ University of Maryland ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นเลิศอีกแห่งหนึ่ง

         เธอเริ่มงานราชการด้วยการเป็นนักวิเคราะห์ของ CIA และย้ายมาทำงานให้ USAID ในเมือง Islamabad ประเทศปากีสถานในฐานะนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ และต่อมาย้ายมาเป็น นักการทูต เธอทำงานหลายตำแหน่งในสถานทูตหลายแห่ง เช่น อังกฤษ อาฟริกาใต้ และอินเดีย

         ในปี 1993 ประธานาธิบดีคลินตันแต่งตั้งให้เธอเป็น Assistant Secretary of State (ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาของอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย ซึ่งมีทั้งเรื่องประชาธิปไตย การขยายตัวของการใช้ระเบิดปรมาณู พลังงาน การก่อตัวของกลุ่ม Taliban สิทธิผู้หญิง ความยากจน ฯลฯ

         เธออื้อฉาวเมื่อแสดงความเห็นในสาธารณะสนับสนุนปากีสถานในเรื่องข้อพิพาทแคว้นแคชเมียร์ซึ่งเป็นเรื่องรุ่มร้อนระหว่างอินเดียและปากีสถานมาเป็นเวลานาน Raphel เป็นที่ชื่นชอบของปากีสถานประเทศที่สามีคนแรกของเธอเป็นเอกอัครราชทูต ในช่วงสมัยคลินตันเธอได้รับผิดชอบงานสำคัญและทำได้อย่างดีในการสร้างความสัมพันธ์

         ระหว่างสหรัฐกับปากีสถาน และจุดนี้เองอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความพินาศของเธอ นั่นก็คือความรักใคร่ชอบพอปากีสถานเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเคยทำงานในสถานทูตประจำอินเดียมาก่อนก็ตาม ในสมัยที่สองของประธานาธิบดีคลินตันเธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำ Tunisia

         เธอประสบความสำเร็จในฐานะนักการทูตที่ทุ่มเทชีวิตให้แก่การทำงาน ต้องเสี่ยงชีวิตเดินทางไปเจรจาในดินแดนที่มีข้อขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา เธอมีส่วนช่วยให้ปากีสถานเป็นมิตรสำคัญของสหรัฐเพื่อ “กัน” สหภาพโซเวียตในสมัยสงครามเย็น จนกระทั่งได้เห็นการเป็นมิตรผิดใจกันในปัจจุบันของประเทศทั้งสอง สหรัฐปราบผู้ก่อการร้ายอย่างไม่เคารพอธิปไตยของปากีสถาน เช่น การบุกเข้าสังหารบินลาดินบนแผ่นดินปากีสถานโดยไม่บอกเจ้าบ้านแม้แต่น้อย หรือการใช้ drones (เครื่องบินเล็กที่ไม่มีคนขับ) เข้าพุ่งโจมตีจุดต่าง ๆ ในปากีสถานอย่างไม่เกรงอกเกรงใจอยู่เป็นประจำ

         Raphel เกษียณอายุในปี 2005 และรับจ้างทำงานล๊อบบี้ให้ปากีสถานก่อนที่จะกลับเข้ามารับงานในฐานะที่ปรึกษาของกระทรวงการต่างประเทศอีกครั้งหนึ่งเมื่อเหตุการณ์ในปากีสถานรุนแรงขึ้น และการกระทำความผิดเข้าข่ายจารกรรมก็เกิดขึ้นในตอนนี้เอง

         ในขณะนี้ FBI ยังไม่ตั้งข้อหา และไม่เปิดเผยเรื่องนี้โดยตรง หากปล่อยข่าวออกมาผ่านแหล่งข่าวในเรื่องการบุกค้นบ้าน อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะเธอได้จ้างทนายความที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้เป็นพิเศษเป็นตัวแทน

         ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องอาชญากรรมจารกรรมให้ความเห็นว่าการเอาแฟ้มความลับราชการกลับบ้านผิดกฎหมายแน่นอน แต่ที่ผ่านมาไม่มีการฟ้องดำเนินคดี ดังกรณี (ก) อัยการสูงสุด Alberto R. Gonzales เอาเอกสารเรื่องการแอบดักฟังทางโทรศัพท์ของราชการกลับบ้านในปี 2008 (ข) John M. Deutch ผู้อำนวยการ CIA ระหว่าง 1995-1996 เก็บข้อมูลลับของราชการไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่บ้าน (ถูกลงโทษตัด security clearance หรือสถานะของความเชื่อถือไว้วางใจได้ในเรื่องความมั่นคง) และ (ค) Samuel Berger ผู้เป็น National Security Advisor เอาเอกสารลับออกมาจากสถานที่เก็บกลาง (ยอมรับว่าทำผิดคดีอาญาระดับเล็กน้อยและยอมจ่ายค่าปรับ 50,000 เหรียญ ในปี 2005)

         ด้วยความหละหลวมเช่นนี้ FBI จึงทำงานอย่างแข็งขัน และ “เชือด” เธอให้ดูเป็นตัวอย่าง ถึงแม้จะยังไม่มีการตั้งข้อหาแต่ชื่อเสียงเธอที่สะสมมาก็หมดลงในสายตาประชาชน เรื่องเช่นนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นการทรยศที่รับไม่ได้

         ไม่มีใครรู้ว่าเธอทำลงไปเพราะเงิน (เธอเคยรับจ้างเป็นล๊อบบี้ให้ประเทศนี้) หรือเพราะความรักชอบเป็นพิเศษ หรือเห็นใจสถานะของปากีสถานที่สหรัฐตัดสัมพันธไมตรีที่เคยมีเป็นอย่างดีเพราะระแวงว่าบางส่วนของภาครัฐให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะกลุ่ม Taliban ลับ ๆ อีกทั้งยังมี จารชนสังกัดปากีสถานจำนวนหนึ่งในสหรัฐที่พยายามล้วงความลับของทางการ

         ในขณะนี้เธอถูกตัด security clearance และเลิกสัญญาจ้างเป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ใน “วงใน” ได้อีก เรียกได้ว่าไม่อาจทำงานเกี่ยวกับการต่างประเทศของภาครัฐอีกต่อไปเพราะเธอไม่เป็นคนที่ไว้วางใจได้เสียแล้ว

         ถ้าเธอมิได้ทำจารกรรมเพื่อเงินหรือเพื่อสนองตอบอารมณ์ ชีวิตเธอก็น่าสงสารมากที่ความละเลยเพิกเฉยไม่เอาใจใส่กฎเกณฑ์ที่ห้ามเรื่องการเอาเอกสารลับกลับบ้านทำลายเธอ แต่ใครจะเชื่อเธอเล่าที่คนมีตำแหน่งขนาดนี้ มีวุฒิภาวะระดับนี้ จะทำอะไรที่เขลาขนาดนั้นได้

         ความเชื่อถือว่าเป็นคนที่ไว้วางใจได้โดยสาธารณชนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งของคนที่ทำงานรับใช้ชาติ

อย่าให้ถูกลวงมากกว่านี้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 ธันวาคม 2557

          นอกจากมนุษย์จะถูกหลอกลวงโดยเพื่อนร่วมโลกผู้ไม่น่ารักแล้ว บ่อยครั้งที่ถูกลวงโดยตนเองอีกด้วยอย่างไม่รู้ตัว ลองมาดูเรื่องน่าสงสารเหล่านี้กัน

          เรื่องแรก คือการที่เราถูกลวงโดยตัวเลขเพราะคิดว่ามันเป็นตัวเลขดังที่ควรจะเป็นและถูกต้องแม่นยำ ตัวอย่างได้แก่ (ก) เรามักเชื่อถือตัวเลขพยากรณ์อุณหภูมิของเมืองหรือจังหวัดต่าง ๆ โดยลืมนึกไปว่าที่บอกว่าเชียงใหม่ร้อนสุด 30 องศา และเย็นสุด 15 องศา นั้น เขาวัดกันที่จุดใด อำเภอใด เวลาใด และเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นนั้นเขาวัดเวลาเดียวกันด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์เหมือนกันและวัดที่อำเภอใด

          อุณหภูมิอากาศของเชียงใหม่นั้นแปรผันไปตามความสูงของจุดที่วัดและวันเวลาของการวัด การบอกตัวเลขเดียวแทบจะไม่มีความหมาย ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นแล้วยิ่งไร้ความหมาย เพราะแค่องศาของเชียงใหม่ก็ไม่ค่อยมีความหมายมากนักอยู่แล้ว หากจะไปเปรียบเทียบจริงจังก็ถือว่าเลอะเทอะ

          (ข) สถิติตอนสงกรานต์บอกว่าอุบัติเหตุตายที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนต่ำมากจนได้รับรางวัล แต่โคราชนั้นสถิติสูงมาก ถ้าฟังแล้วไม่คิดก็ถูกหลอกอีกนั่นแหละ แม่ฮ่องสอนมีรถวิ่งน้อยดังนั้นโอกาสเกิดอุบัติเหตุย่อมมีน้อยเป็นธรรมดา ส่วนโคราชเป็นจังหวัดที่รถวิ่งผ่านไปจังหวัดอื่นกันมากมายตลอดวันและคืน สถิติอุบัติเหตุก็ย่อมมากเป็นธรรมดา ถ้าจะหาตัวเลขที่พอมีความหมายก็ต้องเป็นจำนวนอุบัติเหตุต่อกิโลเมตรของความยาวถนน และต้องคำนึงถึงที่ตั้งอีกด้วย สมมุติว่าแม่ฮ่องสอนมีระยะทางถนนเท่าโคราช แต่อยู่ห่างไกลจังหวัดอื่น ๆ แบบโดดเดี่ยว ก็จะต่างจากโคราชที่มีรถวิ่งขวักไขว่ สถิติอุบัติเหตุที่เห็นต่อกิโลเมตรก็ไม่อาจชี้ให้เห็นอะไรได้แม่นยำนัก

          เรื่องที่สอง คือความสำเร็จ เมื่อเห็นคนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหรือถูกหวยรางวัลใหญ่ก็ฝันอยากถูกอย่างเขาบ้าง ทุ่มเงินซื้อล็อตเตอรี่และแทงหวยหนักมือ โดยลืมนึกไปว่าตนเองกำลังถูกลวงตาโดยมองไม่เห็นคนอีกนับสิบล้าน ๆ คนที่ถูกกิน เพราะสื่อเขาลงข่าวแต่คนที่ประสบความสำเร็จ

          อยากเป็นนักร้องชื่อดัง นักดนตรีชื่อดัง เขียนหนังสือที่ตีพิมพ์นับสิบ ๆ ครั้ง เป็นนักฟุตบอลชั้นยอด ฯลฯ มนุษย์อยากเป็นและมักเห็นแต่คนที่ประสบผลสำเร็จโดยไม่ได้เห็นคนอีกมากมาย หนังสืออีกหลายร้อยหลายพันเล่มที่พิมพ์หนเดียวหรือไม่ได้พิมพ์เพราะผู้ตั้งใจจะเป็นนักเขียนเพียงแต่ฝันแต่มิได้ลงมือ การถูกลวงเช่นนี้อาจทำให้ตัดสินใจชีวิตผิด ๆ เช่นลาออกจากงานเพื่อมาสานฝันที่คิดว่าอยู่ใกล้ ๆ โดยหารู้ไม่ว่าความเป็นไปได้ในการประสบความสำเร็จต่ำกว่าหนึ่งในพันหรือหมื่น

          เรื่องที่สาม คือความเชื่อ มนุษย์โดยทั่วไปนั้น “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” เฉพาะคนมีปัญญาเท่านั้นที่หลุดพ้นจากการถูกลวงนี้ไปได้ในระดับหนึ่ง ความเชื่อของคนจำนวนมากไม่ใช้เหตุใช้ผล ผู้เขียนเคยพบนักวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกที่เชื่ออย่างจริงจังว่ามีพญานาคอยู่ใต้แม่น้ำโขงจนปล่อยควันขึ้นมาทุกปีตรงกับเวลาที่นักท่องเที่ยวนั่งเฝ้าดูอยู่บนอัฒจรรย์ ถ้าคนมาดูกันช้าก็ปล่อยช้าอย่างตรงใจผู้ดูอีกด้วย ปัจจุบันมีทีมสื่อพิสูจน์แล้วว่าควันนั้นมาจากปืนที่ยิงมาจากฝั่งลาวอีกซีกของแม่น้ำโขง และชาวบ้านบริเวณนั้นเขาทำกันอย่างนี้มานับสิบปีแล้ว

          มนุษย์ทั่วไปมักโดดเข้าเชื่อว่าหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้ดี เมื่อเชื่อไปแล้วไม่ว่าใครต่อใครจะบอกว่าไม่ดีก็โยนหลักฐานเหล่านั้นว่าไม่ดีทิ้งหมด เลือกรับไว้แต่คำชมหรือหลักฐานที่สนับสนุนว่าดีตามความเชื่อ แต่เมื่อนานเข้าผู้คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันมากเข้าว่าองค์นี้ไม่ดีจริง ๆ คราวนี้ถึงตนเองจะรู้แล้วว่าหลงผิดแต่ก็ไม่ยอมถอยเพราะยอมรับว่าผิดไม่ได้ ดื้อดึงเดินหน้าเชื่อต่อไปอย่างไม่มีเหตุ มีผล

          ในเรื่องความรัก เมื่อรักแล้วควันเข้าตา มองเห็นว่าสุดน่ารัก อะไร ๆ ก็ดีไปหมดเพราะตนเองเชื่ออย่างที่ตนเองต้องการจะเชื่อ มิใยที่ใครบอกว่าไม่ดี ก็เดินหน้ารักต่อไปและยอมรับแต่หลักฐานที่ยืนยันสิ่งที่ตนเองเชื่อ

          บางคนเกิดปัญหาเอามาก ๆ ตลอดชีวิตต้องอกไหม้ไส้ขมก็เพราะเผชิญกับปัญหาที่มาจาก “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” อย่างน่าสงสาร โบราณจึงบอกว่าคนที่หลอกเราได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือตัวเราเอง

          ถ้าท่านไม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” มีจริง ก็ลองหันไปส่องกระจกดูตัวเองและมองลูกและหลานตนเองดูก็ได้ ก็จะพบว่าจะหาใครในโลกที่มันดูดีหาข้อตำหนิแทบไม่ได้เท่าตนเองเป็นไม่มี และจะหาใครน่ารักเท่าลูกหลานเรายากหนักหนา

          เรื่องที่สี่ คือทัศนคติ การมีทัศนคติก็คล้ายกับการใส่แว่นสี ตราบที่ใส่แว่นสีเขียวก็จะมองเห็นโลกเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นการลวงตาลักษณะหนึ่ง ถ้าบังเอิญเป็นแว่นสีที่สว่างเย็นตา โลกสำหรับผู้ใส่ก็จะสดใสงดงาม มองเห็นโลกเป็นบวก แต่ถ้าใส่แว่นสีอุบาทว์ที่ใส่แล้วรุ่มร้อน มองไปทางไหนก็จะไม่สบใจ มองเห็นโลกเป็นลบไปหมด จิตใจว้าวุ่น

          หาความสุขไม่ได้เพราะคน อื่น ๆ ย่อมมีปฏิกิริยาที่ไม่เป็นคุณต่อความเป็นลบของเขาเสมอ

          ถูกคนหลวกลวงยังไม่น่าเจ็บใจเท่ากับตัวเองลวงตัวเองเพราะความไม่เข้าใจความจริงของโลกและไม่ซึ้งกับความเป็นจริงของธรรมชาติมนุษย์

Adam คืนสู่ความงดงาม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
25 พฤศจิกายน 2557

          ในเย็นวันหนึ่งของปี 2002 รูปแกะสลักหินอ่อนทรงคุณค่ามหาศาลมีอายุประมาณ 500 ปี ล้มคว่ำลงกับพื้น แตกออกเป็นท่อน ๆ คอหัก แขนหัก อย่างยับเยิน เรื่องนี้น่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการศิลปะของโลก อย่างไรก็ดีเวลาผ่านไป 12 ปี บัดนี้รูปปั้นนั้นได้กลับมาเป็นรูปร่างสมบูรณ์อย่างงดงามอีกครั้ง

          รูปปั้นนี้มีชื่อว่า Adam เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว ที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก Adam มนุษย์คนแรกของโลกมือหนึ่งถือลูกแอปเปิ้ล ข้าง ๆ เป็นเสาสูงถึงโคนขา มีเถาองุ่นและงูพัน มือข้างหนึ่งของ Adam จับคองูตัวนี้

          ท่านผู้อ่านอย่าสับสนกับรูปปั้น David อันเลื่องลือของ Michelangelo ที่เป็นหินอ่อนแกะสลักเหมือนกัน เป็นชายยืนเปลือยเหมือนกัน แต่ David เปลือยหมดจดเห็นอวัยวะเพศและมือหนึ่งถือผืนผ้า ส่วน Adam ยังมีใบไม้ปิด

          ทั้งสองรูปปั้นสร้างขึ้นห่างกันไม่กี่ปี Adam สร้างขึ้นประมาณ ค.ศ. 1490-1495 ส่วน David ประมาณ ค.ศ. 1501-1504 รูปปั้นทั้งสองมีความละม้ายคล้ายกัน จะว่าไปแล้วผลงานอันลือชื่อของ Michelangelo ซึ่งเกิดทีหลัง อาจได้รับแรงบันดาลใจจาก Adam ด้วยซ้ำ

          Michelangelo เป็นคนร่วมสมัยกับ Leonardo da Vinci คนแรกดังในเมือง Florence ส่วน Leonardo Da Vinci ดังในเมือง Rome ส่วนคนที่สร้าง Adam นี้ก็มีฝีมือเยี่ยมมากเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบันเท่าสองคนแรก (ในโลกปัจจุบัน Da Vinci ดูจะโด่งดังกว่าจากรูปภาพ Mona Lisa ทั้ง ๆ ที่ Michelangelo มีฝีมือทั้งแกะสลักและภาพเขียนมากชิ้นกว่า)

          คนสร้าง Adam ก็คือศิลปินชื่อ Tullio Lombardo แห่งเมือง Venice (ในยุคนั้น Venice / Rome / Florence เป็นสาม “อาณาจักร” ที่แข่งขันกัน ยังไม่ได้ถูกรวมไว้ในประเทศเดียวกัน) เขาถูกจ้างให้แกะสลักรูปปั้น Adam สำหรับประดับในอนุสรณ์สถานซึ่งเป็นที่ฝังศพ The Doge Andrea Verdramin ซึ่งอยู่ในบริเวณโบสถ์ชื่อ Santa Maria Dei Servi ของเมือง Venice

          Adam เป็นรูปแกะสลักชายเปลือยกายชิ้นแรกนับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ในยุคนั้นมีการบันทึกถึงเรื่องความงดงามของรูปแกะสลักต่าง ๆ ของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ Adam ถูกวางไว้ตรงกลางใกล้ที่เก็บศพโดยมีรูปแกะสลักของ Eve ยืนอยู่คู่กัน (เป็นผลงานของ Francesco Segala)

          ในปี 1891 โบสถ์หลังนี้ถูกรื้อทิ้งไปเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกดดันกลุ่มศาสนาต่าง ๆ ของนโปเลียน โบนาปาร์ต ในการนี้หลุมศพดังกล่าวซึ่งเรียกกันว่า Verdramin Tomb หลุดรอดจากการถูกทำลายโดยย้ายไปไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อว่า Santi Giovanni el Paolo ส่วนรูปแกะสลัก Adam และ Eve ถูกย้ายไปไว้ที่ Palazzo Verdramin Calergi จนถึง ค.ศ. 1865

          สิ่งที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. นี้ก็คือเจ้าของสถานที่ประมูลขายรูปแกะสลักหินอ่อนส่วนใหญ่ไปหมด นักสะสมศิลปะคนหนึ่งซื้อ Adam ไป และหลังจากตายในปี 1932 ก็ผ่านไปอีกสองมือ จนในที่สุดMetropolitan Museum of Art ซื้อไปในที่สุดในปี 1936 และอยู่ที่นี่มาจนเกิดอุบัติเหตุล้มคว่ำลงไปในปี 2002 ดังกล่าวแล้ว (Eve ยังคงอยู่ที่ Palazzo Verdramin Calergi ตราบถึงทุกวันนี้)

          สาเหตุแห่งการคว่ำลงมาของ Adam ก็คือวางไว้ไม่ดีบนแผ่นไม้ซึ่งต้องรองรับน้ำหนักถึงประมาณ 350 กิโลกรัม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ซึ่งมีชื่อเสียงมากถูกวิจารณ์ในเรื่องความสามารถในการดูแลรักษาศิลปะวัตถุชิ้นที่งดงามนี้ ซึ่งมีผิวหินอ่อนขัดมันราบเรียบ รอยแกะสลักหน้าและผม กล้ามเนื้อต่าง ๆ ชัดคมงดงาม

          Metropolitan Museum of Art ตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ก เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และเป็น 1 ใน 10 ที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีงานศิลปะอยู่ถึง 2 ล้านชิ้น ในแต่ละปีมีผู้เข้าชมประมาณ 6 ล้านคน พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ภาคภูมิใจใน Adam มาก (แต่ทำไมดูแลแย่จัง?) ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อเอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มา

          ประกอบกันให้เหมือนเดิมโดยตลอดเวลา 12 ปี ของการทำงานไม่ค่อยเปิดเผยการทำงานต่อสาธารณชน (จนเคยมีข่าวลือว่า Adam แตกจนไม่สามารถประกอบใหม่ได้แล้ว) ล่าสุดประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าพร้อมแล้วที่จะเปิดให้สาธารณชนเข้าชม โดยมั่นใจว่าเฉพาะผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ เท่านั้นจึงจะบอกได้ว่ารูปแกะสลักนี้เคยแตกหักยับมาก่อน

          การเอาชิ้นส่วนมาประกอบกันแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียงวิจารณ์ นักศิลปะบางกลุ่มมีความเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรไปประกอบขึ้นมาใหม่ดังเช่นกรณีของรูปแกะสลัก Aphrodite of Milos หรือที่รู้จักกันในชื่อ Venus De Milo (รูปแกะสลักหญิงงามไม่มีแขนเพราะหักไปนานแล้ว)

          เหตุที่ใช้เวลาถึง 12 ปีก็เพราะต้องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุดมาใช้ในงานประกอบ มีการสร้างภาพเสมือนของ Adam ก่อนที่จะแตกหักโดยใช้เทคโนโลยี 3D (ปั้น Adam ขึ้นจริงโดยใช้เทคโนโลยีที่ทำให้ได้รูปปั้นเหมือนของจริงทุกประการเพื่อประกอบชิ้นส่วนที่แตกกลับมาให้เหมือนที่สุด) การใช้วัสดุใหม่เป็นหมุดตอกชิ้นส่วนเพื่อให้แข็งแรงที่สุดและมองไม่เห็น ตลอดจนใช้เทคโนโลยีขัดผิวหินอ่อนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ฯลฯ

          พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ยอมให้ใครเห็นภาพถ่ายของ Adam ตอนที่แตกเป็น 28 ชิ้นใหญ่กับ เศษละอองหินเล็ก ๆ เป็นอันขาด เพราะเกรงว่าภาพนี้จะติดตาจนไม่สามารถนำความรู้สึกที่ผูกพันกับรูปแกะสลักกลับมาได้เมื่อการประกอบสมบูรณ์แล้ว

          เรื่องเล่านี้คือตัวอย่างหนึ่งแห่งการหวงแหน ‘ความมีวัฒนธรรม’ ของมนุษยชาติ มิใช่เป็นเพียงการเอาเศษหินแตกมาประกอบกันเป็นรูปแกะสลักเก่าอันงดงามของศิลปินชาวเวนิสแต่อย่างใด