Uber บริการแท็กซี่สมัยใหม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6 มกราคม 2558

          คำว่า Uber ได้ยินกันอยู่เนือง ๆ ในปัจจุบันอย่างน่าฉงน มันเป็นความคิดสร้างสรรค์เชิงธุรกิจอย่างน่าทึ่งมากเพราะสามารถทำเงินได้มหาศาลโดยลงทุนและเสี่ยงน้อยตราบที่มีระบบไอทีที่ใช้งานได้ดี

          Uber คือบริการรถแท็กซี่ทันใจผู้โดยสารโดยไม่มีรถเป็นของตัวเอง Uber เป็นบริษัทที่เปิดบริการใน 200 เมืองทั่วโลกรวมทั้งกรุงเทพมหานครและภูเก็ตด้วย ที่บ้านเรานี้แหละที่กำลังเป็นปัญหาเช่นเดียวกับเวียดนามและสิงคโปร์

          Uber ให้บริการแท็กซี่โดยรับสมัครรถยนต์ของบุคคลธรรมดาและคนขับเข้ามาเป็นเครือข่าย บริษัทจะตรวจสอบประวัติรถและคนขับและขึ้นทะเบียนไว้โดยไม่มีสติ๊กเกอร์ติดหน้ารถ เมื่อผู้โดยสารต้องการใช้บริการของ Uber ก็จะเข้าไปใช้ application ผ่านสมาร์ทโฟน เมื่อติดต่อบอกว่าจะไปที่ใดเวลาใด ราคาค่าโดยสารพร้อมกับรูปรถยนต์พร้อมทะเบียนรถก็จะปรากฏขึ้นบนมือถือ ถ้ายินดีรับบริการก็จะต้องโอนเงินจากบัญชีของตนเข้า Uber และรถก็จะมาให้บริการทันที

          คนขับรถแท็กซี่ให้ Uber จะไม่ได้สัมผัสเงินเลย การได้รับค่าโดยสารก็จะมาจากการโอนเงินจาก Uber เข้าบัญชีโดยมีการหักค่าธรรมเนียมไว้เรียบร้อยแล้ว เท่าที่ทราบจากคนขับ Uber หักไว้ร้อยละ 20

          รูปแบบการดำเนินธุรกิจเช่นนี้ถือได้ว่ามีความคิดสร้างสรรค์สูงเพราะไม่ต้องมีรถเอง ไม่ต้องดูแลรถยนต์ ไม่ต้องหาคนขับ ไม่ต้องกังวลเรื่องรถถูกขโมย หรือคนขับรถโกง ฯลฯ ทุกอย่างเป็นไปได้ดีด้วยระบบไอทีที่มีประสิทธิภาพและด้วยค่าธรรมเนียมหรือค่าหัวคิว คนขับรถแท็กซี่ “สมัครเล่น” เหล่านี้ต่างทำงานให้ Uber โดยใช้เวลาที่รถว่างเอามาวิ่งหาเงิน เรียกว่าเป็นการใช้ทรัพยากรที่สูญเปล่าให้เป็นประโยชน์

          สิ่งที่เป็นประโยชน์เกิดขึ้นกับ Uber คนขับ ‘สมัครเล่น’ และผู้โดยสารที่ได้รับบริการทันใจและมีประสิทธิภาพ แต่ผู้ที่ไม่ได้รับประโยชน์ก็คือรถแท็กซี่ธรรมดาที่เสียโอกาสในการได้ผู้โดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Uber ทำผิดกฎหมายเพราะรถเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นรถรับจ้าง ไม่มีมิเตอร์ คนขับก็ไม่มีใบขับขี่รถรับจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฯลฯ ถึงแม้ธุรกิจของ Uber คือกิจกรรมเศรษฐกิจของ Digital Economy อันพึงส่งเสริมก็ตามที

          Uber ก่อสร้างขึ้นโดยบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง San Francisco โดยใช้ชื่อว่า UberCab นาย Travis Kalanick และ Garrett Camp ร่วมกันก่อตั้งในปี 2009 โดยเปิดบริษัทในปี 2010

          ปารีสเป็นเมืองแรกนอกสหรัฐอเมริกาที่ Uber ให้บริการในปี 2001 ตามมาด้วยเมือง โตรอนโตในคานาดา แพร่กระจายไปซิดนีย์ สิงคโปร์ และเมืองต่าง ๆ อย่างประสบความสำเร็จ

          Uber ให้บริการในกรุงเทพฯ ในเดือนกุมภาพันธ์และภูเก็ตเดือนพฤศจิกายนของปี 2014 สำหรับโฮจิมินห์ซิตี้เปิดบริการเดือนมิถุนายนและฮานอยตุลาคมของปี 2014 บริการ Uber ในสองประเทศนี้ผิดกฎหมาย แต่ทางการไทยมีปฏิกิริยาช้ากว่าเพราะเมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้ทางการไทยเพิ่งบอกว่า Uber ประกอบกิจการต่ออีกไม่ได้แล้วเพราะเป็นแท็กซี่ที่ผิดกฎหมาย

          ส่วนเวียดนามนั้นกำลังเริ่มพลิกตัวเพราะเห็นว่า Uber ผิดกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะห้ามหรือไม่ อย่างไรก็ดีในกรณีของเวียดนามนั้น Uber เพิ่งเข้าไป ส่วนไทยเข้าไปเกือบครบหนึ่งปีแล้วเพิ่งจะห้าม

          ความสำเร็จของ Uber นั้นเรียกได้ว่าอื้อฉาวพอควรเพราะเป็นบริษัทรถแท็กซี่ในรูปแบบของความคิดใหม่ที่มิใช่แบบที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นจึงไม่สอดคล้องกับกฎหมายในเกือบทุกประเทศที่ไปเปิดบริการ เฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศที่สามารถแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยทันการมี Uber

          ฝ่ายเสียประโยชน์ซึ่งได้แก่ผู้ขับแท็กซี่ปัจจุบันพยายามต่อต้าน Uber อย่างประสบผลสำเร็จมากน้อยแตกต่างกันไป อย่างไรก็ดีในเมืองใหญ่ของโลก Uber ก็ยังดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างแข็งขันและเงียบ ๆ เพราะผู้โดยสารพอใจ

          ถ้าพิจารณาและเจาะลึกลงก็จะพบว่าเฉพาะผู้โดยสารประเภทไฮเท็คที่ใช้สมาร์ทโฟนได้ อย่างคล่องแคล่ว (ไม่ใช่เฉพาะรับส่งไลน์ ส่งสติ๊กเกอร์ อีเมล์ ค้น google) เช่น สามารถใช้ application และโอนเงินข้ามบัญชี ฯลฯ เท่านั้นที่จะเป็นลูกค้า คนใช้แท็กซี่ที่ชอบโบกตาม ริมถนน (ทั้งชอบแซงและไม่แซงคิว) จะไม่เป็นลูกค้าของ Uber แน่นอน

          หาก Uber ขยายตัวในบ้านเราหลังจากมีการแก้ไขกฎหมายแล้วหรือแม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เถอะ ใครที่มีรถและจอดไว้โดยไม่ใช้บ่อย ๆ ต้องระวัง อาจมีมือดีเช่นญาติหรือคนขับรถแอบเอารถไปใช้เป็นรถ Uber โดยทำหน้าที่เป็นคนขับ ‘สมัครเล่น’ ได้ ถ้าโชคร้ายก็อาจเจอโจรแฝงมาจี้เอารถไปเพราะรถส่วนตัวมีทางโน้มที่จะอยู่ในสภาพดีกว่าและมียี่ห้อน่าจี้กว่ารถแท็กซี่ธรรมดาเป็นแน่

          โลกหมุนไปพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้นก็ย่อมมีรูปแบบการประกอบธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา Uber ดูจะขยับตัวเร็วกว่ากฎหมายและความคิดของคนโดยทั่วไป

          Uber สอดคล้องกับ Digital Economy ซึ่งใช้เทคโนโลยีไอทีช่วยในการประกอบกิจการทางเศรษฐกิจเพื่อความสะดวก ลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ (productivity) ลดความสูญเสียของทรัพยากร ฯลฯ แต่ก็ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย

Superfood ชื่อ Maca

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
30 ธันวาคม 2557

          โลกเอเชียกำลังบ้าคลั่งหัวพืชใต้ดินจากอเมริกาใต้ที่เชื่อกันว่าเป็นอาหารวิเศษทั้งเป็นยาและอาหารเสริมพละกำลังและแน่นอนครับในเรื่องเพศ

          ขณะนี้ประเทศเปรูกำลังปั่นป่วนเพราะเป็นแหล่งที่ผลิตหัวพืชใต้ดินที่เรียกกันว่า Maca ได้อย่างมีคุณภาพ คนจีนแห่กันไปซื้อจนราคาถีบตัวขึ้นไปถึงกว่า 10 เท่า โจรผู้ร้ายจี้ปล้นก็มากขึ้นเพราะเงินผ่านมือมหาศาลในแต่ละวัน และประการสำคัญไอ้หัว Maca มันยิ่งดังข้ามคืนขึ้นทุกที

          Maca มีหน้าตาคล้ายหัวกระเทียมแต่โตกว่า ผิวสีน้ำตาลมีลักษณะคล้ายหัวพืชใต้ดินทั่วไปคือแข็งแน่น กล่าวกันว่าชาวอินคา (Inca) ผู้มีอาณาจักรใหญ่โตมีวัฒนธรรมก้าวหน้าระหว่างต้นศตวรรษที่ 13 ถึง ค.ศ. 1572 ล่มสลายไปเพราะแพ้สงครามและถูกยึดครองโดยสเปนบริโภค Maca เป็นอาหารวิเศษมานานนับพันปี

          พวกบ้าคลั่ง Maca มีมากเป็นพิเศษในจีน เพราะอะไรที่เป็นยาโป๊คนจีนกินทุกอย่างไม่เคยลังเล ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่มีขา (ยกเว้นโต๊ะเก้าอี้) อะไรที่ว่ายน้ำ (ยกเว้นเรือดำน้ำ) อะไรที่บินในอากาศ (ยกเว้นเครื่องบิน และปัจจุบัน drones) ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไปถึงหมดด้วยความร่ำรวยสมัยใหม่

          เปรูซึ่งเป็นประเทศที่ส่วนใหญ่ของประชากร 31 ล้านคน เป็นคนพื้นเมืองอินเดียน (ลูกหลานชาวอินคานั่นแหละ) ซึ่งอุดมไปด้วยความยากจนต่างไปจากชิลีประเทศเล็ก ๆ (ประชากร 18 ล้านคน) ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ปกติบริเวณ Junin ในตอนกลางของเปรูก็อยู่กันมาอย่างสงบ เก็บรากหรือหัวของต้น Maca ซึ่งปลูกและขึ้นอยู่ในป่าเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000-5,000 เมตรขายต่างประเทศ แต่เมื่อคนจีนมีการศึกษาวิจัยและพบว่ารากหรือหัวใต้ดินของ Maca จากบริเวณ Junin นั้นมีคุณภาพดีกว่าที่อื่น ๆ ก็เฮโลกันมาซื้อเพื่อไปขายต่อ

          Maca มิได้เติบโตทุกแห่ง เฉพาะบนที่ราบสูงแอนดีสของเมริกาใต้ที่เย็นและมีดินแห้งแล้ง ซึ่งพืชอื่นทนอยู่ไม่ได้เท่านั้นที่ Maca โตได้ดี ต้น Maca มีใบกลมรีรูปไข่ มีหัวใต้ดินที่เก็บสะสมอาหารได้มากจึงเชื่อว่ามีสรรพคุณอันวิเศษ บำรุงร่างกาย ช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมนภายในร่างกาย ต้านทานอาการเมื่อยล้าอ่อนแรง กระตุ้นความกระปี้กระเปร่า เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย และประการสำคัญเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

          โลกตะวันตกตื่นตัวในเรื่องสรรพคุณของ Maca กันมากในปัจจุบัน สารคดีเรื่องราวของ Maca ปรากฏในรายการโทรทัศน์สำคัญ ปัจจุบันมีคนกำลังทำวิจัยกันทั่วโลกอย่างขะมักขะเม้นเพื่อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสรรพคุณที่เชื่อและกล่าวอ้างกันนั้นเป็นจริงหรือไม่

          คนเอเชียไม่คอยฟังผลทางวิทยาศาสตร์ ว่ากันว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2002 ที่เกาหลีและญี่ปุ่น สองประเทศนี้ต่างนำเอา Maca มาเป็นอาหารเสริมพลังของนักฟุตบอลทั้งสองทีม ซึ่งก็ไม่ไปถึงดวงดาวแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ตามคนจีนบางกลุ่มก็คลั่งไคล้ Maca กันสุด ๆ แบบเดียวกับกรณีของถั่งเช่าที่มาจากธิเบต

          ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Maca คือ Lepidium meyenii ในทางวิชาการถือว่าเป็นพืชสมุนไพร คนตะวันตกคนแรกที่นำเข้าสู่การแบ่งแยกพืชพันธุ์เชิงวิชาการก็คือ Gerhard Walpers ในปี ค.ศ. 1843 ถึงแม้ว่าชาวอินคาจะรู้จักมันนานนับพันปีแล้วก็ตาม

          การเผยแพร่สรรพคุณของ Maca ทำให้รัฐบาลเปรูห้ามส่งออก Maca ในรูปวัตถุดิบ ดังนั้นจึงมีโรงงานย่อยแปรรูป Maca เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อสนองตอบความต้องการของคนจีนและมีการลักลอบ Maca ดิบออกนอกประเทศมากเช่นเดียวกัน

          เพียงครึ่งปีแรกของปี 2014 มูลค่าการส่งออก Maca อย่างเป็นทางการไปจีนพุ่งขึ้นไปถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับตัวเลข 540,000 เหรียญของทั้งปี 2013 ราคาของ Maca ปัจจุบันตกประมาณปอนด์ละ 13 เหรียญ (10 เท่าของเมื่อต้นปีนี้) แต่ถ้าเป็น Maca ดำซึ่งหาได้ยากกว่าแล้วราคาสูงถึงประมาณปอนด์ละ 45 เหรียญ

          มีคนลักลอบเอาต้น Maca ไปปลูกในจีนแต่มิได้ผลดี Bolivia และพื้นที่ใกล้เคียงก็พยายามปลูก แต่ก็สู้บริเวณ Junin นี้ไม่ได้ การมีพื้นที่จำกัดในการปลูกและรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาสังคม ทางโน้มนั้นชัดเจนว่ากระแสการบูมของ Maca คงจะไม่หยุดง่าย ๆ และปัญหาที่เกิดตามมาก็ไม่หมดไปเช่นกัน

          ปัจจุบันโลกตะวันตกนำราก Maca ไปทำผงชงเป็นชา สะกัดสารเอามาเป็นยาบำรุง ในเว็บไซต์ของบ้านเรา ธุรกิจขายสารสกัดจากราก Maca เป็นไปอย่างคึกคัก มีการประชาสัมพันธ์ว่าเป็น superfood ป้องกันโรคมะเร็ง รักษาได้สารพัดโรค โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเพศ ราคาขายส่ง สารสกัด Maca มีตั้งแต่ 30-500 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งกิโลกรัม โดยมีผู้เสนอขายประมาณ 20 เจ้า

          มนุษย์พยายามหายาวิเศษกันมานานนับพันนับหมื่นปี ค้นพบกันหลายร้อยหลายพันขนาน Maca เป็นตัวใหม่ที่อยู่ในความสนใจของชาวโลกปัจจุบัน Maca จะมีประโยชน์แค่ไหนอย่างไร ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่จะทยอยออกมาในอนาคตอันใกล้เท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ

เล่าเรื่องเลือด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
23 ธันวาคม 2557

          มีหลายเรื่องเกี่ยวกับเลือดที่เราไม่รู้ เมื่อเร็ว ๆ นี้นิตยสาร Discover ได้เล่าเรื่องเลือดที่แปลกและน่าสนใจ วันนี้ขอนำบางส่วนมาเล่าต่อ

          เรื่องแรก ในปี 1901 Karl Landsteiner ได้พบว่าเลือดมนุษย์นั้นแบ่งออกได้เป็นหลายกรุ๊ป โดยสังเกตจากการแข็งตัวของเลือดเมื่อเอาเลือดแต่ละกรุ๊ปมาผสมกัน ต่อมาเขาแบ่งออกเป็นกรุ๊ป A, B, AB และ O และแต่ละกรุ๊ปแตกย่อยเป็น Rh+ และ Rh- ดังนั้นจึงแบ่งได้เป็น 8 กรุ๊ป

          อย่างไรก็ดีในทางการแพทย์มิได้มีการแบ่งเลือดในระบบ ABO เท่านั้น ในปัจจุบันมีระบบการแบ่งเลือดทั้งหมด 33 ระบบที่สมาคมถ่ายเลือดระหว่างประเทศ (International Society of Blood Transfusion) ยอมรับ ดังชื่อเช่น Lutheran, Duffy, Hh/Bombay, Rh ฯลฯ

          ในทางวิชาการแต่ละกรุ๊ปเลือดมีลักษณะของโมเลกุลที่ผิวของเม็ดเลือดแดงแตกต่างกัน ถ้าเลือดมีกรุ๊ปที่แตกต่างกันระหว่างผู้ให้และผู้รับเลือด ลักษณะโมเลกุลที่ไม่เหมือนกันจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันจนผู้รับตายได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของผู้รับจะโจมตีเลือดที่แปลกปลอม เข้ามา

          เรื่องสอง การมีกรุ๊ปเลือดเดียวกันก็มิได้หมายความว่าจะถ่ายเลือดให้กันได้เสมอไปเนื่องจากยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้างแต่ก็มีน้อยมากโดยเกิดขึ้นเฉพาะในบางชาติพันธุ์ การถ่ายเลือดกรุ๊ปเดียวกันโดยทั่วไปจึงมีโอกาสเป็นอันตรายน้อยมาก

          เมื่อ 2 ปีก่อนได้มีระบบที่แบ่งเลือดออกเป็น 2 กรุ๊ปคือ Junior Positive ซึ่งคนส่วนใหญ่ทั้งหมดในโลกอยู่ในกรุ๊ปนี้ กับ Junior Negative ซึ่งมีเฉพาะคนญี่ปุ่นประมาณ 50,000 คน เท่านั้น สำหรับคนเหล่านี้ต้องระวังการรับเลือดอย่างยิ่งเพราะเลือดของกลุ่มตนมีลักษณะพิเศษ ถ้ากรุ๊ปเลือดและลักษณะปลีกย่อยไม่ตรงกันอย่างแท้จริงแล้วผู้รับอาจตายได้

          เรื่องที่สาม ก่อนหน้าที่จะมีการค้นพบว่ามนุษย์มีกรุ๊ปเลือดที่ไม่เหมือนกัน แพทย์ที่ทดลองการถ่ายเลือดระหว่างมนุษย์กับสัตว์ก็ประสบปัญหาหนักหนาสาหัส เรื่องเล่าที่ตื่นเต้นก็คือในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1667 แพทย์ชื่อ Jean-Baptiste Denis ทดลองเอาเลือดวัวถ่ายมาใส่ตัวคนเพื่อรักษาโรคทางจิต

          หลังจากการทดลองครั้งแรกผ่านไป คนไข้ก็พออยู่รอดได้ แต่พอทดลองครั้งที่สองที่ถ่ายเลือดมากกว่าครั้งแรก คนไข้ก็อาเจียร ปัสสาวะเป็นสีดำ และบ่นว่าปวดไต หมอผู้มีความพยายามสูงมากคนนี้ (เพราะไม่ใช่ตัวเองที่เป็นหนูทดลอง) ทดลองอีกเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ได้เรื่องเพราะเป็นการทดลองครั้งสุดท้ายเนื่องจากคนไข้ตายสนิท

          หมอ Denis ถูกนำขึ้นศาลข้อหาฆาตกรรม แต่ก็หลุดรอดมาได้เมื่อมีหลักฐานพบว่าคนไข้มิได้ตายเพราะเลือดวัว หากตายจากการถูกวางยาพิษโดยใช้สารหนูเป็นตัวการ คนที่ลงมือก็คือกลุ่มเพื่อนหมอที่เห็นว่าการเอาเลือดสัตว์มาใช้เช่นนี้ผิดศีลธรรมและอันตรายมาก ดังนั้นจึงต้องให้แน่ใจว่าการทดลองของหมอ Denise ล้มเหลว

          เรื่องที่สี่ มิใช่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีเลือดหลายกรุ๊ป แมว ม้า วัว และสุนัขก็มีหลายกรุ๊ปเลือดเช่นเดียวกัน สุนัขมีมากกว่า 13 กรุ๊ปเลือด (เฉพาะ 4 กรุ๊ปเลือดคือ DEA, DEA4 และ DEA6 รวมกันจะพบในสุนัขประมาณร้อยละ 98)

          สำหรับแมวมี 3 กรุ๊ปเลือด แมวทั่วไปที่ไม่มีเพดดีกรี (แมวที่มีใบยืนยันการเป็น สายพันธุ์และพ่อแม่เป็นใคร) กว่าร้อยละ 87 อยู่ในกรุ๊ปเลือด A สำหรับม้ามี 8 กรุ๊ปเลือด และวัวมี 7 กรุ๊ปเลือด

          เรื่องที่ห้า สัตว์ประเภทแมลงที่กินเลือดรวมกันมีถึงประมาณ 14,000 ชนิด ที่เรารู้จักกันดีก็คือเรือดที่ชอบอยู่ในที่นอน นับแต่โบราณกาลแล้วที่เรือดเป็นศัตรูและสัตว์เลี้ยงบนเตียงของมนุษย์ สำหรับตัวอ่อนนั้นเมื่อกินเลือดคนแล้ว ตัวจะใสบวมเป่งเห็นเลือดแดงจนเป็นที่น่าขยะแขยง

          สำหรับสัตว์เลี้ยงเก่าแก่บนตัวมนุษย์ก็คือเหา และโลน ซึ่งอาศัยอยู่ในผมและขนบนร่างกายมนุษย์ มันมิใช่เพียงทำให้คันรำคาญเท่านั้น หากเป็นพาหนะนำเชื้อโรคอีกด้วย

          เลือดเป็นสิ่งที่มนุษย์มีความรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษเพราะรู้มาตลอดว่าอยู่ในร่างกายของเรา สีแดงของทุกเผ่าพันธุ์จึงมีความหมายไปในทางเดียวกันคือชีวิต เนื่องจากรู้ว่าตายได้หากเลือดไหลออกจากร่างกายไม่หยุด

          2,500 ปีก่อนคริสตกาลถึง ค.ศ. 1000 คือช่วงเวลาของความพยายามไขความลับ ของเลือด มนุษย์ยังไม่เข้าใจการทำงานของร่างกายมนุษย์ รู้แต่เพียงว่าเลือดมีความสำคัญต่อการ มีชีวิต สิ่งที่แปลกก็คือหลายวัฒนธรรมเห็นตรงกันว่าการเอาเลือดออกจากร่างกายคือการรักษาความเจ็บไข้ที่ได้ผล

          ในช่วง ค.ศ. 1000-1699 มนุษย์เข้าใจการทำงานของร่างกายตนเองดีขึ้น เรียกได้ว่าเป็นห้วงเวลาแห่งโลกใหม่ของวิทยาศาสตร์ มนุษย์ทดลองถ่ายเลือดระหว่างสัตว์กับสัตว์ และสัตว์กับคน ตอนสิ้นสุดของช่วงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้เรื่องเลือดดีขึ้นและสามารถนับ เม็ดเลือดแดงได้

          ค.ศ. 1700-1919 คือช่วงเวลาแห่งการค้นพบและบุกเบิกที่แท้จริงของมนุษยชาติ การถ่ายเลือดจากร่างมนุษย์ประสบความสำเร็จโดยจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการพบว่าเลือดมนุษย์แบ่งได้เป็นหลายกรุ๊ปของ Karl Landsteiner (4 ปีก่อนหน้าที่ Albert Einstein ตีพิมพ์บทความ Theory of Special Relativity) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ค.ศ. 1914-1918 การถ่ายเลือดให้คนบาดเจ็บได้กลายเป็นการรักษาปกติที่ประสบผลสำเร็จ

          ในช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1920-1949 นักวิทยาศาสตร์และแพทย์สร้างความก้าวหน้าให้วงการแพทย์อย่างรวดเร็ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองฝ่ายพันธมิตรมีการสะสมเลือดสำรองเพื่อช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บ การปฏิวัติการเก็บรักษาเลือดและการกระจายสัพพลายของเลือดไปยังสถานที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้

          ค.ศ. 1950-2002 เป็นช่วงเวลาแห่งการท้าทายครั้งใหม่ ถึงแม้การใช้ถุงพลาสติกบรรจุเลือดซึ่งเป็นการค้นพบใหม่จะช่วยลดการปนเปเชื้อจากภายนอก แต่ในเวลาต่อมาก็พบว่ามีเชื้อที่ติดมากับเลือดบริจาค เช่น ไวรัส HIV เชื้อตับอักเสบ อันเนื่องมาจากวิธีการตรวจสอบ ดังนั้นจึงเกิดแรงผลักดันให้เกิดวิธีการตรวจแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น จนในปัจจุบันการถ่ายเลือดปลอดภัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา

          ลิ้นมนุษย์คมกว่ามีดเพราะสามารถฆ่าคนได้โดยเลือดไม่ต้องไหล

สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมของปี 2014

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
16 ธันวาคม 2557

 

          ประดิษฐกรรมที่ตรงกับความต้องการของมนุษย์เปลี่ยนแปลงโลกเสมอ ในรอบปี 2014 มีหลายสิ่งประดิษฐ์ที่ “เข้าตา” ผู้ใช้อย่างน่าสนใจ

          ชิ้นแรก แน่นอนที่สุดก็คือเทคโนโลยี 3D ซึ่งพัฒนาการมายาวนานแต่ปรากฏตัวอย่างชัดเจนด้วยการพิมพ์สามมิติของสิ่งของหลากหลายมากขึ้น โดยปกติเรามีการพิมพ์สองมิติซึ่งก็คือการพิมพ์ภาพธรรมดาที่จับต้องไม่ได้ แต่เมื่อมี 3D เครื่องพิมพ์ซึ่งก็คือหุ่นยนต์ลักษณะหนึ่งก็สามารถ “สร้าง” สิ่งของที่เป็นตัวตนขึ้นมาได้ด้วยการพิมพ์หลายชั้นด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น แผ่นและเส้นพลาสติกนานาประเภท ใยกระดาษ โพลิเมอร์ ฯลฯ

          สิ่งของนี้ก็มีตั้งแต่รองเท้า ปากกา ของเล่นเด็ก แท่งช็อกโกแลต ของใช้ในบ้าน ฯลฯ โดยเครื่องพิมพ์ทำงานตามซอฟต์แวร์ ประโยชน์หลักก็คือการพิมพ์ต้นแบบของสินค้า ซึ่งจะนำไปผลิตอย่างเป็นกอบเป็นกำต่อไป

          ชิ้นที่สอง คนที่ต้องกินยาหลายขนานต่อวันปริมาณไม่เท่ากันต่อเนื่องบ้างเว้นบ้าง กำหนดที่ต้องเลิกก็ไม่ตรงกัน เป็นปัญหาปวดหัวมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ดูแลตนเอง จำได้บ้าง ลืมบ้าง การรักษาก็ขาดประสิทธิภาพ หรืออาจเพิ่มปัญหาต่อสุขภาพยิ่งขึ้น

          มีคนหัวแหลมเห็นปัญหานี้จึงรับเป็นผู้จัดยาให้ตามใบสั่งโดยส่งกล่องยามาให้ทุก 2 อาทิตย์ ในกล่องนี้ก็จะบรรจุเม็ดยาในถุงเล็ก ๆ ที่ต่อกันยาวม้วนอยู่ในกล่อง โดยแต่ละถุงก็มีเวลา ตลอดจนวันที่ซึ่งต้องกินยา ระบุไว้ชัดเจน ทุกวันก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ฉีกถุงยาข้างบนออกจากม้วน ดูวันที่และเวลา และก็กินได้เลย

          สำหรับครั้งต่อไปก็ดูเวลาและวันที่ซึ่งเขียนไว้บนถุงยาอันล่าสุดที่ยังไม่ได้กิน ฉีกออกมาและก็กินได้เลย โดยไม่ต้องคิดว่าถึงเวลานี้แล้วต้องกินอะไรหรือต้องเลิกกินแล้ว

          ไอเดียดี ๆ อย่างนี้ทำไมเราไม่คิดก่อนนะ ถ้าจะทำเองโดยเรียงใส่ถุงตามวันเวลาก็จะเกิดประสิทธิภาพในการรักษาและตำรวจไม่จับด้วย

          ชิ้นที่สาม การขี่จักรยานกำลังเป็นกระแสที่แรงในโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้จักรยานในการเดินทางในชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองต่าง ๆ เมือง Copenhagen ของสวีเดนติดอันดับ 2 ในโลกรองจาก Amsterdam ของเนเธอร์แลนด์ในเรื่องนี้ ดังนั้นการประดิษฐ์ล้อจักรยานวิเศษประหยัดแรงงานของผู้ขี่ยามขึ้นเขาจึงได้รับเกียรติเรียกว่า Copenhagen Wheel

          ล้อจักรยานมาตรฐานนี้ตรงดุมล้อตรงกลางเป็นแผ่นกลมประกบปิดสนิทโดยภายในมีมอเตอร์ซึ่งขับเคลื่อนโดยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟได้ ยามเมื่อขี่ขึ้นทางชัน sensors ก็จะส่งสัญญาณให้มอเตอร์ล้อหลังทำงานช่วยส่งพลังเพื่อให้ผู้ขี่สามารถเดินทางขึ้นทางที่ชันได้ หากต้องการ ผู้ขี่ก็สามารถใช้ application ผ่านโทรศัพท์มือถือสั่งให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เช่นกัน

          นอกจากนี้ sensors ก็จะรายงานสถานการณ์จราจร สภาพถนน (ฝนตกถนนลื่น มีหลุมบ่อ กำลังซ่อมแซม) ให้ผู้ขี่ได้ทราบเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อช่วยให้การ ขี่จักรยานสะดวกขึ้น

          มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่าเมื่อเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยมีความจำเป็นต้องปิดเสียง หากมีโทรศัพท์หรืออีเมล์ หรือข้อความจาก Line ซึ่งมาจากบุคคลสำคัญจะทราบได้อย่างไร ข้อความเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์มหาศาลหรืออาจเป็นโทษมหันต์หากไม่ตอบรับทันทีก็เป็นได้ ความจำเป็นต้องรู้เช่นนี้ทำให้เกิดประดิษฐกรรมชิ้นที่สี่ขึ้นมา

          ผู้ประดิษฐ์จึงตอบสนองโดยแหวนหรือกำไรหรือเครื่องประดิษฐ์อื่นที่สามารถมองเห็นได้มีไฟกระพริบทันทีที่มีข้อความจากบุคคลสำคัญเหล่านั้นเข้ามา ต่อไปนี้รับรองได้ว่าไม่อาจอ้างกับ เจ้านายได้อีกต่อไปว่าไม่ได้ตอบทันทีเพราะบังเอิญเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า

          ในทวีปอาฟริการ้อยละ 30 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มีความเสี่ยงที่จะตาบอดเพราะขาดวิตามิน A ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอวัยวะสำคัญนี้

          James Dale นักชีววิทยาด้านพันธุกรรมชาวออสเตรเลีย สังเกตเห็นความจริงนี้จากการเยือนอูกานดาในปี 2000 จึงเกิดไอเดียที่จะสร้าง Superbanana ขึ้นให้เด็กเหล่านี้บริโภคเพื่อป้องกัน ตาบอดจากการขาดวิตามิน A

          เด็กเหล่านี้โดยปกติก็มีกล้วยเป็นอาหารหลักในการดำรงชีพ (ไม่ได้ตั้งใจจะเบียดเบียนลิง แต่มันไม่มีอย่างอื่นที่จะกินดีกว่านี้สำหรับเด็กเหล่านี้) Dale จึงคิดว่าหากเขาทำให้กล้วยธรรมดากลายเป็น Superbanana ที่อุดมด้วยวิตามิน A เป็นพิเศษก็สามารถเอาชนะปัญหาด้

          Dale สร้างกล้วย GMO ซึ่งอุดมด้วยวิตามิน A สำเร็จ และจะเผยแพร่ในเร็ว ๆ นี้โดยวิธีแจกต้นกล้วยฟรีแก่ชาวบ้านโดยมีเงื่อนไขว่าหากให้ 10 ต้นฟรี ก็ต้องเอา 20 หน่อกล้วยไปแจกต่อยามเมื่อกล้วยที่ได้รับโตแล้ว และต้องให้ 10 ต้นฟรีต่อไปแก่คนอื่นภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน เขาเชื่อว่าในเวลาไม่นานจะมี Superbanana กระจายไปทั่วได้

          สิ่งประดิษฐ์ชิ้นสุดท้าย คือ การสร้างเครื่องเล่นสร้างสรรค์ซึ่งเชื่อมต่อการดูจอของ tablet กับการฝึกฝนมือและสมองในโลกจริง ไอเดียก็มีง่าย ๆ คือ ประดิษฐ์ tablet ที่มีกล้องจับภาพสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าเครื่องเป็นเบื้องต้น

          เมื่อซื้อ tablet จะได้ภาพชิ้นส่วนต่อเป็นรูปต่าง ๆ มาด้วย สมมุติเมื่อภาพเปิดซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนขึ้นบนจอ เด็กที่เล่นก็ต้องต่อชิ้นส่วนเป็นภาพเดียวกัน และเครื่องก็จะประเมินให้คะแนนเป็นกำลังใจแก่เด็ก

          ประดิษฐกรรมชิ้นนี้ช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ของเด็กเล็ก และส่งเสริมจินตนาการ ตลอดจนคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี

          ประดิษฐกรรมเหล่านี้มิได้มีไอเดียอะไรที่ซับซ้อน ทุกชิ้นเกิดจากความต้องการหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นความจำเป็นของมนุษย์ ตรงกับคำพูดในภาษาอังกฤษที่ว่า Necessity is the mother of invention ผมอยากจะแถมว่าผู้เป็นพ่อก็คือนักประดิษฐ์ผู้มีจินตนาการเหล่านี้

นักการทูตหญิงและจารชน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
9 ธันวาคม 2557

         เรื่องที่ฮือฮากันมากในวอชิงตันในปัจจุบันนอกจากความตกต่ำของความนิยมที่ประชาชนมีต่อประธานาธิบดีโอบามาแล้วก็คือเรื่องการทำผิดกฎหมายความมั่นคงเชิงจารกรรมของนักการทูตหญิงสหรัฐที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง

         การบุกเข้าตรวจสอบบ้านของเธอผู้มีชื่อว่า Robin L. Raphel ทำให้พบเอกสารลับของทางราชการหลายชิ้นที่ไม่ควรออกมาอยู่ข้างนอก เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อหน่วยจับจารชนของ FBI ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องนี้เพียงลำดับรองจากเรื่องการก่อการร้ายดักฟังการสนทนาของข้าราชการของปากีสถานโดยมีความว่ารัฐบาลรู้ความลับของอเมริกาหลายเรื่องจากการให้ข้อมูลของนักการทูตสหรัฐระดับสูง

         FBI หน่วยนี้จึงสืบสวนสอบสวนลงลึกหาเป้าที่เชื่อว่าเป็นคนทำก็ได้ชื่อนี้ขึ้นมาซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็น “แฟนคลับของปากีสถาน” มาตลอด และหลังจากเฝ้าติดตามดูอยู่ระยะหนึ่งจนแน่ใจก็บุกบ้านของเธอในปลายเดือนตุลาคม 2014 และพบเอกสารลับของทางการหลายชิ้นซึ่งผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงเข้าข่ายจารกรรมซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต (ในความเป็นจริงก็คือโทษจำคุกตลอดชีวิต)

         ทำไมเธอจึงอุกอาจเช่นนี้ทั้งที่มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นถึงหนึ่งในนักการทูตหญิงสหรัฐไม่กี่คนที่ไต่เต้าขึ้นมาจนได้การยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน จะเข้าใจเธอต้องดูประวัติของเธอ

         Robin Raphel ปัจจุบันอายุ 67 ปี เป็นคนรัฐวอชิงตันเช่นเดียวกับ Bill Gates เธอจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์และเศรษศาสตร์จาก University of Washington ที่มีชื่อเสียง ระหว่างที่เรียนเธอได้ไปศึกษาที่ University of London และเมื่อจบแล้วไปเรียนหนึ่งปีที่มหาวิทยาลัย Cambridge ในปี 1970 เธอเป็นครูในวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอิหร่านเป็นเวลา 2 ปี และกลับมาจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ที่ University of Maryland ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นเลิศอีกแห่งหนึ่ง

         เธอเริ่มงานราชการด้วยการเป็นนักวิเคราะห์ของ CIA และย้ายมาทำงานให้ USAID ในเมือง Islamabad ประเทศปากีสถานในฐานะนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ และต่อมาย้ายมาเป็น นักการทูต เธอทำงานหลายตำแหน่งในสถานทูตหลายแห่ง เช่น อังกฤษ อาฟริกาใต้ และอินเดีย

         ในปี 1993 ประธานาธิบดีคลินตันแต่งตั้งให้เธอเป็น Assistant Secretary of State (ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาของอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย ซึ่งมีทั้งเรื่องประชาธิปไตย การขยายตัวของการใช้ระเบิดปรมาณู พลังงาน การก่อตัวของกลุ่ม Taliban สิทธิผู้หญิง ความยากจน ฯลฯ

         เธออื้อฉาวเมื่อแสดงความเห็นในสาธารณะสนับสนุนปากีสถานในเรื่องข้อพิพาทแคว้นแคชเมียร์ซึ่งเป็นเรื่องรุ่มร้อนระหว่างอินเดียและปากีสถานมาเป็นเวลานาน Raphel เป็นที่ชื่นชอบของปากีสถานประเทศที่สามีคนแรกของเธอเป็นเอกอัครราชทูต ในช่วงสมัยคลินตันเธอได้รับผิดชอบงานสำคัญและทำได้อย่างดีในการสร้างความสัมพันธ์

         ระหว่างสหรัฐกับปากีสถาน และจุดนี้เองอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความพินาศของเธอ นั่นก็คือความรักใคร่ชอบพอปากีสถานเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเคยทำงานในสถานทูตประจำอินเดียมาก่อนก็ตาม ในสมัยที่สองของประธานาธิบดีคลินตันเธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำ Tunisia

         เธอประสบความสำเร็จในฐานะนักการทูตที่ทุ่มเทชีวิตให้แก่การทำงาน ต้องเสี่ยงชีวิตเดินทางไปเจรจาในดินแดนที่มีข้อขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา เธอมีส่วนช่วยให้ปากีสถานเป็นมิตรสำคัญของสหรัฐเพื่อ “กัน” สหภาพโซเวียตในสมัยสงครามเย็น จนกระทั่งได้เห็นการเป็นมิตรผิดใจกันในปัจจุบันของประเทศทั้งสอง สหรัฐปราบผู้ก่อการร้ายอย่างไม่เคารพอธิปไตยของปากีสถาน เช่น การบุกเข้าสังหารบินลาดินบนแผ่นดินปากีสถานโดยไม่บอกเจ้าบ้านแม้แต่น้อย หรือการใช้ drones (เครื่องบินเล็กที่ไม่มีคนขับ) เข้าพุ่งโจมตีจุดต่าง ๆ ในปากีสถานอย่างไม่เกรงอกเกรงใจอยู่เป็นประจำ

         Raphel เกษียณอายุในปี 2005 และรับจ้างทำงานล๊อบบี้ให้ปากีสถานก่อนที่จะกลับเข้ามารับงานในฐานะที่ปรึกษาของกระทรวงการต่างประเทศอีกครั้งหนึ่งเมื่อเหตุการณ์ในปากีสถานรุนแรงขึ้น และการกระทำความผิดเข้าข่ายจารกรรมก็เกิดขึ้นในตอนนี้เอง

         ในขณะนี้ FBI ยังไม่ตั้งข้อหา และไม่เปิดเผยเรื่องนี้โดยตรง หากปล่อยข่าวออกมาผ่านแหล่งข่าวในเรื่องการบุกค้นบ้าน อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะเธอได้จ้างทนายความที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้เป็นพิเศษเป็นตัวแทน

         ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องอาชญากรรมจารกรรมให้ความเห็นว่าการเอาแฟ้มความลับราชการกลับบ้านผิดกฎหมายแน่นอน แต่ที่ผ่านมาไม่มีการฟ้องดำเนินคดี ดังกรณี (ก) อัยการสูงสุด Alberto R. Gonzales เอาเอกสารเรื่องการแอบดักฟังทางโทรศัพท์ของราชการกลับบ้านในปี 2008 (ข) John M. Deutch ผู้อำนวยการ CIA ระหว่าง 1995-1996 เก็บข้อมูลลับของราชการไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่บ้าน (ถูกลงโทษตัด security clearance หรือสถานะของความเชื่อถือไว้วางใจได้ในเรื่องความมั่นคง) และ (ค) Samuel Berger ผู้เป็น National Security Advisor เอาเอกสารลับออกมาจากสถานที่เก็บกลาง (ยอมรับว่าทำผิดคดีอาญาระดับเล็กน้อยและยอมจ่ายค่าปรับ 50,000 เหรียญ ในปี 2005)

         ด้วยความหละหลวมเช่นนี้ FBI จึงทำงานอย่างแข็งขัน และ “เชือด” เธอให้ดูเป็นตัวอย่าง ถึงแม้จะยังไม่มีการตั้งข้อหาแต่ชื่อเสียงเธอที่สะสมมาก็หมดลงในสายตาประชาชน เรื่องเช่นนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นการทรยศที่รับไม่ได้

         ไม่มีใครรู้ว่าเธอทำลงไปเพราะเงิน (เธอเคยรับจ้างเป็นล๊อบบี้ให้ประเทศนี้) หรือเพราะความรักชอบเป็นพิเศษ หรือเห็นใจสถานะของปากีสถานที่สหรัฐตัดสัมพันธไมตรีที่เคยมีเป็นอย่างดีเพราะระแวงว่าบางส่วนของภาครัฐให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะกลุ่ม Taliban ลับ ๆ อีกทั้งยังมี จารชนสังกัดปากีสถานจำนวนหนึ่งในสหรัฐที่พยายามล้วงความลับของทางการ

         ในขณะนี้เธอถูกตัด security clearance และเลิกสัญญาจ้างเป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ใน “วงใน” ได้อีก เรียกได้ว่าไม่อาจทำงานเกี่ยวกับการต่างประเทศของภาครัฐอีกต่อไปเพราะเธอไม่เป็นคนที่ไว้วางใจได้เสียแล้ว

         ถ้าเธอมิได้ทำจารกรรมเพื่อเงินหรือเพื่อสนองตอบอารมณ์ ชีวิตเธอก็น่าสงสารมากที่ความละเลยเพิกเฉยไม่เอาใจใส่กฎเกณฑ์ที่ห้ามเรื่องการเอาเอกสารลับกลับบ้านทำลายเธอ แต่ใครจะเชื่อเธอเล่าที่คนมีตำแหน่งขนาดนี้ มีวุฒิภาวะระดับนี้ จะทำอะไรที่เขลาขนาดนั้นได้

         ความเชื่อถือว่าเป็นคนที่ไว้วางใจได้โดยสาธารณชนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งของคนที่ทำงานรับใช้ชาติ

อย่าให้ถูกลวงมากกว่านี้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 ธันวาคม 2557

          นอกจากมนุษย์จะถูกหลอกลวงโดยเพื่อนร่วมโลกผู้ไม่น่ารักแล้ว บ่อยครั้งที่ถูกลวงโดยตนเองอีกด้วยอย่างไม่รู้ตัว ลองมาดูเรื่องน่าสงสารเหล่านี้กัน

          เรื่องแรก คือการที่เราถูกลวงโดยตัวเลขเพราะคิดว่ามันเป็นตัวเลขดังที่ควรจะเป็นและถูกต้องแม่นยำ ตัวอย่างได้แก่ (ก) เรามักเชื่อถือตัวเลขพยากรณ์อุณหภูมิของเมืองหรือจังหวัดต่าง ๆ โดยลืมนึกไปว่าที่บอกว่าเชียงใหม่ร้อนสุด 30 องศา และเย็นสุด 15 องศา นั้น เขาวัดกันที่จุดใด อำเภอใด เวลาใด และเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นนั้นเขาวัดเวลาเดียวกันด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์เหมือนกันและวัดที่อำเภอใด

          อุณหภูมิอากาศของเชียงใหม่นั้นแปรผันไปตามความสูงของจุดที่วัดและวันเวลาของการวัด การบอกตัวเลขเดียวแทบจะไม่มีความหมาย ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นแล้วยิ่งไร้ความหมาย เพราะแค่องศาของเชียงใหม่ก็ไม่ค่อยมีความหมายมากนักอยู่แล้ว หากจะไปเปรียบเทียบจริงจังก็ถือว่าเลอะเทอะ

          (ข) สถิติตอนสงกรานต์บอกว่าอุบัติเหตุตายที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนต่ำมากจนได้รับรางวัล แต่โคราชนั้นสถิติสูงมาก ถ้าฟังแล้วไม่คิดก็ถูกหลอกอีกนั่นแหละ แม่ฮ่องสอนมีรถวิ่งน้อยดังนั้นโอกาสเกิดอุบัติเหตุย่อมมีน้อยเป็นธรรมดา ส่วนโคราชเป็นจังหวัดที่รถวิ่งผ่านไปจังหวัดอื่นกันมากมายตลอดวันและคืน สถิติอุบัติเหตุก็ย่อมมากเป็นธรรมดา ถ้าจะหาตัวเลขที่พอมีความหมายก็ต้องเป็นจำนวนอุบัติเหตุต่อกิโลเมตรของความยาวถนน และต้องคำนึงถึงที่ตั้งอีกด้วย สมมุติว่าแม่ฮ่องสอนมีระยะทางถนนเท่าโคราช แต่อยู่ห่างไกลจังหวัดอื่น ๆ แบบโดดเดี่ยว ก็จะต่างจากโคราชที่มีรถวิ่งขวักไขว่ สถิติอุบัติเหตุที่เห็นต่อกิโลเมตรก็ไม่อาจชี้ให้เห็นอะไรได้แม่นยำนัก

          เรื่องที่สอง คือความสำเร็จ เมื่อเห็นคนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหรือถูกหวยรางวัลใหญ่ก็ฝันอยากถูกอย่างเขาบ้าง ทุ่มเงินซื้อล็อตเตอรี่และแทงหวยหนักมือ โดยลืมนึกไปว่าตนเองกำลังถูกลวงตาโดยมองไม่เห็นคนอีกนับสิบล้าน ๆ คนที่ถูกกิน เพราะสื่อเขาลงข่าวแต่คนที่ประสบความสำเร็จ

          อยากเป็นนักร้องชื่อดัง นักดนตรีชื่อดัง เขียนหนังสือที่ตีพิมพ์นับสิบ ๆ ครั้ง เป็นนักฟุตบอลชั้นยอด ฯลฯ มนุษย์อยากเป็นและมักเห็นแต่คนที่ประสบผลสำเร็จโดยไม่ได้เห็นคนอีกมากมาย หนังสืออีกหลายร้อยหลายพันเล่มที่พิมพ์หนเดียวหรือไม่ได้พิมพ์เพราะผู้ตั้งใจจะเป็นนักเขียนเพียงแต่ฝันแต่มิได้ลงมือ การถูกลวงเช่นนี้อาจทำให้ตัดสินใจชีวิตผิด ๆ เช่นลาออกจากงานเพื่อมาสานฝันที่คิดว่าอยู่ใกล้ ๆ โดยหารู้ไม่ว่าความเป็นไปได้ในการประสบความสำเร็จต่ำกว่าหนึ่งในพันหรือหมื่น

          เรื่องที่สาม คือความเชื่อ มนุษย์โดยทั่วไปนั้น “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” เฉพาะคนมีปัญญาเท่านั้นที่หลุดพ้นจากการถูกลวงนี้ไปได้ในระดับหนึ่ง ความเชื่อของคนจำนวนมากไม่ใช้เหตุใช้ผล ผู้เขียนเคยพบนักวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกที่เชื่ออย่างจริงจังว่ามีพญานาคอยู่ใต้แม่น้ำโขงจนปล่อยควันขึ้นมาทุกปีตรงกับเวลาที่นักท่องเที่ยวนั่งเฝ้าดูอยู่บนอัฒจรรย์ ถ้าคนมาดูกันช้าก็ปล่อยช้าอย่างตรงใจผู้ดูอีกด้วย ปัจจุบันมีทีมสื่อพิสูจน์แล้วว่าควันนั้นมาจากปืนที่ยิงมาจากฝั่งลาวอีกซีกของแม่น้ำโขง และชาวบ้านบริเวณนั้นเขาทำกันอย่างนี้มานับสิบปีแล้ว

          มนุษย์ทั่วไปมักโดดเข้าเชื่อว่าหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้ดี เมื่อเชื่อไปแล้วไม่ว่าใครต่อใครจะบอกว่าไม่ดีก็โยนหลักฐานเหล่านั้นว่าไม่ดีทิ้งหมด เลือกรับไว้แต่คำชมหรือหลักฐานที่สนับสนุนว่าดีตามความเชื่อ แต่เมื่อนานเข้าผู้คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันมากเข้าว่าองค์นี้ไม่ดีจริง ๆ คราวนี้ถึงตนเองจะรู้แล้วว่าหลงผิดแต่ก็ไม่ยอมถอยเพราะยอมรับว่าผิดไม่ได้ ดื้อดึงเดินหน้าเชื่อต่อไปอย่างไม่มีเหตุ มีผล

          ในเรื่องความรัก เมื่อรักแล้วควันเข้าตา มองเห็นว่าสุดน่ารัก อะไร ๆ ก็ดีไปหมดเพราะตนเองเชื่ออย่างที่ตนเองต้องการจะเชื่อ มิใยที่ใครบอกว่าไม่ดี ก็เดินหน้ารักต่อไปและยอมรับแต่หลักฐานที่ยืนยันสิ่งที่ตนเองเชื่อ

          บางคนเกิดปัญหาเอามาก ๆ ตลอดชีวิตต้องอกไหม้ไส้ขมก็เพราะเผชิญกับปัญหาที่มาจาก “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” อย่างน่าสงสาร โบราณจึงบอกว่าคนที่หลอกเราได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือตัวเราเอง

          ถ้าท่านไม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ “เชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ” มีจริง ก็ลองหันไปส่องกระจกดูตัวเองและมองลูกและหลานตนเองดูก็ได้ ก็จะพบว่าจะหาใครในโลกที่มันดูดีหาข้อตำหนิแทบไม่ได้เท่าตนเองเป็นไม่มี และจะหาใครน่ารักเท่าลูกหลานเรายากหนักหนา

          เรื่องที่สี่ คือทัศนคติ การมีทัศนคติก็คล้ายกับการใส่แว่นสี ตราบที่ใส่แว่นสีเขียวก็จะมองเห็นโลกเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นการลวงตาลักษณะหนึ่ง ถ้าบังเอิญเป็นแว่นสีที่สว่างเย็นตา โลกสำหรับผู้ใส่ก็จะสดใสงดงาม มองเห็นโลกเป็นบวก แต่ถ้าใส่แว่นสีอุบาทว์ที่ใส่แล้วรุ่มร้อน มองไปทางไหนก็จะไม่สบใจ มองเห็นโลกเป็นลบไปหมด จิตใจว้าวุ่น

          หาความสุขไม่ได้เพราะคน อื่น ๆ ย่อมมีปฏิกิริยาที่ไม่เป็นคุณต่อความเป็นลบของเขาเสมอ

          ถูกคนหลวกลวงยังไม่น่าเจ็บใจเท่ากับตัวเองลวงตัวเองเพราะความไม่เข้าใจความจริงของโลกและไม่ซึ้งกับความเป็นจริงของธรรมชาติมนุษย์

Adam คืนสู่ความงดงาม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
25 พฤศจิกายน 2557

          ในเย็นวันหนึ่งของปี 2002 รูปแกะสลักหินอ่อนทรงคุณค่ามหาศาลมีอายุประมาณ 500 ปี ล้มคว่ำลงกับพื้น แตกออกเป็นท่อน ๆ คอหัก แขนหัก อย่างยับเยิน เรื่องนี้น่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการศิลปะของโลก อย่างไรก็ดีเวลาผ่านไป 12 ปี บัดนี้รูปปั้นนั้นได้กลับมาเป็นรูปร่างสมบูรณ์อย่างงดงามอีกครั้ง

          รูปปั้นนี้มีชื่อว่า Adam เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว ที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก Adam มนุษย์คนแรกของโลกมือหนึ่งถือลูกแอปเปิ้ล ข้าง ๆ เป็นเสาสูงถึงโคนขา มีเถาองุ่นและงูพัน มือข้างหนึ่งของ Adam จับคองูตัวนี้

          ท่านผู้อ่านอย่าสับสนกับรูปปั้น David อันเลื่องลือของ Michelangelo ที่เป็นหินอ่อนแกะสลักเหมือนกัน เป็นชายยืนเปลือยเหมือนกัน แต่ David เปลือยหมดจดเห็นอวัยวะเพศและมือหนึ่งถือผืนผ้า ส่วน Adam ยังมีใบไม้ปิด

          ทั้งสองรูปปั้นสร้างขึ้นห่างกันไม่กี่ปี Adam สร้างขึ้นประมาณ ค.ศ. 1490-1495 ส่วน David ประมาณ ค.ศ. 1501-1504 รูปปั้นทั้งสองมีความละม้ายคล้ายกัน จะว่าไปแล้วผลงานอันลือชื่อของ Michelangelo ซึ่งเกิดทีหลัง อาจได้รับแรงบันดาลใจจาก Adam ด้วยซ้ำ

          Michelangelo เป็นคนร่วมสมัยกับ Leonardo da Vinci คนแรกดังในเมือง Florence ส่วน Leonardo Da Vinci ดังในเมือง Rome ส่วนคนที่สร้าง Adam นี้ก็มีฝีมือเยี่ยมมากเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบันเท่าสองคนแรก (ในโลกปัจจุบัน Da Vinci ดูจะโด่งดังกว่าจากรูปภาพ Mona Lisa ทั้ง ๆ ที่ Michelangelo มีฝีมือทั้งแกะสลักและภาพเขียนมากชิ้นกว่า)

          คนสร้าง Adam ก็คือศิลปินชื่อ Tullio Lombardo แห่งเมือง Venice (ในยุคนั้น Venice / Rome / Florence เป็นสาม “อาณาจักร” ที่แข่งขันกัน ยังไม่ได้ถูกรวมไว้ในประเทศเดียวกัน) เขาถูกจ้างให้แกะสลักรูปปั้น Adam สำหรับประดับในอนุสรณ์สถานซึ่งเป็นที่ฝังศพ The Doge Andrea Verdramin ซึ่งอยู่ในบริเวณโบสถ์ชื่อ Santa Maria Dei Servi ของเมือง Venice

          Adam เป็นรูปแกะสลักชายเปลือยกายชิ้นแรกนับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ในยุคนั้นมีการบันทึกถึงเรื่องความงดงามของรูปแกะสลักต่าง ๆ ของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ Adam ถูกวางไว้ตรงกลางใกล้ที่เก็บศพโดยมีรูปแกะสลักของ Eve ยืนอยู่คู่กัน (เป็นผลงานของ Francesco Segala)

          ในปี 1891 โบสถ์หลังนี้ถูกรื้อทิ้งไปเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกดดันกลุ่มศาสนาต่าง ๆ ของนโปเลียน โบนาปาร์ต ในการนี้หลุมศพดังกล่าวซึ่งเรียกกันว่า Verdramin Tomb หลุดรอดจากการถูกทำลายโดยย้ายไปไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อว่า Santi Giovanni el Paolo ส่วนรูปแกะสลัก Adam และ Eve ถูกย้ายไปไว้ที่ Palazzo Verdramin Calergi จนถึง ค.ศ. 1865

          สิ่งที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. นี้ก็คือเจ้าของสถานที่ประมูลขายรูปแกะสลักหินอ่อนส่วนใหญ่ไปหมด นักสะสมศิลปะคนหนึ่งซื้อ Adam ไป และหลังจากตายในปี 1932 ก็ผ่านไปอีกสองมือ จนในที่สุดMetropolitan Museum of Art ซื้อไปในที่สุดในปี 1936 และอยู่ที่นี่มาจนเกิดอุบัติเหตุล้มคว่ำลงไปในปี 2002 ดังกล่าวแล้ว (Eve ยังคงอยู่ที่ Palazzo Verdramin Calergi ตราบถึงทุกวันนี้)

          สาเหตุแห่งการคว่ำลงมาของ Adam ก็คือวางไว้ไม่ดีบนแผ่นไม้ซึ่งต้องรองรับน้ำหนักถึงประมาณ 350 กิโลกรัม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ซึ่งมีชื่อเสียงมากถูกวิจารณ์ในเรื่องความสามารถในการดูแลรักษาศิลปะวัตถุชิ้นที่งดงามนี้ ซึ่งมีผิวหินอ่อนขัดมันราบเรียบ รอยแกะสลักหน้าและผม กล้ามเนื้อต่าง ๆ ชัดคมงดงาม

          Metropolitan Museum of Art ตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ก เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และเป็น 1 ใน 10 ที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีงานศิลปะอยู่ถึง 2 ล้านชิ้น ในแต่ละปีมีผู้เข้าชมประมาณ 6 ล้านคน พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ภาคภูมิใจใน Adam มาก (แต่ทำไมดูแลแย่จัง?) ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อเอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มา

          ประกอบกันให้เหมือนเดิมโดยตลอดเวลา 12 ปี ของการทำงานไม่ค่อยเปิดเผยการทำงานต่อสาธารณชน (จนเคยมีข่าวลือว่า Adam แตกจนไม่สามารถประกอบใหม่ได้แล้ว) ล่าสุดประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าพร้อมแล้วที่จะเปิดให้สาธารณชนเข้าชม โดยมั่นใจว่าเฉพาะผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ เท่านั้นจึงจะบอกได้ว่ารูปแกะสลักนี้เคยแตกหักยับมาก่อน

          การเอาชิ้นส่วนมาประกอบกันแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียงวิจารณ์ นักศิลปะบางกลุ่มมีความเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรไปประกอบขึ้นมาใหม่ดังเช่นกรณีของรูปแกะสลัก Aphrodite of Milos หรือที่รู้จักกันในชื่อ Venus De Milo (รูปแกะสลักหญิงงามไม่มีแขนเพราะหักไปนานแล้ว)

          เหตุที่ใช้เวลาถึง 12 ปีก็เพราะต้องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุดมาใช้ในงานประกอบ มีการสร้างภาพเสมือนของ Adam ก่อนที่จะแตกหักโดยใช้เทคโนโลยี 3D (ปั้น Adam ขึ้นจริงโดยใช้เทคโนโลยีที่ทำให้ได้รูปปั้นเหมือนของจริงทุกประการเพื่อประกอบชิ้นส่วนที่แตกกลับมาให้เหมือนที่สุด) การใช้วัสดุใหม่เป็นหมุดตอกชิ้นส่วนเพื่อให้แข็งแรงที่สุดและมองไม่เห็น ตลอดจนใช้เทคโนโลยีขัดผิวหินอ่อนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ฯลฯ

          พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ยอมให้ใครเห็นภาพถ่ายของ Adam ตอนที่แตกเป็น 28 ชิ้นใหญ่กับ เศษละอองหินเล็ก ๆ เป็นอันขาด เพราะเกรงว่าภาพนี้จะติดตาจนไม่สามารถนำความรู้สึกที่ผูกพันกับรูปแกะสลักกลับมาได้เมื่อการประกอบสมบูรณ์แล้ว

          เรื่องเล่านี้คือตัวอย่างหนึ่งแห่งการหวงแหน ‘ความมีวัฒนธรรม’ ของมนุษยชาติ มิใช่เป็นเพียงการเอาเศษหินแตกมาประกอบกันเป็นรูปแกะสลักเก่าอันงดงามของศิลปินชาวเวนิสแต่อย่างใด

วิ่งมาราธอนจุดประกายชีวิต

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 พฤศจิกายน 2557

          ถ้ามีคนบอกว่า ส.ว. หญิงอายุเกิน 65 ปีคนหนึ่งสามารถวิ่งมาราธอนต่อเนื่องกัน หลายครั้งเป็นเวลาหลายปีอย่างประสบความสำเร็จ หลายท่านคงรู้สึกแปลกใจ แต่ถ้าเจาะลงไป ชัด ๆ เลยว่าไม่ใช่อายุเพียงเกิน 65 ปีเท่านั้นหากมีอายุ 86 ปีเมื่อปีที่แล้วก็คงจะอึ้งไปเหมือนกัน นักวิ่ง ผู้นี้แหละคือผู้จุดประกายชีวิตให้ผู้สูงอายุในโลก

          Joy Johnson คือชื่อของเธอ ถึงแม้ชีวิตจะล่วงเข้าทศวรรษที่ 9 แล้วแต่เธอก็ยังมีสุขภาพแข็งแรง นาน ๆ จึงจะไปหาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ ซึ่งครั้งใดที่ไปตรวจเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต่างตกใจที่เธอวิ่งบนสายพานทดสอบอย่างประทับใจแพทย์ผู้ตรวจ

          เมื่อปีที่แล้วในการวิ่ง New York City Marathon ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี เธอเป็นนักวิ่งครบระยะทางที่มีอายุมากที่สุด คือ 86 ปี เธอวิ่งครบระยะทาง 26.219 ไมล์ (42.195 กิโลเมตร) ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 25 โดยวิ่งได้ในเวลา 7 ชั่วโมง 57 นาที 41 วินาที ถึงแม้จะนานหน่อยแต่เธอก็เดินและวิ่งได้ครบระยะทาง ซึ่งคนระดับลูกหลานของเธอที่ไม่สามารถวิ่งได้ครบนั้นมีมากมาย

          Johnson เป็นแนวหน้าของปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในการวิ่งมาราธอนหลายแห่ง ทั่วโลกที่คนสูงอายุมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ในการแข่งขัน New York City Marathon ประจำปีนี้คือ 2014 มีจำนวน 34 คนที่อายุเกิน 80 ปี ปีก่อนนี้ 22 คน และสิบปีที่แล้วมีเพียง 4 คน

          การแข่งขันวิ่งมาราธอนเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับนักวิ่งแบบเร็ว แบบจ๊อกกิ้ง และแบบวิ่งไปเดินไปมาก ๆ การวิ่งได้ครบถือว่าประสบความสำเร็จแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่เพราะเป็นเรื่องที่ยาก มีคนบาดเจ็บล้มตายระหว่างทางกันตลอด

          มาราธอนคือการวิ่งระยะทางไกล โดยมีระยะทางอย่างเป็นทางการ 42.195 กิโลเมตร โดยปกติวิ่งกันบนถนน การวิ่งมาราธอนคือการวิ่งเลียนแบบเรื่องเล่าเก่าแก่ของทหารยุคกรีกเมื่อ 494 ก่อนคริสตกาล ชื่อ Pheidippides ซึ่งเป็นพนักงานส่งข้อความระหว่างศึก Battle of Marathon กับ กรุงเอเธนส์ โดยต้องการจะวิ่งไปบอกว่าบัดนี้พวก Persians ได้แพ้แล้ว เมื่อมาถึงก็ตะโกนว่า “We have won” แล้วก็ล้มลงตายทันทีเนื่องจากวิ่งมาไม่หยุด การวิ่งแบบนี้จึงเรียกกันว่า Marathon ในปัจจุบัน

          มาราธอนเป็นหนึ่งในกีฬาดั้งเดิมนับตั้งแต่กีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ใน ค.ศ. 1896 ถึงแม้ว่าในตอนนั้นระยะทางจะยังไม่มีมาตรฐานแน่นอนจนถึง ค.ศ. 1921 ในการแข่งขันครั้งนั้นผู้ชนะใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง กีฬาโอลิมปิกในปี 1984 มีการวิ่งมาราธอนหญิงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ผู้ชนะคือ Joan Benoit จากสหรัฐอเมริกาด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 24 นาที 52 วินาที สถิติวิ่งมาราธอนหญิงที่เร็วที่สุดในโลกคือ 2 ชั่วโมง 23 นาที 7 วินาที ในปี 2012 โดย Tiki Gelana จากเอธิโอเปีย

          ชัยชนะในการวิ่งมาราธอนของนักวิ่งอเมริกา Frank Shorter ในโอลิมปิก 1972 จุดประกายให้เกิดความบ้าคลั่งตลอดหลายทศวรรษต่อมา ในปี 2009 มีประมาณการว่ามีผู้วิ่งมาราธอนจนครบเส้นทางไม่ต่ำกว่า 467,000 คน ในสหรัฐอเมริกา เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน 143,000 คน ในปี 1980

          การจัดรายการวิ่งมาราธอนมีในเมืองใหญ่ของโลกทั้งนั้น เช่น New York City, Boston, Chicago, Berlin, London, Tokyo, Paris ฯลฯ (แม้แต่กรุงเทพมหานครของเราก็จัดอยู่เนือง ๆ)รวมแล้วทั่วโลกมีการจัดรายการวิ่งมาราธอนเกือบไม่เว้นแต่ละอาทิตย์

          ทำไมคนจึงนิยมวิ่งมาราธอน? การวิ่งให้ครบระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตรเป็นสิ่ง ท้าทายความสามารถของมนุษย์ทั้งหญิงและชาย การจัดงานวิ่งที่ใหญ่โตคึกคักสนุกสนานของแต่ละเมืองโดยมีคนร่วมวิ่งเป็นหมื่น ๆ คนทำให้เกิดบรรยากาศ ประการสำคัญก็คือการจะวิ่งให้ได้ครบและมีสถิติที่ดี ต้องการการฝึกฝนที่ยาวนาน มีกลยุทธ์ในการวิ่งที่ดี ซึ่งกระบวนการนี้ก็คือการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพนั่นเอง โดยมีเป้าหมายใหญ่ที่เป็นรูปธรรมคือวิ่งให้ครบระยะทาง คนที่ชนะการวิ่งมาราธอนในรายการใหญ่จะมีชื่อเสียง เป็นที่กล่าวขวัญถึงในวงสังคมต่างประเทศกันมาก

          Joy Johnson วิ่งมาราธอนของ New York City ครบ 25 ครั้งต่อเนื่องกันจนถึงปีที่แล้วจน เธอเป็นบุคคลสำคัญที่คนกล่าวถึงทั่วโลก อย่างไรก็ดีในปี 2014 นี้ไม่มีครั้งที่ 26 สำหรับเธอ…..เพราะหลังจากวิ่งปีที่แล้วเพียง 1 วัน เธอก็เสียชีวิต

          ในการวิ่งเมื่อปีที่แล้วที่หลักไมล์ที่ 16 เธอก็หกล้ม แต่ก็อดทนวิ่งจนถึงหลักชัย เธอให้สัมภาษณ์ด้วยผ้าปิดแผลที่หน้าและศีรษะโดยบอกว่ามันก็แค่ขีดข่วนเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมดา เธอไม่ได้ไปหาแพทย์หรือตรวจที่โรงพยาบาล เช้าวันรุ่งขึ้นเธอให้สัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์พร้อมโชว์เหรียญรอบคอดังที่เคยทำมาทุกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็บอกว่าเหนื่อยและขอนอนพักและเธอก็ จากไป การตรวจภายหลังพบว่าเธอเสียชีวิตเพราะแรงกระแทกที่ศีรษะตอนล้มจนเกิดเลือดคั่งในสมอง

          เธอเป็นครูพลศึกษาที่ไม่ได้เป็นนักวิ่งจริงจังกระทั่งอายุ 58 ปี เธอฝึกฝนวิ่งทุกเช้าวันละ 2 ชั่วโมงบนทางวิ่งและบนชายหาดใกล้โรงเรียนที่เธอสอนที่เมือง San Jose ในรัฐคาลิฟอเนีย เธอบอกลูก ๆ ว่าหากเธอวิ่งและล้มหมดสติใกล้ตายก็ปล่อยให้เป็นไปธรรมชาติ และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เธอต้องการ เธอบอกเสมอว่าเธอต้องการวิ่งจนตาย

          การวิ่งของ Joy Johnson ปลุกให้ผู้สูงอายุจำนวนมากในโลกมีพลังใจ ตระหนักว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น ตราบใดที่มีจิตใจเข้มแข็งไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยตัวเลขแล้วก็สามารถทำอะไรได้อีกมากมายแม้แต่วิ่งมาราธอน

          มีเรื่องเล่าหลายเรื่องว่าหญิงสูงอายุจำนวนมากที่ไม่ยอมเดินไปไหนอยู่แต่บ้านเพราะคิดว่า ตนเองแก่มากแล้วร่างกายไม่อำนวยให้เดินไปไหนมาไหนได้ เมื่อได้เห็นคนในวัยเดียวกันไม่เพียงแต่เดินหากวิ่งมาราธอนเอาด้วยซ้ำก็เกิดกำลังใจลุกขึ้นเดินต่อสู้ชีวิต

          ยังมีผู้สูงอายุอเมริกันอีก 2 คนที่วิ่งมาราธอน เพียงแต่มิได้วิ่งอย่างต่อเนื่องเหมือน Joy Johnson เท่านั้น คนแรกชื่อ Jon Mendes อายุ 94 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุดในมาราธอนของปี 2014 ของ New York City อย่างไรก็ดีทั้งสองปีเธอสามารถวิ่งเดินได้ไม่กี่ไมล์ก็ต้องออกจากการแข่งขัน

          อีกคนหนึ่งคือ Margaret Hagerty อายุ 91 ปี วิ่งมาราธอนที่ New York City ในปี 2014 เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้าย ในอดีตเคยวิ่งมาราธอนครบระยะทางมาแล้ว 80 ครั้ง

          อะไรที่ผู้สูงอายุทั้ง 3 คนมีร่วมกันที่ทำให้สามารถวิ่งครบระยะทางมาราธอน? คำตอบก็คือสปิริตของความมุ่งมั่นโดยไม่ใส่ใจตัวเลขอายุ…………แต่ลูกหลานบางคนอาจเรียกว่าความดื้อก็เป็นได้

ประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 พฤศจิกายน 2557

          เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้ประธานาธิบดีคนใหม่ของสาธารณรัฐที่มีอายุ 69 ปี เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่มีประชากร 250 ล้านคนซึ่งเป็นอันดับ 4 ของโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของอาเซียนจึงเป็นเรื่องน่าสนใจของชาวโลก

          อินโดนีเซียประกอบด้วย 18,000 เกาะ มีภาษาท้องถิ่นหลากหลายนับร้อย ๆ ภาษา ประธานาธิบดีคนแรกคือ Sukarno ประสบความสำเร็จในการสร้างความเป็นชาติโดยใช้เครื่องมือสำคัญอันหนึ่งคือการใช้ภาษาร่วมกัน ซึ่งเรียกชื่อว่า Bahasa (ภาษา) Indonesia อันมีพัฒนาการจากภาษามาเลย์ซึ่งมีคนจำนวนมากในบริเวณนั้นใช้กันอยู่ก่อนแล้ว ปัจจุบันคนอินโดนีเซียใช้กันในชีวิตประจำวันและในภาษาราชการจนกลายเป็นภาษาประจำชาติ

          เมื่อ Sukarno หมดอำนาจลงใน ค.ศ. 1967 ประธานาธิบดี Suharto ก็ครองอำนาจแทน และอยู่มายาวนานถึง 31 ปี ต่อด้วยประธานาธิบดี Habibie (1998-1999) จากนั้นก็มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกและได้ประธานาธิบดี Wahid (1999-2001) โดยมีนาง Megawati ธิดาอดีตประธานาธิบดี Sukarno เป็นรองประธานาธิบดี เมื่อ Wahid ถูกรัฐสภาถอดถอนจากการเป็นประธานาธิบดี นาง Megawati ก็เป็นประธานาธิบดีแทน

          ในการเลือกตั้งใน ค.ศ. 2004 เธอก็พ่ายแพ้นายพล Susilo Bambang Yudhoyono (เรียกกันสั้น ๆ ว่า SBY) ผู้ครองอำนาจอยู่ 2 สมัยรวม 10 ปี และเมื่อไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีได้อีกสมัยจึงมีการเลือกตั้งในปีนี้ และได้ประธานาธิบดีคนที่ 7 คือนาย Joko Widodo ซึ่งมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า Jokowi และเพิ่งสาบานตนไปเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา

          ที่เขียนมานี้มันดูแสนง่ายในการได้เป็นประธานาธิบดีของนาย Jokowi แต่ในความเป็นจริงแล้วยากมากและก็ไม่แน่นอนด้วยว่าจะได้อยู่ครบเทอม 5 ปี เพราะตัวอย่างก็มีมาแล้วในกรณีของประธานาธิบดี Wahid

          เมื่อเดือนเมษายนก่อนหน้านี้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรค PDI-P ซึ่งเป็นพรรคที่ Jokowi สังกัดโดยมีนาง Megawati เป็นหัวหน้าพรรคได้ที่นั่งเพียง 1 ใน 5 และอีกเกือบครึ่งหนึ่งเป็นบล๊อกใหญ่อันประกอบด้วยพรรค Golkar (พรรคทหารเก่าสมัย Suharto) พรรค Gerindra (ของนายพล Prabowo Subianto อดีตลูกเขย Suharto) พรรค Demokrat (ของ SBY) และพรรค PAN (ของนาย Hatta Rajasa)

          ต่อมาเมื่อถึงเดือนกรกฎาคมก็มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง พรรค PDI-P ส่ง Jokowi ส่วนพวกบล็อกใหญ่ก็ส่งนายพล Prabowo Subianto ลงแข่ง ทั้งสองสู้กันเป็นสามารถจนในที่สุด Jokowi ก็ชนะไปร้อยละ 53.2 ต่อ 46.9 ของจำนวนผู้ลงคะแนนซึ่งเรียกได้ว่าเฉียดฉิว

          ในช่วงเวลาหลังเลือกตั้งตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงตุลาคม ถึงแม้คะแนนที่ไม่เป็นทางการของฝ่ายกลุ่มใหญ่จะแพ้แล้ว แต่ก็ดิ้นรนฟ้องศาลว่ามีการทุจริต ต่อสู้ทุกลักษณะเพื่อไม่ให้แพ้ มีการประท้วงกันวุ่นวายอยู่นาน จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินให้ Jokowi เป็นผู้ชนะ

          Jokowi เติบโตจากสลัม ต่อสู้เรียนหนังสือจนจบวิศวะและเป็นนักธุรกิจค้าขายเฟอร์นิเจอร์ เมื่อเขาได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีของเมือง Solo ซึ่งเป็นบ้านเกิด เขาก็ทุ่มเทแสดงฝีมือเต็มที่อย่างปราศจากคอรัปชั่นซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติของการเมืองประเทศนี้ เขาจึงได้รับความนิยมอย่างมากจากประชาชน

          เขาพลิกผันเมือง Solo ด้วยความจริงใจและความซื่อสัตย์ เขาสร้างให้ Solo มีตลาดของเก่า มีตลาดเครื่องไฟฟ้า มีแหล่งช้อปปิ้งสำหรับสินค้าแบรนด์เนม มีเส้นทางเดินยาว 7 กิโลเมตรคู่กับถนนใหญ่ ปรับปรุงสวนสาธารณะขนาดใหญ่สองแห่ง เข้มงวดการตัดต้นไม้ขนาดใหญ่รอบเมือง และรีแบรนด์ Solo ให้เป็นศูนย์กลางของวัฒธรรมเกาะชวา เป็นศูนย์กลางจัดการประชุมสำคัญระดับโลกหลายครั้ง อีกทั้งมีโครงการประกันสุขภาพสำหรับชาว Solo อีกด้วย ฯลฯ

          ผลงานจาก 7 ปี ของการเป็นนายกเทศมนตรีเมือง Solo ผลักดันให้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการเขต Jakarta ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทั้งเมืองหลวงใหญ่ของประเทศและบริเวณรอบนอก Jokowi อยู่ในตำแหน่งนี้ 2 ปี และเมื่อประชาชนเรียกร้องให้เขาลงแข่งขันเป็นประธานาธิบดีเขาก็ลาออกมาสมัคร

          ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหาเพราะนายพล Probowo Subianto ผู้เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจเก่าของ Suharto จองตำแหน่งประธานาธิบดีไว้แล้วถึงแม้ชื่อเสียงจะไม่ดีเท่านาย Jokowi (มีชื่อเสียง มัวหมองในเรื่องการล้ำสิทธิมนุษยชน โดยถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนจำนวนมากตอนที่ติมอร์ตะวันออก พยายามแยกตัวเป็นเอกราชเมื่อกว่า 10 ปีก่อน) แต่ก็มีเงินทองมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้

          เมื่อหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มใหญ่นี้บอกว่าจะต่อต้าน Jokowi ในทุกเรื่องจึง มุ่งมั่นประสานมือกันแน่นโดยมี Subianto เป็นหัวหน้าใหญ่ ส่วนหนึ่งว่ากันว่ามาจากความแค้นส่วนตัวที่เคยช่วยเหลือผลักดันให้ Jokowi ชนะเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการเขต Jarkata โดยแลกกับคำสัญญาว่าจะอยู่ในตำแหน่งจนครบ ไม่ลาออกมาสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี

          ปัจจุบันประธานาธิบดี Jokowi อายุ 53 ปี เป็นผู้ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับกลุ่มอำนาจเก่าที่สืบทอดครอบครองอำนาจมายาวนานนับสิบ ๆ ปี โดยเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นคนของประชาชน สิ่งที่เขาจะพบก็คือการต่อสู้กับกลุ่มอำนาจเก่าซึ่งนำโดยอดีตนายพล Subianto อายุ 63 ปี ผู้มีเงินทองและพรรคพวกมากมาย และครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร

          ก่อนหน้าพิธีสาบานตน กลุ่มอำนาจเก่าก็ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ในสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้การนำของ Subianto ด้วยการออกกฎหมายยกเลิกการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยตรง โดยเปลี่ยนมาให้ผู้ปกครองท้องถิ่นเป็นผู้คัดเลือกแทน ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของกลุ่ม Subianto เกือบทั้งสิ้น

          แค่ยกแรกประธานาธิบดีคนใหม่ก็เหนื่อยแล้วในการใช้อำนาจประชาชนผลักดันให้มีการทบทวนกฎหมายฉบับนี้ ศึกที่สองก็คือการเลือกรัฐมนตรี 34 คน ซึ่งได้ประกาศแล้วว่าจะเลือกนักการเมืองเพียง 16 คน อีก 18 คน จะเลือกคนดีมีฝีมือและมือสะอาดมาเป็นทีมงาน ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องเผชิญกับอำนาจจากนักการเมืองของพรรคที่ต้องการตำแหน่งรัฐมนตรี

          ศึกที่สามก็คือการตัดสินใจลดเงินอุดหนุนพลังงานที่ภาครัฐเคยให้ประชาชนอย่างมากมายาวนานจนกินงบประมาณเกือบถึงร้อยละ 20 แล้ว ประธานาธิบดี Suharto พังไปก็เพราะการลดเงินอุดหนุนไปมากจนราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในตอนวิกฤต ‘ต้มยำกุ้ง’

          Jokowi มีครอบครัวที่อยู่กันอย่างพอเพียง ไม่เคยมีใครเห็นภรรยาเขาใส่เสื้อผ้าหรือถือกระเป๋าแบรนด์เนมเช่นเดียวกับตัวเขา การเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของผู้นำคนใหม่ที่ต่างไปจากเดิมอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง

          คำถามที่รอคำตอบก็คือเมื่อผู้นำและรัฐมนตรีมือสะอาด ข้าราชการชั้นสูงจะถูกบังคับให้เดินตามเหมือนอย่างที่ไทยบอกว่า “ถ้าหัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระติก” หรือภาษาอังกฤษว่า As above, so below. หรือไม่

“คืนความสุข” ให้ผู้อ่านด้วยเสียงหัวเราะ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 พฤศจิกายน 2557

          ขอ “คืนความสุข” ให้ท่านผู้อ่านแบบสบาย ๆ ด้วยการเสนอเรื่องที่คิดว่าพอเรียกเสียงหัวเราะได้บ้างสักครั้งนะครับ

  • ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อแม่และลูกชาย 3 คน ในวัยรุ่นแสนซนอยู่บ้านบนริมเนิน วันหนึ่งก็เกิดอาเพศห้องส้วมที่ตั้งอยู่ริมเนินมีคนผลักตกลงไป พ่อโกรธมากก็เรียกลูกสามคนมาถาม ไล่เรียงกันตั้งแต่คนโตลงมา สองคนแรกปฏิเสธอย่างแข็งขัน ส่วนลูกคนที่สามดูท่าทีมีพิรุธ พ่อจึงเล่าให้ฟังว่า “จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา เมื่อตอนเด็กซนมาก ตัดต้นเชอรี่ของพ่อหมดเลย แต่เขาเป็นคนซื่อสัตย์เมื่อพ่อถามเขาจึงยอมรับ พ่อจึงไม่ลงโทษเขา เอ้าคราวนี้ ลูกบอกพ่อมาซิว่าเป็นคนผลักส้วมหรือเปล่า”

    ลูกคนหลังฟังเรื่องอานุภาพแห่งความซื่อสัตย์แล้วก็ยอมรับกับพ่ออย่างกล้าหาญว่าเป็นคนผลักส้วมจริง พ่อก็ตีใหญ่เลย เมื่อร้องไห้เสร็จ เขาก็ถามพ่อว่า “ก็ไหนพ่อบอกว่าจอร์จ วอชิงตัน ไม่ถูกตีไงเวลายอมรับ ผมทำแบบเขาแล้ว แต่ทำไมพ่อยังตีผม” พ่อตอบว่า “ฟังให้ดีนะ มีข้อแตกต่างอยู่สองอย่างระหว่างจอร์จกับลูก อย่างแรกลูกไม่ใช่จอร์จ วอชิงตัน และอย่างที่สองเวลาที่จอร์จตัดต้นเชอรี่พ่อเขาไม่ได้อยู่บนต้นเชอรี่…..แต่เวลาที่ลูกผลักนั้นพ่ออยู่ในส้วม”
     
  •  ชายหนุ่มระล่ำระลักโทรศัพท์ไปบอกเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยาน “เพื่อนผมประสบอุบัติเหตุ ตกเขาตายครับ” ด้วยความเป็นห่วงเจ้าหน้าที่จึงบอกไปว่า “คุณไปดูให้แน่ใจนะว่าเขาตายแล้วจริง ๆ” ผู้แจ้งหายเงียบไปพักหนึ่งและได้ยินเสียงปืนดังขึ้นผ่านเข้ามาในโทรศัพท์ จากนั้นก็ได้ยินเสียงตอบมาว่า “แน่นอนครับ ผมแน่ใจว่าเขาตายแล้ว จะให้ผมทำอะไรต่อไปครับ”
     
  • แม่อุ้มทารกขึ้นรถเมล์ ก็บังเอิญให้พบคนขับรถปากเสียบอกว่า ‘โอ้ย ผมไม่เคยเห็นเด็กอะไรหน้าตาน่าเกลียดเท่านี้เลยในชีวิต’ เธอโกรธมากเดินตรงไปนั่งหลังรถข้างชายหนุ่มคนหนึ่ง เธอบอกอย่างโมโหว่า “คนขับรถแย่มาก เขาเพิ่งพูดจาดูถูกฉันอย่างร้ายแรง” ชายหนุ่มเกิดอารมณ์ร่วมก็เลยแนะนำว่า “เอาอย่างนี้ดีไหมพี่ เดินไปใส่มันเลย ดูถูกกันได้ยังไง ระหว่างนี้ผมจะอุ้มลิงตัวนี้ไว้ให้พี่เพื่อที่จะซัดมันได้ถนัดมือ”
     
  • ถึงแม้จะอยู่ในวัย 15 ปีแล้วแต่เขาก็ยังอ่านหนังสือไม่แตก อย่างไรก็ดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกภูมิใจในความสามารถภาษาไทยของตนเองที่มีอยู่ไม่มากนัก เขาบอกพ่อบนเตียงในโรงพยาบาลว่า “ผมขี่มอเตอร์ไซต์มาตรงทางโค้งก็เห็นป้ายบอกว่า ‘ทางโค้งอันตราย’ ผมก็เลยตัดสินใจขับไปตรง ๆ เลย นี่ยังดีนะพ่อที่ผมอ่านหนังสือออก มิฉะนั้นผมตายไปแล้ว”
     
  • หลาน 3 ขวบดีใจมากที่ได้ปืนฉีดน้ำเป็นของขวัญวันเกิดจากยาย แต่แม่ไม่ค่อยจะปลื้มนักจึงไปต่อว่าแม่ “แม่จำไม่ได้แล้วหรือว่าแม่รำคาญพวกเราแค่ไหนเมื่อตอนเด็ก ๆ ที่เราเล่นปืนฉีดน้ำกัน” แม่หัวเราหึหึแล้วบอกว่า “อ๋อ ฉันจำได้”
     
  • องค์การสืบราชการลับต้องการได้มือฆ่าที่ใจถึง ทำตามคำสั่งได้ทุกอย่าง จึงฝึกฝนชาย 2 หญิง 1 อย่างเข้มข้น และแล้วการทดลองที่สำคัญก็มาถึง ครูให้ปืนเพื่อให้ชายคนแรกฆ่าภรรยาของเขา แม้จะถือปืนเข้าไปจ่อตอนหลับแต่ก็เอาปืนมาคืนและบอกว่าทำไม่ได้ ชายคนที่สองก็สอบตกเพราะทำไม่ได้เช่นเดียวกัน มาถึงหญิงใจถึงคนสุดท้าย เธอถือปืนกระบอกนี้เข้าไปในห้องนอนเพื่อยิงสามี ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด แล้วก็มีเสียงโครมครามอยู่นานพอควร เมื่อเธอออกมาจากห้องครูก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอตอบว่า “โธ่ครูไม่บอกว่ามันเป็นกระสุนปลอม หนูเลยต้องใช้เก้าอี้ฟาดหัวมันซะหลายทีกว่าจะเรียบร้อย”
     
  • เมื่อชายหนุ่มเรียนจบกฎหมาย ก็กลับมาเปิดสำนักงานทนายความที่บ้านเพื่อแสดงให้ใคร ๆ รู้ว่าไม่ธรรมดาแล้วนะ ในวันแรกที่มีพิธีเปิดผู้คนก็มาร่วมงานกันคับคั่ง เขาพูดโทรศัพท์เสียงดังเพื่อให้คนได้ยินกันทั่ว “บอกผู้พิพากษานะว่าเราคงได้พบกันอีก 2 วัน ระหว่างนี้ผมจะคุยกับรัฐมนตรีไปพลางก่อน ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะถึงนายกฯ ไหม ยังไงผมก็จะพูดกับท่านดูแล้วกัน” เมื่อพูดเสร็จก็หันมาถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนคอยอยู่ “ผู้ว่าฯ ฝากอะไรมาหรือ” “เปล่าครับ ผมกำลังจะมาติดตั้งโทรศัพท์”
     
  • สมชัยมีชื่อเสียงว่าเป็นคนกลัวเมียมาก เมื่อตายแล้วก็ขึ้นไปบนสวรรค์พบเพื่อน ๆ คุยกันสนุกสนาน พระเจ้าก็สั่งให้บรรดาชายทั้งหลายตั้งแถวสองแถว แถวแรกสำหรับคนกลัวเมีย อีกแถวสำหรับคนไม่กลัวเมีย ผลปรากฏว่าแถวแรกมีคนเข้าแถวกันยาว ส่วนแถวไม่กลัวเมียมีอยู่ในแถวเพียงคนเดียวคือสมชัย เพื่อน ๆ พากันฮือฮาว่าเดี๋ยวนี้สมชัยเปลี่ยนไปนะ เป็นนิวสมชัยว่างั้นเถอะ เมื่อถึงคิวพบพระเจ้า ๆ ก็ถามว่าเหตุใดจึงเป็นคนกล้าหาญน่าชื่มชมมากเช่นนี้ สมชัยก็ตอบว่า “ผมเพิ่งพบภรรยาผมเมื่อก่อนเข้าแถว เธอสั่งให้ผมมาเข้าแถวนี้ เพราะคิดว่าน่าจะมีโปรโมชั่นพิเศษ”
     
  • พนักงานดับเพลิงบอกเจ้าของห้องที่ไฟกำลังไหม้ให้โดดลงไปข้างล่างทันที “แต่นี่มันชั้นที่ 13 นะครับ” “โดดเร็วเถอะครับ เราไม่มีเวลาสำหรับโชคลางแล้ว”
     
  • ความงามมาจากภายใน…..ใช่…..จากขวด โถ หลอด ตลับ…..
     
  • กระทาชายนายหนึ่งกระหืดกระหอบโทรศัพท์ไปโรงพยาบาล “คุณต้องช่วยผมหน่อย เธอกำลังจะคลอดลูกแล้ว” “ใจเย็น ๆ ค่ะ ที่พูดนี้เป็นลูกคนแรกของเธอหรือเปล่าคะ” “เปล่าครับ ผมเป็นสามีเธอ”
  • เซลส์แมนกำลังจะเดินเข้าบ้านที่ประตูเปิดอยู่ก็เห็นเด็กคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านจึงถามว่า “หมาของหนูดุไหม” เด็กก็ตอบว่า “ไม่ดุครับ” แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้านก็โดนกัดเสียเต็มเขี้ยว ขาออกมาจึงโมโหต่อว่าเด็กใหญ่ “ไหนบอกไงว่าหมาไม่ดุ” เด็กตอบว่า “ก็มันไม่ใช่หมาของผม และมันก็ไม่ใช่บ้านผมด้วย”
    เสียงหัวเราะคือวิตามินเพื่อสุขภาพและเพื่อเสริมสปิริตของการมีชีวิตซึ่งไม่จำเป็นต้องมีอายุตามร่างกายครับ