อย่าลืมไต้หวัน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 มีนาคม  2557

          ครั้งหนึ่งไต้หวันดูจะเป็นที่คุ้นเคยของคนไทย แต่เมื่อกระแสจีน อาเซียน และเกาหลีพุ่งสูงขึ้น ไต้หวันก็ดูเหมือนถูกมองข้ามไป

          ชื่อดั้งเดิมของไต้หวันตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 คือฟอร์โมซา นักเดินเรือปอตุเกสเป็นผู้ตั้งชื่อว่า Ilha Formosa ซึ่งหมายถึง Beautiful Island

          ในสมัยโบราณ เมืองหลวงเก่าแก่เป็นเมืองท่าอยู่ทางใต้มีชื่อว่า “ไต้หวัน” แต่ต่อมาชื่อเมืองกลับกลายเป็นชื่อเกาะ ดังนั้นเมืองนี้จึงต้องมีชื่อใหม่ว่า Tainan ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยว มีอารยธรรมดั้งเดิมก่อนที่ความเจริญจะแพร่ขึ้นไปทางเหนือคือไทเปซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบัน

          เกาะนี้อยู่ภายใต้การครอบครองของพวกดัชจนกระทั่งถึงราชวงศ์ชิง จึงตกอยู่ในมือของจีนนับตั้งแต่ ค.ศ. 1683 โดยอยู่ภายใต้มณฑลฝูเจี้ยนอันเป็นแหล่งที่อยู่ของคนฮกเกี้ยนเป็นส่วนใหญ่

          ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งแรกระหว่าง ค.ศ. 1894-1895 เกาะไต้หวันก็ตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น จนกระทั่งอีก 50 ปีต่อมาเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ไต้หวันจึงมีประวัติศาสตร์ใหม่

          ในปี 1949 เมื่อสงครามกลางเมืองในจีนสงบลงโดยพรรคคอมมูนิสต์ของเหมา เจอ ตุง เป็นผู้ชนะได้ครอบครองแผ่นดินใหญ่ จอมพลเจียงไคเช็คแห่ง Republic of China ผู้พ่ายแพ้ก็ต้องยึดเกาะไต้หวันเป็นฐาน และตั้งแต่นั้นมาไต้หวันก็เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจจนกลายเป็นหนึ่งในเสือ 4 ตัวของเอเชีย

          ในปี 1945 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม จอมพลเจียงไคเช็คประธานาธิบดี Republic of China เป็นผู้ปลดอาวุธญี่ปุ่นแทนฝ่ายพันธมิตร และได้ไต้หวันมาเป็นดินแดน ในตอนนั้นคงมองอยู่เหมือนกันว่าถ้าแพ้สงครามกลางเมืองก็จะมายึดเกาะนี้เป็นหัวหาด

          การมองเช่นนี้มิใช่สิ่งผิดเพราะตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน 50 ปี ถึงแม้จะประสบปัญหากับคนพื้นเมืองและคนจีนรบราฆ่าฟันกันมาตลอด แต่ก็ได้สร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน (รถไฟ ถนน) อาคารตึกรามบ้านช่อง ระบบน้ำทิ้ง ตลอดจนรากฐานการศึกษา (ตั้ง National Taiwan University ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกในปัจจุบัน) ไว้เป็นอย่างดี

          ด้วยโครงสร้างที่ดีเช่นนี้เมื่อไต้หวันเดินเครื่องด้วยการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะในระหว่างสงครามเกาหลีต้นทศวรรษ ค.ศ. 1950 ไต้หวันเป็นฐานสนับสนุนการผลิตที่สำคัญ) และโลกตะวันตก เศรษฐกิจก็รุดหน้าไปไกลกว่าจีนแผ่นดินใหญ่คู่แข่งดั้งเดิมเป็นอันมากในทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970

          ถึงแม้ไต้หวันจะประสบปัญหาการถูกมองข้ามทางการเมืองเมื่อจีนได้รับการยอมรับจากสหรัฐอเมริกาและโลกนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา แต่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจก็มิได้ลดลงเมื่อผนวกกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีอุตสาหกรรม เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และไอที คนไต้หวันมีรายได้ต่อหัวสูงทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้วในปัจจุบัน

          คนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีประมาณ 200,000 บาท คนไต้หวันมีรายได้สูงกว่า คนไทย 3.4 เท่า คนญี่ปุ่น 6 เท่า และคนเกาหลี 3.8 เท่า

          จำนวนเท่าเหล่านี้น่าตื่นเต้นแต่อย่าลืมว่าค่าครองชีพก็สูงตามไปด้วย ดังเช่นเกาหลี ญี่ปุ่น ยกเว้นไต้หวัน

          ผู้เขียนได้ประสบด้วยตนเองเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ค่าครองชีพของคนไต้หวันใกล้เคียงกับคนไทยในเมืองใหญ่ (ค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนก็ใกล้เคียงกัน) แต่คนไต้หวันมีรายได้มากกว่าคนไทย 3.4 เท่า ตัวเลขเช่นนี้ทำให้เห็นภาพได้ว่าคนไต้หวันมีคุณภาพชีวิตสูงอย่างเงียบ ๆ เพียงใดในโลกปัจจุบัน

          สาเหตุสำคัญที่ไต้หวันสามารถรักษาค่าครองชีพให้ต่ำไว้ได้ก็คือเทคโนโลยีการเกษตรที่ก้าวหน้ามีผลผลิตสูงจนทำให้ต้นทุนอาหารอยู่ในระดับต่ำ กอบกับการไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัวของภาครัฐ ทำให้อำนาจซื้อของประชาชนและภาครัฐสมดุลกับผลผลิตจนส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อต่ำ นอกจากนี้ความสามารถในการส่งออกทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ไต้หวันไม่อ่อนจนทำให้น้ำมันและวัตถุดิบที่นำเข้ามีราคาสูงด้วย

          ไต้หวันมีจุดแข็งด้านการศึกษาในทุกระดับ ถึงแม้จะมีจำนวนสถาบันอุดมศึกษาใกล้เคียงกับไทยคือประมาณ 170 แห่ง (แต่มีประชากรเพียง 23 ล้านคน) ทางการของไต้หวันก็สามารถควบคุมดูแลรักษากฎเกณฑ์ บังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาคุณภาพการศึกษาได้อย่างแข็งขัน

          ไต้หวันมีปัญหาเรื่องสีเช่นเดียวกัน ในทางการเมืองความคิดของคนไต้หวันแบ่งออกเป็นสองสีคือพวกสีน้ำเงินซึ่งมองว่าในระยะยาวนั้นการรวมตัวกับจีนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ในระยะเวลาสั้นไม่เห็นด้วยกับการรวมตัวกับจีนซึ่งเป็นความเห็นอย่างท่วมท้นของ คนไต้หวัน

          อีกสีหนึ่งคือพวกสีเขียวซึ่งต้องการอิสรภาพของไต้หวัน ไม่ต้องการรวมตัวกับ จีน หากปรารถนาความเป็นไต้หวัน อย่างไรก็ดีในระยะเวลาสั้นเห็นว่าควรจะคงสถานะไว้อย่างเดิม ไม่ควรไปแหย่หางเสือ

          ไต้หวันมีโจรผู้ร้ายน้อยกว่าไทย บ้านเมืองสวยงามสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ประชาชนมีเสรีภาพทางการเมือง และมีความมั่นคงในชีวิตหากไม่คิดไปไกลถึงจีนซึ่งเป็นอิทธิพลคุกคามอยู่ลึก ๆ ในใจของคนไต้หวันทุกคน

          คนไต้หวันเป็นนักลงทุนสำคัญในธุรกิจ SME’s ของไทยมาตั้งแต่สมัยเมื่อ 30-40 ปีก่อน เทคโนโลยีการเกษตรของไทยหลายอย่างมาจากไต้หวัน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมเครื่องกล ฯลฯ

          ไต้หวันมีวัฒนธรรมจีน แต่ก็ไม่ใช่จีนที่ขาดความเป็นตัวเป็นตน หากมีพลังเข้มแข็งบนฐานคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในระดับโลก

ช็อกโกแลตจะขาดแคลน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 มีนาคม 2557

          ยังไม่เคยพบใครที่รังเกียจช็อกโกแลต มีแต่จะชอบมากหรือพยายามควบคุมไม่ให้ชอบมากเท่านั้น ในอนาคตอันใกล้มีความเป็นไปได้ว่าชาวโลกจะไม่ได้บริโภคช็อกโกแลตกันอย่างรื่นรมย์เหมือนในปัจจุบัน

          ช็อกโกแลตประกอบด้วยผงเมล็ดโกโก้ นม น้ำตาล ไขมันจากโกโก้ และอาจมีถั่ว ลูกเกด เหล้า น้ำผลไม้ ผสมลงไป ในศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษชื่อ John Cadbury เป็นคนแรกที่คิดกระบวนการผลิตที่ทำให้ช็อกโกแลตเป็นแท่งดังที่เราบริโภคกันทุกวันนี้

          ชาว Aztecs คนพื้นเมืองของบริเวณเม็กซิโกในปัจจุบันเมื่อประมาณ 700 กว่าปีก่อน เป็นมนุษย์กลุ่มแรกในอเมริกากลางที่รู้จักนำเอาเมล็ดโกโก้มาเป็นเครื่องดื่ม มีข้อสันนิษฐานว่า chocolate มาจากคำว่า chocolatl ภาษาของชาว Aztecs ซึ่งหมายถึง ‘น้ำ’ หรือ ‘ขม’ หรือ ‘ดื่ม’

          มีการพบหลักฐานของโกโก้ในภาชนะซึ่งมีอายุกว่า 3,000 ปี ในบริเวณอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าชาวมายามีเครื่องดื่มจากผลโกโก้ประมาณ ค.ศ. 400 ตลอดประวัติศาสตร์ของพื้นที่นั้นเครื่องดื่มดังกล่าวที่มีรสขมเป็นที่นิยมของคนพื้นเมือง

          เมื่อสเปนแผ่อิทธิพลเข้าไปในทวีปอเมริกาก็มีการนำมาเผยแพร่ในยุโรปในรูปแบบของเครื่องดื่มที่เรารู้จักกันในนามของโกโก้ ร้านขายเครื่องดื่มชนิดนี้เปิดในลอนดอนใน ค.ศ. 1657 โดยเป็นเครื่องดื่มผงโกโก้ใส่นมและน้ำตาล และต่อมากลายมาเป็นช็อกโกแลตแท่งในศตวรรษที่ 19 ดังกล่าวแล้ว

          เมล็ดโกโก้มาจากผลโกโก้ที่มีขนาดและรูปร่างเทียบเคียงกับมะละกอแต่มีเหลี่ยมคล้ายมะเฟือง เมื่อเอามีดเฉาะเปลือกที่แข็งออกก็จะมีเมล็ดสีขาวเรียงตัวกันอยู่เหมือนเมล็ดมะละกอ เมล็ดพร้อมเยื่อหุ้มจะถูกนำมากองรวมกันหรือใส่ถังเพื่อหมัก กระบวนการแปรเปลี่ยนให้เกิดแอลกอฮอล์ขึ้นกระทำโดยแบคทีเรียและยีสต์ การหมักนี้ใช้เวลาประมาณ 7 วันแล้วนำมาตากแดดอีก 5-7 วันเพื่อไม่ให้ราขึ้น จากนั้นโรงงานจึงนำไปป่นเป็นผงละเอียดเพื่อเป็นต้นน้ำของผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตทั้งหลาย

          เมล็ดโกโก้ที่นำไปผลิตช็อกโกแลตมี 3 พันธุ์ใหญ่คือ (1) criollo ปลูกกันน้อยมากหายากและมีราคาแพงเพื่อนำไปผลิตช็อกโกแลตชั้นยอด (2) forastero พันธุ์ที่นิยมในการผลิตช็อกโกแลตมากที่สุด มีทั้งขึ้นเองในป่าและปลูกในไร่ ให้รสชาติของความเป็นช็อกโกแลตมากที่สุด (3) trinitario เป็นลูกผสมของ 2 พันธุ์ข้างต้น ได้รับความนิยมในการนำมาผลิตช็อกโกแลตเช่นเดียวกัน

          ประมาณ 2 ใน 3 ของเมล็ดโกโก้ทั้งโลกมาจากอาฟริกาตะวันตก (เกือบครึ่งหนึ่งผลิตจากประเทศ Cote d’Ivoire) โดยมีการใช้แรงงานเด็กในภูมิภาคนี้เพื่อเก็บลูกโกโก้อย่างกว้างขวาง มีประมาณการว่าประชาชนกว่า 50 ล้านคนมีชีวิตรอดอยู่ได้เพราะเกษตรกรรมโกโก้

          ผลโกโก้ให้ทั้งผงโกโก้และไขมันจากโกโก้ (Cocoa butter) ช็อกโกแลตที่ดีนั้นต้องมีเนื้อผงโกโก้มากและต้องมีส่วนผสมของไขมันจากโกโก้ด้วย การใช้ไขมันอื่นแทนจะทำให้คุณภาพลดลง กลุ่มผู้ปลูกโกโก้ต่อต้านการใช้ไขมันอื่นแทนและไม่พอใจที่ยังคงเรียกว่าช็อกโกแลตเพราะเกรงว่าจะมีความต้องการผลโกโก้และช็อกโกแลตแท้ลดลง

          อย่างไรก็ดีในปัจจุบันสิ่งที่เกรงกลัวนี้กำลังหายไป เพราะทั้งโลกมีความต้องการใช้ ผลโกโก้มากขึ้นอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการบริโภคช็อกโกแลตที่เพิ่มขึ้นของชาวโลกจำนวนมากที่มีฐานะดีขึ้น

          สามประเทศในโลกที่บริโภคช็อกโกแลตเพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่างปี 2008-2013 คือ อินเดีย จีน และบราซิล บริโภคเพิ่มขึ้น 140%, 40% และ 25% ตามลำดับ

          ในขณะที่ผลผลิตโกโก้ 7 ใน 10 ปีที่ผ่านมามีปริมาณการใช้มากกว่าที่ผลิตได้ในแต่ละฤดูกาล ในฤดูกาลปี 2010-2011 มีการผลิตเกินการใช้ 320 ตัน และฤดูกาล 2011-2012 มีการผลิตเกิน 50 ตัน และในฤดูกาล 2013-2014 มีการใช้เกินกว่าการผลิต 100 ตัน

          สาเหตุที่ยังมีผลโกโก้ให้ใช้ในสองปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากสต๊อกของการผลิตเกินกว่าการใช้ในปีก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ดีใน 5 ปีข้างหน้าคาดว่าสต๊อกที่เกินก่อนหน้านี้จะหมดไปเนื่องจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

          3 ประเทศที่ผลิตมากคือ Ivory Coast / Ghana และ Indonesia สามารถขยายการผลิตเพิ่มได้ปีละ 1-3% เท่านั้น และด้วยการผลิตส่วนใหญ่แบบดั้งเดิมจึงเชื่อได้ว่าใน 5 ปีข้างหน้าอาจขาดแคลนผลโกโก้จนทำให้ราคาของช็อกโกแลตสูงขึ้น

          ถึงแม้ช็อกโกแลตเป็นที่นิยมมากขึ้นแต่เกษตรกรปลูกโกโก้ก็มิได้ร่ำรวยขึ้น ยังคงยากจนอยู่มากเนื่องจากผูกชีวิตไว้กับราคาโกโก้และภูมิอากาศ เฉกเช่นเดียวกับเกษตรกรรมในประเทศอี่น ๆ ที่การผลิตมีธรรมชาติเป็นผู้ร่วมผลิต คราใดที่ราคาดีผู้คนก็จะผลิตกันออกมามากจนทำให้ ราคาตก เมื่อเลิกผลิตกันไปเพราะราคาตก อีกไม่นานราคาก็จะขึ้นอีกครั้ง เกษตรกรก็จะไล่ตามวัฎจักรนี้อยู่เรื่อยไป

          ถ้าสถานการณ์ขาดแคลนเกิดขึ้นรุนแรงการผลิตโกโก้แบบไร่สมัยใหม่จะมีมากขึ้นเพราะผลิตได้เป็นกอบเป็นกำเพื่อสนองความต้องการ และคนที่จะลำบากก็คือเกษตรกรผู้ยากจนอยู่แล้วอีกนั่นเอง

          งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าการบริโภคช็อกโกแลตเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยลดความดัน ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ กระตุ้นการคิด ลดคอเลสโตรรอล ฯ อย่างไรก็ดีต้องระวังน้ำตาลที่ปนมาด้วย ถ้าจะให้ได้ผลดีโดยไม่ต้องกลัวน้ำตาล โกโก้ร้อนไม่ผสมอะไรเลยอาจเป็นไอเดียที่ดี

          ทุกอย่างในโลกล้วนมีดีและมีเสียด้วยกันทั้งนั้น การรู้ขีดจำกัดโดยมีความพอเหมาะพอควรในการบริโภคของผู้รักช็อกโกแลตเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ช็อกโกแลตเกิดประโยชน์มากกว่าโทษ

สัตว์ก็มีหัวใจ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 มีนาคม 2557

          ภาพเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เจ้าหน้าที่กำลังชำแหละร่างยีราฟหนุ่มต่อหน้าเด็ก ๆ ในสวนสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่สิงห์โต เสือ และสัตว์กินเนื้ออื่น ๆ สร้างความสะเทือนใจแก่สาธารณชน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำต่อหน้าเด็ก ๆ ให้รู้สึกหวาดเสียว เหตุผลที่พ่อแม่พาเด็กไปสวนสัตว์ก็เพื่อให้เห็นชีวิตสัตว์ เห็นความน่ารักงดงาม เกิดความรักต่อมวลสิ่งมีชีวิตมากกว่าที่จะพาไปดูภาพอันน่าสมเพชนั้น

          เบื้องหลังภาพนี้มีเรื่องที่น่าสลดกว่าและมีประเด็นที่น่าคิดอีกหลายเรื่อง Marius คือชื่อของยีราฟเพศผู้ วัย 18 เดือน ถูกสังหารโดยปืนไฟฟ้าตามคำสั่งของ Dr.Bengt Holst ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของสวนสัตว์ Copenhagen ผู้ซึ่งบัดนี้กำลังโดนกระหน่ำหนักจากเสียงมหาชนทั่วโลก

          ก่อนหน้านี้มีความพยายามจากผู้คนในหลายประเทศที่จะหยุดยั้งการฆ่ายีราฟตัวนี้ดังที่เรียกกันว่า “การุณยฆาต” (euthanasia) กล่าวคือ Marius เป็นตัวผู้ตัวเดียวในยีราฟ 8 ตัวที่มีอยู่ในสวนสัตว์แห่งนี้ มันเกิดจากการผสมสายพันธุ์ที่ชิดกันมากจนไม่สามารถเอามาเป็นพ่อพันธุ์ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรให้ยีราฟหนุ่มที่มีสุขภาพดีตัวนี้อยู่ต่อไปเพราะเปลืองอาหารเปล่า ๆ และไร้ประโยชน์

          นี่คือความรู้สึกที่ได้จากคำชี้แจงของนักวิทยาศาสตร์ไร้หัวใจคนนี้ เขาบอกว่า Marius ไม่สามารถส่งผ่านยีนส์ที่ดีต่อลงไปได้เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งพันธุ์ที่ดีของยีราฟในระยะยาว ดังนั้นจึงมีหนทางเดียวสำหรับมัน

          เมื่อได้ข่าวจะฆ่าแกง Marius สวนสัตว์ Yorkshire ของอังกฤษ และสวนสัตว์ในเนเธอร์แลนด์ก็ติดต่อรับเอาไปเลี้ยงโดยจะออกค่าขนส่งเองด้วย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจนกระทั่งมีข่าวการชำแหละต่อหน้าสาธารณชน และเป็นข่าวไปทั่วโลก

          Dr.Holst บอกว่าเขาไม่ต้องการให้มีการสืบสายพันธุ์ที่ไม่ดีของยีราฟ ดังนั้นมันจึงไม่ควรไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น (ยกเว้นส่งไปโลกอื่น) แถมสวนสัตว์ของเขายังได้เนื้อสัตว์มาอีกนับร้อยกิโลอีกด้วยโดยไม่ทิ้งให้สูญเปล่า

          พฤติกรรมโรคจิตของ Dr.Holst เตือนใจให้นึกถึงเรื่องของนักเพาะพันธุ์สัตว์โดยเฉพาะสุนัขที่ฆ่าลูกหมาไม่รู้ปีละกี่สิบกี่ร้อยตัวหากพบว่ามันมีสุขภาพไม่ดีอันเป็นผลจากพันธุ์กรรม คนเหล่านี้มีความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายของงานด้วยจิตใจที่ด้อยความเมตตา (ปัจจุบันเราพบมนุษย์พันธุ์นี้มากขึ้น) และก็สามารถได้สัตว์ที่มียีนส์บกพร่องน้อยให้มนุษย์ชื่นชม

          ‘ฆาตกร’ ที่มีชื่อ Holst ตอบคำถามเกี่ยวกับทางเลือกอื่นของ Marius ว่าการตอนทำให้สัตว์เจ็บปวดทรมานสู้การุณยฆาตไม่ได้ (ก็เห็นหมาแมวจำนวนมากก็สบายดีในบ้านเรา) การปล่อยสู่ธรรมชาติจะทำให้มันอยู่รอดชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเนื่องจากมันเกิดในกรงไม่รู้จักหาอาหารเอง รังแต่จะเป็นอาหารของสัตว์อื่น (แล้วมันไม่เป็นอาหารสัตว์อื่นหรือเมื่ออยู่กับ ‘ฆาตกร’ Holst)

          การฆ่าสัตว์ในสวนสัตว์เพื่อควบคุมจำนวนนั้นโดยแท้จริงกระทำกันอยู่ทุกวัน แต่เขาทำกันเท่าที่จำเป็นหากไม่สามารถแลกสัตว์กับสวนสัตว์อื่นได้ และทำกันเงียบ ๆ โดยไม่เป็นข่าวครึกโครมโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เอามาชำแหละให้เด็กดูอย่างแน่นอน ยกเว้นกรณีผิดปกติเช่นที่สวนสัตว์แห่งนี้ซึ่งดูจะมุ่งฆ่าลูกเดียว ซึ่งอาจเป็นเรื่องของการเอาชนะคะคานกัน การชำแหละให้ดูก็คือการประกาศชัยชนะ

          เรื่องอื้อฉาวนี้ทำให้เกิดแง่คิดว่าสัตว์มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขเช่นเดียวกับมนุษย์หรือไม่? ชะตากรรมของสัตว์ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของเจ้าของหรือผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวหรืออย่างไร? สัตว์มีสิทธิหลังการตายเช่นเดียวกับมนุษย์หรือไม่? (ไม่ละเมิดสิทธิผู้ตายด้วยการเอาภาพศพมาประจาน) การเพาะพันธุ์สัตว์เพื่อสร้างสายพันธุ์ที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ ด้วยการฆ่าสัตว์ที่มียีนส์บกพร่องนั้น ถูกต้องหรือไม่?

          ‘ฆาตกร’ Holst ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตสัตว์ สำหรับเขาสัตว์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่จะจัดให้มันมีรูปแบบดังที่ต้องการใดก็ได้ ชีวิตสัตว์เป็น means หรือพาหะที่ไม่สำคัญเท่ากับ ends คือเป้าหมายแห่งความสมบูรณ์แบบของพันธุ์สัตว์

          นักวิทยาศาสตร์ไร้วิญญาณคนนี้ลืมคิดไปว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (หากสามารถให้คำจำกัดความได้) เสมอไป ทุกชีวิตมีคุณค่าในตัวของมันเอง และมันอาจมิได้ต้องการเป็นสัตว์ที่สมบูรณ์แบบ มนุษย์ต่างหากที่ต้องการความสมบูรณ์แบบของสัตว์เพื่อนำมันมารับใช้

          Denmark เสียชื่อมากว่าไร้ความปราณีต่อสัตว์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ไร้หัวใจเพียงคนเดียวสามารถทำลายชื่อเสียงประเทศได้ขนาดนี้

เบโธเฟนญี่ปุ่นลวงโลก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
25 กุมภาพันธ์ 2557

          กล้องโทรทัศน์จับภาพหนุ่มญี่ปุ่นวัย 50 ปี ผมยาวแบบศิลปินใส่แว่นดำกำลังอุ้มเด็กกำพร้าแม่ซึ่งรอดชีวิตจากสึนามิครั้งใหญ่ในปี 2011 ภาพยนตร์สารคดีของ NHK ชิ้นนี้ทำให้ความนิยมชายผู้นี้พุ่งสูงจนผู้คนนับหมื่นพากันแย่งซื้อผลงานแต่งเพลงคลาสสิกของเขาที่มีชื่อว่า Symphony No. 1 Hiroshima ใครที่ได้ทราบเรื่องล้วน

          ปลาบปลื้มชื่นชม อย่างไรก็ดีข้อที่น่าเสียใจก็คือผลงานเพลงนี้แท้จริงแล้วเขาแอบจ้างให้คนอื่นแต่งให้ เขาผู้นี้มีฉายาว่า “Japan’s Beethoven”

          Mamoru Samuragochi คือชื่อจริงของเขา คนญี่ปุ่นชื่นชมเขามา 18 ปี เพราะผลงานแต่งเพลงคลาสสิกอันยอดเยี่ยมหลายชิ้นถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าหูหนวกตั้งแต่ตอนอายุ 35 ปีก็ตาม ชีวิตของเขาสามารถเอามาเขียนเป็นเรื่องราวกระตุ้นให้ผู้คนมีกำลังใจได้มาก แต่ข้อที่น่าเสียใจอีกข้อก็คือจริง ๆ แล้วเขาหูไม่ได้หนวก หูเขาปกติดีทุกอย่าง

          พูดสั้น ๆ ก็คือ Samuragochi ต้มตุ๋นคนญี่ปุ่นตลอดเวลาเกือบสองทศวรรษว่ามีชีวิตเหมือน Beethoven เพราะถึงแม้หูจะหนวกแต่ก็แต่งเพลงได้ยอดเยี่ยม หลายคนอาจบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะสามารถหลอกลวงผู้คนได้สนิทและได้นานขนาดนั้น แต่มันก็เป็นไปแล้ว

          Samuragochi เป็นเด็กที่มีความสามารถเป็นเลิศทางดนตรีตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนอายุ 10 ปี สามารถเล่นเปียโนเพลงคลาสสิคได้เป็นอย่างดี เขามาดังก็ตอนแต่งเรื่องขึ้นว่าหูหนวกแต่สามารถประพันธ์เพลงซึ่งเป็นที่นิยมได้หลายชิ้น

          สันนิษฐานว่าการลวงโลกของเขาจบสิ้นลงเพราะสื่อฉบับหนึ่งได้กลิ่นเรื่องนี้จึงตามรอยเขาและกำลังจะเปิดโปง เขาก็เลยตัดหน้าออกมาให้ตัวแทนแถลงว่าผลงานเพลงที่มีชื่อเสียงของเขาเกือบทั้งหมดมาจากการจ้างคนอื่นแต่ง คนญี่ปุ่นตกตะลึงกับคำสารภาพนี้มาก

          ความแปลกใจยังไม่ทันหายไป รุ่งขึ้นนาย Takashi Niigaki ก็ออกมายอมรับว่าเขาคือชายคนนั้น เขาแต่งเพลงให้กว่า 20 เพลงตั้งแต่ ค.ศ. 1996 และบอกเพิ่มเติมว่า Samuragochi หูไม่ได้หนวกแต่อย่างใด

          คนญี่ปุ่นทั้งโกรธ ทั้งเสียใจกับการหลอกลวงของ Samuragochi ถ้าเป็นยุคก่อนสงคราม คนอย่างนี้ต้องกระทำ sepagu หรือคว้านท้องเพื่อกอบกู้เกียรติยศที่ได้หลอกลวงและทำให้ประชาชนผิดหวัง อย่างไรก็ดีในปัจจุบันก็มีเพียงคำขอโทษ แฟนเพลงบางคนโยนแผ่นซีดีของเพลงเขาทิ้ง แต่ส่วนใหญ่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะจะเป็นของเก่าที่มีราคาในอนาคต

          คนที่โชคร้ายที่สุดจากการเปิดโปงครั้งนี้ก็คือนักเล่นสเก็ตน้ำแข็งตัวเก็งเหรียญทองของญี่ปุ่นในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่กำลังแข่งอยู่ในขณะนี้ที่เมือง Sochi ในรัสเซีย Daisuke Takahashi ได้เหรียญทองแดงครั้งที่แล้วที่แวนคูเวอร์ ครั้งนี้เขาฝึกซ้อมมายาวนานเป็นอย่างดีโดยเต้นประกอบเพลงที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น…..ใช่แล้วครับเพลงของนาย Samuragochi การเปิดเผยว่าลวงโลกครั้งนี้ทำให้นาย Takahashi กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะรู้ดีว่าเพลง “หลอกลวง” นี้คนญี่ปุ่นจะไม่ชอบจนอาจละทิ้งไม่ให้ความสนใจเขามากดังที่คาดหวัง และอาจมีผลต่อจิตใจของกรรมการผู้ตัดสิน แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนเพลงข้ามคืนได้เพราะฝึกฝนกับเพลงประกอบนี้มานาน

          อาจเป็นไปได้ว่าการเลือกเพลงของ Samurgochi เป็นเพลงประกอบทำให้ผู้คนเกิดความสนใจในตัวผู้แต่งเพลงเป็นพิเศษ และเป็นตัวเร่งการแกะรอยความลวงโลกของเขา จนถึงจุดจบในที่สุด

          Samuragochi แต่งประวัติตัวเองไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นหนึ่งในผู้รอดตายจากระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงเมือง Hiroshima ในปี 1945 เขารู้สึกสลดใจกับสิ่งที่เกิดกับบ้านเกิดของเขาอย่างยิ่ง จึงได้แต่งซิมโฟนี่ชื่อ Hiroshima อุทิศให้แก่ผู้เสียชีวิตครั้งนั้น

          เมื่อเพลงนี้มีที่มาที่ไปเช่นนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนญี่ปุ่น (ผู้เขียนได้ฟังเพลงนี้และขอสารภาพว่าเข้าไม่ถึง ไม่รู้สึกไพเราะแต่อย่างใด) ผู้แต่งเพลงก็ได้รับความสนใจมากเพราะเป็นคนหูหนวกด้วย โอ้…..ช่างเหมือนกับ Beethoven อะไรปานนั้น แถมยังอุทิศเพลงอีก …..โอ้ช่างเหมือนกับที่ Beethoven อุทิศ Symphony 3, Eroica ให้นโปเลียน โบนาปาร์ต

          เรื่องราวบันดาลใจชวนน้ำตาไหลเช่นนี้ใคร ๆ ก็ชอบ เสียแต่ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงที่จงใจสร้างขึ้นตามพล็อตที่ควรจะเป็นเท่านั้น

          คนญี่ปุ่นนั้นเหมือนกับคนจีนที่ชื่นชอบเพลงคลาสสิกเป็นพิเศษ (คนไทยนั้นยุคหนึ่งต้องไล่แจกตั๋วให้ไปฟัง) ญี่ปุ่นมีนักดนตรีและนายวงดนตรีดังระดับโลกหลายคนอย่างเป็นที่น่าภาคภูมิใจ เช่น Shin’ichi Suzuki / Mitsuko Uchida / Seiji Ozawa / ฯลฯ

          เมื่อบวกความชื่นชอบเพลงคลาสสิกเข้ากับเรื่องราวบันดาลใจชวนน้ำตาไหล และแถมด้วยความชื่นชมตัวนักดนตรีอันเป็นลักษณะพิเศษของคนญี่ปุ่น ผลลัพธ์ก็คือการหลอกลวงครั้งใหญ่

          คำถามก็คือคนลวงโลกเช่นนี้สามารถยืนอยู่บนเวทีได้นานขนาดนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีใครตรวจสอบหรือทราบระแคะระคายมาก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่าในจำนวนเพลงคลาสสิกชั้นยอดของโลกในอดีตที่ว่าเป็นของ Mozart / Beethoven / Bach / Chopin / Wagner ฯลฯ นั้น จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มี ‘ผลงานฝาก’ จากนักแต่งเพลงคนอื่นที่ไม่ดังมาแซมด้วย

          คำตอบก็คือยากที่จะรู้ แต่ตราบใดที่เราฟังแล้วไพเราะและเขาบอกว่าเป็นผลงานของคนนั้นคนนี้ก็จำต้องยอมรับถ้ามี ‘การแซม’ เกิดขึ้น และถ้าคนเหล่านี้อยากสารภาพก็ทำไม่ได้เสียแล้วเพราะตายมาหลายร้อยปีแล้ว

          หลังจากสารภาพการลวงโลกแล้วเชื่อว่า Samuragochi คงนอนหลับสบายเป็นครั้งแรกในหลายปีเพราะกายและใจไม่ขัดแย้งกันอีกต่อไป มหาตมะคานธีบอกว่ามนุษย์จะเป็นสุขก็ต่อเมื่อกายและใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

          ทุกอย่างในโลกต้องระวังกันให้ดี ใครให้จำนำข้าวราคาแพงก็ต้องระวังหน่อยนะครับ เพราะอาจได้ใบประทวนแต่ไม่ได้เงิน

รู้ทันใจตนเอง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 กุมภาพันธ์ 2557

          การเข้าใจวิธีคิดของตนเองช่วยให้เกิดความผิดพลาดน้อยลงในการตัดสินใจ อย่างไรก็ดีความเป็นอนุรักษ์นิยมของมนุษย์โดยพื้นฐานอาจเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้พลาดขึ้นก็เป็นได้

          ลองถามตัวท่านเองว่า โทรศัพท์มือถือชั้นยอดที่ซื้อมาราคาแพงนั้น ท่านปรับแต่งการใช้มันมากน้อยแค่ไหน เช่น สีตัวอักษรเปลี่ยนไป เสียงเรียกสายเข้าต่างกันไปตามผู้ที่โทร เข้ามา หน้าจอปรับแต่งใหม่ ฯลฯ หรือใช้ตามที่เขากำหนดให้มาที่เรียกว่า default option กล่าวคือโทรศัพท์จะทำงานตามรูปแบบปกติที่ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน คำตอบของคนส่วนใหญ่มาก ๆ ก็คือปล่อยมันไปตามที่โรงงานเขาผลิตมาให้

          ถ้าท่านทานอาหารในภัตตาคารที่มีเมนูจานหลักเป็นคำแนะนำ มีความเป็นไปได้สูงที่ท่านและลูกค้าอีกจำนวนมากที่จะเลือกเมนูนี้ซึ่งก็เข้าหรอบเดียวกับ default option ดังกล่าว

          ผู้ผลิตและขายรถยนต์รู้ดีว่าไม่ว่าจะมีสีให้เลือกมากเท่าใดก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกสีดั้งเดิมของรถยี่ห้อนั้น ซึ่งมักจะเป็นดำ หรือขาว หรือน้ำตาลอ่อน ในกรณีนี้ก็เช่นกันมนุษย์มักเลือก default option

          ในกรณีที่ไม่มี default option ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดมาให้เลือก มนุษย์ก็มักจะเอาสิ่งที่เกิดในอดีตมาเป็น default option แทน ตัวอย่างเช่นการสั่งข้าวผัดกะเพราซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย (เวลาคิดอะไรไม่ออกก็สั่งจานนี้จนมีคนเรียกว่าเป็น “อาหารสิ้นคิด”) ก็คือ default option อย่างหนึ่งโดยใช้ความเคยชินซึ่งมาจากอดีตเป็นตัวช่วยตัดสินใจ

          ตั้งแต่อยู่ในถ้ำเมื่อ 50,000 ปีก่อน มนุษย์ตระหนักดีว่าจะอยู่รอดได้นั้นต้องระมัดระวังไตร่ตรองให้ดีเพราะอันตรายมีอยู่รอบข้าง ไม่ว่าจากสัตว์ร้าย จากมนุษย์ด้วยกัน และจากภัยธรรมชาติ จึงอาจกล่าวได้ว่าความเป็นอนุรักษ์นิยมนั้นอยู่ในยีนส์ของทุกคน หากไม่มีแล้วคงไม่มีเผ่าพันธุ์รอดมาถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน

          ความเป็นอนุรักษ์นิยมในการกระทำหมายถึงการกระทำสิ่งที่เคยทำซ้ำ ๆ มาแล้วในอดีต เมื่อพบว่าให้ผลดีก็มีทางโน้มที่จะกระทำเช่นนั้นไปอีกเรื่อย ๆ

          การเลือก default option ก็คือการกระทำเชิงอนุรักษ์นิยม เราเลือกมาตรฐานที่เขากำหนดมาให้จากโรงงาน เราเลือกอาหารจานที่เขาแนะนำ เราเลือก “อาหารสิ้นคิด” ก็เพราะเราพอใจแล้ว โดยไม่ต้องการแปลกปลอมไปจากความเคยชินที่อาจนำมาซึ่งความรู้สึกผิดไปจากปกติจนรู้สึกไม่สบายใจได้

          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวอาจเรียกได้ว่าเป็น status-quo bias หรือทางโน้มสู่การรักษาสถานะที่เคยชินไว้ของมนุษย์ ซึ่งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นได้หลายอย่างในสังคมปัจจุบัน

          การโอนเงินหรือฝากเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถทำได้อย่างสะดวกในโลกปัจจุบันเช่นเดียวกับการซื้อหนังสือ e-Book (อ่านได้โดยไม่ต้องสัมผัสเล่มหนังสือ) และการซื้อสินค้าออนไลน์ อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้ยังไม่แพร่หลายในสังคมเราก็เพราะทางโน้มสู่ความเคยชิน หรือสถานะที่เราเป็นอยู่เป็นอุปสรรค ถึงแม้ว่าจะช่วยลดต้นทุนและเวลาไปได้มากก็ตาม

          ประชาชนก็ยังยินดีไปธนาคารยืนเข้าคิวเพื่อโอนและฝากเงิน หนังสือเป็นเล่ม ๆ ยังขายดีกว่า e-Book มากมายหลายเท่าตัว เช่นเดียวกับการเดินเข้าไปซื้อสินค้าจากร้านต่าง ๆ

          อย่างไรก็ดีมนุษย์ก็มีความพยายามมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไปในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับสิ่งใหม่ ๆ แต่ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาภายใต้เงื่อนไขของแต่ละคน

          ผู้ที่เสื่อมใสในไอทีอย่างมากจะบอกว่าสำนักงานของเราในอนาคตจะเป็น paperless อย่างไรก็ดีโดยส่วนตัวผู้เขียนไม่เชื่อว่าเราจะมีสถานที่ทำงานที่ paperless กล่าวคือใช้ระบบไอทีทั้งหมดโดยไม่มีการใช้กระดาษเลยได้ ผู้เขียนเชื่อว่าที่มีความเป็นไปได้ก็คือสถานที่ทำงานที่มี less paper ซึ่งหมายถึงการใช้กระดาษน้อยลงไปมาก แต่ก็ไม่มีวันหมดไป

          นอกจากนี้ผู้เขียนเชื่อว่า e-Book จะไม่มีวันทดแทนหนังสือปกติไปทั้งหมดได้เนื่องจากมนุษย์ยังคงมี status-quo bias อันเนื่องมาจากการคุ้นเคยกับหนังสือมายาวนาน ยังคงถวิลหาการสัมผัสและพลิกแผ่นกระดาษ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาในยุคของ e-Book ก็จะพบว่าหนังสือยังคงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการอ่านที่มีความสะดวกและมีความเป็นมนุษย์มากกว่า

          คนที่เข้าใจการเป็นอนุรักษ์นิยมของมนุษย์โดยมีทางโน้มสู่ default option หรือมาตรฐานที่ถูกกำหนดให้สามารถนำเอามาใช้เป็นประโยชน์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่นการสื่อว่า ‘คนที่มีระดับ’ ในระนาบเดียวกับท่านเขาเลือกที่จะซื้อบ้านของโครงการนี้ ดังนั้นท่าน (ที่มีทางโน้มที่จะเลือกสิ่งที่เป็นมาตรฐานของ ‘คนที่มีระดับ’ เหมือนตัวเอง) จึงสมควรซื้อบ้านในโครงการนี้ด้วย

          สินค้าหลายอย่างที่มีชื่อเสียงยาวนานทั้งไทยและเทศ พยายามสร้างภาพในใจผู้บริโภคว่าเป็น default option ตัวอย่างเช่น ยาหม่อง ยาหอม เครื่องดื่มน้ำดำเก่าแก่ ยาปวดหัว ผ้าอนามัย ผงซักฟอก ฯลฯ เมื่อต้องการบริโภคสิ่งเหล่านี้ สินค้าของเขาจะเป็นชื่อแรกในสมองของผู้ใช้ทันที

          การรู้ทันความคิดและเข้าใจการเอนเอียงของใจตนเองจะช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสตัดสินใจผิดพลาด และถูกหลอกโดยคนอื่นน้อยลง

จิตมุ่งร้ายจะทำลายตน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 กุมภาพันธ์ 2557

          การมีจิตมุ่งร้ายแม้แต่เพียงเล็กน้อยต่อผู้อื่นก็สามารถปิดโอกาสก้าวหน้าในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะในอาชีพนักการเมืองที่มีเรื่องอ่อนไหวอยู่รอบตัว ดังตัวอย่างของนักการเมืองอเมริกันผู้หนึ่ง

          ในหมู่ประชาชนของรัฐฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาและในพรรครีพับลิกันไม่มีใครไม่รู้จัก Chris Christie ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี่ ผู้โด่งดังในความสามารถในการทำงาน ในการพูดอย่างไม่ กลัวเกรง และในการแสดงความกล้าให้ปรากฏ

          เพียงเมื่อปลายเดือนที่แล้วเป็นที่คาดกันอย่างกว้างขวางว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปคือใน ค.ศ. 2016 เขาจะเป็นตัวเต็งในการเป็นตัวแทนของพรรคเข้าแข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับตัวแทนจากพรรคเดโมแครต อย่างไรก็ดีในปัจจุบันสิ่งที่คาดกันนั้นน่าจะเป็นหมันไปเสียแล้วอันเนื่องมาจากการมีจิตมุ่งร้าย

          Christie ปัจจุบันอายุ 52 ปี เรียนจบด้านกฎหมาย และประสบความสำเร็จในการเป็นทนายความในรัฐนิวเจอร์ซี่ เขามีบทบาทในการเมืองท้องถิ่นอยู่พักหนึ่ง เคยทำงานหาเสียงให้ประธานาธิบดีบุชผู้ลูกก่อนที่จะเป็นอัยการของรัฐนิวเจอร์ซี่ระหว่าง ค.ศ. 2002-2008 ในฐานะอัยการ เขาลุยปราบคอรัปชั่น อาชญากรรม การค้าอาวุธ ฯลฯ จนมีชื่อเสียง

          ต่อมาเขาลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี่และชนะได้ครองตำแหน่งในปี 2009 และในเทอมที่ 2 ที่เริ่มในปี 2013 เขาก็ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้นได้เป็นผู้ว่าการรัฐอีกหนึ่งสมัย ในปลายปีเดียวกันนี้เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมผู้ว่าการรัฐที่มาจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคลงแข่งประธานาธิบดีต่อไป

          Christie เป็นที่ชื่นชมของประชาชนเพราะเขาปราบปรามอาชญากรรมไม่ไว้หน้า ประกาศตนว่าเป็นคนที่เกลียดชังการเล่นการเมืองชนิดสกปรก การหลอกลวงประชาชน ในการเป็นผู้ว่าการรัฐของเขาจะไม่มีสิ่งเหล่านี้เด็ดขาด เพราะชีวิตเขาต้องการรับใช้ประชาชนโดยไม่เกี่ยงความเป็นพรรค และจะไม่ทำงานการเมืองชนิดมีลูกเล่นสกปรกต่าง ๆ ดังที่มีอยู่ดาษดื่น

          คำพูดนี้แหละที่ประชาชนจำได้และชื่นชอบเขา และคำพูดนี้เช่นกันที่กลับมาทิ่งแทงเขาจนคาดว่าหมดโอกาสที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคไปแข่งประธานาธิบดี

          เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันหนึ่งในเดือนกันยายนปี 2013 ประชาชนที่ใช้สะพาน The George Washington Bridge ซึ่งเชื่อมเกาะแมนฮัตตันหรือนิวยอร์กซิตี้กับเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Fort Lee ของรัฐนิวเจอร์ซี่ พบว่ารถที่ผ่านสะพานนี้ติดกันยาวเป็นกิโลเมตรเป็นเวลาถึง 4 วัน เนื่องจากสะพานนี้มีผู้ใช้กันหนาแน่นเป็นพิเศษในแต่ละวันขนาดติดอันดับสูงสุดของประเทศเพราะผู้คนข้ามไปมาเพื่อไปทำงานบนเกาะแมนฮัตตัน

          เมื่อ Fort Lee กลายเป็นลานจอดรถทั้งวันทั้งคืน ผู้คนซึ่งเดือดร้อนกันมากก็ด่ากันขรมว่าเกิดจากการปิดหลายช่องจราจรและปิดบูธเก็บเงินค่าผ่านทางก่อนขึ้นสะพานซึ่งการท่าเรือของรัฐเป็นผู้ดูแล เมื่อผู้คนเอะอะกันมากขึ้น รัฐสภาของรัฐนิวเจอร์ซี่ก็สอบสวนหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

          สิ่งที่พบก็คือผู้บริหารคนหนึ่งของการท่าเรือซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการจราจรเป็นผู้สั่งให้ปิดช่องจราจรและบูธเก็บเงินโดยพลการและปิดบังประชาชนก่อนดำเนินการโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ให้ฝั่งเมือง Fort Lee ทราบ เมื่อสอบสวนลึกเข้าผู้บริหารผู้นี้ซึ่งเป็นเด็กที่นาย Christie ฝากฝังทำงานก็ ลาออกไป

          ผู้สอบสวนก็เดาได้ว่าได้เกิดลูกเล่นทางการเมืองขึ้นแล้ว แต่ยังหาหลักฐานมัดไม่แน่นพอ จนกระทั่งเมื่อกลางเดือนมกราคมของปีใหม่นี้ หนังสือพิมพ์ยักษ์สองฉบับของประเทศก็ตีพิมพ์อีเมล์หลายฉบับของบรรดาลูกน้องนาย Christie

          อีเมล์ที่ส่งระหว่างเพื่อนที่การท่าเรือกับหัวหน้าทีมงานของนาย Christie ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองจงใจทำให้รถติดเพื่อสั่งสอนนายกเทศมนตรีเมือง Fort Lee ที่ไม่ได้ออกมาประกาศสนับสนุนการแข่งขันเป็นผู้ว่าการรัฐของนาย Christie ก่อนหน้านี้ พูดง่าย ๆ แบบไทยก็คือแกล้งให้รถมันติด ‘ให้มันรู้บ้างว่าไผเป็นไผ’

          นอกจากนี้มีอีเมล์หลายฉบับที่เขียนทำนองดีอกดีใจและสะใจที่รถติดเพื่อสั่งสอน และเมื่อนายกเทศมนตรีเขียนมารายงานสถานการณ์ว่ารถติดกันขนาดหนักก็ยังเขียนตอบไปว่า ‘ฉันผิดหรือเปล่าที่กำลังยิ้มอยู่’

          ปฏิกิริยาของประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐนิวเจอร์ซี่ที่เห็นอีเมล์เหล่านี้คือความโกรธ ชิงชังลูกเล่นการเมืองซึ่งเป็นพฤติกรรมกลั่นแกล้งกันจนทำให้ประชาชนเดือดร้อนหนัก (รถติดหนัก 4 วัน โดยเปิดบูธจ่ายเงินค่าผ่านทางเพียงบูธเดียวจาก 4 ช่องจราจรที่วิ่งเข้าจ่ายเงิน) โดยเฉพาะรถพยาบาลส่ง คนป่วยฉุกเฉินและรถรับส่งนักเรียน

          ที่สำคัญมากก็คือมันเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับสิ่งที่นาย Christie พูดมาโดยตลอด ยิ่งอ่านอีเมล์ก็ยิ่งชัดขึ้นว่ารู้เรื่องนี้กันทั้งทีมงาน และไม่น่าเชื่อว่าลูกน้องจะคิดเล่นเกมส์นี้ขึ้นเองโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากนาย Christie

          สิ่งที่เกิดตามมาก็คือผู้ว่าการรัฐออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าเขาไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อว่าทีมงานจะกล้ารวมหัวกันกลั่นแกล้งให้เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่เช่นนี้ได้เป็นเวลาถึง 4 วัน เมื่อเกิดขึ้นเพียง 1-2 วันแรก นาย Christie ในฐานะผู้ว่าการรัฐก็จะต้องสอบถามและสั่งให้ลูกน้องแก้ไขหากแม้นว่าเขาไม่ได้ร่วมเล่นเกมส์การเมืองนี้ด้วย

          ภาพพจน์ของนาย Christie พังย่อยยับ โอกาสที่จะได้เป็นคู่แข่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันซึ่งมีโอกาสเป็นประธานาธิบดีสูงด้วยเพราะพรรคเดโมเครตได้เป็นมา 8 ปีแล้วหายไปทันที สิ่งที่เขาพูดไว้กลับมาทิ่มแทงเขาอย่างฉกรรจ์ ผู้คนเห็นว่าโดยแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงนักการเมืองธรรมดาที่ชอบมีลูกเล่นการเมืองแบบสั่ว ๆ เหมือนคนอื่น ๆ ที่น่าเบื่อหน่าย

          ในสังคมที่พัฒนาแล้วซึ่งประชาชนมีความสำนึกในความเป็นพลเมืองสูง การกระทำ ใด ๆ ของนักการเมืองที่แสดงออกถึงความมาดร้ายซึ่งไม่เหมาะสม ไม่ถูกทำนองครองธรรมแล้ว ก็จะทำให้ไม่มีที่ยืนในสนามการเมือง

          จิตที่ไม่เป็นกุศล มุ่งร้ายทำลายคนอื่นอย่างตั้งใจจะนำไปสู่ความพินาศของตนเองได้อย่างไม่ยากนัก

โลกใหม่เขาคิดกันใหม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 กุมภาพันธ์ 2557

          โลกหมุนเร็วจนน่าเวียนหัว บางสิ่งซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในอดีต แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งปกติ หลายสิ่งไม่เกี่ยวกับศีลธรรม แต่หลายสิ่งคาบเกี่ยวประเด็นจริยธรรมอย่างน่าหวาดเสียว

          มีหลายตัวอย่างที่เห็นกัน รอยสักบนร่างกายนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทยในสมัยโบราณที่ถือกันว่าเพื่อป้องกันภยันตราย ต่อมารอยสักเหล่านี้แสดงนัยยะของการเป็นคนขาดการศึกษา เป็นผู้ใช้แรงงาน หรือไม่ก็เป็นคน “แก่แดด” “พวกเฮ้ว” “พวกนอกรีต” ปัจจุบันการสักของคนไทยกลุ่มหนึ่งถือว่าเป็นสิ่งโก้เก๋ทันสมัย ในโลกตะวันตกการสักเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทั้งที่เมื่อร้อยกว่า ปีก่อน สักกันเฉพาะในบุคคลชั้นสูงและต่อมาในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน

          หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาในอดีต ผู้หญิงและผู้ชายอยู่กันโดยไม่แต่งงานถือว่าผิดกฎหมายและศีลธรรม (living in sin) แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นวิถีชีวิตไปแล้วแม้แต่ในบ้านเรา เมื่อสมัยก่อนจะพักโรงแรมร่วมกันต้องแสดงบัตรเป็นหลักฐานว่าเป็นสามีภรรยากันด้วยซ้ำ

          การแต่งงานกันของกลุ่มผู้รักร่วมเพศไม่ว่าชายหรือหญิงได้รับการยอมรับทางกฎหมายในหลายประเทศมากขึ้นทุกที และบางประเทศยอมให้สามารถรับลูกบุญธรรมไปเลี้ยงได้อีกด้วย สหรัฐอเมริกาเองซึ่งเดิมไม่รับเกย์เข้าเป็นทหารหรือไม่ยอมให้แสดงตัวว่าเป็นเกย์ก็เริ่มเปลี่ยนไป

          กัญชาซึ่งเคยถือกันว่าเป็นยาเสพติดชนิดสำคัญ แต่นับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมาก็เป็นสิ่งถูกกฎหมายไปแล้วในรัฐโคโลราโดซึ่งเป็นแห่งเดียวในโลก คนอายุ 21 ปีขึ้นไปสามารถซื้อเพื่อเอาไปเสพเป็นยาหรือเพื่อหย่อนอารมณ์ได้อย่างองอาจ ในบ้านเราเองทางการผู้รับผิดชอบก็มีการเสนอให้ใบกระท่อมถูกกฎหมาย สถานการณ์ก็คล้ายกับยาบ้าซึ่งเดิมชื่อยาม้า เมื่อ 40 ปีก่อนยาบ้าถูกกฎหมายทั้งในบางประเทศที่พัฒนาแล้ว และในประเทศไทย

          แต่เดิมผู้จะลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จำเป็นต้องเป็นนักกีฬาสมัครเล่นเท่านั้น ปัจจุบันเงื่อนไขนี้ก็เลิกไปเพราะไม่สามารถให้คำจำกัดความของนักกีฬาสมัครเล่นได้อีกต่อไป นักกีฬาที่แข่งขันและได้รางวัลเป็นสินค้าถือว่าเป็นสมัครเล่นหรือไม่ หรือเฉพาะการรับเป็นเงินสดจึงถือว่าไม่เป็นสมัครเล่น และถ้าไม่ได้รับทั้งรางวัลและเงินสดหากได้รับสิทธิพิเศษเป็นสมาชิกคลับกีฬากิตติมศักดิ์จะถือได้ไหมว่าเป็นรางวัล การตีความยากเช่นนี้ทำให้ปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขของการเป็นนักกีฬาสมัครเล่นอีกต่อไป

          แม้แต่การแต่งกายก็เช่นกัน แต่ดั้งเดิมมาในโลกตะวันตกการใส่สูทผูกเนคไทถือว่าเป็น “เครื่องแบบ” ที่สุภาพชนพึงใส่ในโอกาสสำคัญ เช่น ไปทำงาน เข้าประชุม ร่วมงานสำคัญ แต่ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไป ในสหรัฐอเมริกาการแต่งกายของประธานาธิบดีถือว่าเป็นตัวอย่างของพนักงาน นักธุรกิจและคนทั่วไป แต่ไหนแต่ไรมาประธานาธิบดีจะผูกเนคไทกับเชิ้ตขาวและใส่สูทเสมอเวลาทำงาน ประชุมหรือไปงานนอกสถานที่ยกเว้นพักผ่อน แต่ในปัจจุบันบ่อยครั้งที่ประธานาธิบดี ใส่สูทแต่ไม่ผูกเนคไท นั่งประชุมในไวท์เฮาน์ จนมีการพูดกันว่า “เครื่องแบบ” ชุดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป

          เรื่องโด๊ปยาก่อนแข่งขันของนักกีฬาก็เป็นปัญหามายาวนาน นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกเคยถูกถอดเหรียญมาแล้วเมื่อตรวจพบว่ามีสารโด๊ปอยู่ในปัสสาวะ ข้ออ้างก็คือกินยาอื่นแต่สารออกฤทธิ์คล้ายยาโด๊ปจนทำให้ดูเสมือนว่าโด๊ปยา ผู้ตัดสินก็ปวดหัวมากเพราะยาโด๊ปก็เปลี่ยนรูปแบบไป บางลักษณะก็ไม่ใช้ยาแต่เป็นวิธีการอื่นเช่นถ่ายเลือดที่มีออกซิเจนสูงเข้าร่างกายเพื่อให้การออกกำลังมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทางโน้มที่กำลังเกิดขึ้นก็คืออาจเลิกเรื่องตรวจการโด๊ปยา แต่ตรวจสารบางอย่างที่อยู่ในปัสสาวะซึ่งเป็นหลักฐานของการกินยาโด๊ปบางตัวที่ห้ามเด็ดขาดแทน

          ล่าสุดที่น่าสนใจจากสหรัฐอเมริกาก็คือแนวคิดเรื่องการมีภรรยาหลายคนถือว่าเป็น lifestyle อย่างหนึ่งเฉกเช่นเดียวกับการแต่งงานของพวกรักร่วมเพศ (ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งมีอารมณ์ ลองฟังแนวคิดที่โลดโผนนี้หน่อยว่าเป็นอย่างไร)

          ในภาษาอังกฤษคำว่า polygamy คือการแต่งงานที่มีผู้ร่วมกันเกินกว่า 2 คน ถ้าผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงเกินกว่า 1 คนในเวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า polygyny และในกรณีของผู้หญิงที่มีสามีมากกว่า 1 คน ก็เรียกว่า polyandry และถ้าการแต่งงานมีสามีและภรรยาหลายคนรวมกันเรียกว่า conjoint marriage ส่วน ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ เรียกว่า monogamy

          คำว่า “การแต่งงาน” ในที่นี้หมายถึงการอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยาในความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องมีการจดทะเบียนหรือได้การยอมรับทางกฎหมายหรือมีพิธีแต่งงาน

          มีการสำรวจทางวิชาการในเรื่องสภาพการแต่งงานของสังคมต่าง ๆ ในโลกก็พบว่าจาก 1,231 สังคม มีอยู่ 186 สังคมที่ ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ มีอยู่ 453 สังคมที่มีลักษณะ polygyny ปนอยู่บ้าง มีอยู่ 588 สังคมที่มี polygyny ปนอยู่มาก และมี 4 สังคมที่เป็น polyandry

          สังคม “ภรรยาหลายคน” มีมาเก่าแก่แต่ผิดกฎหมายใหม่เพราะไม่สร้างสรรค์ชีวิตครอบครัว ส่วนสังคมที่มี “สามีหลายคน” นั้นส่วนใหญ่อยู่ในแถบภูเขาหิมาลัย บริเวณทิเบตเนปาล บางส่วนของจีน และบางส่วนของทางเหนือของอินเดีย กล่าวคือผู้หญิงมีสามีหลายคนในบ้านเดียวกัน บางสังคมสามีเหล่านี้ก็เป็นพี่น้องกันหมด หรือบางสังคมสามีก็ไม่ใช่พี่น้องกัน

          สาเหตุของสังคม “หลายสามี” ก็เพื่อตัดปัญหาการแบ่งที่ดินออกเป็นมรดกแปลงย่อยเนื่องจากบริเวณแถบนี้มีที่ดินจำกัดมากเพื่อทำการเกษตรซึ่งเป็นหัวใจของการอยู่รอด การมีครอบครัวทั้งหมดอยู่ในบ้านเดียวกันเพื่อทำการเกษตรบนที่ดินผืนเดียวกันตลอดหลายช่วงคนจึงทำให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรอันจำกัด

          กลุ่ม Mormons หรือที่มีชื่อทางการว่า The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints (LDS Church) นั้นสามีมีภรรรยาได้หลายคนและปฏิบัติกันมาตั้งแต่ศาสดาคนแรกคือ Joseph Smith Jr. ให้คำสอนใน ค.ศ. 1831 อย่างไรก็ดีเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในบางรัฐของสหรัฐอเมริกาและเป็นเรื่องค่อนข้างอ่อนไหวในการพูดถึงประเด็นนี้ระหว่างคนในกลุ่มและนอกลุ่ม

          กลุ่มคนที่ผลักดันว่าการมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องของ lifestyle ถูกวิจารณ์มากว่า โยงใยกับความคิดของกลุ่ม Mormons ถึงแม้แนวคิดนี้จะตามแนวโน้มของการผ่อนปรนในเรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา แต่ดูจะเป็นแนวคิดที่ฝ่าด่านคนที่ยืนหยัดไม่เห็นด้วยไปได้ยาก

          ถ้าใจของเราพยายามเข้าใจการหมุนของโลกในแนวผ่อนปรนเช่นนี้ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็คงมีความทุกข์ไม่มากนัก แต่ถ้าหากเราไม่เห็นด้วยและไม่พยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นก็จะมีความทุกข์เป็นอันมากจนหาความสุขไม่ได้

          เราคงต้องรู้ว่าอะไรที่เราสามารถไปหยุดมันได้ และอะไรที่เราหยุดมันได้ยาก ใจเราจะสงบก็เมื่อสามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้

สองหญิงชิงเด่นในบังคลาเทศ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
28 มกราคม 2557

          การเมืองบังคลาเทศเป็นที่สนใจของชาวโลกเพราะไม่น่าเชื่อว่าการประท้วง การกีดกัน การบอยคอตการเลือกตั้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นวิธีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามนั้น ล้วนเป็นฝีมือของสองหญิงผู้เกลียดกันเข้ากระดูกดำ โดยทั้งสองเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วคนละ 2 สมัย

          คนแรกคือนายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบันชื่อ Sheikh Hasina อายุ 66 ปี เป็นลูกสาวของผู้ถือกันว่าเป็นบิดาประเทศบังคลาเทศ นาย Sheikh Mujibur Rahman หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า Mujib

          คนที่สอง คือ Khaleda Zia ภรรยาหม้าย อายุ 68 ปีของอดีตประธานาธิบดีที่มาจากการรัฐประหารในปี 1977 ชื่อนายพล Zia Rahman ผู้เป็นประธานาธิบดีต่อจาก Mujib

          หญิงทั้งสองผ่านความเจ็บปวดในชีวิตมาด้วยกัน แต่ก็ดูจะไม่เห็นใจกันเลย ขับเคี่ยวแข่งขันชิงดีชิงเด่นตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา Mujib พ่อของ Hasina ถูกสังหารในปี 1975 หลังจากได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกเมื่อบังคลาเทศได้เกิดเป็นประเทศขึ้นในปี 1971

          สำหรับ Khaleda Zia หรือ Zia นั้นสามีถูกสังหารเช่นกันในปี 1981 แต่ยังนับว่าหนักหน่วงน้อยกว่ากรณีของ Hasina เพราะพ่อของเธอถูกสังหารพร้อมกับครอบครัวเกือบทั้งหมด เธอรอดชีวิตกับน้องสาวเพราะอยู่นอกประเทศในขณะเกิดเหตุ

          บังคลาเทศนั้นเดิมมีชื่อว่าปากีสถานตะวันออก เป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่มีอีกดินแดนหนึ่งคือปากีสถานตะวันตกเป็นส่วนประกอบ ทั้งตกและออกรวมกันเป็นประเทศโดยดินแดนสองส่วนไม่อยู่ติดกันเพราะมีอินเดียคั่นอยู่

          ปากีสถานตะวันออกดิ้นรนต่อสู้เป็นเอกราชโดยมี Mujib เป็นหัวหน้าคนสำคัญหลังจากต่อสู้กับปากีสถานตะวันตกจนประชาชนตายไปนับล้านคน ปากีสถานตะวันออกก็ได้เอกราชและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นบังคลาเทศ ส่วนปากีสถานตะวันตกก็เปลี่ยนชื่อเป็นปากีสถาน

          การเมืองในทั้งสองประเทศมีความรุนแรง ต่อสู้กันดุเดือดทั้งในกติกาและนอกกติกา นาง Benazir Bhutto นายกรัฐมนตรีสองสมัยของปากีสถานก็ถูกสังหารในปี 2007 ทั้งสองประเทศดูจะมีวัฒนธรรมที่เหมือนกันอยู่สองเรื่องคือความรุนแรงทางการเมืองและคอรัปชั่น

          หลังจากนายพล Zia Rahman ประธานาธิบดีบังคลาเทศสามีของนาง Khaleda Zia ถูกลอบสังหารในปี 1981 ประเทศก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ในปี 1982 นายพล Hossain Mohammad Ershad ทำรัฐประหารและขึ้นเป็นประธานาธิบดี สามารถครองอำนาจอยู่เป็นเวลานานระหว่าง 1982 ถึง 1990

          เมื่อรัฐบาลเผด็จการถูกกดดันหนักจากต่างประเทศและในประเทศให้กลับสู่ระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งก็เกิดขึ้นในปี 1991 โดยเปลี่ยนการปกครองจากระบอบประธานาธิบดีมาเป็นระบอบรัฐสภา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจบริหารสูงสุด

          Zia ลงแข่งเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรค BNP ซึ่งสามีเธอเป็นคนตั้งขึ้น โดยมีนโยบายเศรษฐกิจเสรี ส่วน Hasina ก็ลงแข่งเป็นหัวหน้าพรรค Awami League (AL) สืบทอดอุดมการณ์ โน้มเอียงสังคมนิยมของพ่อเธอ ทั้งสองแข่งขันกันเข้มข้น ในที่สุด Zia ก็เป็นผู้ชนะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของโลกมุสลิม

          Zia เป็นนายกรัฐมนตรีระหว่าง 1991-1996 ท่ามกลางการประท้วงและความรุนแรงเกือบตลอดเวลา เมื่อมีการเลือกตั้งในปี 1996 Hasina ผู้นำฝ่ายค้านก็บอยคอตการเลือกตั้ง ระดมสรรพกำลังต่อต้านและประท้วงอย่างดุเดือด ในที่สุด Hasina ก็ชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ Zia ซึ่งกลับไปเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

          ในระหว่างการครองอำนาจของ Hasina ครั้งแรก ระหว่าง 1996-2001 Zia ก็ประท้วงก่อกวนนายกรัฐมนตรีเฉกเช่นที่ Hasina เคยทำเมื่อครั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้าน

          เมื่อการเลือกตั้งในปี 2001 มาถึง Zia ก็ลงเลือกตั้งและสามารถเอาชนะ Hasina ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 และระหว่างที่เธอครองอำนาจระหว่าง 2001-2006 Hasina ก็ไม่ได้อยู่เฉย ก่อกวนประท้วงตามวัฒนธรรมที่เคยเป็นกันมา

          ในการเลือกตั้งปี 2006 Hasina ก็บอยคอตเลือกตั้ง ประท้วงอย่างวุ่นวายจนทหารทน ‘วีรกรรม’ ของสองนางพญาไม่ไหวเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลระหว่างที่ยังไม่มีการเลือกตั้งเพื่อล้างบางคอรัปชั่นและความชั่วร้ายต่าง ๆ เช่น การลอบสังหาร ความรุนแรงในการประท้วง การอุ้มฝ่าย ตรงข้าม และสื่อ ฯลฯ

          รัฐบาลชุดนี้จับทั้งสองนางขึ้นศาลพร้อมบรรดาพรรคพวกและลูก 2 คนของ Zia ในข้อหาคอรัปชั่น แต่เมื่อขึ้นศาลทั้งสองก็หลุด ยิ่งไปกว่านั้นในการเลือกตั้งในปี 2008 Hasina ก็ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง

          ทั้งสองพยายามจะเป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยต่อเนื่องกันแต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะ ฝ่ายค้านต่อสู้หนักหน่วงโดยใช้ทุกกลวิธี

          เมื่อถึงเวลาต้องเลือกตั้งใหม่เพราะครบเทอมในต้นปี 2014 Hasina ก็พยายามเต็มที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยต่อเนื่องกัน กล่าวคือครองอำนาจ 2008-2013 ยังไม่พอ ต้องการต่อออกไปอีกถึง 2018 ดังนั้นจึงห้ามฝ่ายค้านชุมนุม ใช้ตำรวจเป็นมือเป็นแขน ไม่ยอมให้มีการตั้งรัฐบาลรักษาการดูแลเลือกตั้งดังที่เคยทำกันมา

          Zia หัวหน้าฝ่ายค้านกับพรรคเล็กอื่น ๆ จึงรวมหัวกันบอยคอตเลือกตั้ง ไม่ส่งคนจากพรรค BNP ลงสมัคร โดยทำทุกอย่างเหมือนที่ Hasina เคยทำกับเธอในตอนเลือกตั้งปี 1996 ความรุนแรงต่าง ๆ จึงประทุขึ้นดังที่เราเห็นกันในสื่อตลอดช่วงเวลาต้นปี 2014 ที่ผ่านมา

          นี่คือเรื่องราวของสองหญิงคู่แค้น ผลัดกันเป็นนายกรัฐมนตรีท่ามกลางคนตายนับสิบ ๆ คนทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง โดยไม่ยอมลดราวาศอกให้กันถึงแม้จะอยู่ในวัยปลายชีวิตด้วยกันทั้งคู่แล้วก็ตาม

กัญชาถูกกฎหมายในโคโลราโด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
21 มกราคม 2557

          เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมารัฐโคโรราโด้สร้างประวัติศาสตร์โลกด้วยการเป็นแห่งแรกของโลกที่ประชาชนสามารถเสพกัญชา ไม่ว่าสูบหรือกินจากการซื้อหรือปลูกเองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เกิดอะไรขึ้นในรัฐนี้ และกัญชากำลังจะกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในโลกไปแล้วหรืออย่างไร

          คนไทยนั้นเสพกัญชามายาวนานนับร้อยปีโดยไม่ผิดกฎหมาย นอกจากการสูบเพื่อการหย่อนใจแล้วยังนำใบกัญชามาปรุงอาหารเพื่อช่วยให้การรับรู้รสชาติอาหารดีขึ้น อย่างไรก็ดีในโลกสมัยใหม่กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเสพ ขาย ซื้อ ปลูก หรือครอบครอง

          ในสหรัฐอเมริกาก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ในทศวรรษ 1970 ทางการแข็งขันอย่างมากในการปราบปรามหลังจากที่การเสพกัญชาได้กลายเป็นแฟชั่นในหมู่นักศึกษา ฮิปปี้ และคนรุ่นใหม่ในทศวรรษ 1960 ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดที่มีโทษอาญา ถึงแม้จะไม่ใช่ยาเสพติดที่ร้ายแรงเช่นโคเคน หรือเฮโรอีน ก็ตาม

          อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา กระแสความคิดในเรื่องการต่อต้านกัญชาในสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่น ๆ ได้พลิกผันเปลี่ยนแปลงไป งานวิจัยทางการแพทย์พบประโยชน์ของกัญชาซึ่งมีชื่อเรียกว่า ganja, cannabis หรือ marijuana หรือ pot เนื่องจากมีสาร THC ซึ่งสามารถช่วยลดความเจ็บปวด หรือสร้างความผ่อนคลายให้แก่คนไข้ได้เป็นอย่างดีในราคาถูก

          กัญชาเป็นไม้ล้มลุกมี 3 พันธุ์ คือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis ruderalis ทั้งหมดเป็นไม้พื้นเมืองของเอเชียกลางและเอเชียใต้ สามารถปลูกได้ดีในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาจะเห็นขึ้นอยู่ริมถนนในฤดูร้อนในบริเวณแถบรัฐตอนกลาง (midwest) ของประเทศ

          สาเหตุที่ทำให้แรงต่อต้านการเสพกัญชาอ่อนลงเป็นลำดับก็เนื่องจากเหตุผลอย่างน้อย 4 ประการ กล่าวคือ (1) การใช้ THC ในการแพทย์แพร่หลายมากขึ้นเพราะฤทธิ์ของยาและราคา (2) ในยุคของการแสวงหาความสุขสมอย่างทันด่วน (instant gratification) ของชาวโลก กัญชาสนองตอบได้เป็นอย่างดี (3) การยอมรับสถานะของกัญชาว่าไม่ต่างไปจากเหล้าและสุราซึ่งเสพกันอย่างกว้างขวางในสังคมสมัยใหม่ และ (4) การตระหนักว่าสงครามสู้รบกับกัญชานั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเสียเงินทองไปมหาศาลเพียงใดก็ปราบกัญชาไม่หมด และยิ่งเห็นว่ากัญชานั้น “ไร้เดียงสา” เมื่อเปรียบเทียบกับยาเสพติดชนิดใหม่อื่น ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมร้ายแรงกว่ามาก

          พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อเอาชนะมันซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการ “ทำลาย” น้อยกว่ายาเสพติดอื่นไม่ได้ก็ควบคุมให้มันอยู่ในกรอบอย่างถูกกฎหมาย เพื่อหันเหสรรพกำลังและทรัพยากรไปปราบปรามยาเสพติดร้ายแรงชนิดอื่น ๆ ได้อย่างเต็มมือและมีประสิทธิภาพขึ้น

          ไม่ว่าโดยส่วนตัวเราจะเห็นด้วยกับวิธีคิดแบบนี้หรือไม่ก็ตาม คนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกายอมรับกัญชามากขึ้น การสำรวจในปี 2012 พบว่าคนอเมริกันอายุ 18-29 ปี จำนวน 60% เห็นว่ากัญชาควรถูกกฎหมาย ส่วนในช่วงอายุ 30-64 ปี มีจำนวน 48% และอายุ 65 ปี ขึ้นไปมีจำนวน ร้อยละ 30

          มีสองรัฐคือโคโลราโดและวอชิงตันในสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนต้องการให้กัญชาเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายจากการลงคะแนนเสียงของประชาชนในปี 2012 และมี 20 รัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ ถึงแม้ว่ากฎหมายระดับประเทศ (Federal Law) ยังคงห้ามอยู่ก็ตามที

          โคโลราโดและวอชิงตันแข่งขันกันว่าใครจะเป็นแห่งแรกในโลกที่กัญชาถูกกฎหมาย ในที่สุดในวันปีใหม่ที่ผ่านมาโคโลราโดก็เป็นผู้ชนะ ก่อนเปิดร้านในวันปีใหม่ 2014 ซึ่งเป็นวันประวัติศาสตร์ ผู้คนในรัฐโคโลราโดเองและที่เดินทางมาจากต่างรัฐนับพัน ๆ คน ฝ่าความหนาวยืนรอหน้าร้านเพื่อซื้อกัญชาอย่างถูกกฎหมายเป็นครั้งแรก

          ทางการโคโลราโดมิได้ปล่อยกัญชาอย่างเสรี หากอยู่ในการกำกับดูแลควบคุมเหมือนเหล้า เพราะเห็นกันว่ามันช่วยการผ่อนคลายเหมือนกับการดื่มสุรา ถ้าผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในรัฐและอายุเกิน 21 ปี ซื้อได้ไม่เกินคนละหนึ่งออนซ์ต่อครั้ง โดยใส่ในภาชนะที่มิดชิดป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงได้ และห้ามเสพในที่สาธารณะ หากมาจากรัฐอื่นก็ซื้อได้คนละหนึ่งในสี่ออนซ์

          คนปลูกเพื่อการค้าและร้านขายต้องได้รับใบอนุญาต โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจเป็นระยะ ๆ การทำให้กัญชาถูกกฎหมายในโคโลราโดนั้นเขาทำเป็นขั้นตอนกล่าวคือก่อนหน้านี้หนึ่งปีอนุญาตให้ประชาชนเสพได้เพื่อการหย่อนใจและผ่อนคลาย จะกินจะสูบได้เฉพาะในบ้าน โดยอนุญาตให้ปลูกได้คนละไม่เกิน 6 ต้นต่อบ้าน ผู้ซื้อกัญชาต้องมีใบรับรองจากแพทย์และมีบัตรแสดงว่าจำเป็นต้องใช้เพื่อการแพทย์

          เมื่อกฎหมายเป็นอย่างนี้ ผู้เสพเพื่อการหย่อนใจจึงต้องไปซื้อต่อจากพวกมีบัตรในราคาแพงกว่าหนึ่งเท่าตัว (50-60 เหรียญต่อหนึ่งออนซ์ ไม่รู้ว่าที่บ้านเราเงินจำนวนนี้ซื้อได้มากกว่ากี่เท่า) ซึ่งผิดกฎหมาย ที่ตลกก็คือยอมให้เสพกันได้เพื่อหย่อนใจแต่ต้องไปหากัญชากันเอาเอง (ยกเว้นปลูกหลังบ้าน)

          เมื่อวันนี้มาถึงซึ่งทุกอย่างถูกกฎหมาย ผู้เสพทั้งหลายจึงหายใจสะดวกว่าได้ทำถูกกฎหมายเสียที สามารถเดินเข้าไปในร้านเพื่อซื้ออย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎหมายหากนำไปเสพข้ามรัฐ เหตุผลที่ทำให้คนโคโลราโดเสพและครอบครองกัญชาได้ไม่ผิดกฎหมายก็เพราะรัฐบาลกลางอนุญาต รัฐนี้เป็นการพิเศษชั่วคราว (เมื่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศและเป็นคนใหญ่ที่สุดลงมติในระดับรัฐว่าต้องการให้ถูกกฎหมาย รัฐบาลกลางก็จำต้องยอม) อย่างไรก็ดีหากเป็นปัญหาและไม่มีการดูแลกันดีก็อาจถอนการอนุญาตได้

          คนทั้งโลกกำลังจับตามองโคโลราโดว่าการแหวกแนวครั้งนี้จะช่วยลดหรือเพิ่มปัญหาให้สังคม คนจำนวนมากในโลกเห็นว่าแค่เหล้า และบุหรี่ ก็เป็นสิ่งเสพติดถูกกฎหมายที่เป็นปัญหาอยู่มาก ๆ แล้วในโลก การเพิ่มอีกชนิดอย่างถูกกฎหมายรังแต่จะเพิ่มปัญหาให้สังคมมากขึ้น แต่เมื่อประชาชนต้องการก็จำต้องยอม ผู้ว่าการรัฐโคโลราโดซึ่งไม่เห็นด้วยก็ต้องหลบหลีกไม่ร่วมในงานฉลองการถูกกฎหมายของกัญชาใด ๆ ทั้งสิ้น

          เรื่องนี้เป็นหัวข้อแห่งการถกเถียงที่ประเทืองปัญญาเป็นอันมากว่าการยอมให้เสพกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพราะประชาชนต้องการนั้นถูกต้องหรือไม่

พฤติกรรมทำลายครอบครัวของหญิง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
14 มกราคม 2557 

          บ้านไม่ว่าหลังใหญ่หรือเล็กสามารถเป็นทั้งสวรรค์และนรกได้ทั้งนั้น โดยทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้อยู่ร่วมกันในบ้านหลังนั้นในประวัติศาสตร์มีหญิง ๓ คน ที่เชื่อกันว่ามีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างนรกในครอบครัว และทั้งหมดมีคุณลักษณะตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือมีความขี้หึง ระแวง บ่นจู้จี้ และก่อเรื่องวุ่นวายให้แก่ครอบครัวเป็นประจำ

          Dale Carnegie ผู้เขียนหนังสือคลาสสิค อายุ ๗๘ ปี “How to Win Friends and Influence People” เล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ (ผู้เขียนเป็นผู้ชายจึงอาจมีความเอนเอียงเข้าข้างเพศเดียวกัน แต่เรื่องเหล่านี้ฟังไว้ก็คงไม่เสียหาย)

          รายแรกคือเคาน์เตสแห่งทีบา ซึ่งเป็นพระราชินีของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส กล่าวขวัญกันว่า เธอเป็นสตรีที่สวยที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น

          กษัตริย์องค์นี้เป็นหลานของพระเจ้านโปเลียนที่ ๑ (Napoleon Bonaparte นายพลผู้ยิ่งใหญ่ผู้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๖๙-๑๘๒๑) ในตอนแรกได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีด้วยการลงคะแนนเสียงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส แต่ต่อมากระทำรัฐประหารตนเอง และสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นกษัตริย์ มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๗๓

          ถึงแม้ว่ากษัตริย์มีพระราชอำนาจ มีความมั่งคั่งในราชสมบัติและทั้งสองรักใคร่กันมาก จนกล่าวกันว่าไม่มีเปลวไฟใด ๆ ที่โชติช่วงชัชวาลเท่าคบเพลิงแห่งความรักของทั้งสองพระองค์ อย่างไรก็ดีหลังพิธีอภิเษกสมรสไม่นาน เปลวไฟก็กลายเป็นเถ้าธุลี ถึงแม้พระองค์จะทรงแต่งตั้งให้เธอเป็นพระราชินีมอบทรัพย์สมบัติมากมายให้ รวมทั้งในความรัก แต่ก็ไม่อาจหยุดนิสัยวุ่นวายจู้จี้ขี้หึงของเธอลงได้

          ยูยิเน่ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเธอขี้หึงอย่างร้ายกาจระแวงไปหมด ไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์กระทั่งไม่ยอมให้พระองค์มีความเป็นส่วนตัว บางทีเธอบุกพรวดพราดเข้าไปในท้องพระโรงขณะที่พระองค์กำลังทรงปรึกษาราชการ เธอไม่ต้องการให้พระองค์มีโอกาสอยู่ลำพัง พ้นไปจากสายตาของเธอ เธอหวาดระแวงเกรงว่าจะมีหญิงอื่น จนมักไปพร่ำรำพันความเลวร้ายของพระองค์ให้พี่สาวฟัง และบางครั้งเธอถึงกับชี้หน้าด่าประจานพระองค์ต่อหน้าธารกำนัล

          ชีวิตครอบครัวของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ จึงมีแต่ความระทมขมไหม้ หาความสุขไม่ได้ เธอมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ ๙๔ ปี โดยที่พระสวามีจากไปตั้งแต่เมื่อ ๔๗ ปีก่อน

          รายที่สองคือเคาน์เตสตอลสตอย ภรรยาของนักประพันธ์เอกของโลก ลีโอ ตอลสตอย เจ้าของ “สงครามและเสรีภาพ” และ “แอนนา คาเรนินา” ชีวิตของทั้งสองน่าจะสุขสบายเพราะสามีมีชื่อเสียงกึกก้องโลก แฟนบทประพันธ์ของเขาอ่านทุกถ้อยคำที่ออกจากปากเขา ซึ่งมีการรวบรวมเป็นหนังสือให้ชาวโลกชื่นชม นอกจากพรั่งพร้อมด้วยชื่อเสียงและมีลูก ๆ อย่างอบอุ่น

          ชีวิตครอบครัวดำเนินไปอย่างมีความสุขราวกับนิทานจนเมื่อตอลสตอยเริ่มเปลี่ยนไป เขารู้สึกละอายใจเรื่องยิ่งใหญ่ที่เขาเขียนขึ้นมา จึงหันไปเขียนเรื่องสัพเพเหระต่อต้านสงครามกับความยากจน เขานำสมบัติออกแจกจ่ายผู้อื่น ตัวเองก็กินอยู่อย่างยากไร้ ทำไร่ไถนา ผ่าฟืนดายหญ้า ทำรองเท้าใส่เอง ฯลฯ

          ภรรยาของเขาไม่ได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา เธอชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ชอบแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศไม่หยุด ในขณะที่สามีคิดว่าสมบัติทั้งหลายคือบาป เธอเห็นตรงกันข้าม จึงตีโพยตีพายหาเรื่องวุ่นวาย ต้องการเอาเงินทุกเม็ดที่ได้จากการเขียน บางครั้งเธอคลุ้มคลั่ง นอนดิ้นอยู่กับฟื้นและขู่จะฆ่าตัวตาย

          หลังจากแต่งงานกันมา ๔๘ ปี ตอลสตอยก็ไม่อาจทนเห็นหน้าภรรยาได้ ทั้งสองมีทัศนคติต่อชีวิตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาอายุได้ ๘๒ ปี ก็ไม่อาจทนอยู่ในครอบครัวที่ปราศจากความรักต่อไม่ได้ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๐ ในราตรีที่หิมะตกหนักคืนหนึ่ง เขาก็หนีไปจากภรรยาอีก ๑๑ วัน ต่อมาเขาก็สิ้นใจ ก่อนตายเขาขอร้องวิงวอนเป็นครั้งสุดท้าย ขออย่าให้ภรรยามาอยู่ต่อหน้า เขาทนไม่ได้กับการกระทำของภรรยาที่ขี้บ่นรำคาญไม่รู้จบ

          รายที่สาม นางลินคอร์น ภรรยาของประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่ทราบกันดีว่าชีวิตครอบครัวของประธานาธิบดีนั้นหาความสุขไม่ได้ เธอเป็นคนขี้บ่นน่ารำคาญ สร้างความทรมานให้ประธานาธิบดีทั้งชีวิต สิ่งเลวร้ายที่สุดก็คือเธอชอบวิพากษ์ข้อบกพร่องของสามีว่าเลวร้ายไปทั้งหมด บ่นว่าเดินหลังค่อมน่าเกลียด ท่าเดินก็เหยาะย่างเหมือนกับพวกอินเดียนแดง ท่วงท่าไม่สง่างาม เธอไม่ชอบหูยานใหญ่ของเขา บอกว่าเหมือนงอกออกมาจากศีรษะ ทั้งยังบอกว่าจมูกเบี้ยว ริมฝีปากยื่น ท่าทางเหมือนคนป่วย แขนขาก็ยาวมากไป

          มีคนเขียนเล่าว่าเธอมักส่งเสียงกรีดร้องข้ามฝั่งถนน เสียงโวยวายของนางเป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านได้ยินเป็นประจำ นางมักแสดงความโกรธออกมานอกเหนือจากคำพูด เธอเคยแม้กระทั่งสาดกาแฟร้อน ๆ ใส่หน้าสามี นอกจากนี้เธอยังหึงหวงอย่างไร้เหตุผลและรุนแรงอีกด้วย

          ลินคอร์นเป็นคนที่อดทนมาก เขาเสียใจที่มีชีวิตสมรสเช่นนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ต้องการเห็นนางในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ กลับบ้านจากการทำงานนอกบ้าน เขากลับกลัวการกลับบ้าน เขามักพักโรงแรมตามบ้านนอกที่ทรุดโทรม เขาชอบพักที่โรงแรมมากกว่าบ้านตนเองซึ่งมีภรรยาขี้บ่นปากเปียก และพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่เขา

          เมื่อพิจารณาทั้ง ๓ นางจะเห็นได้ว่า พวกเธอมิได้อะไรไปจากพฤติกรรมน่าเบื่อหน่ายของเธอ เธอมิได้ร่วมกับสามีสร้างครอบครัวที่อบอุ่นจนลูกอยากอยู่บ้านที่พ่อแม่ปรองดองรักใคร่กัน พวกนางทำลายสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตไปสิ้น และมันก็ไม่หวนคืนมาด้วย พฤติกรรมของเธอเปรียบได้ดั่งการขุดหลุมฝังศพของชีวิตแต่งงาน