ใคร่ครวญ “การผ่าคลอด”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุกิจบัณฑิตย์
17 พฤศจิกายน 2558

          ไม่ว่าถามคนท้องคนไหนในบ้านเราในเวลานี้ว่าจะคลอดอย่างไร คำตอบที่ได้รับอย่างเรียกได้ว่าท่วมท้นก็คือ “ผ่าท้อง” ได้ยินน้อยคนมากในกรุงเทพฯ ที่บอกว่าจะคลอดแบบธรรมชาติ ปรากฏการณ์นี้น่าตกใจเพราะคุณแม่เหล่านี้ดูเหมือนจะไม่รู้ว่ามีความเสี่ยงและอันตรายแอบซ่อนอยู่มากกว่าการคลอดแบบปกติ

          ปรากฎการณ์นี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในบ้านเรา หากเกิดเกือบทั้งโลก จากสัดส่วนการคลอดแบบผ่าที่อยู่ประมาณเลขตัวเดียว กลายเป็น 20, 30 และถึง 50 ของจำนวนการคลอดทั้งหมดในแต่ละปีก็ยังมีภายในช่วงเวลา 15-20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา 5 ปีหลัง

          จีนนั้นโดดขึ้นไปจากอัตรา “ผ่าคลอด” ที่ต่ำมากในทศวรรษ 1970 จนขึ้นไปถึงร้อยละ 47 ของจำนวนการคลอดทั้งหมดในหนึ่งปี ในระดับโลก “การผ่าคลอด” เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไทยมีสัดส่วนอยู่ประมาณร้อยละ 40 เช่นเดียวกับอินเดีย และเวียดนามร้อยละ 36

          “การผ่าคลอด” นั้นภาษาอังกฤษเรียกว่า Caesarean section หรือสั้น ๆ ว่า C-sections เดิมเชื่อกันว่า Gaius Julius Caesar ยอดขุนพลและรัฐบุรุษโรมันซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนเกิดจาก “การผ่าคลอด” จึงเรียกชื่อการผ่าแบบนี้ตามชื่อของเขา แต่หลักฐานประวัติศาสตร์ระบุว่าแม่ของเขาไม่ตายหลังคลอดเขา ดังนั้นจึงไม่น่าเกี่ยวพันด้วย

          ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะในสมัยนั้นเมื่อแม่กำลังจะตายหรือพึ่งตายเท่านั้นที่เด็กอาจเกิดจาก C-sections ได้ กล่าวคือรีบผ่าออกเลย (ทางการแพทย์บอกว่าต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 37 อาทิตย์ในระยะเวลาการท้องประมาณ 40 อาทิตย์ของมนุษย์จึงจะผ่าแล้วมีโอกาสรอด) C-sections จึงไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับ Julius Caesar เช่นเดียวกับ Caesar salad

          วัฒนธรรมจีนและอินเดียก็มีการกล่าวถึง C-sections อย่างไรก็ดีเป็นเวลาอีกนานมากกว่าที่ C-Sections จะปลอดภัยแม้แต่ในอังกฤษประเทศที่พัฒนาที่สุดในสมัยนั้น ใน ค.ศ. 1865 (สมัยรัชกาลที่ 4) แม่ยังตายถึงร้อยละ 85 พอจะอยู่รอดบ้างก็เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ค.ศ. 1917 เป็นต้นมา ปัจจุบัน C-sections พัฒนามาไกลมากจนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในหลายเรื่อง

          ในเบื้องต้น ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหนีความเจ็บปวด อันมนุษย์นั้นเมื่อมีความกินดีอยู่ดีสูงขึ้น ความอดทนต่อความเจ็บปวดจะน้อยลง ประการที่สอง เป็นเครื่องมือในการให้ทารกเกิดในฤกษ์ดีตามหลักโหราศาสตร์ (“ดวงเกิด” ถูกแทนที่ด้วย “ดวงถูกบังคับให้เกิด” การพยากรณ์จะแม่นยำได้อย่างไรยังสงสัยอยู่) หรือเกิดในฤกษ์ที่เป็น

          ประโยชน์ เช่น เกิดก่อน 17 พฤษภาคม จะได้เข้าโรงเรียนได้เร็วขึ้น หรือเกิดหลัง 1 ตุลาคม เวลาเกษียณอายุจะได้แถมอีก 1 ปี (คิดอะไรไกลขนาด 60 ปีล่วงหน้า)

          สาม เป็นเครื่องมือในการสร้างความสะดวกให้แก่ทั้งผู้คลอด (รู้แน่ว่าคลอดเมื่อใด จะได้กลับบ้าน และไปทำงานวันใด) และแพทย์ (หมอว่างพอดีในตอนนั้น หมอไม่ต้องคอยการเจ็บท้องจนไปไหนไม่ได้ หมอไม่ต้องถูกตามตัวกลางดึก ฯลฯ) สี่ เป็นเครื่องมือแสดงว่าเป็นคนสมัยใหม่อยู่ในเทรนด์และมีฐานะ (พอที่จะมีเงินหนีความเจ็บปวดได้) และห้า ในหลายกรณีเป็นเครื่องมือในการทำให้คุณแม่และคุณพ่อต้องจ่ายเงินเกินกว่าที่ควรจะเป็นเพราะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าการคลอดแบบธรรมชาติและทำให้โรงพยาบาลมีรายได้สูงขึ้น

          C-sections ดูเผิน ๆ สะดวก ปลอดภัย และไม่มีผลเสียต่อทารก อย่างไรก็ดีงานศึกษาวิจัยล่าสุดหลายชิ้นพบหลักฐานว่ามีผลเสียต่อทารกในหลายเรื่องอย่างน่ากังวล

          ในเรื่องความเสี่ยง สถิติของประเทศพัฒนาแล้วสำหรับครรภ์ทั่วไปที่ไม่มีปัญหาระบุว่าความเสี่ยงในการเสียชีวิตจาก C-sections อยู่ประมาณ 13 ต่อ 100,000 การคลอด แต่สำหรับการคลอดธรรมชาตินั้นตัวเลขคือ 3.5 ต่อ 100,000 สรุปได้สั้น ๆ ว่า C-sections มีความเสี่ยงกว่าการคลอดแบบธรรมชาติกว่า 3 เท่าตัว

          สิ่งที่ทำให้ C-sections เสี่ยงกว่าก็คือโอกาสในการติดเชื้อ แผลปริหลังผ่าตัด เสียเลือดขนาดหนัก ปัญหาจากการวางยาสลบ มีปัญหากับท้องต่อไป ฯลฯ ในขณะที่การคลอดแบบธรรมชาตินั้นถึงมีปัญหาก็มี ‘ก๊อกสอง’ คือทำ C-sections ได้ WHO แนะนำให้ทำ C-sections เฉพาะในกรณีที่มีปัญหาจากการคลอดปกติ เช่น ท่าของทารกทำให้คลอดยาก แม่มีปัญหาสุขภาพ เจ็บท้องอยู่นานมาก รกอยู่ในลักษณะที่ขัดขวางการคลอด หัวใจและความดันของแม่และ/หรือทารกอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ฯลฯ

          สิ่งที่งานวิจัยล่าสุดพบเกี่ยวกับ C-sections นั้นน่าสนใจมาก กล่าวคือพบว่า (1) การคลอดแบบปกติทำให้ทารกมีโอกาสได้รับ microbiota (สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากที่อยู่ร่วมในร่างกายมนุษย์ เช่น แบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยย่อยอาหาร) ของแม่มากกว่า ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของทารกในเวลาต่อไป (2) เมื่อทารกขาด microbiota จากแม่อาจทำให้สิ่งที่เรียกว่า bifidobacteria probiotics ซึ่งอยู่ในลำไส้ของทารกไม่เติบโตเต็มที่ ซึ่งมีผลทำให้ไม่สามารถย่อยสลายสารอาหารที่อยู่ในนมแม่ได้อย่างเต็มที่ ในบางกรณีอาจนำไปสู่การขาดสารอาหารรุนแรงจนการเจริญเติบโตของทารกสะดุดได้ ทารกลักษณะนี้เมื่อโตขึ้นมีทางโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคไต และโรคเบาหวาน

          (3) C-sections อาจเป็นตัวไปกระทบ microbiota ที่ทารกมีแต่แรกจนทำให้เกิดการปรับระบบภูมิคุ้มกันของทารกไปในทางลบจนอาจเป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดเมื่อโตขึ้นหรือแม้แต่ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นเบาหวานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

          (4) การเปลี่ยนแปลงของ microbiota ในลำไส้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานเมื่อเป็นผู้ใหญ่ได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีสาเหตุมาจาก C-sections

          ปัจจุบันทารกจีนเกือบครึ่งหนึ่งในแต่ละปีลืมตาดูโลกด้วยวิธี C-sections และพบว่าในขณะเดียวกันก็มีการพุ่งสูงขึ้นของโรคเบาหวานตั้งแต่ยังเป็นเด็กอย่างผิดสังเกต งานศึกษาเชื่อว่า C-sections กับโรคเบาหวานในเด็กน่าจะมีความผูกพันกัน มีความเป็นไปได้สูงว่าเมฆทะมึนข้างหน้าของโรคเบาหวานในอนาคตของพลเมืองจีนมี C-sections เป็นตัวจุดประกายตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา

          การแพร่กระจายของ C-sections ทั่วโลกเป็นเรื่องหนักอกขององค์การสาธารณสุขระหว่างประเทศ เพราะมันถูกใช้เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกซึ่งเชื่อว่ามีพิษแอบแฝงอยู่โดยที่คุณแม่ทั้งหลายยังไม่ทราบกันกว้างขวางนัก

          ที่น่าตกใจก็คือการที่ C-sections อาจกลายเป็นตัวชี้วัดฐานานุภาพในสังคมของ ครอบครัวจนทำให้เลือก C-sections อย่างขาดวิจารณญาณ และมองข้ามความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ

          มนุษย์ทนความเจ็บปวดในการให้กำเนิดลูกโดยสำนึกว่าเป็นตัวแทนของความรักที่มีให้ลูก แต่เมื่อมนุษย์มีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น ความเจ็บปวดจากการเป็นแม่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องของความไม่สะดวกไปอย่างน่าเสียดาย

หมวกกันน็อคจักรยานจำเป็นหรือไม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10 พฤศจิกายน 2558

          คิด ๆ ไปแล้วก็รู้สึกแปลกใจ ทำไมเมื่อสมัยก่อนผู้คนเขาก็ขี่จักรยานกันตามปกติไม่เห็นต้องใส่หมวกกันน็อคดังปัจจุบัน แต่ก็เห็นประชากรโลกเพิ่มไม่หยุดจนปัจจุบันถึง 7,000 ล้านคน และคาดว่ากลางศตวรรษนี้ก็อาจขึ้นไปถึง 9,000 ล้านคน

          หมวกกันน็อคของจักรยานเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่? คำตอบนี้มีผลกระทบกว้างไกลในหลายแง่มุม สมควรแก่การขบคิด

          ในเชิงการแพทย์มนุษย์ตายได้ไม่ยากผ่านแรงกระทบส่วนของกระโหลกมนุษย์ที่เป็นจุดอ่อน โบราณบอกว่าเตะหรือตี “ทัดดอกไม้” จัง ๆ นั้นทำให้ตายได้ “ทัดดอกไม้” ก็คือบริเวณเหนือใบหูที่ใช้ทัดดอกไม้นั่นแหละ บริเวณนี้มีเส้นเลือดไปสมองอยู่ระหว่างแผ่นกระโหลกบาง ๆ 2 แผ่น ถ้าบริเวณนี้ถูกแรงกระแทก เช่น ตกจักรยาน หกล้ม ถูกเตะ ถูกไม้ตี ฯลฯ แผ่นบาง 2 แผ่นนี้ก็อาจบีบกระแทกเส้นโลหิตจนทำให้แตกได้ เลือดก็จะซึมสู่สมอง อาจรู้สึกปวดหัวอยู่ วันสองวันและก็ตายเลยได้ แต่ถ้ารู้ตัวทันก็สามารถผ่าตัดให้เลือดที่คั่งไม่ไปทำอันตราย

          การใส่หมวกกันน็อคของจักรยานก็เพื่อป้องกันการกระแทกในบริเวณนี้ หลายประเทศจึงออกกฎหมายบังคับ แต่ประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่ง Amsterdam เป็นเมืองหลวงของจักรยานโลก ไม่บังคับให้ใส่ และก็ไม่มีใครใส่ด้วย ยกเว้นนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่ขบขันของชาวเมืองนั้น

          ในยุคทศวรรษ 1950 และ 1960 คนขี่จักรยานใน Amsterdam ถูกรุกไล่ทั้ง ๆ ที่ขี่กันมานานหนักหนาเพื่อให้พื้นที่แก่รถยนต์ที่มีจำนวนมากขึ้นทุกที ตึกรามบ้านช่องถูกรื้อเพื่อสร้างเป็นถนนให้รถยนต์จนการใช้จักรยานลดลงร้อยละ 6 ต่อปี ใคร ๆ ก็คาดว่าจักรยานคงจะสูญพันธุ์แน่

          อย่างไรก็ดีสถิติอุบัติเหตุจากรถยนต์พุ่งสูงขึ้นถึง 3,300 คน ใน 1971 ในจำนวนประชากรประมาณ 12 ล้านคน และในจำนวนนี้กว่า 400 คน เป็นเด็ก ข้อเท็จจริงเช่นนี้นำไปสู่การประท้วงของกลุ่มต่าง ๆ ที่เห็นว่ามีจำนวนเด็กตายด้วยรถยนต์มากเกินไป ในช่วงทศวรรษ 1970 ประชาชนตื่นตัวออกมาประท้วงเรื่องการใช้รถยนต์ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น และแล้วประชาชนก็หันมาให้ความสนใจแก่รถจักรยาน โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันในปี 1973 ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 4 เท่าตัว จักรยานจึงเป็นคำตอบสำหรับการเดินทางในแต่ละเมืองซึ่งไม่ใหญ่โตในประเทศที่มีพื้นที่เพียง 41,500 ตารางกิโลเมตร (น้อยกว่า 1 ใน 10 ของไทย) และประชากรประมาณ 17 ล้านคนในปัจจุบัน

          หลายเมืองเริ่มทดลองสร้างทางจักรยานเป็นเส้นทางคมนาคม และในที่สุดก็เกิดโมเม็นตั้มของความนิยมจักรยาน ซึ่งต่อมาเป็นกระแสแรงมากในทุกเมือง จนปัจจุบันเนเธอร์แลนด์มีเส้นทางจักรยานยาว 22,000 ไมล์ มากกว่าหนึ่งในสี่หรือร้อยละ 25 ของจำนวนเที่ยวการเดินทางของคนทั้งประเทศใช้จักรยาน (ในอังกฤษมีเพียงร้อยละ 2) สำหรับเมือง Amsterdam ตัวเลขนี้ขึ้นไปถึงร้อยละ 38

          ใน Amsterdam ปัจจุบันจะเห็นคนขี่จักรยานยั้วเยี้ยไปหมด จนพูดได้เต็มปากว่าคน ขี่จักรยานยนต์ครองเมืองนี้อย่างแท้จริง คนขี่จักรยานจำนวนหนึ่งไม่สนใจกฎจราจรนัก ตัดหน้ารถยนต์ไปมาอย่างไม่เกรงใจ ควบคู่ไปกับการขี่จักรยานตามเส้นทางจักรยานยนต์ที่จัดไว้ให้เป็นอย่างดี ลูกเด็กเล็กแดงขี่กันเต็มไปหมด เครือข่ายคมนาคมของจักรยานอยู่ทุกแห่งหน และไม่ใช่เพียง Amsterdam เท่านั้น หากครอบคลุมไปถึงทุกเมืองของประเทศนี้ด้วย

          สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือเมือง Amsterdam ไม่บังคับให้ผู้ขี่จักรยานใส่หมวกกันน็อค ยกเว้นเด็ก ทุกคนพร้อมใจกันไม่ใส่เพราะคิดว่าไม่จำเป็นเนื่องจากตระหนักดีว่าการขี่จักรยานในประเทศนี้ปลอดภัยอย่างที่สุดแล้ว (จำนวนคนขี่จักรยานเสียชีวิตต่อการเดินทางหนึ่งไมล์ต่ำที่สุดในโลก)

          สำหรับข้อถกเถียงว่าควรใส่หมวกกันน็อคเมื่อขี่จักรยานหรือไม่ คนดัชท์กลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่าไม่ควรโดยให้เหตุผลดังต่อไปนี้ (1) การไม่ใส่หมวกคือเสรีภาพอย่างแท้จริง ไม่แบกหมวกพะรุงพะรังอย่างไม่มีประโยชน์เพราะถนนของเราปลอดภัยอยู่แล้ว (2) หมวกเป็นประโยชน์เฉพาะเวลาจักรยานล้มเองเท่านั้น หากชนกับรถยนต์แล้วก็ไม่ต้องพูดถึง

          (3) การใส่หมวกมีผลด้านลบ กล่าวคือทำให้ผู้ขี่ประมาทและกระทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงมากขึ้นเพราะคิดว่ามีสิ่งสร้างความปลอดภัยกว่าปกติ (4) งานวิจัยของอังกฤษพบว่าผู้ขับขี่รถยนต์จะให้พื้นที่ยามแซงแก่ผู้ขี่จักรยานที่มีหมวกกันน็อคน้อยกว่าผู้ขี่จักรยานที่ไม่ใส่หมวก ดังนั้นการใส่หมวกจึงเป็นเชื้อเชิญอันตรายให้มาเยือน

          (5) การบังคับให้ใส่หมวกอาจทำให้จำนวนผู้ขี่จักรยานมีน้อยลง (ตัวเลขจากออสเตรเลียยืนยันปรากฏการณ์นี้) เพราะมีผู้คิดว่าการขี่จักรยานเป็นสิ่งอันตรายอีกทั้งทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งไม่เป็นสิ่งที่ดีเพราะงานวิจัยการขี่จักรยานในสหรัฐอเมริกาพบว่ายิ่งถนนมีผู้ขับขี่มากเท่าใด ก็ยิ่งมีสถิติอุบัติเหตุจากจักรยานลดลงมากเพียงนั้น

          อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ขี่จักรยานในเมือง Seattle รัฐวอชิงตันในสหรัฐอเมริกาที่ถูกบังคับให้ทุกคนในทุกวัยใส่หมวกกันน็อคมา 12 ปีแล้ว ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

          Seattle เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองใหญ่ในโลกที่บังคับให้ผู้ขี่จักรยานต้องใส่หมวกกันน็อค (ในสหรัฐอเมริกากฎหมายบังคับให้ใส่หมวกกันน็อคแตกต่างกันแล้วแต่รัฐ) ถึงแม้จะมีงานวิจัยพิสูจน์ว่าการใส่หมวกทำให้ปลอดภัยขึ้นก็ตาม ผู้ไม่เห็นด้วยสงสัยว่าถ้าจะให้ปลอดภัยกว่านี้ก็ต้องใส่สนับศอก เข่า และเสื้อแบบขับขี่มอเตอร์ไซต์ด้วยหรือไม่

          ในประเด็นเรื่องความปลอดภัยนั้นต้องยอมรับว่าความปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์นั้นไม่มี ถ้าต้องการความปลอดภัยที่สุดก็คือนอนอยู่กับบ้าน (แต่ก็ไม่แน่เพราะมีกรณีที่ผู้โดดร่มไม่กาง หล่นทะลุหลังคาบ้านมาทับตายก็มี) หมวกกันน็อคนั้นให้ความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง

          ความปลอดภัยของผู้ขับขี่นั้นโดยแท้จริงแล้วอยู่ที่สภาพของถนนที่ใช้ว่ามีช่องทางจักรยานเป็นพิเศษหรือไม่ ความระมัดระวังของผู้ขับขี่ยานยนต์มีมากเพียงใด มีวัฒนธรรมในการเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นมากเพียงใด การเคารพกฎจราจรของสังคมนั้นเป็นอย่างไร หมวกกันน็อคเพียงใบเดียวช่วยความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น

          กฎหมายไทยปัจจุบันไม่เอาผิดกับผู้เมาสุราแล้วขับขี่จักรยาน ดังนั้นถ้าคิดว่าจะเมาก็จงจูงจักรยานไปร้านเหล้าเพื่อเอาไว้ขี่กลับบ้าน แต่ต้องให้แน่ใจเวลาออกมาจากร้านว่าจักรยานยังคงอยู่ และยังขี่จักรยานเป็นอยู่

เคเนดี้พิการที่ถูกแอบซ่อน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3 พฤศจิกายน 2558

          ตระกูลเคเนดี้ของ Joseph และ Rose Kennedy นั้นเป็นที่รู้กันทั่วว่ามีลูกรวม 9 คน มีถึง 8 คน ที่มีบทบาทเป็นที่รู้จักกันแต่มีอยู่ 1 คน ที่ไม่มีใครเคยเห็นแม้แต่รูปถ่ายของเธอในตอนแรก ๆ ครอบครัวปิดบังเธอมืดมิด สาธารณชนพอรู้เรื่องราวของเธอบ้างหลังจากที่พี่ชายเป็นประธานาธิบดี ทำไมเธอจึงถูกแอบซ่อนและชีวิตของเธอเป็นอย่างไร

          Rosemary คือชื่อของเธอโดยเลียนแบบแม่ซึ่งมีชื่อว่า Rose โชคชะตาคนบางครั้งก็ถูกกำหนดแบบชุ่ย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ Joe พี่ชายคนโตและ John พี่ชายคนรองซึ่งต่อมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เกิดที่บ้านโดยหมอเดินทางมาทำคลอดให้ แต่เมื่อถึงคิวเกิดของเธอหมอเกิดไม่อยู่แต่เธอกำลังจะเคลื่อนร่างออกมา พยาบาลจึงสั่งให้แม่ไขว้ขาและบีบขาให้แน่นเพื่อคอยหมอ การกระทำเช่นนี้ถึง 2 ชั่วโมง ทำให้เธอขาดออกซิเจน สมองบางส่วนจึงถูกทำลายไปอย่างน่าสมเพช

          Rosemary เป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว เป็นที่ชัดเจนเมื่อโตขึ้นว่าเธอเรียนช้ากว่าปกติ IQ อยู่ประมาณ 60-70 (ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็มีอายุสมองเท่ากับเด็กอายุ 8-12 ปี) Rosemary เกิดใน ค.ศ. 1918 ในยุคที่คนมีความผิดปกติอย่างเธอเป็นเรื่องที่ไม่เปิดเผยกัน Rose แม่ของเธอทำเสมือนว่าเธอเป็นเด็กปกติ บุคคลนอกครอบครัวจะไม่รู้สภาพที่แท้จริงของเธอเลยเพราะถือเป็นความลับ

          พ่อส่งเธอเข้าโรงเรียนที่สอนเป็นพิเศษตัวต่อตัวแบบเข้มจนเธออ่านออกเขียนได้แต่ก็ช้ากว่าเพื่อน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพี่น้องในตระกูลเคเนดี้ที่ถูกสอนให้มีเป้าหมายในชีวิต ต้องแข่งขัน ต้องบากบั่นมานะ ฯลฯ

          หนังสือชื่อ Rosemary The Hidden Kennedy Daughter (2015) เขียนโดย Kate Clifford ซึ่งตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ เล่าเรื่องชีวิตที่น่าสงสารของเธอ โดยเก็บข้อมูลจากคนดูแล พี่เลี้ยง ฯลฯ ก่อนหน้านี้ยังไม่มีการเขียนถึงเธออย่างละเอียดเช่นนี้มาก่อน

          เมื่อ Joseph ไปเป็นทูตสหรัฐอเมริกาประจำอังกฤษในปี 1938 Rosemary ในวัย 20 ปี สวยสดงดงามมากในหมู่ของสาวไฮโซ เธอก้าวหน้าขึ้นมากในด้านความสามารถในการใช้ภาษา ในการเข้าสังคม ฯลฯ จนเป็นที่สนใจของชายหนุ่มในแวดวงไฮโซอังกฤษ

          อย่างไรก็ดีหลังจากพ่อเธอกลับจากอังกฤษมาพำนักในวอชิงตัน ดี.ซี. สภาพร่างกายและจิตใจของเธอก็เปลี่ยนแปลง อารมณ์ของเธอแกว่งไปมา ก้าวร้าว ควบคุมพฤติกรรมยากขึ้นฯลฯ อาการเหล่านี้ซึ่งเชื่อว่ามาจากความสมดุลของฮอร์โมนของวัยสาวเต็มที่ของเธอหนักขึ้น

          ในยุคทศวรรษ 1930 มีการรักษาความผิดปกติทางจิตแบบที่ Rosemary เป็นด้วยเทคนิคสมัยใหม่ของยุคนั้นที่มีชื่อว่า Lobotomy ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยแพทย์ชาวปอร์ตุเกส ชื่อ Antonio Moniz ในปี 1935 (ได้รับรางวัลโนเบิลจากการคิดค้นนี้ใน ค.ศ. 1949)

          ในสหรัฐอเมริกา นายแพทย์ Walter Freeman เป็นมือเอกผ่าตัดสมองเพื่อรักษาด้วยวิธี Lobotomy เขาผ่าประมาณ 3,500-5,000 ราย ของกรณี Lobotomy ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีประมาณ 50,000 ราย นับจนถึงต้นทศวรรษ 1960 วิธีการของ Lobotomy ก็คือเจาะรูสมองสองรูจากด้านบนแล้วใช้ใบมีดสอดเข้าไปตัดเนื้อเยื่อสมอง และใช้ใบมีดผ่าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับให้คนไข้ท่องบทสวดมนต์หรือนับถอยหลัง เพื่อให้รู้ว่าจะผ่าตัดไปได้ไกลแค่ไหน เมื่อถึงจุดที่พูดไม่รู้เรื่องหมอก็จะหยุด

          ในกรณีของ Rosemary ในปี 1941 นั้น การรักษาแบบ Lobotomy ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หลังการรักษาเธอพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ และมี IQ เท่ากับเด็กอายุ 2 ขวบ พ่อของเธอเป็นผู้อนุญาตให้หมอผ่าตัดโดยมิได้หารือภรรยาและต้องปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่าเธอเป็นอะไรหลังการรักษาเพราะเกรงว่าจะไปบดบังหรือทำลายอนาคตการเมืองหรือชีวิตของลูกคนอื่น Joseph เสียใจจากเหตุการณ์ “ทำลาย” ลูกครั้งนี้มาก เขาเสียชีวิตในปี 1969

          ในยุคนั้นการป่วยโรคจิตเป็นเรื่องน่าอับอายของญาติพี่น้อง การมีสภาวะ “ปัญญาอ่อน” ยังเป็นเรื่องน่าอับอายน้อยกว่า และสำหรับ Joseph Kennedy สิ่งที่น่าอับอายมากสุดก็คือเป็นเหยื่อของ Lobotomy ที่ผิดพลาดจากการตัดสินใจ

          เมื่อ Lobotomy ล้มเหลว พ่อส่งเธอเข้าโรงพยาบาลที่สร้างเป็นพิเศษเพื่อ “ฝัง” เธอไว้ แม่เธอเองไม่เคยไปเยี่ยมเป็นเวลา 20 ปี ส่วนพ่อนั้นไม่ไปหาเธอตั้งแต่ปี 1948 สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Joseph ตัดสินใจทำ Lobotomy ก็คือพฤติกรรมของเธอเมื่อเป็นสาว เธอหนีจากโรงเรียนกินนอนออกไปเที่ยวตอนกลางคืน และสามารถควบคุมเธอได้น้อยลงทุกที การเกรงว่าจะเกิดเรื่องฮื้อฉาวทางเพศจนบั่นทอนอนาคตทางการเมืองของลูกชายผลักดันให้ตัดสินใจรักษา

          ชีวิตของเธอถูกเปิดเผยขึ้นหลัง John ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี โดยให้ข่าวกันว่าเธอพิการ “ปัญญาอ่อน” แต่ก็ไม่เคยมีรูปของเธอให้เห็น น้องสาวของเธอที่สนิทกันมากที่สุดคือ Eunice Shriver ได้ใช้สิ่งที่เห็นจากชีวิตเธอเป็นแรงกระตุ้นการออกกฎหมายช่วยผู้พิการทางสมองหลายลักษณะ โดยเฉพาะในช่วงที่พี่ชายเป็นประธานาธิบดี

          ในปี 1970 ซึ่งหลังจาก Lobotomy กว่า 20 ปี พี่น้องก็มารับเธอกลับไปเที่ยวบ้านบ้าง และเมื่อเป็นผลดีก็เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เธอสนุกและดีอกดีใจเพราะเธอพัฒนาขึ้นมากจนเดินได้แต่ก็ยังพูดไม่ได้ เธอใช้ชีวิตอยู่ในคลินิกพิเศษเป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปี จนเสียชีวิตเมื่ออายุ 86 ปีในปี 2005 ส่วน Rose แม่ของเธอจากไปในปี 1995 ด้วยวัย 104 ปี

          Rosemary เกิดท่ามกลางความมั่งคั่งและชื่อเสียงของครอบครัว แต่ชะตากรรมทำให้เธอเป็นคนด้อยสุดในทางสติปัญญาในหมู่พี่น้องเคเนดี้ที่มีความสามารถสูง นอกจากนั้นเธอยังโชคร้ายที่ความด้อยได้แปรเปลี่ยนเป็นการป่วยทางจิต ซึ่งบังเอิญที่ช่วงเวลานั้นสังคมไม่ยอมรับการเจ็บป่วยเช่นนี้ พ่อแม่รักเธอมาก พยายามรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ใหม่สุดของยุค แต่ก็ล้มเหลวกลายเป็นคนที่พึ่งตนเองไม่ได้

          ความทะเยอทะยานของครอบครัวที่จะผลักดันลูก ๆ สู่การเมืองทำให้ต้องแอบซ่อนเธอไว้ให้มิดชิดเพื่อไม่ให้ชีวิตของเธอเป็นอุปสรรค โชคดีที่เธอไม่รู้และไม่เข้าใจเธอจึงไม่เจ็บปวด เชื่อได้ว่าทั้งพ่อและแม่เจ็บช้ำจนไม่อาจเผชิญหน้ากับ “ความล้มเหลว” ของตนเองได้จึงไม่ไปเยี่ยมเป็นเวลานาน

          ไม่มีใครรู้ว่า Lobotomy มีผลเสียมากแค่ไหนในตอนนั้น เพราะผู้คนตื่นเต้นกับวิธีการใหม่รักษาโรคซึมเศร้าและโรคจิตเภท (schizophrenia) มีหลายกรณีที่ประสบผลสำเร็จและล้มเหลว หมอใช้ Lobotomy เป็นวิธีรักษามานานจนในที่สุดถูกทดแทนด้วยยาประเภทที่เรียกว่า antipsychotics ในยุคทศวรรษ 1960 ปัจจุบันผู้คนเห็นว่า Lobotomy เป็นวิธีการที่ป่าเถื่อน

          อย่างไรก็ดีในหลายประเทศในโลกในปัจจุบัน เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ Lobotomy ในรูปแบบฟอร์มใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างมากมายที่เรียกว่า NMD (Neurosurgery for Mental Disorder) ก็ยังเป็นวิธีรักษาท้ายสุดหากทุกอย่างล้มเหลวหมดแล้วในผู้ป่วยที่ซึมเศร้าอย่างรุนแรง และในกรณีอื่น ๆ ที่เรียกว่า anxiety and obsessive-compulsive disorder (ความผิดปกติที่ทำให้เกิดความกระวนกระวายรุนแรงและกระทำสิ่งที่ตนเองควบคุมไม่ได้) มี 2 โรงพยาบาลในอังกฤษผ่าตัดรักษาแนวนี้ 10 ครั้งต่อปี ในรอบสิบปีที่ผ่านมา

          Rosemary คือ “โครงกระดูกในตู้” ของครอบครัวเคเนดี้ แต่โครงกระดูกที่น่าสงสารนี้มีประโยชน์มากเพราะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดกฎหมายที่ทำให้เข้าใจคนป่วยทางจิตเพิ่มขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเคเนดี้ น้องสาวของเธอคนหนึ่ง คือ Eunice Kennedy Shriver ก่อตั้ง Camp Shriver สำหรับผู้ป่วยและความคิดพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการจัด Special Olympics สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ประเภท Intellectual Disabilities ผู้สนับสนุนการเงินและการจัดการคือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Special Olympics โดยมี Eunice เป็นประธาน ปัจจุบันมีนักกีฬาจาก 170 ประเทศ จำนวน 4.5 ล้านคนเข้าร่วมแข่งขัน ทุกวันทั่วโลกมีการแข่งขันนับรวมได้ 94,000 รายการแข่งขันต่อปี (คนละอันกับ Paralympic Games)

          แรงกระตุ้น และแรงปลุกเร้าให้ทำสิ่งดี ๆ อาจมาจาก “โครงกระดูกในตู้” ก็เป็นได้

“ไอนุ” ชนพื้นเมืองญี่ปุ่น

วรากรณ์  สามโเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27 ตุลาคม 2558

          รู้มานานแล้วว่าญี่ปุ่นมีคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่เรียกกันว่า “ไอนุ” แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร มีประวัติความเป็นมา และปัจจุบันมีจำนวนเท่าใด และอยู่กันในบริเวณไหนบ้าง โอกาสนี้ผู้เขียนขอนุญาตขยายความให้พอเห็นภาพ

          ขอเริ่มต้นที่ภูมิศาสตร์ของญี่ปุ่น เกาะใหญ่ตอนเหนือสุดคือฮอกไกโด เรียงลงมาคือเกาะใหญ่สุดคือฮอนชู (ที่ตั้งของเมืองใหญ่ทั้งหมดเช่นโตเกียว นาโงยา เกียวโต โอซาก้า โกเบ ฯลฯ) และไล่ลงมาด้วยเกาะชิโกกุและคิวชู และไกลออกไปคือโอกินาว่า (อีกชื่อคือ เกาะริวกิวที่มาของชื่อปลาริวกิว)

          ญี่ปุ่นมีเกาะรวมกันทั้งหมด 6,852 เกาะ ฮอกไกโดเป็นเกาะใหญ่รองที่สอง มีพื้นที่ประมาณ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น มีประชากรประมาณ 5.5 ล้านคน มีเมืองหลักคือซัปโปโร และที่เกาะแห่งนี้แหละคือแหล่งที่พักพิงใหญ่ของชาวไอนุ

          เหนือขึ้นไปจากเกาะฮอกไกโดเพียงเล็กน้อยก็คือหมู่เกาะแซคาลินและคูริลของรัสเซีย (ญี่ปุ่นแท้จริงแล้วอยู่ใกล้รัสเซียมาก เมืองวลาดิวอสต็อกซึ่งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ห่างจากเมืองซัปโปโรเพียง 600-700 กิโลเมตรเท่านั้น) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับฮอกไกโดมีชาวไอนุอาศัยอยู่เช่นกัน

          สันนิษฐานว่าชาวไอนุอาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นประเทศญี่ปุ่นมาเป็นหมื่น ๆ ปีก่อนที่คนญี่ปุ่นจะมาตั้งรกราก นักสังคมวิทยาเชื่อว่าชาวไอนุมีรากวัฒนธรรมจากการหลอมรวมของสองวัฒนธรรมเก่าแก่คือ Okhotsk และ Satsumon และถูกรุกไล่จนมาอยู่ที่เกาะเหนือในปัจจุบันด้วยจำนวนที่บอกได้ยากว่ามีเท่าใด

          ในทางวิชาการมีข้อถกเถียงกันมากว่าชาวไอนุเป็นมงโกล เช่น คนเอเชีย หรือ คอเคเซียน เช่น ฝรั่งยุโรป มีการพิสูจน์ด้วย DNA และเปรียบเทียบหน้าตา แต่ไม่ว่าหลักฐานจะเป็นอย่างไรแต่จากรูปภาพสมัยโบราณคนส่วนใหญ่จะบอกว่าหน้าตาไปทางฝรั่งมากกว่าคนเอเชีย เพราะมีผิวขาว ตัวสูงใหญ่ หนวดเครายาว จมูกโด่ง ฯลฯ ดูไม่แตกต่างจากคนรัสเซีย หรือคนในยุโรปตะวันออกมากนัก

          อย่างไรก็ดีรูปภาพก็อาจหลอกลวงได้เพราะไอนุมีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์กันทั้งรัสเซีย และญี่ปุ่นตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา รูปที่ได้มานั้นอาจมาจากกลุ่มที่ใกล้ชิดวัฒนธรรมรัสเซีย หรือลูกครึ่ง ฝั่งฝรั่งก็เป็นได้

          ในสมัยโชกุนโตกุกาวะ (ค.ศ. 1600-1862) ไอนุค้าขายกับคนญี่ปุ่นมากขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากญี่ปุ่นยึดครองเกาะ อย่างไรก็ดีคนญี่ปุ่นมีความอดทนน้อยกับความแปลกแยก ดังนั้น ชนกลุ่มน้อยดังเช่นไอนุจึงประสบปัญหาการถูกกีดกัน ไอนุหาทางออกโดยนิยมให้ลูกหลานแต่งงานกับคนญี่ปุ่นจนในที่สุดความเป็นไอนุถูกกลืนไปเกือบหมด ภาษาไอนุก็แทบไม่มีคนใช้แล้วในปัจจุบัน

          ในปี ค.ศ. 1868 มีตัวเลขว่ามีไอนุอยู่ประมาณ 15,000 คน บนเกาะฮอกไกโด และมาประมาณ 2,000 คน บนเกาะแซคาลิน และ 100 คน บนเกาะคูริล ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงจากต้นศตวรรษก่อนหน้าซึ่งมีประมาณ 80,000 คน

          ปัจจุบันตัวเลขของไอนุอยู่ระหว่าง 25,000-200,000 คน ในญี่ปุ่น และประมาณ 100-1,000 คน ในรัสเซีย สาเหตุที่ตัวเลขไม่มีความแน่นอนก็เพราะการแต่งงานกับคนญี่ปุ่นและรัสเซีย และอีกจำนวนมากไม่เปิดเผยว่าเป็นเชื้อสายไอนุเนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นคนแปลกแยกและถูกกีดกัน

          บนเกาะฮอกไกโดบริเวณเมืองเล็ก ๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะหรือบริเวณที่เรียกว่า Hidaka มีไอนุอาศัยอยู่มากกว่าบริเวณอื่น ๆ อย่างไรก็ดีจำนวนมากไม่พูดภาษาไอนุ หากพูดภาษาญี่ปุ่น และไอนุในฝั่งรัสเซียก็พูดรัสเซีย ไอนุ “แท้” แทบจะไม่มีเหลืออยู่เลย (ในปี 1966 งานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่ามีไอนุ “แท้” อยู่ประมาณ 300 คน)

          ไอนุมาจากคำว่า ainu ซึ่งแปลว่ามนุษย์ อย่างไรก็ดีไอนุปัจจุบันไม่ชอบชื่อที่ถูกเรียกว่า “ไอนุ” เพราะเสมือนเป็นคำดูถูก (คล้ายกรณีของ “แม้ว” จนปัจจุบันต้องเรียกว่า “ม้ง” หรือ “เอสกิโม” ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “อินโนวิต”) ไอนุต้องการที่จะเรียกตัวเองว่า “Utari” ซึ่งแปลว่า “เพื่อน” ในภาษาไอนุมากกว่า เอกสารทางการใช้ทั้งสองชื่อในปัจจุบัน

          ในปี 2008 สภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นลงมติเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับว่าไอนุเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของญี่ปุ่น และขอร้องให้เลิกการกีดกันชนกลุ่มน้อยนี้ มติดังกล่าวระบุชัดเจนว่า “ไอนุเป็น ชนพื้นเมืองดั้งเดิมโดยมีภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นของตนเอง” รัฐบาลญี่ปุ่นก็ตอบสนองทันทีว่า “ยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์ว่าไอนุจำนวนมากถูกกีดกันและถูกบังคับให้เข้าสู่ความยากจนท่ามกลางความสมัยใหม่ถึงแม้ว่าจะเท่าเทียมทางกฎหมายกับคนญี่ปุ่นก็ตามที”

          ไอนุต่อสู้กับคนญี่ปุ่นยาวนาน แต่ก็พ่ายแพ้และถูกกีดกันตลอดจนถูกบังคับใช้แรงงาน ชีวิตที่อยู่รอดด้วยการเกษตรก็เป็นไปอย่างแร้นแค้น พอมีอาหารประเทืองชีวิตเท่านั้น

          ปัจจุบันมีการรื้อฟื้นวัฒนธรรมไอนุบนเกาะฮอกไกโด ลายเสื้อผ้าอันงดงามคล้ายของชาวไทยภูเขาถูกนำมาใช้ในทางศิลปะเพื่อการค้า โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยว มีชาวไอนุที่เปิดเผยตนเองมากขึ้นจนถึงขนาดตั้งพรรคการเมือง The Ainu Party ในปี 2012

          ในปัจจุบันไอนุส่วนหนึ่งเปิดเผยตัวออกมาแสดงศิลปะด้านร้องเพลง แสดงศิลปะการ ปักผ้า เครื่องปั้น ฯลฯ โดยโยงใยกับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคสำคัญยิ่งของฮอกไกโด นอกเหนือจากการผลิตสินค้าเกษตรของเกาะอย่างเป็นกอบเป็นกำจนเรียกได้ว่าเป็นแหล่งอาหารของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศแล้ว สินค้าเกษตรอันได้แก่ ข้าวสาลี มันฝรั่ง หัวหอม ฟักทอง ถั่วเหลือง ข้าวโพด นม เนื้อวัว ฯลฯ เหล่านี้ฮอกไกโดผลิตเป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่นทั้งสิ้น

          ฮอกไกโดอุดมด้วยป่าธรรมชาติ สดเขียวงดงาม รัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้วตระหนักดีว่าการปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีผู้คนอาศัยก็จะถูกรุกรานโดยรัสเซียซึ่งอยู่ใกล้กันมากได้ ดังนั้นจึงมีโครงการอพยพผู้คนไปตั้งรกรากบนเกาะนี้อย่างมากจาก 58,000 คน ในปี ค.ศ. 1876 พุ่งขึ้นเป็น 240,000 คน ใน ค.ศ. 1882 และเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจนถึงหลักล้านในปัจจุบัน

          จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นถึง 5.5 ล้านคน ทำให้ไอนุยิ่งมีสัดส่วนน้อยลง และถูกมองข้ามเมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจครั้งใหญ่บนเกาะ ประเด็นการเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมของไอนุยังมิได้กลายเป็นเรื่องที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ให้ความสนใจนักในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างไปจากอินเดียนแดงในสหรัฐอเมริกา หรือเมารีในนิวซีแลนด์

          ถ้าไอนุกล้าที่จะออกมาแสดงความเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมมากขึ้นและเข้มแข็งขึ้น โดยยอมแลกกับการถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกแยก สวัสดิการชีวิตของเขาก็น่าจะมีโอกาสดีขึ้น

ศึกสายเลือดของ Lotte

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
20 ตุลาคม 2558

          พล็อตเรื่องของละครตอนหัวค่ำหรือเซียรีส์ละครชีวิตต่อสู้ของเกาหลีนั้นเต็มไปด้วยการ แย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ หักหลังทรยศพลิกกลับไปมาอย่างตื่นเต้น เมื่อไม่นานมานี้เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นของกลุ่มบริษัท Lotte ของเกาหลีไม่แตกต่างไปจากพล็อตเรื่องเหล่านี้เลย

          ชื่อ Lotte (ล๊อตเต้) คุ้นหู โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงยี่ห้อหมากฝรั่ง ไม่น่าเชื่อว่าความร่ำรวยจากการขายหมากฝรั่งในตอนต้นทำให้สามารถเป็นอัครมหาเศรษฐีได้ในเวลาต่อมา ผู้ก่อตั้งปัจจุบันอายุ 92 ปี มีชื่อว่า Shin Kyuk-ho ในสมัยวัยรุ่นเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่น (จบจากโรงเรียนมัธยมของมหาวิทยาลัย Waseda) และพอสงครามเลิก ในปี ค.ศ. 1948 เขาก็ตั้งบริษัทผลิตหมากฝรั่งขายให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนร่ำรวยสามารถเอาทุนที่ได้ไปตั้งบริษัทในบ้านเกิดคือเกาหลีใต้จนกลายเป็นกลุ่มบริษัทใหญ่โตในปัจจุบัน

          ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จในตอนต้นจากการผลิตและขายส่งหมากฝรั่ง ลูกกวาด ขนมหวาน และต่อมาขยายไปเกือบทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ธุรกิจก่อสร้าง บ ริการการเงิน ค้าขายสารเคมี อิเล็กทรอนิกส์ IT ขายปลีก สวนสนุก ฯลฯ จนเป็นบริษัทที่มีทรัพย์สินมากเป็นอันดับ 5 ของเกาหลีใต้ โดยทั้งหมดรวมกันประมาณ 80 บริษัท เป็น Lotte Group

          ฐานบริษัทอยู่ในเกาหลี (ร้อยละ 80 ของรายได้มูลค่า 70,000 ล้านเหรียญต่อปีมาจากเกาหลี) รองลงมาคือญี่ปุ่น และในประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ โปแลนด์ ฯลฯ รวมทั้งไทยด้วยโดยทั้งผลิตและขายส่งลูกกวาด

          ความตื่นเต้นเร้าใจเริ่มขึ้นในตอนต้นปี 2015 เมื่อลูกชายคนโตชื่อ Shin Dong-joo อายุ 61 ปี รองประธานกรรมการของกลุ่ม Lotte ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และพ่อแต่งตั้งลูกชายคนเล็ก (พ่อแม่เดียวกัน) อายุ 60 ปี ชื่อ Shin Dong-bin เป็นทายาทสืบแทน แต่หลังจากนั้นไม่นานลูกชาย คนโตก็โน้มน้าวให้พ่อเปลี่ยนใจ เข็นรถพ่อเข้าไปในห้องประชุม ปลดกรรมการ 6 คน รวมทั้งน้องออกจากตำแหน่ง

          สนุกแค่นี้ยังไม่พอ อีก 2 วันต่อมา พอน้องชายตั้งตัวได้ก็ประชุมแต่งตั้งบอร์ดกลับ และบอร์ดปลดพ่อออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและแต่งตั้งตนเองเป็นแทน เรื่องยังไม่จบครับ อีก 2-3 วันต่อมาพี่ชายก็ออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะพร้อมพ่อซึ่งประกาศว่าสนับสนุนลูกชายคนโต

          ขั้นตอนต่อไปคือการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าเพื่อยืนยันการเป็นประธานกรรมการของน้องชาย หรือเปลี่ยนตัวกลับเป็นพี่ชายแทน หรือพ่อจะกลับมามีตำแหน่งอย่างเก่าโดยให้ลูกชายคนโตเป็นรองประธาน

          ระหว่างนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็คุยว่าตนเองมีแรงสนับสนุนจากกรรมการมากกว่ากัน ในทะเบียนผู้ถือหุ้นนั้นลูกชายต่างถือหุ้นของกลุ่มประมาณร้อยละ 20 พ่อถือร้อยละ 28 และอีกเกือบร้อยละ 28 ถือโดยบริษัทเล็ก ๆ ในญี่ปุ่นที่กล่าวกันว่าเป็นของพ่อ การลึกลับดำมืดในข้อมูลเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มบริษัทที่เป็นของครอบครัวซึ่งมีอยู่ประมาณกว่า 40 กลุ่มอันเป็นลักษณะเฉพาะของ เกาหลีใต้ เรียกกันว่า chaebol เช่น Samsung (เกาหลีออกเสียงว่า ซัม-ซัง) ฮุนได / LG / แดวู ฮันจิน ฯลฯ

          ธุรกิจของกลุ่มบริษัทของแต่ละครอบครัวนั้นครอบครองกิจการกว้างขวาง ถือหุ้น ไขว้กันไปมา ซึ่งทำให้การช่วยเหลือหรือปิดบังการล้มเหลวของบริษัทในกลุ่มเป็นไปอย่างแนบเนียน กลุ่มบริษัทเหล่านี้กุมชะตากรรมของเศรษฐกิจเกาหลี และมีอิทธิพลต่อการเมืองมากจนการออกกฎหมายกำกับ ควบคุมและตรวจสอบเพื่อสร้างธรรมาภิบาลนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

          ในแต่ละกลุ่มการสืบทอดอำนาจให้ลูกหรือน้องเป็นปัญหาหนักอก การต่อสู้แย่งชิงของกลุ่ม Lotte ยังไม่จบ เช่นเดียวกับกลุ่มฮุนไดที่ฟาดฟันแย่งชิงกันอย่างหนักระหว่างลูก 8 คน จนแตกออกเป็น 3 กลุ่ม และต้องสู้กับบรรดาอา ๆ และลูก ๆ ของอาอย่างไม่จบสิ้น กลุ่ม Samsung ก็มีเรื่องของการแย่งชิงเช่นกัน

          งานวิจัยของ Credit Suisse พบว่า 3 ใน 4 ของบริษัทใหญ่ที่มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญ โดยมีครอบครัวเป็นเจ้าของไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 อยู่ในเอเชีย เทียบกับตัวเลขเดียวกันของอเมริกาเหนือซึ่งมีจำนวนเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น

          18 ใน 40 บริษัท chaebol ของเกาหลีใต้มีปัญหาเรื่องการสืบทอดอำนาจ ตัวเลขที่เหลือมิได้หมายความว่าไม่มี หากยังไม่ถึงเวลาของการแย่งชิง มีงานศึกษาของ Chinese University of Hong Kong ที่พบว่าการแย่งชิงอำนาจของบริษัทใหญ่ในไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง ทำให้มูลค่าของบริษัทโดยเฉลี่ยลดลงไปร้อยละ 60 ในช่วงเวลาของการต่อสู้ฟาดฟัน

          การเป็นประธานกรรมการของบริษัท chaebol เปรียบเสมือนพระราชา มีอำนาจและเงินมหาศาล จะแต่งตั้งใคร จะปลดใคร ทำได้ง่ายดายเพราะเสมือนเป็นกิจการของครอบครัว ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเป็นบริษัทมหาชนที่มีเงินของประชาชนลงทุนอยู่ด้วย ความอ่อนแอของกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายในทวีปเอเชีย คอรัปชั่นที่มีอยู่ดื่นดาษและการขาดธรรมาภิบาลของบริษัททำให้การลุแก่อำนาจของประธานกรรมการและของสมาชิกครอบครัวเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ

          ประชาชนเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อยรังเกียจพฤติกรรมของ chaebol เพราะบ่อยครั้งที่บรรดาเจ้าของทำตัวเหมือนเทวดาไม่เห็นหัวคนเดินดิน ทั้งเอาเปรียบและคดโกง ดังนั้นครั้งใดที่คนเหล่านี้ผิดพลาด จะโดนเล่นงานหนักดังเรื่องของ Heather Cho ผู้ตกจากสวรรค์เพราะถั่วถุงเดียว

          เรื่องก็มีอยู่ว่าในปลายปี 2014 หญิงสาววัยต้น 40 ผู้เป็นรองประธานกรรมการของกลุ่ม Hanjin (ฮันจิน) ซึ่งเป็นเจ้าของ Korean Air สายการบินแห่งชาติ (เป็นของเอกชนแต่ได้เป็นสายการบินแห่งชาติ คิดดูก็แล้วกันว่า chaebol แห่งนี้ใหญ่แค่ไหน) แผดเสียงพร้อมกับดุด่าเจ้าหน้าที่ต้อนรับ บนเครื่องบินในเที่ยวบินจากนิวยอร์กไปโซลที่เธอโดยสารมา เธอไม่พอใจมากที่เสิร์ฟถั่ว macadamia เป็นถุง ไม่ใส่จานมาให้เธอผู้เป็นลูกสาวประธานกรรมการบริษัทที่เป็นเจ้าของสายการบิน

          เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่เครื่องบินกำลังจะขึ้น เธอสั่งให้เปลี่ยนแผนการบินให้เครื่องบินวิ่งไปส่งเจ้าหน้าที่คนนี้ (ไล่ลง) เมื่อมีผู้เอาเรื่องมาแชร์กันในโลกอินเตอร์เน็ต ก็มีคนโกรธแค้นในความหยิ่งโอหังของเธอเป็นจำนวนมาก บีบคั้นให้อัยการเอาเรื่องกับเธอ ในข้อหาทำให้เที่ยวบินล่าช้า ขู่เข็ญพนักงานบนเครื่องบินคนอื่น ๆ ให้ไม่พูดความจริง กดขี่ข่มเหงลูกจ้าง ฯลฯ กระแสแรงมากจนเธอต้องลาออกจากทุกตำแหน่งเพื่อลดแรงเสียดทานกลุ่มบริษัท แต่ถึงจะลาออกอย่างไรในที่สุดเธอก็ถูกดำเนินคดีอาญา ศาลตัดสินจำคุก 1 ปี เธอต้องติดคุกอยู่หลายเดือนกว่าที่จะออกมาได้

          นี่คือแรงสะท้อนของความรู้สึกของประชาชนเกาหลีใต้ที่มีต่อ ‘ลูกท่านหลานเธอ’ ของบริษัท chaebol การฟาดฟันกันทุกครั้งมีผู้จับตามองอย่างใกล้ชิดว่ามีใครทำผิดกฎหมายบ้างเพื่อจักได้เล่นงาน อย่างไรก็ดีภายใต้สภาพที่เป็นอยู่มีเพียงนาน ๆ ครั้งเท่านั้นที่จะมีข้อผิดพลาดชนิดที่ช่วยเหลือปิดบังกันไม่ได้

ร้องเพลง “Happy Birthday” เสียตังค์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
13 ตุลาคม 2558

 

          เกือบไป…..เกือบไป…..ที่ต่อไปนี้หากร้องเพลง “Happy Birthday” บนเวทีต้องจ่ายตังค์ ศาลในสหรัฐอเมริกาเพิ่งตัดสินเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าบริษัทที่อ้างว่ามีลิขสิทธิ์เพลงนั้นจริง ๆ แล้วไม่มี ชาวโลกจึงโล่งอกไประดับหนึ่งที่จะร้องเพลงนี้ได้ฟรี ๆ

          เพลง “Happy Birthday” ที่ใคร ๆ ในโลกก็รู้จักนั้นชื่อเดิมคือ “Happy Birthday to You” ในปี 1998 Guinness World Records ระบุว่าเพลงนี้เป็นเพลงภาษาอังกฤษที่รู้จักกันมากที่สุด (ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเป็นเพลงที่คนรู้จักมากที่สุดในโลกเอาด้วยซ้ำ) เนื่องจากเป็นเพลงที่ร้องง่าย ๆ และติดหู

          ประวัติของเพลง “Happy Birthday” ก็คือทำนองมาจากเพลงชื่อ “Good Morning to All” ซึ่งแต่งโดยสองพี่น้องชาวอเมริกัน ชื่อ Patty และ Mildred Hills ในปี ค.ศ. 1893 คนแรกแต่งทำนอง ส่วนอีกคนแต่งเนื้อร้อง โดยตั้งใจแต่งให้เด็กเล็ก ๆ ร้องเนื่องจากทั้งสองเป็นครูโรงเรียนอนุบาลในรัฐ Kentucky

          “Good Morning to All” มีเนื้อร้องดังนี้ Good Morning to you / Good Morning to you / Good Morning dear Children / Good Morning to All (ลองพยายามร้องตามทำนองเพลง “Happy Birthday“ แล้วจะเห็นว่าเป็นเพลงที่เหมาะสำหรับเด็กเล็กมาก ๆ เอาเพลงนี้มาฝึกให้เด็กเล็ก ๆ ออกเสียงภาษาอังกฤษก็ไม่เลวนะครับ)

          เพลง “Happy Birthday“ ตามทำนองเพลงของสองพี่น้องปรากฏในหนังสือเพลงที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1912 ทั้ง ๆ ที่เพลงนี้ร้องกันมาก่อนหน้านี้เกือบ 20 ปี สองพี่น้องเสียชีวิตไปก่อนที่ทำนองเพลงที่ตนเองแต่งจะเป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง และต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการฉลองวันเกิดแบบฝรั่งที่จะต้องร้องเพลงนี้ประกอบกับการจุดเทียนบนขนมเค็ก

          มีหลักฐานว่า Summy Company จดทะเบียนลิขสิทธิ์เพลง “Happy Birthday” ในปี 1935 โดยระบุว่าผู้แต่งคือ Preston Ware Orem และ R.R. Forman ต่อมาในปี 1988 บริษัท Warner / Chappell Music ซื้อบริษัท Summy ซึ่งทำให้ได้ลิขสิทธิ์เพลงนี้ติดมาด้วยโดยมีการประเมินมูลค่าของเพลงว่าตกประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ

          บริษัทประกาศว่าอายุความของลิขสิทธิ์เพลงในสหรัฐอเมริกายังไม่หมดลงจนถึง ปี 2030 ใครที่เอาเพลงนี้ไปใช้ในการแสดงสาธารณะผิดกฎหมายนอกเสียจากว่าจะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้บริษัท

          การที่มีการประเมินว่า “Happy Birthday” เป็นเพลงที่ทำเงินได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ (คาดว่าตั้งแต่แต่งมาได้ค่าลิขสิทธิ์ไปแล้ว 50 ล้านเหรียญสหรัฐ) ทำให้เป็นที่สนใจของสาธารณชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีกฎหมายสหรัฐออกมาขยายเวลาลิขสิทธิ์ไปอีก 20 ปี และศาลสูงตัดสินยืนยันว่าการขยายเวลาเช่นนี้ถูกต้อง

          ในปี 2013 บริษัท Good Morning to You Production ฟ้องบริษัท Warner / Chappell ว่าอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของเพลงอย่างไม่ชอบธรรม และในเดือนกันยายน 2015 ศาลขั้นต้นตัดสินว่าบริษัท Warner ไม่มีลิขสิทธิ์ของเพลงนี้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงหมายความว่าผู้คนสามารถเอาเพลงนี้ไปร้องในสาธารณะได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินอีกต่อไป

          ปัญหาที่จะเกิดตามมาก็คือบริษัทอาจถูกผู้ที่เคยจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ก่อนหน้านี้ทวงเงินคืน อย่างไรก็ดีแน่นอนว่าบริษัทจะอุทธรณ์ เราจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าท้ายสุดแล้วเราจะร้องเพลง “Happy Birthday” กันได้สะดวกปอดหรือไม่

          ขอเพิ่มเติมเรื่องเนื้อเพลงว่าเนื้อร้องดั้งเดิมของ “Happy Birthday” คือ Happy Birthday to You / Happy Birthday to You / Happy Birthday dear John / Happy Birthday to You

          ในเวลาต่อมา ตรงชื่อ John ก็เปลี่ยนเป็นชื่อเจ้าของวันเกิด ในประเพณีของคนอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และไอร์แลนด์ เท่าที่เคยเห็นและได้ยินมา พอร้องเพลง “Happy Birthday” จบ ก็มักมีแขกร้องนำว่า “Hip Hip” และแขกทั้งหลายก็เปล่งออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “Hooray” ปกติแล้วจะร้องเป็นชุดแบบนี้ซ้ำ 3 ครั้ง

          ยังมีอีกเพลงหนึ่งซึ่งเกี่ยวพันกับ “Happy Birthday” ซึ่งมักได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ในงาน วันเกิด งานแต่งงาน งานฉลองแต่งงาน หรือฉลองชัยจากกีฬา นั่นก็คือเพลง “For He’s a Jolly Good Fellow” ซึ่งเพลงนี้ Guinness World Records ระบุว่าเป็นเพลงในภาษาอังกฤษที่คนรู้จักมากเป็นอันดับสองรองจาก “Happy Birthday” ส่วนอันดับสามคือเพลง “Auld Lang Syne”

          เพลงนี้เอาทำนองมาจากเพลงฝรั่งเศสย้อนหลังไปไม่น้อยกว่าศตวรรษที่ 18 ว่ากันว่าคนรู้จักเพลงนี้ก็เพราะพระนาง Marie Antoinette ได้ยินนางสนมรับใช้ร้องเพลงลูกทุ่งฝรั่งเศสนี้ และชอบจึงเอามาเผยแพร่ ต่อมาก็แพร่ไปถึงอังกฤษและอเมริกาในประมาณกลางศตวรรษที่ 19

          เนื้อร้องของอังกฤษและอเมริกาแตกต่างกันเล็กน้อย เวอร์ชั่นของอังกฤษมีดังนี้ For he’s a jolly good fellow, for he’s a jolly good fellow / For he’s a jolly good fellow, and so say all of us / And so say all of us, and so say all of us / For he’s a jolly good fellow, for he’s a jolly good fellow / For he’s a jolly good fellow, and so say all of us!

          สำหรับอเมริกานั้นเปลี่ยนตรง “And so say all of us” เป็น “Which nobody can deny” ในทุกแห่ง ส่วน He นั้นเปลี่ยนเป็น She ตามสถานการณ์

          เพลงนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางเช่นกันในเวลาต่อมาในประเทศยุโรปอื่น ๆ และมีเวอร์ชั่นของตนเองด้วย เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ปอร์ตุเกส สเปญ เดนมาร์ก ฯลฯ

          ในเรื่องเพลงวันเกิดกว่า 80 ประเทศในโลกใช้ทำนองเพลง “Happy Birthday” เป็นหลัก และนำเนื้อร้องที่แปลโดยตรงจากภาษาอังกฤษมาใช้หรือดัดแปลงเนื้อร้องขึ้นใหม่ ร้องกันทุกวันทั่วโลก เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง อินเดีย หลายประเทศในกลุ่มอาหรับ ญี่ปุ่น เกาหลี ศรีลังกา เยอรมันนี ทันซาเนีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ฯลฯ (โปรดสังเกตไทยไม่มี)

          ยังมีเพลงวันเกิดอีกประเภทหนึ่งที่เป็นของสังคมนั้น ๆ เอง เช่น ไทย เบลเยี่ยม บราซิล เยอรมันนี อินโดนีเซีย ฯลฯ หรือมีทั้งสองลักษณะ เช่น ไต้หวัน มาเลเซีย เยอรมันนี ฝรั่งเศส อินเดีย ฯลฯ และลักษณะสุดท้ายคือเพลงเกี่ยวกับวันเกิดที่ร้องโดยนักร้องอีกจำนวนมากมาย เช่น The Beatles / Twista / The Sugarcubes / Selena Gomez ฯลฯ

          การร้องเพลงวันเกิดเปรียบเสมือนการให้กำลังใจเจ้าของวันเกิดว่ามีเพื่อนที่มีความปรารถนาดี และเป็นวันประจำปีแห่งการใคร่ครวญบทบาทของตนเองในการได้มีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี

“เลือดสาด” ที่ออสเตรเลีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6 ตุลาคม 2558

          ไม่น่าเชื่อว่าในยุคปัจจุบันจะมีประเทศพัฒนาแล้วซึ่งในช่วงเวลาเพียง 5 ปีจะมีนายกรัฐมนตรีถึง 5 คน และกว่า 10 ปีมาแล้วที่ยังไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดที่อยู่ครบเทอมเลย ออสเตรเลียทำสถิตินี้ให้ดูด้วยเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยเลือดจากการแก้แค้น เรื่องนี้ไม่เว้นแต่ Malcolm Turnbull นายกรัฐมนตรีคนใหม่เอี่ยมอ่อง

          ขอเล่าพื้นฐานการเมืองออสเตรเลียสักเล็กน้อย ประเทศนี้มีพรรคการเมืองใหญ่อยู่ 2 พรรค คือ พรรค Labor ที่เชื่อมโยงกับสหภาพแรงงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดกับพรรค Liberal ซึ่งถึงแม้ชื่อจะบอกว่าเป็นเสรีนิยม แต่จริง ๆ แล้วก็คือพรรค Conservative นั่นเอง (อังกฤษมีพรรค Labor กับ Conservative ซึ่งพรรคอนุรักษ์นิยมก็ใช้ชื่อตรง ๆ เลย)

          สองพรรคของออสเตรเลียนี้ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะตลอดมา พรรค Labor มีอุดมการณ์ไปทางซ้าย คือ ความเชื่อในการแทรกแซงกิจการต่าง ๆ โดยรัฐ ความคิดเสรีนิยม ฯลฯ ส่วนพรรค Liberal ก็ไปในทางอนุรักษ์นิยม ฯลฯ อย่างไรก็ดีในแต่ละพรรคทุกคนก็มิได้คิดเหมือนกันหมด ต่างมีทั้งคนที่เอียงไปทางเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม

          ระหว่างปี 1991-1996 พรรค Labor เป็นรัฐบาลโดยมี Paul Keating เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็พ่ายให้ John Howard แห่งพรรค Liberal ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ถึง 11 ปี (1996-2007)

          เหตุการณ์มาตื่นเต้นเมื่อเกิดมีดาวรุ่งหลายดวงเกิดขึ้นในทั้งสองพรรค ก่อนหน้าเลือกตั้งทั่วไปปี 2007 พรรค Labor กลัวว่าจะแพ้อีกหลังจากฝ่ายตรงข้ามครองอำนาจมาถึง 11 ปี จึงมีการลงคะแนนในพรรคเลือกหัวหน้าพรรคกันใหม่ ซึ่งปรากฏว่า Kim Beazley หัวหน้าเดิมถูกคนที่ท้าทายคือ Kevin Rudd เอาชนะไปและเขาก็นำพรรค Labor ชนะนาย John Howard โดยคนสนิทที่ยืนเคียงข้าง ช่วยเหลือกันมาคือนาง Julia Gillard

          ผู้คนฮือฮากับ Kevin Rudd มากเพราะพูดจีนได้ มีวิสัยทัศน์เรื่องต่างประเทศกว้างไกล แต่ไปไกลเร็วไปหน่อย คือ เสนอให้เก็บภาษีจากกำไรทำเหมืองร้อยละ 40 เสนอให้ต่อสู้ลดคาร์บอน สู้ climate change ฯลฯ ในช่วงเวลาแค่ 2 ปีกว่า คะแนนนิยมของ Rudd ตกวูบวาบจนคนในพรรค Labor กลัวว่าจะนำพรรคแพ้เลือกตั้งทั่วไปในปี 2010

          กลางปี 2010 เลือดก็อาบพรรค Labor เมื่อ Julia Gilliard รองนายกรัฐมนตรีคิดกบฏสมคบกับพวกในพรรค “แทง” Kevin Rudd โดยท้าทายให้มีการลงคะแนนเสียงในพรรคยืนยันว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรค (ธรรมเนียมการเมืองออสเตรเลียเรียกการแข่งโหวตนี้ว่า spills) ซึ่งคนชนะก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีไปโดยปริยาย ปรากฏว่าเธอทำได้สำเร็จสามารถโค่น Rudd ลงได้จนเขาต้องลาออก และเธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ

          ผู้คนทั่วไปคาดว่าเธอน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้แค่ 3 เดือนก่อนที่จะถึงเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม 2010 เพราะผู้คนไม่ชอบการ “แทง” กันแบบนี้ และน่าจะหันไปเทคะแนนให้พรรค Liberal แทน

          ปรากฏว่า Julia Gilliard ทำได้สำเร็จ เธอนำพรรคชนะอย่างเฉียดฉิว โดยร่วมกับพรรคเล็กและ ส.ส. อิสระเป็นรัฐบาล เธอได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และจำต้องแต่งตั้ง Rudd เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ส่วน Rudd ก็ลับมีดไม่หยุดหย่อน ในปี 2012 เขาก็ลาออกจากตำแหน่งและท้าทายเธออีกให้ลงคะแนนยืนยันการเป็นหัวหน้าพรรค แต่เธอก็ยังสามารถชนะโหวตรักษาแชมป์ไว้ได้

          แต่พอมาถึงก่อนกลางปี 2013 หลังจาก Julia Gilliard ได้เป็นนายกรัฐมนตรีได้เกือบ 3 ปี Rudd ก็ท้าทายอีก คราวนี้เขาชนะ เธอต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี Rudd แก้แค้นได้สำเร็จและเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเป็นครั้งที่สอง เหตุที่เขาชนะก็เพราะคะแนนนิยมของเธอในหมู่ประชาชนมีแต่จะตก และพรรค Labor ก็กลัวอีกว่าจะแพ้เลือกตั้งในปี 2013 จึงต้องเปลี่ยนตัว หัวหน้าพรรค

          Rudd ได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สองอยู่ 3 เดือนก็มีเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกันยายนปี 2013 และพรรค Labor ก็พ่ายแพ้แก่พรรค Liberal หัวหน้าพรรค Liberal คือนาย Tony Abbott จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรี

          ฝั่งพรรค Liberal เองก็แทงกันเลือดสาดเหมือนกัน Malcolm Turnbull ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรกในปี 2004 หลังจากประกอบธุรกิจเปิดบริษัทกฎหมาย เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ Goldman Sach ของออสเตรเลีย เป็นเจ้าของสถาบันการเงินประกอบธุรกรรมสมัยใหม่ จนเป็น มหาเศรษฐี และเป็นนักการเมืองออสเตรเลียที่รวยที่สุดคนหนึ่ง ภรรยาของเขาเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมือง Sydney

          หลังเล่นการเมืองได้ไม่กี่ปี Turnbull ก็ได้เป็นรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม และในปี 2008 ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Liberal โดยเป็นผู้นำฝ่ายค้าน แต่ในปีต่อมาเขาก็สูญเสียตำแหน่งให้แก่นาย Tony Abbott จากการท้าทายขอให้นับโหวตยืนยันการเป็นหัวหน้าพรรค ในลักษณะเดียวกันกับที่พรรค Labor กระทำ Turnbull แพ้ Abbot เพียงหนึ่งคะแนน ในขั้นแรกเขาคิดจะลาออกจากการเป็น ส.ส. และ ล้างมือ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ

          ระหว่างที่ Tony Abbot เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านก็ไม่ลงรอยกับ Malcolm Turnbull แต่ในตอนที่พรรค Liberal ชนะเลือกตั้งในปี 2013 และ Abbott ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารด้วยฝีมือและการยอมรับในพรรค

          Tony Abbot เป็นนายกรัฐมนตรีชนิดคะแนนนิยมลดตลอดเพราะบุคลิกของเขาที่ผู้คนไม่ไว้ใจ พูดจาเปลี่ยนไปมา และแล้วจังหวะของ Turnbull ก็มาถึงเมื่อ Abbot ได้เป็นนายกรัฐมนตรีครบ 2 ปีเต็ม เขาก็ขอให้มีการลงคะแนนยืนยันการเป็นหัวหน้าพรรค คราวนี้เขาแก้แค้น Abbott ได้สำเร็จ เขาชนะขาดด้วยคะแนน 54 ต่อ 44 Abbott จึงจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และ Turnbull ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Liberal แทน และเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 15 กันยายน 2015 ที่ผ่านมา

          เลือดเปรอะกันแบบนี้ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2010 ถึงปัจจุบัน ออสเตรเลียมีนายกรัฐมนตรี 5 คน คือ Rudd / Gilliard / Rudd / Abbott และ Turnbull เฉลี่ยปีละ 1 คน ราวกับเป็น “นายกรัฐมนตรีที่มาบนสายพานการผลิต”

          นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลียเรียนจบปริญญาตรีประวัติศาสตร์และกฎหมายจาก University of Sydney และได้รับทุน Rhodes Scholar (ทุนที่มีเกียรติที่สุดอันหนึ่งของโลก) ไปเรียนที่ Oxford (เหมือนที่ Bill Clinton เคยได้รับ) และจบปริญญาตรีด้านกฎหมายอีกหนึ่งใบ

          Turnbull ปัจจุบันอายุ 61 ปี พ่อแม่เป็นคนออสเตรเลียแต่ดั้งเดิม พยายามจะเข้าวงการเมืองตั้งแต่ปี 1981 หลังจากเรียนจบมาใหม่ ๆ แต่ถูกกีดกันจนต้องไปประกอบธุรกิจตั้งบริษัทต่าง ๆ และเป็นมหาเศรษฐี จึงกลับมาลงเลือกตั้งในปี 2004

          เขาเป็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมก็จริงแต่เป็นคนที่มีความคิดเสรีนิยม เขาเห็นด้วยกับ Gay Marriage (ตรงข้ามกับ Abbott) สนับสนุนการเป็นสาธารณรัฐของออสเตรเลีย (ตรงข้ามกับ Abbott) สนับสนุนโครงการเศรษฐกิจเสรีและการค้าขายกับกลุ่มประเทศ ASEAN ฯลฯ

          ทันทีที่เป็นนายกรัฐมนตรีเขาแต่งตั้งผู้หญิงถึง 5 คน เป็นรัฐมนตรีซึ่งแตกต่างจาก ทุกคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา รัฐมนตรีช่วยคนหนึ่งของเขาอายุเพียง 25 ปี เขาบอกว่าเป็น คณะรัฐมนตรีของศตวรรษที่ 21 รัฐมนตรีอาวุโสต่าง ๆ ของพรรคถูกปรับออกไปหลายคน

          นายกรัฐมนตรีคนนี้จะเป็นที่นิยมของประชาชนจนสามารถหยุดประเพณี “เลือดสาด” ได้หรือไม่ ต้องเฝ้าดูกันต่อไปเพราะร่างกายผลิตเลือดอยู่เสมอ

ฆาตกรรมเมืองใหญ่ในสหรัฐพุ่ง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 กันยายน  2558

          บางสิ่งมันอยู่ของมันดี ๆ แล้วก็เกิดระเบิดหรือพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เรื่องฆ่ากันตายในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านี้อย่างน่าแปลกใจ

          เป็นที่ทราบกันดีว่าอาชญากรรมและความรุนแรงในเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาลดลงไปมากในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน นักวิชาการหลายคนพยายามอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยพอสรุปสาเหตุได้ดังนี้ (ก) ชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะคนผิวดำโดยทั่วไปมีสัดส่วนในจำนวนผู้ก่ออาชญากรรมและความรุนแรงสูงกว่าคนขาวและคนอเมริกาใต้ (เม็กซิกันเป็นส่วนใหญ่) มายาวนาน เมื่ออัตราการเกิดของเด็กจากแม่วัยใสผิวดำลดต่ำลงมาก เด็กที่มีความเป็นไปได้สูงในการสร้างปัญหาเมื่อโตขึ้นจึงมีจำนวนลดน้อยลง จำนวนอาชญากรรมโดยเฉพาะฆาตกรรมจึงลดลงตามไปด้วย

          (ข) เทคโนโลยีสมัยใหม่ในเรื่องกล้อง CCTV / GPS ของรถยนต์ / การนำเอา IT มาใช้ในการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจมีกว้างขวางขึ้น (ตรวจสอบ ID ตรวจประวัติผู้ต้องสงสัยและตรวจสอบหมายจับ ตรวจเช็คว่าเป็นรถขโมย การทราบตำแหน่งของรถผู้ต้องสงสัย ฯลฯ) การลักขโมยจึงลดน้อยลงไปอย่างมากเพราะถึงขโมยไปก็ถูกจับแน่นอน หรือขโมยแล้วก็เอาไปไม่ได้เพราะรถ ถูกสั่งให้เคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยโทรศัพท์มือถือผ่าน GPS งานศึกษาชี้ว่าการขโมยรถเป็นบ่อเกิดแห่งนานาปัญหาและความรุนแรงที่เกิดตามมา (คล้ายกับบ่อนการพนันบ้านเราเป็นต้นกำเนิดของปัญหา)

          (ค) ความเอาจริงของตำรวจในการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นผลพวงจากการบีบบังคับของนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งถูกบังคับอีกทีหนึ่งจากประชาชนผ่านกลไกการเลือกตั้งปีเว้นปี ทำให้โจร ท้อใจลงไปมาก การป้องกันอาชญากรรมที่เข้มแข็งคือการปราบปรามอาชญากรรมที่ได้ผลที่สุด

          ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้อัตราการเกิดอาชญากรรมและความรุนแรงโดยเฉพาะฆ่ากันตายลดลงไปและทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่ายุคทศวรรษ 1970 และยุคต้นทศวรรษ 1980 อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ดีเพียงตัวเลข 8 เดือนของปี 2015 ของหลายเมืองก็ให้สถิติที่น่าตกใจ

          ในเมือง Baltimore รัฐ Maryland ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ในปี 2014 ทั้งปีคนฆ่ากันตาย 211 คน แต่แค่ 8 เดือนของปีนี้ฆ่ากันตายไปแล้ว 205 ราย และเช่นกันใน New York ฆ่ากันตาย333 คน (2014) และ 208 (8 เดือนของปี 2015) เมือง St. Louis 159 (2014) เป็น 112 (2015) เมือง Milwaukee 93 (2014) เป็น 105 (2015) Washington D.C. 105 (2014) เป็น 103 (2015) และ Hartford รัฐ Connecticut 19 (2014) เป็น 21 (2015)

          ขนาดฤดูร้อนของปี 2015 ยังไม่จบ สถิติยังขนาดนี้ ถ้าต่อไป 4 เดือนตัวเลขคง แซงหน้าของปีก่อนอย่างแน่นอน

          อะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้? สาเหตุแรก ผู้คนคิดไปถึงสิ่งที่เรียกว่า “Ferguson effect” ซึ่งหมายถึงการระมัดระวังตัวและผ่อนปรนของตำรวจมากขึ้น เพราะเกรงว่าจะไป ซ้ำรอยเหตุการณ์ที่ตำรวจยิงอเมริกันดำตายในเมือง Ferguson รัฐ Missouri ในเดือนสิงหาคม ปี 2014 จนเกิดจลาจลปั่นป่วนและเกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันในอีกหลายเมือง ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง ผิวขาวและผิวดำซึ่งมีเชื้ออยู่บ้างแล้วเกิดระเบิดขึ้นมาในระดับชาติ

          เป็นธรรมชาติของตำรวจในเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นตำรวจผิวขาวที่จะต้องระวังตัว ลังเลและรีรอในการจัดการกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างซึ่งหน้ามากขึ้น เพราะเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด ขึ้นอีก ดังนั้นโจรทั้งหลายจึงได้ใจ

          สาเหตุที่สอง บ้างก็คิดว่าปัญหามิได้อยู่ที่ตำรวจซึ่งเข้มแข็งน้อยลงเท่านั้น หากเป็นผลมาจากผู้ประกอบอาชญากรรมด้วย ตราบที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงปืนได้ไม่ยากนักในประเทศนี้ การฆ่ากันประจำวันจึงยากที่จะหลีกเลี่ยง บางรัฐอาจมีกฎหมายเรื่องการครอบครองปืนและซื้อปืน แข็งขัน แต่ถ้ารัฐใกล้กันมีความเสรีในเรื่องปืน ประชาชนก็เข้าถึงปืนได้เช่นกัน

          งานศึกษาพบว่าผู้ก่อเหตุฆ่ากันมักเป็นคนหน้าเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การไม่มีโทษประหารในสหรัฐอเมริกาอาจทำให้ความกลัวบทลงโทษจากอาชญากรรมน้อยลงจนก่อเหตุซ้ำ ๆ ก็เป็นได้

          สาเหตุที่สาม เกมส์และภาพยนตร์ที่ยั่วยุความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมส์ที่ใช้การฆ่าทำลายเป็นรางวัลเป็นสิ่งน่ากลัว การถูกหล่อหลอมตั้งแต่ยังเป็นเด็กให้สนุกและชื่นชอบความรุนแรงผ่านเกมส์อาจมีผลทางจิตใจเมื่อเวลาหลายปีผ่านไปก็เป็นได้

          ข้อสังเกตของการพุ่งขึ้นของการฆ่ากันตายครั้งนี้ก็คือในบางเมืองใหญ่ก็ไม่เกิดขึ้น เช่น Los Angels / Philadelphia ฯลฯ ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ยากต่อการประเมินว่าอะไรเป็นสาเหตุหลักที่แท้จริง

          มีนักวิชาการหลายคนแสดงความเห็นว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย สถิติยังเข้ามาไม่ครบ ยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง มันอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์สั้น ๆ ที่เพิ่มไม่มากนักก็เป็นได้ และถึงเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเนื่องจากเป็นการเพิ่มของตัวเลขที่ลดลงเป็นเวลายาวนานถึง 20 ปี มันจะพุ่งสูงขึ้นสักเล็กน้อยในบางช่วงเวลาหนึ่งมิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด

          ตัวเลขการฆ่ากันที่พุ่งสูงขึ้นใน 30 เมืองของสหรัฐอเมริการะหว่างปีที่แล้วกับปีนี้อาจมิใช่เรื่องใหญ่โตนักหากไม่มีเหตุการณ์ที่ Ferguson ให้คนต้องใคร่ครวญ “Ferguson effect” จะรุนแรงมากน้อยเพียงใดคนอเมริกันย่อมรู้สึกหวาดหวั่นเพราะมันหมายถึงการบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยานลง ซึ่งคนที่จะรับไปเต็ม ๆ ก็คือประชาชนอเมริกัน

          ไม่ว่าตัวเลขสถิติฆาตกรรมจะขึ้นหรือลงเพียงใดก็ตามจงอย่าหลงใหลไปกับมันเพราะ สิ่งหนึ่งซึ่งแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้เสมอก็คือการสูญเสียทางเศรษฐกิจของครอบครัว น้ำตา และความเจ็บปวด

ความไม่รู้เกี่ยวกับอาเซียน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 กันยายน  2558

          ใครไม่รู้จักคำว่า “อาเซียน” คงหาได้ยากในแผ่นดินไทย คนทั่วไปรู้เรื่องอาเซียนดี แต่ส่วนหนึ่งของความรู้นั้นอาจผิดก็เป็นได้ ลองมาดูกันว่าเราไม่รู้เรื่องอาเซียนกันมากน้อยแค่ไหน

          เรื่องแรก ASEAN ต้องออกเสียงว่า “อา-เซี่ยน” มิใช่ “อาเชี่ยน” หรือ “เอ-เซี่ยน” หรือ “เอ-เชี่ยน” เนื่องจากเป็นอักษรย่อชนิดที่เรียกว่า Acronym (เอาตัวแรกของคำมารวมกัน) ซึ่งมาจาก “Association of Southeast Asian Nations”

          สอง สมาชิก ASEAN น่าจะเป็นญาติกับศรีธนญชัย หรือเซียงเมี่ยงของลาว กล่าวคือเมื่อ ASEAN ร่วมกันประกาศว่าจะเป็นประชาคมอาเซียน (AC___ASEAN Community) ในปี 2015 ด้วยสามัญสำนึกผู้คนก็ต้องคิดว่าวันที่ 1 มกราคม 2015 คือการเป็น AC แต่เมื่อวันนั้นใกล้มาแต่สมาชิกทั้งหมดยังไม่พร้อมก็เลยประกาศว่าจะเป็น AC ในวันที่ 31 ธันวาคม 2015 (ไม่ได้บอกว่าจะเป็นเวลา 23:59 น.)

          สาม วันที่ 31 ธันวาคม 2015 เราจะเป็น AC นะครับ ไม่ใช่ AEC หรือ ASEAN Economic Community (AEC) ซึ่งเคยเป็นแนวคิดดั้งเดิมว่ากลุ่มนี้จะเป็นเพียงการรวมตัวด้านเศรษฐกิจเท่านั้น จึงใช้คำว่าจะเป็น AEC (AFTA หรือ ASEAN Free Trade Area หรือเขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของ AEC)

          ในปัจจุบันขอย้ำว่าเราจะเป็น AC หรือประชาคมอาเซียนกันไม่ใช่ AEC ดังที่ได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อย ๆ ในสื่อ

          AC นั้นครอบคลุมหลายด้านตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคง ฯลฯ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการเป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขอยกตัวอย่างของความกว้างขวางของ AC เช่น มีความร่วมมือกันในด้านปราบปรามการค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด ภัยพิบัติ การก่อการร้ายข้ามชาติ ฯลฯ

          สี่ ที่จริงเราก็เป็น AC กันมานานหลายปีแล้ว ดังเช่นเรื่อง (ก) เรามีแรงงานข้ามชาติจาก ASEAN ไม่ว่าลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม ในประเทศกว่า 5 ล้านคน แรงงานเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของพวกเรา (บ้านผมและบ้านใคร ๆ ก็ ASEAN ทั้งนั้นแหละ) ในประเทศ ASEAN อื่น ๆ ก็มีแรงงานทำงานข้ามกันไปมา เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และทุกประเทศ

          (ข) อัตราภาษีขาเข้าของสินค้าที่ค้าขายระหว่างประเทศ ASEAN เป็นศูนย์กว่าร้อยละ 90 ของจำนวนสินค้าทั้งหมดมานานกว่า 2 ปีแล้ว

          (ค) 9 ประเทศสมาชิกสามารถเดินทางถึงกันได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า ยกเว้นพม่า (ซึ่งล่าสุดก็อนุญาตตามเพื่อน ASEAN ทั้งหมดแล้ว แต่ยังอาจขลุกขลักอยู่บ้าง) ยิ่งถ้าเป็นการเดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องบินโดยใช้พาสปอร์ตแล้วจะสะดวกมาก หากเข้าประเทศผ่านด่านด้วยรถไฟ หรือรถยนต์อาจไม่สะดวกเท่า แต่วีซ่าไม่เป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไปแล้วสำหรับพลเมือง ASEAN ด้วยกัน (หากประเทศใดไม่เห็นควรให้บุคคลบางคนเดินทางเข้าประเทศก็ปฏิเสธได้เสมอ)

          ห้า การเดินทางด้วยรถยนต์ผ่าน CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) ซึ่งเป็นประเทศ ASEAN บนแผ่นดิน (สามประเทศซึ่งไม่ใช่ก็คืออินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน) นั้นสามารถทำได้อย่างสะดวกพอควร เนื่องจากมีถนนถึงกันหมดระหว่าง CLMV กับไทย และต่อผ่านไทยไปมาเลเซีย และสิงคโปร์ ข้อเสียก็คือยังต้องมีการเปลี่ยนรถมาใช้รถท้องถิ่นเมื่อข้ามประเทศในหลายกรณี

          ยิ่งไปกว่านั้นถนนไปถึงจีนจากภูมิภาคนี้ก็มีมาหลายปีแล้ว และมีแผนการสร้างถนนอีกหลายเส้น ตัดข้ามไปมาจากใต้ไปเหนือ ออกไปตก และเฉียงไปมาระหว่างทิศ

          อีกไม่นานกลุ่มประเทศเหล่านี้จะสามารถเดินทางไปอินเดียผ่านพม่าได้สะดวกซึ่งในอนาคตการเชื่อมต่อระหว่างจีนและอินเดียด้วยถนนนั้นจะเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ส่วนทางรถไฟนั้นมีทางเชื่อมจากจีนไปยุโรปอยู่แล้ว

          หก ถึงจะป็น AC ในปลายปีนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีเหมือนเศกคาถา แรงงานจะข้ามไปทำงานกันอย่างคล่องตัว ข้ามไปเปิดธุรกิจกันในแต่ละประเทศโดยไม่มีปัญหา การค้าขายจะราบรื่นคล่องตัว นี่คือความฝันที่ไม่เป็นจริง

          ทุกสิ่งจะค่อย ๆ เกิดทีละน้อย เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ คนที่ปรับตัวได้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลากหลายมิติจะเป็นผู้ได้ประโยชน์มากที่สุด

          เจ็ด ปัจจุบัน AC ดูจะด้อยความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจไปสำหรับกลุ่ม CLMV และไทย เนื่องจากการค้าขายกันในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (CLMV + ไทย + จีน) ด้วยกันเองดูจะสดใสและสะดวกในการเดินทางมากกว่า ขนาดประชากรก็ใหญ่และเริ่มมีเงินทองพอที่จะกลายเป็นตลาดใหญ่ได้ในเวลาอันใกล้

          แปด AC ต่างจาก EU ซึ่งเป็นการรวมตัวอีกลักษณะหนึ่งที่มีการใช้กฎหมายร่วมกันบางฉบับ มีการใช้เงินสกุลเดียวกันในบางส่วนของ EU มีข้อบังคับร่วมกันในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ฯลฯ สำหรับ AC นั้น แต่ละประเทศใช้กฎหมายของตนเอง ถึงแม้จะมีกฎบัตร ASEAN แต่ก็ไม่ใช่กฎหมายที่จะบังคับให้รัฐบาลหรือประชาชนใน AC ปฏิบัติตามอย่างมีบทลงโทษ ทุกสิ่งอยู่บนความร่วมมือกันในทางบวก

          AC นั้นเป็นก้าวสำคัญของอนาคตไทยและเพื่อนบ้านทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ทั้งหมดนี้ต้องเข้าใจว่าเป็นถนนสองทาง กล่าวคือต้องมีทั้ง give (สูญเสียประโยชน์บางอย่าง) และ take (ได้ประโยชน์บางสิ่ง) ถ้าสมาชิกคิดแต่จะได้อย่างเดียวแล้ว คงไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นแน่

          การยอมรับความเป็นจริงเช่นนี้ใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์ที่ต้องการความยั่งยืนมิใช่หรือ

ใช้หมาปราบวัชพืช

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8 กันยายน  2558

           วัชพืชดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับเกษตรกรแล้วมันเป็นผู้ร้ายที่ทำให้ผลผลิตลดหายไปอย่างน่าโมโห เครื่องมือที่ใช้ปราบก็คือยาพ่นฆ่า แต่ถึงกระนั้นก็ตามสำหรับบางพันธุ์แล้วก็ไม่หมดสิ้นไป ต้องใช้สิ่งที่เหลือเชื่อมาช่วย นั่นก็คือสุนัขหรือหมานี่แหละ

           ออสเตรเลียประสบปัญหาการรุกรานของวัชพืชปีหนึ่ง ๆ สูญเสียมูลค่าเกษตรไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี วัชพืชร้ายตัวหนึ่งรู้จักกันในนามของ Hawkweed สามารถแพร่พันธุ์เต็มสนามหญ้า เต็มสวนเต็มไร่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แย่งอาหารจากพืชจนแคระแกร็น หรือไม่โตเต็มที่ ชื่อทางการของ Hawkweed คือ Hieracium เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับดอกทานตะวัน แต่ดอกเล็กกว่ากันมากมาย จนเป็นญาติใกล้ชิดกับดอก dandellion ซึ่งงอกขึ้นมาจากพืชต้นเล็ก ๆ มีดอกสีเหลืองเล็ก ๆ เห็นชัดบนสนามหญ้า

           Hawkweed ตัวร้ายมีสีส้ม แพร่กระจายออกไปรวดเร็วมาก มันจะฟักตัวอยู่อย่างไม่อาจมองเห็นได้แต่พอถึงเวลาก็แพร่กระจายจนปราบไม่ทัน ปัญหาของมันก็คือสามารถอยู่รอดและงอกใหม่ได้จากเพียงแค่เศษของใบที่เล็กที่สุด การปราบโดยใช้ยาพ่นได้ผลแต่มันก็มีที่ไม่ตายหลุดรอดออกไปเป็นเชื้อพันธุ์อีก ตรงนี้แหละที่เจ้าหมาที่น่ารักมันมาช่วยชีวิตเศรษฐกิจของเกษตรกร

           Hawkweed ดอกสีแสดมาจากยุโรป และไปอาละวาดในทวีปอเมริกาเหนือ ต่อมาก็แพร่ไปถึงออสเตรเลียซึ่งเข้าใจว่าอาจติดมากับอุปกรณ์เครื่องบิน มันงอกงามได้ดีในบริเวณที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น โดยเฉพาะในรัฐ New South Wales ซึ่งอยู่ในภาคตะวันออก ผู้คนที่นี่ท้อใจในการปราบปรามจนได้พบตัวช่วย

           หมาถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการรับใช้มนุษย์มานับหมื่นปี ตั้งแต่เฝ้าบ้าน ดูแล ฝูงสัตว์ ดมไล่สัตว์ที่เป็นเหยื่อของการล่าด้วยปืน เช่น กระต่าย สุนัขจิ้งจอก ฯลฯ ตามกลิ่นหาคน ดมหายาเสพติด (เวลาดมกระเป๋าที่สนามบิน ใครมีอาหารไทยกลิ่นแรงไปจะรู้สึกหนาวเพราะกลัวต้องอายเปิดกระเป๋า) ดมหากับระเบิด ฯลฯ และในกิจกรรมล่า Wawkfeed ก็คือดมหาตอหรือต้นที่จะเชื้อแพร่พันธุ์ต่อไป

           หมามีจมูกที่ไวกว่ามนุษย์กว่า 10,000 เท่า มันใช้กลิ่นเป็นตัวกระตุ้นเป็นประการแรก ตามมาด้วยสัมผัส เสียงและการมองเห็น กลิ่นมีความสำคัญสำหรับมันมาก เวลาที่มันวิ่งไปในที่โล่งดมโน่มดมนี่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ชื่นชมความสวยงาม แปลกใหม่ของทิวทัศน์

           เวลาหมาพบกันมันจำกันได้จากกลิ่นเป็นสำคัญโดยเฉพาะหากมิได้พบกันนาน กลิ่นที่ว่านี้มาจากต่อมกลิ่นนับพัน ๆ ที่อยู่ใกล้รูทวาร ซึ่งทำให้เกิดการผสมที่ทำให้แต่ละตัวมีกลิ่นเฉพาะของมันซึ่งก็คือไอดีเรานี่เอง เวลาที่หมาพบกันและดมบั้นท้ายกันก็คือการตรวจไอดีว่าเจ้าคือใคร เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าด้วยประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ดี (เคยกัดกันและฉันแพ้) หมาจำเจ้าของหรือคนรู้จักที่ไม่ได้พบกันนานก็ด้วยการเปรียบเทียบกลิ่นที่มันบันทึกไว้ในสมองกับกลิ่นใหม่ที่มันได้รับ (แต่ไม่ได้มาจากบริเวณเดียวกับสุนัขนะครับ)

           เวลาที่หมาดมหายาเสพติด หรือค้นหากับระเบิด มันไม่ได้คิดว่ากำลังทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่สังคม หากคิดว่าเป็นเกมส์ที่สนุก หากทำได้ดีก็จะได้รับรางวัล ซึ่งอาจเป็นเศษอาหาร คำชม การสัมผัส หรือของเล่นถูกใจ ด้วยเหตุนี้จึงมีอายุใช้งานได้ไม่นานเพราะพอมีอายุมากเข้า เช่น 5 ปี (ในชีวิตประมาณ 10-15 ปี) มันก็ไม่รู้สึกคึกคักอยากเล่นเกมส์เหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว

           ในกรณีของ Hawkweed มันถูกฝึกให้ค้นหา เมื่อพบก็จะได้รับรางวัล ตรงจุดนี้ผู้ฝึกต้องระวังเพราะหากให้มากไปก็จะคาดหวังชิ้นที่ถูกใจมากขึ้น และเมื่อไม่สมหวังก็จะไม่เล่นอีก ซึ่งหมายความว่าประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หากให้รางวัลไม่ถูกใจก็อาจไม่อยากเล่นเกมส์นี้ แต่หันเหความสนใจไปเรื่องอื่น เช่น ไล่จับกระรอก จับหนูแทน

           ผู้ฝึกมักให้ลูกเทนนิสซึ่งเด้งไปมา วิ่งไล่จับสนุกเป็นรางวัล เมื่ออยากได้ลูกเทนนิสมาเล่นกับลูกพี่อีกก็ต้องพยายามหา Hawkweed ให้เจอ ในกรณีของ Hawkweed มันจะกัดและดึงออกตามที่ถูกฝึกโดยมีกลิ่น Hawkweed เป็นตัวนำ สำหรับกับระเบิดนั้นเมื่อดมกลิ่นจนพบก็จะถูกฝึกให้นั่งลงทันที เพราะหากฝึกให้กระโดดโลดเต้นดีใจก็อาจกลับบ้านเก่าทั้งลูกพี่และลูกน้อง ส่วนยาเสพติดนั้นบางครั้งเมื่อพบก็นั่งลง บางครั้งก็เห่า หรือกระดิกหาแสดงอาการว่าพบยาเสพติดแล้ว

           ในปัจจุบันหมาถูกฝึกให้ดมหาโลหะที่มีค่า ในอังกฤษมีการฝึกให้ดมกลิ่นเพื่อพิสูจน์การเป็นมะเร็งในขั้นแรก หรือแม้กระทั่งฝึกให้ดมหาตัวเลือดที่ซ่อนตัวอยู่ในที่นอน ผู้ฝึกหมาสนองตอบความต้องการของตลาดด้วยการฝึกหมาให้ค้นหายาเสพติดชนิดต่าง ๆ ค้นหาผู้รอดชีวิตจากตึกถล่ม ฯลฯ โดยใช้ความสามารถพิเศษในการดมกลิ่น

           หมาพันธุ์ที่ผู้ฝึกใช้ในการค้นหา Hawkweed คือค็อกเกอร์สเปเนียล ( Cocker Spaniel) ซึ่งโดยธรรมชาติซุกซนไม่ค่อนชอบอยู่นิ่ง จมูกเป็นเลิศ และที่มีลักษณะพิเศษคือชอบเห่า

           ออสเตรเลียประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการทำให้เกาะ Macquarie (ได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก) ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐทัสมาเนีย ประมาณ 1,450 กิโลเมตรให้ปลอดจากกระต่ายด้วยการใช้หมาไล่ปราบจนหมดสิ้นในปี 2014 การปราบเช่นนี้ถือว่าเป็นชัยชนะสำคัญเพราะกระต่ายซึ่งถูกนำมาออสเตรเลียเมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว ได้กลายเป็นสัตว์ทำลายเศรษฐกิจตัวฉกาจเนื่องจากแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว

           ตราบที่มนุษย์ใช้ปัญญาควบคุมสิ่งรอบตัวให้กลายเป็นเครื่องมือรับใช้ดังเช่นกรณีของหมาและ Hawkweed แล้ว มนุษย์ชนะเสมอแต่ก็มักจะไม่นึกถึงบุญคุณ เช่น โลกหรือสิ่งแวดล้อม และในกรณีนี้คือหมา

           หมามีบุญคุณต่อมนุษย์มากมาย สารพัดรับใช้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ คำถามที่น่าถามก็คือ แล้วมนุษย์ตอบแทนบุญคุณอะไรหมาบ้างเป็นพิเศษนอกจากให้ข้าวกินไปวัน ๆ เราได้ยินแต่มนุษย์บอกว่าหมาซื่อสัตย์ต่อคน แล้วคนซื่อสัตย์ต่อหมาเท่าเทียมกันหรือไม่เพียงใด