ระวัง “กับดักทางจิตวิทยา”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
9 กันยายน 2557

          มนุษย์ไม่ว่าจะร่ำเรียนมามากน้อยเพียงใด อยู่ในวัยใด หรืออยู่ในฐานะสังคมใดก็ มีโอกาสที่จะถูกลวงหรือมีความคิดอย่างบิดเบี้ยวได้โดยไม่ต่างกันนัก ลองมาดูหลายลักษณะของการลวงเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อกัน

          “บ้านหลังสุดท้าย” “จะหมดเขตลดราคาใน 7 วัน” “นาฬิการุ่น Limited Edition” “แสตมป์ชำรุดมีดวงเดียวในโลก” ข้อความเหล่านี้เราได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ทั้งหมดล้วนกระตุ้นความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งหายาก และสิ่งหายากมักเป็นสิ่งวิเศษเสมอ

          “rara sunt cara” หรือ “rare is valuable” (ยิ่งหายากยิ่งมีมูลค่ามาก) ชาวโรมันบอกชาวโลกมากว่า 2,000 ปีแล้ว อะไรก็ตามที่มนุษย์รู้สึกว่ากำลังจะหมดไปหรือเป็นสิ่งหายาก มูลค่าในใจที่มนุษย์ให้มันจะพุ่งปรี๊ดทีเดียว

          ตอนเราเด็ก ๆ คงจำการแย่งของที่เพื่อนชอบ หรือชิ้นที่ดูจะพิเศษกว่าชิ้นอื่น ๆ กันได้ ที่แย่งก็เพราะว่าใจเราคิดว่ามันวิเศษกว่าชิ้นอื่น ๆ และมีจำนวนจำกัด

          อะไรก็ตามที่ถูกห้าม หรือถูกกีดกัน จะยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งน่าจะทำหรือน่าลอง เหตุหนึ่งที่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะชอบสูบบุหรี่หรือกินเหล้าให้เราเห็นกันเป็นประจำก็มาจากการมองเห็นเช่นนี้แหละ

          ปรากฏการณ์นี้ที่เรียกว่า “scarcity error” หรือผิดพลาดเพราะเข้าใจว่ามันขาดแคลนนี้ทำให้มนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติ ทั้งนี้เนื่องจากเกิดความคิดที่ผิดปกติขึ้น

          เมื่อมีคนสังเกตเห็น scarcity error ในวิจารณญาณของมนุษย์ จึงมีคนหัวแหลมนำมาใช้ในการควบคุมพฤติกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการตลาด เช่นผู้บริโภคมักรีบตัดสินใจซื้อ เพราะถูกทำให้เห็นว่ามันกำลังจะหมดไป

          แค่นี้ยังไม่พอ มนุษย์ยังถูกลวงใจโดยตนเองอีกด้วยโดยผ่านปรากฏการณ์ที่นักจิตวิทยาเรียกว่า ‘perception is selective’ กล่าวคือการรับรู้รับทราบของเรานั้นเกิดจากการเลือกของเราเอง ตัวอย่างเช่นมนุษย์ทั่วไปเชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ ไม่ได้เชื่อเพราะหลักฐานข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์นี้แหละจึงทำให้เราถูกหลอกกันมานักต่อนักแล้ว

          อะไรที่เรารักเราชอบมันดีไปหมด ไม่มีอะไรที่บกพร่องเลย ดังเช่นการพิจารณาตนเอง คนที่ขาดปัญญาจะเห็นว่าตัวเองนั้นสมบูรณ์ที่สุด ไม่มีข้อบกพร่อง ลูกหลานตนเองนั้นเล่าก็น่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน ดีอย่างไม่มีอะไรทัดเทียม ไม่เชื่อไปถามแม่ของนักโทษประหารดูก็ได้ ถึงแม้จะถูกประหารไปแล้วก็เชื่อว่าลูกไม่ได้แย่เกินไป ยังมีความน่ารักอยู่ หรืออาจไปไกลถึงว่าลูกถูก กลั่นแกล้ง

          คำฝรั่งที่ว่า “ความรักทำให้ตาบอด” หรือ “smoke gets in your eyes” สะท้อนปรากฏการณ์นี้ หากรักชอบใครแล้วตามันมืดมัวมองเห็นแต่สิ่งดี หลวงพ่อที่ใคร ๆ ว่าเลวไม่ดี หากโดดเข้ารักนับถือแล้วตาจะบอดมืดมิดมองไม่เห็นอย่างที่คนอื่นเห็นเพราะไม่ใช้เหตุผลแต่ใช้อารมณ์ หลักฐานอะไรที่ชี้ว่าหลวงพ่อไม่ดีก็โยนทิ้งหมด รับแต่หลักฐานที่ยืนยันว่าหลวงพ่อดี

          อุทาหรณ์ในเรื่องนี้ก็คือหากจะรัก จะนับถือใครแล้ว ไม่ควรโดดเข้าไปโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ควรพิจารณาดูหลักฐานทั้งสองด้านก่อนที่จะเอนเอียงตัดสินไปทางด้านใด มิฉะนั้นจะรับแต่หลักฐานด้านเดียวที่สนับสนุนความเชื่อหรือความรู้สึกที่มีอยู่

          มนุษย์นั้นถูกหลอกได้ไม่ยาก และคนที่สามารถหลอกได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ก็คือตัวเองนั่นแหละ เพราะปรากฏการณ์ ‘perception is selective’ ไม่เข้าใครออกใคร เฉพาะคนมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถหลุดรอดจากกับดักเช่นนี้ได้

          ถ้าท่านเห็นว่ามนุษย์มีอุปสรรคในการคิดจนทำให้ตัดสินใจผิดพลาดอยู่ไม่น้อยแล้ว ลองพิจารณาสิ่งต่อไปนี้ดูว่ามนุษย์นั้นเผชิญกับภยันตรายอีกมากเพียงใด

          ทุกวันเราได้ยินคำพยากรณ์มากมายในแทบทุกด้านโดยหมอดู นักวิชาการ นักการเมือง ข้าราชการ ฯลฯ ทั้งในด้านดีและด้านร้าย คนทั่วไปก็จำเป็นต้องรับเอา คำพยากรณ์เหล่านี้ไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการประกอบธุรกิจ ลงทุน หรือดำเนินชีวิต

          เหตุที่เรามีคำพยากรณ์มากมายก็เพราะคนพยากรณ์ให้คำทำนายโดยไม่เสียอะไร มีแต่จะได้ เคล็ดลับในเรื่องนี้ก็คือให้คำพยากรณ์บ่อย ๆ ห่าง ๆ สักหน่อย โดยคำพยากรณ์ขัดแย้งกันก็ยิ่งดี หากทำนายผิดผู้คนก็ไม่ถือโทษโกรธแค้น และมักจำไม่ได้ว่าพยากรณ์ไว้ว่าอย่างไร แต่ถ้าหากเกิดถูกขึ้นมาคนพยากรณ์ก็มีแต่ได้เพราะจะกลายเป็นผู้วิเศษทันที บ่อยครั้งเราเห็นนักพยากรณ์คุยโม้โอ้อวดสิ่งที่ตนทำนายถูก โดยไม่เคยเอ่ยถึงคำพยากรณ์ที่ผิดมาเกือบทุกครั้งเลย

          มีฝรั่งอยู่คนหนึ่งชื่อ Philip Tetlock ได้ประเมิน 28,361 คำพยากรณ์ในช่วงเวลา 10 ปีของผู้ตั้งตนเองเป็นกูรู 284 คน และพบว่ากูรูเหล่านี้ทำนายได้แม่นยำกว่าการเดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง

          ข้อเท็จจริงเช่นนี้จะทำให้คนที่ชอบโอนอ่อนผ่อนตามคำพยากรณ์โดยเอามันมาประกอบการตัดสินใจครั้งสำคัญต้องเผชิญกับอันตรายที่น่ากลัวด้วยความเข้าใจผิดว่าคำพยากรณ์นั้นแม่นยำอย่างปราศจากข้อสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาจาก ‘หลวงพ่อ’ ที่นับถือยิ่ง

          อย่าเย่อหยิ่งและมั่นใจว่าไม่มีอะไรที่สามารถลวงตาหรือลวงใจท่านได้ เพราะตราบที่เป็นมนุษย์ก็ยากที่จะหลุดพ้นจากกับดักทางจิตวิทยาไปได้ จะถูกลวงมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้มีปัญญามากหรือน้อยเท่านั้นเอง

ความคิดเชิงสร้างสรรค์และความสะดวก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 กันยายน 2557

          รอบตัวเราเต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งเกิดจากความคิด เชิงสร้างสรรค์ ลองดูว่ามีอะไรบ้างและมีที่มาที่ไปอย่างไร และความคิดเชิงสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้อย่างไร

          สิ่งแรกที่เราใช้กันทุกวันแต่อาจมิได้สังเกตนั่นก็คือส้วมแบบชักโครก นับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วที่เรามีส้วมหลุม ทั้งชนิดที่เอาสิ่งปฏิกูลทิ้งโดยตักออกจากถังรวม และชนิดที่ทิ้งไปเลยโดยถ่ายลงไปในหลุม

          การตักอุจจาระและกากไปทิ้งเป็นเรื่องวุ่นวาย และยุ่งยากมากอีกทั้งผิดหลักสุขอนามัยอีกด้วยหากไม่ทำอย่างถูกขั้นตอน กลิ่นจากถังและหลุมถ่ายเป็นปัญหาใหญ่จนไม่อาจมีห้องส้วมอยู่ในบ้านได้ ต้องแยกออกไปไว้นอกบ้านต่างหาก มนุษย์ทำเช่นนี้กันมาเป็นเวลานานมากจนกระทั่งมีคนที่มีความคิดเชิงสร้างสรรค์ช่วยทำให้เกิดความสะดวกสบายอย่างไม่เคยมีมาก่อน

          ส้วมแบบชักโครก (flush toilet) ซึ่งใช้น้ำไหลแรงชำระอุจจาระผ่านลงถังเก็บเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกจากแนวคิดของ Sir John Harington (ค.ศ. 1561-1612) ในอังกฤษโดยเขียนบรรยายและแสดงผังการใช้น้ำไหลเพื่อชำระประกอบ เขาสร้างและติดตั้งเครื่องหนึ่งให้ Queen Elizabeth I ซึ่งเป็นแม่ทูลหัว

          ถึง Queen Elizabeth I จะทรงไม่ใช้เพราะมีเสียงดังเอิกเกริกและมีกลิ่นขึ้นมาแต่ก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยระบบสุขอนามัยมาก ถึงแม้ในอังกฤษจะไม่ได้รับความนิยมนักแต่ก็มีการใช้กันในฝรั่งเศส

          เมื่อเกิดปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในประมาณช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ตามมาส่งผลให้ Alexander Cummings ประดิษฐ์ส้วมชักโครกชนิดที่เป็นต้นแบบจนถึงปัจจุบันโดยสามารถกำจัดเรื่องกลิ่นที่ขึ้นมาจากถังเก็บได้สำเร็จ ความคิดสร้างสรรค์ของเขาก็คือการประดิษฐ์ท่อทิ้งอุจจาระจากโถส้วมให้มีลักษณะเป็นคอห่าน (เป็นรูปตัวเอส) โดยมีน้ำสะอาดขังนิ่งอยู่ใน ท่อคอห่าน และน้ำส่วนนี้แหละที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนกั้นกลิ่นขึ้นมาจากถึงเก็บข้างล่างเป็นอย่างดี

          ความคิดสร้างสรรค์ง่าย ๆ เช่นนี้ทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเพราะห้องส้วมสามารถอยู่ในบ้านและติดกับห้องนอนได้ ทุกเช้าที่เข้าห้องน้ำเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว กรุณานึกถึงนักประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลกแห่งสุขอนามัยและความสะดวกสบายคนนี้บ้าง

          ตัวอย่างที่สองคือแม่กุญแจชนิดคล้องบานพับเพื่อป้องกันมิให้สามารถเปิดประตู ลิ้นชัก กล่อง หรือตู้ได้ เราอาจเห็นมันทุกวันจนมิได้คิดว่ามันเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างหนึ่งของมนุษย์ซึ่งมีมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ถ้าปราศจากความคิดสร้างสรรค์เรื่องแม่กุญแจแล้ว มนุษย์จะมีปัญหาเรื่องความมั่นคงอย่างมากทีเดียว

          แม่กุญแจ (padlock) เริ่มมีใช้ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสต์กาล หรือใกล้พุทธกาล ในจีนก็มีหลักฐานของการใช้ในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น (ค.ศ. 25-220) ทั้งหมดทำจากโลหะโดยมีกุญแจเป็นตัวบังคับการล็อคหรือปลดล็อค คำถามก็คือมนุษย์คิดได้อย่างไรในการประดิษฐ์สิ่งซึ่งมีความซับซ้อนในกลไกการล็อค ยิ่งไปกว่านั้นแม่กุญแจแต่ละตัวมีลูกกุญแจไขล็อคเฉพาะของตัวเองอีกด้วย

          เมื่อคำนึงถึงแม่กุญแจที่แข็งแรงและมีกลไกซ่อนเงื่อนซึ่งยากต่อการปลดล็อคที่เอาไปใช้ คู่กับตู้เซฟซึ่งมีกลไกปิดเปิดด้วยการหมุนลูกบิดตู้เซฟไปมาหลายรอบแล้ว ยิ่งน่าชื่นชมมนุษย์ผู้คิดค้นซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์อย่างยิ่ง

          ตัวอย่างที่สามคือหม้อหุ้งข้าวไฟฟ้า (rice cooker หรือ rice steamer ในสหรัฐอเมริกาภาษาพูดทั่วไปเรียกว่า rice maker) ซึ่งเป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริงของคนญี่ปุ่น

          ใน ค.ศ. 1937 กองทัพญี่ปุ่นมีการหุงข้าวในหม้อไม้สี่เหลี่ยมโดยเอาไฟฟ้าจาก 2 ขั้วแหย่ลงไปในน้ำที่มีข้าวจนน้ำเดือดและข้าวสุก วิธีการหุงข้าวแบบนี้ได้รับการพัฒนาต่อมาเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านโดย Mitsubishi Electric ใน ค.ศ. 1945

          เจ้าแรกผู้ผลิตนี้ใช้หม้ออลูมิเนียมใส่ข้าวและมีลวดขดไฟฟ้าให้ความร้อนอยู่ด้านล่าง แต่ยังไม่มีระบบตัดไฟโดยอัตโนมัติเมื่อข้าวสุก คนหุงยังต้องจับตาเฝ้ามองจนข้าวสุกจึงจะปิดสวิตช์ไฟฟ้า

          หม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่เป็นต้นแบบของปัจจุบันประดิษฐ์โดยนาย Yoshitada Minami ผู้ทำงานให้กับ Toshiba Electric Corporation ในเดือนธันวาคมของปี 1956 Toshiba ก็วางตลาด หม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ปิดไฟโดยอัตโนมัติเมื่อข้าวสุกดังเช่นที่เราใช้กันในปัจจุบัน ในโลกของผู้บริโภคข้าวซึ่งมีจำนวนประชากรเกินกว่าครึ่งโลก (กว่า 3,500 ล้านคน) ในแต่ละวันหม้อหุงข้าวนับพันล้านหม้อรับใช้อย่างซื่อสัตย์

          หม้อหุงข้าวลักษณะนี้เข้ามาในบ้านเราประมาณ พ.ศ. 2500 ต้น ๆ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา น้ำข้าวซึ่งเป็นยอดอาหารก็หายไปจากชีวิตของคนไทยเช่นเดียวกับไม้ขัดหม้อ หรือ ‘ไม้ดัดนิสัยเด็ก’

          คำถามที่น่าสนใจก็คือความคิดสร้างสรรค์ที่บันดาลให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ 3 อย่างข้างต้นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ในความเห็นของผู้เขียนนั้น มันเกิดขึ้นได้จาก 4 ปัจจัยด้วยกันกล่าวคือ (1) การมองเห็นประโยชน์อันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์นั้น ๆ เช่น เมื่อมีความต้องการใช้ส้วมที่สะดวก กุญแจที่ช่วยป้องกันทรัพย์สิน และหม้อหุงข้าวที่ให้ความสะดวกและประหยัดเวลา (2) ความอยากรู้อยากเห็นจนทำให้เกิดจินตนาการหรือความคิดต่อยอด เช่น น้ำนิ่งขังในคอห่านเป็นตัวฉนวนกันกลิ่นได้หรือไม่ จะสร้างกลไกที่ซับซ้อนของกุญแจอย่างไร และหุงข้าวอย่างไรให้สะดวกที่สุด (3) การคิดอย่างผิดไปจากวิธีคิดแบบดั้งเดิม เช่น ส้วมชักโครกเกิดขึ้นเพราะการคิดใช้น้ำสะอาดเป็นตัวพัดชำระอุจจาระ หม้อหุ้งข้าวไฟฟ้าเกิดเพราะใช้วิธีหุงโดยใช้ไฟฟ้า และ (4) การมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่ตนเองสนใจจนสามารถทำให้ความคิดสร้างสรรค์นั้นเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้ ถ้าเพียงแต่คิดและไม่มีความสามารถทางช่างเลย 3 ตัวอย่างข้างต้นก็เกิดขึ้นไม่ได้

          ถ้าโลกขาดความคิดสร้างสรรค์ของคนกลุ่มหนึ่งในประวัติศาสตร์ คุณภาพชีวิตของพวกเราในปัจจุบันคงไม่สูงดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และถ้าเป็นความคิดที่มิได้นำไปปฏิบัติจริงแล้ว ทั้งหมดก็คงเป็นเพียงความเพ้อฝันบวกความเพ้อเจ้อเท่านั้น
 

ออสเตรเลียลุยปลูกฝิ่น

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
26 สิงหาคม 2557

          โลกมีอะไรหลายอย่างที่น่าแปลกใจยิ่งขึ้นทุกวัน ทัวร์ “อุ้มบุญ” ไปอินเดียและรัสเซียกำลังได้รับความนิยมโดย ‘การอุ้มบุญ’ ทำให้เด็กที่เกิดมาไม่มีพันธุกรรมที่เกี่ยวพันแต่อย่างใดกับแม่ผู้ให้กำเนิด การเสพและปลูกกัญชาในรัฐโคโลราโดและรัฐวอชิงตันในสหรัฐอเมริกาไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป และล่าสุดออสเตรเลียกำลังลุยปลูกฝิ่นเพื่อสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

          รัฐทัสมาเนีย (Tasmania) เป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ทางตอนใต้ของทวีปออสเตรเลีย มีจำนวนประชากรคงตัวอยู่ที่ครึ่งล้านโดยมักไม่ย้ายไปไหนและมีคนอพยพไปอยู่น้อย และด้วยองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยและการตัดขาดจากโลกภายนอก การปลูกฝิ่นในทัสมาเนียที่ทำกันมากว่า 50 ปีแล้วจึงอยู่รอดมาได้เป็นอย่างดี

          ปัจจุบันทัสมาเนียผลิตประมาณครึ่งหนึ่งของฝิ่นทั้งโลกที่ถูกกฎหมาย เป็นหนึ่งใน 4 ประเทศในโลกที่ปลูกฝิ่นได้ถูกกฎหมายโดยได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมของสหประชาชาติ อีก 3 ประเทศที่ได้รับอนุญาตคือ สเปน ฝรั่งเศส และอินเดีย

          ฝิ่นเป็นยางแห้งที่ขูดออกมาจากผิวกะเปาะฝิ่นสด ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากดอกฝิ่นร่วงหมดแล้วจนเหลือแต่กะเปาะ วิธีการดั้งเดิมก็คือใช้มีดกรีดกะเปาะฝิ่นสดให้เป็นแผลสัก 3-4 บั้ง และทิ้งให้ยางฝิ่นสีขาวที่ไหลออกมาแข็งตัวข้ามคืน จากนั้นก็ขูดเอายางฝิ่นแห้งออกมาเป็นฝิ่นดิบ หนึ่งกะเปาะสามารถใช้ประโยชน์ได้ 3-4 ครั้งโดยเว้นการกรีดครั้งละ 2-3 วัน

          ยางแห้งของต้นฝิ่น (Papaver somniferum) มีสารพัดโทษและประโยชน์ เพราะมันมีสาร 3 ตัวสำคัญที่ออกฤทธิ์ในทางทำให้รู้สึกสุขเคลิบเคลิ้มอย่างปราศจากความเจ็บปวด ซึ่งได้แก่ morphine / codeine และ thebaine สำหรับ morphine นั้นถ้านำไปผ่านกระบวนการเคมีก็จะได้ heroin ซึ่งมีฤทธิ์ร้ายแรงในด้านเสพติด

          แต่เดิมเข้าใจกันว่าฝิ่นปลูกได้แต่เฉพาะบนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากและไม่อยู่ในบริเวณที่หนาวเกินไป อย่างไรก็ดีการปลูกและเสพฝิ่นนั้นมีมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์นับเป็นพัน ๆ ปีก่อนคริสตกาลในทั่วทุกบริเวณทั้งหนาวและร้อนตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง จนถึงเอเชีย

          การปลูกฝิ่นในออสเตรเลียเริ่มในปี ค.ศ. 1950 ในทัสมาเนีย เมื่อบริษัทผลิตยาระดับยักษ์ของโลกต้องการแหล่งสัพพลายวัตถุดิบที่เชื่อถือได้เพื่อนำไปผลิตยาแก้ปวด ซึ่งนับวันก็เป็นที่ต้องการของชาวโลกมากยิ่งขึ้นทุกที

          สาเหตุที่เลือกทัสมาเนียก็เพราะเชื่อว่าสามารถวิจัยค้นคว้าเพื่อผลิตฝิ่นพันธุ์ที่สามารถปลูกได้ในระดับที่ไม่จำเป็นต้องสูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ทนหนาวได้ดีและไม่ชื้นเฉะ ซึ่งต้นฝิ่นไม่ชอบเอามาก ๆ นอกจากมีสภาวอากาศที่เชื่อว่าเหมาะสมแล้ว ยังสามารถหลบหลีกจากสายตาชาวโลกซึ่งรังเกียจฝิ่นโดยไม่ตระหนักว่าสามารถนำมาเป็นยาแก้ปวดได้เป็นอย่างดี ประการสำคัญก็คือมีน้อยคนที่รู้ว่าทัสมาเนียนั้นอยู่ที่ใดในโลกอีกด้วย

          การเป็นเกาะเล็กมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย ในบางเมืองในชนบทครอบครัวส่วนใหญ่รู้จักกันข้าม 3-4 ชั่วคน ทำให้การควบคุมการปลูกตลอดจนการตรวจสอบการนำไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          งานวิจัยพันธุ์อย่างยาวนานตลอดจนการพัฒนากรรมวิธีการผลิตที่ไม่ต้องอาศัยแรงงานอย่างมากในการกรีดกะเปาะและขูดยางฝิ่นหากแต่ใช้เครื่องจักรแยกกะเปาะออกจากเมล็ดข้างในแทน ทำให้โครงการประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ละปีในปัจจุบันฝิ่นสามารถทำเงินให้เกษตรกรได้มากถึงเอเคอร์ (2 ไร่ครึ่ง) ละ 4,000 เหรียญสหรัฐ (128,000 บาท) รวมเป็นเงินแก่เษตรกรถึง 80 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,500 ล้านบาท) ต่อปี จนเป็นแหล่งรายได้สำคัญของภาคเกษตรนอกเหนือไปจากการผลิตนมและเลี้ยงวัว

          ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งก็คือ morphine และ heroin เท่านั้นที่เป็นผลผลิตที่มีค่ายิ่งของฝิ่น แต่แท้จริงแล้ว thebaine และสารเคมีอื่น ๆ ในฝิ่นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดีในการขจัดความเจ็บปวด ในปัจจุบันมียาประเภทนี้ที่มีฐานมาจาก thebaine มากขึ้นทุกที

          การมุ่งสกัด thebaine จากฝิ่นทำให้นักวิจัยต้องพัฒนาฝิ่นพันธุ์ที่มีสาร thebaine มากเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้สามารถหลีกหนีผลกระทบจากการที่รัฐบาลอเมริกันมีนโยบายซื้อวัตถุดิบฝิ่นจากพันธุ์ปกติรวมร้อยละ 80 จากอินเดีย และตุรกีต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี

          การปลูกฝิ่นในทัสมาเนียรุ่งเรืองและเกษตรกรรวยเงียบ ๆ มายาวนานจนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติขึ้นในพักหลังจนทำให้แหล่งผลิตนี้มีความน่าเชื่อถือน้อยลง กล่าวคือฝนเป็นศัตรูสำคัญของฝิ่น ดินที่แฉะจากฝนตกหรือน้ำขังทำให้รากเน่าได้ง่ายดาย บริษัทยาเห็นความเสี่ยงเช่นนี้จึงเริ่มหันไปปลูกในบริเวณอื่นเพิ่มเติม และทดลองในพื้นที่ตอนเหนือของทวีปคือ Northern Territory ด้วย

          บริเวณที่ขยายออกไปปลูกก็คือพื้นที่ของรัฐวิคตอเรีย ซึ่งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปออสเตรเลียโดยอยู่เหนือทัสมาเนีย การสนับสนุนของรัฐบาลรัฐวิคตอเรียอย่างหนักในการปลูกฝิ่น ทำให้ทัสมาเนียสูญเสียประโยชน์ไปมากแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก

          อุทาหรณ์ในเรื่องนี้ก็คือวิธีการคิด หากไม่คิดว่าสามารถปลูกฝิ่นได้ในอากาศแบบ ทัสมาเนีย การปลูกฝิ่นในออสเตรเลียก็คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน การคิดว่ามีความเป็นไปได้และใช้การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือประกอบทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

          ถ้านักวิจัยไทยไม่คิดว่าสามารถปลูกองุ่นแถบปากช่องและสระบุรีได้ อุตสาหกรรม ไวน์ไทยก็คงไม่เกิดขึ้น ถ้าโครงการหลวงคิดว่าการปลูกผลไม้เมืองหนาว การเลี้ยงปลาเทราท์ ตลอดจนการเพาะเห็ดและปลูกผักสารพัดประเภทจากต่างประเทศเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทุกอย่างก็คงจบ เราคงไม่มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นมากมายดังเช่นที่เป็นอยู่ใน

          ปัจจุบันอย่างแน่นอน และถ้าคนชิลีไม่คิดว่าการเลี้ยงปลาแซมมอนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เมื่อ 30 ปีก่อน ป่านนี้ชิลีคงไม่เป็นแหล่งผลิตปลาแซมมอนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในทุกวันนี้

          การคิดนอกแนวไปจากที่เคยเป็นอยู่และลงมือปฏิบัติจริงเป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดขึ้นของนวตกรรมเสมอ

“ทานาคา” เผชิญศึก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 สิงหาคม 2557

          คนไทยน้อยคนนักที่มีเพื่อนอาเซียนทำงานบ้านให้แล้วไม่รู้จักทานาคาซึ่งเป็นผงแป้ง ทาหน้าซึ่งถูกละเลงบนใบหน้าจนถูกล้อว่าเหมือนแมวคราว ถึงแม้ว่าคนพม่าจะใช้ทานาคามายาวนานแต่ล่าสุดทานาคากำลังถูกไล่ล่าโดยเครื่องสำอางค์สมัยใหม่

          ทานาคาเป็นชื่อต้นไม้ที่คนพม่าตัดลำต้นสดเป็นท่อนขนาดมือกำได้มาฝนกับน้ำบนแท่นดินเผาจนกลายเป็นแป้งเหลว เอามาใช้ทาหน้าทาแขนหรือแม้แต่ทาทั่วตัว บางครั้งใช้เปลือกหรือแม้แต่รากของมัน

          ในพม่าหรือปัจจุบันมีชื่อทางการว่าเมียนมาร์ ไม่ว่าไปทางไหนจะพบเห็นผู้หญิงแก่และสาว เด็กหญิง หรือแม้แต่เด็กชายและชายหนุ่ม ทาหน้าด้วยทานาคากันอย่างภาคภูมิใจเพราะเชื่อว่าป้องกันเปลวแดดได้ดี สามารถป้องกันสิวฝ้า ทำให้ผิวผ่องเป็นนวล มีกลิ่นคล้ายไม้จันทน์ และทาแล้วรู้สึกเย็น

          คนพม่าใช้ทานาคากันเป็นกิจวัตร ทากันตั้งแต่เด็กยันแก่ เลียนแบบถ่ายทอดกันมาชั่วคนแล้วชั่วคนเล่า บทกวีเขียนโดยสนมคนหนึ่งของกษัตริย์ Razadarit ในศตวรรษที่ 14 หรือเมื่อ 700 ปีก่อน กล่าวถึงทานาคาเช่นเดียวกับเอกสารประวัติศาสตร์ในศตวรรษต่อมา

          คนพม่าใช้ทานาคากันมายาวนานจนเป็นนิสัยประจำชาติ ทานาคาดูจะเป็นที่นิยมอย่างมากเป็นพิเศษในบริเวณเมือง Mandalay ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของย่างกุ้ง และเป็นเมืองหลวงสุดท้ายที่สร้างเมื่อ ค.ศ. 1857 ก่อนสูญเสียอิสรภาพให้อังกฤษ

          คนในแถบนี้มีทานาคาซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพันธุ์ที่ดีที่สุด (ต้นไม้หลายชนิดในสกุลเดียวกันสามารถนำมาใช้ได้) ที่นิยมกันมากที่สุดคือ Shwebo Thanaka จากเมือง Sagaing ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ อิระวดี และเชื่อกันว่าเป็นแหล่งพำนักใหญ่ของชาวอยุธยา (คนพม่าเรียกว่าโยเดีย) ที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งเสียกรุง พ.ศ. 2310

          ทานาคาเป็นไม้ยืนต้น เติบโตได้ดีในบริเวณอากาศร้อนแห้งแต่ก็โตช้า หากจะ ให้ได้ครีมชั้นดีต้นไม้ต้องมีอายุอย่างน้อย 35 ปี หรืออย่างเลวสุดก็ 20 ปีขึ้นไป เราจะเห็นการขายท่อนทานาคาในตลาดพร้อมกับแท่นดินเผาอยู่ทั่วไปในบริเวณเมือง Mandalay

          ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทานาคาในปัจจุบันก็คือหลังจากพม่าเปิดประเทศอย่างจริงจังได้ประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา เครื่องสำอาค์สมัยใหม่จากต่างประเทศก็ทะลักเข้าประเทศ พร้อมกับป้ายโฆษณาความสวยแบบสมัยใหม่ที่ใช้สารพัดเครื่องสำอางค์

          ที่เป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมของการใช้ทานาคาก็คือการพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเฉพาะหญิงบ้านนอกเท่านั้นที่เขาใช้ทานาคากัน หญิงสมัยใหม่ที่ทันสมัยเขาหันมาใช้เครื่องสำอางค์สมัยใหม่กันแล้ว

          อย่างไรก็ดีมีผู้ผลิตทานาคาสมัยใหม่ออกมาสู้เพื่อความสะดวกและเพื่อลด ‘ความเป็น บ้านนอก’ ด้วยการผลิตครีมทานาคาในหลอดหรือเป็นกะปุกโดยตั้งใจเอาใจผู้คุ้นเคยทานาคาและรักความเป็นสมัยใหม่ด้วย (การนั่งฝนท่อนทานาคากับแท่นดินเผาทุกเช้าไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนทันสมัย) และก็ได้รับความนิยมไม่น้อย (ผู้เขียนเคยอ่านตัวหนังสืออังกฤษบนหลอดครีมทานาคาและพบว่าผลิตที่บางกะปิใกล้บ้านผู้เขียน จึงรู้สึกตื่นเต้นน้อยลงเป็นอันมาก)

          ข่าวร้ายของผู้ใช้ทานาคาปรากฏในสื่อต่างประเทศว่า ในปี 2013 มีเด็กก่อนวัยเรียนสองคนในเมืองแคนซัสซิตี้ มิสซูรี่ (ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ติดกันแต่เล็กกว่าโดยอยู่ในฝั่งรัฐแคนซัส คือ แคนซิสซิตี้ แคนซัส) ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ของกลุ่มพม่าอพยพในสหรัฐอเมริกามีสารตะกั่วในร่างกายในระดับอันตราย (อาจทำลายสมองหรือระบบประสาทจนเป็นคนพิการได้ในระยะยาว) ซึ่งหลังจากการตรวจสอบแล้วเชื่อว่ามาจากผงทานาคาที่บ้านของเด็กทั้งสอง ผู้พิสูจน์เชื่อว่าตะกั่วอาจมาจากอุปกรณ์หรือภาชนะที่ใช้ฝนท่อนทานาคาก็เป็นได้

          ก่อนหน้านี้ในปี 2012 ทางการออสเตรเลียในเมืองซิดนีย์ที่มีคนพม่าอพยพอยู่เป็นจำนวนมากก็เตือนให้ระวังเครื่องสำอางค์ทานาคา เพราะพบว่าในครีมหรือผงนั้นมีสารโลหะหนักมากอยู่เป็นพิเศษ

          ไม่มีใครรู้ว่าข่าวนี้ถูกประโคมโดยสื่อต่างประเทศเพื่อห้ำหั่นการใช้ทานาคาเพื่อให้หันมาใช้เครื่องสำอางค์สมัยใหม่หรือไม่ แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม สาวพม่าก็ยังคงใช้ทานาคาทาหน้ากันเหมือนเดิมอย่างไม่หวั่นไหว ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าทานาคา มีคุณภาพรักษาผิวตามที่เชื่อกันมายาวนานก็ตาม

          ถ้าทานาคาไม่ดีจริง คนพม่าคงไม่ใช้กันมาได้ยาวนานขนาดนี้ และคนไทยก็เห็นผลแล้วว่าคนพม่ามีผิวงามจริง หลักฐานการใช้เช่นนี้พิสูจน์ตัวของมันเองได้พอควรโดยมิพักต้องรอวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ แต่มั่นใจได้ว่าไม่ว่าผลพิสูจน์จะออกมาอย่างไร คนพม่าก็จะยังคงใช้ทานาคาอยู่เช่นเดิมด้วยความเคยชิน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเขา

          การใช้ทานาคาเป็นวัฒนธรรมที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์ของคนพม่า ซึ่งเราน่าจะช่วยกันเชียร์ให้มีชัยชนะเหนือเครื่องสำอางค์สมัยใหม่ได้ในระดับหนึ่ง คำถามที่น่าสงสัยก็คือเราก็อยู่ติดกับพม่ามานานเหยียบพันปีด้วยพรมแดนยาว 1,450 กิโลเมตรในปัจจุบัน แต่เหตุไฉนเราจึงเพิ่งรู้จักทานาคากันเมื่อ ไม่นานมานี้เอง

ชีวิตหดหู่เพราะหาของฟรีไม่ได้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 สิงหาคม 2557

          ถ้าใครบอกว่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีต้นทุน เราคงไม่เชื่อเพราะมันหมายความว่าไม่มีอะไรที่ฟรีเลย โลกเช่นนี้ไม่น่าหรรษา อย่างไรก็ดีความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างชัดคมยิ่งขึ้น

          ในเบื้องต้นเราต้องการสินค้าต่าง ๆ มาบริโภค ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยารักษาโรค และสิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ตลอดจนสารพัดบริการ เช่น บริการทนายความ งานสอนของครู เช่าบ้าน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มิได้ลอยมาจากฟ้า แต่เกิดจากผลิตโดยเอาวัตถุดิบต่าง ๆ มาผสมกับเทคโนโลยีและการจัดการ

          วัตถุดิบเหล่านี้ได้มาจากการจ่ายเงินซื้อมา ดังนั้นสินค้าจึงไม่ได้เกิดขึ้นฟรี ๆ อย่างแน่นอน บางคนอาจบอกว่าวัตถุดิบบางอย่างได้มาฟรี เช่น เก็บผักบุ้งจากธรรมชาติ ดังนั้นจึงฟรีโดยไม่ต้องจ่ายตังค์

          พูดอย่างนี้ก็จริงอยู่ แต่คำว่าฟรีในที่นี้กินความกว้างขวางกว่านั้น กล่าวคือเราไม่ได้ ขีดวงกันอยู่เฉพาะแต่เรื่องเงินออกจากกระเป๋า มิได้หมายความว่าถ้าไม่ต้องควักเงินออกมาเพื่อแลกกับของแล้วแสดงว่าฟรี

          ยกตัวอย่างเช่นเราเก็บผักบุ้งที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ในประการแรกเราต้องเสียเวลาในการเก็บ ซึ่งเวลาเหล่านี้เราอาจเอาไปทำอย่างอื่นได้ เช่น พักผ่อน ไปเที่ยว ทำกับข้าว ดังนั้นเราจึงไม่ได้ผักบุ้งมาฟรีเพราะมีค่าเสียโอกาสจากการไม่ได้ไปทำอย่างอื่น นอกจากนี้เมื่อเราเก็บผักบุ้งมาคนอื่นก็ไม่ได้เก็บ โอกาสที่เสียไปคือการบริโภคของคนอื่น และถ้าเราเก็บมาแล้วไม่บริโภค ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ผักบุ้งนี้ก็จะมีต้นทุนสูงขึ้นเพราะมันเสียโอกาสที่จะเป็นอาหารของคนอื่นที่เขาต้องการมากกว่าเรา หรือเสียโอกาสที่คนอื่นจะเอาไปทำให้มันมีมูลค่ามากยิ่งขึ้น

          พูดง่าย ๆ ก็คือของที่มันไม่ฟรีก็เพราะมีค่าเสียโอกาสแอบแฝงอยู่ตลอดเวลาถ้าเราตระหนักถึงลักษณะธรรมชาติของการไม่ฟรีเช่นนี้ เราก็จะสามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ถ้าเราเอาเงินสักหนึ่งแสนบาทไปลงทุนอะไรก็ตาม บางคนอาจคิดว่าเป็นการลงทุนที่ฟรีเพราะเป็นเงินของเราเองไม่ได้กู้ใครมาให้เสียดอกเบี้ย แต่อย่าลืมว่าเมื่อเงินหนึ่งแสนบาทนี้นอนอยู่ในธนาคารเฉย ๆ นั้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 3 ต่อปี เราก็ได้ดอกเบี้ยปีละ 3 พันบาท เมื่อเราเบิกมาลงทุน ต่อนี้ไปเราก็ไม่ได้ 3 พันบาทนี้แล้ว นี่คือค่าเสียโอกาสของเงินลงทุนหนึ่งแสนบาทของเรา

          ขนาดเราเอาเงินของเราเองมาลงทุนยังมีต้นทุน แล้วการลงทุนของคนอื่นที่ต้องกู้ยืมธนาคารจะมีต้นทุนขนาดไหน ผู้ประกอบการเขาก็ต้องเอาต้นทุนที่เขาเสียไปทั้งหมดมาคิดคำนวณด้วยเพื่อคิดราคากับเราอย่างแน่นอน ดังนั้นโดยแท้จริงแล้วการซื้อแบบผ่อนส่งชนิดที่ดอกเบี้ยเป็นศูนย์ดังที่มีการโฆษณากันจึงไม่เป็นความจริง

          ถ้าเขาบอกว่าโทรทัศน์โฮมเธียเตอร์ผ่อนงวดละ 10,000 บาท รวม 10 งวด ครบ 100,000 บาทพอดีไม่คิดดอกเบี้ยเลยสักบาท ความชื่นชมในการใจดีของผู้ขายคนนี้จะหมดไปหากเราลองไปตรวจสอบราคาสินค้าชิ้นเดียวกันที่ร้านอื่นก็อาจพบว่าถ้าซื้อเงินสดก็จะมีราคาเพียง 90,000 บาท แล้วอย่างนี้ดอกเบี้ยจะเป็นศูนย์ได้อย่างไร

          ในชีวิตจริง มนุษย์ต้องเผชิญการเลือกอยู่ตลอดเวลา และทุกการเลือกมีค่าเสียโอกาสเกิดขึ้นเสมอ ตัวอย่างเช่น เลือกคนที่มาสมัครทำงาน ถ้าเลือกคนผิดมาทำงานโดยปฏิเสธคนเก่งและดีอีกคนที่มาสมัครด้วยค่าเสียโอกาสของเราก็จะสูงมาก เช่นเดียวกับการเลือกคู่ ถ้าเลือกคนผิดแทนที่จะเลือกคนอื่นที่ “ดี” กว่าก็จะมีต้นทุนหรือค่าเสียโอกาสในการตัดสินสูงเช่นเดียวกัน (ถึงแม้เลือกคนถูกก็ยังมีค่าเสียโอกาสอยู่ดีเพราะความเป็นโสดนั้นมีความหอมหวานอยู่มาก)

          “ชีวิตเป็นเรื่องของการเลือก” (life is about choices) เป็นวลีติดปากนักเศรษฐศาสตร์ที่เตือนให้ผู้คนตระหนักว่ามนุษย์ต้องตัดสินใจเลือกอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่เลือกว่าจะทำอะไรตอนรู้ตัวในที่นอนตอนเช้า ว่าจะเลือกใช้เวลาตอนเช้าออกกำลังกายหรือนอนต่อ เวลาของวันนั้นเลือกใช้ทำอะไร โดยทุกการเลือกมีค่าเสียโอกาส (ถ้าอยู่บ้านไม่ไปทำงาน ค่าเสียโอกาสก็คืองานที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำ ถ้าไปทำงานค่าเสียโอกาสก็คือการไม่ได้พักผ่อนหรือไปเดินเล่น) มนุษย์ทุกคนต้องเปรียบเทียบค่าเสียโอกาสสำหรับทุกกิจกรรมเพื่อการตัดสินใจ

          ในเชิงนามธรรมก็ไม่มีอะไรที่ฟรีเช่นเดียวกัน การตัดสินใจเลือกเส้นทางเป็นคนดีนั้นมีต้นทุน ต้องอดกลั้น หลีกเลี่ยงไม่กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่าง ๆ อันนำมาซึ่งเงินทองและความ สนุกสนาน อย่างไรก็ดีเหล่าคนดีนั้นรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่คงทนและนำมาซึ่งความลำบากทุกข์ใจในอนาคต กล่าวคือเขามีปัญญารู้ว่ามันมีต้นทุนสูงเพราะอาจติดคุกติดตะรางเสื่อมเสียชื่อเสียงจึงไม่เลือก

          ถ้ามนุษย์ทุกคนตระหนักว่า ‘โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี’ ก็จะไม่มีการทิ้งขว้างผักบุ้งที่เก็บมา จากป่า ไม่ตัดสินใจลงทุนง่าย ๆ ด้วยเงินของตนเองเพราะคิดว่าไม่มีต้นทุน ไม่ไร้เดียงสาเชื่อใคร ง่าย ๆ ว่าซื้อของผ่อนดอกเบี้ยศูนย์มีอยู่ในโลก เลือกคนมาสมัครทำงานอย่างรอบคอบ ตัดสินใจเดินทางในชีวิตอย่างรอบคอบขึ้นเพราะรู้ดีว่าต้องเผชิญกับการตัดสินใจเลือกอยู่ตลอดเวลา และเหนือสิ่งอื่นใดตระหนักดีว่าการเป็นคนดีนั้นจะไม่ทำให้ประสบต้นทุนที่สูงในชีวิต

          ถึงแม้น่าหดหู่ใจที่ทุกสิ่งล้วนมีต้นทุนทั้งสิ้นจน ‘โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี’ ซึ่งการไม่ฟรีนั้นมิได้เป็นเรื่องแคบ ๆ เฉพาะเรื่องเงินทองเท่านั้นหากไปไกลกว่า เพราะค่าเสียโอกาสซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการไม่ฟรีนั้นครอบคลุมถึงเรื่องความสุข ความทุกข์ ประโยชน์ ความทุกข์ทรมาน โอกาส เวลา ฯลฯ

          ถึงแม้จะหดหู่ใจที่หาของฟรีไม่ได้แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้ความจริงข้อนี้ และตัดสินใจไปแบบเบลอ ๆ จนปวดใจจากการตัดสินใจเลือกผิด ๆ ในชีวิต

ถ่ายในที่สาธารณะสร้างอันตราย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
5 สิงหาคม 2557

          การถ่ายอุจจาระในที่สาธารณะของมนุษย์ยังคงมีอยู่อย่างกว้างขวางในหลายประเทศอย่างไม่น่าเชื่อ รวมแล้วมีจำนวนถึง 1 พันล้านคนในประชากรโลก 7 พันล้านคน ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีผลต่อสุขสภาวะในประเทศเหล่านี้ ที่ผ่านมามักไม่พูดกันเพราะความเหนียมอาย แต่ยิ่งหลีกหนีก็ยิ่งจะทำให้ปัญหาไม่หายไป

          มนุษย์แต่ละคนในแต่ละวันถ่ายอุจจาระเฉลี่ยประมาณวันละ 100 กรัม ปัสสาวะ 1.5 ลิตร และโดยทั่วไปใน 1 กรัมของอุจจาระประกอบด้วยไวรัส 10 ล้านตัว แบคทีเรีย 1 ล้านตัว ตัวอ่อนของปรสิก (parasite) 1,000 ตัว และไข่ของปรสิตอีก 100 ใบ ขณะที่อุจจาระอยู่ในร่างกายของเรา ส่วนใหญ่ไม่เป็นปัญหาเพราะระบบคุ้มกันของร่างกายตามธรรมชาติควบคุมอยู่ แบคทีเรียบางชนิดก็เป็นประโยชน์ต่อระบบการย่อยหรือระบบการทำงานของร่างกายด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดีเมื่อมันออกมานอกร่างกายแล้วก็อาจอาละวาดได้อย่างน่ากลัว

          โรคที่อาจติดถ่ายทอดกันได้คือไทฟอยด์ อหิวาตกโรค โปลิโอ นิวมอเนีย ไวรัส A พยาธิ ตาอักเสบอย่างรุนแรง ฯลฯ ตลอดจนอาจหยุดยั้งการเจริญเติบโตของร่างกายตลอดจนกระทบต่อการทำงานของสมองได้

          ที่น่ากลัวและรวดเร็วที่สุดก็คือโรคท้องร่วงอย่างแรง ในปัจจุบันเด็กตายวันละ 2,000 คน ในโลก หรือหนึ่งคนทุก 40 วินาที การถ่ายอุจจาระในสาธารณะอาจดูเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ไร้เดียงสา ด้อยพัฒนา แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอยู่พอควร

          ในจำนวน 1 พันล้านคนที่ไม่ใช้ห้องน้ำถ่ายให้เป็นเรื่องเป็นราว มีคนอินเดียอยู่ถึง 620 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสุดในโลก ตัวเลขนี้เกือบเท่ากับครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศคือ 1,300 ล้านคน ตัวเลขคร่าว ๆ ของ 620 ล้านคนนี้ก็คือมีการปล่อย “ขยะจากร่างกาย” ออกมาไม่ต่ำกว่า วันละ 65 ล้านกิโลกรัม ในทุ่งโล่ง ป่าเขา ริมน้ำ ทุ่งนา แม่น้ำลำคลอง หรือแม้แต่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย

          จีนในยุคแรกของการเปิดประเทศนั้นมีห้องน้ำสาธารณะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในความ น่ากลัว หรือแม้แต่ห้องน้ำในชนบทในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังมีส้วมเป็นกลไกกำจัด “ขยะจากร่างกาย” อย่างไม่ก่อให้เกิดปัญหาสาธารณสุข ในปัจจุบันน่าจะมีคนจีนถ่ายในที่สาธารณะอยู่ไม่น้อยในที่ห่างไกลจากความเจริญ แต่ตัวเลขก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของประชากรดังเช่นอินเดีย

          การถ่ายในที่สาธารณะของมนุษย์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติ บรรพบุรุษของเราก็ทำแบบนี้มานับพัน ๆ ชั่วคน การเข้าไปอยู่ในส้วมที่อึดอัด อากาศไม่ถ่ายเท แถมมีกลิ่นเหม็นด้วยเพื่อถ่ายนั้นจะว่าไปแล้วเป็นการผิดธรรมชาติมากกว่า ในสมัยที่ยังไม่มีผู้คนอยู่กันอย่างแออัด อุจจาระก็แห้งไปด้วยแสงแดดและความหนาว กลายเป็นอาหารของสัตว์ป่า หนอน และเป็นปุ๋ยอันเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ แต่เมื่อมีคนอยู่อาศัยใกล้เคียงกันมากขึ้น กระบวนการย่อยสลายอย่างเดิมถูกแทรกแซงโดยแมลงวันหรือคนมาสัมผัสจนเชื้อโรคแพร่ระบาด หรือเชื้อโรคพลัดหลงเข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดินหรือบนดิน

          นายกรัฐมนตรีอินเดียคนใหม่สุดคือ นาย Narendra Modi เห็นภัยจากการถ่ายในที่สาธารณะ (คานธีผู้ยิ่งใหญ่เคยพูดครั้งหนึ่งด้วยซ้ำว่าสุขาภิบาล (sanitation) สำคัญกว่าอิสระภาพ) บอกว่าการสร้างห้องส้วมมีลำดับสำคัญเหนือกว่าการสร้างวัด และให้จัดสรรงบประมาณขนาดใหญ่สร้างส้วมอย่างรีบด่วนโดยมีเป้าหมายให้การถ่ายในที่สาธารณะหมดไปทั้งหมดก่อนปี 2019

          คนอินเดียถ่ายในที่สาธารณะมานับพันปี หลังการได้รับอิสระภาพใน ค.ศ. 1947 อินเดียก็มีโครงการสร้างส้วมมาหลายครั้ง แต่ถึงจะสร้างจำนวนมากมายแต่ส่วนหนึ่งก็ไม่มีคนใช้ อุปสรรคมิได้อยู่ตรงการขาดแคลนเงินแต่เพียงอย่างเดียว หากเกี่ยวพันกับทัศนคติซึ่งโยงกับความเชื่อ ค่านิยม ที่มาจากคำสอนของชาวฮินดูด้วย

          พระมนูของฮินดูอายุนับพัน ๆ ปีสนับสนุนให้ถ่ายในที่สาธารณะ ไกลจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการถ่ายปะปนหรือในที่เดียวกับคนต่างวรรณะ อันจะนำมาซึ่ง “ความไม่บริสุทธิ์”

          การถ่ายทับที่กับคนวรรณะต่ำกว่าโดยเฉพาะจัณฑาลนั้นถือว่าเป็นบาป การถ่ายในบริเวณสาธารณะที่คนวรรณะเดียวกันใช้จึงเป็นหนทางหนึ่งของการหลีกเลี่ยงบาป การรังเกียจวรรณะจัณฑาลมีเหตุผลเชิงสุขาภิบาลเกี่ยวพันอยู่ด้วย เนื่องจากวรรณะนี้มีอาชีพเก็บขยะ กวาดถนน เก็บซากอุจจาระ ซากสัตว์ตลอดจนสิ่งสกปรกทั้งปวงซึ่งทำให้สามารถติดโรคระบาดต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าผู้อื่น

          ปัจจุบันอินเดียกำลังรณรงค์ผ่านสื่อในเรื่องนี้โดยตั้งชื่อว่า Poo2 Loo ซึ่ง Poo หมายความถึงอุจจาระ ส่วน Loo ก็คือห้องส้วม เช่นเดียวกับวิธีเอาน้ำไล่ฉีดชายที่ชอบยืนปัสสาวะรดกำแพง ริมถนน ถ้าการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและความเคยชินของประชาชนได้ผล พร้อมไปกับการทุ่มเทงบประมาณของภาครัฐ เราอาจเห็นอัตราการตายของเด็กทารกอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเกี่ยวพันกับพฤติกรรมนี้ของอินเดียลดลงหลังจากที่ทรงตัวมาเป็นเวลาหลายปีแล้วก็เป็นได้

          ในประเทศอื่น ๆ การถ่ายในที่สาธารณะก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นประเทศที่เล็กกว่าอินเดีย จึงไม่ทำให้มีจำนวนผู้กระทำสูง การมีระบบสุขาภิบาลในการกำจัด “ขยะร่างกาย” ที่ดีคือหัวใจสำคัญของระบบสาธารณสุขของประเทศ

          งานวิจัยของสหประชาชาติพบว่าการถ่ายในที่สาธารณะยังคงเพิ่มขึ้นใน 26 ประเทศของ อาฟริกา โดยเฉพาะไนจีเรียซึ่งมีประชากรสูงถึง 175 ล้านคน มีประชากรกว่า 39 ล้านคนในปัจจุบันที่ยังคงปฏิบัติอยู่อย่างเหนียวแน่นในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับจำนวน 23 ล้านคนในปี 1990

          ถ้าพิจารณากันอย่างเที่ยงธรรม พฤติกรรมเช่นนี้ก็ยังคงมีอยู่บ้างในชนบทไทยเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในปัจจุบัน คำว่า ‘ไปทุ่ง’ เป็นคำไทยโบราณที่ยังรู้จักกันดีในชนบทเพราะความเคยชิน และอากาศที่โล่งสบายไม่อึดอัดเวลาถ่าย เป็นที่เชื่อได้ว่าหลายประเทศเพื่อนบ้านของเราใน ASEAN ก็ยังมีอยู่กว้างขวางพอควร

          การหายไปของโรคติดเชื้อเกี่ยวกับทางเดินอาหารซึ่งโยงใยใกล้ชิดกับระบบสุขาภิบาลที่ดี ทำให้เราพอเชื่อได้ว่าการถ่ายในที่สาธารณะไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยอีกต่อไป

          ประเทศที่ไม่เหนียมอาย ไม่ปิดบังความจริงในเรื่องนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถึงแม้จะพยายามปิดบังตัวเลขอย่างไรแต่ถ้าหลังฉากทำงานกันอย่างแข็งขันแล้วละก็ปัญหาก็สามารถทุเลาไปได้มากดังกรณีของเวียดนาม

          การถ่ายในที่สาธารณะเป็นปัญหาของหญิงไม่น้อย เพราะต้องระมัดระวังเรื่องของการละเมิดทางเพศ การข่มขืนทำร้ายเวลาออกไปถ่ายนอกบ้าน บ่อยครั้งต้องคอยถึงเวลาค่ำมืดซึ่งความมืดเพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น การถ่ายในที่สาธารณะให้ทั้งความเสี่ยงในด้านสุขภาพของตนเองและในด้านสาธารณสุขของหมู่บ้านที่ตนเองอยู่อาศัยอีกด้วย

          มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้เวลา 30 ปีแรกของชีวิตสร้างความเคยชินให้กับตนเอง และใช้เวลาที่เหลือทำตามความเคยชิน เฉพาะผู้มีปัญญาเท่านั้นที่พยายามดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากความเคยชินเหล่านั้น

อเมริกาใต้แห่งความหลากหลาย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
29 กรกฎาคม 2557

          ฟุตบอลโลกปี 2014 ซึ่งจัดขึ้นที่บราซิลทำให้ผู้คนเกิดความสนใจในอเมริกาใต้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2016 บราซิลก็จะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกด้วย

          คำว่า ‘อเมริกาใต้’ ในความหมายโดยทั่วไปหมายถึงประเทศที่อยู่ใต้สหรัฐอเมริกาลงมา ไล่ลงมาตั้งแต่เม็กซิโก ประเทศเล็ก ๆ ตอนกลาง (El Salvador / Costa Rica ฯลฯ) ผ่านคลองปานามาลงมาถึงประเทศมีพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่น Venezuela / Colombia / Brazil / Chile / Argentina ฯลฯ

          อย่างไรก็ดีในทางวิชาการยังมีการแบ่งย่อยออกเป็นอเมริกากลาง (เม็กซิโก กับประเทศเล็ก ๆ ตอนกลาง) หมู่เกาะทางตะวันออกของอเมริกากลาง เช่น Cuba / Barbados / Jamaica ฯลฯ) และอเมริกาใต้จริง ๆ ที่อยู่ล่างลงมา เช่น Colombia / Brazil / Chile / Argentina ฯลฯ

          เรามักจะจำกันง่าย ๆ ว่าคนอเมริกาใต้นั้นพูดภาษาสเปน ยกเว้น Brazil ที่พูดภาษาโปรตุเกส ความจริงไม่ถูกต้องเพราะพวกอยู่ในหมู่เกาะดังกล่าวส่วนใหญ่และดินแดนริมทะเลใกล้ หมู่เกาะเหล่านี้ เช่น Belize / Trinidad and Tobago / Guyana / Anitigua / St Lucia / Grenada ฯลฯ พูดภาษาอังกฤษ

          บางดินแดนเล็ก ๆ และเกาะเล็ก ๆ บางแห่งในบริเวณใกล้เคียง เช่น Haiti / Martinique / Guadeloupe / Frence Guiana ฯลฯ คนพูดฝรั่งเศสกัน และบางแห่ง เช่น Curacao / Suriname / St. Maarten ฯลฯ พูดภาษาดัชต์

          สรุปก็คือทั้งอเมริกาใต้ในความหมายข้างต้นที่มักเรียกว่าลาตินอเมริกานั้นพูดกันหลากหลายภาษา รวมทั้งลูกผสมของหลายภาษาด้วย ส่วนใหญ่พูดสเปน แต่มิได้คับแคบแค่ภาษาหรือสองภาษา

          ประชากรในอเมริกาใต้ยิ่งผสมปนเปกันอย่างน่าอัศจรรย์ ลองดูทีมฟุตบอลอเมริกาใต้ ก็ได้ หน้าตามีทั้งฝรั่ง ลูกครึ่งฝรั่ง คนผิวดำ ลูกผสม ชนิดที่ฮิตเลอร์หากกลับชาติมาเกิดต้องฆ่าตัวตายอีกสามรอบเพราะแทบไม่มีเชื้อชาติฝรั่งแท้ (เผ่าพันธุ์อารยัน) ให้เห็นในทวีปนี้ หรือแม้แต่ทีมชาติเยอรมัน ดูชื่อนามสกุลก็รู้ว่าไม่ใช่คนเยอรมันในกรอบความคิดอารยันทั้ง ๆ ที่ทุกคนเป็นคนเยอรมันอย่างไม่ต้องสงสัย

          คนเยอรมันตะวันตกกับตะวันออกเคยทะเลาะเบาะแว้งกันแรงมากหลังจากรวมประเทศเป็นเยอรมันนีเมื่อ ค.ศ. 1990 คนตะวันตกรังเกียจว่าพวกนี้ผสมเชื้อพันธุ์ยุโรปตะวันออก (ใกล้ชิดกับ โซเวียตมายาวนาน) คนตะวันออกก็บอกว่าพวกตะวันตกผสมกับสวิส อิตาลี ฝรั่งเศส ออสเตรีย จนไม่ใช่เชื้อชาติเยอรมันดังที่พวกยูอ้างเหมือนกัน

          ในที่สุดเรื่องก็จบลงแบบสมานฉันท์เพราะจนด้วยเหตุและผล เมื่อผู้นำทางความคิดของเยอรมันออกมาบอกว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่ประชาชนอยู่ร่วมกันเพราะมีชาติพันธุ์เดียวกัน เพราะความเป็นชาติพันธุ์เดียวกันโดยแท้จริงมันไม่มี ทุกคนล้วนผสมปนเปกันมาตลอด 150,000 ปี หรือ 7,500 ชั่วคน ทุกคนล้วนเป็นคนอพยพทั้งนั้น มาจากสารพัดแห่งหนมาอยู่ในดินแดนเยอรมัน เพียงแต่บรรพบุรุษของใครมาถึงดินแดนนี้ก่อนกันเท่านั้นเอง พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนเยอรมัน การเป็นชาติเดียวกันอยู่บนการถือผลประโยชน์ร่วมกัน มีความเชื่อศรัทธาในสิ่งเดียวกัน และยินดีพร้อมใจร่วมกันเป็นคนชาติเดียวกัน ฉะนั้นจงอย่าแบ่งแยกว่าใครเป็นเยอรมันแท้หรือไม่แท้

          แนวคิดนี้ถูกต้องและเป็นจริงสำหรับคนทุกชาติ ไม่มีใคร “แท้” หรือใคร ‘เทียม’ ความรู้สึกเป็นรัฐชาตินั้นเกิดมาไม่นาน แต่เดิมเขามองโลกกันเป็นเมือง เช่น สุโขทัย เชียงใหม่ อยุธยา มิได้คิดเป็นสยามหรือไทย

          สำหรับลาตินอเมริกันนั้นว่ากันว่า 3 ประเทศพี่เอื้อยก็คือ ABC กล่าวคือ A คือ Argentina ส่วน B คือ Brazil และ C คือ Chile

          Argentina เจ้าตำรับแทงโก้ ดินแดนแห่ง Don’t Cry For Me ของ Evita อดีตภรรยา นายพลเผด็จการ Peron มีพื้นที่ 2.7 ตารางกิโลเมตร (กว่า 5 เท่าของไทย) มีประชากร 42 ล้านคน ร้อยละ 97 สืบเชื้อสายมาจากคนยุโรป รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีประมาณ 300,000 บาท (สูงกว่าไทยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท)

          Brazil มีพื้นที่ 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร (17 เท่าของไทย) มีประชากร 200 ล้านคน รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีประมาณ 350,000 บาท ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์มีทั้งคนพื้นเมือง (อินเดียนแดง) คนมาจากทวีปอาฟริกา คนยุโรป คนเอเชีย เป็นประเทศที่มีทรัพยากรมหาศาล เป็นประเทศหนึ่งที่ทรงพลังทางเศรษฐกิจ

          ส่วน Chile นั้นเป็นประเทศน้องใหม่มาแรงทางเศรษฐกิจอย่างยิ่ง มีพื้นที่เพียง 756,000 ตารางกิโลเมตร (มากกว่าไทยประมาณร้อยละ 50) มีประชากรเพียง 18 ล้านคน แต่รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีเท่ากับ 470,000 บาท ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งมีเชื้อสายยุโรป ที่เหลือเป็นอินเดียนแดงและลูกผสม คนเอเชีย ชิลีมีการจัดการเศรษฐกิจที่เป็นเยี่ยม เมื่อ 20 ปีก่อนเพิ่งเริ่มเลี้ยงปลา salmon (จริง ๆ ต้องออกเสียงว่า ซัม-มอน ไม่ใช่ แซล-มอน)ในฟาร์ม ปัจจุบันเป็นประเทศส่งออกปลา salmon ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

          คนในทวีปเอเชียไม่ค่อยเดินทางไปอเมริกาใต้กันเนื่องจากต้องใช้เวลาบินและเปลี่ยนเครื่องบินไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง แต่เมื่อไปเห็นแล้วก็จะรู้สึกตกใจว่ามีความเจริญก้าวหน้าไม่น้อยกว่าแห่งใดในโลก ถึงแม้ว่าจะมีดีกรีของความแตกต่างของฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างคนในประเทศ เดียวกันเองและระหว่างประเทศสูงก็ตาม

          ในชานเมือง Rio de Janeiro ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของบราซิล ในบางพื้นที่จะเห็นสลัมอยู่บนภูเขาเต็มพรืดไปหมดด้วยหลังคาสังกะสีหรือเศษวัสดุ คนอาศัยต้องเดินลงมาจากเขาเพื่อมาขนน้ำ สาเหตุที่ขึ้นไปอยู่บนเขาก็เพราะเป็นพื้นที่เหลืออยู่ที่ไม่มีเจ้าของชัดเจน

          ในเมืองใหญ่นี้จะเห็นทั้งอาคารหลังใหญ่โต ตึกสูง และสลัม สลับกันไป คล้ายกรุงเทพฯ อัตราอาชญากรรมในอเมริกาใต้โดยทั่วไปมีอัตราสูงเนื่องจากปัญหาในด้านประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม นับตั้งแต่ตำรวจ ผู้บังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ อัยการ ผู้พิพากษา ในขณะที่อัตราการลงโทษคดีฆ่าคนตายใน 9 ประเทศใหญ่ของเอเชียอยู่ที่ร้อยละ 50 ในอเมริกาใต้อัตราการลงโทษอยู่เพียงร้อยละ 20 ซึ่งหมายความว่าร้อยละ 80 ของคดีฆ่าคนตายไม่ถูกลงโทษ การพิจารณาคดีความที่ปกติยืดยาวเป็นปี ๆ ทำให้หลักฐานขาดหายไป บางคดีตำรวจเจ้าของคดี อัยการ เกษียณอายุ หรือตายไปแล้วพร้อมพยาน คดียังไม่ถึงที่สุดก็มีอยู่บ่อย ๆ

          อเมริกาใต้เป็นทวีปแห่งความหลากหลายของวัฒนธรรมและความสามารถ ถึงแม้ทีมฟุตบอลจากทวีปนี้จะไม่เคยเป็นแชมป์โลกติดต่อกันมาถึง 24 ปี แล้วก็ตาม เชื่อได้ว่าจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อกลับมารักษาตำนานฟุตบอลไว้ดังเดิม

ระวังโรค MERS กำลังระบาด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 กรกฎาคม 2557

          โรคระบาดดูจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ในปัจจุบัน ความสามารถในการเดินทางถึงกันทั่วโลกในเวลาอันสั้นมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้โรคกระจายไปในบริเวณอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ล่าสุด MERS ซึ่งมีลักษณะคล้ายโรค SARS เมื่อ 11-12 ปีก่อน กำลังถูกควบคุมให้อยู่เพราะหากช้าไปอาจนำมาซึ่งความหายนะของชาวโลกได้อย่างมหาศาล

          SARS (Severe Acute Respiratory Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า coronavirus ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจจนอาจเสียชีวิตได้ การระบาดครั้งแรกเกิดขึ้นทางตอนใต้ของจีน มีคนป่วย 8,000 กว่ารายและตายเกือบ 800 ราย ใน 37 ประเทศโดยเฉพาะในฮ่องกง
MERS

          หรือ Middle East Respiratory Syndrome ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในซาอุดิอาระเบียในปี 2012 ผู้ป่วยมีอาการคล้าย SARS กล่าวคือคล้ายเป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ไข้สูง ฯลฯ ไวรัสที่เป็นต้นเหตุเป็นสายพันธุ์ coronavirus เช่นกัน

          เมื่อตอนปี 2012 ที่เปิดตัวครั้งแรกมีผู้ป่วยกว่า 700 ราย ใน 20 ประเทศ และตาย 250 คน ทุกกรณีล้วนเกี่ยวพันกับซาอุดิอาระเบียทั้งสิ้น ดังนั้นจึงได้รับเกียรติที่ไม่มีใครอยากได้คือตั้งชื่อตามโรค ตามประเทศ (อาหารไทยก็เคยได้รับเกียรติเช่นนี้มาแล้ว คือวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ซึ่งมีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้หลายประเทศมีปัญหาทางการเงินตามประเทศไทยซึ่งเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1997)

          การเกิดขึ้นอย่างลึกลับและรวดเร็วของ MERS ครั้งนั้นสร้างความงุนงงสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุ แต่ยังไม่ทันที่จะหาข้อสรุปได้ ก็เกิดการระบาดขึ้นมาอีกครั้งในกลางปี 2014 โดยศูนย์กลางอยู่ที่เมืองท่า Jidda บนริมฝั่งทะเลแดงใกล้กับเมือง Mecca ซึ่งมุสลิม 2-3 ล้านคนเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ เมืองสองที่รองมาในการระบาดก็คือ Riyadh เมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย

          ผู้อยู่ในวงการระบาดวิทยาระดับโลกต่างกังวลกับการระบาดอีกครั้งเป็นอย่างมากเนื่องจากอาจเชื่อมโยงกับคนจำนวนเป็นล้านคนที่จะกลับบ้านไปทั่วโลกหลังจากมาประกอบพิธีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเดือนตุลาคมเมื่อพิธีฮัจญ์เริ่มขึ้น อย่างไรก็ดีก็มีผู้เดินทางมาเมกกะอยู่ตลอดเวลา และ MERS ในหนนี้ได้ระบาดไปแล้วถึงอิหร่าน จอร์แดน การ์ต้า อียิปต์ คูเวต ฯลฯ ในอาเซียนก็ได้แก่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือแม้แต่อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา

          ณ ต้นเดือนมิถุนายน 2014 ตัวเลขคร่าว ๆ ของผู้ป่วย MERS รอบสองนี้ก็คือ 689 ราย ตาย 283 คน เฉพาะในซาอุดิอาระเบีย ตัวเลขในประเทศอื่น ๆ ยังไม่แน่ชัด ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกต้องการควบคุม MERS ให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะก่อนเดือนตุลาคม แต่การจะ “เอาอยู่” หรือไม่นั้นหนีไม่พ้นการค้นหาความจริงว่าอะไรคือสาเหตุของโรค

          สำหรับ SARS นั้นค้นหากันอย่างกว้างขวางและพอสรุปได้ว่ามาจากการบริโภคชะมดซึ่งเป็นพาหะของไวรัส คนจีนบางกลุ่มในบริเวณตอนใต้นิยมบริโภคชะมดเป็นอาหารพิเศษ (คนมีเงินในแถบเอเชียนิยมดื่มกาแฟที่นำมาจากเมล็ดกาแฟที่อยู่ในมูลของชะมด)

          เมื่อค้นหาย้อนหลังไปเพื่อตอบคำถามว่าแล้วไวรัสที่อยู่ในตัวชะมดมาจากไหน ก็พบหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามาจากค้างคาว ดังนั้นเส้นทางของ SARS ก็เริ่มจากค้างคาวสู่ชะมดและสู่มนุษย์ โดยติดกันระหว่างมนุษย์จากความใกล้ชิดของลมหายใจและการสัมผัสของเหลวจากร่างกายของคนป่วย

          เมื่อ SARS และ MERS มีที่มาจากไวรัสสายพันธุ์เดียวกัน การสืบสวนสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่มาของ MERS จึงง่ายกว่ากรณีการระบาดของ SARS ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น

          นักวิจัยพบว่าอูฐเป็นสาเหตุของ MERS และเป็นคำอธิบายว่าเหตุใด MERS จึงระบาดหนักในบริเวณที่เป็นวัฒนธรรมอิสลามซึ่งอูฐเป็นสัตว์ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านในแถบนั้นมากที่สุด

          การบริโภคเนื้ออูฐและนมอูฐดิบทำให้เกิดการสัมผัสกับไวรัสที่อยู่ในตัวอูฐที่ป่วย งานศึกษาพบว่าผู้ป่วยมักเกี่ยวพันกับอูฐหรือใกล้ชิดกับผู้มีประสบการณ์ดังกล่าว และเมื่อลงไปลึกก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าค้างคาวเป็นสาเหตุเหมือน SARS

          สิ่งที่ทำให้นักระบาดวิทยาระดับโลกกังวลก็คือพฤติกรรมของบุคลากรทางการแพทย์และ คุณภาพของโรงพยาบาลของซาอุดิอาระเบีย ตลอดจนความตั้งใจเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วย MERS ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการควบคุมให้อยู่หมัด

          โรงพยาบาลในซาอุดิอาระเบียดูจะเป็นแหล่งแพร่ไวรัส เพราะผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลตลอดจนบุคลากรในโรงพยาบาลเหล่านั้น

          หากตัวเลขที่เปิดเผยนี้เป็นจริง ผู้ป่วย MERS รายใหม่เริ่มมีจำนวนน้อยลง สิ่งที่พออุ่นใจก็คือถึงแม้มนุษย์จะติดเชื้อไม่ยากนักจากพาหะ แต่การแพร่ติดเชื้อจากคนสู่คนนั้นยากกว่ากรณีของ SARS

          การร่วมมือกันระหว่างประเทศในการเปิดเผยข้อมูลและความสามารถในการควบคุมโรคระบาดใหม่เป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมการระบาดออกไปในระดับโลก ในยุคที่มีโรคใหม่ ๆ ซึ่งเกิดจากไวรัส และโรคเก่าซึ่งกลับมาระบาดใหม่ดังเช่น Ebola ซึ่งน่ากลัวกว่าเป็นอันมากและกำลังระบาดอยู่ในอาฟริกาตะวันตกในขณะนี้ ความฉับพลันของการดำเนินการข้ามประเทศอย่างเป็นทีมคือหนทางของการแก้ไขปัญหา

สุหนัดหญิงแสนโหด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 กรกฎาคม 2557

          ครั้งนี้ผู้เขียนขออนุญาตเขียนเรื่องโหดสยองสำหรับสุภาพสตรี และอาจมีบางคำที่ฟังแล้วอาจสะดุ้ง เรื่องที่จะเขียนนี้เป็นเรื่องจริงที่ยังไม่เป็นที่ทราบกันกว้างขวางนัก และเชื่อว่าจะเป็นประเด็นขึ้นมาในโลกเพื่อแก้ไขสถานการณ์ของกลุ่มผู้หญิงที่แสนน่าสงสารในอนาคตอันใกล้

          หลังจาก Arab Spring หรือคลื่นการปฏิวัติโดยประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้นำเผด็จการซึ่งเริ่มที่ตูนิเซียในปี 2010 และลามไปอียิปต์ ลิเบีย เยเมน และการชุมนุมประท้วงของประชาชนอย่างกว้างขวางในบาเร็น ซีเรีย อัลจีเรีย อิรัก จอร์แดน คูเวต มอร๊อคโค ซูดาน ฯลฯ ผู้หญิงในโลกอาหรับจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอียิปต์เริ่มออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง

          ผู้หญิงอียิปต์กลุ่มนี้ออกมาเล่าให้โลกรู้ถึงการถูกข่มขืนเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยแก๊งชายฉกรรจ์กลาง Tahrir Square เมื่อออกมาชุมนุมประท้วงร่วมกันระหว่างปี 2011-2014 และยังถูกละเมิดทางเพศในลักษณะต่าง ๆ โดยชายร่วมชาติ

          ครั้นเมื่อผู้หญิงออกมาประท้วงเรื่องดังกล่าวในเวลาต่อมาก็ถูกจับไปหลายคนและถูกบังคับให้ทดสอบ “virginity test” (ตรวจสอบความเป็นสาวบริสุทธิ์) ในครอบครัวก็มีความรุนแรงถูก ตบตีโดยสามี ถูกข่มขืนโดยสามีเมื่อไม่เต็มใจหลับนอนด้วย และที่น่าตกใจก็คือเด็กผู้หญิงถูกครอบครัวบังคับให้ทำ “สุหนัดหญิง”

          “สุหนัดหญิง” หรือ Female Genital Mutilation (FGM) คือการตัดอวัยวะเพศหญิงบางส่วนหรือทั้งหมด กล่าวคือตัดหนังหุ้ม clitoris ตัว clitoris แคม หรือ labia ทั้งใหญ่และเล็ก และในกรณีรุนแรงสุดนั้นตัดหมดจดจนเหลือแต่ช่องคลอดและช่องปัสสาวะเท่านั้น

          FGM นี้มิใช่เรื่องทางศาสนาอิสลามแต่อย่างใด หากเป็นวาทกรรมทางวัฒนธรรมของ ชนกลุ่มน้อยในแถบตะวันออกกลาง อาฟริกาตอนเหนือ และบางส่วนของเอเชีย โดยสืบทอดประเพณีกันมายาวนานตามความเชื่อ

          FGM ของแต่ละกลุ่มก็รุนแรงแตกต่างกันออกไป บ้างก็ตัดออกไปทั้งหมด บ้างก็ตัดบางส่วน ที่รุนแรงสุดคือตัดทั้งหมดดังกล่าวแล้วซึ่งตรงกับคำว่า infibulation ในภาษาอังกฤษ บางกลุ่มก็ทำกับเด็กหญิงที่มีอายุไม่กี่อาทิตย์ บ้างก็ทำตอน 5 ขวบ และบ้างก็ทำก่อนเป็นสาว

          วิธีการตัดก็กระทำกันหลายลักษณะ มีทั้งตัดสด ใช้ยาชา และใช้ยาสลบ ส่วนใหญ่ใช้ใบมีดโกนที่ไม่มีการฆ่าเชื้อโดยหมอพื้นบ้านผู้ตัดอย่างชำนาญท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

          สาเหตุของ FGM ก็คือการมองว่าอวัยวะเพศหญิงเป็นสิ่งสกปรกและน่าเกลียด ตัดเพื่อไม่ต้องการให้มีความรู้สึกทางเพศใด ๆ โดยเชื่อว่าจะทำให้เป็นภรรยาที่จงรักภักดี อยู่ในโอวาทของสามี เป็นลูกสาวที่เลี้ยงง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นเครื่องช่วยประกันว่าเป็นสาวบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน อีกทั้งเชื่อว่าจะทำให้เกิดสุขอนามัยที่ดีอีกด้วย

          นักสังคมวิทยาที่ศึกษาพบว่าในกลุ่มชนเหล่านี้พ่อและแม่ตลอดจนญาติก็สนับสนุน FGM เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้หญิง (หญิงผู้ใหญ่ทุกคนก็ถูกทำมาแล้ว จึงไม่อยากให้มีกระต่ายหางไม่ด้วน?)

          FGM เป็นที่ทราบกันในโลกมากขึ้นในทศวรรษ 1980 ทั้ง ๆ ที่กระทำสืบทอดกันมายาวนานแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมามีความพยายามในระดับโลกที่จะทำให้ FGM เป็นสิ่งต้องห้าม ทั่วโลก และสามารถทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง โดยในปี 2012 ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติลงมติเป็น เอกฉันท์ให้ทุกประเทศทำทุกอย่างเพื่อหยุด FGM อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ดีในกลุ่มชนเหล่านี้ก็ยังคงมีการทำกันอยู่เพราะการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ

          ปัจจุบันมีเด็กและผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันกว่า 125 ล้านคนในอาฟริกาและตะวันออกกลางที่ผ่าน FGM ในจำนวนนี้มี 8 ล้านคนในเอธิโอเปีย โซมาเลีย และซูดานที่ประสบ FGM ขั้นรุนแรงสุด

          สถิติที่น่าตกใจของ UNICEF ก็คือมีเด็กและผู้หญิงที่ผ่าน FGM ในแต่ละประเทศเป็น ร้อยละดังนี้ โซมาเลีย ร้อยละ 98 อียิปต์ ร้อยละ 91 เอริเทรีย ร้อยละ 89 มาลี ร้อยละ 89 เซียร์ราลีโอน ร้อยละ 88 ซูดาน ร้อยละ 88 ฯลฯ

          ในกรณีของ FGM ทั้งหมดนั้นหนึ่งในห้าเป็นของอียิปต์ และในประเทศนี้หญิงอายุเกิน 15 ปี ที่ผ่าน FGM มีถึง 48 ล้านคนในประชากรทั้งหมด 86 ล้านคน ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า FGM ในกลุ่มประเทศอาหรับที่ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่นก็คืออียิปต์ และนี่คือคำอธิบายว่าเหตุใดหญิงในประเทศนี้จึงออกมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน

          ไม่มีใครรู้ว่า FGM เริ่มแต่เมื่อใด มีหลักฐานการอ้างถึง FGM ของผู้เดินทางไปอียิปต์ 45 ปีก่อนคริสตกาลว่าเป็นประเทศที่กระทำกันอย่างคึกคักกับทั้งเด็กชายและเด็กหญิง อย่างไรก็ดีจากการศึกษามัมมี่โดยนักวิชาการครั้งหนึ่งก็ไม่พบว่ามี FGM ชนิดตัดทิ้งทั้งหมดในอียิปต์โบราณ หลักฐานเช่นนี้จึงขัดแย้งกันจนหาข้อสรุปไม่ได้

          ในศตวรรษที่ 19 สูตินารีแพทย์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีการตัด clitoris (clitoridectomy) เพื่อรักษาหญิงที่ชอบสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองโดยเชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ

          Isaac Baker Brown ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1812-1873 เป็นสูตินารีแพทย์ และเป็น President ของ Medical Society of London บันทึกไว้ว่าการทำให้เกิด clitoris เกิดความระคายเคือง อย่างผิดธรรมชาติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคชักลมบ้าหมู และเป็นบ้าได้ ดังนั้นการตัด clitoris จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำและเขายืนยันว่าสมควรจะกระทำในทุกกรณีเช่นว่านี้

          ความมืดมนแห่งปัญญาของมนุษย์และความอ่อนแอทางร่างกายของหญิง ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถต่อสู้กับความอยุติธรรมทางสังคมได้อย่างแข็งขันจนต้องตกอยู่ในภาวะทนทุกข์ทรมานมาแสนนานและอาจอยู่ในสภาวะเช่นนี้ไปอีกนานหากชายประเภทที่มีแสงสว่างแห่งปัญญาและหญิงผู้หาญกล้าไม่ร่วมมือกันต่อสู้เพื่อแสวงหาความถูกต้องและยุติธรรมให้แก่เพศแม่ของเรา

สร้าง “สะพานเงินทอง” ให้แข็งแรง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1 กรกฎาคม 2557

          การเลี้ยงลูกกับการจัดการเงินทองเป็นสองเรื่องที่สำคัญมากในชีวิต แต่สองเรื่องนี้มีการเรียนการสอนกันในโรงเรียนน้อยมากจนต้องลองผิดลองถูกกันอยู่เสมอ ซึ่งสำหรับเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ไม่ควรต้องกระทำเยี่ยงนี้เป็นอย่างยิ่ง

          ความเข้าใจพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการจัดการเรื่องเงินทองเพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตก็คือเงินไม่ใช่ตัวความสุข หากเป็นพาหะ (means) ไปสู่เป้าหมายคือความสุข (ends)

          ถ้าเงินคือความสุขแล้ว เศรษฐีทุกคนต้องมีความสุข แต่เราก็รู้กันดีว่าเศรษฐีจำนวนมากทุกข์ใจจนต้องวิ่งไปหาพระ รดน้ำมนต์พ่นน้ำหมากกันอยู่ทุกวัน

          การมีเงินเป็นสะพานที่สำคัญไปสู่ความมั่นคงในชีวิต อีกทั้งสร้างความเป็นอิสระไม่ต้องอาศัยจมูกคนอื่นหายใจ การมีความสุขทางกาย การสามารถตามใจตนเองได้ ฯลฯ อย่างไรก็ดีชีวิตมนุษย์ยังมีอีกหลายสะพานที่จะประกอบกันนำไปสู่ความสุขในชีวิต เช่น การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น มิตรภาพ ครอบครัว ความสุขใจอันเกิดจากการได้ทำความดี การมีธรรมเป็นเกราะกำบัง การมีสุขภาพที่ดี ฯลฯ

          ถึงจะมีหลายสะพานประกอบกันจึงจะมีความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของสะพานเงินทองนี้อย่างแน่นอน สะพานนี้มีความสำคัญในระดับหนึ่งของการมีความสุขในชีวิต

          ข้อสังเกตแรกที่จะทำให้สะพานเงินทองนี้มีความแข็งแรงก็คือ “การหาเงินนั้นสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” ซึ่งหมายความว่าถึงแม้จะหาเงินได้มากเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่รู้จักควบคุมการใช้จ่ายแล้ว การหาเงินได้มากนั้นอาจไร้ความหมายไปก็ได้

          ลองจินตนาการว่าเรามีแท้งค์น้ำอยู่ใบหนึ่ง เงินที่หามาได้เปรียบเสมือนน้ำที่ไหลเข้า ส่วนช่องไหลออกของแท้งค์น้ำก็คือการใช้จ่าย ปริมาณการไหลเข้าไหลออกของน้ำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมีความสำคัญ ถ้าปริมาณน้ำไหลเข้ามีมากกว่าปริมาณน้ำไหลออก ก็จะมีน้ำเหลืออยู่ในถัง ซึ่งเปรียบเสมือนมีเงินออมนั่นเอง

          แต่ถึงแม้จะมีรายได้มาก (ปริมาณน้ำไหลเข้าถังมาก) แต่ถ้าใช้จ่ายเงินเป็นกระเฌอก้นรั่ว กล่าวคือใช้จ่ายเงินราวกับพิมพ์ธนบัตรได้เองแล้ว (ปริมาณน้ำไหลออกมากเช่นกัน) ก็จะไม่มีน้ำเหลือในถังซึ่งก็คือไม่มีเงินออมนั่นเอง

          ในทางตรงกันข้ามถ้ามีรายได้ไม่มาก (ปริมาณน้ำไหลเข้าถังน้อย) และรายจ่ายก็ไม่มากอีกด้วย (ปริมาณน้ำไหลออกน้อย) กล่าวคือน้อยกว่ารายได้ อย่างนี้ก็อาจมีปริมาณน้ำเหลือในถัง ซึ่งหมายความว่ามีเงินออมเกิดขึ้น

          กล่าวโดยสรุปก็คือกรณีแรกหาเงินได้มากและใช้ไปมากเช่นเดียวกัน จึงไม่มีเงินออม กรณีที่สองหาเงินได้ไม่มากนัก แต่ใช้จ่ายน้อยกว่าจึงมีเงินออม

          ลองจินตนาการว่าถ้าน้ำไหลเข้าถังโครม ๆ และไหลออกน้อย จะเกิดเงินออมขึ้นมากมายอย่างไร

          ข้อสังเกตที่สองก็คือเงินออมอันเป็นผลพวงของรายได้และรายจ่ายคือหัวใจของการสร้างความมั่งคั่งในอนาคตซึ่งเป็นฐานสำคัญของสะพานเงินทอง ถ้าไม่มีเงินออมก็เลิกพูดกันได้เลยถึงความมั่งคงทางการเงินในอนาคต

          การพูดว่าให้ออมเงินนั้นมันพูดง่ายแต่ทำได้ยาก เพราะในสภาพที่รายได้ไม่เปลี่ยนแปลง การใช้จ่ายจึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเงินออม และการใช้จ่ายนั้นผูกโยงกับเรื่องของนิสัยใจคอและพฤติกรรมของผู้คน เงินออมจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นง่ายโดยธรรมชาติ

          งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์พบว่า ‘การออมแบบบังคับ’ เป็นหนทางที่ช่วยให้เกิดการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการใช้จ่ายเงินทองไปตามปกติและเก็บส่วนที่เหลือเป็นเงินออม

          เมื่อผ่อนซื้อบ้าน รถยนต์ หรือที่ดิน เงินที่จ่ายไปทุกเดือนก็คือ ‘การออมแบบบังคับ’ เช่นเดียวกับการสั่งให้ธนาคารที่มีบัญชีรับเงินเดือนของเราหักเงินเป็นรายเดือนเข้าบัญชีออมต่างหาก การกระทำเช่นนี้ก็จะทำให้เกิดเงินออมขึ้นได้

          ดังกล่าวแล้ว เงินออมเกิดขึ้นได้เพราะมีรายได้มากกว่ารายจ่ายในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าไม่สามารถตัดทอนรายจ่ายลงได้ และต้องการมีเงินออม ก็จำเป็นต้องเพิ่มรายได้

          อย่างไรก็ดีในความเป็นจริง การตัดทอนรายจ่ายลงในสถานการณ์ที่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นนั้นกระทำได้ยาก การตัดทอนรายจ่ายนั้นสามารถกระทำได้ตราบที่สามารถแยกแยะระหว่าง want (ความอยาก) และ need (ความต้องการที่จำเป็น)

          ปัจจัยสี่เป็นความต้องการที่จำเป็น ในขณะที่ความปรารถนาครอบครองกระเป๋าถือ รุ่นใหม่คือความอยาก ถ้าใช้จ่ายเงินซื้อความอยากอยู่บ่อย ๆ อย่างไม่อาจบังคับใจตนเองได้แล้ว การใช้จ่ายก็ย่อมสูงเป็นธรรมดา

          การกระทำแบบเดิม ๆ โดยคาดหวังว่าจะมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้ารายได้ไม่เพิ่มสูงขึ้น การออมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตัดทอนรายจ่ายลงเท่านั้น

          ข้อสังเกตที่สาม เงินออมคือตัวรับใช้สำคัญในการสร้างกระบวนการเงินต่อเงินไปในอนาคต กล่าวคือสามารถนำเงินออมไปลงทุนไม่ว่าจะเป็นกองทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สิน ที่ดิน ฯลฯ เพื่อให้เกิดรายได้ และนำรายได้ในลำดับ “ลูก” เช่นนี้ไปลงทุนต่ออีกทอดหนึ่ง จนได้ผลตอบแทนในลำดับ “หลานปู่หลานตา” และต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต จนได้รับความมั่นคงทางการเงินในอนาคตในที่สุด

          การควบคุมจัดการพฤติกรรมของตนเองในการขยันขันแข็งทำมาหากิน และโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเรื่องการใช้จ่าย เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างเงินออม ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต