เรื่องอื้อฉาวในฟุตบอลโลก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 มิถุนายน 2557

          ฟุตบอลโลก 2014 เริ่มแล้วที่บราซิลท่ามกลางความตื่นเต้นเร้าใจของกีฬาฟุตบอลที่คนกว่าครึ่งโลกจะเฝ้าดู มีหลายเรื่องของมหกรรมกีฬาครั้งนี้ที่อื้อฉาวจนน่านำมาบอกเล่ากัน

          บราซิลจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ 84 ปี ของการจัดฟุตบอลโลกหลังจากครั้งแรกในปี 1950 ณ สนามกีฬา Maracanã เดียวกันนี้ ในครั้งนั้นบราซิลแพ้อุรุกวัยในรอบชิงชนะเลิศไปอย่างน่าเสียดาย

          เรื่องแรกก็คือ การประท้วงของคนบราซิลจำนวนหนึ่งผู้ไม่พอใจที่มีการจัดครั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าควรนำเงิน 450,000 ล้านบาทที่รัฐบาลบราซิลต้องจ่ายไปใช้ในทางอื่นที่เป็นประโยชน์กว่าสำหรับคนบราซิลยากจนจำนวนมากในประเทศที่มีประชากรประมาณ 200 ล้านคน และมีพื้นที่ 8 ล้านตารางกิโลเมตร (16 เท่าของประเทศไทย)

          นอกจากนี้ยังมีพนักงานของสหภาพขนส่ง เช่น พนักงานรถใต้ดินที่นัดหยุดงานในเมืองใหญ่สุด คือ São Paulo เพื่อขึ้นค่าแรงและต้องการให้ลามไปเมืองอื่น ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้ในหลายเมือง

          การเตรียมงานฟุตบอลโลกแต่ละครั้งใช้เวลาและเงินจำนวนมาก FIFA ซึ่งเป็นองค์การกำกับดูแลการจัดการแข่งขันฟุตบอลของโลก ได้ลงมติตัดสินให้รัสเซียเป็นเจ้าภาพในปี 2018 และ การ์ต้าในปี 2022 ไปแล้ว แต่ความวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นจากแรงกดดันภายนอกให้ทบทวนการตัดสินใจที่การ์ต้าใหม่

          เรื่องที่สองคือ เมฆดำปกคลุมการทำงานของ FIFA ในด้านการกำกับดูแลให้เกิดความโปร่งใสสุจริตในการตัดสินการแข่งขัน สื่อต่างประเทศเช่น หนังสือพิมพ์ The New York Time ลงรายงานลับของ FIFA ที่ระบุว่ามีการ “ซื้อ” ผู้ตัดสินเพื่อให้ผลการแข่งขันเป็นไปตามที่เจ้าพ่อวงการพนัน ใต้ดินที่อยู่ที่สิงคโปร์และมาเลเซียต้องการในหลายแมทช์ของการแข่งขัน

          รายงานระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนในแมทช์มิตรภาพระหว่างกัวเตมาลากับอาฟริกาใต้ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่แล้วที่อาฟริกาใต้ ผู้ตัดสินถูก “ซื้อ” ไปด้วยราคา 100,000 เหรียญสหรัฐ จนอาฟริกาใต้ชนะ 5-0 แบบขาดลอย การรู้ผลล่วงหน้าของประตูที่ชนะแตกต่างกัน ขนาดนี้ทำให้บรรดาเจ้าพ่อผู้จ้างได้เงินไปมากมาย

          Europol ซึ่งเป็นองค์การข่าวกรองตำรวจของ EU ระบุว่าระหว่าง ค.ศ. 2008-2011มี 680 แมทช์ที่น่าสงสัยว่าจะมีการ “กำหนดผลล่วงหน้า” โดยเจ้าพ่อวงการพนันในการแข่งขันของลีกชั้นนำหลายแห่งของยุโรป ตลอดจนในการแข่งขันคัดเลือกทีมเข้าไปแข่งขันฟุตบอลโลก

          ยิ่งไปกว่านั้นมีการพบว่าในปี 2011 มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติ Bulgaria, Estonia, Latvia และ Turkey โดยเจ้าพ่อดังกล่าวเพื่อต้มตุ๋นนักพนันทั่วโลก การแข่งขันครั้งนั้นไม่มีคนดู ไม่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ แต่มีแต้มต่อพนันในแวดวงพนันระดับโลกโดยเจ้ามือรู้หมดว่าใครจะชนะเท่าใด

          เชื่อกันว่าในการแข่งขันใดที่มีคนสนใจมาก มียอดการพนันสูง (คาดว่าฟุตบอลโลก ครั้งนี้เฉลี่ยมีการพนันทั่วโลกประมาณ 1,000 ล้านเหรียญต่อคู่) เจ้าพ่อก็จะเข้าไปแทรกแซงโดยหาก ไม่ “ซื้อ” ผู้ตัดสินก็ “ซื้อ” ผู้เล่นบางคนเพื่อให้ผลการแข่งขันเป็นไปตามที่ต้องการ การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็เช่นกันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดพฤติกรรมเช่นนี้ขึ้นในหลายคู่การแข่งขัน

          สื่อรายงานว่าในปี 2010 มีการจ้างทีมชาติอัลซาวาดอร์ทั้งทีม ‘ล้มฟุตบอล’ ในแมทช์ที่แข่งขันกับทีมชาติสหรัฐอเมริกาและกับทีม D.C.United ที่สหรัฐอเมริกา ในที่สุดนักกีฬาก็ถูกไล่ออกและห้ามลงแข่งขันตลอดชีพ

          อย่างไรก็ดีมิใยที่จะมีรายงานว่ามีการทุจริตผิดปกติเกิดขึ้นในการแข่งขันจำนวนหลายแมทช์ มีชื่อผู้กระทำผิดชัดเจน แต่ FIFA ภายใต้การนำของนาย Sepp Blatter ก็ไม่เคยลงโทษใครเลย

          ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือพิมพ์ Sunday Times ของอังกฤษรายงานก่อนการเริ่มแข่งขัน 12 มิถุนายน 2557 ไม่กี่วันว่าการตัดสินให้การ์ต้าเป็นเจ้าภาพในปี 2022 มีการทุจริตเกิดขึ้น มีหลักฐานว่ามีการใช้เงินกว่า 5 ล้านเหรียญติดสินบนกรรมการบริหารของ FIFA เพื่อให้เลือกการ์ต้าเหนือคู่แข่งคือเกาหลี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ทั้ง ๆ ที่การ์ต้ามีอากาศร้อนจนต้องเลื่อนวันแข่งขันจากปกติในเดือนมิถุนายนเป็นธันวาคมเพื่อหลีกหนีความร้อน มีข่าวว่า FIFA อาจต้องทบทวนยกเลิกการให้การ์ต้าเป็นเจ้าภาพหลังจากมีข่าวไม่เป็นมงคลออกมามากมาย

          เรื่องที่สามคือความเป็นเต่าล้านปีของ FIFA ในการตัดสิน ใครที่ดูฟุตบอลจะรู้สึกรำคาญที่ไม่เคยรู้ว่าเมื่อใดจะหมดเวลา พอใกล้หมดเวลาก็จะเห็นคนชูป้ายไฟฟ้าว่าต่ออีกกี่นาที ทั้งหมดนี้ต่างจากบาสเก็ตบอล รักบี้ และอเมริกันฟุตบอล ที่คนดูรู้แน่นอนว่าเหลือเวลาอีกเท่าใด ในกีฬานี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้ตัดสินเพียงคนเดียว

          ทำไมถึงไม่แสดงเวลาให้คนทั่วสนามเห็นกันชัด ๆ ถ้ามีคนเจ็บก็กดให้นาฬิกาหยุดเดิน พอเริ่มแข่งก็ให้นาฬิกาเดินใหม่ หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องมาปวดหัวเพิ่มเวลาบาดเจ็บจนน่ารำคาญเพราะไม่รู้ว่ามีเวลาเหลือจริงเท่าใด นอกจากนี้ก็แทบไม่มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เลย เทนนิสเขาก็เลิกทะเลาะกันเรื่องลูกออกหรือไม่ออกไปแล้วเพราะมีเทปโทรทัศน์ให้ดูยามสงสัย รักบี้ก็มีคนดูเทปโทรทัศน์จากกล้องในแง่มุมต่าง ๆ อยู่ข้างบนยามเมื่อผู้ตัดสินไม่แน่ใจ และก็ให้คำแนะนำลงมาให้ผู้ตัดสิน

          ในกีฬาฟุตบอลผู้ตัดสินต้องตัดสินใจว่าลูกเข้าประตูหรือไม่ มีลูกโทษเกิดขึ้นหรือไม่ มีการล้ำหน้าหรือไม่ ฯลฯ ภายในเวลา 2-3 วินาที และถือว่าการตัดสินเป็นเด็ดขาด พฤติกรรม เต่าล้านปีเช่นนี้จึงเหมาะสมที่จะ “ซื้อ” กรรมการเป็นที่สุด ล่าสุดมีข่าวว่าจะใช้เทคโนโลยีที่ตัดสินว่าลูกเข้าประตูหรือไม่ และใช้สเปรย์สีขาวพ่นบนสนามหญ้าเพื่อให้อีกทีมถอยไปไม่ต่ำกว่า 10 หลาเมื่อมีฟรีคิก สีนี้จะละลายหายในเวลาไม่กี่นาที แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ตัดสินในแต่ละแมทช์ว่าจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้หรือไม่

          หากใครสงสัยการตัดสินประหลาด ๆ ของกรรมการ หรือผู้เล่นในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้เราก็พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้ายังมีใครที่เล่นพนันฟุตบอลโลกด้วยเงินมาก ๆ ภายใต้บริบทที่กล่าวมา เราก็คงจะเข้าใจได้ยากเหมือนกัน

          ความโลภกับความเขลามักเดินทางไปด้วยกันเสมอ
 

ครบ 70 ปี D-Day

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 มิถุนายน 2557

          D-Day หรือวันที่ฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองยกพลขึ้นบกครั้งใหญ่ที่ Normandy ได้เวียนมาบรรจบครบ 70 ปี ลองมานึกทบทวนกันว่ามันมีเรื่องราวอย่างไรในสงครามซึ่งโลกต้องสูญเสียไปกว่า 70 ล้านชีวิต

          สงครามโลกครั้งที่สองดำเนินอยู่ในช่วงเวลา ค.ศ. 1939 ถึง 1945 (6 ปีกับ 1 วัน) สำหรับด้านยุโรปฝ่ายอักษะเป็นผู้เริ่มสงครามโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ผู้นำของเยอรมันบุกยึดประเทศ ต่าง ๆ ในยุโรป อังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามคือฝ่ายพันธมิตรตอบโต้โดยในที่สุดได้กลายเป็นสงครามที่ผู้คนกว่า 100 ล้านคนจากกว่า 30 ประเทศเกี่ยวพัน มัน

          เป็นการต่อสู้ฆ่าฟันกันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตัวละครทั้งหลายทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีในทุกด้านเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายอย่างไม่มีการลดราวาศอก

          ในด้านเอเชีย ญี่ปุ่นรุกรานเอเชียและหมู่เกาะปาซิฟิกโดยรบกับจีนมาตั้งแต่ 1937 และถือว่าร่วมสงครามโลกอย่างแท้จริงเมื่อญี่ปุ่นบุกโจมตีอ่าว Pearl Harbor ที่ฮาไวซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม 1941 พร้อมกับบุกยึดดินแดนเอเชียไปทั่วรวมทั้งไทยด้วย

          ในช่วงแรกของสงครามคือ 1939-1941 เยอรมันจับมือกับอิตาลียึดครองพื้นที่ยุโรปอย่างกว้างขวาง เยอรมันกับสหภาพโซเวียตแบ่งดินแดนในยุโรปกันครอบครอง มีเพียงอังกฤษและประเทศในจักรภพอังกฤษเท่านั้นที่ต่อสู้กับการบุกรุกของเยอรมันโดยทำการรบในอาฟริกาเหนือและในทะเลกับเยอรมัน

          เหตุการณ์ผันผวนเมื่อสัมพันธ์ภาพระหว่างเยอรมันกับสหภาพโซเวียตขาดสะบั้นลงเมื่อ เยอรมันบุกสหภาพโซเวียตในปี 1941 ซึ่งประสบกับการตอบโต้กลับอย่างหนักหน่วง และหลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นหลังการถูกโจมตีแบบสายฟ้าแลบที่ Pearl Harbor ในปี 1941 ฝ่ายพันธมิตรก็เข้มแข็งขึ้นทันทีเพราะประกอบด้วย 3 ประเทศใหญ่คือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพโซเวียต โดยตระหนักดีว่าการจะรบชนะเยอรมันได้เด็ดขาดก็โดยการบุกเข้าโจมตีเมืองหลวงของเยอรมันคือเบอร์ลินให้ราบคาบ

          เยอรมันนั้นอยู่ติดทะเลเหนือ (มีอังกฤษ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฯลฯ อยู่ชายฝั่ง) อยู่ติดทะเลบอลติก (สวีเดน โปแลนด์ ฯลฯ อยู่ชายฝั่ง) และอยู่ติดกับฝรั่งเศสทางตะวันออก ซึ่งฝรั่งเศสนั้นตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกโดยมีพื้นที่ฝั่งทะเลที่กว้างขวาง ไม่เป็นหน้าผาชันเหมาะแก่การยกพลขึ้นบกเพื่อผ่านไปเยอรมัน

          ขณะที่สหรัฐอเมริการบกับญี่ปุ่นในเอเชีย ฝ่ายพันธมิตรก็วางแผนกันในกลางปี 1943 ที่จะยกพลขึ้นบกโดยพิจารณาเป้าหมายซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของฝรั่งเศส ซึ่งไม่ห่างจากฝั่งอังกฤษ เพียงข้ามช่องแคบอังกฤษก็ขึ้นฝั่งฝรั่งเศสและสามารถบุกลุยเข้าถล่มกรุงเบอร์ลินซึ่งเป็นฐานของฮิตเลอร์ได้

          ปัญหาสำคัญคือทำอย่างไรไม่ให้เยอรมันรู้ว่าจะยกพลขึ้นบกที่จุดใด เพราะฮิตเลอร์ก็คาดเดาได้ว่าจะมีการยกพลขึ้นบกบริเวณแนวชายฝั่งบริเวณนั้น ฝ่ายพันธมิตรจึงวางแผน “ลับ ลวง พราง” ให้เยอรมันเข้าใจสถานการณ์ที่ผิดพลาดก่อนถึงวันยกพลขึ้นบกจริง ซึ่งตั้งใจว่าจะเป็นประมาณกลางปีของ ค.ศ. 1944 หลังจากสะสมสรรพกำลังและกระทำการ ‘ลับ ลวง พราง’ ได้สำเร็จ

          Normandy แคว้นหนึ่งของฝรั่งเศสเป็นเป้าหมายเพราะมีหาดที่เหมาะสมตั้งอยู่ ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ว่า Normandy Invasion มีชื่อทางทหารว่า Operation Overlord คำว่า D-Day ในทางทหารหมายถึงวันลงมือปฏิบัติการ คนทั่วไปมักเรียกเหตุการณ์ยกพลขึ้นบกครั้งนั้นว่า D-Day ซึ่งถือกันว่าเป็น D-Day ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุดและเป็นก้าว สำคัญของการชนะสงครามในยุโรป และสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด

          เป้าหมายของการยกพลขึ้นบกคือ 5 หาดของ Normandy ซึ่งกินระยะทางยาว 80 กิโลเมตร ฝ่ายพันธมิตรใช้กำลังรวม 1.3 ล้านคน ระหว่าง 6 มิถุนายน–24 กรกฎาคม 1944 ในขณะที่ฝ่ายป้องกันคือเยอรมันใช้ทหารเพียง 380,000 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน

          กำลังพลที่ใช้เพื่อบุกขึ้นบกของฝ่ายพันธมิตรคือทหาร 156,000 คน บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 12,000 คน และตาย 4,414 คน ฝ่ายเยอรมันใช้ทหาร 50,000 คน บาดเจ็บประมาณ 4,000-9,000 คน (ไม่ทราบจำนวนตาย) สาเหตุที่ฝ่ายเยอรมันใช้ทหารน้อยก็เนื่องจากถูกหลอกอย่างสนิทใจว่าจะมีการยกพลขึ้นบกที่จุดอื่น

          ฝ่ายพันธมิตรหลอกได้สำเร็จด้วยการตั้งโครงการหลอกลวงขึ้นมาโดยเฉพาะเรียกว่า Operation Bodyguard สาเหตุที่ทำได้สำเร็จก็เนื่องจากความก้าวหน้าในด้านข่าวกรองและจารกรรมของฝ่ายพันธมิตร สามารถถอดสัญญาณลับของการสื่อสารระหว่างหน่วยทหารของเยอรมันโดยกองทัพนาซีไม่รู้ นอกจากนี้งานจารกรรมใต้ดินของฝ่ายพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยพลเมืองของชาติ ต่าง ๆ ที่ถูกยึดครองก็ทำงานได้ผล

          ฝ่ายพันธมิตรสามารถประเมินได้ว่าข่าวลวงที่ปล่อยไปว่าจะยกพลขึ้นบกในบริเวณทาง ใต้ของฝรั่งเศส นอร์เวย์ หรือ Pas de Calais นั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด ประเด็นสำคัญก็คือการลวงให้เข้าใจผิดว่าการยกพลขึ้นบกทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปจะกระทำหลังจากวันจริงอีกหลายวัน

          เมื่อ D-Day มาถึง ทหารเยอรมันที่ต่อต้านจึงมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาก การโยกย้ายทหารมาจากจุดอื่นที่กระจายกันอยู่ทั่วชายฝั่งฝรั่งเศสเพื่อรับมือก็กระทำได้ช้าไม่ทันกับการบุกทะลวงของฝ่ายพันธมิตรซึ่งก่อนหน้ายกพลขึ้นบกก็มีทหารหน่วยพลร่มสอดแนมจำนวนมากเข้าไปเตรียมการไว้แล้ว นอกจากนี้ขณะยกพลขึ้นบกก็มีการโจมตีทางอากาศอย่างหนักนำร่องเพื่อช่วยไม่ให้ฝ่ายป้องกันตั้งตัวได้ทัน อีกทั้งยังมีกำลังเสริมตามมาอีกมากมาย

          ผู้ร่วมเหตุการณ์ D-Day ครั้งนั้นมีความกล้าหาญเป็นอันมากเพราะชายหาดเต็มไปด้วยกับระเบิด ขวากหนาม แท่งซีเมนต์กีดขวาง คลื่นลมแรง ยากต่อการขึ้นบกของเรือครึ่งบก ครึ่งน้ำ ชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรในการขึ้นบกครั้งนั้นทำให้สามารถรุกคืบยึดดินแดนฝรั่งเศสกลับคืนมาและบุกเข้าไปในดินแดนเยอรมันจนเผด็จศึกสำเร็จได้ ทั้งหมดใช้เวลาหลังจาก D-Day ประมาณ 11 เดือน

          ขอคารวะความกล้าหาญของผู้สู้รบในเหตุการณ์ครั้งนั้นซึ่งทำให้เกิดสันติภาพและมีผลกระทบต่อสงครามในเอเชียในเวลาอีกประมาณ 4 เดือนต่อมาคือในวันที่ 2 กันยายน 1945 เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม และสันติสุขก็กลับคืนมาสู่โลกและดินแดนไทยอีกครั้ง

Drone มีประโยชน์และโทษ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
10 มิถุนายน 2557

          เครื่องบินชนิดไม่มีคนขับหรือ Drone เป็นที่รู้จักกันทั่วว่าเป็นอาวุธร้ายในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลางในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีบทบาทที่น่ารักของ Drone ก็มีอยู่เช่นกัน

          Drone มีชื่อเป็นทางการว่า UAV (Unmanned Aerial Vehicle) หมายถึงเครื่องบินที่ไม่มีมนุษย์เป็นผู้ขับ การบังคับการบินเป็นไปโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่ใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์บนเครื่อง หรือโดยนักบินที่อยู่บนพื้นดิน

          ความคิดที่จะใช้เครื่องบินไม่มีคนขับบอมบ์โจมตีศัตรูเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตคนขับมีมานานแล้ว ในกลางศตวรรษที่ 19 ในการรบระหว่างออสเตรียกับอิตาลีก็มีแนวคิดที่จะขนระเบิดใส่ลูกบัลลูนให้ลอยไปตกในแดนศัตรู

          ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) มีการใช้ UAV ซึ่งพัฒนาในขั้นแรกเพื่อการรบแต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพนัก ต่อมามีการพัฒนา UAV ขึ้นเป็นลำดับ และมีการใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ใช้ UAV หลายลักษณะเช่นสังเกตการณ์ ทิ้งระเบิด จารกรรม ฯลฯ แต่ก็ยังไม่ทรงอานุภาพอยู่ดี

          การพัฒนา UAV อย่างจริงจังเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1959 โดยกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา และใช้กันจริงจังมากขึ้นระหว่างสงครามเวียดนามโดยเฉพาะในการบินสังเกตการณ์ซึ่งถูกยิงตกไปทั้งหมด 554 ลำ แต่การใช้ Drone เป็นอาวุธดังเช่นปัจจุบันก็ยังไปไม่ถึง

          หลังเหตุการณ์ 9/11 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็หันมาพัฒนา UAV มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พัฒนาโดย CIA เพื่อล่าล้างแค้นผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานและปากีสถาน การพัฒนาด้านโทรคมนาคมและ IT อันนำไปสู่การใช้อุปกรณ์ที่ผนวกโทรศัพท์เข้ากับคอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวางทำให้การค้นหาเป้าโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ Drone เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ผู้นำของกลุ่มผู้ก่อการร้ายบางคนถูก Drone วิ่งเข้าใส่บ้านขณะกำลังใช้โทรศัพท์อยู่ มีรายงานว่า Osama bin Laden มีโทรศัพท์มือถือหลายเครื่อง หากใช้เสร็จหลังจากพูดสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีก็ทำลายทิ้งทันทีเพราะรู้ว่า Drone ลำเล็กอาจวิ่งเข้ามาทางหน้าต่างได้

          การพบ Osama bin Laden หลังจากค้นหามาหลายปีได้ก็เพราะบทบาทของ Drone ที่บินสังเกตการณ์เหนือบ้านพักต้องสงสัยในเมือง Abbottabad ในปากีสถาน และเห็นภาพคนตัวสูงผิดสังเกตซึ่งเข้าลักษณะของเป้าหมายเดินอยู่ในบริเวณบ้าน ถึงทางการสหรัฐอเมริกาจะไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็น Bin Laden ก็ตามแต่ก็กล้าเข้าบุกเพราะมีผังภาพของบ้าน รูปถ่ายประตูออกดาษฟ้าและหน้าต่างจาก Drone เป็นตัวประกอบสำคัญในการตัดสินใจ

          Drone ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กเท่ามอเตอร์ไซต์และขนาดใหญ่เท่ากับรถยนต์นั่ง มีสมองกลและอุปกรณ์การบินเหมือนเครื่องบิน มี “ตาทิพย์” ที่พยายามจับคู่ภาพเป้าหมายที่ได้ถ่ายมาก่อนแล้วกับภาพจริงที่ปรากฏข้างหน้า หากเหมือนกันก็จะวิ่งเข้าสู่เป้า หรือไม่ก็วิ่งเข้าสู่แหล่งปล่อยสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากโทรศัพท์มือถือ

          การโจมตี Drone ไม่แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์จนก่อให้เกิดปัญหาข้างเคียง มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เป้าหมายถูกระเบิดล้มตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่บ่อย ๆ อย่างน่าสมเพช สื่อวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ Drone ในการทำสงครามดังกล่าวอยู่มาก

          อย่างไรก็ดีอีกฟากหนึ่งของการพัฒนา Drone คือการนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างสรรค์มากกว่าทำลายชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง เช่น งานตำรวจ การดับเพลิง งานความมั่นคง การตรวจสอบท่อน้ำหรือน้ำมัน ฯลฯ และล่าสุดในการถ่ายภาพนอกสถานที่

          ปัจจุบันมีการผลิต Drone ลำเล็กมาก สามารถบังคับโดยโทรศัพท์มือถือออกมาขายในสหรัฐอเมริกาในราคาประมาณ 10,000 บาท Drone ลำนี้จะบินขึ้นไปเพื่อถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอกลางแจ้ง โดยสามารถบังคับให้บินสูงต่ำได้

          จากประสบการณ์ของผู้ใช้มีเสียงพูดตรงกันว่าเยี่ยมยอดสำหรับการบันทึกภาพของการไปเที่ยวของครอบครัวกลางแจ้ง หรือเหตุการณ์สำคัญ (การชุมนุมใหญ่ที่ผ่านไปมี Drone ของสื่อ บินถ่ายภาพอยู่เนือง ๆ)

          ปัญหาก็คือการบังคับให้บินไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมของการถ่ายภาพ เนื่องจาก ผู้บังคับอยู่ในระดับพื้นดินจึงไม่อาจทราบได้ชัดเจนว่าจุดใดจะสามารถรับภาพได้ดังประสงค์ที่สุด นอกจากนี้ความสามารถในการบังคับ Drone ไม่ให้วิ่งชนต้นไม้หรืออาคารก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

          Drone ถ่ายภาพพัฒนาขึ้นทุกที สามารถบินเชื่อมโยงกับระบบ GPS โดยสามารถบังคับให้บินวนอยู่ตำแหน่งเดิมได้ อย่างไรก็ดีกระทำได้ในเวลาต่ำกว่า 30 นาทีของอายุแบตเตอรี่ และความสูงที่ต่ำกว่า 50 เมตร

          การเกิดขึ้นของ Drone ในชีวิตประจำวันที่มีประสิทธิภาพจำนวนมากทำให้เกิดปัญหาการล้ำสิทธิ คนจำนวนมากไม่พอใจที่ Drone บินผ่านบ้านตนเองซึ่งอาจถ่ายทอดหรือบันทึกภาพความเป็นส่วนตัวภายในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัย

          Drone ตกได้ไม่ยากเมื่อมีลมหรือฝนแรง หรือการบังคับผิดพลาด การตกลงมาจนเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินผู้อื่นเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก และอาจเป็นอันตรายต่อการบินของเครื่องบินต่าง ๆ ได้

          Drone มีประโยชน์ในการตรวจการณ์ความผิดปกติ เช่น จี้ปล้น ไฟไหม้ การก่อการร้าย และสันทนาการ ตลอดจนการสงครามต่าง ๆ แต่ก็ต้องคำนึงถึงด้านลบของการใช้ด้วย

          ทางการสหรัฐอเมริกาห้าม Drone ของประชาชนบินสูงกว่า 20 เมตร ห้ามข้ามบ้านหรืออาคารของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต ห้ามบินใกล้สนามบินโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัจจุบันเมือง ต่าง ๆ ก็ออกกฎควบคุมการใช้ Drone เพื่อป้องกันความเสียหาย

          Drone ของทหารก่อให้เกิดความหวาดหวั่นว่าบ้านใครและชีวิตใครก็อาจถูกทำลายโดยไม่รู้ตัวได้ แม้แต่พลเมืองของประเทศเดียวกันเอง ส่วน Drone ของประชาชนก็มีประโยชน์มากมาย แต่ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้มากมายหากไม่ระมัดระวัง

          ทุกสิ่งมีประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็มีโทษ การสร้างกฎกติกาเพื่อหาความสมดุลระหว่างประโยชน์และโทษเป็นประเด็นสำคัญของทุกสังคม

เรียกค่าไถ่เด็กหญิงไนจีเรีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
3 มิถุนายน 2557

          เหตุการณ์จับเด็กหญิง 276 คน ไปจากโรงเรียนโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายในไนจีเรียเพื่อเอาไปขายเป็นทาสหรือเป็นภรรยาสะเทือนใจคนทั้งโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายบอกว่าเด็กหญิงเหล่านี้ก็ไม่สมควรจะไปโรงเรียนเรียนหนังสืออยู่แล้ว

          เมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน 2014 กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธโจมตีโรงเรียนมัธยมหญิงในหมู่บ้าน Chibok ประเทศไนจีเรีย โดยฆ่าทหารและผู้คุ้มกัน จับตัวเด็กหญิงขนขึ้นรถและหายไป

          ถึงแม้กลุ่ม Boko Haram ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธอาละวาดฆ่าฟันผู้คนในบริเวณนั้น จะไม่ออกมารับว่าเป็นผู้ทำแต่ก็รู้กันไปทั่วว่าเป็นผลงานของใครเนื่องจากกลุ่มนี้ใช้โรงเรียนเป็นเป้าหมาย ตั้งแต่ปี 2010 โดยฆ่านักเรียนมาแล้วเป็นร้อย ๆ คน

          สาเหตุที่ Boko Haram กระทำสิ่งชั่วร้ายนี้ก็เพราะ Boko Haram ในภาษา Hausa ของแถบนั้นหมายถึง “การศึกษาแนวตะวันตกเป็นสิ่งต้องห้าม” เหตุที่เชื่อเช่นนี้ก็เพราะสมาชิกเป็นมุสลิมโบราณชนิดหัวรุนแรง กล่าวคือเชื่อว่ากิจกรรมเศรษฐกิจและสังคมที่เกี่ยวพันกับความคิดตะวันตกทั้งหมดเป็นสิ่งต้องห้าม เช่น การลงคะแนนเลือกตั้ง ใส่เสื้อเชิ้ต นุ่งกางเกง รับการศึกษา ฯลฯ

          สังคมไนจีเรียรู้จัก Boko Haram ดี และระอากับกลุ่มนี้มานานพอควร ความคิดต่อต้านการศึกษาตะวันตกในบางกลุ่มของประชาชนที่ปัจจุบันมีจำนวน 175 ล้านคน (ใช่ครับ 175 ล้านคน) มีมานานแล้ว Boko Haram เป็นกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดเช่นนี้เพียงแต่ว่าเป็นกลุ่มที่ติดอาวุธ มีแนวคิด หัวรุนแรง และมีความเชื่อมโยงกับหลายกลุ่มก่อการร้ายซึ่งอาจรวมไปถึงกลุ่มอัลกออิดะห์ด้วย

          ในปี 2002 ได้เกิดมีผู้นำในแนวคิดนี้ขึ้นชื่อ Mohammed Yusuf ตั้งกลุ่ม Boko Haram ขึ้นที่เมือง Maiduguri โดยมีกลุ่มอาคารเป็นสำนักงานใหญ่อันประกอบด้วยโรงเรียนแนวอิสลาม สุเหร่า ฯลฯ พ่อแม่มุสลิมจากที่ต่าง ๆ ส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนศาสนานี้กันมาก อย่างไรก็ดีจุดประสงค์ใหญ่ของการจัดตั้งไม่ใช่เพื่อการเรียนหากแต่มีเป้าหมายแฝงของการจัดตั้งรัฐมุสลิมอิสระโดยใช้โรงเรียนเป็นเครื่องมือในการหาสมาชิก

          Boko Haram ในปี 2009 โจมตีสถานีตำรวจ อาคารรัฐบาลต่าง ๆ ฆ่าฟันคนตายเป็นจำนวนมาก ในที่สุดรัฐบาลไนจีเรียก็บุกยึดอาคารที่ทำการได้และฆ่านาย Yusuf ตาย ตอนแรกทางการก็เข้าใจว่าปราบ Boko Haram ได้ราบคาบแล้ว แต่ Yusuf มีลูกน้องคนรองชื่อ Abubakar Shekau มารับงานต่อ

          Shekau มีประวัติเป็นมุสลิมหัวรุนแรงมาก เป็นผู้นำเข้าโจมตีโรงเรียน เผาโรงเรียน ฆ่าคริสเตียน ยิว และคนศาสนาอื่น ๆ จนเป็นที่หวาดหวั่น ปัจจุบันเข้าใจว่าอยู่ในวัย 30 ปีกว่า ทางการเคยเชื่อว่าเขาตายไปแล้ว แต่เขายืนยันว่ายังอยู่และมีผลงานดังปรากฏ ประชาชนบางส่วนก็เชื่อว่าเขาเป็นตัวปลอมเพราะ Shekau ตัวจริงตายไปแล้ว

          เหตุการณ์จับเด็กหญิง 276 คนนี้มีชื่อเรียกในสื่อตะวันตกว่า 2014 Chibok Kidnapping เนื่องจากโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Chibok ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยของคนอาฟริกันที่เป็นคริสเตียนจำนวนหนึ่ง

          สมาชิกของ Boko Haram ส่วนใหญ่มาจากเผ่า Kanuri ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่ที่สุดใน 3 รัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย คนเผ่านี้จะมีแผลเป็นซึ่งมีลักษณะพิเศษบนใบหน้าจากพิธีกรรมตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งยังมีสำเนียงของภาษา Hausa แตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นจึงสามารถสังเกตสมาชิก Boko Haram ได้ง่าย

          ก่อนหน้าเหตุการณ์ Chibok ความรุนแรงของ Boko Haram ก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับในทุกเดือน และครอบคลุมเป้าหมายกว้างขวางขึ้น เช่น ค่ายทหาร วิทยาลัยของรัฐบาล ฯลฯ นอกเหนือจากโรงเรียนซึ่งเป็นเป้าหมายปกติ เฉพาะในปี 2014 เชื่อว่า Boko Haram ฆ่าคนไปไม่ต่ำกว่า 4,000 คน

          เด็กผู้หญิงที่ถูกจับไปในเหตุการณ์ Chibok มีอายุตั้งแต่ 16-18 ปี ส่วนใหญ่อยู่ปีสุดท้ายของชั้นมัธยม ตัวเลขและข่าวที่ออกมาสับสนโดยตลอด บ้างก็ว่า 234 คน บ้างก็ว่า 329 คน อย่างไรก็ดีประมาณการอยู่ที่ 276 คน

          นับตั้งแต่กลางเมษายน 2014 ถึงกลางพฤษภาคม 2014 มีข่าวว่า 53 คนหนีออกมาได้ ส่วนที่เหลือยังถูกจับอยู่ ข่าวที่ออกมาก็คือเด็กจำนวนหนึ่งที่เป็นคริสเตียนจะถูกบังคับให้เป็นมุสลิม อีกส่วนหนึ่งต้องแต่งงานกับสมาชิกของ Boko Haram (ราคาเจ้าสาวอยู่ประมาณ 12.05 เหรียญสหรัฐ หรือ 390 บาท ไม่ทราบว่าใครเป็นคนได้เงิน) บางส่วนจะถูกขายเป็นทาสทางเพศ

          เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาจนทราบกันไปทั่วโลกและมีการรณรงค์ช่วยเหลือเด็กก็เพราะสื่อตะวันตกและพ่อแม่ที่ไขว่คว้าหาความช่วยเหลือเมื่อทราบว่าลูก ๆ ถูกขนส่งข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น Chad และ Cameroon

          การจับตัวไปเช่นนี้สะเทือนใจและสร้างความสลดใจให้คนทั้งโลกโดยเฉพาะผู้หญิงเป็นอันมาก ไม่อยากเชื่อว่ายังมีการค้าทาสสมัยใหม่ บังคับให้แต่งงาน ให้เปลี่ยนศาสนา โดยเฉพาะบังคับใจเพื่อผลประโยชน์ทางเพศ

          รัฐบาลไนจีเรียเมื่อตื่นขึ้นเพราะข่าวจากต่างประเทศ ก็ออกปราบปรามเพื่อชิงตัวกลับ แต่ก็ไม่ได้ผล ต้องสู้รบอย่างหนักกับ Boko Haram จนชาวบ้านบริเวณนั้นตายไปอีกไม่ต่ำกว่า 300 คนในวันที่ 12 กรกฎาคม 2014 ผู้นำ Boko Haram ปล่อยคลิบวีดีโอแสดงภาพเด็กที่ถูกจับจำนวน 130 คน โดยเรียกร้องให้แลกกับพรรคพวกที่ถูกจับอยู่ในคุก แต่ถึงปัจจุบันรัฐบาลก็ยังไม่ยอม ปัจจุบัน Shekau เป็นผู้นำ Boko Haram ที่กำลังถูกล่าตัวอย่างหนักโดยรัฐบาลไนจีเรีย และรัฐบาลต่างประเทศที่ทนไม่ได้กับทารุณกรรมเด็กผู้หญิงและความรุนแรงที่เกิดขึ้น

          คนที่ถูกกระหน่ำหนักด้วยในเรื่องนี้คือสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของไนจีเรียคือ นาง Patience Jonathan ที่ระบุว่ากลุ่มต่อต้าน Boko Haram ให้ตัวเลขที่ไม่จริงเกี่ยวกับอาชญากรรมของกลุ่ม คนติดตามเหตุการณ์บอกว่าเธอพูดเช่นนี้ก็เพราะหมั่นไส้หญิงไนจีเรียคนหนึ่งที่ช่วยเหลือหา แนวร่วมจากต่างประเทศในสื่อสมัยใหม่ให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา เธอเห็นว่าทำเกินหน้าเธอไป

          ความคิดว่าผู้หญิงควรมีบทบาทเพียงอยู่ในครัวและอุ้มท้องมีลูกยังมีอยู่ในโลกแม้แต่ประเทศไทยอย่างน่าสมเพช คนเหล่านี้คงจะไม่รู้จักคำกล่าวของธนาคารโลกที่ว่า “ให้การศึกษาแก่แม่ คือการให้การศึกษาแก่โลก” กระมัง

ปฏิวัติเขียวรอบ 2

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27 พฤษภาคม 2557

          ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ขาดแคลนอาหารรุนแรงในเอเชีย (ยกเว้นเกาหลีเหนือ) หายไปโดยสิ้นเชิงทั้งนี้เนื่องมาจากการปฏิวัติเขียว หรือการที่ผลผลิตข้าวและข้าวสาลีเพิ่มขึ้นอย่างมากมายอันเนื่องมาจากการใช้เมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่ ปัจจุบันการปฏิวัติเขียวครั้งที่สองกำลังเริ่มขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณข้าวและช่วยเหลือคนยากจนที่หลุดรอดจากการได้รับประโยชน์จากการปฏิวัติครั้งแรก

          องค์การข้าวระหว่างประเทศ (IRRI-International Rice Research Institute) ซึ่งตั้งอยู่ที่ฟิลิปปินส์มีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งในการปฏิวัติเขียว (Green Revolution) ครั้งแรก ข้าวพันธุ์ IR8 (ไทยนำมาผสมกับพันธุ์พื้นเมืองและตั้งชื่อว่า กข.1) เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติเขียวซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1964

          ปฏิวัติเขียวครั้งแรกทำให้ได้ข้าวต่อไร่เพิ่มหนึ่งเท่าตัวโดยเฉลี่ย กล่าวคือจากผลผลิต 1.9 ตันต่อเฮกเตอร์ (1 เฮกเตอร์ เท่ากับ 6 ไร่ 1 งาน) ระหว่าง 1950-1964 เพิ่มเป็น 3.5 ตันต่อเฮกเตอร์ระหว่างปี 1985-1998 (สำหรับพื้นที่ซึ่งมีระบบการปลูกอย่างดี มีปุ๋ย และน้ำสมบูรณ์ ผลผลิตขึ้นไปสูงถึง 10 ตันต่อเฮกเตอร์) แต่ถึงกระนั้นก็ตามในช่วงเวลาเดียวกันประชาชนที่บริโภคข้าวก็เพิ่มหนึ่งเท่าตัวเช่นเดียวกัน

          เมื่อข้าวเป็นอาหารหลักของคนเอเชียซึ่งมีประชากรรวมประมาณครึ่งหนึ่งของประชากร 7,500 ล้านคนของโลก การพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อให้มีผลิตภาพ (productivity) หรือผลผลิตต่อไร่สูงเท่าที่จะเป็นไปได้จึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ตัวอย่างของความสำคัญของข้าวในวัฒนธรรมเอเชียเห็นกันดาษดื่น เช่น ศิลาจารึกที่ว่า ‘ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว’ Toyota หมายความว่า ‘นาที่อุดมไปด้วยข้าว’ Honda หมายถึง ‘แปลงนาข้าว’ ฯลฯ

          เมื่อมองไปข้างหน้าก็จะพบว่าโลกมีภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง มีทั้งสภาวะ น้ำท่วมและความแห้งแล้งรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุ่มน้ำของเอเชียที่เป็นแหล่งผลิตข้าวสำคัญของโลกอันได้แก่ แม่น้ำโขง แม่น้ำพรหมบุตร และแม่น้ำอิรวดี ก็ประสบกับความเค็มของน้ำอันเนื่องมาจากระดับน้ำเค็มสูงขึ้นเรื่อย ๆ กอบกับข้าวเป็นพืชที่ใช้น้ำสิ้นเปลืองกว่าธัญพืชอื่น ๆ ถึง 2-3 เท่า ทั้งหมดนี้ ทำให้เกิดปัญหาหนักอกเพราะในความเป็นจริงนั้นน้ำกำลังขาดแคลนในทุกแห่งหน

          เมื่อหันไปทบทวนผลจากปฏิวัติเขียวครั้งแรกก็พบว่าถึงแม้จะทำให้โลกหลุดพ้นจากการขาดแคลนอาหาร แต่คนยากจนที่ปลูกข้าวก็ไม่ได้รับผลประโยชน์มากนักเนื่องจากการปลูกข้าวพันธุ์มหัศจรรย์ IR8 ต้องการดินที่มีคุณภาพ ปุ๋ย และน้ำประกอบด้วย

          ในปัจจุบันมีคนยากจน (มีรายได้ต่ำกว่า 1.25 เหรียญสหรัฐต่อวัน) ที่อยู่อาศัยในบริเวณที่มีการปลูกข้าวเป็นพืชหลักประมาณ 580 ล้านคน จำนวนนี้ 400 ล้านคนอยู่ในเอเชียใต้ (อินเดีย บังคลาเทศ บางส่วนของพม่า) 100 ล้านคนในเอเชียตะวันออก และ 80 ล้านคนในอเมริกาใต้ และทะเลคาริบเบียน คนเหล่านี้คือผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์จากการปฏิวัติเขียวครั้งแรก

          โดยทั่วไปคนยากจนเหล่านี้อยู่ในบริเวณที่ดินมีคุณภาพต่ำ ขาดเงินทุนในการพัฒนาที่ดิน เช่น สูบน้ำเข้านา ใส่ปุ๋ยในนา ฯลฯ บางประเทศอาจเกี่ยวเนื่องกับการอยู่ในวรรณะที่ต่ำ ถูกรังเกียจเดียดฉันจนต้องทำมาหากินในที่ดินเหล่านี้ และไม่สามารถหลุดจากกับดักนี้ได้กล่าวคือความยากจนทำให้มีที่ดินขาดคุณภาพ ที่ดินคุณภาพต่ำทำให้ยากจน และความยากจนทำให้……. ดังนั้นจึงหลุดรอดไปจากการปฏิวัติเขียวครั้งแรก

          กำลังผลิตข้าวซึ่งดูไม่มั่นคง และประชากรในบริเวณเอเชียใต้ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ทำให้ต้องหาข้าวพันธุ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ ถ้าพัฒนาพันธุ์ข้าวมหัศจรรย์แบบเดิม คนจนเหล่านี้ก็จะหลุดรอดไปอีกอยู่ดี ดังนั้นแนวคิดใหม่จาก IRRI จึงเกิดขึ้น

          เป็นที่ทราบกันดีว่าประชากรทุก ๆ 1,000 ล้านคนที่เพิ่มขึ้นจะต้องผลิตข้าวเพิ่มขึ้น 100 ล้านตันเพื่อเป็นอาหารต่อปี ในปัจจุบันประชากรทั้งโลกบริโภคข้าวประมาณปีละ 450 ล้านตัน มีการพยากรณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 500 ล้านคนต่อปีก่อนถึง ค.ศ. 2020 และจะพุ่งขึ้นไปถึง 555 ล้านตันก่อนปี 2035 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1.2-1.5 ต่อปี

          แนวคิดใหม่ก็คือจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่มิได้ให้ผลิตภาพสูงในพื้นที่ธรรมดาหากต้องเป็นพันธุ์ที่เติบโตได้ดีในบริเวณน้ำท่วม ฝนแล้งและดินเค็ม เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวแล้ว ยังจะช่วยคนยากจน 580 ล้านคนดังกล่าวด้วย

          เมื่อ 5 ปีก่อน IRR1 ได้เริ่มโครงการปลูกข้าวในพื้นที่น้ำท่วม เนื่องจากได้พัฒนาเมล็ดพันธุ์ใหม่สำเร็จจากเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้มาจากแถบอินเดียตะวันออกที่ทนกับน้ำท่วมได้ดีมาก แต่ทว่าเมล็ดพันธุ์นี้เป็น GMO หรือเป็นพันธุ์ข้าวที่มาจากการตกแต่ง DNA มิได้มาจากการพัฒนาพันธุ์ขึ้นมาตามธรรมชาติ

          GMO (Genetically Manipulated Organism) ของข้าวเกิดขึ้นได้ก็เพราะ IRRI สามารถทำแผนที่ DNA ข้าวได้สำเร็จเมื่อกว่า 10 ปีมาแล้ว DNA ของสิ่งที่มีชีวิตก็เปรียบเสมือนโค๊ดคอมพิวเตอร์ที่สั่งให้ส่วนต่าง ๆ ขององคาพยพทำงาน การทำแผนที่ DNA ก็คือการรู้ว่าโครโมโซม (องค์ประกอบของ DNA) ตัวใดและยีนส์ (องค์ประกอบของโครโมโซม) ตัวใดที่เป็นตัวสั่งให้ส่วนใดขององคาพยพทำงาน เมื่อรู้แล้วก็ตกแต่งตามต้องการ เช่น รู้ตำแหน่งของความคงทนน้ำท่วมของพันธุ์ข้าวที่ว่าก็เอายีนส์ของมันใส่ในข้าวพันธุ์อื่นที่มีเมล็ดดกและมีคุณสมบัติดีอื่น ๆ สุดท้ายก็จะได้หลายลักษณะที่พึงปรารถนาในเมล็ดพันธุ์ใหม่

          ขอย้ำว่ามันเป็นพันธุ์ข้าว GMO ไม่ใช่ธรรมชาติ หลายคนคงรังเกียจ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นผลเสียต่อร่างกาย ไม่ว่าจะถกเถียงเรื่อง GMO กันอย่างไร แต่สำหรับคนยากจนไม่มีข้าวกินแล้ว โอหรือไม่โอไม่สำคัญ ดังนั้นเราจะเห็นข้าวลักษณะนี้มากขึ้น

          IRRI กำลังเตรียมการผลิตเมล็ดข้าวพันธุ์ต้านความแล้งและความเค็มออกมาในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นน่าจะเพิ่มผลผลิตและช่วยคนยากจนได้มาก โดยมีข้าวให้ชาวโลกบริโภคอย่างเพียงพอ

          อย่านอนใจว่าบ้านเราผลิตข้าวมากจนล้นไปหมดจนต้องดิ้นรนหาทางส่งออก ปัจจุบันภูมิอากาศเปลี่ยนไปทุกปีจนอาจทำให้เราผลิตข้าวได้น้อยกว่าอดีตก็เป็นได้ เราไม่ควรประมาทแต่คำถามสำคัญก็คือสังคมไทยเราจะยอมรับการปลูกและบริโภคข้าว GMO กันมากน้อยเพียงใด

ปวดหัวกับศิลปะวัตถุปลอม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
20 พฤษภาคม 2557

          การปลอมงานศิลปะไม่ว่าภาพเขียนหรือศิลปะวัตถุนั้นฟังดูเผิน ๆ เป็นเรื่องง่าย ๆ ของอาชญากรรมธรรมดา ๆ แต่ถ้าเจาะลึกลงไปแล้วมันสลับซับซ้อนกว่านั้นมาก

          ในสมัยโรมันเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว การปลอมรูปปั้นหรือศิลปะวัตถุไม่มีเพราะคนโรมันไม่เข้าใจว่าการปลอมคืออะไร รูปปั้นเทพเจ้าที่งดงามก็ปั้นกันมาโดยไม่ให้ความสำคัญแก่ผู้ปั้น รูปปั้นใดเห็นสวยก็ลอกเลียนกันเรื่อย ๆ มา ศิลปะวัตถุเช่นถ้วยเหล้า รูปปั้น เชิงเทียน มีด ฯลฯ ใช้ในพิธีทางศาสนา ในชีวิตประจำวัน และเพื่อความสวยงาม

          เมื่อถึงยุค Renaissance ระหว่างศตวรรษที่ 14-17 ความมั่นคั่งร่ำรวยเกิดขึ้นเกือบ ทั่วยุโรป เศรษฐีก็เกิดอารมณ์อยากได้งานศิลปะที่งดงาม จึงเกิดการค้าขายงานศิลปะเหล่านี้ขึ้น ชื่อเสียงของศิลปินที่สร้างผลงานงดงามก็เป็นที่รู้จัก มีผลงานออกมาให้ซื้อขายกัน และนับแต่นั้นมาคำว่า ‘ปลอม’ จึงเกิดขึ้น

          Michelangelo ศิลปินโด่งดังของโลกผู้สร้างรูปปั้นเดวิดเมื่อ 510 ปีก่อนก็มีเรื่องถูกนินทาว่าบ่อยครั้งที่เขาวาดเลียนแบบภาพจริงที่มีชื่อเสียงซึ่งคนให้เขามาซ่อมแซม และเอาภาพปลอมไปใส่ภาพจริง เมื่อซ่อมแซมของจริงเสร็จก็แอบเอาไปขาย (เรื่องนี้ห้ามเอาไปถามไกด์แถวโรมเป็นอันขาดเพราะที่นั่นเขาเป็นเสมือนเทพเจ้า ต่างจาก Da Vinci ที่ดังแถบเมืองฟลอเรนซ์)

          แค่เรื่องนี้ก็ปวดหัวแล้วว่าใครเป็นเจ้าของผลงานชิ้นไหนกันแน่ Michelangelo ไม่เคยลงชื่อของเขาบนผลงานศิลปะ (ยกเว้นครั้งเดียวของประติมากรรมสลักหินอ่อนที่มีชื่อว่า Pietà ซึ่งมีชื่อเขาสลักอยู่บนสายพาดบ่า) แค่งานวาดภาพของ Michelangelo ที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่ามีอยู่น้อยชิ้นแต่อีกฝ่ายบอกว่ามีผลงานปลอมภาพคนอื่นอีกจำนวนหนึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ปวดหัวแล้ว

          ภาพวาดปลอมนั้นผู้คนก็ทำกันมานับร้อย ๆ ปีแล้ว ปลอมจนบางภาพกลายเป็นของจริงหากแขวนอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลาย ๆ ร้อยปีเข้า หรือปลอมได้ดีจนภาพปลอมของเขาดัง ผู้คนแสวงหาด้วยราคาแพงดังเรื่องของ Han Van Meegeren ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นนักปลอมรูปภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก

          เขาดังในยุคทศวรรษ 1920 เพราะวาดภาพปลอมได้เหมือนของจริงอย่างมาก จนผู้เชี่ยวชาญถูกหลอกมานักต่อนัก และในที่สุดก็หันมาชื่นชมอัจฉริยภาพของเขา เขาใช้ผ้าใบที่ใช้กันในยุคสมัยเดียวกับภาพจริงและวาดทับลงไป เช่น ภาพเขียนหนึ่งของ Vermeers (ประมาณ ค.ศ. 1665) เขาปลอมจนขายได้ราคาถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (947 ล้านบาท) เขาหลอกต้มมาหมดตั้งแต่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ Herman GÖring ผู้นำนาซี ฯลฯ

          ภาพที่ผู้คนรู้ว่าปลอมของเขาดังจนมีตลาดซื้อขายกันในราคาสูง จนต่อมามีผู้ปลอมภาพเขียนปลอมของเขาอีกที โดยลูกชายของเขาร่วมหากินด้วยการออกใบยืนยันว่าเป็นผลงานของพ่อเปรอะไปหมด พูดง่าย ๆ ก็คือภาพจริงมีหนึ่งภาพ แต่มีภาพปลอม 2 ภาพขึ้นไป โดยภาพหลัง ๆ สุดเป็นความพยายามปลอมภาพปลอมที่สอง (อ่านแล้วอย่างงนะครับ โลกที่ไม่จริงมันยุ่งเหยิงอย่างนี้แหละ)

          ที่สนุกกว่านี้ก็คือ “การปลอม” โดยไม่ปลอมของจริงหากใช้วิธีผลิตเพิ่ม งานนี้เป็น คำสารภาพของนาย Robert Driessen ปฏิมากรชาวดัชผู้กำลังอาศัยอยู่ที่เกาะสมุย ครั้งหนึ่งเขารวยมากเพราะผลิตงานปั้นสไตล์ของปฏิมากรชาวสวิสที่มีชื่อเสียงมากคือ Alberto Giacometti (ชิ้นที่ดังมากมีชื่อว่า Trois Homes Qui Marchenti ประมูลไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ในราคา 13 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 410 ล้านบาท เป็นรูปปั้นสูงประมาณ 1.5 ฟุต เป็นรูปโครงร่างคนในอิริยาบถต่าง ๆ)

          Driessen ศึกษาสไตล์ แนวคิด วิธีปั้นของ Giacometti อย่างทะลุปรุโปร่ง และปั้นขึ้นมาจำนวน 1,300 ชิ้น โดยไม่ลอกเลียนรูปปั้นใดเป็นพิเศษ และประทับชื่อตราโรงหล่อที่ Giacometti ใช้ประจำก่อนที่เขาจะตายไปในปี 1966 ผู้คนซื้อขายงานเหล่านี้กันเป็นว่าเล่นผ่านแก๊งอาชญากรข้ามต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับงานศิลปะ ได้เงินกันมาเป็นร้อย ๆ ล้านเหรียญ เหตุที่เขาทำได้ก็เพราะศิลปินคนนี้ทำงานไม่เป็นระบบ ไม่เคยจดบันทึกว่าได้ปั้นอะไรไว้บ้าง Driessen จึงเติมผลงานให้อีก 1,300 ชิ้น (อย่างนี้เรียกว่า “ปลอม” อย่างสร้างสรรค์)

          ปัจจุบันตลาดงานศิลปะร้อนแรงมากในระดับโลกเพราะมีเศรษฐีใหม่คือคนจีนเข้ามาร่วมเป็นผู้ซื้อ ราคาภาพเขียนสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ รูปภาพชื่อ Femme au Costume Turc Dans un Fanteful ของ Pablo Picasso เขียนในปี 1955 มีผู้ประมูลไปในราคา 28 ล้านเหรียญสหรัฐ (884 ล้านบาท)

          มูลค่าซื้อขายศิลปวัตถุทั้งโลกในแต่ละปีมีทั้งบนดินและใต้ดิน ไม่อาจประเมินได้แม่นยำ แต่ FBI คาดว่าในแต่ละปีโลกมีการต้มตุ๋นผลงานศิลปะมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านเหรียญ ของปลอมระบาดไปทั่วหมดจนเชื่อว่าร้อยละ 40 ของงานศิลปะทั่วโลกเป็นของปลอม โดยเฉพาะในตลาดจีนนั้นเชื่อว่ามีของปลอมอยู่ถึงร้อยละ 70

          เมื่อของปลอมระบาดไปทั่ว ผู้เชี่ยวชาญจึงพยายามหาหนทางพิสูจน์ว่าอะไรเป็นของจริงด้วยสายตาและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เป็นเวลานานมาแล้วที่ใช้สายตากล่าวคือ สังเกตแบบแผน สไตล์การสร้าง การใช้อุปกรณ์ ฯลฯ ของเฉพาะตัวศิลปิน ตลอดจนอายุของวัสดุไม่ว่าโลหะ กระเบื้อง กรอบ สี หรือผ้าใบ เมื่อนักปลอมแปลงมีความรู้ทันผู้เชี่ยวชาญ งานจึงยากขึ้นทุกที

          ปัจจุบันใช้เครื่องเอกซเรยภาพเพื่อหาภาพเก่าที่ซ้อนอยู่ ใช้แสงไฟที่เรียกว่า x-ray fluorescence เพื่อพิจารณาผิว เม็ดสี แบบแผนการวาดและการใช้วัสดุ นอกจากนี้ก็ใช้ ultra violet fluorescence และ infrared analysis ตลอดจน carbon dating เพื่อประเมินอายุและค้นหาข้อมูลอื่น ๆ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

          ที่ปวดหัวกว่านี้ก็คือมีจิตกรมีชื่อเสียงหลายคนในอดีตที่ให้คนอื่นเขียนรูปสไตล์ของตนและเซ็นชื่อว่าเป็นงานของตน เมื่อพิสูจน์ก็เห็นว่าลายเซ็นนั้นใช่แน่นอน แต่งานเขียนไม่เหมือนเสียทีเดียว หรือจ้างจิตรกรมีชื่อวาดภาพให้เพื่อเป็นผลงานของคนจ้าง ประเด็นเหล่านี้ผู้เชี่ยวชาญต้องนำมาประเมินประกอบ แต่ก็ผิดพลาดอยู่บ่อย ๆ บ้างก็ตั้งใจประเมินภาพปลอมว่าเป็นภาพจริงเพื่อให้มี ‘ของ’ มาซื้อขายกันในตลาดมาก ๆ จะได้มีผู้ซื้อบริการของตนอยู่ตลอดเวลา

          นักปลอมภาพชาวจีนก็มีอยู่มากที่หมู่บ้าน Dafen ทางเหนือของฮ่องกง ครั้งหนึ่งเคยมีนักปลอมภาพ 5,000-8,000 คน ทำงานกันเต็มมือ จะเอาภาพอะไรของใครไม่ว่าจะเป็น Monet / Picasso / Rembrandts / Warhols ฯลฯ ผลิตได้ทั้งนั้น และเหมือนของจริงมากด้วย ราคาก็แค่ 40 เหรียญแถมกรอบให้ด้วย

          คนจ้างก็คือคนจีน “รวยใหม่” ทั้งหลาย 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจไม่เฟื่องฟูเหมือนเก่าเพราะลูกค้าจำนวนหนึ่งกลายเป็นคนรวยจึงหันไปซื้อภาพจริงกัน ซึ่งถ้าจะว่าไปก็คือการหันไปซื้อภาพจริงที่มีโอกาสถูกหลอกสูงจนเสมือนว่าเป็นการซื้อภาพปลอมในราคาที่แพงกว่าเก่ามาก ๆ

          ศิลปะวัตถุชิ้นเลิศของโลกมีจำนวนจำกัด แต่เมื่อมีคนต้องการจำนวนมากขึ้นเพื่อเอาไป “ซุก” และโชว์ความร่ำรวย ฟอกเงิน ติดสินบน เก็งกำไร ฯลฯ ราคาจึงพุ่งทะยาน และการปลอมแปลงจึงเกิดขึ้นมากเป็นเรื่องธรรมดา
 

สมบัติลับของปูติน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
13 พฤษภาคม 2557

          ปูตินผู้นำรัสเซียยึดแหลมไครเมียของยูเครนประเทศเพื่อนบ้านได้เมื่อเร็ว ๆ นี้โดยแทบไม่ต้องออกแรง ถึงจะดูง่าย ๆ แต่ผลกระทบที่เกิดตามมาก็คือ ปูตินกำลังถูกสหรัฐอเมริกาตอบโต้โดยการโพนทะนาให้ชาวโลกรู้ว่าสมบัติลับส่วนตัวที่ว่ากันว่าปูตินสะสมไว้กว่า 40 พันล้านเหรียญสหรัฐ (1.36 ล้าน ๆ บาท) นั้นมีจริง เรื่องนี้สนุกก็เพราะว่า “สมบัติลับ” ที่ผิดกฎหมายนี้กำลังถูกไล่ล่าหนักมือขึ้น ทุกวัน

          “สมบัติลับ” ของปูตินพูดกันมากว่า 15 ปีแล้ว ตัวเลขมีตั้งแต่ 40 พันล้านเหรียญถึง 70 พันล้านเหรียญสหรัฐ ชาวโลกกำลังหูผึ่งอีกครั้งกับคำแถลงของกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อตอบโต้การยึดครองแหลมไครเมีย (ไม่ได้คาดว่ายูเครนจะได้คืน แต่ป้องกันไม่ให้ปูตินเกเรคิดทำอีกในบริเวณอื่นในอนาคต) ที่ว่า “ปูติน เป็นเจ้าของร่วมของบริษัท Gunvor และอาจเข้าถึงเงินกองทุน Gunvor (Gunvor Funds)” ซึ่ง Gunvor Funds นี้ก็คือ “สมบัติลับ” นั่นเอง

          สหรัฐอเมริกาแถลงออกมาตรง ๆ อย่างนี้พร้อมกับทยอยประกาศรายชื่อนักธุรกิจรัสเซียและผู้ผูกพันกับธุรกิจรัสเซียที่จะถูกแซงชั่น (sanctions) ต่อไป เพื่อปลุกประเด็น “สมบัติลับ” ของปูติน และเพื่อขู่ปูตินไม่ให้ “ซ่า” กว่านี้ มิฉะนั้นอาจอายัดการเข้าและออกของเงินกองทุนนี้หากรู้ว่าอยู่ที่ไหน

          ขอเล่าก่อนว่าปูตินมีที่มาที่ไปอย่างไรถึงคนเชื่อกันว่ารวยขนาดนั้น ปูตินเกิดมาไม่ได้ร่ำรวย ผู้สืบสาวราวเรื่องประวัติของครอบครัวเขาก็รู้สึกแปลกใจเพราะไล่ไปได้แค่ปู่เท่านั้นเอง และ ไม่มีใครอีกที่มีนามสกุลปูตินนี้เลย ตัวปูตินเองก็ไม่เคยเปิดเผย

          Vladimir Putin เกิดปี 1952 ในเมือง Leningrad (ชื่อเมืองดั้งเดิมและกลับมาใช้อีกครั้ง คือเมือง Saint Petersburg) แม่ทำงานโรงงานอุตสาหกรรมสไตล์คอมมูนิสต์ ส่วนพ่อเป็นทหารในกองทัพเรือโซเวียต เขาเรียนจบกฎหมายระหว่างประเทศจาก Leningrad State University เมื่อเรียนจบก็ทำงานกับ KGB ในปี 1975 เคยอยู่ในเยอรมันตะวันออกระหว่างปี 1985-1990

          ในปี 1991 ทำงานให้ KGB โดยเป็นเจ้าหน้าที่สนับสนุนวิชาการ ทำงานให้ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนจบมา เขารู้จักอาจารย์หลายคน และคนหนึ่งได้เป็นนายกเทศมนตรีเมือง Leningrad จึงชักชวนให้เขามาทำงานด้วย

          ดวงชะตาของเขาก็รุ่งโรจน์จากนั้นเป็นต้นมา จากรองนายกเทศมนตรี ย้ายมาทำงานที่มอสโกในปี 1996 ทำงานในหลายหน้าที่ให้ผู้ใหญ่ของพรรคและรัฐบาล ในปี 1997 ประธานาธิบดีเยลต์ซินก็แต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าทีมบริหารของประธานาธิบดี เขาก้าวหน้าในงานตลอดด้วยความสามารถและความไว้วางใจของพรรค ในปี 1998 ก็ได้เป็นหัวหน้าองค์การ FSB (องค์การหนึ่งที่สืบทอดมาจาก KGB)

          ในปี 1999 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในสามของรองนายกรัฐมนตรี และในวันเดียวกันก็ได้เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี โดยมีประธานาธิบดีเยลต์ซินเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญ ต่อมา เยลต์ซินประกาศว่าปูตินเป็นทายาทของเขา ในปี 2000 เขาก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

          เส้นทางการเมืองของเขาสรุปได้ดังนี้ 1999-2000 เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี ปี 2000-2008 เป็นประธานาธิบดี และเมื่อเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สามไม่ได้ก็ลงมาเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2008-2012 พอมาถึงปี 2012 ก็ขึ้นไปเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง คราวนี้เทอมไม่ใช่ 4 ปีแล้ว หากเป็น 6 ปี

          ปูตินเป็นผู้นำเผด็จการ เขาปราบฝ่ายค้านและคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขาอย่างจริงจังในหลายรูปแบบ เสรีภาพของสื่อนั้นแทบไม่เหลือ สิ่งที่เขาทำซึ่งทำให้เกิดความเชื่อว่าเขามีเงิน แอบซ่อนอยู่และอาจสูงถึง 70 พันล้านเหรียญสหรัฐก็คือ เขาจับนักธุรกิจรัสเซียรวย ๆ เข้าคุกหลายคน ข้อหาหนีภาษี อาชญากรรมต่าง ๆ จนหลายคนต้องหันมาเป็นพวกเขา สิ่งที่เขียนนี้สื่อตะวันตกกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะเรื่อง Gunvor Funds

          ปูตินสนิทสนมมากกับนาย Gennady Timchenko เจ้าของบริษัท Gunvor ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ระดับโลก ค้าขายน้ำมันดิบและทรัพยากรธรรมชาติทั่วโลก ในปี 2007 บริษัทนี้มียอดขาย 43 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึงปี 2010 ยอดขายโตเป็น 65 พันล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทใหญ่ของโลกนี้สามารถซื้อและขายน้ำมันดิบในรัสเซียและประเทศใกล้เคียงได้สะดวกและมีอิทธิพลต่อการส่งออกไปยุโรปมากเพราะเชื่อกันว่าปูตินมีส่วนช่วยสนับสนุนอย่างสำคัญ

          CIA เชื่อว่าปูตินมีหุ้นใน Gunvor / Gazprom และ Surgutneftegas บริษัทยักษ์ผลิตและค้าขายพลังงานของรัฐและกึ่งรัฐ ตลอดจนมีเงินทุนลับที่ได้ส่วนแบ่งจากกิจการเหล่านี้เก็บสะสมไว้ที่ไหนสักแห่งเป็นยอดเงินมหาศาลซึ่งจะทำให้เขาเป็นผู้นำของโลกที่รวยที่สุดตั้งแต่โลกเคยมีมา

          ฝ่ายตรงข้าม หน่วยราชการลับ สื่อของประเทศพัฒนาแล้วได้พยายามสืบหากองทุนนี้มานาน มั่นใจว่ามีแน่นอนแต่ยังไม่สามารถหาหลักฐานได้ ปูตินก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าเป็นเรื่อง ไร้สาระ

          ครั้งนี้โอบามาให้ทยอยประกาศรายชื่อเพื่อนนักธุรกิจของปูตินเพื่อแซงชั่นออกมาหลายคนโดยการแซงชั่นกระทำในรูปของการห้ามบริษัทอเมริกันเสวนาหรือร่วมทุนใหม่ด้วย กีดกันการใช้บัตรเดรดิต VISA ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา ห้ามบริษัทอเมริกันค้าขายกับบุคคลเหล่านี้ สหรัฐอเมริกาต้องการทำให้เพื่อนปูตินลำบาก ซึ่งจะส่งแรง
          กระทบไปถึงปูตินให้หวาดหวั่น การตกอกตกใจกับวิธีการนี้อาจทำให้มีการโอนเงินก้อนใหญ่ หรือทำธุรกรรมที่ผิดสังเกตเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นจุดนำไปสู่การพบขุมสมบัติและตัดแขนตัดขาปูติน

          คนรัสเซียที่ไม่กลัวปูติน (เพราะอาศัยอยู่ในประเทศอื่น) พยายามเปิดเผยเรื่องของเงินทุนลับนี้แต่ก็เกร็ง ๆ การถูกฟ้องร้อง อย่างไรก็ดีการค้นหาความมั่งคั่งที่แอบซ่อนอยู่ของปูตินไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะน่าจะอยู่ในชื่อคนอื่นหรือบริษัทอื่นโดยถือหุ้นกันสลับซับซ้อนหลายชั้น แต่ผู้ตามหาขุมสมบัติก็ไม่ท้อถอยเพราะเชื่อว่าถ้าค้นพบได้บางส่วนเมื่อใดก็จะนำไปสู่จุดจบของปูตินเมื่อนั้น

          สหรัฐอเมริกาและนักไล่หาขุมสมบัติเห็นว่าปูตินเป็นเผด็จการที่น่ากลัวของโลก และ รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่จะหยุดอิทธิพลของปูตินลงได้ ถ้าพูดกันแบบไทย ๆ ก็คือการค้นพบเงินทุนจะเป็นเสมือน “พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม” ของปูตินก็เป็นได้

หอไอเฟลครบ 125 ปี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6 พฤษภาคม 2557

          ไม่มีใครไม่รู้จักหอไอเฟลซึ่งในปลายเดือนมีนาคม 2014 นี้จะมีอายุครบ 125 ปี พอดี ยากนักที่จะมีสิ่งประดิษฐ์โดยมนุษย์ที่อยู่อย่างมั่นคงในรูปแบบเดิม เมี่อมีอายุมากกว่ามนุษย์ที่อายุยืนที่สุดในโลกมันจึงมีเรื่องเล่าน่าสนใจ

          หอไอเฟลมิได้เกิดจากสูญญากาศ หากมีเหตุการณ์แวดล้อมที่ทำให้เกิดโครงสร้างเหล็กหลัก 7,400 ตัน (หากรวมวัสดุอื่นน้ำหนัก 10,000 ตัน) รูปร่างประหลาด ฐานจตุรัสยาว 125 เมตร สูงกว่า 300 เมตร แหวกขึ้นมาในอากาศโดยใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี

          ช่วงเวลาที่หอไอเฟลเกิดขึ้นนี้มีชื่อเรียกว่า Belle Époque ซึ่งอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1871 ถึงตอนต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ ค.ศ. 1914 เป็นที่เข้าใจกันว่าช่วงเวลานี้คนฝรั่งเศสรื่นรมย์กับชีวิต ดื่มแชมเปญ ใส่หมวกท๊อปแฮ๊ต เดินกันอย่างสบายใจตามถนนที่งดงาม อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงแล้วเป็นช่วงเวลาที่คนฝรั่งเศสอยู่ในความมืดของความไม่แน่นอน ความหวาดกลัวและหวาดหวั่น

          คนฝรั่งเศสมีความรู้สึกเช่นนี้เพราะแพ้สงคราม Franco-Prussian War ใน ค.ศ. 1870 ซึ่งจบสิ้นลงเพราะพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ถูกจับและสูญเสียดินแดนไปมากมาย เกิดความกังวลสงสัยว่าความยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมฝรั่งเศสได้เสื่อมลงแล้ว ท่ามกลางความอับอายจากการแพ้สงคราม การเมืองก็ง่อนแง่น ประธานาธิบดี Sadi Carnot ของ Third Republic ไม่รู้ว่าวันใดจะถูกนายพล George Boulanger ผู้ที่ประชาชนชื่นชอบจะทำการปฏิวัติ

          ทางการฝรั่งเศสพยายามแก้ไขความรู้สึกท้อแท้ กังวลสงสัยของคนฝรั่งเศสและชาวโลกว่าฝรั่งเศสยังคงยิ่งใหญ่อยู่หรือไม่โดยการจัดงาน 1889 Paris Universal Exposition ซึ่งเป็นงานแสดงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดในโลกนับถึงเวลานั้น

          งานเช่นนี้เป็นต้นกำเนิดของ World Fair ดังที่จัดกันยิ่งใหญ่ที่เซี่ยงไฮ้โดยจีนเมื่อสี่ปีก่อน อังกฤษ และประเทศยุโรปต่าง ๆ ก็แข่งกันจัดงานเช่นนี้ในช่วงเวลานั้นเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่หลังปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณ 100 ปี

          อะไรเล่าที่จะทำให้งาน Exposition ของฝรั่งเศสครั้งยิ่งใหญ่นี้เป็นที่กล่าวขานและกอบกู้ชื่อเสียง และความหวาดหวั่น ไอเดียของการสร้างเครื่องหมายสำคัญของงานนี้ที่ตรงกับการครบรอบ 100 ปี ของการปฏิวัติฝรั่งเศสจึงเกิดขึ้น

          หอไอเฟลหรือ La Tour Eiffel ในภาษาฝรั่งเศสเป็นโครงสร้างเหล็กชนิดที่เรียกว่า Wrought Iron (เหล็กเหนียวที่มีคาร์บอนต่ำเหมาะต่อการเชื่อมต่อ) ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า Champ de Mars ในกรุงปารีส ชื่อหอนี้ตั้งตามชื่อของวิศวกร Gustave Eiffel ซึ่งบริษัทของเขาออกแบบและก่อสร้าง โดยหอนี้ตั้งอยู่ตรงทางเข้างาน Exposition ครั้งใหญ่ระดับโลกนี้

          หอไอเฟลสูง 324 เมตร ซึ่งเท่ากับตึก 81 ชั้น เป็นเวลา 41 ปี ที่หอไอเฟลครองแชมป์สิ่งก่อสร้างโดยมนุษย์ที่สูงสุดในโลก โดยแซงหน้า Washington Monument ที่กรุงวอชิงตัน

          การก่อสร้างหอเหล็กสูงกว่า 300 เมตร ประกอบด้วยชิ้นส่วน 18,038 ชิ้น และขันติดกันด้วยน็อตรวม 2.5 ล้านตัว ชิ้นส่วนทั้งหมดจัดทำจากที่อื่นและนำมาประกอบ งานพื้นรากเริ่มต้นเมื่อปี 1887 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ปลายเดือนมีนาคม 1889

          เมื่อโครงการเริ่มขึ้นหอไอเฟลถูกวิจารณ์อย่างไม่มีชิ้นดีโดยนักศิลปะว่าไม่มีอะไรน่าเกลียดเท่า (คล้าย Opera House ที่ซิดนีย์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสิ่งก่อสร้างคลาสสิคไปแล้ว) แต่ก็อดทนกันเพราะเดิมคาดว่าจะรื้อหลังจากครบ 20 ปี

          ถึงจะวิจารณ์อย่างไรแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผู้คนทึ่งกับการออกแบบ ก่อสร้าง และเทคโนโลยีในการนำเหล็กชิ้นและแท่งตลอดจนวัสดุอื่นมารวมกันเป็นสิ่งประดิษฐ์ยิ่งใหญ่ของโลกโดยวิศวกรฝรั่งเศส มีทั้งลิฟท์ขึ้นไปถึงระดับ 3 ซึ่งภายในมีภัตตาคาร สำนักงานไปรษณีย์ อพาร์เมนท์ส่วนตัวของ Gustave Eiffel ฯลฯ ชั่วระยะเวลาที่มีงาน 6 เดือน มีคนเข้าร่วมงาน 28 ล้านคน และมีขึ้นชมหอไอเฟลรวม 1.9 ล้านคน

          การตอบรับของคนฝรั่งเศสและชาวโลกทำให้หอไอเฟลอยู่ยืนยงเป็นสัญลักษณ์ของปารีสจนถึงทุกวันนี้ นับถึงวันนี้ 125 ปี มีคนเยี่ยมชมตัวหอไม่ต่ำกว่า 250 ล้านคน ไม่นับผู้คนที่ถ่ายรูปกับหอไอเฟลในระยะไกลอีกนับไม่ถ้วน เพื่อเป็นการระลึกถึงการได้มาถึงเมืองปารีส เมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

          หอไอเฟลประสบหลายอุปสรรคเกี่ยวกับภาพลักษณ์ตลอดเวลา 125 ปี มีนักต้มตุ๋นหลอกขายหอไอเฟล มีคนโดดลงมาฆ่าตัวตาย มีคนพยายามขับเครื่องบินรอดหอจนเสียชีวิต เมื่อปารีสถูกยึดครองโดยนาซีระหว่าง 1940-1944 คนฝรั่งเศสตัดสายลิฟต์ทั้งหมดเพื่อไม่ให้สามารถขึ้นไปแสดงธงนาซีได้สะดวก และตลอดเวลาก็ปิดไม่ให้มีการเยี่ยมชม

          เมื่อฝ่ายพันธมิตรเกือบยึดปารีสคืนได้ในเดือนสิงหาคมปี 1944 ฮิตเลอร์ได้สั่งให้ นายพล Choltitz ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารปกครองฝรั่งเศสรื้อและทำลายหอไอเฟลควบคู่ไปกับเมืองปารีส แต่นายพลท่านนี้ขัดขืนไม่ทำตามคำสั่ง

          การมีอายุครบ 125 ปี ของสิ่งก่อสร้างโดยมนุษย์ที่ยังคงอยู่อย่างดี ณ ที่ใดก็ตามถือได้ว่าเป็นชัยชนะของมวลมนุษย์ร่วมกันที่สามารถรักษาให้เป็นมรดกของลูกหลาน แต่อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรในโลกนี้ที่คงทนไปได้ตลอด สฟิงซ์และปิรามิดเมื่อ 5 พันปีที่แล้วหรือสนามกีฬาโคลอสเซียมในโรมเมื่อ 2 พันปีก่อนก็เคยงดงามสมบูรณ์เช่นหอไอเฟลในปัจจุบันเช่นกัน

          คนจำนวนมากเห็นความอนิจจังของโลกเช่นนี้ ถ้าเป็นคนฝรั่งเศสคงจะบอกว่า C’ est la vie หรือ That’s life หรือชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ

ตัวเก็งผู้นำอินโดนีเซียคนใหม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
29 เมษายน 2557

          อะไรเอ่ยที่คนอินโดนีเซียบน 17,000 เกาะ ประชากรรวม 240 ล้านคนเบื่อหน่ายที่สุดถัดมาจากจราจรติดขัด คำตอบก็คือผู้มีอิทธิพลจากศูนย์อำนาจเก่าที่วนเวียนอยู่ในการเมืองซึ่งมีอำนาจและเงินเป็นแรงจูงใจ

          อินโดนีเซียประชาธิปไตยใหญ่อันดับ 3 ของโลกเพิ่งมีประชาธิปไตยยุคใหม่เพียง 16 ปี ประชากรเพิ่งได้มีโอกาสเลือกตั้งอย่างมีอิสระจริง ๆ เพียง 2 ครั้ง หลังจากประธานาธิบดี Suharto ตกจากอำนาจที่ครองมา 31 ปี อันมีสาเหตุมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นพร้อม “วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง” ของไทยในปี 1998

          หลังจากได้เอกราชจากเนเธอร์แลนด์ในปี 1945 ประธานาธิบดี Sukarno ก็ครองอำนาจแบบเผด็จการ เป็นเวลา 22 ปี จนสูญเสียให้แก่ประธานาธิบดี Suharto ในปี 1967

          หลังจากประธานาธิบดี 2 คนนี้ ก็มีประธานาธิบดีอีก 4 คน คือ Habibie, Wahid, Megawati และ Susilo Bambang Yudhoyono หรือเรียกสั้น ๆ ว่า SBY ปัจจุบันอายุ 64 ปี เขาต้องลงจากบัลลังก์เพราะเป็นประธานาธิบดีมา 2 สมัย รวม 10 ปี และไม่สามารถสมัครได้อีก

          เมื่อ SBY หมดวาระการเป็นประธานาธิบดีก็ต้องมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2014 ตัวละครจากยุค Sukarno ในปี 1945 ถึง 2014 รวม 69 ปี ล้วนวนเวียนอยู่ในกลุ่มทหารและบุคคลชั้นนำของประเทศ ผลัดกันชิงอำนาจไปมา พร้อมกับอิทธิพลธุรกิจการค้าและคอรัปชั่นที่ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง

          Suharto ก็เป็นนายทหารสำคัญของ Sukarno นาง Megawati ก็เป็นลูกสาวของ Sukarno นาย Habibie เป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีของ Suharto พ่อของ นาย Wahid ก็เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศาสนาคนแรก สำหรับ SBY นั้นไม่ต้องพูดถึง เคยเป็นนายทหารคนสำคัญในยุคสมัยของ Suharto มาก่อน

          รัฐมนตรีของทุกรัฐบาลก็ประกอบด้วยอดีตนายทหาร นักวิชาการ นักธุรกิจที่เกี่ยวพันกับทหารและเครือข่าย Sukarno และ Suharto วนเวียนกันไปมาจนถึงปีปัจจุบันที่จะมีเลือกตั้งประธานาธิบดีกันใหม่ก็บังเอิญให้เกิดนักการเมืองหน้าใหม่ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับคนหน้าเก่าเลยแม้แต่น้อย คนนี้ก็คือนาย Joko Widodo ซึ่งมีชื่อเล่นว่า Joko หรือ Jokowi อดีตนายกเทศมนตรีเมือง Surakarta (เมือง Solo ในภาษาอินโดนีเซีย) และผู้ว่าการมหานคร Jakarta ในปัจจุบันซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก

          Jokowi ปัจจุบันอายุ 53 ปี มีหน้าตาละม้ายประธานาธิบดี Obama (อาจช่วยทำให้คนชอบเขาขึ้นเพราะ Obama เป็นที่ชื่นชมมากของคนอินโดนีเซีย เพราะเคยเติบโตที่นั่นระหว่างอายุ 6-10 ปี) เขาเป็นวิศวกร และประกอบธุรกิจก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมือง Solo

          ผลงานจาก Solo ทำให้เขาดังเป็นพลุ ในเวลา 7 ปี เขาทำให้ Solo เป็นศูนย์วัฒนธรรมของเกาะชวา เป็นแหล่งท่องเที่ยวและการประชุมนานาชาติ มีระบบขนส่งมวลชน ยกเครื่องสวนสาธารณะใหญ่สองแห่ง ชาวเมือง Solo ทุกคนมีประกันสุขภาพ ปรับปรุงทางเดินคู่ถนนยาว 7 กิโลเมตร ฯลฯ

          ทัศนคติ ‘can do’ พร้อมทั้งความสามารถในการทำงาน บวกความสามารถในการสื่อสารกับประชาชนระดับล่าง ความมือสะอาด ความติดดิน (เข้าถึงสลัม พูดคุยกับคนยากจน) ตลอดจนความเด็ดขาดในการตัดสินใจของเขา ทำให้เป็นที่ชื่นชมของชาว Solo

          ในปี 2012 เขาก็ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการมหานครจาร์กาตา และผู้คนก็ไม่ผิดหวังกับสไตล์การทำงานถึงลูกถึงคนของเขา โครงการรถใต้ดินและขนส่งมวลชนที่คาราคาซังมานานก็ได้รับการแก้ไขทันใจ ดังนั้นเมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีมาถึงในปี 2014 ผู้คนก็ต้องการให้เขาเป็นประธานาธิบดีอย่างล้นหลาม

          เมื่อหันมาดูคู่แข่งของเขาในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีก็ยิ่งทำให้เข้าใจว่าเหตุใดประชาชนซึ่งกำลังตื่นตัวกับสิทธิของตนเองในระบอบประชาธิปไตยและต้องการสิ่งใหม่จึงต้องการเขา คนแรกซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวแทนพรรค Hanura คือนายพล Wiranto อายุ 66 ปี อดีตนายทหารเอกของประธานาธิบดี Suharto เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการ

          กระทรวงกลาโหมและเกือบได้เป็นทายาท แต่มีชื่อเสียงฮื้อฉาวในการล้ำสิทธิมนุษยชน ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับพวกต่อสู้เพื่อเอกราชของอีสต์ติมอร์ในอดีต และเคยเป็นผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2004

          คนที่สองคือนายพล Prabowo Subianto อายุ 63 ปี อดีตนายพลและอดีตลูกเขยของประธานาธิบดี Suharto ผู้ร่ำรวยจากการประกอบธุรกิจ และเป็นลูกชายของรัฐมนตรีคนสำคัญของประธานาธิบดี Suharto (บอกแล้วว่ามันวนเวียนกันอยู่ทั้งนั้น) เคยสมัครเป็นรองประธานาธิบดีคู่กับ นาง Megawati ในการเลือกตั้งในปี 2009 ครั้งนี้เขาลงสมัครในนามของพรรค Gerindra

          ถึงแม้ Jokowi เป็นสมาชิกพรรค PDI-P ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านซึ่งมีนาง Megawati เป็นหัวหน้า แต่เขาก็รักษาระยะห่างไว้ได้ดีจนมีภาพลักษณ์ของคนหน้าใหม่ และมีความคิดแนวใหม่

          ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่สามของยุคประชาธิปไตย 16 ปี ในเดือนเมษายน 2014 มีนักแสดง นักร้อง ผู้ค้าขายรายเล็กรายน้อย ตลอดจนประชาชนทั่วไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และผู้แทนท้องถิ่นกันจำนวนมากเนื่องจากความตื่นตัวทางการเมือง มีคนหนุ่มสาวที่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกถึง 50-60 ล้านคน ในจำนวนผู้มีสิทธิทั้งหมด 187 ล้านคน

          จากการสำรวจความเห็นของประชาชน ถ้าหากเลือกตั้งประธานาธิบดีวันนี้ Jokowi จะได้กว่าร้อยละ 30 ในขณะที่ผู้แข่งอีก 2 รายได้กันคนละกว่าร้อยละ 10 เท่านั้น ดังนั้นถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด สมาชิกอาเซียนที่ใหญ่ที่สุดจะมีประธานาธิบดีคนใหม่ในปีนี้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของการเมืองใหม่

          ยามเมื่อประเทศต้องการสิ่งใหม่หลังจากเบื่อหน่ายกับรำวงท่าเก่ารอบแล้วรอบเล่า ไม่มีอะไรที่สามารถไปขวางกั้นพลังอันมหาศาลนี้ได้

Lizzie Borden ผู้เป็นต้นตำรับฆ่าพ่อแม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 เมษายน 2557

          สงสัยว่าสังคมไทยบางส่วนป่วยหนักหรือเปล่าจึงเห็นสองครอบครัวแล้วที่ลูกสังหาร พ่อแม่และพี่ชายหรือน้องชายอย่างเลือดเย็น ลองมาดูกรณีของฝรั่งในประวัติศาสตร์กันบ้างว่ามีกรณีเช่นนี้หรือไม่

          สองกรณีของบ้านเรา ฆาตกรรายแรกเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยใหญ่ของรัฐ รายที่สองเข้าใจว่าจบชั้นมัธยมและไม่เรียนต่อ ทั้งสองอยู่ในครอบครัวชั้นกลางระดับสูง ครอบครัวมีเงินทองและมีฐานะในสังคม และพูดตรงกันว่าเจ็บใจที่พ่อแม่รักน้องชายหรือพี่ชายมากกว่า อ่านแล้วสยองว่าจะมีการเลียนแบบกันมากกว่านี้หรือไม่ในอนาคต

          พ่อแม่เป็นพระของลูก สังคมไทยถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ แต่ปัจจุบันในบางครอบครัวพ่อแม่กำลังจะถูกลูกฆ่าตายเป็นผักเป็นปลา ฟังแล้วน่าหดหู่และสังเวชใจเป็นอันมาก

          เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวไทยบางส่วน นักวิชาการด้านจิตแพทย์และจิตวิทยาควรศึกษากรณีต่าง ๆ เหล่านี้อย่างลึกซึ้งเพื่อความเข้าใจและการป้องกัน ตลอดจนให้คำแนะนำที่เหมาะสมในการเลี้ยงดูลูกในสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน

          ในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก กรณีฆาตกรรมพ่อแม่ของ Lizzie Borden เป็นคดีดังสะท้านโลก เธอใช้ขวานฟันพ่อและแม่ใน ค.ศ. 1892 ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ยุคที่ฆาตกรรมโหดร้ายทารุณยังไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก

          Lizzie ดังขนาดมีเพลงร้องเล่นกันในหมู่เด็กวัยรุ่นยุคนั้นว่า “Lizzie took an axe / and gave her mother 40 whacks / and when she saw what she had done / she gave her father 41” (เอาขวานฟันแม่ 40 ครั้ง และเมื่อรู้ว่าได้ทำอะไรลงไปก็หันมาฟันพ่อ 41 ครั้ง)

          บทเพลงน่าสยดสยองนี้ยังเป็นที่เลื่องลือกันถึงปัจจุบัน และที่พูดถึงกันมาตลอดก็เพราะมีข้อสงสัยว่าเธอทำจริงหรือไม่ สำหรับความโหดร้ายขนาดนั้นกับพ่อแม่ ผู้คนบางส่วนไม่อาจเชื่อ ไม่อาจยอมรับและลืมได้ คดีจึงอื้อฉาวจวบจนถึงทุกวันนี้

          เหตุการณ์เกิดขึ้นในเมือง Fall River ในปลายฤดูร้อนของปี 1892 ในเวลาก่อนเที่ยงวัน Andrew ผู้เป็นพ่อซึ่งมีฐานะดีมากโดยเป็นนายธนาคาร และ Abby แม่เลี้ยงถูกฟันด้วยขวานจนจำศพแทบไม่ได้

          Lizzie เป็นผู้ตะโกนบอกให้คนรับใช้และน้องสาวอีกคนที่อยู่บนชั้นสองของบ้านว่าพ่อแม่ตายแล้วมีคนนอกเข้ามาฆ่า พ่อถูกฟันขณะนั่งบนโซฟาและแม่เลี้ยงถูกฟันตายอยู่บนชั้นสอง ทั้งสองถูกขวานฟันที่หัว พ่อโดนไป 11 ครั้ง แม่เลี้ยง 18 ครั้ง

          จากการชันสูตรศพ แม่เลี้ยงถูกฟันก่อนอย่างโหดร้าย ก่อนที่ฆาตกรจะหันมาลงมือฟันพ่อ ในตอนแรกตำรวจเชื่อว่าเป็นกรรมกรที่พ่อปฏิเสธจ่ายเงินค่าจ้างเมื่อเช้าวันนั้น อย่างไรก็ดี Lizzie มีพิรุธจนตำรวจสงสัย และเชื่อว่าเธอเป็นผู้ลงมือ

          คดีนี้ดังไปทั้งสหรัฐอเมริกา ผู้คนสนใจมากเพราะเป็นคดีที่เหลือเชื่อและฆาตกรผู้ต้องสงสัยเป็นลูกสาวคนโตที่หน้าตาดีของครอบครัวเศรษฐีในรัฐที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ

          คดีขึ้นศาลในเวลาอีกหนึ่งปีต่อมา หลักฐานที่ตำรวจมีก็คือ Lizzie พยายามซื้อยาพิษก่อนหน้านี้และเธอไม่ถูกกับแม่เลี้ยง เมื่อผู้คนทั้งประเทศบ้าคลั่งคดีนี้ อัยการก็ออกแนวดราม่าเพื่อความดัง เขาเปิดคดีด้วยการโยนกระโหลกของสองสามีภรรยาที่ถูกฟันยับลงบนโต๊ะซึ่งสร้างความ ฮือฮาได้สมใจ

          อย่างไรก็ดี ฝ่ายอัยการก็ไม่สามารถหาหลักฐานปรักปรำ Lizzie ได้แน่นหนา ขวานที่พบในบ้านก็ไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่าเป็นอาวุธที่ฆ่าเหยื่อทั้งสองราย นอกจากนี้ศาลยังไม่อนุญาตให้ Lizzie ให้การในศาลอีกด้วยเนื่องจากคำให้การจากชั้นสอบสวนดูขัดกันในหลายประเด็นคล้ายกับว่าเธอถูกบังคับให้ตอบ ดังนั้นศาลจึงสั่งปล่อยตัวหลังจากลูกขุนพิจารณานานเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

          ถึงแม้ศาลจะบอกว่าไม่มีหลักฐานซึ่งทำให้เชื่อได้ว่า Lizzie ทำผิดจริง แต่ประชาชนเกือบทั้งหมดเห็นตรงกันข้าม พากันปักใจเชื่อว่า Lizzie คือฆาตกร

          ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้ลงมือใช้ขวานหรือไม่ก็ตาม เธอถูกสังคมลงโทษอย่างแรง ถูกกีดกันจากการคบหาสมาคมกับผู้คนตั้งแต่เธออายุ 32 ปีเมื่อศาลตัดสิน จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของเธอเมื่อมีอายุ 66 ปี ใน ค.ศ. 1927 รวมเวลา 34 ปี ของการถูกสังคมลงโทษ

          ถึงเธอจะตายไปตั้งแต่ปี 1927 แต่เรื่องราวชีวิตเธอไม่เคยจบ อยู่ในรูปหนังสือ หลายเล่ม ภาพยนตร์ ละครเพลง เพลงหลายประเภท แม้แต่คลาสสิก โอเปร่า รวมทั้งบัลเล่ต์ และเรื่องเล่าน่าสยดสยองรอบกองไฟ

          บ้านเลขที่ 92 Second Street แห่งเมือง Fall River รัฐแมสซาชูเซตส์ ยังคงตั้งอยู่โดยเปลี่ยนเป็นโรงแรมขนาดเล็กให้นักท่องเที่ยวที่อยากรู้อยากเห็นมาเยี่ยมชมและพัก

          ในห้องโถงของที่พักมีรูปภาพของ Lizzie แขวนบนฝาห้อง มองเขม็งต้อนรับแขก บนโต๊ะอาหารก็เป็นภาพพิมพ์ของรูปถ่ายเจ้าของบ้านขณะเสียชีวิต ว่ากันว่าบ้านหลังนี้ผีดุเสียด้วย ถ้าไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่ใจกล้าจริงแล้ว ก็อย่าได้แวะเวียนไปเป็นอันขาด

          มนุษย์นั้นมีจุดอ่อนตรงที่มักเชื่อสิ่งที่ตนเองอยากเชื่อ โดยมิพักที่จะฟังเหตุผลเพื่อชั่งน้ำหนักก่อน เมื่อเชื่อไปแล้วก็จะรับแต่หลักฐานสนับสนุนความเชื่อของตนเอง อะไรที่เป็นหลักฐานตรงข้ามกับความเชื่อที่ตนเองมีก็มักโยนทิ้งไม่สนใจพิจารณา

          ไม่ว่า Lizzie จะเป็นฆาตกรจริงหรือไม่ เรื่องที่ตื่นเต้นหวาดเสียวบวกความเชื่อเช่นว่านี้ทำให้ดำรงมาได้ตลอด รวมทั้งแม่นาคพระโขนง (ต้องทำให้เป็นผีคลาสสิกของอาเซียนให้จงได้) ศรีปราชญ์ พระนางสุพรรณกัลยา และไอ้ปื๊ด