Cecil สิงห์โตชื่อดัง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1 กันยายน 2558

          แนวคิดอนุญาตให้ฆ่าสัตว์ป่าเพื่อควบคุมจำนวนและสร้างความสมดุลของป่าได้รับการยอมรับในบางกลุ่มของนักวิชาการมายาวนาน แต่เมื่อ Cecil สิงห์โตชื่อดังของ Zimbabwe ถูกฆ่าอย่างทารุณเมื่อไม่นานมานี้ แนวคิดนี้ได้กลายเป็นเป้าของผู้รักสัตว์ไป

          เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2015 สิงห์โตรูปงามวัย 13 ปี อันเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและนักศึกษาสัตว์ชื่อ Cecil ถูกยิงด้วยธนูจนบาดเจ็บและอีก 40 ชั่วโมงต่อมาก็ถูกตามยิงด้วยปืนยาวจนตาย

          Cecil มีประวัติที่เลื่องลือ ในปี 2009 Cecil ซึ่งตั้งชื่อตาม Cecil Rhodes (นักค้าทาสชาวผิวขาวเมื่อ 150 กว่าปีมาแล้ว เป็นผู้บุกเบิกตั้งประเทศนี้ ชื่อของเขาถูกเอาไปตั้งเป็นชื่อประเทศ Rhodesia ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น Zimbabwe) เป็นหัวโจกฝูงร่วมกับน้องชายต่อสู้สิงห์โตหนุ่มที่เข้ามาท้าทาย ทั้งสามตัวสู้กันดุเดือดจนน้องชายตาย และคู่ต่อสู้เจ็บหนักจนเจ้าหน้าที่ต้องช่วยทำลาย

          เมื่อ Cecil ชนะก็ย้ายที่และไปร่วมกับสิงห์โตตัวผู้อีกตัวชื่อ Jericho สร้างฝูงใหม่ มีลูกถึง 12 ตัว และมีอีหนูสิงห์โตในฝูง 6 ตัว เรียกได้ว่าผงาดเป็นเจ้าพ่อในป่าบริเวณนี้

          ด้วยประวัติของ Cecil และชื่อที่ตั้งทำให้เป็นสัตว์ที่มีคนสนใจ แผงคอที่มีสีดำแทรกเป็นลักษณะประจำตัว และมีแผงคอเล็กติดไว้เพื่อศึกษาติดตามการเคลื่อนไหวผ่านระบบ GPS โดยทีมนักวิจัยจาก Wildlife Conservation Research Unit แห่ง Oxford University โดยทีมนี้ศึกษามาตั้งแต่ปี 1999 และ Cecil อยู่ในโครงการศึกษามาตั้งแต่ปี 2008

          ในจำนวนสิงห์โต 62 ตัวที่ติดแผงคอนับตั้งแต่เริ่มศึกษา 34 ตัวตายไปแล้ว และในจำนวนนี้ 24 ตัวจากการถูกฆ่าโดย “นักกีฬาฆ่าสัตว์” ในบริเวณขอบอุทยานที่คนมาเที่ยวชม Cecil นั้นเชื่องมาก บางครั้งออกมาใกล้รถนักท่องเที่ยวเพียง 10 เมตร กล่าวได้ว่าเป็นสิงห์โตที่โดดเด่นที่สุด ตัวหนึ่งเนื่องจากมีคนรู้จักในจำนวน 25,000-30,000 ตัวในอาฟริกา

          Cecil ถูกยิงด้วยธนูในบริเวณนอกเขตอุทยาน เข้าใจว่าถูกล่อให้ออกมาโดยใช้เหยื่อ เมื่อยิงแล้วผู้ยิงจึงตกใจเมื่อพบว่าเป็นสัตว์ในโครงการและเป็น Cecil จึงร่วมกันแอบซ่อนแผงคอโดยตัดหัวทิ้งและรีบหนีออกมาโดยเร็ว

          ผู้ติดตามศึกษาเห็น Cecil หายไปจึงตามหาโดยใช้ GPS และเอะอะขึ้น จึงรู้ว่าผู้ยิงคือ ทันตแพทย์ชาวอเมริกันชื่อ Walter Palmer ซึ่งได้หนีกลับอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว แต่กลุ่มผู้รักสัตว์ในโซเชียลมีเดียรุมกระหน่ำพร้อมบุกบ้านพักผ่อนในฟลอริด้า เอาป้ายไปติดหน้าบ้าน ถูกก่นด่าชนิดเสียคนไปทั่วโลก

          เมื่อทางการ Zimbabwe สืบสวนก็พบว่ามีพรานท้องถิ่น 2 คน ร่วมมือด้วยโดยหมอผู้ชอบการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจจ่ายเงินสำหรับการยิงสิงห์โตไป 50,000 เหรียญสหรัฐ (1.7 ล้านกว่าบาท) หมออ้างว่าทุกอย่างถูกกฎหมายและจัดการโดยพรานฝรั่งที่มีใบอนุญาตเรียบร้อยในโควต้าการฆ่าของประเทศอย่างถูกกฎหมายประมาณปีละ 40 กว่าตัวต่อปี

          ก่อนหน้านี้หมอ Palmer มีประวัติถูกปรับมาก่อนเมื่อใช้ธนูยิงหมีในบริเวณที่ไกลออกไปจากบริเวณอนุญาตกว่า 60 กิโลเมตร เขาติดสินบนพรานร่วมทีม 20,000 เหรียญ (700,000 บาท) และรอดไปโดยจ่ายค่าปรับไปเพียงเล็กน้อย

          ปัจจุบันประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าการฆ่ามันถูกกฎหมายหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำหรือไม่เมื่อเอาธนูและปืนไปยิงสัตว์ป่าที่มันอยู่ของมันตามธรรมชาติอยู่ดี ๆ โดยมันไม่มีทางสู้ และก็เอาหัวของมันมาสต๊าฟติดข้างฝาผนังเพื่อแสดงความเก่งอาจอันจอมปลอมและป่าเถื่อน

          การอนุญาตให้ยิงสัตว์ป่าในอุทยานในอาฟริกานั้นเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศเหล่านี้ (โดยเฉพาะของผู้นำ) มายาวนาน ข้ออ้างทางวิชาการซึ่งมีส่วนจริงอยู่บ้างก็คือเพื่อควบคุมความสมดุลของป่ามิให้มีสัตว์ใหญ่มากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อกวาง ม้าลาย และสัตว์อื่น ๆ อีกนานาชนิด ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็บอกว่าเหตุใดจึงไม่จับไปปล่อยอีกอุทยานหนึ่งแทนที่จะฆ่ามัน คำตอบก็คือการปล่อยให้เศรษฐีมาล่าสัตว์แบบนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการควบคุมจำนวนสัตว์และแถมได้เงินมาอีกด้วย

          กระแสที่มาแรงก็คือการต่อต้านการล่าสัตว์เช่นนี้ที่มีชื่อเรียกว่า Trophy Hunting เพราะเป็นการรังแกสัตว์ ที่ถูกวิจารณ์ก็คือในรัฐเท็กซัสและฟลอริด้ามีการซื้อสัตว์ป่าจากทั่วโลกมาปล่อยใน สวนสัตว์เปิดตามธรรมชาติส่วนตัวและให้คนเข้าไปล่าสารพัดสัตว์แปลกที่สรรหามา บ่อยครั้งที่เอาสิงห์โตหรือสัตว์อื่นที่เติบโตในกรงมาปล่อยให้เป็นเป้า การล่าครั้งหนึ่งต้องจ่ายเงินคนละเหยียบล้านบาทและมีโควต้าให้ล่าสัตว์แต่ละชนิดในแต่ละครั้ง

          การ “ฆาตกรรม” Cecil ครั้งนี้อาจเป็นจุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในการอนุญาตให้ล่าสัตว์ใน 20 กว่าประเทศอาฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล่าสัตว์ชนิดเอาสัตว์มาปล่อยเพื่อล่า อย่างไรก็ดีการล่าในอาฟริกาคงเปลี่ยนแปลงได้ยากเนื่องจากทำเงินเข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำมายาวนานโดยเฉพาะตราบที่ “มนุษย์ในร่างสัตว์” (เมื่อเป็นสัตว์จึงต้องการกลับไปสู่สัญชาติล่าสัตว์ด้วยกันเอง?) มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามฐานะทางเศรษฐกิจของผู้คนในหลายประเทศ

          ถ้ากลุ่มผู้รักสัตว์ในโลกสามารถสร้างกระแสต่อต้านการล่าสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การล่าสัตว์แบบ trophy hunting ชนิดซื้อสัตว์มาปล่อยแล้วล่าก็อาจประสบปัญหาได้ อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงกระแสความต้องการมีปืนในครอบครองได้อย่างเสรีในบางรัฐของสหรัฐอมริกายังดำรงอยู่อย่างเข้มข้น มิใยที่ยังมีคนตายเพราะปืนอย่างง่าย ๆ อยู่ทุกวัน การห้ามล่าสัตว์ไม่ว่าในลักษณะใดก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้

          Cecil เป็นเพียงสิงห์โตไร้เดียงสาที่ถูกฆ่าอย่างเจ็บปวดด้วยการทำงานของกลไกทุนนิยม (มีเงินก็ไปล่าได้) ถ้าไม่ต้องการให้ Cecil ตายอย่างไร้ประโยชน์แล้ว เราต้องช่วยกันจดจำเหตุการณ์ครั้งนี้และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อโอกาสมาถึง

          George Bernard Shaw (1856-1950) บอกว่า “เมื่อมนุษย์ต้องการฆ่าเสือเขาจะเรียกว่าเป็นกีฬา แต่เมื่อเสือต้องการจะฆ่าเขา เขาเรียกมันว่าความโหดเหี้ยม”

ประธานาธิบดีจอมเจ้าชู้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 สิงหาคม 2558 

          เขาว่องไวปานกามนิตหนุ่มโดดขึ้นซ้อนรถสกู๊ตเตอร์หายไปในความมืดของการจราจร ยามดึกของปารีสเพื่อไปหากิ๊กสาววัย 41 ปี ซึ่งเป็นดาราภาพยนตร์มีชื่อเสียง ภาพเช่นนี้ไม่มีอะไร น่าตื่นเต้นหากเขาไม่ใช่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบัน และเขาก็ไม่น่ากังวลด้วยหากหนังสือพิมพ์ประเภทซุบซิบจะไม่ลงภาพเขาในชุดหมวกกันน็อคพร้อมภาพของกิ๊กสาวเต็ม 7 หน้า ในวันรุ่งขึ้น

          Francois Hollande (อ่านว่า ฟร็องซัว ออล็องด์) อายุ 61 ปี เป็นโสดตลอดชีวิตโดยไม่เคยจดทะเบียนสมรสเป็นทางการกับใคร เขาเป็นคนดังที่อื้อฉาวทางการเมืองเพราะถึงแม้จะเป็นประธานาธิบดีมา 3 ปีแล้วแต่ประชาชนเห็นว่าผลงานยังไม่ไปถึงไหน โพลระบุว่ามีเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่ยอมรับตัวเขา เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้สื่อก็เลยยิ่งสนุกกันใหญ่ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ โพลอีกเช่นกันระบุว่าร้อยละ 77 ของผู้ลงคะแนนเลือกตั้งเห็นว่าเรื่องกับกิ๊กนี้เป็นเรื่องส่วนตัว และร้อยละ 84 บอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่กระทบความเห็นของเขาที่มีต่อออล็องด์ (คือมีความไม่เข้าท่าหรือเข้าท่าเหมือนเดิม)

          นักการเมืองจากทุกพรรคแม้แต่เพศหญิงออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว (สงสัยว่าต้องพูดกันไว้ก่อนเพราะอาจถึงตาตัวเองกันบ้างในอนาคต?) เสียงวิจารณ์ด้านลบก็มีบ้างไปในทางว่ามีวิจารณญาณที่ไม่ดี ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ด่างพร้อย ใช้เงินหลวงไปในการปิดบังการมีกิ๊ก เสียแรงงานไปกับการปกปิดอย่างไร้ประโยชน์ควรให้ความสนใจแก่เรื่องเศรษฐกิจ และปัญหาอื่น ๆ มากกว่า ฯลฯ

          ใครที่ติดตามการเมืองอเมริกัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ คงรู้สึกแปลกใจเพราะหากมีเรื่องอย่างนี้อย่าว่าแต่ประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีเลย แค่รัฐมนตรี หรือแม้แต่วุฒิสภา หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.อเมริกาโชว์รูปเปลือยตนเองบนโซเชียลมีเดียยังต้องลาออกเลย) ก็อยู่ไม่ได้แล้ว แต่ที่นี่ฝรั่งเศส เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

          อดีตประธานาธิบดี Mitterrand ลูกพี่ของออล็องด์จากพรรคสังคมนิยมด้วยกันมีสองครอบครัวลับ ๆ ตลอดเวลาที่เป็นประธานาธิบดีอยู่ 14 ปี จนตายไปเมื่อปี 1996 จึงมีการเปิดเผยว่ามีลูกสาวลับ ๆ อยู่หนึ่งคนที่ปิดบังมา 20 ปี

          อดีตประธานาธิบดี Sarkozy คนก่อนหน้าออล็องด์ ก็หย่าภรรยาขณะที่อยู่ในตำแหน่งและได้นางแบบสาวและนักร้อง Carla Bruni มาเป็นคู่ชีวิต ภาพเปลือยล่อนจ้อนของเธอปรากฏอยู่ในโลกไซเบอร์กันว่อน

          ประวัติของออล็องด์ในเรื่องผู้หญิงนั้นไม่ธรรมดา ผู้หญิงคนแรกที่เขาอยู่ด้วยนั้นชื่อ Segolene Royal เป็นนักการเมืองพรรคเดียวกัน ปัจจุบันอายุ 61 ปี เขามีลูกกับเธอ 4 คน เธอลงแข่งขันตำแหน่งประธานาธิบดีกับ Sarkozy ในปี 2007 แต่พ่ายแพ้ ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นเขาก็เลิกกับเธอ หลังจากอยู่ด้วยกันมา 29 ปี

          ออล็องด์ได้ Valerie Trierweiler ผู้สื่อข่าวสาวอายุ 42 ปีมาอยู่ด้วยหลังจากเลิกกับคนแรกไม่นานขณะที่เธอก็ยังมีสามีอยู่ (ลูก 3 คน จากการหย่าร้าง 2 ครั้ง) เมื่อออล็องด์ได้เป็นประธานาธิบดีในปี 2012 เธอก็มาอยู่กับเขาในฐานะ First Lady ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน

          ตำแหน่งนี้คนฝรั่งเศสไม่ได้ให้ความสำคัญเหมือนกับคนอเมริกัน เธอออกงานสังคมในฐานะ First Lady อยู่ได้เพียง 2 ปี ในต้นปี 2014 ออล็องด์ก็ถูกจับได้ว่ามีสัมพันธ์สวาทกับ Julie Gayet ดาราภาพยนตร์คนสวยลูกสองดังกล่าวแล้ว ทันทีที่ข่าวนี้ออกในสื่อ First Lady ก็ถึงกับช็อกต้องเข้าโรงพยาบาล และเลิกกันไปหลังจากอยู่กันมาได้ 7 ปี

          แฟนของออล็องด์แต่ละคนล้วนเป็นสาวงามระดับนางงามทั้งสิ้น คนแรกนั้นถึงแม้จะมีอายุ 61 ปี ในปัจจุบัน แต่ก็ยังงดงามสู้กับสาว ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น Valerie อายุ 50 ปี หรือแม้แต่ Julie คนล่าสุดที่อายุ 42 ปี ในปีนี้ก็ตาม

          ถึงแม้ลูกคนโตของออล็องด์มีอายุ 31 ปีแล้ว แต่ชีวิตรักของเขาดำเนินไปอย่างไม่มีขีดจำกัด Julie นั้นได้รับการศึกษาดีและมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง เธอเป็นหลานปู่ของอดีตหัวหน้ากลุ่มใต้ดินต่อต้านนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส Trierweiler ก็เป็นคนมีการศึกษาดีเรียนจบ Sorbonne ส่วน Royal นั้นเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสที่เป็นตัวแทนจากพรรคใหญ่ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

          ออล็องด์มีฝีมือในการได้สาวสวย หัวดี มีชื่อเสียงมาเป็นคู่ แต่ฝีมือการทำงานของเขาในฐานะประธานาธิบดีในสายตาคนฝรั่งเศสนั้นไปในทางตรงกันข้าม เขามีปัญหาในเรื่องภาพพจน์ เริ่มตั้งแต่ภาพถ่ายของเขาให้ความรู้สึกที่แปลก นัยตาและแว่นตาที่เขาใส่ให้ภาพที่คล้ายตัวตลก คนฝรั่งเศสเห็นว่าเขาไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย สัญญาอะไรที่เกินจริงและไม่เคยทำได้ (สัญญาว่าจะลดอัตราการว่างงานร้อยละ 10.5 ซึ่งสูงสุดในรอบ 12 ปี ให้หายไปภายในปี 2014 ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้) ผู้คนรู้สึกไม่แน่ใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มันดูลื่นไหล กลิ้งไปมาแบบจับไม่ติด (เขามีฉายาว่า “Flanby” ซึ่งเป็นยี่ห้อหนึ่งของเยลลี่ในฝรั่งเศส)

          สื่อให้ความเห็นว่าเขาเป็นคนขาดเสน่ห์ทางการเมือง (เสน่ห์ส่วนตัวนั้นมั่นใจว่าไม่ธรรมดา เพราะมิฉะนั้นคงไม่สามารถพิชิตระดับยอดมาได้เท่าที่รู้ถึง 3 คน เป็นแน่) อีกทั้งเป็นคนหน้าบาง ถ้าถูกวิจารณ์แล้วจะออกอาการอย่างไม่สมกับความเป็นนักการเมือง

          ออล็องด์มีพ่อเป็นแพทย์ และแม่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เข้าสู่การเมืองและเป็นนักการเมืองมาตลอดชีวิต คร่ำหวอดในการเมืองของพรรคสังคมนิยมมายาวนาน เขาได้รับโอกาสดีเมื่อคู่แข่งคนสำคัญในพรรคคือ Strauss-Kahn อดีตผู้จัดการ IMF สะดุดขาตนเองเมื่อถูกคดีข่มขืนพนักงานทำความสะอาดโรงแรมในนิวยอร์กในปี 2011 จนต้องถอนตัวออกจากการแข่งขัน ออล็องด์จึงได้เป็นตัวแทนพรรค และเอาชนะ Sarkozy ซึ่งลงแข่งขันสมัยที่สองได้

          หลังจากถูกจับได้ว่ามีความสัมพันธ์กับดาราสาวตอนต้นปี 2014 ข่าวความสัมพันธ์ของเขากับเธอก็เงียบเชียบไปนาน เธอมิได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี และทำหน้าที่ First Lady หากมีข่าวว่าเขาหลบไปหาเธออาทิตย์ละหลายคืน

          ในแต่ละสังคมมีมาตรฐานในเรื่องจริยธรรมทางเพศที่แตกต่างกันออกไป และประชาชนก็ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายในระดับที่ไม่เท่ากัน มีหลายคำถามที่น่าสนใจ เช่น ในโลกเรามีมาตรฐานทางจริยธรรมในเรื่องนี้ที่แตกต่างกันด้วยหรือ เหตุใดคนฝรั่งเศสจึงคิดว่าเรื่องการนอกใจคู่ชีวิตเช่นนี้จึงเป็นเรื่องส่วนตัว และคอรัปชั่นสามารถเข้าหรอบเดียวกันกับเรื่องจริยธรรมทางเพศที่ว่า ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าเห็นเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่

          ความพร่องจริยธรรมทางเพศมักเกิดจากการมีเงินและอำนาจมาก ซึ่งสองสิ่งนี้อาจมาจากคอรัปชั่น ดังนั้นจริยธรรมทางเพศ่ที่บิดเบี้ยวจึงมีความสัมพันธ์กับคอรัปชั่น ถ้าปราบคอรัปชั่นซึ่งทุกสังคมเห็นตรงกันว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายลงได้ จริยธรรมทางเพศอาจมีสภาวะที่ดีขึ้นก็เป็นได้

แหกคุกชนิดโลกตะลึง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 สิงหาคม 2558

          คงไม่มีการแหกคุกครั้งใดใน 100-200 ปีที่ผ่านมาซึ่งยิ่งใหญ่เท่าครั้งที่ผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ของยอดนักค้ายาเสพติดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก จะไม่สุดยอดได้อย่างไรในเมื่อเขาหนีออกจากคุกผ่านอุโมงค์ที่ขุดขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะยาว 1.5 กิโลเมตร

         Joaquín Guzmán คือชื่อจริงของเขา แต่ผู้คนรู้จักเขาในนาม “El Chapo” หรือ “ไอ้เตี้ย” แห่งเม็กซิโก ปัจจุบันอายุ 58 ปี มีภรรยาไม่ต่ำกว่า 4 คน และมีลูกไม่ต่ำกว่า 10 คน

         สื่อระบุว่าเขาเป็นคนรวยอันดับ 10 ของเม็กซิโก (ลำดับที่ 1,140 ในโลก) โดยมีมูลค่าสุทธิประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (33,000 ล้านบาท) อีกทั้งเป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดอันดับสองของเม็กซิโก รองจากนาย Carlos Slim (เศรษฐีอันดับหนึ่งของเม็กซิโก และระหว่างปี 2010 ถึง 2013 เขารวยที่สุดในโลก รวยกว่า Warren Buffett และ Bill Gates) นอกจากความรวยแล้วก็ยังมีความเลวติดอันดับหนึ่งของโลก ทางการสหรัฐเรียกเขาว่า “นักค้ายาเสพติดที่มีอิทธิพลที่สุดของโลก” “เจ้าพ่อค้ายาเสพติดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกยุค” 

         แก๊งค์ของเขาคือ Sinaloa Cartel (Sinaloa เป็นบ้านเกิดของเขาซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของเม็กซิโก) ในตอนแรกทำหน้าที่ลักลอบโคเคนจากโคลัมเบียผ่านเม็กซิโกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งบริโภคโคเคนใหญ่สุดของโลก โดยเขามีเครือข่ายผู้ค้าปลีกกระจายอยู่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา 

         แค่นั้นไม่พอต่อมาแก๊งค์ของเขายังเกี่ยวพันกับการผลิต ลักลอบนำเข้า ขายปลีกสาร Methamphetamine (ซึ่งใช้ผลิตยาบ้า) กัญชา ยาอี (Ecstasy หรือ MDMA) ตลอดจนเฮโรอีนไปทั่วทั้งอเมริกาเหนือและยุโรป เขาค้าขายกว้างขวางจนมีสถิติว่าขณะที่เขาถูกจับในปี 2014 Chapo ลักลอบนำยาเสพติดเข้าสหรัฐอเมริกามากกว่าใครทั้งหมดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์

         ด้วยผลงานทั้งหมดที่กล่าวมา Chapo จึงเป็นที่หมายปองอย่างยิ่งของทางการสหรัฐอเมริกา ค่าหัวของเขาคือ 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ไม่ว่าค่าหัวจะสูงอย่างไร ปลาไหลอย่างเขาก็ยากนักที่จะถูกจับได้เพราะเขามีเงินมหาศาลเป็นเมือกแสนลื่น

         ชีวิต Chapo ลำบากตอนเด็กเพราะต้องช่วยพ่อทำเกษตรกรรมซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการปลูกฝิ่น รัฐ Sinaloa บ้านเกิดมีพื้นที่และภูมิอากาศเหมาะสม เขาได้รับการศึกษาลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะขาดครูในบริเวณภูเขากันดาร Chapo ถูกพ่อเฆี่ยนตีอยู่เสมอถึงแม้จะช่วยพ่อทำงานหนักทั้งปลูกฝิ่น และปลูกกัญชา ตอนเป็นวัยรุ่นเขาถูกพ่อไล่ออกจากบ้านจึงไปอยู่กับปู่และญาติพี่น้อง และก็ได้พบลุงซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกค้ายาของเม็กซิโก

         Chapo ร่วมงานค้ายาจากตำแหน่งเล็ก ๆ ในกลุ่มผู้ผูกขาดค้ายาเสพติดของรัฐ เมื่อแสดงฝีมือลายมือในความกล้ายิงหัวปรปักษ์ทุกคน บวกความฉลาดเจ้าเล่ห์ ความทะเยอทะยาน ความมีใจนักเลงกล้าได้กล้าเสีย และความสามารถในการจัดการ Chapo ก็ใหญ่โตขึ้นเป็นลำดับ

         จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังจากการฆ่าฟันกันอย่างโหดเหี้ยมระหว่างแก๊งค์เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ มีทั้งเรียกค่าไถ่ ทรมาน ยิงทิ้งญาติและลูกเมียฝ่ายตรงข้าม Chapo ผู้มีส่วนร่วมด้วยอย่างแข็งขันก็ก้าวขึ้นเป็นใหญ่เต็มตัวในปี 1995 แทนลูกพี่ซึ่งถูกจับ

         ในช่วงปี 1993 ที่ Chapo กำลังจะเป็นหัวโจก ทางการก็ตระหนักในความสำคัญของเขา และพุ่งเข้ามาที่ตัวเขาจนต้องหนีไปอยู่ประเทศกัวเตมาลา และถูกจับส่งตัวกลับไปเข้าคุกที่เม็กซิโก ในคุกที่มีการคุ้มกันแข็งขันที่สุดด้วยสารพัดข้อหา

         ในขณะที่อยู่ในคุก เขาก็ค้ายาเสพติดไม่หยุด โดยมีน้องชายเป็นมือเป็นแขน ขณะที่อยู่ในคุกก็สุขสบายเพราะเขามีเงินสดเป็นกระเป๋ามาแจกผู้คุม เขาติดคุกไปในขณะเดียวกับที่ธุรกิจใหญ่โตขึ้นเป็นลำดบ Chapo ติดคุกอยู่ 8 ปี และในปี 2001 ผู้คุมหลายคนก็ร่วมมือให้เขา โดดลงไปซ่อนตัวในรถเข็นผ้าซักและขึ้นรถหลบหนีออกไปจากคุกอย่างลอยนวล

         ทั้งหมดนี้เขาติดสินบนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในทุกระดับ มีตัวเลขว่าเขาจ่ายเงินไปทั้งหมด 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่เขาได้รับขณะที่อยู่ในคุก

         เมื่อ Chapo ออกมานอกคุกก็พยายามปราบแก๊งค์อื่น ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จสมบูรณ์ถึงแม้จะเรียกได้ว่าเป็นหัวโจกของการค้ายาเสพติดในเม็กซิโกและโลกก็ตาม ทางการเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกาควานหาตัวเขาอย่างหนักหน่วง แต่ก็หลุดรอดไปได้ทุกครั้ง จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ในปี 2014 หลังจากหนีรอดไปได้ 13 ปี

         ทางการรู้ว่าเขาอยู่ในถิ่นปลูกฝิ่นของบริเวณรัฐบ้านเกิดแต่ก็เข้าไปจับได้ลำบากมากเพราะมีคนคุ้มกันไม่ต่ำกว่า 300 คน และหลบอยู่ในบริเวณที่เข้าไปถึงได้ยาก ฝ่ายตามล่าจึงต้องรอให้เขาออกมาเพราะความชะล่าใจ ในที่สุดเขาก็ถูกจับได้ในตอนต้นปี 2014 ในโรงแรมริมทะเลเมือง Mazatlán โดยหนึ่งในผู้คุ้มกันแอบให้ข้อมูลแก่ทางการ

         Chapo อยู่ในคุกที่ทางการมั่นใจว่าไม่มีทางหนีรอดเด็ดขาดเนื่องจากมีบทเรียนจากการหนีครั้งที่แล้วเพื่อรอส่งตัวไปขึ้นศาลที่สหรัฐอเมริกาในหลายข้อหาหนักซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีทางหลุดรอดออกมาได้อีกเลยตลอดชีวิต

         เขาถูกขังในห้องเดี่ยวที่มีกล้องโทรทัศน์จับตาดูการเคลื่อนไหวของเขา 24 ชั่วโมง ไม่มีการเยี่ยมหรือประกัน ไม่ให้ติดต่อกับใครเลยทั้งในและนอกคุก วันหนึ่งเขามีเวลาออกนอกห้องที่ไม่มีหน้าต่างเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

         หลังจากถูกจองจำอยู่ได้ 17 เดือนในคุกที่ถือว่าสุดยอดที่สุดในการควบคุมดูแล ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2015 เวลาประมาณสามทุ่ม Chapo ก็หายตัวไปจาก Federal Social Readaptation Center No. 1 ของเม็กซิโก ราวกับเป็นนักเล่นกลฝีมือระดับฮูดินี

         เมื่อผู้คุมที่เฝ้ากล้องโทรทัศน์ไม่เห็นตัวเขาเป็นเวลา 18 นาที เพราะเดิมเข้าใจว่าเขาอยู่ในส่วนที่เป็นห้องอาบน้ำซึ่งกล้องถ่ายเข้าไปไม่ถึงเพื่อความเป็นส่วนตัว ก็เอะอะโวยวายขึ้น และกว่าผู้คุมคนอื่น ๆ จะค่อย ๆ เดินมาเวลาก็ผ่านไปอีก 30 นาที เมื่อค้นห้องก็พบว่าเขาหายลงไปในท่อน้ำทิ้งของห้องอาบน้ำ

         เมื่อตรวจเช็คว่าคนจะกลายเป็นน้ำหายไปได้อย่างไรก็พบว่าท่อน้ำทิ้งนั้นเชื่อมต่อไปยังอุโมงค์ลึกลงไปจากผิวดิน 10 เมตรขนาดความสูง 168 เซนติเมตร และกว้าง 70 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร โดยเชื่อมไปถึงบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่า

         ในอุโมงค์ซึ่งมีการสร้างอย่างแข็งแรงมีระบบระบายอากาศอย่างดี พบมอเตอร์ไซค์ และบันไดเพื่อใช้ไต่ขึ้นลง ซึ่งกว่าจะพบอุโมงค์และบ้านปลายทาง Chapo ก็หายตัวไปนานหลายชั่วโมงแล้ว

         การหนีครั้งที่สองนี้เป็นเรื่องใหญ่โตระหว่างประเทศ เพราะเขาเป็นคนดังมาก และสหรัฐอเมริกาก็เตรียมลับมีดรออยู่อย่างมั่นใจ จากการสอบสวนในขั้นต้นก็พบว่ามีการให้สินบนมูลค่ามหาศาลแก่ทุกระดับ มิฉะนั้นจะมีอุโมงค์ซึ่งเป็นเครื่องมือโปรดของเขาในการขนยาเสพติดข้ามพรมแดนสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยในการหนีได้อย่างไร

         การผลิตและค้ายาเสพติดนำไปสู่การแตกสลายของชีวิตมนุษย์และครอบครัว สร้างความเจ็บปวด และรอยน้ำตาอย่างเหลือที่จะพรรณา คนเหล่านี้มองไม่เห็นหรือไม่ต้องการเห็นเพราะความโลภได้บดบังความถูกต้องและความดีงามอย่างมิดชิด 

ปีศาจหนีคุกฟิลิปปินส์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 สิงหาคม 2558

          ฆ่าโหดหมู่ในฟิลิปปินส์ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า Maguindanao Massacre ในปลายปี 2009 นั้นโหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่งในภูมิภาคนี้เพราะมีผู้ถูกฆ่าตายรวม 58 คน “ผู้สั่งการ” ถูกจับได้แต่น่าเสียดายที่หนีตายไปเสียก่อนเมื่อเร็ว ๆ นี้หลังจากติดคุกมาประมาณ 6 ปี

          ผู้เขียนเคยเขียนเรื่องนี้เมื่อ 5 ปีมาแล้ว แต่ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปยาวนานคดีก็ไม่ไป ถึงไหน ประธานาธิบดีอาคิโนต้องลงมาเร่งคดีเองเพราะกลัวว่าเมื่อตนเองพ้นจากตำแหน่งไปในอีก 1 ปีข้างหน้าแล้ว มันจะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูเพราะกลุ่มผู้สั่งฆ่ามีอิทธิพลทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

          ที่เมือง Ampatuan ในรัฐ Maguindanao บนเกาะมินดาเนาซึ่งอยู่ทางใต้ของหมูเกาะฟิลิปปินส์นั้นมีผู้ยิ่งใหญ่อยู่คนหนึ่งชื่อ Andal Ampatuan Sr. เป็นผู้ว่าการรัฐมา 12 ปีแล้ว จนไม่สามารถเป็นต่อได้อีกจึงจะส่งลูกชายคือ Andal Ampatuan Jr. ลงแข่งขันเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไปในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในปี 2010 ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่าจะได้รับเลือก

          บังเอิญมีคนหาญกล้ามาท้าทายอำนาจคือ Esmael Mangudadatu รองนายกเทศมนตรีเมือง Buluan ได้ประกาศว่าจะลงสมัครแข่งขันเป็นผู้ว่าการรัฐด้วย ถึงแม้ว่ากลุ่มของนาย Ampatuan Sr. จะมั่นใจในผลเลือกตั้งมาก แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะมีคนกล้ามาลงแข่งด้วย

          ในวันยื่นใบสมัครนั้นนาย Esmael ได้เชิญชวนสื่อระดับชาติและท้องถิ่นให้เดินทางพร้อมกับญาติ ๆ ของเขาไปเป็นที่สำนักงานของเมือง เนื่องจากคู่แข่งของเขาได้ประกาศว่าหากเขาลงสมัครด้วยก็จะสับเขาเป็นชิ้น ๆ ดังนั้นจึงขอให้ช่วยเดินทางมาเป็นพยานเพื่อป้องกันภัยให้เขาด้วย

          เหล่าบรรดาผู้ชะตาขาดประกอบด้วยสื่อจำนวน 34 คน และภรรยาของ Esmael น้องสาวของเขาสองคน อาและลูกพี่ลูกน้อง และผู้ติดตามก็ออกเดินทางในรถ 6 คัน ไปร่วมเป็นพยาน โดยไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำร้ายแต่หารู้ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามได้ใช้รถแบ็กโฮเตรียมขุดหลุมฝังศพทุกคนและรถยนต์ไว้แล้ว ไม่มีใครนึกว่าจะมีใครกล้าทำอะไรบ้าบิ่นหากเดินทางไปกันเป็นจำนวนมากขนาดนั้น

          การคาดการณ์ผิดครั้งนี้ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ผู้เดินทางและผู้ร่วมดูเหตุการณ์รวมทั้งหมด 58 คน ถูกฆ่าตายหมดอย่างทารุณเหลือที่จะกล่าว สื่อหญิง 4 ใน 5 คน ถูกข่มขืนก่อนถูกยิงตาย ภรรยาของนาย Esmael นั้นโดนหนักสุดถูกมีดปาดอวัยวะเพศ ถูกยิงที่อวัยวะเพศ และหน้าอกสองข้าง แทงตาสองข้าง ยิงกรอกปากและตัดขา

          อาและน้องสาวซึ่งท้องอยู่ก็ถูกฆ่าอย่างทารุณเช่นเดียวกับสื่อทั้งหมด บ้างก็ถูก ตัดคอ ยิงเผาขน เรียกว่าฆ่าไม่เลือกและเหี้ยมโหดอย่างที่สุดซึ่งต่างไปจากการฆ่ากันเป็นปกติในประเทศนี้เมื่อเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมือง

          จากคำให้การของพยาน ก่อนที่ขบวนรถจะไปถึงสำนักงานประมาณ 10 กิโลเมตร ก็มีกลุ่มคนครบอาวุธ 100 คน แต่งเครื่องแบบตำรวจและทหาร เข้าจับกุมลากไปซ้อมและฆ่า ก่อนตายภรรยาของเขามีโอกาสแอบส่ง SMS โดยระบุว่าใครเป็นคนทำและเน้นว่าเธอถูกตบหน้าโดยนาย Ampatuan ผู้ลูกด้วย

          แต่ฟ้ามีตา การฝังศพทำได้ไม่เสร็จเรียบร้อยเพราะมีเฮลิคอปเตอร์บินผ่านมาเห็นเข้า บรรดาฆาตกรจึงแตกฮือ เมื่อเรื่องรั่วออกไปข้างนอกก็เป็นข่าวใหญ่ ทางการท้องถิ่นก็กล้า ๆ กลัว ๆ เพราะมีบุญคุณกันมายาวนาน ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโยในขณะนั้นซึ่งเป็นพวกเดียวกันเพราะ ผู้พ่อและผู้ลูกเป็นหัวคะแนนเสียงให้ในเขตจนเธอได้คะแนนเสียงท่วมท้น จึงจำเป็นต้องจัดการกับกลุ่มฆาตกรเพราะถือได้ว่าล้ำเส้นมากเกินไป อนึ่งเมื่อการเลือกตั้งปี 2010 มาถึง Esmael ก็ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐสมใจหลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่

          คดีนี้ทางการระบุผู้ร่วมกระทำผิดไม่ต่ำกว่า 198 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีตัวพ่อคือ Andal Ampatuan Sr. ตัวลูกคือ Andal Amputuan Jr. และอีกหลายคนในตระกูล Ampatuan ณ ปลายปี 2011 ซึ่งเป็นเวลาสองปีหลังจากเหตุการณ์ สามารถจับผู้ต้องสงสัยมาได้เพียง 97 คน ส่วนสอง พ่อลูกนั้นติดคุกโดยศาลไม่ให้ประกัน

          หลักฐานคดีนี้ค่อนข้างแน่นหนา แต่พยานก็หายตัวไปจำนวนมากหรือไม่ก็ไม่กล้าพูด อย่างไรก็ดีพยานคนหนึ่งซึ่งลืมกลัวได้ให้การว่าก่อนหน้าเหตุการณ์ 6 วัน เขาได้ยินพ่อลูกคุยกันเรื่องการยับยั้งการสมัครรับเลือกตั้งของ Esmael เขาได้ยินตัวลูกบอกพ่อว่า “มันง่ายจะตายไป ก็ฆ่ามันทั้งหมดตอนมาถึงที่นั่น”

          การสอบสวนคดีนี้กระทำไปด้วยความยากลำบากเพราะนอกจากมีคนตายถึง 58 คนแล้ว หลักฐานทางนิติเวชก็ถูกทำลายอย่างจงใจและไม่ตั้งใจด้วยความไม่รู้ จนต้องอาศัยคำให้การของพยานกว่า 200 ปาก ซึ่งพยานก็ถูกข่มขู่ ติดสินบน และบางคนก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว

          ฝ่ายจำเลยซึ่งมีเงินมากใช้แง่มุมกฎหมายต่าง ๆ ต่อสู้คดี สังคมฟิลิปปินส์ซึ่งมีความละม้ายคล้ายอเมริกันอยู่มากโดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายจึงสามารถโต้แย้งกันได้แทบไม่รู้จบ หน่วงเหนี่ยวคดีจนกระทั่งเกือบ 6 ปีผ่านไปแล้วคดีก็ยังไม่เดินไปถึงไหน “ปีศาจตัวพ่อ” รอไม่ไหวจึงลาไปก่อนด้วยโรคมะเร็งในตับหลังจากป่วยนอนโรงพยาบาลได้สองเดือนเท่านั้น

          โลกจับตามองคดีนี้เพราะเป็นบทพิสูจน์การเป็นสังคมมีขื่อมีแปของฟิลิปปินส์ ลักษณะการตายที่ทารุณของคนถึง 58 คน โดยเฉพาะส่วนใหญ่เป็นสื่อ ทำให้สมาชิกของสื่อทั่วโลกให้ความสนใจกับคดีเพราะถือได้ว่าเป็นคดีที่สื่อนานาประเภทถึงแก่ชีวิตรวมกันเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

          ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจบ้าอำนาจจากอเวจีเพียง 2 ตัวสามารถคบคิดกันสร้างความวิบัติได้มากมายขนาดนี้ อำนาจที่อยู่ในมือคนเลวนั้นเป็นสิ่งน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง การตัดสินใจผิดเพียงครั้งเดียวสามารถทำลายชีวิตผู้คนที่ไร้เดียงสาและทำลายครอบครัวตนเองได้อย่างรวดเร็ว

          ใครก็ตามจงอย่าได้ประมาทเมื่อมีอำนาจในมือเป็นอันขาด สติและความใฝ่ดีเท่านั้นที่จะช่วยคัดคานมิให้กระทำสิ่งที่ชั่วร้าย

ช่วยหนึ่งชีวิตคือช่วยโลก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
28 กรกฎาคม 2558

          ถึงแม้เธอจะแต่งงานกับชายผู้นี้มาเป็นเวลา 50 ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่าเขาได้ทำสิ่งที่โลกสรรเสริญ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบสมุดบันทึกพร้อมด้วยรูปภาพ จดหมาย เอกสารเดินทาง ใบบันทึกข้อความจำนวนมากในห้องเก็บของบนชั้นหลังคา หลังจากบังคับให้สามีอธิบายเธอจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไปคือการช่วยเด็กจำนวน 669 คนให้พ้นจากเงื้อมมือของนาซีเมื่อ 50 ปีก่อน วีรบุรุษผู้นี้บอกเธอว่าทิ้งมันไปเถอะคงไม่มีใครสนใจหรอก ในขณะนั้นเขามิได้ตระหนักเลยว่าโลกจะตื่นเต้นกับเรื่องของเขาเพียงใด

          ชื่อของเขาคือ Nicholas Winton ชาวอังกฤษ ซึ่งตอนเกิดเป็นเยอรมันเชื้อสายยิว แต่ต่อมาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ในปี 1938 ขณะที่เขามีอายุ 29 ปี กำลังทำงานในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนก็ได้รับโทรศัพท์ชักชวนจากเพื่อนที่อยู่ในกรุงปารกเมืองหลวงของเชคโกสโลวาเกียว่าให้ไปช่วยงานสำคัญ เมื่อเขาไปถึงก็รู้สึกสลดใจเป็นอันมากกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวยิวที่ สิ้นหวัง พยายามดิ้นรนอพยพออกจากประเทศเพราะรู้ว่าภัยกำลังมาใกล้ตนเองและลูกหลาน

          นาซีกำลังไล่ล่ายิวในทุกหนแห่ง และในดินแดนนี้มีความชัดเจนว่าในอีกไม่ช้าเยอรมันจะเข้ายึดครอง และคาดได้ว่ายิวเหล่านั้นจะมีชะตากรรมอย่างไร

          Winton ร่วมกับเพื่อนหาหนทางช่วยเหลือเด็กยิวออกนอกประเทศ ซึ่งมีสองประเทศคืออังกฤษและสวีเดนเท่านั้นที่รับเด็กอพยพอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีครอบครัวยอมรับให้ไปอยู่ในบ้าน และเงินสดอีก 50 ปอนด์เพื่อเป็นค่าตั๋วเดินทางกลับหากมีปัญหา

          ยิวบางคนมีเงินแต่ปัญหาก็คือไม่มีใบอนุญาตให้เข้าประเทศจากรัฐบาลอังกฤษและหน่วยงานอังกฤษก็ทำงานเชื่องช้ามาก Winton จึงฝากให้เพื่อนช่วยลงทะเบียนเด็กที่ต้องการอพยพท่ามกลางน้ำตาของพ่อแม่และเด็กที่ต้องจากกันโดยไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้พบกันอีกหรือไม่ พ่อแม่ยอมเสียสละให้ลูกได้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพราะตัวเองถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ (พ่อแม่เหล่านี้ทั้งหมดต่อมาถูกส่งไปอยู่ค่ายกักกัน และเสียชีวิต)

          ตัวของ Winton เดินทางกลับไปลอนดอนเพื่อระดมหาเงินทุนเพื่อเป็นค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งขาดแคลนมากในสถานที่ซึ่งเพื่อนกำลังแอบรับลงทะเบียนเนื่องจากต้องทำอย่างลับ มิฉะนั้นอาจถูกหน่วยเกสตาโปจับไปสอบสวนและฆ่าได้

          งานที่ Winton ช่วยเหลือเด็กของเชคโกสโลวาเกียนี้คู่ขนานกับโครงการของรัฐบาลอังกฤษที่ช่วยเหลือยิวเยอรมันและออสเตรีย ซึ่งมีชื่อว่า Operation Kindertransport งานของเขาเป็นงานส่วนตัวที่ทุ่มเทแรงงานแรงใจเพื่อช่วยเหลือเด็กเชคโกสโลวาเกียที่เขาเห็นแล้วทนไม่ได้เพราะไม่มีใครช่วยเหลือ และต้องรีบทำก่อนที่เยอรมันจะบุก

          Winton ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ได้รับเงินช่วยเหลือและได้รับน้ำใจจากครอบครัวชาวอังกฤษ ยินดีรับเด็กไปอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก แต่คำถามก็คือจะขนเด็กเหล่านี้ซึ่งเขาต้องการขนไปเป็นพันคนตามคำขอร้องของพ่อแม่ได้อย่างไร ถ้าทำเอิกเกริกไปก็อาจถูกห้ามโดยนาซีไม่ให้ออกนอกประเทศเลย วิธีการของเขาก็คือการติดสินบนทหารนาซีที่ดูแลคนเหล่านี้ในทุกระดับและในทุกจุดที่เดินทาง สำหรับใบอนุญาตเข้าอังกฤษนั้นเมื่อใช้เวลานานมากนักก็ปลอมมันเสียเลย

          ในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1939 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ฮิตเลอร์จะแบ่งดินแดนของ เชคโกสโลวาเกียและเข้ามายึดครอง เด็กกลุ่มแรก 20 คนก็ออกเดินทางจากปรากด้วยเครื่องบิน และอีก 6 กลุ่มตามมาโดยการเดินทางด้วยรถไฟ นั่งเรือข้ามช่องแคบอังกฤษและจบลงที่สถานีรถไฟ Liverpool Street ในลอนดอน ซึ่งมีครอบครัวมารับกันมากมาย

          Winton ทำได้สำเร็จรวมเด็กทั้งหมด 669 คน ที่เดินทางถึงอังกฤษอย่างปลอดภัยและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นตลอดการเดินทางที่อาจถูกระงับได้ทุกขณะท่ามกลางความเศร้าสร้อยที่ต้องจากพ่อแม่ไปอยู่ในมือของคนที่ไม่รู้จัก โดยเด็กมิได้ตระหนักในขณะนั้นว่าแท้จริงแล้วกำลังหลบหนีมือมัจจุราช

          สิ่งน่าเศร้าที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือในการเดินทางเที่ยวสุดท้ายซึ่งมีเด็กจำนวนมากที่สุดถึง 250 คน ซึ่งกำหนดเป็นวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 นั้น ตรงกับวันที่ฮิตเลอร์บุกโปแลนด์อันเป็นชนวน ไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่สองพอดี ชายแดนทั้งหมดถูกปิด ห้ามการเดินทางออกนอกประเทศทุกลักษณะ เด็กเหล่านั้นจึงไม่ได้ขึ้นรถไฟจากสถานีกรุงปราก และไม่เคยมีใครได้ทราบข่าวคราวของเด็กเหล่านั้นอีกเลย เข้าใจว่าถูกฆ่าตายหมดในห้องแก๊สที่นาซีใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดยิว

          ถ้าแม้นว่าเดินทางเร็วกว่าเพียงหนึ่งวัน เด็กกลุ่ม 250 คนนี้ก็คงได้มีโอกาสมีชีวิตที่ดีและ มีลูกหลานสืบต่อมาเหมือนเด็ก 669 คน ที่ Winton กับเพื่อนอีกหลายคนได้ร่วมกันช่วยไว้

          Winton เป็นคนถ่อมตัว เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตหรือมีความสำคัญมากนักแต่ก็มีคนเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 3 เรื่อง ได้รับเกียรติมากมายหลังจากเรื่องราวของเขาถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากผ่านไปแล้ว 50 ปี โดยระหว่างนั้นเขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยแม้แต่ลูกและภรรยา

          เกียรติสูงสุดที่เขาได้รับจากอังกฤษก็คือ “Knighthood” จากสมเด็จพระราชินี (ได้เป็น Sir Nicholas George Winton) และจากประธานาธิบดี Czech Republic ได้รับ Order of T.G. Masaryk

          สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดเขาไม่นึกว่าเทียบได้กับผลงานของ Schindler ชาวเยอรมันผู้ช่วยยิว 1,200 คน ให้ทำงานในโรงงานและช่วยให้หลบหนี หรือผลงานของ Wallenberg นักธุรกิจชาวสวีเดนและนักการทูตที่ช่วยออกพาสปอร์ตและเอกสารปลอมช่วยเหลือยิวนับหมื่นคนในฮังการี อย่างไรก็ดีงานจำลองเหตุการณ์ที่ควรจะเกิดขึ้นกับรถขบวนสุดท้ายขนเด็ก 250 คน เมื่อ 70 ปีก่อน ทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญขึ้นมา กลุ่มของ “Winton’s Children” ดั้งเดิมและลูกหลานได้ร่วมกันจัดขบวนรถไฟที่วิ่งในสมัยที่เขาหนีรอดมาได้โดย โดยสารกันไปจากสถานีกรุงปรากไปยังสถานี Liverpool Street Station ในลอนดอนที่ Winton ผู้ซึ่งมีอายุผ่าน 100 ปีไปหมาด ๆ รออยู่

          ในจำนวนเด็กของเขานั้นหลายคนได้กลายเป็นคนสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมมากมาย เช่น เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คนสำคัญ เป็นสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ รัฐมนตรีของอังกฤษ ผู้ก่อตั้งกองทัพอากาศอิสราเอล นักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ ฯลฯ ยังไม่นับลูกหลานอีกมากมายที่เป็นพลังสำคัญของสังคมในเวลาต่อมา

          Winton เพิ่งจากไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ในวัย 106 ปี อย่างอิ่มเอมใจกับสิ่งที่เขาได้ทำในชีวิตถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจให้ใครรู้ก็ตาม ก่อนเสียชีวิตเขาใส่แหวนที่บรรดา “ลูก” ของเขาได้มอบให้เป็นของขวัญ บนแหวนมีข้อความสลักที่นำมาจาก Talmud หรือ Book of Jewish Law ว่า “Save one life, save the world”

เกิดอะไรขึ้นกับกรีก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
21 กรกฎาคม 2558

          โลกเต็มไปด้วยข้อมูลและข่าวสารมากมายจนล้นไปหมดในแต่ละวัน บางครั้งไม่ได้สนใจบางข่าวนักจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในเวลาต่อมา ท่านใดที่มิได้ติดตามเรื่องราวของประเทศกรีก วันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอที่มาที่ไปเพื่อไขความสงสัย

          กรีกเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรป โดยอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีประชากรประมาณ 11 ล้านคน มีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย รายได้ต่อหัวต่อปีประมาณ 3 เท่ากว่าของประเทศไทย (กรีกประมาณ 622,000 บาท) เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นสมาชิกของ EU (European Union) และเป็นหนึ่งประเทศใน EU ที่ใช้เงินสกุลยูโร

          ใน 28 ประเทศที่เป็นสมาชิก EU มีอยู่ 19 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน และ อีก 9 ประเทศใช้เงินสกุลท้องถิ่นของตนเอง เช่น อังกฤษ เดนมาร์ก ฯลฯ กรีกเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้เงินยูโรเช่นเดียวกับออสเตรีย เบลเยี่ยม ไซปรัส เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมันนี ไอร์แลนด์ อิตาลี แลทเวีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ ปอร์ตุเกส สโลวาเกีย สโลวีเนีย และสเปน

          ในปี 2002 กรีกเริ่มใช้เงินยูโร โดยได้รับการพิจารณาจาก EU ให้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้เงินยูโร (Eurozone) หลังจากมีหลักฐานว่ามิได้เป็นพิษเป็นภัยต่อเงินสกุลยูโร กรีกโดดเข้าเป็นสมาชิกเพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ส่วนผู้บริหาร EU ก็ยินดีรับเข้าร่วม Eurozone โดยเชื่อว่ากรีกมีความพร้อม

          หลักฐานสำคัญอันหนึ่งของการได้เข้าร่วม Eurozone ก็คือมีการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล (รายได้ของรัฐบาลหักด้วยรายจ่ายแล้วติดลบ กล่าวคือรายจ่ายมากกว่ารายได้) ไม่เกินกว่าร้อยละ 3 ของ GDP รัฐบาลกรีกยืนยันโดยแสดงตัวเลขให้ดูและมีการตรวจสอบว่าตัวเลขนี้ของกรีกสูงเพียงร้อยละ 1.5 เท่านั้น

          จุดนี้แหละคือตัวการสำคัญของการเกิดปัญหาหนักอกของกรีกในเรื่องหนี้ของรัฐบาลในเวลาต่อมา การโกหกตัวเลขนี้ทั้งที่จริงสูงถึงร้อยละ 8.3 ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงมาก (พบในปี 2004 โดยรัฐบาลต่อมา แต่ก็เก็บเป็นความลับเพราะเป็นปีที่กรีกเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก) เป็นฐานหนึ่งที่ทำให้ดอกเบี้ยพอกพูนสูงขึ้น

          คำถามก็คือเหตุใดรัฐบาลจึงขาดดุลงบประมาณมากถึงเพียงนั้น และพุ่งสูงขึ้นในเวลาต่อมาจนปัจจุบันสูงถึงกว่า 246,000 ล้านยูโร คำตอบง่าย ๆ ก็คือรากฐานคือรายจ่ายสูงกว่ารายได้มาก เมื่อรัฐบาลเก็บภาษีไม่ได้มากเพราะเกือบร้อยละ 99.9 ของสถานประกอบการเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ตามเก็บภาษีได้ยาก รัฐบาลมีระดับคอรัปชั่นสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป รัฐบาลเอาใจประชาชนมากเกินเหตุในเกือบทุกครั้งเมื่อมีการนัดชุมนุมประท้วงหยุดงานซึ่งมีมากเป็นพิเศษในกรีก แถมด้วยรายจ่ายในการจัดกีฬาโอลิมปิก และการจ้างข้าราชการจำนวนมากขึ้น ระหว่างปี 2002 และ 2010 (จาก 450,000 คน พุ่งเป็นเกือบ 800,000 คน)

          ค่าใช้จ่ายเงินเดือนข้าราชาการ 800,000 คน เพื่อบังคับใช้กฎหมายที่เพิ่มขึ้นกว่า 4,000 ฉบับ กฎกระทรวงกว่า 110,000 ฉบับใน 30 ปี ที่ผ่านมาทำให้เกิดภาระอย่างมากทางการเงิน ดังนั้นเมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วก็ไม่เพียงพอกับรายได้จากภาษีอากร

          อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เก็บภาษีได้ไม่มากเท่าที่ควรก็เพราะการมีกฎระเบียบมากมายทำให้การค้าขายอย่างเสรีเป็นไปได้อย่างยากเย็น ธุรกิจใหม่เกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้นเมื่อไม่มีรายได้เกิดขึ้นจากธุรกิจ ภาษีอากรก็ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้เช่นเดียวกัน

          ช่องว่างระหว่างรายจ่ายและรายได้จากภาษีอากรก็คือเงินกู้ รัฐบาลออกพันธบัตรให้ประชาชน ธุรกิจ สถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศซื้อ (ก็คือการให้รัฐบาลกรีกกู้นั่นเองโดยสัญญาว่าจะคืนเงินให้ภายในระยะเวลาที่ตกลงกัน) หนี้รัฐบาลกรีกจึงพอกพูนเพิ่มมากขึ้นทุกปี

          เมื่อความลับว่ามีหนี้มากถูกเปิดเผยออกมา การกู้ยืม (ขายพันธบัตร และวิธีการ อื่น ๆ) ก็กระทำได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเนื่องจากความเสี่ยงสูงขึ้น หนี้ใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อชดเชยการขาดดุลในปีต่อ ๆ มาจึงมีมูลค่าสูงขึ้นมาก

          ในปี 2008 เกิดวิกฤตเงินโลกโดยสหรัฐอเมริกาเป็นต้นเหตุ กรีกที่ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้วเพราะมีหนี้มาก (รัฐบาลมีขีดจำกัดในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพราะมีภาระหนี้หนักที่ต้องแบกรับในงบประมาณรายปี) ก็ถูกซ้ำเติมหนักขึ้น เมื่ออำนาจซื้อของคนยุโรปที่มาท่องเที่ยวกรีกลดลง รายได้ของประเทศก็ลดลง ภาษีอากรก็เก็บได้น้อยลงแต่ค่าใช้จ่ายของภาครัฐมิได้ลดน้อยลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น

          ในปี 2010 EU กับ IMF และ ECU (ธนาคารกลาง EU) ก็ช่วยเหลือเพราะเกรงว่าหากกรีกชำระหนี้ไม่ได้ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นใน EU ลดต่ำลง ประเทศ EU ก็จะต้องกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ต้นทุนในการประกอบธุรกิจก็จะสูงขึ้น การช่วยเหลือครั้งนี้มีมูลค่า 110,000 ล้านยูโร โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลกรีกต้องเก็บภาษีให้ได้มากขึ้น และตัดทอนรายจ่ายของรัฐลง

          อย่างไรก็ดีเมื่อถึงปี 2012 หนี้สะสมรวมก็พุ่งสูงขึ้นไปถึง 246,000 ล้านยูโร โดยเป็นสัดส่วน 177% ของ GDP เจ้าหนี้ร่วม 3 ฝ่ายก็โดดเข้าช่วยเหลืออีกโดยมีเงื่อนไขเข้มข้นเหมือนเดิม

          คนกรีกทนไม่ไหวกับมาตรการเข้มข้น ตัดรายจ่ายของภาครัฐ ข้าราชการถูกปลดไปเป็นจำนวนมาก เงินสวัสดิการถูกตัดไปมาก เมื่อ GDP ลดลงไปร้อยละ 25 ใน 5 ปีก็ทำให้เก็บภาษีได้น้อยลง มีการว่างงานทั่วไปในอัตราสูงถึงร้อยละ 30 และในหมู่เยาวชนสูงถึงร้อยละ 50 การประท้วงเกิดขึ้นทุกวัน รัฐบาลเปลี่ยนไป 2 ครั้ง จนในปี 2015 ก็ได้รัฐบาลใหม่ที่ได้รับเลือกเข้ามาเพราะสัญญาว่าจะลดมาตรการเข้มข้นเหล่านี้ และต่อรองกับเจ้าหนี้ให้ดุเดือดขึ้น

          กำหนดใช้หนี้แรกแก่ IMF คือ 30 มิถุนายน 2015 เป็นเงิน 1,550 ล้านยูโรมาถึงโดยไม่สามารถชำระได้ กรีกจึงเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้และเป็นหนี้เสียก้อนใหญ่สุดของ IMF อีกด้วย การต่อรองกันอย่างหนักกับเจ้าหนี้ก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นผล

          นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายอเล็กซิส ซิปราส ก็ประกาศขอประชามติจากประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอปรับการให้ชำระหนี้ใหม่พร้อมเงื่อนไขของสามเจ้าหนี้ใหญ่ โดยรัฐบาลบอกว่าการลงคะแนนไม่เห็นด้วยก็เท่ากับว่าให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นในการต่อรองกับเจ้าหนี้ ซึ่งเท่ากับลดมาตรการเข้มข้นลง ฝ่าย EU ก็บอกว่าการทำตามนี้ก็หมายถึงการต้องออกไปจาก Eurozone กล่าวคือไม่ให้ใช้เงินสกุลยูโรอีกต่อไปแล้ว

          ประชาชนลงคะแนนเสียง 61% ต่อ 39% อยู่ข้างนายกรัฐมนตรี โดยเบื่อหน่ายมาตรการเข้มงวด แต่ถึงจะชนะแล้วก็ใช่ว่าหนี้จะหายไปและมาตรการเข้มข้นหายไปข้ามคืน นักวิเคราะห์มีความเห็นว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการต่อรองกับ 3 เจ้าหนี้ใหญ่ก่อน 20 กรกฎาคม 2015 เพราะถ้าวันนั้นมาถึงโดยกรีกไม่อาจจ่ายหนี้อีก 3,500 ล้านยูโรได้ ความหายนะจะมาเยือนกรีกอีกแน่นอน ความเชื่อมั่นในกรีกจะลดลงจนในที่สุดต้องออกจาก Eurozone ก็เป็นได้ (ไม่มีกฎหมายระบุว่าจะออกได้อย่างไร มีแต่ให้เข้าร่วม ดังนั้นจะเป็นปัญหาปวดหัวทางกฎหมายต่อไปอีกมาก)

          อนาคตของกรีกจะเป็นอย่างไรขึ้นกับการต่อรองและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับเจ้าหนี้ ทั้งหมดมีผลต่อคนกรีกอย่างมาก สถานการณ์เช่นนี้จะไม่มาถึงเป็นอันขาดหากมีการใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างระมัดระวัง ไม่ใช้จ่ายเกินตัวในเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น จนเกิดปัญหาหนี้ที่สร้างความหายนะให้แก่ประเทศ ประเทศสารขัณฑ์จงจำไว้ให้ดี

รถไร้คนขับและจริยธรรม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
14 กรกฎาคม 2558

          รถยนต์ขับเคลื่อนเองโดยไม่ต้องมีคนขับเกิดเป็นจริงขึ้นแล้วตามนิยายวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือเยอรมัน ต่างสามารถผลิตรถยนต์ไร้คนขับหลังจากใช้เงินลงทุนกันมหาศาลจนในปัจจุบันมีการทดลองวิ่งบนถนนสาธารณะในขอบเขตจำกัด อย่างไรก็ดีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกก็คือเรื่องจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของรถเหล่านี้

          Driverless Car (DC) / Autonomous Car / Self-driving Car หรือ Robotic Car คือชื่อเรียกรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองราวกับมีคนขับ รู้ทิศทางที่จะไป ขับหลบหลีกรถคันอื่น หยุดจอดตามสัญญาณไฟจราจร จอดในที่อันควร จอดรับส่งผู้โดยสาร ฯลฯ

          ไอเดียในเรื่องนี้มีมานานแล้ว มีการทดลอง DC ขั้นแรกอย่างน้อยตั้งแต่ทศวรรษ 1920 แต่เริ่มมีการทดลองจริงจังในทศวรรษ 1950 และก็พัฒนามาเป็นลำดับ คันที่เป็น DC อย่างแท้จริงปรากฏตัวในทศวรรษ 1980 ในโครงการ Navlab ของ Carnegie Mellon University ในสหรัฐอเมริกา และจากความร่วมมือระหว่าง Mercedes-Benz กับ Bundeswehr University ก็มีการแสดงรถไร้คนขับในปี 1987

          หลังจากนั้นบริษัทรถยนต์และศูนย์วิจัยอีกแทบนับไม่ถ้วนของรถยนต์ยี่ห้อดังในยุโรปและญี่ปุ่นแข่งขันสร้าง DC ออกมา บริษัท Google ก็โดดเข้าร่วมด้วยโดยมุ่งสร้างซอฟต์แวร์ควบคุม DC โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า DC ของ Google ที่นำออกแสดงในปี 2014 คือ DC ที่ไม่มีทั้งพวงมาลัย คันเบรค และคันเร่ง คาดว่าในปี 2020 จะมี DC ลักษณะนี้ออกสู่ตลาด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าก่อนปี 2025 จะมี DC ออกมาวิ่งบนถนนกันจริงจังจำนวนมาก

          4 รัฐในสหรัฐอเมริกาคือ Nevada / Florida / California และ Michigan ผ่านกฎหมายอนุญาตให้ DC วิ่งบนถนนสาธารณะได้ เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรป เช่น เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ เยอรมัน อนุญาตให้ DC ทดลองวิ่งบนถนนสาธารณะได้

          ประโยชน์ของ DC ที่เห็นได้ชัดก็คือการลดลงของอุบัติเหตุ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์จึงกระทำทุกสิ่งได้รวดเร็วตามที่มนุษย์ใส่โปรแกรมสั่งไว้ ไม่มีง่วง ไม่มีอารมณ์ มองเห็นภาพรอบด้านในขณะที่เคลื่อนไหว สามารถตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่มีอันตรายได้รวดเร็วฉับพลันกว่ามนุษย์ นอกจากนี้ถ้ามี DC บนถนนจำนวนมากก็ช่วยลดการจราจรติดขัดลงเพราะ DC เหล่านี้คือคอมพิวเตอร์ที่เคลื่อนไหวได้ มันจะจัดการเรื่องการจราจรกันเองเพื่อหลีกหนีการติดขัด

          มนุษย์สามารถใช้รถยนต์ร่วมกัน (car pool) ได้สะดวกมากขึ้นเนื่องจาก DC วิ่งวนไปตามที่ถูกสั่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่จอดรถ สามารถวนกลับมารับได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ อีกทั้งลดจำนวนตำรวจจราจร ลดจำนวนป้ายจราจร เคลื่อนไหวอย่างนิ่มนวล และการไม่มีพวงมาลัยของบางรุ่นทำให้มีพื้นที่ว่างในรถเพิ่มขึ้น

          ข้อเสียก็มีมากเช่นเดียวกัน ในสภาพที่ DC วิ่งปนกับรถที่ขับโดยมนุษย์บนถนน คนจำนวนมากยังมองไม่เห็นภาพว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร (จะลงจากรถไม่ชกปากก็ทำไม่ได้) ระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ควบคุม DC อาจมีปัญหาจนวิ่งไม่ได้ เกิดรถติดกันมโหฬาร และท้ายสุดอาจเป็นคาร์บอมบ์ที่ดีมากๆ ก็เป็นได้

          แต่ไม่ว่าจะมีผลเสียอยู่มากอย่างไร DC มาแน่นอนในเวลาอันใกล้เพราะประโยชน์ดูจะมีมากกว่าภายใต้โลกซึ่งระบบอิเล็กทรอนิกส์และคมนาคมมีความแน่นอนมากขึ้นทุกที และการแข่งขันระหว่างบริษัทใหญ่ของโลกรวมทั้ง Google ผลักดันให้เกิดความคึกคัก

          ในเรื่องการผลิต DC บริษัททั้งหลายสามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้แล้ว แต่มีปัญหาหนึ่งที่ยังไม่มีใครคิดตก เช่น สถานการณ์ที่ DC คันหนึ่งตระหนักว่ามีรถบรรทุกซึ่งวิ่งเร็วกำลังจะชนท้ายซึ่งอาจทำให้ “เจ้านาย” เสียชีวิต โปรแกรมที่ใส่ไว้ใน DC ควรสั่งให้รถวิ่งขึ้นไปบนทางเท้าซึ่งอาจชนคนจำนวนมากตายหรือยอมให้รถชน “เจ้านาย” ตาย พูดง่าย ๆ ก็คือมันเป็นประเด็นเรื่องจริยธรรม

          คนสร้างรถต้องการคำตอบนี้เพื่อใส่ไปในซอฟต์แวร์ และตราบที่ไม่สามารถตอบคำถามเชิงปรัชญานี้ได้ก็อาจมีปัญหาด้านกฎหมายและสังคมตามมา การต้องเลือกเช่นนี้ในกรณีที่มนุษย์เป็นผู้ขับ ภาระจากการตัดสินใจเป็นของผู้ขับแต่ละคน การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความคิดในเรื่องคุณค่าของชีวิตมนุษย์และคุณธรรม อย่างไรก็ดีการต้องใส่คำตอบเดียวกันทั้งหมดไว้ใน DC ทำให้เกิดคำถามเชิงจริยธรรมตามมา เช่น ชีวิตมนุษย์คนใดมีค่ามากกว่ากัน ซึ่งไม่มีคำตอบตายตัว

          ภายใต้ปัญหานี้บริษัทผู้สร้างและวิศวกรยานยนต์กำลังนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า Asimov Laws (Asimov เป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังก้องโลก มีชีวิตระหว่างปี 1920-1992) ซึ่งกฎแรกเกี่ยวกับหุ่นยนต์กล่าวว่า “เครื่องจักรที่เคลื่อนไหวได้เองต้องไม่ทำร้ายมนุษย์หรือไม่ทำงานจนทำให้มนุษย์เป็นอันตรายได้” นักวิชาการด้านจริยธรรมจำนวนมากมีความเห็นว่าต้องไม่ให้เครื่องจักรตัดสินใจเรื่องการทำให้มนุษย์เป็นอันตรายและถึงแก่ชีวิตเป็นอันขาด เรื่องเช่นนี้มนุษย์ต้องเป็น ผู้ตัดสินใจ มิฉะนั้นในที่สุดแล้วเราจะมีสังคมที่ไร้กฎกติกาเมื่อผู้ตัดสินใจไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง

          DC ที่ออกมาวิ่งบนถนนถือได้ว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าในระดับสูงมากเนื่องจากมันสามารถวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางด้วยความเร็วสูงและมีความสามารถในการขับขี่ที่ไว้ใจได้มากกว่ามนุษย์เนื่องจากไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีง่วง (หุ่นยนต์ที่ดื่มเหล้าก่อนขับน่าจะหาได้ยากมาก) แต่เนื่องจากไม่มีหัวใจจึงไม่มีข้อยกเว้น ทุกอย่างจึงกระทำไปตาม

          “ใบสั่ง” หรือสิ่งที่ใส่ไว้ในซอฟต์แวร์ อย่างไรก็ดี คนนั่งเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจ การผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพกับความเป็นมนุษย์จึงเป็นประเด็นสำคัญของการเดินทางด้วย DC

          ขณะที่ DC วิ่งวนหลังจากส่ง “เจ้านาย” แล้ว เป้าหมายก็คือการกลับไปรับอีกครั้งตามเวลาที่กำหนดไว้โดยไม่สนใจว่ากำลังกีดขวางรถที่ขับโดยผู้ป่วยหนักสูงอายุที่กำลังรีบไปโรงพยาบาล สำหรับ DC แล้วรถทุกคันมีความหมายเท่ากันนอกเสียจากว่าจะมีโปรแกรมสั่งไว้

          การยกเว้นบางสิ่งเพื่อบางอย่างที่สำคัญกว่าเป็นเรื่องที่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นจึงจะสามารถคิดได้ และการสามารถคิดตัดสินใจเช่นนี้ได้คือข้อแตกต่างที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่าหุ่นยนต์ และถ้าจะให้มนุษย์ตนนั้นเหนือกว่าคนอื่นได้อย่างแท้จริงแล้วก็ต้องอยู่เหนือตนเองให้ได้เสียก่อน

ยาพิษฆ่าคนได้อย่างไร

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
7 กรกฎาคม 2558

          การวางยาพิษเป็นเรื่องที่ใครได้ยินแล้วก็หูผึ่งเพราะมันเป็นเรื่องลึกลับน่ากลัวและตื่นเต้นไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ดูไร้เดียงสาจะสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น น่าสงสัยว่าเบื้องหลังเชิงวิทยาศาสตร์ของยาพิษเป็นอย่างไร นิตยสาร Science Illustrated ฉบับธันวาคม 2013 ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ

          ยาพิษคือสารซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติในระบบการทำงานในร่างของสิ่งมีชีวิต โดยปกติมักเป็นปฏิกิริยาทางเคมีในระดับโมเลกุล ยาพิษที่ใช้ฆ่าคนนั้นมีมากมายหลายชนิดโดยส่วนใหญ่มีที่มาจากธรรมชาติ แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์เมื่อวิเคราะห์แล้วมีสารหรือธาตุที่สำคัญไม่มากตัวนัก

          เมื่อสารพิษถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายมันจะเข้าจู่โจมและทำลายเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน เซลล์ก็จะตายลง นำไปสู่การอุดตันของเส้นเลือด การล้มเหลวของการทำงานของอวัยวะภายใน เซลล์ต่าง ๆ หยุดทำงาน ซึ่งในที่สุดจะทำให้หัวใจและสมองหยุดทำงานไปด้วย

          ปรอทเป็นสารพิษที่ร้ายแรงมาก ออกฤทธิ์ช้า เมื่อปรอทซึมซาบเข้าไปในร่างกายจะใช้เวลานานกว่าจะเริ่มมีผล พิษสงก็คือมันจะทำลายเอนไซม์ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่มีหน้าที่ซ่อมแซมบริเวณที่ถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ (oxidants) ตามกลไกธรรมชาติ เมื่อการซ่อมแซมไม่เกิดขึ้นก็จะส่งผลร้ายแรงต่ออวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต และสมอง

          ในปี 1996 นักวิจัยด้านเคมีมีชื่อเสียงชาวอเมริกัน แคเรน เวทเทอร์ฮาห์น หยดสารปรอทลงบนแขนตัวเองโดยบังเอิญ อีกสิบเดือนต่อมาเธอก็เสียชีวิต อาการหลังได้รับสารพิษนี้ก็คือปวดศีรษะคล้ายเข็มทิ่ม ผิวหนังมีผื่นแดง ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกายล้มเหลว ไตวาย และสูญเสียความจำ

          ในประวัติศาสตร์ยุโรปเป็นที่รู้กันดีว่ามีดอกไม้มีพิษร้ายแรงมากชื่อดอกอะโคไนต์ (Aconitum napellus) ดอกไม้นี้มีสารอะโคนิทีน (aconitine) ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทโดยทำให้ระบบหายใจเป็นอัมพาต การวางยาพิษกันในประวัติศาสตร์ยุโรปมายาวนานก็ใช้ดอกไม้พิษรุนแรงนี้ ในเวลาต่อมามีการใช้สารนี้กันในญี่ปุ่นและเอเชีย การลอบวางยาพิษของพวกโชกุนที่เราเห็นในภาพยนตร์น่าจะใช้ดอกไม้มหาภัยนี้

          อีกยาพิษหนึ่งที่รู้จักกันกว้างขวางก็คือสตริกนิน (strychnine) ปริมาณเพียง 100 มิลลิกรัม หรือ 1 ใน 10 ของกรัม (100 กรัมเท่ากับ 1 ขีด) ก็ทำให้ตายได้ อาการหลังได้รับสารพิษก็คืออาเจียน ชักกระตุกอย่างรุนแรง เกร็งตามใบหน้า น้ำลายฟูมปาก ตาบวม หมดสติ หายใจไม่ออก

          เมื่อสตริกนินเข้าสู่ร่างกายมันจะเคลื่อนที่ไปตามร่างกายพร้อมกับเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยการจับตัวอย่างหลวม ๆ กับโปรตีนบางชนิดในกระแสเลือด ดังนั้นจึงซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อได้อย่างง่ายดาย และมุ่งโจมตีเซลล์ประสาทซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระบบการทำงานของประสาท ผลที่เกิดตามมาก็คือการกระตุกของกล้ามเนื้อที่ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจและการทำงานของระบบหายใจ

          ยาพิษยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งก็คือไซยาไนด์ (cyanide) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถดูดซึมพิษได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงที่นาซีล่มสลาย ผู้นำพรรคนาซีหลายคนใช้ไซยาไนด์เป็นเครื่องมือในการฆ่าตัวตาย ฮิมม์เลอร์ผู้บัญชาการหน่วยทหาร SS ฆ่าตัวตายด้วยการกินยาเม็ดไซยาไนด์ซึ่งออกฤทธิ์เต็มที่ในเวลา 15 นาที

          โยเซฟ เกิบเบลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการของฮิตเลอร์ จบชีวิตตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ อีก 6 คน ด้วยไซยาไนด์ ไม่น่าเชื่อว่าคนมีการศึกษาขนาดจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย ไฮเดลเบิร์ก จะฆ่าลูกของตัวเองได้ลงคอโดยร่วมมือกับภรรยาเอาไซยาไนด์ผสมเครื่องดื่มให้ลูกหญิง 5 คน ชาย 1 คน ที่อยู่ในวัยไม่ถึง 10 ขวบดื่มและนอนหลับไม่รู้ตัวในบังเกอร์หลบภัยเดียวกับฮิตเลอร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายด้วยการกินไซยาไนด์และยิงตัวเองซ้ำ

          ทุก ๆ เซลล์ในร่างกายมนุษย์จะมี “โรงไฟฟ้า” ขนาดจิ๋วที่เรียกว่าไมโทคอนเดรีย (mitochondria) แอบซ่อนอยู่ มันมีหน้าที่รีดออกซิเจนออกจากเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ตลอดเวลาเพื่อนำออกซิเจนมาใช้ภายในเซลล์ เมื่อไซยาไนด์เข้าไปในร่างกายมันก็จะไปประกบติดกับโมเลกุลใน ไมโทคอนเดรียจนทำให้ระบบการป้อนออกซิเจนเข้าสู่เซลล์หยุดทำงาน ปอดและหัวใจเกิดภาวะล้มเหลวอย่างรวดเร็วตามมา

          สารหนู (arsenic) เป็นยาพิษที่ทำให้ตายภายในไม่กี่ชั่วโมงด้วยปริมาณ 100 มิลลิกรัม อาการหลังได้รับสารหนูในปริมาณนี้ก็คือเวียนหัว ปวดศีรษะ ผมร่วง ปัสสาวะเป็นเลือด อาเจียน

          สารหนูฆ่าคนได้เพราะมันเข้าไปทำลายความสามารถในการผลิตสาร ATP ซึ่งเป็นสารทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับเซลล์เพื่อให้ทำงานได้ตามปกติ ถ้าขาด ATP เซลล์จะหยุดทำงานและตายลง อันเป็นผลทำให้ระบบประสาทเป็นอัมพาต และอวัยวะภายในล้มเหลว

          อีกสารหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกันก็คือไรซิน (ricin) ปริมาณที่น้อยมากเพียง 1.8 มิลลิกรัมก็ทำให้เสียชีวิตภายใน 72 ชั่วโมง เมื่อได้รับสารพิษนี้จะรู้สึกหายใจขัด ร้อนวูบวาว เหงื่อออกผิดปกติ ถ่ายเป็นเลือด ปวดเกร็งช่องท้อง ประสาทหลอน ตับและไตวาย เมื่อไรซินเข้าไปในร่างกายก็จะไปขัดขวางกระบวนการผลิตโปรตีนภายในเซลล์ ตลอดจนทำให้การซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์หยุดทำงานไปด้วย การเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์เช่นนี้ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายรวน จนเสียชีวิตในที่สุด

          ไรซินเป็นสารเคมีที่สะกัดจากเมล็ดละหุ่ง การห้ามกินเมล็ดละหุ่งเพราะทำให้เสียชีวิตได้ก็เพราะสารไรซินนี้แหละ (ขนาด 5-6 เมล็ดก็ทำให้ผู้ใหญ่เสียชีวิตได้) ในปี 1978 เกออร์กี มาร์คอฟ นักต่อต้านรัฐบาลเชื้อสายบุลกาเรีย ถูกลอบสังหารด้วยการยิงสารไรซินเข้าสู่ร่างกาย ร่มถูกแปลงเป็นปืนยาวชนิดอัดลมโดยลูกปืนมีไรซินเป็นส่วนประกอบ เมื่อถูกยิงแบบเผาขน สารไรซินก็เข้าสู่ร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด

          ยาพิษทันสมัยที่สุดก็คือธาตุกัมมันตรังสีพอโลเนียม-210 (polonium 210) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายผ่านการปะปนกับอาหารก็จะไปสะสมอยู่ในม้าม ไต และตับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะระดมปล่อยกัมมันตรังสีออกมาจากกระบวนการสลายตัวของธาตุพอโลเนียม รังสีที่ปล่อยออกมาจะทำให้ตับและหัวใจล้มเหลวในที่สุด

          ปริมาณพอโลเนียมเพียง 0.1 ไมโครกรัม (1 ไมโครกรัมเท่ากับ 1 ใน 1,000 ของกรัม) สามารถทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ อาการหลังรับสารพิษก็คือผมร่วง เลือดออกทางจมูก และเหงือก อาเจียน มีไข้ และอวัยวะภายในล้มเหลว

          สารอันตรายเหล่านี้ถ้าจงใจใช้เพื่อฆ่าฟันเพื่อนมนุษย์ก็สร้างความเจ็บปวดและน้ำตาให้แก่ผู้คนมหาศาล อย่างไรก็ดียังมี “สารพิษ” อื่นที่เลวร้ายเช่นเดียวกัน นั่นก็คือคำพูด ขงจื่อบอกว่าคำพูดที่เป็นพิษนั้นแทงผ่านกลางใจและสร้างรอยแผลเป็นไปตลอดชีวิตอย่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่ามีดดาบ

คนแปลกที่ชื่อ Angelina Jolie

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
30 มิถุนายน 2558

          แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก Angelina Jolie (AJ) ดาราสาวชื่อดังของฮอลลีวู๊ดที่มี ทั้งความสามารถในการแสดง จิตใจที่ต่อสู้เพื่อผู้อ่อนแอขาดโอกาส และความไม่เหมือนใครในความคิด แค่ตัดนมไปสองข้างเพราะกลัวมะเร็งเต้านมยังไม่พอ บัดนี้ได้ตัดรังไข่และท่อรังไข่เพิ่มอีกเพื่อหนีโรคมะเร็ง ความไม่ธรรมดาของเธอเป็นผลพวงมาจากความไม่เป็นปกติของชีวิตตั้งแต่เยาว์วัยอย่างน่ารับรู้ไว้เป็นบทเรียน

          AJ เป็นลูกสาวของ Jon Voight ดาราชายมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง The Deliverance (เพลงไพเราะพร้อมพล็อตเรื่องแก้แค้นฆ่ากันโหดถึงใจในรัฐตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา) กับ Marcheline Bertrand ผู้เลิกอาชีพการแสดงเพื่อมาดูแลลูกเต็มเวลา ชีวิตของ AJ น่าจะรุ่งโรจน์เพราะมีเส้นสายในวงการแสดงโดยเกิดท่ามกลางดาราดัง (พ่อทูนหัวของเธอคือ Maximilian Schell และแม่ทูนหัวคือ Jacqueline Bisset) ซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อแม่ แต่ชีวิตเธอไม่เป็นเส้นตรงเช่นนั้น

          พ่อทิ้งเธอไปตั้งแต่อายุไม่ถึงขวบ เธอจึงอยู่กับแม่และแฟนของแม่ที่อยู่กินด้วยกัน เธอได้แสดงบทเล็กน้อยตอนอายุ 5 ขวบครั้งหนึ่งในภาพยนตร์ของพ่อเธอและก็ไม่ได้มีโอกาสอีก

          ชีวิตวัยรุ่นของ AJ นั้นมีปัญหามาก เธอมีปัญหากับพ่อและกับการปรับตัวเข้ากับเพื่อน เมื่ออายุเพียง 14 ปีเธอก็มีแฟน แม่อนุญาตให้เอาแฟนเข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน 2 ปีผ่านไปก็เลิกกัน เธอจึงย้ายออกมาอยู่คนเดียว เมื่อเรียนจบมัธยมปลายเธอก็เข้าโรงเรียนการแสดง เธอติดยาขนาดที่บอกว่าก่อนอายุ 20 ปี เธอลองยามาแล้วทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฮโรอีน เธอเคยคิดจะฆ่าตัวตายสองครั้ง พออายุได้ 24 ปี ก็ประสบความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ (nervous breakdown) ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน

          AJ เริ่มอาชีพนักแสดงจริงจังเมื่ออายุได้ 18 ปี และเธอมีชื่อเสียงขึ้นเป็นลำดับท่ามกลางปัญหาชีวิต ชีวิตเธอเปลี่ยนใน ค.ศ.1998-2000 เมื่อได้รับรางวัลครั้งแรกคือรางวัลลูกโลกทองคำ และหลังจากนั้นก็รับรางวัลเกือบทุกปีจากแทบทุกประเภท รวมทั้งรางวัลตุ๊กตาทอง (Academy Award) ด้วย

          เธอแต่งงานครั้งแรกกับดารานักแสดงชาวอังกฤษในปี 1996 แต่งกันได้ 3 ปีก็เลิก แต่งครั้งที่สองกับนักแสดงด้วยกันอยู่กันได้ 3 ปีก็เลิกกันอีก ก่อนเลิกกันได้ไม่นานในปี 2002 เธอรับเด็กกำพร้าจากพระตะบอง กัมพูชา เป็นบุตรบุญธรรม เธอบอกว่านี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้เธอเลิกทำร้ายตนเอง รู้จักรับผิดชอบชีวิตคนอื่น

          ชีวิตคู่ของเธอโด่งดังสุดในช่วงที่เธอเป็นดาราที่ได้รับค่าตัวสูงสุดในฮอลลีวู๊ดคือ 20 ล้านเหรียญต่อเรื่อง เธอชอบพอกับดาราชายรูปงาม Brad Pit ในปี 2005 จนทำให้ชีวิตคู่ของเขากับดาราดัง Jennifer Aniston เลิกร้างไป ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน 7 ปี จนเธอท้องจึงประกาศหมั้นในปี 2012 และแต่งงานกันในปี 2014

          เธอมีลูกทั้งหมด 6 คนกล่าวคือบุตรบุญธรรมจากกัมพูชา จากเวียดนาม จาก เอธิโอเปีย จากนามิเบีย และลูกของเธอกับ Brad Pit แฝดชายหญิง

          ชีวิต AJ โด่งดังในสังคมด้วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ เธอเยี่ยมค่ายอพยพนับสิบ ๆ แห่งทั่วโลก พักอยู่อาศัยแบบอาสาสมัครธรรมดา ระดมทุนต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของผู้ด้อยโอกาสทั่วโลก จนได้เป็นทูตของ UNHCR (หน่วยงานดูแลผู้อพยพของ UN) ชื่อเสียงของเธอจากการเป็นดาราดังเสริมงานในด้านนี้เป็นอย่างดี

          เรื่องราวของเธอเป็นที่กล่าวขวัญในปี 2013 จากการที่เธอเห็นแม่ ยาย และอาหญิงเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม เธอพบว่ายีนส์ตัวที่ชื่อว่า BRCA1 ซึ่งเป็นโค้ดสั่งการเติบโตของเนื้อที่ทรวงอกมีปัญหา เธอมีความเป็นไปได้ 85 ใน 100 ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม และ 50-50 กับมะเร็งมดลูก เธอจึงตัดสินใจให้หมอตัดนมทั้งสองข้างเพื่อตัดโอกาสที่จะเป็นเพื่อความสบายใจและเพื่อลูกทั้ง 6 และสามี

          เรื่องราวการตัดสินใจของเธอสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก หญิงจำนวนมากตื่นตัวในการตรวจมะเร็งเต้านมอย่างไม่เคยมีมาก่อน เธอย้ำว่าถึงแม้ญาติผู้หญิงใกล้ชิดเป็นมะเร็งเต้านมก็มิได้มีความแน่นอนที่ตนเองจะเป็นมะเร็งเต้านมด้วย แต่ละกรณีแตกต่างกันออกไป

          ผู้คนชื่นชมยินดีในตัวเธอ ถึงเธอจะเป็นคนแปลก (ยอมรับว่าเธอรักผู้หญิงด้วย) มีชื่อเสียงไม่ดีเรื่องผู้ชาย มีประวัติที่ไม่งดงามนัก แต่ผู้คนก็พร้อมที่จะลืมเพราะเธอทำงานสังคมที่โดดเด่นและกล้าตัดสินใจในเรื่องการผ่าตัดอย่างห้าวหาญ และเปิดเผย

          ยังไม่ทันจะลืมเรื่องนี้กัน เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เธอก็เขียนบรรยายการตัดสินใจผ่าตัดรังไข่และท่อรังไข่ AJ เล่าว่าเธอใคร่ครวญเรื่องนี้มานานพอควร หลังจากหมอตรวจร่างกายเธอและพบว่ามีตัวบ่งชี้หลายตัวซึ่งเกี่ยวพันกับมะเร็งมดลูกเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต จนเกรงว่าโรคนี้จะมาเยือนเธอ

          เธอหารือกับหมอหลายคน ชั่งผลดีผลเสีย และตัดสินใจเด็ดขาดที่จะผ่าตัดก่อนที่มะเร็งอาจมาเยือนเธอในเวลา 10 ปี AJ บอกว่าแม่ของเธอนั้นหมอพบว่าเป็นมะเร็งในมดลูกเมื่ออายุ 49 ปี ปัจจุบันเธออายุ 39 ปี

          ไม่มีใครบอกได้ว่าเธอตัดสินใจถูกหรือไม่ที่ผ่าตัดก่อนที่จะมีปัญหา แต่ตราบที่เป็นสิทธิส่วนตัว ทุกคนก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ อย่างไรก็ดีในการเป็น “คนของสังคมโลก” ที่เป็นเป้าสายตา ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันอาจนำไปสู่การเลียนแบบการตัดสินใจ เพียงแต่อาจเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไปจนสูญเสียอวัยวะอย่างไม่สมควร ยิ่งไปกว่านั้นการผ่าตัดเช่นนี้ทำให้ร่างกายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ และมีผลข้างเคียงที่รุนแรงสำหรับบางคน

          ในกรณีของเธอที่เป็นดาราที่มีชื่อเสียง การเป็นคนแปลกกว่าคนอื่นไม่ทำให้เธอด้อยค่าไปมากมาย โดยเฉพาะเธอสามารถตีตื้นได้ด้วยงานการกุศลข้ามโลกที่จริงใจ ตลอดจนการอุทิศตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่สำหรับคนธรรมดาที่ไม่โด่งดัง การเป็นคนแปลกเช่นนี้อันเป็นผลพวงจากการถูกทอดทิ้งโดยพ่อและปัญหาด้านจิต มีโอกาสนำไปสู่ความวิบัติได้ไม่ยากนัก

          ความประพฤติที่แปลกเหมือนกันของคนสองคน อาจนำไปสู่ผลที่แตกต่างกันได้ หากประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกันโดยเฉพาะในอาชีพที่ไม่เหมือนกัน

อายุ 102 ปีรับปริญญาเอก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
23 มิถุนายน 2558 

          สิ่งที่ไม่เป็นธรรมไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็สามารถแก้ไขได้เสมอในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง การแก้ไขสิ่งผิดให้เป็นถูกไม่มีการสายเกินไปตราบที่สังคมนั้นมีจิตสำนึกในความดี ความงาม และความจริง มหาวิทยาลัย Hamburg ต้องการแก้ไขการกระทำผิดในอดีตถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปแล้วถึง 80 ปี ก็ตาม

          เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2015 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้อนุญาตให้แพทย์หญิงเยอรมันวัย 102 ปี เข้าสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอซึ่งได้ทำเสร็จเรียบร้อยเมื่อ 80 ปีก่อน (จนอาจารย์ที่ปรึกษาทั้งหมดของเธอก็ได้ไปสวรรค์เรียบร้อยหมดแล้ว) แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้สอบเพราะมีแม่เป็นยิว

          แค่มีแม่เป็นยิวก็ไม่ได้สอบ มันจะอะไรกันนักกันหนาสำหรับความรู้สึกของคนสมัยนี้ แต่ในสมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจนั้นผู้ที่ถูกถือว่าเป็นยิวไม่ได้เพียงแต่ไม่ได้สอบเท่านั้นอาจถูกสั่งเข้าค่ายกักกัน ถูกฆ่าโดย รมแก๊สก็เป็นได้ แต่เธอโชคดีไม่ตายอยู่รอดจนได้มา “ล้างแค้น” สอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจนจบได้ในที่สุดเมื่อมีอายุ 102 ปี

          ชื่อของเธอคือแพทย์หญิง Ingeborg Rapoport ผู้กลายเป็นผู้ได้รับปริญญาเอกที่มีอายุมากที่สุดในโลก เธอเรียนจบแพทย์ในปี 1937 และศึกษาต่อโดยเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Diphtheria (โรคคอตีบ) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพรุนแรงในขณะนั้น

          Hitler ผ่านกฎหมายกลางต่อต้านยิว และต่อมาท้องถิ่นก็ออกกฎหมายตามจนมี เทศบัญญัติ กฎเกณฑ์ ระเบียบต่อต้านยิวรวมแล้วนับเป็นร้อย ๆ ฉบับในช่วง ค.ศ. 1933-1939 การต่อต้านรังเกียจยิวเป็นหัวใจของลัทธินาซี ยิวจำนวนมากที่มีการศึกษาและมีเงินจึงอพยพหนีออกนอกประเทศกันจ้าละหวั่น

          ครอบครัวของเธอก็เช่นกัน เธออพยพไปสหรัฐอเมริกาและพบสามี Mitja Rapoport ซึ่งเป็นยิวอพยพมาจากออสเตรีย และที่สหรัฐอเมริกาเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอีกในสาขาเชี่ยวชาญจนได้เป็นกุมารแพทย์

          อาจเรียกได้ว่าเธอหนีเสือปะจระเข้ เพราะในยุคทศวรรษ 1950 Jospeph McCarthy วุฒิสมาชิกอเมริกันปลุกระดมต่อต้านคอมมูนิสต์ กล่าวหา คุกคาม ทำลายชื่อเสียงผู้คนในสาธารณะ จนเรียกยุคนั้นว่า McCarthyism เธอและสามีซึ่งมีแนวคิดเอนเอียงทางสังคมนิยมจึงรู้สึกไม่มั่นคง

          ทั้งสองจึงตัดสินใจอพยพกลับเยอรมัน แต่ไม่ใช่เยอรมันตะวันตกซึ่งมีอุดมการณ์ ทุนนิยมประชาธิปไตย หากเป็นเยอรมันตะวันออกของสหภาพโซเวียต เธอทำงานเป็นกุมารแพทย์เป็นเวลายาวนาน เป็นศาสตราจารย์และกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศ เธอเคยได้รับรางวัลระดับชาติสำหรับผลงานในการลดอัตราตายของเด็กในเยอรมันตะวันออก

          การมีแม่เป็นยิว เธอจึงถูกจัดอยู่ในประเภทที่กฎหมายเยอรมันเรียกว่า Mischling ก็คือเป็นยิวอยู่นั่นเอง สถานะเช่นนี้ทำให้เสียสิทธิความเป็นพลเมืองจนทำให้ Hamburg University จำต้องปฏิเสธการสอบปริญญาเอกขั้นสุดท้ายของเธอในปี 1938 อย่างไรก็ดีอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอได้เขียนจดหมายเป็นหลักฐานไว้ในปี 1938 ว่าถ้าแม้นว่ามีการสอบแล้ว เขาก็จะให้เธอสอบผ่านอย่างไม่มีข้อสงสัย

          Hamburg University ได้ทราบกรณีของเธอเมื่อตอนเธอมีอายุครบ 100 ปี จึงต้องการแก้ไขสิ่งที่ผิด มีการสอบสวนหาความจริงและในที่สุดก็อนุญาตให้เธอสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ที่ล่าช้าไป 80 ปี

          คุณหมอเล่าว่ารู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อมีศาสตราจารย์ 2 คน จะเดินทางมาสอบเธอด้วย วิธีปากเปล่าที่บ้าน เธอติดต่อเพื่อนหมอ เรียนรู้ความก้าวหน้าล่าสุดของโรคคอตีบซึ่งเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเธอ พร้อมกับอ่านศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเตรียมสอบอย่างจริงจัง (ขณะมีอายุ 102 ปี!)

          สองอาจารย์ผู้สอบให้สัมภาษณ์หลังการสอบว่ารู้สึกประทับใจมากกับความรู้การแพทย์สมัยใหม่ของเธอ เธอตื่นตัวในวัย 102 ปี และมีความรู้ในเรื่องที่เธอสอบอย่างสมกับปริญญาเอกที่เธอได้รับ กรรมการสอบตัดสินให้เธอได้รับเกรด magna cum laude ด้วย (เกียรตินิยมสูงสุด)

          สื่อเรียกเธอว่า Dr.Syllm-Rapoport โดยนำเอานามสกุลเก่าของเธอผสมกับนามสกุลของสามีซึ่งเป็นนักชีวเคมี (biochemist) และทั้งสองมีลูกด้วยกัน 4 คน

          Hamburg University แถลงการณ์ว่าถึงแม้ไม่อาจย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขสิ่งที่ผิดในอดีตให้ถูกต้องได้ แต่การกระทำครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการย้อนกลับไปพิจารณาประวัติศาสตร์เพื่อช่วยให้สามารถมองและกระทำสิ่งต่าง ๆ ในอนาคตได้ถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น

          คุณหมอ Syllm-Rapoport ให้สัมภาษณ์หลังการสอบว่าเธอไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในอายุขนาดนี้ “มันเป็นเรื่องของหลักการ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว” ซึ่งขยายความว่าการสอบเป็นสัญลักษณ์ของการแก้ไขการกระทำที่ผิดคือตัดรอนสิทธิความเป็นพลเมืองของยิวในอดีตให้ถูกต้อง เมื่อเธอพร้อมที่จะสอบดังที่อาจารย์ที่ปรึกษายืนยัน เธอก็ต้องได้สอบ

          ภาพที่เห็นตอนเธอรับใบปริญญาคือการยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของคุณหมอและครอบครัว แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่งแล้วนี่คือการแก้แค้นลัทธินาซีของเยอรมันซึ่งมีฮิตเลอร์เป็นหัวโจกอย่างสาสมและสะใจเพราะมันหมายถึงว่าความชั่วช้าอย่างใดก็ไม่สามารถเอาชนะฉันได้ พวกเธอตายไปหมดแล้วด้วยสาเหตุที่อเนจอนาถต่าง ๆ แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่และได้ทำสิ่งที่พวกเธอเคยห้ามอย่างไม่ถูกต้องครองธรรม

          การแก้แค้นที่งดงามที่สุดและไม่เป็นสิ่งบั่นทอนจิตใจของตนเองก็คือการมีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญในขณะที่คู่แค้นได้ตายไปแล้ว