ลดน้ำหนักวิธีใหม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
11 กรกฎาคม 2560

         คนจำนวนมากต้องการลดน้ำหนักโดยไม่เข้าใจศาสตร์ในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจึงทำให้ไม่ได้ผล และแถมต้องปวดใจไม่ได้บริโภคสิ่งที่ตนเองปรารถนาอีกด้วย มีงานศึกษาล่าสุดหลายชิ้นที่อธิบายการเผาผลาญพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างความทุกข์จนเกินไป

          The Wild Diet โดย Able James เป็นหนังสืออธิบายการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะในเรื่องการลดน้ำหนักอย่างได้ผล

          การลดน้ำหนักหรือรักษาน้ำหนักให้พอดีจำเป็นต้องมีการเสียสละบ้างเป็นเรื่องธรรมดา หากไม่ต้องหนักหนาเหมือนที่เคยเข้าใจกันด้วยวิธีการใหม่ของหนังสือเล่มนี้

          ประเด็นสำคัญของการเผาผลาญพลังงานเพื่อลดน้ำหนักมิได้อยู่ที่การออกกำลังกายนานเพียงใด หากอยู่ที่ใช้วิธีการใดอย่างมีประสิทธิภาพ

          The Wild Diet ศึกษางานวิจัยจำนวนมากและพบว่าการออกกำลังกายอย่างเข้มข้นในระยะเวลาสั้นจะไปเปิดกลไกปล่อย growth hormones (ฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญเติบโต) และ testosterone (ฮอร์โมนชาย) ให้ออกมาเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อ ในขณะเดียวกันก็ควบคุมไม่ให้ stress hormones (ฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียด) หลั่งด้วย

          ผู้เขียนเสนอการออกกำลังที่เริ่มด้วยการวอร์มอัพ 1 นาที (โดดเชือกหรือ ชกลม) ตามด้วยการวิ่งอย่างเร็ว 20 วินาที หยุดพัก 10 วินาที สลับกันไปเช่นนี้เป็นเวลา 5 นาที (10 ชุด ของการออกกำลังกายเข้มข้น) และตบท้ายการผ่อนคลาย 1 นาทีด้วยการโดดเชือก หรือจ๊อกกิ้งอย่างช้า ๆ) รวมทั้งหมด 7 นาทีต่อวัน หัวใจสำคัญคือการวิ่งเร็วสุด ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลา 20 วินาที

          หันมาด้านอาหารบ้าง ตลอดเวลา 200,000 ปี ของการมีหน้าตารูปร่างเหมือนมนุษย์ ทุกวันนี้ มนุษย์ยังคงกินอาหารมิได้แตกต่างไปเลยในระดับพื้นฐาน เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ฯลฯ ซึ่งอาหารเหล่านี้จะไปเปิดกลไกการหลั่งของฮอร์โมนที่เผาผลาญไขมัน อย่างไรก็ดีอาหารสมัยใหม่ซึ่งอุดมด้วยแป้งและน้ำตาลให้ผลในทางตรงกันข้าม กล่าวคือทั้งแป้งและน้ำตาลจะเติมพลังงานให้ร่างกายเกินกว่าที่ต้องการและไปเปิดกลไกการหลั่งของอินซูลินจำนวนมหาศาลเข้าไปในกระแสเลือด ซึ่งมีผลในการกีดกันร่างกายของเราจากการเผาผลาญไขมันในร่างกาย หรือแม้กระทั่งไปช่วยทำให้มีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย

          ถ้าเราลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมัน เราก็จะช่วยทำให้ร่างกายของเรากลับคืนมาเป็นเครื่องจักรเผาผลาญไขมัน กระบวนการนี้จะทำให้เกิดสภาวะ energy deficit กล่าวคือใช้พลังงานไปมากกว่าพลังงานที่ได้จากการบริโภคซึ่งจะก่อให้เกิดการหลั่งของเอนไซม์และฮอร์โมนต่อเนื่องกันลงไปจนสนับสนุนให้ร่างกายเปลี่ยนไปใช้ไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายเป็นพลังงาน

          ไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายถูกขนส่งไปทั่วทั้งร่างกายในรูปของกรดไขมัน (fatty acids) ไปยังอวัยวะที่ต้องการมันมากที่สุด เช่น กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อและ อวัยวะที่สำคัญ เมื่อกรดไขมันเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง มันก็จะสลายตัวและแปรเป็นพลังงาน และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราหายใจออกมาและของเหลว ซึ่งได้แก่ ปัสสาวะและเหงื่อ

          โปรตีนคือสิ่งที่ร่างกายเราต้องการเหมือนรถต้องการน้ำมัน การบริโภคโปรตีนมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมัน เพราะการย่อยโปรตีนนั้นต้องใช้พลังงานมาก โปรตีนในไข่และเนื้อใช้พลังงานเป็น 3 เท่าในการย่อยสลายเมื่อเปรียบเทียบกับข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง การบริโภคโปรตีนจึงช่วยเผาผลาญไขมันที่เก็บสะสมไว้ในร่างกายและสร้างกล้ามเนื้อ ในแต่ละวันไม่ควรบริโภคต่ำกว่า 50-100 กรัม

          อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยในการเผาผลาญไขมันนั่นก็คือน้ำซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการอย่างมาก( หากขาดน้ำ 2 วัน มนุษย์ก็ไม่รอดแล้ว) ร้อยละ 90 ของเลือดคือน้ำ ร้อยละ 78 ของสมอง และ ร้อยละ 70 ของกล้ามเนื้อประกอบด้วยน้ำ การดื่มน้ำบ่อย ๆ ทำให้ร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยอวัยวะที่สำคัญยิ่งคือตับให้ทำงานได้ดี

          ตับคืออวัยวะหลักในการเผาผลาญไขมัน และรับผิดชอบในการย่อยสลายสารที่ เป็นพิษ เช่น ควัน แอลกอฮอร์ สารผสมอาหาร มลภาวะในอากาศ ฯลฯ ให้เป็นโมเลกุลที่เล็กลงจนสามารถละลายได้ในน้ำและขับถ่ายออกเป็นของเสีย

          ตับนั้นทำงานได้ดีเมื่อมีน้ำในร่างกายอย่างเพียงพอ (well hydrated) ยิ่งเราดื่มน้ำมากเท่าใด กระบวนการลดสิ่งเป็นพิษก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากเพียงนั้น สภาวการณ์นี้จะยิ่งสนับสนุนให้ตับเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น

          ความรู้สึกหิวน้ำไม่ใช่สิ่งบอกว่าตับต้องการน้ำ แท้จริงแล้วมันได้เลยสภาวการณ์ที่ตับต้องการน้ำ (เมื่อเกิด dehydration หรือสภาวะขาดน้ำขึ้น) ไปแล้ว ดังนั้นเพื่อรักษาตับให้อยู่ในสภาพที่ดีและเผาผลาญไขมันได้ดี มนุษย์ต้องดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอทั้งวัน

          โลกมีวิธีลดน้ำหนักใหม่ที่ใช้เวลาน้อยเพียงวันละ 7 นาที แต่ต้องเป็นไปอย่างเข้มข้น และเมื่อประกอบกับการบริโภคผักผลไม้และโปรตีนพร้อมกับน้ำเปล่าสะอาดอย่างสม่ำเสมอแล้วก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างทรมานใจน้อยที่สุด

เรื่องไม่รู้เกี่ยวกับ WannaCry

วรากรณ์  สามโกเศศ
23 พฤษภาคม 2560

          โชคดีที่บ้านเราไม่โดน Wanna Cry กระทบมากนัก malware ตัวนี้เป็นสัญญาณให้เราเห็นว่าเมื่อมองไปข้างหน้าแล้วความปลอดภัยของโลก cyber นั้นน่ากลัว มีหลายเรื่องเกี่ยวกับ malware และ WannaCry ที่น่าสนใจ

          malware คือ โปรแกรมซอฟต์แวร์ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสร้างความเสียหายแก่การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ แก่ระบบข้อมูล แก่การเข้าถึงการใช้งานของคอมพิวเตอร์และข้อมูล แอบส่งกลับข้อมูล แฮกเครื่องคอมพิวเตอร์โดยเข้าไปในระบบปฏิบัติการหรือระบบข้อมูล โชว์โฆษณาบนเครื่องอย่างน่ารำคาญ ฯลฯ (mal มาจากภาษาละติน หมายถึง bad เช่นคำว่า malicious (มุ่งร้าย) malpractice malfunction ฯลฯ) นับวัน malware จะมีหลายลักษณะมากขึ้นตามความสามารถของผู้ร้าย เทคโนโลยี สถานการณ์แวดล้อม ฯลฯ

          malware ที่ดังสุดก่อนหน้า WannaCry ก็คือโปรแกรมฃอฟแวร์ที่เรียกกันว่า worm หรือ “หนอน” ที่มีชื่อว่า “Stuxnet” ซึ่งรัฐบาลอเมริกันพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2005 เพื่อเป็น cyberweapon หรืออาวุธสงคราม cyber (cyber หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์) ต่อมาพัฒนาร่วมกับอิสราเอล จนเป็น “หนอนมหาภัย” ถูกส่งเข้าไปทำลายโครงการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ของอิหร่านหลายครั้งจนพังพินาศและเดินต่อไปไม่ได้ สาเหตุที่อิหร่านยอมลงนามยุติโครงการนี้ร่วมกับประธานาธิบดีโอบาโมเมื่อปี 2016 ก็เชื่อกันว่ามาจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าหนอน stuxnet มหาภัยนี้แหละ

          ransomware ก็เป็น malware ชนิดหนึ่งที่เมื่อติดเชื้อนี้ กล่าวคือโดนเจ้าหนอนหรือไวรัสเจาะเข้าไปในระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้แล้ว ถ้าเจ้าของไม่จ่ายค่าไถ่แก่ผู้บงการก็ไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ และ/หรือเข้าถึงระบบข้อมูลของตนเองได้ ระบบการใส่รหัส (encryption )ของไอ้ไวรัสก็ลึกล้ำมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปถอดรหัสที่ถูกใส่ไว้เองโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ผู้ใช้อยู่ในสภาพจำนนต้องจ่ายเงินให้ในระดับหมื่นบาท โดยจ่ายเป็นหน่วย bitcoin (เป็น digital currency ซึ่งไม่รู้ว่าใครดูแล ไม่ใช่สกุลเงินจริง ๆ ที่ออกโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง มันเป็น 1 ในกว่า400 digital currencies ที่มีอยู่ในโลก cyber) เพื่อไม่ให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของบัญชี ถึงแม้คนอื่น ๆ จะเข้าไปดูได้ว่ามีเงินเข้าออกบัญชีนี้มากน้อยเพียงใดก็ตาม

          คิดไปแล้วน่ากลัวมากที่มีระบบการจ่ายเงินเช่นนี้ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าไม่น่าไว้ใจแต่ก็มีผู้ใช้กันมากพอควรในระยะแรก ลองจินตนาการดูว่าถ้าเป็นการเรียกค่าไถ่จริงโดยจับลูกหรือญาติไปและให้จ่ายเงินผ่าน bitcoin ภาพที่ตำรวจคอยดักจับโจรตอนมารับกระเป๋าเงินก็จะไม่มีอีกต่อไป และถ้านักการเมืองหรือข้าราชการจอมคอรัปชั่นใช้ระบบนี้ในการรับเงิน ร่องรอยของคอรัปชั่นก็จะยากยิ่งขึ้น เงินสดที่เก็บไว้เป็นกระสอบ ๆ หรือยัดที่นอนเพื่อจ่ายกันอย่างไร้หลักฐานก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

          การปรากฏตัวของ ransomware ที่มีชื่อว่า WannaCry (Want to Cry ซึ่งเป็นการตั้งชื่ออย่างเยาะ ๆ) โดยโจมตีพร้อมกันใน 28 ภาษา กว่า 99 ประเทศในโลก และต่อมาส่งผลกระทบกว่า 200 ประเทศเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2017 ทำให้เกิดความกังวลใจว่าในอนาคตต่อไปอาจมี maleware ที่รุนแรงกว่านี้อีก

          maleware ในสารพัดรูปแบบมีมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยมีครั้งใดที่มีการโจมตีพร้อมกันทั่วโลกอย่างกว้างขวางเท่าครั้งนี้ WannaCry เป็น ransomware ที่มีผลกระทบค่อนข้างมากในรัสเซีย จีน และยุโรปบางประเทศ ส่วนอังกฤษและสหรัฐอเมริกานั้นถูกกระทบไม่มากเพราะมีฮีโร่ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ก่อนที่เชื้อนี้จะแพร่ออกไปมาก ผลงานของหนุ่มน้อยคนนี้ช่วยให้ Wanna Cry ไม่มีผลกระทบมากนักต่อโลกและคนทำได้เงินไปอย่างผิดหวัง

          ที่จริงผู้เชี่ยวชาญบางส่วนโดยเฉพาะผู้บริหาร Microsoft รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้นเพราะ WannyCry เล่นงานเฉพาะโปรแกรม Microsoft Windows รุ่นเก่าโดยเฉพาะรุ่น XP ซึ่งออกมาเมื่อ 16 ปีก่อน

          เรื่องของเรื่องก็คือในเดือนสิงหาคม 2016 มีแฮกเกอร์สามารถขโมย malware ออกมาได้หลายตัวจาก NSA (National Security Agency) ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหน่วยความมั่นคงสำคัญและใหญ่โตมาก NSA มีทรัพยากรด้าน IT ชั้นเลิศของโลก สร้าง cyberweapon ซึ่งเป็น maleware ขึ้นมาหลายตัวเพื่อใช้ในการจารกรรม และ WannyCry ก็เป็นหนึ่งในนั้น

          ในกลางเดือนมีนาคม 2017 Microsoft ก็มีคำประกาศทางเทคนิคให้รีบใช้ “security patch” หรือโปรแกรมเครื่องมือทางเทคนิคเพื่อปิดจุดอ่อนของระบบปฏิบัติการก่อนที่ WannaCry ซึ่งใช้ ตัวที่มีชื่อว่า EternalBlue เป็นตัวเจาะจะโจมตีและให้เจ้าของเครื่องทั้งหลายรีบ update version ใหม่ของ Microsoft Windows (ถ้าสามารถ update ได้) และยอมให้ update ระบบปฏิบัติการเก่าตั้งแต่ XP ขึ้นมาทั้งหมดโดยไม่ต้องจ่ายเงินซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ ทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมการของ Microsoft ชนิดกันไว้ดีกว่าแก้

          ในที่สุดก็เป็นความจริง ในเดือนเมษายน 2017 โจรไซเบอร์ก็ปล่อยสิ่งที่ขโมยมาได้จาก NSA ทางออนไลน์ ซึ่งหมายความถึงการเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงวิธีการแฮคชนิดเรียกค่าไถ่ และแล้วพอมาถึง 12 พฤษภาคม 2017 การโจมตีทั่วโลกด้วย WannaCryก็เกิดขึ้น

          ถ้าไม่มีการเตรียมการดังว่า และไม่มีฮีโร่หนุ่มชาวอังกฤษวัย 22 ปี ผู้ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน maleware ของบริษัทเอกชนได้โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว โลกคงเสียหายกว่านี้อีกมากมาย

          หลังจากถูกโจมตีไม่กี่ชั่วโมง หนุ่ม 22 ปีคนนี้ผู้ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อก็พบว่าในโปรแกรม WannaCry ในจุดหนึ่งนั้น ผู้คิดค้นได้สร้าง killer-switch ลับไว้ซึ่งหมายถึงจุดที่สามารถหยุดไม่ให้โปรแกรมทำงาน เมื่อทางอังกฤษทราบก็บอกต่อไปยังสหรัฐอเมริกาและมหามิตรในยุโรป ถึงแม้จะช่วยเครื่องที่ติดเชื้อไปแล้วไม่ได้ แต่ก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในประเทศเหล่านี้มีเวลามากขึ้นในการแก้ไขปิดจุดอ่อนของโปรแกรมปฎิบัติการในเครื่องที่กำลังจะถูกโจมตี

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้ข้อถกเถียงวิจารณ์หน่วยงานจารกรรมด้าน cyber ร้อนแรงขึ้นเนื่องจากโปรแกรมทั้งหลายนั้นย่อมมีจุดอ่อนที่จะแฮคได้เสมอ และหน่วยงานเหล่านี้รู้ดีว่ามีอยู่ตรงที่ใดบ้างแต่ก็ไม่รายงานสาธารณชน หากกลับหาประโยชน์จากจุดอ่อนเหล่านั้นโดยเจาะเข้าไปจารกรรมข้อมูล

          นอกจากนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยใดๆเลยว่ามี malware อีกกี่ตัวของ NSA ที่ถูกแฮคไปและร้ายแรงเพียงใด

          นอกจากแฮคเกอร์ปัจจุบันมีความสามารถมากขึ้นแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญ IT ข้างในที่แอบบอกความลับเพราะเชื่อว่าการเปิดเผยจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งธรรมชาติของคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์เองที่ทำให้มีจุดอ่อนอยู่เสมอดังนั้นความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ของคอมพิวเตอร์จึงไม่มี (กรุณาดูบทความ “คอมพิวเตอร์ไม่มีวันปลอดภัย” ของผู้เขียนประกอบใน blog ชื่อ the101.world)

          อย่าวางใจว่า cybercrimes จะเกิดได้เฉพาะกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่หรือกับ laptopเท่านั้น โทรศัพท์มือถือก็เป็นคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกัน หากมันมาถึงมือถือเมื่อใด จะไม่เป็นเพียง Wanna Cry เท่านั้น แต่จะเป็น WannaDie เอาเลย
 

เรื่องของธงชาติ

วรากรณ์  สามโกเศศ
3 ตุลาคม 2560

         ข่าวเรื่องวันที่ 28 กันยายน 2560 เป็นวันครบรอบ100 ปีของธงชาติทำให้หลายคนอาจสงสัยว่าเราเพิ่งมีธงชาติอายุเพียง 100 ปีหรือ ลองมาดูประวัติธงชาติไทยโดยย่อ ความสำคัญของ ธงชาติและเรื่องราวของธงกัน

          ธงชาติไทยผืนแรกถือกำเนิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยใช้เป็นสัญลักษณ์ในการค้าขายทางเรือ ในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ธงชาติผืนแรกเป็นธงผ้าสีแดงล้วน

          ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ใช้ธงพื้นแดงที่มีรูปจักรสีขาวติดไว้กลางธงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งผืน ซึ่งธงชาติผืนนี้ใช้เฉพาะเรือหลวงเท่านั้น สำหรับเรือค้าขายของราษฎรทั่วไปยังคงใช้ธงสีแดงล้วน และยังคงใช้ต่อไปจนถึงสมัยรัชกาลของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย

          ในยุคนั้นมีการเปลี่ยนแปลงธงเรือหลวงด้วยการนำรูปช้างเผือกไว้กลางวงจักรเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงได้ช้างเผือกมาสามเชือก จึงนับว่าธงชาติไทยผืนที่ 3 คือ ธงพื้นแดง มีรูปจักรและช้างเผือกอยู่ตรงกึ่งกลาง

          ถัดมาในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำหนังสือสัญญาค้าขายกับชาวตะวันตกใน พ.ศ. 2398 จึงมีพระราชดำริให้ใช้ธงเรือหลวงเป็นธงชาติ แต่โปรดให้นำเอารูปจักรออกเสีย เพราะเป็นเครื่องหมายเฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน คงไว้แต่รูปช้างเผือกอยู่กลางธงแดง และยกเลิกการใช้ธงสีแดงล้วน

          มาถึงช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้แก้ไขธงชาติไทยโดยเปลี่ยนให้ใช้ธงพื้นแดง ตรงกลางเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น หันหลังเข้าเสา

          ในปี 2470 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้เปลี่ยนธงชาติไทยอีกครั้งเนื่องจากเข้าร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร และต้องการให้ธงชาติไทยมีลักษณะคล้าย ๆ กับ ธงชาติของประเทศอื่น ๆ โดยให้เป็นธงพื้นริ้วขาวแดง แต่ก็ได้เพิ่มสีน้ำเงินเข้าไปด้วยอีกสีหนึ่ง เพราะสีน้ำเงินถือเป็นสีประจำพระองค์ ธงในปี 2470 นี้ ก็คือธงไตรรงค์ (ไตร = สาม; รงค์ = สี) ที่เราใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

          ธงไตรรงค์ในปัจจุบันเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน แบ่งด้านยาวออกเป็น 5 แถบ แถบตรงกลางเป็นสีน้ำเงินแก่ กว้าง 2 ส่วน ถัดจากแถบสีน้ำเงินแก่ ทั้งสองข้างเป็นสีขาว กว้างข้างละ 1 ส่วน และต่อจากแถบสีขาวทั้งสองข้างเป็นแถบสีแดง กว้างข้างละ 1 ส่วน

          พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำหนดความหมายของสีธงไตรรงค์แบบไม่เป็นทางการไว้ว่า “…..สีแดง หมายถึง เลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งธรรมะอันเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สีน้ำเงิน หมายถึง สีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์”

          ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดความหมายของธงไตรรงค์ให้ชัดเจนขึ้นดังนี้ “สีแดง หมายถึง ชาติ (ประชาชน) สีขาวหมายถึงศาสนา (ไม่ได้เน้นศาสนาใดโดยเฉพาะ) สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งความหมายนี้ใช้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน…..”(ข้อมูลจากจาก kapook.com)

          ธงชาติเกี่ยวกับกฎหมายเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติธงขึ้นและออกประกาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2460 (ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อีกจนได้ธงไตรรงค์ในสมัยรัชการที่ 7 ในที่สุด) และในวันที่ 28 กันยายน 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 28 กันยายนของทุกปีเป็นวันพระราชทานธงชาติไทยโดยให้ ปี 2560 เป็นปีแรก โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ นี่คือที่มาที่ไปของการครบ 100 ปีของธงชาติไทย

          สิ่งที่มีลักษณะคล้ายธงชาติมีมาแต่โบราณกาลโดยเฉพาะในการรบตั้งแต่สมัยโรมันเมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว โดยเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพ ซึ่งมีนัยยะของความเป็นพวกและเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่น่าเชื่อว่าธงผ้าผืนเดียวสามารถรวมจิตใจผู้คนให้เกิดความจงรักภักดี ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน ตลอดจนความรักสามัคคีได้เช่นนี้ในทุกอารยธรรมไม่ว่าอินเดีย จีน ญี่ปุ่น ยุโรป อาฟริกา ไทย ฯลฯ

          อย่างไรก็ดีธงชาติในความหมายของการเป็นตัวแทนชาติในทุกวันนี้เพิ่งเริ่มใช้กันเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง แต่เก่าก่อนธงนั้นใช้กันในแทบทุกโอกาส เราเห็นธงประจำองค์พระมหากษัตริย์ ธงประจำตัวผู้นำ ธงประจำกองทัพ ธงของหมู่ลูกเสือ ธงกฐิน (รูปจระเข้) ธงประกาศเพศของลูกคนใหม่ (ญี่ปุ่น) ธงรถแข่ง ธงประจำทีมกีฬา ธงประจำทูต ธงเตือนว่าเป็นคนพิการ ธงเตือนภัย ธงโบกรถไฟ ธงระบุความสูง ธงโจรสลัด ธงฉลองเทศกาล (ตุงของทางเหนือ) ธงกาชาด (สลับสีกับธงชาติสวิสเซอร์แลนด์) ธงศาสนา ธงพรรคการเมือง ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับการจัดการอารมณ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะป็นการปลุกเร้าจิตใจให้เกิดความรัก ความฮึกเหิม ความมุ่งมั่นร่วมกัน การสร้างศรัทธา และความเลื่อมใส การประกาศความยิ่งใหญ่ การเรียกร้องความสนใจ การขู่ขวัญ ฯลฯ

          การเคารพและเข้าใจความหมายของธงชาติไทยไม่ควรจำกัดอยู่เพียงการรู้ความหมาย การยืนเคารพธงชาติเพราะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสรภาพ การเป็นหนึ่งเดียวกัน ฯลฯ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าอยู่อย่างคงที่ (static) แต่ควรจะมีพลวัตร (dynamic) กล่าวคือทำให้เกิดชีวิตชีวา ไม่เป็นเพียงผ้าผืนเดียว การมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังธงชาติสามารถปลุกเร้าคนไทยให้รักและภูมิใจในชาติ และสำนึกถึงความเสียสละของบรรพบุรุษไทยจำนวนมากมายที่ได้เสียชีวิตเพื่อให้เราได้มีโอกาสยืนเคารพธงชาติของเราเองในวันนี้อย่างภาคภูมิ

          ตัวอย่างหนึ่งของการมีพลวัตรของธงชาติที่สื่อตะวันตกเล่าขานกันมาก็คือการพยายามดันเสาเพื่อให้ธงสหรัฐอเมริกาโบกสบัดเหนือแผ่นดินในการรบที่เกาะอิโวจิมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ศึกอิโวจิมาในช่วงต้นปี 1945 ทหารอเมริกันต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นที่ต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ 5 อาทิตย์เพื่อมิให้ฝ่ายอเมริกันยกพลขึ้นบกอันจะเป็นสะพานทอดไปสู่การโจมตีเกาะใหญ่ของญี่ปุ่นได้ ทหารอเมริกันตายไปประมาณ 7,000 คน ฝ่ายญี่ปุ่นประมาณ 18,000 คน ภาพถ่ายที่ทหารอเมริกันหลายคนช่วยกันดันเสาที่มีธงสหรัฐอยู่ปลายยอดขึ้นเหนือเกาะอิโวจิมาปรากฏต่อชาวโลกจนดูแล้วขนลุก เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความมุ่งมั่น ความรักชาติ ชัยชนะผ่านสัญลักษณ์ตัวแทน คือธงได้เป็นอย่างดี

          ในประวัติศาสตร์ไทย เรื่องราวเช่นว่านี้กับธงมีอยู่อย่างแน่นอนเพียงแต่ต้องการการศึกษาค้นคว้าหาเรื่องราว มาขยายความต่อให้คนไทยโดยเฉพาะเยาวชนได้รับทราบและเกิดความรู้สึกขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการมีธงชาติ
 

เรียนรู้ “ปัญญาเพื่อชีวิต”

วรากรณ์  สามโกเศศ
28 มีนาคม 2560 

          ชีวิตนั้นเปราะบางมากจนแม้แต่ความผิดพลาดเพียงบางเรื่องในวัยก่อนกลางคนก็สามารถทำลายได้ทั้งชีวิต ดังนั้นการเรียนรู้ข้อผิดพลาดจากประสบการณ์ของตนเองเพื่อการมีปัญญาในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก การเรียนรู้ชีวิตจากปัญญาของผู้อื่นโดยเฉพาะจากผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนจึงเป็นวิธีการที่ฉลาด กล่าวคือได้รู้บทเรียนโดยไม่ต้องเจ็บตัว

          ผู้เขียนเก็บสะสม “ปัญญาเพื่อชีวิต” ไว้มากพอสมควรจากหลายแหล่งโดยเฉพาะจากอินเตอร์เน็ต ในครั้งนี้ขอนำมาสื่อสารต่อ ชุดแรกไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ เนื้อหาน่าสนใจและมีค่าอย่างน่าใคร่ครวญ ข้อความมีดังนี้

          “…..แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืนก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนก็ยังคงโง่เท่าเดิม

          คนที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความโกรธ ต่อให้นอนบนเตียงราคาแพง ลิบลิ่ว ปูด้วยพรมขนสัตว์ที่มีลวดลายบุปผชาติประดับไปทั้งผืน ก็ไม่อาจทำให้หลับตาลงอย่างเป็นสุขได้เลยตลอดรัตติกาลอันยาวนาน

          อยู่คนเดียวจงระวังความคิด อยู่กับมิตรจงระวังวาจา อยู่กับมารดาบิดาจงระวังการปฏิบัติตน ถ้าคิดไม่ระวังจะกลายเป็นคิดฟุ้งซ่าน ถ้าพูดไม่ระวังมิตรจะเข้าใจผิด ถ้าปฏิบัติไม่ดีต่อมารดาบิดาจะเป็นการสร้างบาปให้ตนเอง

          อย่าแค่สอนให้ลูกอยาก “รวย” แต่สอนให้เข้าใจ “ความสุข” เพราะเมื่อลูกคุณโตขึ้น เขาจะได้รู้ “คุณค่า” ของสิ่งของ ไม่ใช่รู้แค่ “ราคา” ของมันเท่านั้น

          ผู้คนคิดว่าการอยู่คนเดียวทำให้เราเหงา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่หรอก การถูกห้อมล้อมไปด้วยคนที่ ‘ไม่ใช่’ ต่างหาก คือสิ่งที่เหงาที่สุดในโลก

          คนฉลาดไม่ได้คบคนที่สวยที่สุดในโลก แต่คบคนที่คบแล้วโลกสวยที่สุด

          ฟ้ามิได้แบ่ง ‘ยอดคน’ กับ ‘คนธรรมดา’ออกจากกัน ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอ แต่นั่นมิใช่เพราะ ‘ฟ้ากำหนด’ การที่ “ยอดคน” ปรากฏขึ้นได้เพราะเขาผ่านการ “ฝึกฝน” และ “เรียนรู้” ที่จะเป็นยอดคน

          “อัจฉริยะ” ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดคนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน ม้าดีต้องมีคนขี่ม้ามาฝึกฝน นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ชที่ดีมาฝึกฝน

          อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้และวันหน้าเราต้องการเป็นใคร…อย่าเอาอดีตของตัวเองมาตัดสินอนาคตของตัวเอง

          จงเห็นคุณค่าในตัวเอง เคารพนับถือในความสามารถที่มีอยู่ของตัวเอง หากเราไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตัวเองแล้ว ตัวเราเองจะกลายเป็นผู้สำเร็จและยิ่งใหญ่ได้ จงยกย่องและให้เกียรติตัวเอง

          สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น จงปลูกฝังแต่สิ่งดี ๆ ลงไปในสมอง คำพูดใด ๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำ ๆ หรือการกระทำสิ่งใดซ้ำ ๆ ติดต่อกันเกิน 49 วัน มันจะกลายเป็น “นิสัย” ของเรา จงคุยกับตัวเองแต่เรื่องดี ๆ ทุก ๆ วัน มันคือ เคล็ดลับของทุกความสำเร็จบนโลก

          สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ “สิ่งแวดล้อม” อย่าปล่อยให้ความคิด หรือคำพูดราคาถูกของคนบางคนมากำหนดชีวิตของเรา

          ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเรานอกจากตัวเราเอง อย่าตกเป็นเหยื่อคำพูดของใครที่พูดไปอย่างไม่ได้คิด
ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ ‘เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้’ ไม่มีใครเกิดมา ‘ล้มเหลว’ ถ้าไม่ ‘ล้มเลิก’

          คนฉลาด…ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น…จะไม่มีทางฉลาด

          เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่คุณคิด แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด
สิ่งเลวร้ายที่สุดของมนุษย์คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ‘ทางจิต’ ที่ตอกย้ำตัวเองว่า…ทำไม่ได้

          แม้แต่ “คิด” ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลวเพราะมันคือครูที่ดีที่สุดที่เข้ามาเพื่อทดสอบตัวเรา ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่คุณจะต้องเจอคือ “ความล้มเหลว” อย่ากลัวความล้มเหลวเพราะมันมากับความสำเร็จคุณเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ อยากสำเร็จไวจงรีบออกไปพบความล้มเหลวให้ไว ๆ เราจะได้พบกับความสำเร็จไว ๆ เช่นกัน

          ทำไมมนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะมนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน การลงมือทำตามความคิดจึงแตกต่างกัน

          คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา

          คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก คนล้มเหลวจะให้โลกภายนอกปรับเข้าหาตัวเอง

          ผู้นำที่ประสบความสำเร็จขององค์กรต่าง ๆ ในโลกนี้ กว่า 85% ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่ คนเก่ง แต่เขาเหล่านั้นล้วนเป็นคนดีทั้งสิ้น

          คนเก่งมักจะมี “อัตตา” จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของ คนอื่น ไม่ยอมรับการพัฒนา คนปฏิเสธการพัฒนาคือคนโง่ คนปฏิเสธความรู้ และสิ่งใหม่ ๆ เป็นผู้นำคนไม่ได้

          คนเก่งนั้นใช้เวลา 2-3 ปี ก็สอนให้เก่งได้ แต่คนดีต้องใช้เวลา “ชั่วชีวิต” ในการพากเพียร คนเก่งอาจหาได้ง่าย ๆ แต่คนดีสิหายากจริง ๆ

          คนเก่งถ้าขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู ก็เป็นได้แค่เก่ง แต่คนดีดูได้จากความกตัญญูรู้คุณ

          “ความรู้” เป็นเพียง “พลังอำนาจแฝง” ชนิดหนึ่งเท่านั้น “ความรู้” จะกลายเป็น “พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่” ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำไปใช้อย่างชาญฉลาด

          ฟัง…แต่…ไม่ได้ยิน ได้ยิน…แต่…ไม่เข้าใจ เข้าใจ…แต่…ไม่ลึกซึ้ง ลึกซึ้ง…แต่… ไม่แตกฉาน แตกฉาน…แต่ไม่นำไปใช้…ไม่ลงมือทำก็ไม่เกิดประโยชน์และเกิดผลลัพธ์

          จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเรามาใช้อย่างชาญฉลาดเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อ สังคม และเพื่อประเทศชาติ…..”

          ชิ้นสุดท้ายเป็นของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ท่านทรงกล่าวว่า “คนที่เกิดมามีแต่คนคอยช่วยเหลือถือว่าเป็นคนมีบุญ แต่คนที่เกิดมาแล้วได้ช่วยเหลือคนอื่นเป็นคนที่มีบุญมากกว่า”

          “ปัญญาเพื่อชีวิต” จะมีประโยชน์จริงก็ต่อเมื่อถูกนำไปใช้กับชีวิตเท่านั้น หากเพียงแต่ผ่านหู และคิดว่าน่าสนใจอย่างขาดการใคร่ครวญและปฏิบัติก็เปรียบเสมือนเป็นขยะหู และมูลฝอยสมอง

ยาพิษจากแป้งเด็ก

วรากรณ์  สามโกเศศ
5 ธันวาคม 2560 

          กลิ่นแป้งเด็กปนกลิ่นกายทารกสร้างความรู้สึกอ่อนโยนเพราะมันช่างเป็นกลิ่นที่ ‘น่ารัก’ เสียนี่กระไร อย่างไรก็ดีสิ่งไร้เดียงสาที่มนุษย์ชื่นชอบมานานนี้อาจจะต้องหมดไปเพราะความกังวลเนื่องจากปัจจุบันมีงานวิจัยพบว่าฝุ่นแป้งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้ ในสหรัฐอเมริกามีผู้หญิงชนะคดีได้รับเงินชดเชยนับล้านเหรียญสหรัฐเมื่อไม่นานมานี้

          เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คณะลูกขุนของศาลในรัฐแคลิฟอร์เนียได้ตัดสินให้บริษัทผลิตแป้งเด็ก Johnson & Johnson จ่ายเงินชดเชยให้หญิงเป็นมะเร็งในมดลูกมูลค่า 471 ล้านเหรียญสหรัฐในกรณีฟ้องร้องที่โจทก์อ้างว่า talc (หรือ talcum เป็นวัสดุคล้ายดินมีชื่อเรียกว่า hydrated magnesium silicate ) ซึ่งเป็นสารหลักของฝุ่นแป้งเด็กทำให้เธอเป็นมะเร็งในมดลูก หลังจากใช้มายาวนานเพื่อความสะอาดของร่างกายโดยเฉพาะในที่ลับ

          โจทก์คือนาง Eva Echeverria ได้รับเงินก้อนใหญ่สุดจากคดีนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายคดีที่ Johnson & Johnson ถูกฟ้องอยู่ในขณะนี้ ในคำอ้างเรื่องการก่อให้เกิดมะเร็งของแป้งเด็กต่อ ศาลนั้น ประเด็นของเธอก็คือบริษัทมิได้เตือนผู้บริโภคอย่างเพียงพอในเรื่องที่ talcum powder อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เธออ้างว่าใช้สินค้านี้ทุกวันตั้งแต่เมื่อทศวรรษ 1950 รวมกว่า 50 ปี และพบว่าป่วยเป็นมะเร็งดังกล่าวในปี 2007

          คณะลูกขุนซึ่งเป็นผู้ตัดสินระบุว่า 68 ล้านเหรียญคือส่วนที่เป็นเงินชดเชยเธอจากความสูญเสียฃึ่งไม่อาจนำกลับคืนมาได้และความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น (compensatory damages) ส่วนที่เหลือคือ การลงโทษเพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นอีก (punitive damages)

          ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะวิ่งไปหยิบแป้งกระป๋องเด็ก Johnson & Johnson โยนทิ้ง ข้อมูลต่อไปนี้อาจเป็นวัตถุดิบให้ท่านตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับนิสัยที่เคยชินกับการใช้แป้งกระป๋อง (ไม่ว่ายี่ห้อไหนทั้งนั้น)

          talcum powder มาจาก talc วัสดุธรรมชาติซึ่งประกอบด้วย magnesium / silicon / และ oxygen เมื่อป่นเป็นฝุ่นและบรรจุเป็นแป้งกระป๋องก็จะช่วยดูดซับความชื้นได้ดี ลดการเสียดสี ทำให้ผิวแห้ง และป้องกันมิให้เกิดผื่น ฝุ่นนี้ใช้เป็นแป้งเครื่องสำอางค์ด้วยตลอดจนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มิใช่เพียงแป้งเด็กเท่านั้น

          ในสภาวะธรรมชาติ talc ในบางแหล่งมีใยหิน (asbestos) ซึ่งเป็นสารที่วงการวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นสารก่อมะเร็ง (carcinogenic) ในปอดเมื่อหายใจเข้าไปปนอยู่ด้วย ผู้ผลิตแป้งกระป๋องทั้งหลายจึงประกาศว่าใช้ talc ที่มั่นใจว่าไม่มีใยหินปน ข้อมูลจาก The American Cancer Society ระบุว่าผลิตภัณฑ์ talcum ทั้งหมดที่ใช้ในบ้านในสหรัฐอเมริกาปลอดใยหินมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970

          อย่างไรก็ดีจากการทดลองกับหนูหลายพันธุ์ในห้องทดลองโดยให้สัมผัสกับ talc ที่ไร้ใยหินในลักษณะต่าง ๆ ก็พบว่าบางการทดลองก่อให้เกิดเนื้องอก และบางการทดลองก็ไม่มีผล ผลการทดลองเช่นนี้จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่า talc ที่ไร้ใยหินจะก่อให้ผลเสียกับหนูหรือแม้แต่มนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงสภาพที่แตกต่างระหว่างห้องทดลองกับสภาพโลกที่เป็นจริง และระหว่างความเป็นหนูกับคน

          ในเรื่องการศึกษาว่าแป้งฝุ่นที่ขายกันอยู่นั้นก่อให้เกิดมะเร็งในมดลูกหรือไม่นั้น ผลจากการทดลองก็ไม่ชัดเจน กล่าวคือบางการทดลองพบว่าก่อให้เกิดความเสี่ยงขึ้นเล็กน้อยในการเป็นมะเร็งในมดลูก บางการทดลองก็พบว่าไม่มีผล ดังนั้นจึงไม่อาจตอบได้อย่างชัดแจ้งว่าก่อให้เกิดมะเร็งในมดลูกหรือไม่

          การตัดสินของศาลดังกล่าวก็ยังไม่จบลง จะต้องมีการต่อสู้กันไปอีกนานจากการอุทธรณ์ และยังมีอีกหลายคดีในลักษณะเดียวกันที่รออยู่ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นหนังยาวซึ่งระหว่างนี้ผู้บริโภคต้องตัดสินใจเองว่าจะใช้แป้งกระป๋องต่อไปหรือไม่โดยเฉพาะใช้ทาในบริเวณอวัยวะเพศ

          ผลิตภัณฑ์แป้งเด็กในปัจจุบันต่างยืนยันว่าใช้ talc ซึ่งปราศจากใยหินเหมือนดังที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคจะต้องพิจารณาเองว่ามีความจริงมากน้อยเพียงใด ในสหรัฐอเมริกานั้นมีความเข้มข้นในกฎเกณฑ์การผลิตกว่าประเทศทั้งหลายเป็นอันมาก talc ที่ปราศจากใยหินจึงน่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ำในการเป็นมะเร็งในมดลูก ในปอด หรือแม้แต่ต่อมลูกหมาก ซึ่งชายจำนวนมากใส่ในร่มผ้าอย่างสนุกมายาวนานโดยไม่ตระหนักว่ามันสามารถเข้าไปทางทวารหนักซึ่งเชื่อมต่อไปถึงต่อมลูกหมากได้

          การกลัวว่าแป้งเด็กจะก่อให้เกิดความเสี่ยง (ไม่ว่าฝุ่นแป้งจะมีใยหินปนอยู่หรือไม่ก็ตาม) หมดไปเพราะในปัจจุบันแพทย์และโรงพยาบาลทั้งหลายไม่แนะนำให้ใช้แป้งเด็กอีกต่อไป ถึงจะไม่มีโทษเรื่องมะเร็งแต่ผลทางลบที่เบาที่สุดที่อาจเกิดขึ้นก็คือฝุ่นเข้าไปในปอดเด็กโดยไม่จำเป็นเพราะพ่อแม่บางรายไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอ

          เพื่อความสบายใจของสุภาพสตรีที่ใช้แป้งในการแต่งหน้า ยังไม่มีหลักฐานที่ระบุได้ว่าแป้งก่อให้เกิดมะเร็ง บริษัทผลิตสินค้าเพื่อความงามตลอดจนผลิตแป้งกระป๋องเด็กต่างพยายามให้ความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าแป้งที่ใช้นั้นปราศจากใยหิน

          องค์กรชื่อ The International Agency for Research on Cancer (IARC) ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของ WHO (World Health Organization) ให้คำแนะนำว่าถึงแม้จะมีหลักฐานจำกัดจากการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างฝุ่นแป้ง talc กับมะเร็งในมดลูกแต่ก็ระบุว่าแป้งที่ใช้ทาในบริเวณอวัยวะเพศอาจเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ (“possibly carcinogenic to humans”)

          การตัดสินใจใช้แป้งกระป๋องทาตัวโดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะเพศนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ตัดสินใจแทนกันไม่ได้ เพราะเรื่องลึกลับและลึกซึ้งเช่นนี้เจ้าของเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ตอบได้ สิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักในการตัดสินใจก็คือมนุษย์มักเป็นทาสของความเคยชิน ดังนั้นจึงไม่สมควรให้ความเคยชินมาครอบงำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นใหม่ ๆ เป็นอันขาด

มนุษย์ผงาดขึ้นในโลกได้อย่างไร

วรากรณ์  สามโกเศศ
28 กุมภาพันธ์ 2560

          หนุ่มวัยปลาย 30 ปีคนหนึ่งโด่งดังทั่วโลกข้ามคืนจากการเขียนหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติเล่มแรกของเขาในปี 2011 (แปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 2014) เนื่องจากผู้สนับสนุนว่าเป็นหนังสือชั้นยอดที่ชาวโลกไม่ควรพลาด คือ อดีตประธานาธิบดี Obama / Bill Gates / Mark Zuckerberg ฯลฯ หนังสือขายได้กว่า 5 ล้านเล่ม และแปลออกมาแล้วกว่า 50 ภาษา ที่น่าสนใจก็คือผู้เขียนบอกว่าเขาเขียนได้เช่นนี้ก็เพราะการนั่งวิปัสสนาวันละ 2 ชั่วโมง และลาไป “ปฏิบัติธรรม” ไม่ต่ำกว่าปีละ 30 วัน ถึงแม้เขาจะเป็นยิว สัญชาติอิสราเอลก็ตามที

          Yuval Noah Harari คือชื่อของเขา และหนังสือเล่มนี้คือ Sapiens : A Brief History of Humankind เล่มที่สองที่ออกตามมาคือ Homo Deus : A Brief History of Tomorrow ตีพิมพ์เป็นภาษา Hebrew ในปี 2015 (แปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 2016) ทำให้เขาเป็นซีเล็บในการเป็นนักประวัติศาสตร์ ไปเลย

          หนังสือ Sapiens อธิบายว่าอะไรที่ทำให้ Homo sapiens หรือมนุษย์เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ทั้งที่ก่อนหน้า 70,000 ปีก่อน บรรพบุรุษของเราเป็นสัตว์ที่ “กระจอก” มาก กล่าวคือแทบไม่มีผลกระทบต่อสิ่งใดเลย อาศัยอยู่ในมุมของทวีปอาฟริกา แต่ในช่วงเวลา 70,000 ปีหลังที่ผ่านมา Homo sapiens ได้กระจายไปทวีปอื่น ๆ และครองโลกใบนี้ในที่สุด

          เพื่อให้เห็นภาพกว้างก็ขอไล่ตัวเลขที่นำมาจากหนังสือเล่มนี้ ดังนี้ (1) เมื่อ 4,500 ล้านปีก่อนมีโลกใบนี้เกิดขึ้น (2) 6 ล้านปีก่อนเผ่าพันธุ์มนุษย์กับลิงชิมแปนซีแยกขาดจากกัน (3) 2.5 ล้านปีก่อนได้เกิดการพัฒนา genus (สกุล) Homo คือกลุ่มที่มีลักษณะและหน้าตาคล้ายมนุษย์ (Homo sapiens) ในอาฟริกาและต่อมาใน Eurasia / ตะวันออกกลาง (4) Homo sapiens ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของเราเริ่มปรากฏตัวเมื่อ 150,000-200,000 ปีก่อนในอาฟริกาและมีหน้าตาร่างกายเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน

          สกุล Homo มีด้วยกันหลายเผ่าพันธุ์ เช่น Homo rudolfensis / Homo soloensis / Homo floresiensis / Homo erectus / Homo neanderthalensis / Homo sapiens ฯลฯ อย่างไรก็ดีสกุลนี้สูญพันธุ์ไปจนหมดเหลือแต่เผ่าพันธุ์ของเรานี้แหละ

          Neanderthals สูญพันธุ์เมื่อ 30,000 ปีก่อน และสุดท้าย คือ Homo floresiensis เมื่อ 13,000 ปีก่อน และเมื่อ 12,000 ปีก่อน Homo sapiens ก็เริ่มรู้จักเอาพืชและสัตว์ป่ามาใช้งาน จุดเปลี่ยนของการครองโลกก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง
Harari มีคำตอบให้ว่าอะไรที่ทำให้มุนษย์พวกเราจึงผงาดขึ้นมาในโลก โดยมาทีหลังแต่แซงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดตั้งแต่สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ และเอาชนะลูกพี่ลูกน้องของเราสกุล Homo ไปสิ้น

          มาดูประวัติของ Yuval Noah Harari สักหน่อย เขาเรียนจบปริญญาตรีจาก Hebrew University of Jerusalem และจบปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Oxford เมื่ออายุ 26 ปี ขณะเรียนปริญญาเอกเขาได้พบสิ่งซึ่งแปรเปลี่ยนชีวิตเขาอย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือการนั่งวิปัสสนาโดยเป็นศิษย์ของท่านโกเอ็นกา (S.N.Goenka อาจารย์ใหญ่ทางวิปัสสนาชาวพม่า เชื้อสายอินเดีย ผู้มีชื่อเสียงที่มีลูกศิษย์มากมายทั่วโลก ในไทยก็มีจำนวนมาก ท่านเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2013 อายุได้ 89ปี) Harari นั่งวิปัสสนาทุกวัน ก่อนทำงานหนึ่งชั่วโมงและหลังทำงานหนึ่งชั่วโมงเป็นเวลา 15 ปีมาแล้ว เขาบอกว่าการนั่งสมาธิคือหนทางไปสู่การทำงานวิจัยที่ได้ผลของเขา

          Harari เป็น vegan (ไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ของสัตว์ทั้งมวลไม่ว่าไข่ไก่ นมเนย) เช่นเดียวกับสามี (เขียนไม่ผิดครับ) ของเขาซึ่งพบกันเมื่อปี 2002 ซึ่งเป็น vegan เหมือนกัน ทั้งสองพักอาศัยอยู่ใน moshav (ชุมชนสหกรณ์การเกษตรที่เป็นฟาร์ม) ใกล้กรุงเยรุซาเล็ม ปัจจุบัน Harari เป็นอาจารย์อยู่ที่ Hebrew University of Jerusalem

          คำตอบที่ Harari พบว่าเหตุใด Homo sapiens จึงผงาดขึ้นมาก็คือเราเป็นสัตว์ประเภทเดียวในโลกซึ่งสามารถเชื่อในสิ่งซึ่งอยู่ในจินตนาการของเรา เช่น พระเจ้ามีจริง / เชื่อเรื่องความเป็นรัฐ / สิทธิมนุษยชน ฯลฯ ตลอดจน “นิยาย” ที่ช่วยกันแต่งขึ้นมาและเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ

          นอกจากสามารถมีความเชื่อดังกล่าวได้แล้วยังมีความสามารถอันเป็นพิเศษที่ไม่มีใครเหมือนก็คือการใช้ความเชื่อและ “นิยาย” เหล่านี้มาทำให้สมาชิกเป็นหนึ่งเดียวกัน ตลอดจนสามารถจัดการกับคนจำนวนมากได้โดยได้รับความร่วมมือจากสมาชิกอีกด้วย

          ความสามารถของมนุษย์ตรงนี้แหละที่ทำให้เราผงาดขึ้นมาครองโลก Harari เปรียบเทียบเรากับลิงชิมแปนซีซึ่งเป็นสัตว์ที่ฉลาดใกล้คน (แต่ก็ยังห่างกันไกลมาก) ว่าลิงร่วมมือกันได้ตราบที่รู้จักกันเป็นส่วนตัว แต่ไม่ได้ร่วมมือกันเพราะมีความเชื่ออย่างเดียวกันกับเหมือนมนุษย์ เช่น เชื่อตำนานที่เป็น “นิยาย” ว่าเกิดมาจากสิ่งยิ่งใหญ่จึงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ หรือศรัทธาอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนกันก็จะร่วมมือกัน นอกจากนี้ยังมีความยืดหยุ่นในความร่วมมือนี้ด้วย เช่น ยกเว้นกฎเกณฑ์บางอย่างยามมีปัญหา ของกลุ่ม การเลือกผู้นำมีหลากหลายรูปแบบ ฯลฯ

          คน 10,000 คน กับลิงชิมแปนซี 10,000 ตัว แข่งกันไมได้เลย เพราะมนุษย์ร่วมมือกันได้โดยมีพื้นฐานจากความเชื่อที่อยู่ในจินตนาการของพวกเรา เช่น ต้องยอม ๆ กันบ้างเพื่อจะได้อยู่รอดร่วมกัน แต่ลิงชิมแปนซีจะควบคุมกันไม่ได้ในจำนวนนี้ ความสามารถในการจัดการกับคนจำนวนมากได้ อย่างไม่จำเป็นต้องรู้จักกันเป็นการส่วนตัวตราบที่มีความเชื่อคล้ายกันเป็นนี้แหละหัวใจของการครองโลกของมนุษย์

          มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีจินตนาการ สามารถแต่งเรื่องขึ้นในสมองและเชื่อเรื่องที่แต่งได้ เช่น หากทำชั่วจะตายไปแล้วตกนรก ไม่ว่านรกมีจริงหรือไม่ก็ตามแต่ ตราบที่มีคนเชื่อว่าจริงก็สามารถนำมาใช้กำกับพฤติกรรมมนุษย์ได้ ในขณะที่ลิงชิมแปนซีไม่สามารถคิดหรือจินตนาการอย่างนั้นได้

          ความสามารถในการจัดการของมนุษย์อันมีพื้นฐานจากการเชื่อ ‘นิยาย’ เหล่านี้ร่วมกันจนมนุษย์ยอมรับพระเจ้า ผีสางเทวดา ยอมรับกฎหมาย ยอมรับกฎกติกา ยอมรับผู้นำ ฯลฯ ทำให้เราสามารถปราบคู่แข่งคือสมาชิกสกุล Homo ทั้งหลาย ตลอดจนสัตว์ร้าย และเอาชนะภัยพิบัติธรรมชาติจนทำให้เราอยู่รอดมาได้อย่างดียิ่ง

          ถ้าใครเป็นแฟน TED.com ใน YouTube และสนใจหนังสือเล่มนี้ กรุณารับชมการบรรยายของ Harari ในหัวข้อ “What explains the rise of humans?” ซึ่งมีคำบรรยายภาษาไทยอย่างดี

          Homo sapiens ทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า sapien เป็นภาษาละตินหมายถึง wise ดังนั้นมนุษย์ต้องตระหนักว่าเขาสมมุติว่าเราเป็นคนฉลาด ดังนั้นต้องกระทำการให้สมชื่อโดยเฉพาะกับโลกใบนี้ และกับสัตว์เพื่อนร่วมโลกของเราด้วย

พระอัจฉริยภาพ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”

วรากรณ์  สามโกเศศ
31 ตุลาคม 2560

          เดือนตุลาคม พ.ศ. 2453 เมื่อ 107 ปีก่อนกับเดือนตุลาคม 2559 จะอยู่ในความทรงใจของคนไทยไปตราบนานเท่านาน การสวรรคตของสมเด็จพระปิยะมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นสองเหตุการณ์ของ 4-5 ชั่วคนที่นำความโศกเศร้าอย่างยิ่งมาสู่ปวงชนชาวไทย ทั้งสองพระองค์ทรงครองราชย์รวมกัน 112 ปี ในช่วงเวลา 235 ปีของราชวงศ์จักรี อย่างไรก็ดีในการสูญเสียที่เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิตแต่ละคนสูญหายไปด้วยนี้มีสิ่งชวนให้ใคร่ครวญอยู่

          “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” คือพระปฐมบรมราชโองการเนื่องในพระราชพิธีบรมราชภิเษก กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทรงทำตามที่ทรงสัญญาไว้ ทุกประการตลอดเวลา 70 ปี ของการครองราชย์ของพระองค์

          คนไทยร้องไห้เสียใจ รู้สึกใจหาย และอ้างว้าง คำถามที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อเราตั้งสติได้แล้ว เราจะช่วยทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสอนและทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างนั้นมีคนนำไปคิดและปฎิบัติตามจนเกิดเป็นมรรคผลขึ้นสืบต่อไปในอนาคตได้อย่างไร อย่าลืมว่าไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้นอกจากพวกเราคนไทยด้วยกันเอง

          ผู้เขียนขอเสนอเรื่องหนึ่งที่ทุกคนไม่ว่าจะสูงวัย หรืออยู่ในลักษณะใดก็ตาม สามารถร่วมกันสร้างสรรค์สังคมของเราได้ตามแนวพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งสะท้อนถึง พระอัจฉริยภาพ พระวิริยะอุตสาหะและพระราชปณิธานที่จะขจัดปัญหาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทย

          ถึงแม้แนวคิดนี้จะเกี่ยวพันกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาพื้นที่ในชนบทเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่น ๆ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับความเข้าใจผิดของเยาวชนเราในปัจจุบัน ผู้เขียนขออนุญาตยกมาสัก 3 เรื่อง ดังต่อไปนี้

          เรื่องแรก “ผม (หนู) ก็เป็นคนดีในบางเรื่อง และเลวในบางเรื่องเหมือนคนทั่วไป” ความเข้าใจนี้มีอยู่ดาษดื่นในหมู่เยาวชนไทยจนมีการทำความผิดร้ายแรงต่อสังคม แต่เขาเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรื่องดีอื่น ๆ เขาก็ทำอยู่ด้วย มันก็หักกลบลบกันไปเป็นเรื่องปกติ

          การตีความว่าอะไรดีอะไรเลวมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องน่ากลัวเพราะมันอยู่ที่คนตีความ และยิ่งเชื่อว่าดีกับเลวสามารถหักลบกันได้แล้ว ชีวิตจะยุ่งอย่างแน่นอน ความจริงของชีวิตก็คือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์และอยากอยู่อย่างไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใครและตนเองก็ไม่เดือดร้อน อีกทั้งมีความเจริญด้วยแล้วต้องเป็นคนดีอย่างเดียว มีธรรมะประจำใจ โดยดีกับเลวนั้นเหมือนบุญกับบาปคือหักลบกันไม่ได้

          การที่บอกว่าดีบ้างเลวบ้างนั้น ผู้ใหญ่หมายความว่าเลวในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคุณธรรม เช่น ขี้รำคาญ ขี้อิจฉา ขับรถขาดมารยาท ชอบขัดคอคน ขัดใจพ่อแม่ ฯลฯ แต่เป็นคนดีโดยพื้นฐาน มิได้หมายความว่าเมื่อทำบุญแล้วก็คดโกงเอาเปรียบคนอื่นได้ หรือรับใช้ชาติและปล้นชาติในเวลาเดียวกันได้

          การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้นั้น เยาวชนต้อง “เข้าใจ” ความหมายของประโยคข้างต้น “เข้าถึง” ความจริงของชีวิต รู้ว่าการทำความดีนั้นเป็นเกราะกำบังตนเองจากสารพัดกระสุนและความเจ็บปวดกังวลใจ จากนั้นก็รู้ “การพัฒนา” คือพัฒนาตนเอง แก้ไขความเข้าใจประโยคดังกล่าวอย่างผิด ๆ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเสีย

          พวกเราผู้ใหญ่ที่เห็นชีวิตมามากกว่าต้องช่วยกันในทุกโอกาส ให้เยาวชนเข้าใจความถูกต้องว่าบุญกับบาปนั้นหักกลบลบกันไม่ได้ฉันใด ความดีกับความเลวก็หักลบกันไม่ได้ฉันนั้น

          เรื่องสอง “ความเหลื่อมล้ำในสังคมต้องแก้ไขด้วยอำนาจและความฉับพลัน” มีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อรับรู้เรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยแล้ว “ของขึ้น” อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทันควันด้วยกำลัง ความต้องการอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอันบริสุทธิ์นี้แท้จริงแล้วเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะแสดงว่าสนใจอยากแก้ไขปัญหาของชาติ พวกเรผู้ใหญ่ต้องช่วยกันอธิบายว่ามันมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศของเรา มันเกิดขึ้นในทุกสังคม มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ประเด็นอยู่ที่ว่าโมเมนตั้มของมันไปในทิศทางใด และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นต้นเหตุของสารพัดปัญหาอย่างจริงใจหรือไม่ อีกทั้งกำลังเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมมากน้อยเพียงใด

          ความไม่เท่าเทียมกันของโอกาสซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเป็นผลพวงจากความเหลื่อมล้ำในด้านรายได้และความมั่งคั่งซึ่งมีมาแต่โบราณ และจะมีอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการแทรกแซงด้วยมาตรการที่เหมาะสม (หนังสือ The Anatomy of Inequality (2016) โดย Per Molander และ The Economics of Inequality (2015) โดย Thomas Piketty เป็นหนังสือ 2 เล่ม ที่ปลุกความสนใจเรื่องนี้ได้ดียิ่ง) ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องใช้ความมุ่งมั่นทั้งทางการเมืองและ สังคมโดยใช้นโยบายเศรษฐกิจและสังคม

          “การเข้าใจ” ธรรมชาติของความเหลื่อมล้ำ อีกทั้ง “เข้าถึง” สาเหตุที่ทำให้ความ เหลื่อมล้ำดำรงอยู่ของเยาวชนจะทำให้เกิด “การพัฒนา” กล่าวคือแปรเปลี่ยนความเร่าร้อนอันบริสุทธิ์ใจให้เป็นพลังร่วมกันแก้ไขปัญหาสืบต่อไปข้างหน้า

          เรื่องสาม “เราไม่ต้องเรียนภาษาต่างประเทศกันอีกต่อไปแล้ว เมื่อมีเครื่องมือแปลอันเลิศเช่นนี้” เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา Google ได้เปิดตัวหูฟังไร้สายที่มีชื่อว่า Pixel Buds ซึ่งสามารถแปลภาษาต่าง ๆ ที่สื่อสารถึงกันได้ทันทีทั้งสองทาง ในขั้นต้นนั้นครอบคลุม 42 ภาษา (มีภาษาไทยอยู่ด้วย)

          เครื่องมืออัศจรรย์นี้ทำให้คนจำนวนมากคิดว่า ต่อนี้ไปไม่ต้องเรียนภาษาต่างประเทศให้ปวดหัวกันแล้ว เยาวชนจำนวนมากอาจละทิ้งความบากบั่นเล่าเรียนภาษาเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จนอาจสร้างความเสียหายได้มากในสังคมที่มีผู้คนเบาปัญญาอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

          สถานการณ์นี้ก็คล้ายกับว่าเมื่อมีเครื่องคิดเลขแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องเรียนบวกลบคูณหารเลขอีกต่อไป แค่จิ้มแป้นเป็นก็ได้ตัวเลขแล้ว ที่อยากถามก็คือเมื่อมีคอมพิวเตอร์ และเครื่องคิดเลขมานับ 50-60 ปี แล้ว เหตุใดมนุษย์จึงไม่เลิกเรียนคณิตศาสตร์
คำถามที่ท้าทายให้เยาวชนคิดก็คือถ้าไม่ได้เรียนภาษาต่างประเทศและหากไม่มีเครื่องมือนี้ หรือเสีย หรือแบตเตอรี่หมด จะทำอย่างไร? จะเข้าใจป้ายจราจร ป้ายร้านค้า ป้ายประกาศซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศอยู่ริมถนนได้อย่างไร? ภาษามิได้มีแค่ฟัง ยังมีเขียนและอ่านอีก ถ้าไม่เรียนภาษาแล้วจะสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างสมบูณ์และมีประสิทธิภาพอย่างไร?

          การ “เข้าใจ” “เข้าถึง” ของเยาวชนผ่านการตอบคำถามเหล่านี้ จะทำให้เข้าใจว่า “การพัฒนา” ตนเองที่ต้องตามมาคืออะไร หน้าที่ของพวกเราคือการชี้แจงว่าการเรียนภาษายิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคอมพิวเตอร์แปลถูกในทุกบริบท การเข้าใจภาษาต่างประเทศจะช่วยทำให้การใช้เครื่องมือเช่นว่านี้มีประโยชน์ยิ่งขึ้น จะไม่มีวันที่อุปกรณ์หรือเครื่องมือใด ๆ มาทดแทนมนุษย์ได้ ตราบที่มนุษย์ยังคงมีจิตใจที่เป็นมนุษย์

          หลักการ “เข้าใจ” “เข้าถึง” และ “พัฒนา” เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการทำงานรับใช้ประชาชน และการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พวกเราสามารถน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้ด้วยการช่วยชี้แจงเยาวชนกันคนละไม้คนละมือ เพราะพวกเขาคือกำลังสำคัญของชาติในวันหน้าอย่างแท้จริง

ผัก ผลไม้ และความงาม

วรากรณ์  สามโกเศศ
10 มกราคม 2560

          การพยากรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปี 2017 เป็นเรื่องยากมากทั้งในระดับโลกและระดับชาติเนื่องจากมีตัวแปรจำนวนมากอีกทั้งยังซับซ้อนและหลายตัวโยงใยกันเองอีกด้วย มีเรื่องเดียวที่พอมั่นใจได้ว่าไม่ผิด นั่นก็คือแนวโน้มในเรื่องอาหารที่เกี่ยวกับผักและผลไม้

          โลกเรามีสถิติเรื่องการทิ้งอาหารสูญเปล่าอย่างน่าเสียดายยิ่ง (1) ในแต่ละปี 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตทั้งหมดในโลกซึ่งมีปริมาณประมาณ 1.3 พันล้านตันหรือมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถูกทิ้งลงถังขยะโดยผู้บริโภคและผู้ขายรายย่อย อีกส่วนเน่าเสีย สูญเสียอันเกิดจากการขนส่ง การเก็บเกี่ยว การดูแลรักษาที่ขาดประสิทธิภาพ

          (2) ถ้าเราบริโภคและสูญเสียอย่างเปล่าประโยชน์ในระดับนี้ที่มีประชากรโลกประมาณ 7 พันล้านคน ก็หมายความว่าในปี 2050 ซึ่งคาดว่าจะมีประชากรโลกประมาณ 9.6 พันล้านคน เราต้องมีโลกดังเช่นปัจจุบันถึง 3 ใบ จึงจะมีทรัพยากรเพียงพอ

          (3) ประชากรโลก 2 พันล้านคนในปัจจุบันมีน้ำหนักเกินพอดี ในขณะที่ประมาณ 1 พันล้านคนมีภาวะทุโภชนาการ และอีก 1 พันล้านคนอดหยาก

          (4) น้อยกว่า 3% ของน้ำในโลกที่ใช้ดื่มได้ (ส่วนใหญ่คือน้ำทะเล) ในจำนวนนี้ 2.5% เป็นก้อนน้ำแข็งในทวีป Arctic และ Antarctica ส่วนอีก 0.5% มาจากแม่น้ำ ห้วยหนอง คลองบึง และใต้ดิน

          ในสหรัฐอเมริกามีการคำนวณว่าเกือบถึงร้อยละ 40 ของอาหารที่ผลิตนั้นสูญเปล่า ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นเงินแล้วตกประมาณครัวเรือนละ 2,200 เหรียญสหรัฐ (78,680 บาท) เงินจำนวนนี้สูญหายไปจากกระเป๋าอย่างน่าเสียดาย เพราะอาจเป็นเงินออมหรือเงินลงทุนที่ก่อให้เกิดผลตอบแทนในอนาคตได้มากมาย

          อย่างไรก็ดีท่ามกลางการสูญเปล่าดังกล่าว มนุษย์มีความรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าอาหารบางประเภท เช่น ผัก ผลไม้ มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพ แต่ก็พบว่า “ของดี” เหล่านี้จำนวนมหาศาลถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่แยแสเนื่องจากมีหน้าตาไม่งดงาม และการทำให้ต้องตาผู้บริโภคก็ต้องใช้สารเคมีที่มีผลต่อสุขภาพของทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภคอีกด้วย

          เมื่อเรานิยมมะเขือเทศที่ผิวสดใส ผลไม้ที่ผิวไม่มีรอยด่างดำ ผักที่เขียวสด มีผิวและมีรูปร่างที่น่าบริโภค ผลไม้ก็ต้องไม่แคระแกร็น ไม่บิดเบี้ยว ฯลฯ ผู้ปลูกและผู้ขายปลีกก็โยนทิ้งผักผลไม้ที่ไม่น่ากินเหล่านี้ไปสิ้น

          มีตัวเลขของสหประชาชาติว่าเกษตรกรโยนทิ้งร้อยละ 20-40 ของผลผลิตเกษตรที่ไม่ “เข้าท่า” เพียงเพราะไม่สวยพอที่จะตรงกับความคาดหวังของผู้บริโภค ถ้าตัวเลขนี้เป็นจริงสำหรับบ้านเราก็หมายความว่าผักและผลไม้ที่เราบริโภคกันนั้นคือเพียงเกือบครึ่งเดียวของผลผลิตที่ผลิตได้ทั้งหมด น่าเสียดายอีกครึ่งหนึ่งที่สูญเสียไปเพียงเพราะไม่ถึง “ระดับความงาม” ทั้งที่ใช้ทรัพยากรที่ดิน น้ำ ปุ๋ย แรงงาน ฯลฯ ในปริมาณใกล้เคียงกัน

          ในเรื่องทางโน้มที่ได้เกริ่นไว้ ลักษณะแรกที่จะเกิดขึ้นในระดับโลกและอาจลามมาถึงบ้านเราก็คือปรากฏการณ์ของการใส่ใจ “Ugly Greens” กล่าวคือ มีหลายบริษัทใหญ่ในสหรัฐอเมริการ่วมมือกับกลุ่มบริษัทที่ไม่มุ่งหวังกำไร (บ้างก็เป็น Social Enterprise) เริ่มโครงการเก็บสต๊อกและขายมันฝรั่งที่รูปร่าง บิดเบี้ยว ส้มที่มีผิวไม่สวย แอปเปิ้ลที่ผิวมีตำหนิ ฯลฯ ฃึงพืชผลเกษตรเหล่านี้มีรสชาติและคุณค่าทางอาหารไม่ต่างจากพวก “งดงาม” แต่ที่สำคัญคือถูกกว่าและสุขใจกว่าที่ช่วยโลก

          กระแสนี้จะมีพลังโดยการผลักดันของพวก Millennials (เป็นผู้ใหญ่ราว ค.ศ. 2000) เนื่องจากปัญหาน้ำ ปัญหาโลกร้อน ปัญหาการสูญเปล่า ภัยพิบัติในโลก ฯลฯ มีความเป็นจริงชัดเจนขึ้น ทุกวัน

          ลักษณะที่สอง คือ กระแสการใช้วัตถุดิบเกือบทุกส่วนของผลิตภัณฑ์เกษตรเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหาร การสร้างปุ๋ยธรรมชาติ ปุ๋ย EM แอลกอฮอล์ ก๊าซ ฯลฯ ตลอดจนแสวงหาผักผลไม้ชนิดแปลกใหม่

          ผักผลไม้โดยทั่วไปเป็นที่นิยมมากขึ้นเพียงใด ผักที่มีสีจัดหลากหลายตามธรรมชาติที่ไม่เคยบริโภคกันกว้างขวางมาก่อนก็จะเป็นที่แสวงหากันมากขึ้นเพียงนั้นเพราะพิสูจน์แล้วว่ามีสาร Anti-oxidants ป้องกันมะเร็งมากเป็นพิเศษ

          ลักษณะที่สาม การปลูกผักไว้บริโภคเอง ไม่ว่าจะใช้กระถาง แปลงเพาะ เพาะในถังหรือกระป๋อง จะมีมากขึ้นเพราะเกรงกลัวสารเคมี แนวนิยมการปลูกเชิง organic ของผักผลไม้และผลิตภัณฑ์เกษตรจะเป็นกระแสที่ไม่ตก

          การเพาะเองเพื่อบริโภคต้นอ่อน เช่น ทานตะวัน ถั่วงอก อัลฟัลฟ่า ฯลฯ เป็นทางโน้มที่เห็นชัดเจน (ธุรกิจภายใต้ Thailand 4.0 อันหนึ่งก็คือการขายชุดสำเร็จรูปของการปลูกเพาะต้นอ่อนเช่นนี้โดยเฉพาะสำหรับต้นอ่อนที่มีราคาสูง)

          โจทย์ที่สำคัญของนักวิชาการเกษตรก็คือการเพิ่มผลิตภาพ(productivity)ของสินค้าเกษตรประเภทผักและผลไม้ ตลอดจนดอกไม้ หญ้า ไม้ประดับ ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นส่วนประกอบของธุรกิจบริการได้เป็นอย่างดี

          การบริโภค“Ugly Greens” เป็นปรากฏการณ์ที่มีประโยชน์ในบ้านเราเพราะทำให้ไม่ต้องบริโภคยาฆ่าแมลงเกินเหตุ อีกทั้งเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย อย่าลืมว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคือประโยชน์ที่เราได้รับอย่างแท้จริง จริงอยู่ที่ความงามให้คุณค่าทางจิตใจก่อนกิน แต่คำถามก็คือในยามที่โลกมีปัญหาเรื่องทรัพยากรเช่นในปัจจุบัน ความงามส่วนที่เพิ่มขึ้นของผักและผลไม้คุ้มกันหรือไม่กับการสูญเปล่าที่เพิ่มขึ้น

          เพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา บางครั้งเราก็ต้องยอมบริโภคผักผลไม้ที่ตกรอบประกวดความงามกันบ้าง อย่าลืมว่าภรรยาหรือสามีเราที่บ้านเกือบทั้งหมดหากไปประกวดความงามก็ตกรอบแรกกันทั้งนั้น แต่เราก็อยู่กันมาได้อย่างมีความสุขไม่ใช่หรือครับ

ผลที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นเสมอ

วรากรณ์  สามโกเศศ
24 ตุลาคม 2560

          บ่อยครั้งมากที่เราพบว่าการกระทำด้วยความตั้งใจดีกลับก่อให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา มีเรื่องเล่ามากมายที่สนับสนุนข้อสังเกตนี้จนเตือนใจให้เราต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะ สิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นเกิดขึ้นอย่างอยู่นอกการควบคุม ซึ่งถือได้ว่าเป็นความเสี่ยง

          Unintended Consequences (UC____ผลที่เกิดขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจ) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจและมองไม่เห็นแต่แรก มันเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ อย่างไม่ควรปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

          ไอเดียเรื่อง UC มีมายาวนานในความคิดของนักปราชญ์ตะวันตกเช่น John Locke, Adam Smith ฯลฯ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 ต่อมาได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อมีนักสังคมวิทยาพยายามวิเคราะห์อย่างเป็นระบบของ UC ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสังคม ในเวลาต่อมามีการยก UC ขึ้นเป็น Law of Unintended Consequences เพื่อเตือนให้ระวังการไปแทรกแซงในระบบใดที่มีความซับซ้อนเพราะมีทางโน้มที่จะก่อให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงทั้งบวกและลบสูง มันเป็นคำเตือนให้มนุษย์ลดความอวดดีลงในการเชื่อว่าสามารถควบคุมโลกที่อยู่รอบตัวได้อย่างสมบูรณ์

          Robert Merton (1960-2003) คือนักสังคมวิทยาชาวอเมริกันผู้นั้นซึ่งมีชื่อเสียงมากและได้รับการเชิดชูให้เป็นบิดาของวิชาสังคมวิทยาสมัยใหม่ เขาได้ศึกษาและเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1936 โดยสรุปว่า UC แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ (1) ประโยชน์ด้านบวกอย่างที่มิได้คาดไว้ (อาจเรียกว่าโชค) (2) ประโยชน์ด้านลบอย่างไม่ตั้งใจควบคู่ไปกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้ (สร้างเขื่อนเก็บน้ำเพื่อเกษตรกรรมแต่ได้ผลเสียมาด้วยคือโรคจากทางน้ำที่มีผลเสียต่อสุขภาพ) และ (3) ประโยชน์ด้านลบล้วน ๆ ฃึ่งอาจทำให้ปัญหาเดิมเลวร้ายลงหรือเกิดปัญหาใหม่ขึ้น

          Merton ระบุว่ามี 5 สาเหตุที่ก่อให้เกิด UC ซึ่งได้แก่ (1) ความไม่รู้ว่าตนเอง ไม่รู้ (ignorance) ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น (2) ความผิดพลาดในการวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาโดยกระทำตามสิ่งที่เคยได้ผลในอดีต แต่ใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ปัจจุบัน (3) การพิจารณาที่มุ่งผลระยะสั้นจนบดบังการพิจารณอย่างใคร่ครวญ (4) ค่านิยมพื้นฐานเป็นอุปสรรคทำให้ไม่กระทำบางสิ่งถึงแม้จะตระหนักว่าไม่เป็นประโยชน์ในระยะยาวก็ตาม (ไม่กล้าตัดต้นไม้ใหญ่ติดถนนเพราะเคารพ เจ้าแม่ และต่อมาก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง) และ (5) สิ่งที่เรียกว่า self-defeating prophecy กล่าวคือหวาดหวั่นว่าจะเกิดผลเสียขึ้นจนพยายามกระทำการก่อนมีปัญหา ดังนั้นจึงไม่คาดคิดถึงเรื่องการไม่เกิดขึ้นของผลเสียนั้น(ดูตัวอย่างข้างหน้า)

          Self-fulfilling prophecy คือคำพยากรณ์ที่ช่วยทำให้เกิดเป็นจริงขึ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ตัวอย่างเช่นเศรษฐกิจโดยแท้จริงนั้นไม่อยู่ในสภาวการณ์ที่ดีนัก แต่ถ้ามีคนเชื่อ คำพยากรณ์ว่าปีหน้าจะดีกว่าปัจจุบัน คำทำนายก็เป็นจริงขึ้นมาได้ อาจเนื่องจากมีคนเชื่อและลงทุนกันมากจนเศรษฐกิจดีขึ้นมาจริง ๆ หรือเด็กคนหนึ่งเกิดมาและมีแต่คนบอกว่าจะเป็นคนมีบุญ เด็กก็จะทำตัวเป็นคนดีและเป็นคนมีบุญจริงในที่สุด

          ส่วน self-defeating prophecy นั้นตรงกันข้าม มันเป็นคำพยากรณ์ที่ทำให้คำทำนายนั้นไม่เกิดเป็นจริงขึ้น เช่น กรณีของปัญหาปี 2000 ผู้คนหวาดหวั่นกันทั่วโลกว่าจะเกิดปัญหาการล้มเหลวของเทคโนโลยีเพราะนาฬิกาอ่านเวลาผิด ดังนั้นผู้คนจึงร่วมกันแก้ไขจนคำทำนายไม่เป็นจริง หรือกรณีที่มีคนทำนายว่าจะตายก่อนอายุ 25 ปี เพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ดังนั้นจึงระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับการขับรถจนคำทำนายนั้นไม่เกิดขึ้นจริง

          ตัวอย่างของ UC มีมากมายในโลก ผู้เขียนขอนำมาใช้เป็นเครื่องเตือนใจในการใช้นโยบายต่าง ๆ ทั้งในระดับรัฐ องค์กรเอกชน และบุคคล โดยขอแยกเป็นด้านดี ด้านดีปนไม่ดี และไม่ดีล้วน ๆ

          ด้านดี ยาทั้งหมดมีผลข้างเคียง เกิด UC อยู่บ่อย ๆ ในด้านลบ ในด้านดีก็ได้แก่ แอสไพริน (เริ่มใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 1899)ฃึ่งเป็นยาลดความเจ็บปวดขนานสำคัญ UC ที่พบก็คือทำให้เลือดไหลลื่นได้คล่องตัวและแข็งตัวช้า ช่วยป้องกัน heart attack และลดความรุนแรงจาก strokes นอกจากนี้ Viagra ในตอนแรกนั้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดความดันโลหิต แต่ปรากฏว่าในปัจจุบันเอาไปใช้ประโยชน์ช่วยการไหลของเลือดไปยังองคชาติ

          ด้านดีปนไม่ดี (1) เข็มขัดนิรภัยทำให้ผู้คนเกิดความฮึกเหิมในการขับรถ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น แต่งานศึกษาพบว่าช่วยชีวิตคนได้อย่างมาก เมื่อหักลบกันแล้วปรากฎว่าได้ผลดีมากกว่าผลเสีย เราจึงใช้เข็มขัดนิรภัยกันในทุกวันนี้

          (2) มีการนำกระต่ายเข้าไปเลี้ยงในออสเตรเลียโดยผู้บุกเบิกโดยเริ่มใน ค.ศ. 1827 เพื่อเป็นอาหาร แต่มันแพร่พันธุ์รวดเร็วนับเป็นล้านตัว กินพืชผลในแต่ละปีมหาศาล อีกทั้งยังทำลายร่องน้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก (3) ในยุคสมัยอาณานิคม รัฐบาลอังกฤษกังวลที่มีงูจงอางเพ่นพ่านเป็นจำนวนมากในกรุงเดลลี จึงให้รางวัลด้วยการเอาหัวงู (หมายถึงงูไม่ใช่คน)มาขึ้นเงิน ในตอนแรกนโยบายนี้ประสบความสำเร็จ งูจงอางหายไปมาก ต่อมาพบว่ามีคนหัวดีเพาะพันธ์ งูจงอางเพื่อมารับรางวัล ดังนั้นจึงประกาศเลิก งูจงอางที่เลี้ยงไว้จึงไร้ค่าทันที ผู้เลี้ยงจึงพร้อมใจกันปล่อยงู สุดท้ายปรากฏว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าเก่า แถมเสียเงินค่ารางวัลงูไปไม่น้อย

          (4) ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็กในอิสราเอลประสบปัญหาพ่อแม่มารับลูกเกินเวลากันมาก เพื่อแก้ไขปัญหาให้พ่อแม่มารับลูกตรงเวลา ศูนย์จึงเรียกเก็บเงินค่าดูแลลูกเกินเวลาในจำนวนที่สูงพอควร ผลปรากฏว่าพ่อแม่ที่มารับลูกเกินเวลามีจำนวนมากขึ้นเพราะต่อไปนี้ไม่รู้สึกผิดเนื่องจากได้จ่ายเงินให้แล้ว ศูนย์จึงเลิกเก็บเงินค่ามารับเกินเวลา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพ่อแม่จำนวนมากก็ยังคงมารับลูกสายเช่นเดิมเนื่องจากความรู้สึกละอายใจที่เป็นพ่อแม่มารับลูกสายลดลงไปมากเพราะคนอื่น ๆ ก็มารับสายเช่นกัน

          ด้านไม่ดีล้วน ๆ (1) ในปี 1919 เมื่อเยอรมันนีแพ้สงครามก็ถูกลงโทษอย่างหนัก ต้องจ่ายเงินมหาศาลชดใช้ผู้ชนะ ต้องเสียดินแดนสำคัญ กองทัพถูกบังคับให้มีจำนวนไม่เกิน 100,000 คน ฯลฯ คนเยอรมันไม่มีทางเลือก แต่มีความไม่พอใจในสิ่งที่ถือว่าอยุติธรรมอย่างยิ่ง และนี่คือการปูทางไปสู่ชัยชนะเป็นผู้นำของฮิตเลอร์ในปี 1933 ขัดขืนไม่ยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญา Versailles และที่เหลือก็คือเรื่องราวของความหายนะจากสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งมีผู้คนเสียชีวิตรวมกันกว่า 60 ล้านคน

          ผลที่เกิดขึ้นอย่างมิได้ตั้งใจทั้งดีและไม่ดีมักเกิดขึ้นเสมอในทุกการแทรกแซง ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ข้อหนึ่งในการดำเนินนโยบายก็คือการพิจารณาตัดสินเลือกโครงการโดยดูที่ความตั้งใจดีมากกว่าผลที่เกิดขึ้น

ปล่อยนก บุญหรือบาป

วรากรณ์  สามโกเศศ
21 กุมภาพันธ์ 2560

          “ปล่อยนก ปล่อยปลา” เป็นสำนวนไทยซึ่งหมายถึงการปล่อยให้เป็นอิสระ พ้นจากการผูกมัด หรือการไม่ถือสาหาความ ไม่เอาผิด คำพูดนี้มาจากสิ่งที่ชาวพุทธกระทำกันมาช้านานในการปล่อยนกปล่อยปลาเพื่อเป็นการทำบุญ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นโดยแท้จริงแล้วเท่ากับเป็นการทำบาปเพราะก่อกรรมทำเข็ญสัตว์

          ในสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้คลิปสั้น “ปล่อยนก บุญหรือบาป” แพร่กระจายในโลกโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ผู้เขียนได้ดูแล้วชอบมากเพราะมันตรงกับความคิดเห็นส่วนตัวที่มีมานาน คลิปนี้มีประโยชน์เพราะจะทำให้คนไทยตระหนักว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นมันตรงข้ามกับสิ่งที่เราตั้งใจอย่างน่าตกใจ

          คลิปสั้น ๆ นี้ถามว่าการให้อิสระภาพแก่นกที่ถูกจับมาเพื่อให้คน (จ่ายเงิน) ปล่อยนั้นคือการให้ซึ่งเสมือนการได้บุญหรือไม่ คำตอบก็คือมันมิได้เป็นการให้ หากเป็นการสร้างความทุกข์ทรมาน ทำให้ชีวิตพลัดพราก เกิดความตาย และนั่นคือบาป ถ้าไม่มีพิธีกรรมปล่อยนกกันก็ไม่มีใครจับนกมาใส่กรง ให้ปล่อย และบาปก็ไม่เกิดขึ้น

          ผู้ทำคลิปนี้คือสมาคมต่อต้านการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีคุณธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ นักธุรกิจใหญ่ใจบุญเป็นนายกสมาคม ซึ่งสมาคมนี้ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ 2557

          การปล่อยนกปล่อยปลาในสังคมพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่ว่าไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา ฯลฯ โยงใยกับเรื่องเล่าถึงผลบุญจากการให้ชีวิตของสามเณร ติสสะ ศิษย์ของพระสารีบุตร ผู้มีชะตาถึงฆาตใน 7 วัน แต่ด้วยอานิสงส์จากการช่วยปลาในสระน้ำที่แห้งขอดกับการปล่อยเก้งจากแร้วของนายพราน จึงทำให้หลุดพ้นจากชะตากรรม

          การให้ชีวิตในสังคมพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็มีเช่นกัน โดยผูกโยงกับ พระสูตร“สุวรรณประภาสสูตร” หรือ “กิมกวงเม้งเก็ง” ซึ่งเริ่มปรากฎในแผ่นดินจีนสมัยราชวงศ์เหลียงฝ่ายเหนือ (ค.ศ. 412-427) ดังนั้นการปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ฯลฯในวัฒนธรรมจีนจึงมีการทำกันอย่างกว้างขวาง

          สังคมปล่อยนกปล่อยปลาฃึ่งมีความสุขอิ่มอกอิ่มใจในผลบุญจากการปล่อยให้สัตว์เป็นอิสระเป็นมาอย่างช้านานจนเริ่มมีเสียงวิพากวิจารณ์จากกลุ่มผู้รักสัตว์ในโลกตะวันตก ในปี 2012 นิตยสาร Scientific American อันมีชื่อเสียงมีบทความเรื่องพิธีกรรมของชาวพุทธในเอเชียในการปล่อยนก ที่ทำร้ายชีวิตสัตว์ตามธรรมชาติ

          ข้อเขียนนี้บรรยายถึงชีวิตของชาวพุทธที่ชอบปล่อยนกยามเมื่อมีคนเจ็บไข้ มีทุกข์ มีเคราะห์ หรือสะสมบุญกุศล การกระทำนี้เรียกว่า “merit releases” (การปล่อยเพื่อให้ได้บุญ) ผู้เขียนได้ติดตามการปล่อยนกในกรุงพนมเปญอยู่ 13 เดือนจนได้ตัวเลขว่า ในแต่ละปีมีสัตว์ที่ผ่านการค้าเพื่อปล่อยในระดับท้องถิ่นนี้ไม่ต่ำกว่า 700,000 ตัว อีกทั้งพบว่ามีนก 57 พันธุ์ที่ถูกจับอยู่ในกรง หลายพันธุ์อยู่ในรายการที่ใกล้สูญพันธุ์ นี่เป็นเพียงสถิติจากเมืองเดียวเท่านั้น

          สำหรับฮ่องกงมีคนประเมินไว้ว่าในวัดพุทธที่ฮ่องกงทั้งหมดมีการปล่อยนกไม่ต่ำกว่าปีละ 580,000 ตัว ตัวเลขของเอเชียทั้งหมดไม่มีใครศึกษาไว้ว่ามีจำนวนเท่าใด แต่คาดว่าน่าจะเกิน 5-10 ล้านตัว ต่อปี ในบ้านเรานั้นมีอยู่ดาษดื่นในเกือบทุกวัดใหญ่ ๆ ที่มีงานบุญ ตัวเลขน่าจะเป็นนับล้านตัว ต่อปี หากใช้ตัวเลขจากพนมเปญเป็นฐาน

          ในบ้านเรากลุ่มนกกระติ๊ด(คล้ายนกกระจาบ)ซึ่งเป็นนกตัวเล็ก เป็นที่นิยมมากเพราะสามารถจับได้ครั้งละเป็นร้อยเป็นพัน ไม่กินพื้นที่กรงถึงแม้จะตายง่ายสักหน่อย วิธีจับก็คือใช้แหทอดในทุ่งนาตอนกลางคืนที่นกเหล่านี้นอนรวมกลุ่มกันบนพื้น เมื่อติดแหไนล่อนก็ต้องปลดแกะออก จำนวนหนึ่งก็จะตาย เมื่อขนส่งก็ตายอีก และเมื่อใส่กรงรอคนปล่อยก็ตายอีก เคยมีการคำนวณของสมาคมหนึ่งของไทยว่าจาก 100 ตัวที่ถูกจับมานั้น ที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนไปมีประมาณ 10 ตัว
The Institute of Supervising Animal Epidemic Control of Guangzhou ในจีนประมาณว่าร้อย 90 ของนกที่ใช้ใน merit releases ตาย

          ประการสำคัญก็คือการจับและฃื้อขายนกกระติ๊ดนั้นผิดกฎหมายอาญาเพราะเป็นสัตว์คุ้มครอง ทั้งผู้จับและผู้ค้ามีโทษทั้งปรับและจำ แต่เราก็เห็นการลักลอบทำธุรกิจนี้ซึ่งมีกำไรงดงาม ตัวหนึ่งได้ราคาปล่อยถึงตัวละ 30-50 บาท ต้นทุนตกประมาณ 5-10 บาท

          การ “ทำบุญ” เช่นนี้จึงเป็นการทำลายสัตว์ตามธรรมชาติ รบกวนวงจรชีวิตและความสงบสุขของมัน เป็นการทารุณสัตว์อย่างมิต้องสงสัย และสำหรับนกนั้นอาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของไวรัสสารพัดชนิดได้ (ที่ร้ายแรงคือไข้หวัดนก H5N1 )

          สัตว์อื่นที่ปล่อย เช่น เต่า หอยขม ปลาไหล ฯลฯ ก็อาจมิใช่การทำบุญเช่นกันเพราะหากปล่อยเต่าในน้ำเชี่ยวที่ไม่มีตลิ่งให้เกาะก็จะตาย หอยขมต้องอยู่ในที่ชื้นแฉะเช่นบึงคลองไม่ใช่แม่น้ำ ปลาไหลอยู่ไม่รอดในน้ำไหลแรง และปลาที่ซื้อจากตลาดและปล่อยในแม่น้ำก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะอาจช็อกในน้ำที่มีอุณหภูมิและสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากที่เคยเติบโตมาได้

          ถ้าไม่มีการซื้อ (จ่ายเงินเพื่อปล่อย) สัตว์ที่ถูกจับเหล่านี้มาก็จะไม่มีการจับมาเสนอขายอย่างแน่นอน เข้าทำนองดีมานด์สร้างสัพพลาย ลองจินตนาการว่าถ้าชาวพุทธทุกคนกระทำ merit releases ในรูปแบบอื่น (ปลดปล่อยอารมณ์โกรธ โลภ หลง หรือไม่บริโภคเนื้อสัตว์แทนการปล่อยสัตว์ที่ถูกจับมา) เราก็จะไม่เห็นการทารุณสัตว์ในวัดอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน

          การไถ่ชีวิตโคกระบือราคาสูงที่นิยมทำกันอย่างกว้างขวางก็เช่นกัน ผู้ที่รู้สึกอิ่มเอิบในบุญว่าได้ไถ่ชีวิตสัตว์แล้วนั้นเคยติดตาม ถามไถ่ หรือไปดูให้รู้แน่แก่ใจหลังจากนั้นหรือไม่ว่ายังมีชีวิตอยู่จริง อยู่ที่ไหนและมีความเป็นอยู่อย่างไร การได้ความอิ่มใจเพราะได้ไถ่ชีวิตโคกระบือแล้วโดยไม่ดูตอนจบนั้นไม่น่าถือว่าเป็นการทำบุญอย่างแท้จริง

          พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ได้สรุปเรื่องการทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ไว้อย่างเหมาะสมยิ่ง ดังข้อความต่อไปนี้

          “…….หากพิจารณาในเรื่องของบุญบาปตามหลักพุทธศาสนา เคยบอกว่าการทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ต้องทำด้วยจิตมุ่งเป็นกุศลจริง ๆ แต่ถ้านำสัตว์มาปล่อยแล้วอธิษฐานว่าสาธุ ขอให้การปล่อยนี้ ขอให้อายุยืน ขอให้ถูกหวย ขอให้หายซวย สิ่งนี้ถือว่าไม่เข้าเกณฑ์เพราะมีเจตนาเคลือบแฝง เป็นการปล่อยเขาเพื่ออยากให้เราดีขึ้น เพื่ออยากให้เราหายทุกข์ หายโศก หายซวย อย่างนี้มันไม่ใช่การทำบุญ แต่เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นการลงทุนทางจิตวิญญาณก็ได้ เพราะเจตนาจริง ๆ ไม่ได้ต้องการช่วยเหลือเขา แต่ต้องการช่วยตัวเองต่างหากโดยยืมชีวิตเขามาเป็นเครื่องมือ

          ถ้าท่านเมตตาจริง ๆ นะ ปล่อยให้นกอยู่บนฟ้า ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ปล่อยให้สัตว์ได้อยู่อย่างสัตว์ นั่นแหละคือการปล่อยนกปล่อยปลาที่แท้จริง…….”