ยอดหญิงของฮิตเลอร์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 ตุลาคม 2559

          ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กินกับผู้ชายมา 14 ปี จึงได้แต่งงานกัน แต่เมื่อแต่งงานกันได้เพียง 40 ชั่วโมงก็ต้องตายจากกันทั้งคู่ด้วยความรุนแรง และด้วยความเต็มใจของเธอด้วย เรื่องนี้มิใช่นิยาย หากเป็นเรื่องจริงของ Eva Braun หญิงของ Adolf Hitler ปีศาจผู้แปลงร่างมาทำลายโลก

         Fritz และ Fanny Braun ครอบครัวผู้ใช้แรงงานชาวเยอรมัน มีลูกสาว 3 คน คือ Ilse, Eva และ Gretl ทั้งคู่กัดฟันท่ามกลางสภาวการณ์ที่ยากแค้นหลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ส่งเสียลูกทั้งสามเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลูกสาวคนกลางคือ Eva ได้รับการศึกษาขั้นต้นจากโรงเรียนคริสตัง และต่อมาโรงเรียนคอนแวนต์ (Convent of the English Sisters)

         ในปี 1929 Eva สมัครงานตามประกาศในหนังสือพิมพ์ และได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของ Heinrich Hollman ช่างถ่ายรูปส่วนตัวของ Hitler ที่กำลังพยายามสร้างภาพให้ Hitler ดูเป็นผู้นำ Eva ก็เลยเป็นคนถ่ายรูปเก่งไปด้วย

         ชีวิตของเธออาจไม่มีจุดจบดังกล่าวข้างต้นหากเธอไม่พบผู้นำ National Socialist German Worker’s Party วัย 40 ปี ในเดือนตุลาคมของปี 1929 Eva ในวัย 17 ปี กำลังยืนอยู่บนบันไดระดับสูงขนาดพอมองเห็นขาที่เรียวงดงามของเธอ ในขณะที่เขาผู้มีหนวดที่ดูตลกเดินเข้ามาและเห็นภาพเธอ

         เจ้านายแนะนำว่าเขาชื่อ “Herr Wolff” ซึ่งเป็นชื่อเล่นตั้งแต่ยังเด็กของ Adolf Hitler และใช้เรียกกันเฉพาะในหมู่ของคนที่สนิทกันเท่านั้น ถึงแม้คุณ “Wolff” จะดูชอบเธอ แต่เขาก็ไม่ได้สานต่อเพราะในขณะนั้นเขากำลังมีความสัมพันธ์กับหลานสาวห่าง ๆ ของเขาเอง คือ Geli Raubal ซึ่งเขารักใคร่อย่างมาก

         อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นอีก 2 ปีกว่าเขาถึงนึกถึงเธอ และใช้ตากล้องส่วนตัวเป็นพ่อสื่อ สิ่งที่ทำให้เขานึกถึงเธอก็เพราะ Eva มีหน้าตาที่คล้ายกับ Geli เป็นอย่างมาก และ Geli เพิ่งจากไปเมื่อก่อนหน้านั้นด้วยการฆ่าตัวตายด้วยปืนของ “Uncle Alf” เอง

         เมื่อพ่อของ Geli ตาย แม่ของเธอก็มาเป็นแม่บ้านของ Hitler ในปี 1925 ในขณะที่เธอมีอายุ 17 ปี Hitler มีความสัมพันธ์กับเธอโดยอยู่กินกับเขาอย่างใกล้ชิด เขาหึงหวงไม่ให้เธอไปไหนอย่างอิสระในขณะที่เป็นนักศึกษาแพทย์ และเมื่อพบว่าเธอมีสัมพันธ์ลับกับคนขับรถ Hitler ก็บ้าคลั่งกักขังเธอยิ่งขึ้น ไม่ยอมให้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนโดยไม่มีคนคุมอยู่ด้วย ในที่สุดเธอทนไม่ได้จึงยิงตัวตายในปี 1931 ขณะมีอายุ 23 ปี

         ก่อนที่ Hitler จะได้เธอมาอยู่ด้วย เขาให้ Martin Bormann คนสนิทตรวจสายเลือดให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อยิว และเต็มไปด้วยสายเลือดอาระยัน (Aryan) Eva ยอมรับ Hitler เพราะต้องการช่วยเหลือพ่อแม่และพี่สาว อีกทั้ง Hitler เป็นนักการเมืองที่กำลังมีอำนาจมาก เธอได้ทั้งเงิน ความสะดวกสบาย และความรักจากชายที่หญิงจำนวนมากใฝ่ฝัน

         สำหรับ Hitler เขาทำตามปรัชญาของเขาที่ว่า “A highly intelligent man should always choose a primitive and stupid woman.” ถึงแม้ Hitler “รัก” เธอเพราะ”ความโง่ ” แต่ท้ายสุดเขาก็รักเธอ และเธอรักเขาหมดใจ ในตอนแรกทั้งสองมีความสุขมาก แต่ในที่สุดเขาก็ไม่มีเวลาให้เธอเพราะต้องทุ่มเทให้แก่การเป็นนายกรัฐมนตรี ให้แก่การสะสมพลังอำนาจเพื่อสงคราม เพื่อเป็นใหญ่ และเพื่อครองโลก

         เธอถูกทอดทิ้งอยู่เดียวดาย จนเธอคิดสั้น ใช้ปืนยิงตัวเองโดยโดนปืนที่คอแต่ไม่ตาย เธออธิบายว่าต้องการยิงที่หัวใจ ไม่ว่าเธอตั้งใจตายจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ Hitler ก็เริ่มเห็นว่าเธอรักเขาจริง เขากลับมาให้เวลาเธอมากขึ้น แต่ไม่นานก็กลับไปเหมือนเก่าอีก Eva พยายามฆ่าตัวตายครั้งที่สองด้วยการกินยานอนหลับ แต่น้องสาวมาพบเสียก่อน

         หลังจากการพยายามฆ่าตัวตายสองครั้ง Hitler ก็ยอมรับเธอมากขึ้น จากการเก็บไว้เป็นเมียลับก็มีโอกาสเข้าร่วมประชุมพรรคนาซี และให้ไปไหนมาไหนด้วยบ้าง เขารับเธอมาอยู่ด้วยในปราสาทที่ Berghoff และมีโอกาสต้อนรับแขกคนสำคัญหลายคน และที่นี่เธอได้กลายเป็นหญิงคนรักของเขาอย่างแท้จริง

         มรดกที่เธอทิ้งไว้ก็คือชุดภาพถ่ายด้วยฝีมือของเธอเกี่ยวกับชีวิตของสาวกนาซี ในอิริยาบถต่าง ๆ ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในปราสาทที่พัก เช่น ภาพจูงสุนัขอัลเซเชียนตัวโปรดของ Hitler ภาพการใช้ชีวิตอย่างสงบของ Hitler

         อย่างไรก็ดีตลอดเวลาตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี เปิดศึกสงคราม ยึดครองประเทศต่าง ๆ การแพ้สงครามของเยอรมันอย่างยับเยินโดยฝีมือของทหารโซเวียดที่เมือง Stalingrad การลอบฆาตกรรม Hitler โดยระเบิดในปี 1944 ฯลฯ Hitler ก็ยังไม่ยอมแต่งงานกับเธอ เขาเห็นความจงรักภักดีของเธอจนถึงกับกล่าวว่า “มีเพียงหมาของฉัน และ Eva ที่ซื่อสัตย์ต่อฉันและเป็นของฉันเท่านั้น”

         อย่างไรก็ดีในที่สุด Eva ก็ได้สิ่งที่เธอต้องการมาตลอด 14 ปี คือการแต่งงาน เมื่อเยอรมันเริ่มพ่ายแพ้จากการยกพลขึ้นบกของฝ่ายพันธมิตรที่ชายฝั่งฝรั่งเศสในปี 1944 และยกกำลังบุกเบอร์ลินเข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับที่ Red Army ของโซเวียดยกพลบีบเข้ามาอีกทาง เมื่อเธอทราบข่าวก็รีบมาอยู่กับ Hitler ที่บังเกอร์ในเบอร์ลินทันทีอย่างไม่หวาดหวั่น

         ในเวลาสองยามของวันที่ 28 เมษายน 1945 Eva ก็ได้แต่งงานกับ Hitler สมความตั้งใจ กลายเป็น Frau Hitler มันเป็นการแต่งงานที่ประหลาดเพราะเจ้าสาวใส่ชุดดำ แขกมี 2 คนคือ Martin Bormann และ Joseph Goebbels ที่ร่วมดื่มแชมเปญฉลอง จากนั้น Hitler ก็เอายาพิษไซยาไนด์ให้อัลเซเชียนสุดรักชื่อ Blondi กินและตามด้วย Eva จากนั้นอีก 2 นาที Hitler ก็เอาปืนจ่อขมับตนเองและลั่นไก

         Frau Hitler ไม่สะทกสะท้านในการตายร่วมกับสามีที่รัก เพราะรู้ดีว่าเมื่อแพ้สงคราม โลกของเขาและของเธอก็ต้องจบลง เธอสามารถเปลี่ยนสาเหตุจากที่เขาต้องการเธอครั้งแรกเพราะความไม่ฉลาด มาเป็นความรักที่มาจากความซื่อสัตย์และภักดีของเธอ

         Hitler เป็นสาเหตุการตายของเหยื่อกว่า 60 ล้านคน โดยที่เขาเหล่านั้นมิได้เต็มใจ มี Eva Braun เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเหยื่ออย่างตั้งใจและเต็มใจ

เรื่องน่ากลัวของโลกดิจิตอล

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 ตุลาคม 2559

          คนจำนวนมากในโลกร่ำรวยขึ้นเพราะโลกาภิวัตน์ซึ่งมีดิจิตอลเทคโนโลยีเป็นตัวเสริมใน 20 ปี ที่ผ่านมา แต่ใน 20-30 ปีข้างหน้า คนรวยใหม่เหล่านี้อาจจนลงอย่างมากด้วยดาบเล่มเดียวกันที่แต่งรูปใหม่ซึ่งหมายถึงการเกิดขึ้นของหุ่นยนต์ซึ่งมีสมองกลทำงานด้วยระบบดิจิตอล

          ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันร้อยละ 25 ของประชากร

          ญี่ปุ่นซึ่งมีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีจำนวน 33,400,000 คน ก่อนหน้าปี 2020 จะเพิ่มเป็นร้อยละ 29 และเพิ่มเป็นร้อยละ 39 ก่อนถึงปี 2050 คนอายุยืนเหล่านี้ต้องการคนดูแล

          เมื่อสังคมญี่ปุ่นมียอดขายผ้าอ้อมผู้ใหญ่มากกว่าผ้าอ้อมเด็กก็หมายความว่ามีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก และเมื่อคำนึงถึงว่ามีอัตราการเกิดของเด็กต่ำ ก็หมายความว่าการดูแลกันในครอบครัวโดยลูกหลานดังที่เคยเป็นมานานแสนนานนั้นเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

          กระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ พยากรณ์ว่าก่อนปี 2025 ญี่ปุ่นต้องการพยาบาลดูแลผู้สูงอายุประมาณ 4 ล้านคน ในขณะที่ปัจจุบันมีอยู่เพียง 1.49 ล้านคนเท่านั้น คำถามก็คือแล้วจะทำอย่างไรกัน

          คำตอบก็คือหุ่นยนต์ ขณะนี้กำลังมีการพัฒนา “ผู้ดูแลผู้สูงอายุพิเศษ” นี้กันขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น Toyota ผลิตหุ่นยนต์เพศหญิงชื่อ Robina หนัก 60 กิโลกรัม สูง 1.2 เมตร สามารถสื่อสารผ่านการพูดและท่าทางตลอดจนกระพริบตาได้ ส่วน Honda สร้าง ASIMO ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาคล้ายนักบินอวกาศ สูง 4 ฟุต สามารถตีความอารมณ์ของมนุษย์ได้ ตลอดจนเคลื่อนไหวและพูดจาโต้ตอบได้ ASIMO สามารถทำตามเสียงที่สั่ง ตอบคำถามด้วยการพยักหน้าหรือท่าทาง

          นับวันหุ่นยนต์พัฒนาขึ้นทุกปี โดยหลายบริษัททั้งลับและเปิดเผยเพราะรู้ดีว่ามีความต้องการมหาศาลในอนาคต สามารถเป็นทั้งเพื่อนคุย พนักงานยกคนสูงอายุขึ้นนอนบนเตียงและยกลง ในอนาคตเราอาจเห็นหุ่นยนต์จูงคนสูงอายุไปจ่ายตลาดก็เป็นได้ อีกทั้งยังดูดฝุ่นและทำความสะอาดบ้าน ล้างจาน นอนเฝ้า ฯลฯ

          เมื่อหุ่นยนต์ที่มีระบบไอทีกำกับพัฒนาขึ้นถึงระดับใช้งานตามความต้องการของมนุษย์ ได้ดี มันก็จะอาละวาดทำงานแทนมนุษย์ ซึ่งหมายความว่ามนุษย์จำนวนหนึ่งจะว่างงาน หนังสือชื่อ The Industries of the Future (2016) โดย Alec Ross อ้างถึงงานวิจัยของสองศาสตราจารย์แห่ง Oxford University ซึ่งระบุว่าใน 20 ปีข้างหน้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของ 700 ประเภทอาชีพในสหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับความเสี่ยงจากการใช้คอมพิวเตอร์แทนแรงงาน ซึ่งประมาณได้ว่าร้อยละ 47 ของงานที่คนอเมริกันทำอยู่ในขณะนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกหุ่นยนต์แย่งงาน และร้อยละ 19 จะเผชิญความเสี่ยงปานกลาง

          ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คือร้อยละ 60 ของแรงงานซึ่งส่วนใหญ่คือการเก็บและใช้ข้อมูล ซึ่งหุ่นยนต์สามารถทำงานแทนได้เป็นอย่างดีโดยไม่มีปัญหาเรื่องการนัดหยุดงาน ไม่ตรงต่อเวลา หยุดงานบ่อย ขอขึ้นค่าแรง มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ฯลฯ

          งานเหล่านี้ได้แก่งานทนายความขั้นพื้นฐาน เช่น ให้คำแนะนำและรับจัดตั้งจดทะเบียนบริษัท เขียนคำร้อง ฯลฯ พนักงานบัญชีและการเงิน พนักงานเก็บสถิติและข้อมูล พนักงานเก็บเงิน ฯลฯ

          หุ่นยนต์มีทั้งคุณและโทษมหันต์ นอกจากแย่งงานคนแล้ว ยังมีการหวั่นเกรงว่าในอนาคตจะฉลาดเกินมนุษย์จนควบคุมไม่ได้ (ตอนนี้เล่นหมากรุก และหมากล้อมชนะมนุษย์แล้ว) ก่อให้เกิดภยันตรายต่าง ๆ แก่มนุษยชาติอีกด้วย

          ในเรื่องความน่ากลัวของโลกดิจิตัล การโจมตีที่เรียกว่า cyber attacks นั้นก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่ควรกล่าวถึง เราสามารถแบ่ง cyber attacks ออกได้เป็น 3 ลักษณะกล่าวคือ (ก) การล้วงความลับ (ข) การปฏิเสธบริการ และ (ค) การทำลายระบบ

          ในเรื่องการล้วงความลับก็ได้แก่ การขโมยหรือปล่อยข้อมูลลับสู่สาธารณะ แฮคเกอร์ (hackers) กระทำสิ่งเหล่านี้โดยมิได้รับอนุญาต วัตถุประสค์เพื่อเงินหรือเพื่อเปิดโปงสิ่งที่คิดว่าสาธารณชนควรรับรู้

          การปฏิเสธให้บริการก็คือการโจมตีด้วยการเข้าไปใช้พร้อม ๆ กันเป็นจำนวนมาก จนระบบล่มไม่สามารถทำงานได้ การโจมตีลักษณะนี้เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ

          สุดท้ายคือการโจมตีชนิดที่รุนแรง กล่าวคือต้องการทำให้ระบบเกิดปัญหาจนไม่สามารถทำงานได้อีกทั้งทำให้อุปกรณ์ที่ใช้พังเสียหายด้วย ตัวอย่างได้แก่การเข้าไปโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของโรงงานผลิตระเบิดปรมาณูของอิหร่าน ซึ่งมีข่าวลือมานานว่ากำลังเร่งวันเร่งคืนโดยฝีมือของสหรัฐอเมริกาจนระบบเสียหายยับเยินและอุปกรณ์ใช้งานไม่ได้

          ว่ากันว่านี่คือคำอธิบายว่าเหตุใดอิหร่านจึงยอมลงนามความร่วมมือในการหยุดการสร้างระเบิดปรมาณูกับสหรัฐอเมริกาและยุโรปเมื่อไม่นานมานี้

          โลกดิจิตอลสร้างโอกาสและภยันตรายแก่มนุษยชาติ ในอนาคต ส่วนจะเป็นด้านใดมากกว่ากันก็ขึ้นกับตัวมนุษย์เองเป็นผู้กำหนด
 

จารชนและความรักลูก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
27 กันยายน 2559

          มีจารชนกลับใจผู้รักลูกจนถึงแก่ชีวิตเมื่อเร็ว ๆ นี้จากการถูกแขวนคอด้วยข้อหาจารกรรมความลับนิวเคลียร์ของประเทศ ชีวิตของ Shahram Amiri นักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านในฐานะผู้ทรยศและพ่อเป็นสิ่งที่ควรนำมาศึกษา

          เรื่องก็มีอยู่ว่า Amiri เป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่ทำงานในโครงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของอิหร่านมาหลายปีในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบระดับรังสี ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโครงการดังเช่น Mohsen Fakhrizadeh แต่ก็รู้ความลับอยู่มาก

          ชาวโลกโดยเฉพาะทางการสหรัฐอเมริกาทราบมานานแล้วว่าอิหร่านพยายามสร้างระเบิดนิวเคลียร์มานานปีแต่ยังไม่ถึงขั้นใช้งานได้ CIA พยายามหาข้อมูลว่ามีความก้าวหน้าเพียงใดและมีโอกาสประสบความสำเร็จหรือไม่ และวันหนึ่งก็มีคนสมัครใจคือ Amiri มาเล่าให้ฟัง

          ในปี 2009 Amiri มีอายุ 32 ปี ลางานจากมหาวิทยาลัยและโครงการนิวเคลียร์ของประเทศเพื่อเดินทางไปเม็กกะตามความฝันของมุสลิม และที่เมือง Medina ในซาอุดิอาระเบีย เขาก็หายตัวไปพบ CIA และเล่าความลับต่าง ๆ เพื่อแลกกับการไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาพร้อมลูกอายุ 5 ขวบและภรรยา พร้อมเงินก้อนใหญ่ CIA ก็ได้ความจริงจากเขาไปมาก และรับเข้าเป็นจารชนโดยให้กลับไปทำงานต่อไป

          ต่อมา CIA ก็เห็นว่าคงจะเก็บความลับเรื่อง Amiri เป็นจารชนให้ CIA ไว้ได้อีกไม่นานจึงเสนอให้เงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐพร้อมกับเข้าโครงการเปลี่ยนชื่อเสียงหน้าตาใหม่และไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา Amiri ตัดสินใจไปคนเดียวเพราะตระหนักว่าภรรยาซึ่งห่างเหินกันคงไม่ไปด้วยและไม่สามารถเอาลูกไปด้วยได้

          หลังจากผ่านกระบวนการซักถาม “รีด” ความลับจาก Amiri ในอเมริกาแล้ว เขาก็อยู่โครงการลับพิเศษเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขา เขาน่าจะไปได้ดีด้วยเงินก้อนใหญ่และความปลอดภัย แต่เขาคิดถึงลูกชายอย่างสุดใจ แอบโทรศัพท์กลับไปบ้านหาแม่และคุยกับลูก ซึ่งแน่นอนว่าทางการอิหร่านแอบดักฟังอยู่ เขาจึงถูกขู่เข็ญว่าจะทำร้ายครอบครัวและลูก

          Amiri ทนรับความกดดันไม่ได้เพราะเขามิได้มีจิตวิญญาณหรือลักษณะของการเป็นจารชนเลย ตัวจริงของเขาคือเป็นคนขี้กังวล ประสาทหน่อย ๆและเงอะ ๆ งะ ๆ หลังจากคิดอยู่ไม่นานเขาก็ตัดสินใจกลับอิหร่าน CIA ก็เตือนเขาว่าจารชนที่กลับใจและกลับบ้านนั้นในที่สุดแล้วก็หนี “กลับบ้านเก่า” ไม่พ้นในเวลาไม่นาน ไม่ว่าจะมีคำมั่นสัญญาว่าอย่างไรกันก็ตาม

          Amiri ตัดสินใจผิดพลาด เขาเดินทางกลับอิหร่านด้วยความคิดถึงลูก (แม่นั้นเป็นเรื่องรอง ลงไป) ทางการสหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถห้ามเขาได้เพราะมีกฎเกณฑ์อยู่ชัดเจนว่าหากบุคคลเหล่านี้ต้องการกลับบ้าน ก็ไม่สามารถขัดขวางได้ตามกฎหมาย

          ในกลางเดือนกรกฎาคม 2015 Amiri ก็กลับกรุงเตหะราน และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ลูกชายก็มารับที่สนามบิน มีการกระจายภาพทางโทรทัศน์ออกไปทั่วประเทศโดยเล่าให้สื่อฟังว่าเขาถูก CIA จับตัวไป เสนอให้เงินแลกการตามคำถามแต่เขาไม่ได้ให้ข้อมูลแต่อย่างใด

          ด้านสหรัฐอเมริกาก็แพร่หลายคลิปที่ Amiri กล่าวว่าเขามาอย่างเต็มใจไม่มีใครบังคับ ภรรยาเขาก็ออกมาบอกว่าคลิปอันที่สองนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงเพราะเขาอ่านข้อความ อีกไม่กี่วันต่อมาทางการอิหร่านก็แพร่วิดีทัศน์ที่สามซึ่ง Amiri ยืนยันว่าถูกจับตัวไปจริง แต่เขาหนีมาได้

          เรื่องจริงเป็นอย่างไรก็พออนุมานได้ว่า Amiri ไปอยู่กับฝ่ายสหรัฐอเมริกาจริง จะด้วยไปเองหรือถูกจับก็ตาม แต่เขาเปลี่ยนใจหลังจากอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ต้องการกลับบ้านเพื่อมาหาลูก ถึงแม้จะถูกเตือนแล้วว่าจะมีชะตากรรมเหมือนจารชนของโซเวียตรัสเซียในอดีตก็ตาม

          หลังจากเขาถูกแขวนคอแล้ว ทางการอิหร่านก็ประกาศว่า Shahram Amiri ถูกประหารชีวิตเพราะเปิดเผยความลับสุดยอดให้แก่ศัตรู

          ความจริงในเรื่องนี้อาจลึกซึ้งมากกว่าที่เราทราบกัน Amiri อาจเป็นจารชนสองหน้าที่อิหร่านส่งไปเพื่อสืบว่า CIA รู้มากเพียงใดและเพื่อให้ข้อมูลที่ผิด ๆ ขณะเดียวกันก็หาประโยชน์จากการเป็น จารชนให้อเมริกาในภายหลัง แต่ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหน้าหรือสองหน้า เขาตัดสินใจกลับบ้านเพราะคิดถึงลูก ถึงแม้จะตระหนักดีว่าอาจประสบชะตากรรมที่ไม่ต่างไปจากจารชนกลับใจและกลับบ้านทั้งหลายก็ตาม

          มีความเป็นไปได้ว่าการล้มเหลวของโครงการนิวเคลียร์อิหร่านตามที่มีการเปิดเผยกันว่าเนื่องมาจากโดนไวรัส Stuxnet ผนวกการโจมตีทางออนไลน์ของทีมร่วมอเมริกาและอิสราเอลโยงใยกับความลับในทางใดทางหนึ่งที่ได้ไปจาก Amiri จึงทำให้เขาถูกลงโทษหนักขึ้นในที่สุด

          มีคนพูดกันมากว่าการที่สหรัฐอเมริการ่วมกับผู้นำหลายประเทศของโลกตะวันตก จีน และรัสเซีย มีความตกลงกับอิหร่านในเรื่องกรอบการพัฒนานิวเคลียร์เมื่อเดือนเมษายน 2015 ซึ่งก็คือการหยุดการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยปริยายนั้นเป็นผลจากสงครามออนไลน์ข้างต้น

          ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของ Amiri ผู้ตัดสินใจเลือกความรักที่มีต่อลูกและความปลอดภัยของลูกเหนือกว่าความเอาตัวรอดของตัวเอง

หลายมิติของคอรัปชั่น

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
20 กันยายน 2559

          คอรัปชั่นเป็นสิ่งเลวร้าย ทำลายสังคมเราเพราะทำให้ทรัพยากรหายไปอย่างไร้ประโยชน์ต่อส่วนรวม อย่างไรก็ดีคอรัปชั่นมีแง่มุมให้คิดมากกว่านี้ เมื่อคอรัปชั่นมองได้หลายแง่มุม หนทางแก้ไขจึงมีหลากหลายด้วย

          คอรัปชั่นมีคำจำกัดความง่าย ๆ ว่า คือ “การใช้อำนาจจัดการเพื่อประโยชน์แห่งสาธารณะมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน” ตัวอย่างเช่น (1) ข้าราชการมีอำนาจและหน้าที่ทางกฎหมายที่จะทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น แต่ก็ใช้อำนาจที่มีเบียดบังเงินมาเป็นของตัวเอง (2) เรียกร้องเงินจากผู้รับจ้างทำงานให้ภาครัฐเป็นเงื่อนไขในการได้งาน ซึ่งเงินส่วนนี้ทำให้โครงการมีเงินนำไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของประชาชนน้อยลง แม้แต่ “เงินตามน้ำ” ก็ถือว่าเป็นคอรัปชั่นเช่นกันเพราะทำให้เงินภาษีอากรที่เก็บจากราษฎรที่นำมาใช้จ่ายนั้นได้รับประโยชน์น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น

          (3) เรียกร้องเงินเพื่อให้ใบอนุญาต ซึ่งแทนที่จะพิจารณาให้ใบอนุญาตเพื่อให้เกิดผลดีแก่ประชาชน กลับมองไปที่ว่าใครจะให้เงินเข้ากระเป๋ามากกว่ากันก็จะได้ใบอนุญาต (4) รับเงินสินบนในการช่วยเหลือคนผิดที่สมควรถูกลงโทษเพราะสร้างความเสียหายแก่ประชาชน แต่กลับช่วยให้หลุดเพื่อแลกกับสินบน การกระทำเช่นนี้ทำให้กฎเกณฑ์ของสังคมเสียหาย เงินที่ควรได้รับคืนมาก็ไม่ได้ ผู้ทำผิดควรรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำไปเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้คนทำเช่นนี้อีกแต่ก็ไม่เกิดขึ้นเพราะเจ้าหน้าที่เอาอำนาจที่ตนเองมีมาใช้ประโยชน์เพื่อส่วนตัว

          คอรัปชั่นทำให้เงินภาษีจากที่เก็บจากประชาชนและนำมาเป็นรายจ่ายของภาครัฐสูญหายเพราะเข้ากระเป๋าคนบางคนที่มีอำนาจไป นี่คือผลเสียพื้นฐานที่เห็นกันชัดเจน

          อีกข้อเสียฉกรรจ์ของคอรัปชั่นก็คือการทำลายความมีศีลมีธรรมและมีคุณธรรมของสังคม นั้น ๆ คอรัปชั่นที่ดาษดื่นโดยไม่มีใครถูกลงโทษจะส่งเสริมให้ผู้คนเลียนแบบเพราะเห็นว่าเป็นเส้นทางที่ง่ายและสั้นสู่ความร่ำรวย เมื่อกระทำกันมากเข้าผู้คนทั่วไปจะเห็นว่าคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะใคร ๆ เขาก็โกงกันทั้งนั้น ความรู้สึกเช่นนี้จะยิ่งช่วยเร่งเร้าให้สังคมสู่ความเสื่อมในเรื่องศีลธรรมในด้านต่าง ๆ มากขึ้น

          ลองคิดดูว่าในบ้านที่พ่อแม่และญาติคุยกันแต่เรื่องว่าจะต้มตุ๋น คดโกง จี้ปล้นใครและอย่างไรดี เยาวชนที่เติบโตขึ้นจะมีความเจริญในจิตใจได้อย่างไร สังคมก็เหมือนกันหากมีแต่เรื่องของความเลวทรามอยู่ทั่วไปหมด แล้ว สมาชิกของสังคมนั้นจะมีคุณภาพได้อย่างไร

          สังคมที่ขาดศีลธรรมผู้คนจะเสียเงินทองและเวลาไปมากมายกับการประเมินว่าใครเป็นคนดีที่สมควรร่วมกระทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วย เช่น ค้าขาย ลงทุนร่วมกัน ฯลฯ การไว้เนื้อเชื่อใจจะมีน้อยเพราะเต็มไปด้วยความระแวง ซึ่งเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเพราะไม่ว่าหันไปทางไหนก็จะมีแต่คนที่จ้องจะคดโกงคนอื่น หากจะค้าขายก็ต้องใช้เงินสดไม่มีการค้างจ่ายเชื่อใจกันซึ่งจะทำให้ต้นทุนของการค้าขายสูงกว่าที่ควรจะเป็น

          เรือต้องมีหางเสือฉันใด มนุษย์ก็จำต้องมีเข็มทิศศีลธรรมฉันนั้น ในสังคมอุดมคอรัปชั่น รังสีของมันจะทำให้เข็มทิศศีลธรรมชี้ไปในทางที่ผิดจากที่ควรจะเป็น ผู้คนจะเห็นผิด เป็นถูก และถูกเป็นผิด จนสร้างความวุ่นวายให้เกิดแก่การดำเนินชีวิตได้อย่างมากมาย

          เมื่อคอรัปชั่นเลวร้ายเช่นนี้ เราจะแก้ไขมันอย่างไร คำตอบแรกที่ทุกคนน่าจะเห็นพ้องกันก็คือแก้ไขที่จุดเริ่มต้น กล่าวคือป้องกันดีกว่าแก้ไข ซึ่งการป้องกันก็คือการให้การศึกษาแก่เยาวชนโดยเริ่มตั้งแต่เล็ก ๆ สิ่งที่ต้องพร่ำสอนก็คือเรื่องคุณธรรม ความซื่อสัตย์ การยึดมั่นในหลักการแห่ง ความดี ฯลฯ โดยพ่อแม่ที่บ้านและโดยครูที่โรงเรียน โดยสื่อและสิ่งแวดล้อมของสังคม

          การพร่ำสอนเรื่องดังกล่าวก็อุปมาเหมือนกับการเหยาะเกลือลงไปในอาหารวันละนิด เด็กไม่กินเกลือทั้งขวดฉันใด เด็กก็ไม่ชอบการจับมานั่งฟังเทศน์เรื่องคุณธรรมฉันนั้น การสอนเป็นศิลปะซึ่งต้องอาศัยเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคนรู้จัก นิทาน นิยาย ละครทีวี และสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องมือ

          คำตอบที่สองต้องอาศัยการอ้างถึง 3 กฎในชีวิตของมนุษย์คือ กฎหมาย กฎธรรมชาติ และกฎสังคม ในเรื่องกฎหมายนั้นหากมีกฎหมายปราบคอรัปชั่นที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการบังคับใช้กฎหมายแล้วผู้คนก็จะเห็นคนคอรัปชั่นติดคุกติดตารางทันใจ (“กรรมสนองโกง”) ภาพที่เห็นจะบันทึกลงไปในสมอง และทำให้เกิดความหวาดกลัวไม่กล้าทำผิด

          ในเรื่องกฎธรรมชาติ คนทำผิดจะกังวล ระแวงว่าความผิดจะมาถึงตัวเข้าวันหนึ่ง ถ้าสังคมเราพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมให้เห็นเป็นที่ปรากฏว่าคนทำผิดต้องทนทุกข์ทรมานจากความผิดเสมอ คนในสังคมก็จะตระหนัก และเห็นความเจ็บปวดจากการทำความผิด

          สำหรับกฎสังคมนั้น สมาชิกสังคมต้องไม่ยอมรับนับถือคนที่รวยมาจากการโกง การไม่คบหาสมาคม การไม่ชื่นชมคอรัปชั่น เป็นค่านิยมที่ต้องพยายามสร้างขึ้นในสังคม กฎสังคมข้อนี้เป็นยาป้องกันคอรัปชั่นที่ชะงัด เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการพบปะคบหาสมาคมกับเพื่อนมนุษย์ คนอื่น ๆ ตามสัญชาตญาณเพื่อให้ได้รับการยอมรับ

          ถ้าสังคมปฏิเสธคนรวยจากการคดโกงก็เท่ากับว่าเขาถูกปฏิเสธความมีตัวตนของเขา ซึ่งสำหรับมวลมนุษย์แล้วไม่มีสิ่งใดที่สร้างความเจ็บปวดในใจได้เท่ากับการไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น ๆ

          คำตอบที่สามก็คือประชาชนทุกคนต้องไม่เพิกเฉยต่อคอรัปชั่นที่เกิดขึ้น ต้องร่วมมือกันแก้ไขโดยเริ่มที่แต่ละคนจะต้องไม่กระทำสิ่งที่ผิดเสียเอง แม้อาจเห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย เช่น เอาดินสอ ปากกา จากที่ทำงานไปใช้ที่บ้าน ติดสินบนตำรวจจราจร ลอกข้อสอบเพื่อน ฯลฯ นอกจากนี้ต้องตื่นรู้ ไม่เห็นว่าคอรัปชั่นไม่ว่าหนักหรือเบาเป็นเรื่องปกติ

          คอรัปชั่นเป็นปัญหายากแต่ก็แก้ไขได้ ถ้าเราไม่แก้ไขด้วยคนในชาติของเรากันเองแล้ว ใครจะมาแก้ไขให้ และถ้าเราไม่เริ่มแต่บัดนี้ เมื่อใดเราจะได้เริ่ม

“3 คูณ 3” ของนักวิ่งลมกรด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
13 กันยายน 2559

          ในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่ Rio หรือรีโอเดอไจนาโร ประเทศบราซิลเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนพูดถึง “3 คูณ 3” กันมากเพราะถือได้ว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์หนึ่งของโลก และมีนัยยะของความงดงามในความบากบั่นมานะอย่างยิ่งของมนุษย์

          Usain Bolt (อ่านว่า “ยูเซน โบลต์) สูง 1.95 เมตร อายุ 30 ปีพอดีตอนวิ่ง 100 เมตร 200 เมตร และ 4 x 100 เมตร ในโอลิมปิกครั้งนี้ที่ Rio ผลการแข่งขันก็คือเขาได้เหรียญทองทั้ง 3 เหรียญ และเป็น ผู้ครองสถิติโลกวิ่ง 100 เมตร ในเวลา 9.58 วินาที และสถิติโลกวิ่ง 200 เมตร ในเวลา 19.19 วินาที ที่เบอร์ลินด้วยในปี 2009

          Usain ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการได้ 3 เหรียญทองครั้งนี้มากเท่ากับรู้สึกโล่งอกเพราะผู้คนคาดหวังกับเขามากจนมีแรงกดดันมหาศาลในการลงวิ่งแข่งทั้ง 3 ประเภทในครั้งนี้ จะไม่กดดันอย่างไรในเมื่อในการแข่งขันโอลิมปิก 2 ครั้งที่แล้ว คือในปี 2008 ที่ปักกิ่ง และในปี 2012 ที่ลอนดอน เขาก็ได้เหรียญทองทั้ง 3 ประเภท จากทั้งสองครั้ง

          เมื่อได้ 3 เหรียญทอง จาก 3 ประเภทเดียวกันมา 2 โอลิมปิกแล้ว ผู้คนบราซิลและชาวโลกที่เป็นแฟนคลับของเขาก็คาดหวังว่าเขาจะต้องได้อีก 3 เหรียญทองเดียวกัน รวมเป็นเหรียญทอง 3 ชุดใน 3 โอลิมปิก หรือ “3 คูณ 3” นั่นเอง

          เมื่อเขาได้เหรียญทองชุดที่ 3 จากโอลิมปิกครั้งที่ 3 Usain จึงรู้สึกโล่งอกดังที่กล่าวมา เขากลายเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ของโลกที่ได้ 9 เหรียญทองจากโอลิมปิก 3 ครั้งต่อเนื่องกัน และจากกีฬาประเภทเดียวกันด้วย นับถึงปัจจุบันยังไม่มีนักกีฬาคนใดที่ทำได้เช่นเขา

          Usain ยังเป็นมนุษย์วิ่งเร็วที่สุดในโลกด้วยสถิติวิ่ง 100 เมตร ในเวลา 9.58 วินาที (ครั้งนี้เขาไม่สามารถลบสถิติเดิมของตัวเองได้ที่ทำไว้เพราะวิ่งได้ 9.81 แต่ก็เพียงพอที่จะชนะคู่แข่งคนที่สอง คือ Justin Gatlin จากสหรัฐอเมริกาผู้ได้เหรียญทองโอลิมปิก 100 เมตร ในปี 2004 ที่เอเธนส์ฃึ่งทำเวลา 9.89 วินาทีที่ Rio) ซึ่งเป็นสถิติโลกที่ยังไม่มีใครลบได้ตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา

          การชนะวิ่ง 100 เมตร ที่ Rio ของ Usain ตื่นเต้นมาก เพราะเขาออกสตาร์ทช้ากว่า Gatlin หลายก้าว เมื่อวิ่งมาได้เกินครึ่งหนึ่ง Gatlin ก็ยังนำอยู่ แต่พอถึง 40 เมตรสุดท้าย Usain ก็เร่งสปีดแซงหน้าทุกคนไปราวกับรถยนต์ติดเทอร์โบ และชนะไปอย่างสบาย ๆ หลายก้าว

          ก่อนแข่งและเมื่อชนะแล้ว Usain ก็จะแสดงท่าทางประจำตัวเขาคือเอียงตัวลงและเหยียดแขนตรงอีกข้ามชี้ขึ้นไปบนฟ้าแบบเฉียง ความหมายก็คือฟ้าแลบลงมา ซึ่งคล้องกับชื่อ Bolt ของเขา เพราะในภาษาอังกฤษ bolt of lightning หมายถึงฟ้าแลบก่อนที่จะได้ยินเสียงดังนัยยะของชื่อ Bolt คือความเร็ว

          ผู้คนอภัยให้เขาในการโชว์ออฟหน่อย ๆ เพราะตระหนักว่าการได้เหรียญทองในการวิ่ง 100 เมตรนั้นเป็นเรื่องยากเย็นมาก ๆ นักวิ่งมือดี ๆ ของโลกมาเจอกันในลู่วิ่ง 100 เมตรเพื่อชิงชัยโดยฝึกฝนกันมา 4 ปี ๆ ละ 365 วัน เพื่อมาวิ่งเพียง 9 วินาทีกว่า ๆ

          สำหรับ Bolt นั้นวิ่งมาตั้งแต่อายุ 16 ปี แข่งในทุกระดับมานับไม่ถ้วน ผิดหวังมามากมาย แต่ใจที่ต่อสู้และการมีความเพียรเป็นเลิศทำให้เขาไม่เคยท้อถอย ตอนที่ไปแข่งโอลิมปิกที่เอเธนส์ตอนอายุได้ 18 ปีนั้น เขามั่นใจมากเพราะมีสถิติที่ดี แต่เขาก็ไม่ผ่านรอบคัดเลือกวิ่ง 200 เมตร เพราะบาดเจ็บเสียก่อน

          เมื่อพ่ายแพ้จากโอลิมปิกที่เอเธนส์ในปี 2004 เขาก็ไม่ย่นย่อ อีก 4 ปีต่อมาก็ได้เหรียญทอง 100 เมตรแรกที่ปักกิ่งในปี 2008 เหรียญที่สองที่ลอนดอนในปี 2012 และเหรียญที่ 3 ในปี 2016 ที่ Rio ดังกล่าวแล้ว นับตั้งแต่เหรียญที่หนึ่งถึงการแข่งเพื่อเหรียญที่สามเป็นเวลา 8 ปีเต็มที่เขาต้องฝึกซ้อมไม่หยุดหย่อน การได้ “3 คูณ 3” มาจึงเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนมหาศาล

          คนจาไมก้าชื่นชอบ Usain ฮีโร่ของเขาตลอดเวลา 14 ปีที่ผ่านมา เขาเป็นลูกของเจ้าของร้านชำในชนบท ในประเทศที่เป็นเกาะหนึ่งในทะเลคาริบเบียน ห่างจากคิวบา 145 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 3 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีครึ่งหนึ่งของไทย

          หลังจาก Christopher Columbus เดินทางไปทวีปอเมริกาในปี 1494 สเปนก็รู้จักและครอบครองเกาะนี้จนเสียให้แก่อังกฤษในปี 1655 ตลอดเวลาอันยาวนาน จาไมก้าเป็นแหล่งปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลแก่ชาวโลกจนสร้างรายได้มหาศาลให้อังกฤษ ต่อมาเมื่อแรงงานไม่พอจึงใช้ทาสที่จับมาจากอาฟริกา และในทศวรรษ 1840 อังกฤษก็ใช้แรงงานเกณฑ์จีนและอินเดีย ดังนั้นในปัจจุบันชาวจาไมกาจึงมีเชื้อสายอาฟริกันปนเปกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ จนมีลักษณะเฉพาะ

          Usain มีหน้าตาคล้อยไปทางอาฟริกัน หนัก 94 กิโลกรัมด้วยความสูงเกือบ 2 เมตร เขามีการวิ่งที่เป็นธรรมชาติราวกับลมพายุ เขาเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศถึงแม้ตอนที่แข่งขันโอลิมปิกที่เอเธนส์ เขาจะได้รับข้อเสนอทุนการศึกษามากมายจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาเพื่อให้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ปฏิเสธหมดเพราะตั้งใจที่จะรับใช้ชาติอย่างเต็มที่

          Usain มีคู่รักคู่แค้นที่แข่งขันมาหลายครั้งคือ Justine Gatlin ผู้อื้อฉาวในการใช้ยากระตุ้นในการแข่งขัน แต่ทั้งสองไม่เป็นศัตรูกันเพราะคิดว่าความเก่งของอีกคนหนึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้อีกคนเก่งขึ้นด้วย แง่คิดนี้เป็นการมองโลกในแง่บวกที่สร้างสรรค์ตนเองอย่างน่าจดจำ

          ชื่อของ Usain จะอยู่ในใจของชาวโลกไปอีกนานเท่านาน สิ่งที่เขาได้มาทั้งหมดนั้นมาจากจิตใจที่เข้มแข็งและความบากบั่นพากเพียรโดยแท้

Lady Blue Eyes ของ Sinatra

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
6 กันยายน 2559

          จากผู้หญิงธรรมดาที่ต่อสู้ทำงานสารพัดสู่การเป็นคู่ชีวิตของนักร้องผู้ยิ่งใหญ่ของโลก จอมเจ้าชู้ ขี้เหล้า เจ้าอารมณ์ เป็นเวลา 30 ปี เป็นเรื่องไม่ง่าย แต่เธอก็ทำได้ดีจนกระทั่งถึง วันสุดท้ายของสามีในวัย 82 ปี ไม่มีใครไม่รู้จัก Frank Sinatra นักร้องรูปหล่อมีเสียงขยี้ใจคนโดยมีเอกลักษณ์ตาสีฟ้า จนได้รับฉายาว่า “Ol’ Blue Eyes”

          ในขณะที่เรื่องภรรยาของเขานั้นคนจำได้เพียงว่าเขามีหลายคนเหลือเกิน Barbara Ann Blakeley คือภรรยาคนที่สี่ตามกฎหมาย และเป็นคนสุดท้าย เธอคือคนที่ได้กล่าวถึงข้างต้น Barbara เป็นลูกสาวคนขายเนื้อในเมือง Bosworth รัฐ Missouri ในปี 1926 เธอรู้จัก Frank Sinatra ครั้แรกจากภาพยนตร์เมื่ออายุได้ 15 ปี และหลงใหลในเสียงของเขา

          เมื่อครอบครัวย้ายไปรัฐ California เธอได้รับเลือกเป็น Miss Long Beach Beauty Pageant เธอมีชีวิตระหกระเหินเพราะหลังจากได้รับรางวัลแล้วก็แต่งงานกับหนุ่มรูปงามนักผสมเหล้าที่อ้างว่ามีเสียงเหมือน Sinatra แต่ถึงจะมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนแต่ก็ไม่ได้ทำให้อยู่ด้วยกันได้นาน เธอได้ติดพันนักร้องอีกคนซึ่งชอบร้องเพลงของ Sinatra และเป็น DJ ที่ Las Vegas และที่นี่ชีวิตของเธอกับ “Ol Blue Eyes” ก็เริ่มขึ้น

          เธอได้งานทำในบ่อนกาสิโนเป็น showgirl ทำงานในส่วนที่เป็นบันเทิง ต้องแต่งตัว เป็นสัตว์ ดอกไม้ ตึกระฟ้า เจ้าแม่สันติภาพ ฯ แต่งตัววับ ๆ แวม ๆ เอาใจลูกค้า ความงามของเธอเป็นที่ต้องตาของลูกค้ามากมายจนต้องเลิกกับแฟน ในที่สุดเธอก็ได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีชื่อ Zeppo Marx (เป็นนักแสดงแนวบันเทิง มีชื่อเสียงโด่งดังพอ ๆ กับ Groucho Marx ซึ่งเป็นพี่น้องกัน)

          Barbara ได้กลายเป็นคุณนาย Barbara Marx และได้พบกับดาราภาพยนตร์ดังมากมายโดยเฉพาะ Frank Sinatra และ Mia Farrow ซึ่งอยู่บ้านติดกันในคฤหาสน์ที่มีชื่อว่า “Compound” และจากนี้ไปชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป หลังจากได้พบไอดอลในฝันของเธอ

          Frank หย่ากับ Mia Farrow แล้วก็เดทกับสาวสวยไม่ซ้ำหน้า และหลายคนก็เคยเป็นแขกที่บ้านของ Zeppo และ Barbara เมื่อได้พบกันหลายครั้งเข้า ไฟสวาทก็ปะทุขึ้นระหว่าง Frank และ Barbara หลังจากแอบมีความสัมพันธ์กันได้ระยะหนึ่ง Zeppo ก็เห็นแสงของประจุไฟระหว่างทั้งสอง และขอหย่าเธอ ถึงแม้จะเป็นมหาเศรษฐีแต่เธอก็ได้เงินไปไม่ถึง 200,000 เหรียญ พร้อมกับรถหนึ่งคัน

          Barbara ย้ายไปอยู่กับ Frank โดยปรับตัวด้วยการเสียสละเลิกสูบบุหรี่และเลิกดื่มเหล้าเด็ดขาด เพราะ Frank ไม่ชอบผู้หญิงกินเหล้าและสูบบุหรี่ ทั้งที่ตัวเขาสูบบุหรี่มวนต่อมวนและดื่มเหล้า ไม่เลิก
ชีวิตของทั้งสองราวกับอยู่ในความฝัน Frank ให้เพชรนิลจินดา ความสุขสบาย ความรัก เธอกระทบไหล่ดาราไม่ว่าจะเป็น Princess Grace / Gregory Peck / Cary Grant / Liz Taylor ฯลฯ บินไปไหนต่อไหนด้วยเครื่องบินส่วนตัว แต่สิ่งที่ Frank ให้เธอไม่ได้ก็คือการเป็นภรรยาตามกฎหมายคนที่สี่

          Frank เป็นลูกคนเดียวของคนอิตาลีอพยพรุ่นที่หนึ่ง เรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย เก่งที่สุดคือการร้องเพลง หลังจากประสบความสำเร็จในการเป็นนักร้องในต้นทศวรรษ 1950 ก็เล่นภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ดหลายเรื่อง กลายเป็นดาราดังคนหนึ่ง แต่งงานกับภรรยาคนแรกได้ 12 ปี คือ Nancy Barbato ก็หย่ากัน (ลูกสาวก็คือ Nancy Sinatra) คนที่สองคือ Ava Gardner (แต่งงานกันได้ 6 ปี) คนที่สามคือ Mia Farrow(แต่งงานกันได้ 2 ปี 1966-1968) รวมกันทั้งหมด Frank มีลูกสาว 1 คน และชาย 2 คน

          เป็นเวลา 8 ปี ที่อยู่ด้วยกันก่อนที่ Frank จะยอมแต่งงานกับ Barbara เหตุผลสำคัญก็คือฝ่ายครอบครัวเขาไม่ชอบเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Nancy ลูกสาวไม่ถูกกับ Barbara อย่างแรง นอกจากนี้ Frank ก็มีผู้หญิงใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

          ในช่วงที่ Frank หย่ากับ Mia Farrow และมีสัมพันธ์กับเธอนั้น Frank เบื่อชีวิตเพราะชื่อเสียงเขาเริ่มตก เพราะมีเสียงซุบซิบในสังคมว่าเขามีความสัมพันธ์กับพวกมาเฟีย (ในเรื่อง The Godfather ที่เป็นภายนตร์ออกมาในต้นทศวรรษ 1970 นั้น มีตัวละครหนึ่งซึ่งเป็นนักร้องดัง เป็นเสมือนลูกบุญธรรมของ เจ้าพ่อใหญ่คือ Don Corleone)

          สิ่งที่ชุบชีวิตเขาขึ้นมาคือเพลง My Way ซึ่งเขาร้องคนแรกและปล่อยออกมาในต้นปี 1969 My Way กลายเป็นเพลงอมตะของชาวโลกและเป็นเพลงประจำตัว (signature song) ของเขาโดยแท้นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา My Way มาจากเพลงฝรั่งเศสชื่อ “Comme d’habitude” โดยในปี 1968 Paul Anka ซึ่งเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงไปพบเข้าโดยบังเอิญจึงซื้อลิขสิทธิ์ใส่เนื้อร้องอังกฤษและ มอบให้ Frank Sinatra เป็นผู้ร้อง

          Frank แต่งงานกับ Barbara ในปี 1976 เธอเป็น Lady Blue Eyes ของ “Compound” อยู่คู่กับ Frank เป็นเวลา 22 ปี จนเมื่อ Frank จากไปในปี 1998 ถ้ารวมเวลาอีกประมาณ 8 ปี ที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานก็นับได้ทั้งหมด 30 ปี

          การอยู่กับ Frank Sinatra นั้นนอกจากจะต้องทำเป็นหูหนวก (เหมือนเขาที่หูพิการหนึ่งข้างอันเนื่องมาจากตอนเกิดหมอต้องใช้คีม forceps ดึงออกมาจนมีแผลเป็นบริเวณต้นคอและแก้ม) แล้วยังต้องทำใจกับอารมณ์มันอ่อนไหว พลุ่งพล่านในบางครั้งอีกด้วย ครั้งหนึ่งเขาไปร้านอาหารอิตาเลียนและได้เส้น pasta ที่แฉะไม่ถูกใจเขาโกรธมากจนขว้างจานเข้าข้างฝา ก่อนเดินออกไปก็เอานิ้วมาจุ่มซอสที่หกบนโต๊ะและลงนามว่า “Picasso”

          Barbara เป็นหญิงที่ประสบความสำเร็จในการมีความอดทนในชีวิตสมรสมาก เธอเขียนในหนังสือว่าเธอมีความสุขกับเขามากตลอดเวลา 30 ปี ปัจจุบันเธอมีอายุ 89 ปี

          เธอคงยึดหลักว่าความสุขมิได้เกิดจากการกระทำของคนอื่นเหมือนดังเช่นการลดน้ำหนักหากเกิดจากตนเองกระมัง คนที่ทำให้ตนเองรู้สึกสุขหรือทุกข์มีได้คนเดียวเท่านั้นคือตัวเธอเอง

“แกล้งตาย” อย่างไรก็หนีไม่พ้น

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
30 สิงหาคม 2559

          “คนตาย” แล้วยังไปไหนมาไหนได้ มีความสุขเหมือนคนมีชีวิต มีจำนวนอยู่ไม่มากนักในโลกนี้ ลักษณะเช่นนี้คือการหลอกลวงว่าตาย ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า faked death หรือ pseudocide มีเรื่องอื้อฉาวของการหลอกว่าตายในต่างประเทศหลายกรณีที่น่านำมาเล่าต่อ

          คนแรกคือ Lord Timothy Dexter ผู้มีชีวิตอยู่ในแถบเมืองบอสตันในศตวรรษที่ 18 ชีวิตของเขาเริ่มมาจากการเป็นช่างเครื่องหนัง ตอนเกิดยากจน มีการศึกษาจำกัด แต่มีความสามารถในการค้าขายจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ชีวิตเขาไม่ค่อยอยู่ในร่องในรอยจนเป็นคนอื้อฉาวในประวัติศาสตร์อเมริกา

          Dexter เกิดใน ค.ศ. 1748 พ่อเป็นเกษตรกรในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของการเป็นเมืองขึ้นอังกฤษก่อนประกาศอิสรภาพ หลังจากเรียนรู้การเป็นผู้ช่วยช่างเครื่องหนังจนอายุ 21 ปี ก็ออกมาแสวงหาความร่ำรวยโดยเริ่มต้นจากการมีตำแหน่งที่ทางการแต่งตั้ง

          เขาวิ่งเต้นอยู่หลายปีหลายตำแหน่งจนคนแต่งตั้งรำคาญเลยให้ตำแหน่ง “Informer of Deer” หน้าที่ก็คือติดตามตรวจสอบและนับจำนวนกวางของเมือง เขาทำหน้าที่อย่างภาคภูมิใจพร้อมกับค้าเงินและเก็งกำไรในช่วงหลังการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาในปี 1776 และประสบความสำเร็จอย่างมาก ร่ำรวยจนซื้อกองเรือไว้ค้าขายและสร้างปราสาทริมทะเลที่ไม่เหมือนใคร

          ปราสาทของเขาใหญ่โต มีเสากว่า 40 ต้น บนยอดแต่ละต้นมีรูปปั้นของเขาพร้อมกับ คำสลักว่า “บุคคลแรกของตะวันออก บุคคลแรกของตะวันตก และนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่สุดในโลกตะวันตก” ทั้งหมดนี้เป็นที่ขบขันแก่ชาวบ้านเพราะเขาอ่านและเขียนหนังสือยังไม่แตกเลย

          เมื่อความรวยอย่างไร้รสนิยมเป็นเรื่องที่ผู้คนนินทา เขาก็พยายามเข้าสมาคมกับกลุ่มคนชั้นสูง เพราะการรวยอย่างไม่ได้รับการยอมรับทำให้เขาขาดความสุข เขาสถาปนาตนเองเป็นท่าน Lord และบังคับให้ลูกน้องและคนรับใช้เรียกเขาเช่นนี้ แค่นั้นไม่พอเขาอยากรู้ว่าคนเหล่านี้และสังคมคิดอย่างไรกับเขา ดังนั้นจึงสร้างหลุมฝังศพใหญ่โต ว่าจ้างช่างไม้ฝีมือดีให้ต่อโลงศพที่งดงามและแจ้งข่าวว่าเขาตาย

          ภรรยาและลูกซึ่งรู้เรื่อง faked death นี้ดีแต่ก็ไม่อาจห้ามปรามได้ จึงจำต้องเล่นด้วย งานศพของเขาที่จัดอย่างหรูหราใหญ่โตมีคนมาร่วมงานถึง 3,000 คน (อาจมาดูให้แน่ใจว่าคนประหลาดนี้ตายจริงก็เป็นได้ หรือเพราะมีอาหารและไวน์ชั้นดีเลี้ยงอย่างไม่อั้น) Dexter แอบดูอยู่ข้างบนอย่างสนุกและภูมิใจ ลูกชายและลูกสาวเล่นบทบาทได้ดี ร้องห่มร้องไห้อย่างสมแก่สถานการณ์ แต่ที่มีปัญหาคือภรรยาของเขา เธอยิ้มแย้มกับแขก (อาจนึกขำในความบ้าของสามี) เขาจึงแอบลงมาเอาไม้เฆี่ยนภรรยาในครัวจนเกิดการถกเถียงกันขึ้น ผู้คนวิ่งเข้ามาดู เรื่องจึงแดงขึ้น แต่ Lord Dexter ก็ยิ้มเสมือนมาเล่นกันสนุก ๆ

          Dexter เขียนหนังสือแจกเลียนแบบผู้ดีสมัยนั้น ถึงแม้จะเขียนไวยากรณ์ผิด ๆ ถูก ๆ แต่เขาก็ภูมิใจมาก (ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้มีมูลค่านับล้านบาท) ในปี 1806 เขาก็ตายจริง ๆ โดยไม่ต้องหลอกใคร

          เรื่องที่สองที่อื้อฉาวเพราะมีคนได้เสียคือกรณีของ John Stonehouse นักการเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1925-1988) ผู้เรียนจบ London School of Economics อันมีชื่อเสียงและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยาวนาน เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยในรัฐบาลพรรค Labor สมัยนายกรัฐมนตรี Harold Wilson ด้วย

          ในปลายปี 1974 เขาทิ้งเสื้อผ้าไว้ริมหาด Miami ทำทีว่าว่ายน้ำและจมน้ำหายไปหรือถูกฉลามกิน แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ตาย แต่กลับสดชื่นรื่นเริงแอบบินหนีไปออสเตรเลียกับกิ๊กสาวที่เป็นเลขานุการภายใต้ชื่อปลอมโดยตั้งใจจะไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่นั่น

          แผนการล้มเหลวในเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้นเมื่อเขาโอนเงินจากบัญชีของเขาไปออสเตรเลียในนามของคนอื่น และตัวเองจะไปรับ เจ้าหน้าที่ธนาคารเห็นผิดสังเกตจึงรายงานตำรวจ ทั้งสองชื่นมื่นโดยไม่รู้ว่าตำรวจจับตามองอยู่โดยเข้าใจว่าเขาเป็น Lord Lucan ซึ่งฆ่าคนเลี้ยงลูกและหนีมาอยู่ออสเตรเลียในเวลาไล่เลี่ยกัน

          เมื่อตำรวจจับเขา เขาต้องถอดกางเกง เพื่อตรวจแผลเป็นยาวที่ใต้ต้นขาว่าเป็น Lord Lucan หรือไม่ ถึงแม้จะรอดจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร แต่ก็ถูกนำขึ้นศาล ส่งตัวกลับอังกฤษ ต้องต่อสู้หลายคดีเพราะมีคดียักยอกทรัพย์รวมอยู่ด้วย ในที่สุดก็ต้องลาออกจากการเป็น ส.ส. ถูกตัดสินจำคุก 7 ปี ในปี 1976

          โรคหัวใจรุมเร้าหนักในคุกแต่ก็รอดชีวิตจากคุกใน ค.ศ. 1980 และอีก 5 ปีต่อมาก็เสียชีวิตอย่างสิ้นเนื้อประดาตัว สูญทั้งชื่อเสียงและเกียรติยศ ทั้งหมดก็เพราะกิ๊กสาวซึ่งต่อมาได้แต่งงานกันก่อนเสียชีวิตและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ถึงแม้ว่าเขามี IQ ถึง 140 แต่ก็ไม่ช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีตลอดรอดฝั่งได้

          กรณีสุดท้ายเป็น pseudocide ที่อื้อฉาวล่าสุด เรื่องก็มีอยู่ว่าในปี 2002 John Darwin อดีตครูชาวอังกฤษและเป็นนักพายเรือแคนูสมัครเล่นหายตัวไปขณะพายเรือ จนเชื่อว่าตายในทะเล ภรรยาซึ่งรู้กันก็รับเงินประกันชีวิต และย้ายไปอยู่ด้วยกันในปานามา เอาเงินไปลงทุนทำโรงแรมและบริการเล่นเรือแคนู

          ต่อมาอีก 5 ปี ทั้งสองระหองระแหงและแยกทางกัน John รู้ชะตากรรมตนเองดีจึงเดินขึ้นสถานีตำรวจและสารภาพว่าจำอะไรไม่ได้เลยใน 5 ปีที่ผ่านมา เรื่องของเขาเป็นข่าวในสื่ออังกฤษและดังยิ่งขึ้นเมื่อบังเอิญมีผู้อยากรู้อยากเห็นค้นคำว่า “John, Ann, Panama” ใน Google และก็ได้เรื่องเพราะพบเว็บไซต์มีรูปของ John ยิ้มหราเป็นเอเย่นต์ขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมื่อเพียงหนึ่งปีครึ่งก่อนที่จะสารภาพว่าจำอะไรไม่ได้เลย

          ที่จริงตำรวจได้กลิ่นอยู่แล้วจากที่มีคนรายงานหลังจากได้ยินคำพูดทางโทรศัพท์ของ Anne ทั้งสองถูกตัดสินจำคุก 6 ปี ด้วยหลายข้อหา

          ในโลกปัจจุบันที่มีหูและตาเป็นสับปะรด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปติดโทรศัพท์ การสืบค้นในโลกไซเบอร์ การเดินทางท่องเที่ยวถึงกันอย่างกว้างขวาง ระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพเพราะเทคโนโลยี ฯลฯ การแกล้งตายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้นทุกที แต่ก็ยังมีคนพยายามอยู่ทุกวัน เพราะ “โลภะ โทสะ โมหะ” เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดความวุ่นวายทั้งหลายในโลก

“เจ้าหญิง” ของ Karl Marx

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
23 สิงหาคม 2559

          Karl Marx เจ้าพ่อทฤษฎีคอมมูนิสต์มีชื่อเสียงดังข้ามศตวรรษในฐานะผู้ริเริ่มมีความคิดที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล แต่ภรรยายอดหญิงของเขาไม่มีคนรู้จักมากนัก ทั้ง ๆ ที่เธอมีชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย

          Karl Marx เป็นนักปรัชญา นักสังคมวิทยา นักหนังสือพิมพ์ นักเศรษฐศาสตร์และ นักปฏิวัติสังคมเกิดในปรัสเซียในครอบครัวชั้นกลาง มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1818-1883 เรียนหนังสือที่ University of Bonn และจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Berlin and Jena เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในลอนดอนในขณะที่พัฒนาความคิดและทฤษฎีร่วมกับเพื่อนวิชาการคือ Friedrich Engels

          ภรรยาของ Marx ชื่อ Johanna Bertha Julie Jenny von Westphalen มีเชื้อสายเจ้าตระกูล Trier ใน Kingdom of Prussia พ่อของเธอชื่อ Baron Ludwig von Westphalen ซึ่งเป็นลูกหลานของเจ้านาย Prussia และเจ้านายวงศ์ Scottish House of Argyll

          คนเรียกเธอสั้น ๆ ว่า Jenny ผู้มีความงดงามเป็นที่เรื่องลือคู่กับความเฉลียวฉลาด นับแต่เป็นสาวเธอมีชายหนุ่มผู้มีฐานะและครอบครัวคล้ายคลึงกันมาขอแต่งงานมากมาย แต่เธอปฏิเสธหมดเพราะหัวใจได้มอบให้ “เด็กข้างบ้าน” หน้าตาชนิดหาความหล่อไม่ได้ที่มีอายุอ่อนกว่า 4 ปี เรียบร้อยแล้ว

          เธอเชื่อมั่นในสมองอันเป็นเลิศและความมุ่งมั่นในเป้าหมายของชีวิตตลอดจนวาทะอันตรึงใจของเขา ถึงแม้เขาจะมีฐานะแตกต่างจากเธอมากมาย บรรพบุรุษของ Marx เป็นพระยิว (Rabbis) สืบทอดกันมาหลายชั่วคน ยกเว้นพ่อของเขาที่เปลี่ยนศาสนาเป็น Lutheranism เพราะความจำเป็น

          สุภาษิตฝรั่งเศสในเรื่องความรักที่ว่า “The heart has its reason that reason knows nothing of.” นั้น ตรงกับกรณีของ Jenny อย่างยิ่ง พ่อแม่เธอห้ามปรามและกีดกัน แต่ทั้งสองแอบหมั้นกันลับ ๆ ในปี 1836 ก่อนที่ Marx จะจากไปเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัย Berlin and Jena

          อีก 7 ปีต่อมา Marx ก็กลับมาหา Jenny ที่รอคอยเขาอย่างซื่อสัตย์และพร้อมที่จะแต่งงานกัน เพราะ Baron ผู้พ่อเสียชีวิตไปแล้ว แม่นั้นเห็นใจความรักของเธอจึงยินยอมให้แต่งงานในขณะเธอมีอายุ 29 ปี พร้อมกับให้เงินก้อนใหญ่พร้อมของมีค่า ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ช่วยชีวิตทั้งสองไว้ได้มาก

          Marx นั้นมีความสุขอย่างยิ่งที่ “เจ้าหญิง” เลือกเขา และประการสำคัญเขาปฏิวัติให้คนเห็นได้สำเร็จเป็นครั้งแรกด้วยการแต่งงานข้ามชนชั้น Jenny เข้าใจดีว่าเธอมิได้แต่งงานกับ ดร.หนุ่มอายุ 25 ปี เท่านั้น หากแต่งกับอุดมการณ์ของเขาซึ่งเธอก็เลื่อมใสด้วย

          งานแต่งงานของทั้งสองจัดขึ้นเป็นงานเล็ก ๆ เนื่องจากครอบครัวฝ่ายหญิงรวมหัวกันไม่มายกเว้นแม่และน้องชายของเธอ Jenny ฝันถึงการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของสามี และเป็นแม่บ้านที่มีความสุข โดยมิได้ตระหนักว่าอุดมการณ์และความเชื่อที่สามีและเธอมีนั้นทำให้มันเป็นไปไม่ได้

          Marx ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์และเขียนบทความปลุกเร้าสังคมให้คนยากจนลุกขึ้นมา ขับไล่เจ้าและขุนนางที่ร่ำรวย ปฏิกิริยาที่เขาได้รับก็คือหางานทำไม่ได้ ทั้งสองจึงเริ่มชีวิตของความยากจนจนกระทั่งพบเพื่อนมหาเศรษฐีร่วมอุดมการณ์คือ Friedrich Engel ที่ช่วยอุปถัมภ์เขาเป็นเวลายาวนาน

          Marx และ Jenny ขณะท้องลูกคนแรกต้องหนีการไล่ล่าของกษัตริย์ Prussia ที่สั่งให้จับเขาด้วยข้อหาปลุกปั่นล้มล้าง ทั้งสองหนีจากปารีสไปเยอรมัน และปรัสเซีย และจบลงที่ลอนดอน ซึ่งระหว่างนี้ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 3 คน ท่ามกลางความยากจน

          Jenny ยืนอยู่ข้างสามีเธอเสมอ ไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งเพื่อกลับไปอยู่กับแม่และครอบครัว มีผู้พบเห็นชีวิตของทั้งสองและบรรยายไว้ว่าทั้งสองอยู่ในบ้านที่เปรียบเสมือนสลัม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ดี ๆ สักชิ้น ของเล่นเด็ก ตะกร้าเย็บผ้า ถ้วยน้ำวางอยู่เกลื่อนกลาดบ้าน เก้าอี้มีอยู่ตัวหนึ่งก็มี 3 ขา

          ไม่ทราบว่า Marx ตั้งใจมีชีวิตอยู่อย่างนี้หรือไม่เพื่อแสดงให้คนเห็นว่าตนเองไม่มีสมบัติพัสถานแต่อย่างใด Jenny ก็ไม่เดือดร้อนและดูจะพอใจสภาพที่เป็นอยู่ถึงแม้จะเอาเครื่องเงินของครอบครัวซึ่งเป็นสมบัติที่แม่มอบให้ไปจำนำอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม

          Jenny มีชีวิตที่มีความสุขกับ Marx และครั้งหนึ่งขณะที่กำลังท้องเธอเดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อหาทุนสนับสนุนการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์คอมมูนิสต์ และในระหว่างที่เธอไม่อยู่ก็ฝากการดูแลสามีและลูกไว้กับแม่บ้านที่จ้างมาคือ Helene Demuth โอกาสนี้ทำให้เกิดเรื่องขึ้นกล่าวคือ Mark ทำสาวคนนี้ท้องและต้องปิดบังกลัว Jenny รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลัวคนอื่นจะเห็นว่าเขาหาประโยชน์จากผู้ใช้แรงงานดังที่เขาโจมตีคนอื่นไว้ อีกทั้งศัตรูของเขาจะชอบอย่างยิ่ง ทางออกก็คือ Engel ยอมรับเองว่าเป็นผลงานของเขาและมอบให้เป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวผู้ใช้แรงงานหนึ่งไป ความลับนี้ Jenny ไม่รู้และคนในสมัยต่อมาก็พยายามกลบเกลื่อนเรื่องนี้ว่าไม่เป็นความจริง

          เด็กชายคนนี้เป็นลูกคนเดียวของ Marx ที่ได้เห็นการปฏิวัติรัสเซีย ซึ่งพ่อของเขาเป็นสถาปนิก ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะความยากจนและชะตากรรมทำให้ลูก 6 คน ของทั้งสองเสียชีวิตทั้งหมด ส่วนใหญ่ตายด้วยโรคอันเนื่องมาจากความอ่อนแอของร่างกายที่ขาดสารอาหารตอนท้องและตอนวัยเด็กรวมทั้งขาดการดูแลที่ดีของแพทย์ด้วย

          ลูกสาว 2 คนแรกตายตอนเป็นทารก คนที่สามเป็นชายตายตอนอายุ 8 ขวบด้วยวัณโรค Marx ซึมเศร้ากับการจากไปของลูกคนนี้ถึง 2 ปี การจากไปของลูกคนนี้ทำให้ทั้งสองใกล้ชิดและรักกันมากยิ่งขึ้น แต่ถึงจะรักกันมากอย่างไร ในที่สุด Jenny ก็จากไปในวัย 67 ปี ในปี 1881 ด้วยโรคมะเร็งตับ และอีก 2 ปีต่อมาลูกคนที่สี่ซึ่งเป็นชายก็จากไปอีกด้วยโรคมะเร็ง

          Marx ในภาวะสุดเศร้าและร่างกายอ่อนแอจากการทำงานหนัก การดื่มและสูบบุหรี่อย่างไม่ลดละก็จากไปในที่สุดในปี ค.ศ. 1883 ในวัย 65 ปี ส่วนลูกสาว 2 คน ที่เหลือก็มีปัญหาชีวิตเนื่องจากได้คู่ที่นำความทุกข์มาให้ ทั้งสองจึงตัดสินใจจากไปพร้อมกันด้วยการใช้ไซยาไนด์ ส่วนคนเล็กสุดก็จบชีวิตตนเองด้วยไซยาไนด์อีกเช่นกันเมื่อพบว่าสามีโกงเงินของเธอและแอบแต่งงานกับดาราสาว

          Jenny มีความรัก Marx เป็นที่สุดอย่างไม่หวั่นไหวในเรื่องใด ๆ และเชื่อมั่นในอุดมการณ์ร่วมกัน เธอมีชีวิตที่เสียสละเพื่อความรักและดูจะถูกลืมโดยชาวโลกผู้เลื่อมใสในลัทธิคอมมูนิสต์

เกมส์ Pokémon Go เขย่าโลก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
16 สิงหาคม 2559

          “Pokémon Go” เป็นชื่อของเกมส์ในโลกไซเบอร์ที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง เพียงเปิดตัวในเวลาไม่ถึงเดือนมีคนดาวน์โหลดเข้ามาเล่นแล้วไม่ต่ำกว่า 400 ล้านคน ใน 30 ประเทศ และมีผลกระทบกว้างไกลถึงด้านการเมืองและมีแง่มุมของจารกรรมระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ

          “Pokémon Go” (PG) มีที่มาจากเรื่องราวของตัวการ์ตูนญี่ปุ่นซึ่งเริ่มต้นเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว ในบ้านเราอาจมีบางท่านที่จำได้เรื่องเด็กหญิงเมื่อหลายปีก่อนมีอาการชักแบบล้มบ้าหมูเมื่อดูภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Pokémon ที่มีแสงสว่างจ้าสลับสีกลับไปมาอย่างน่าเวียนหัว

          เกมส์ Pokemon พัฒนาขึ้นมาเรื่อยจนถึงเวอร์ชั่นนี้ซึ่งแตกต่างกว่าเก่าที่คนเล่นต้องออกมากลางแจ้งเพื่อตาม “จับ” เจ้าตัวการ์ตูนต่าง ๆ ในเรื่องนี้มาไว้เป็นของตน จะได้เอาไปอวดคนอื่นหรือได้เป็นเงินรางวัลเงินสกุล PoKecoins

          PG เป็นเกมส์ที่เล่นง่าย ๆ ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ เป้าหมายก็คือการ “จับ” เจ้าตัวการ์ตูนต่าง ๆ จาก Pokémon โดยคนสร้างเกมส์จะหยอด เจ้าตัวการ์ตูนเสมือน เหล่านี้ไว้ในที่ต่าง ๆ ไปทั่วทุกแห่งหน โดยใช้แผนที่ Google เป็นหลัก คนเล่นก็ต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น PG ฟรี วิธีเล่นก็คือต้องออกไปข้างนอกบ้านไปสถานที่ต่าง ๆ เมื่อถึงสถานที่มีเจ้าตัวเหล่านี้ก็ยกกล้องของสมาร์ทโฟนขึ้นส่อง หากมีเจ้าตัวเหล่านี้อยู่ก็จะปรากฏ คนเล่นก็ต้องนำลูกบอลหรือเครื่องมืออื่น “จับ” เจ้าตัวเหล่านั้นเหมือนการเล่นเกมส์ ในจอ

          หากต้องการจะจับให้ได้ชะงัดก็ต้องซื้อเครื่องมืออุปกรณ์จากเจ้าของเกมส์โดยใช้เงินจริง ๆ หรือเงินสกุล PoKecoins ที่ได้เป็นรางวัลในบางครั้ง บางสถานที่ก็มีเจ้าตัวการ์ตูนเหล่านี้มาก บ้างก็น้อย เป็นเรื่องของคนเล่นต้องออกเดินล่าตามถนนหนทาง หรือชุมชน หรือหน้าร้านค้า

          ความสนุกอยู่ตรงที่การออกหาและล่าโดยใช้ Google map เป็นตัวนำทาง บางแห่งก็ต้องต่อสู้กับศัตรูเพื่อให้ได้เจ้าการ์ตูนมาครอง บางสถานที่ก็เป็นที่พักฝึกซ้อมวิทยายุทธก่อนออกล่า คนสร้างเกมส์ก็หยอดไว้ในสถานที่ ๆ คิดว่าจะสร้างความสนุกได้มากที่สุด และ…..เพื่อให้ได้รายได้มากที่สุด หรืออาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝงบางอย่างตามที่มีคนกล่าวหาดังจะกล่าวต่อไปก็เป็นได้

          การขายอุปกรณ์เครื่องมือเสมือนเพื่อ “ล่า” และ “จับ” สร้างเงินให้คนสร้างเกมส์ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดย Google ของสหรัฐอเมริกา และ Nintendo ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็สร้างรายได้จากการหยอดเจ้าตัวการ์ตูน เช่นมีข่าวว่า McDonald จ่ายเงินไม่น้อยให้เจ้าของเกมส์เพื่อให้เอาเจ้าตัวการ์ตูนไปหยอดไว้หน้าร้าน 2,900 แห่งในญี่ปุ่น เพื่อให้คนมาล่ากันหน้าร้านมาก ๆ โอกาสที่จะแวะเข้ามารับบริการก็ย่อมมีสูงเป็นธรรมดา ความหวังก็คือการกู้ธุรกิจของ McDonald ซึ่งกำลังย่ำแย่ทางการเงินเพราะเสียชื่อเสียงเมื่อ 2 ปีก่อนในเรื่องที่เอาของคุณภาพไม่ดีมาขาย

          เมื่อมี McDonald ก็ย่อมมีธุรกิจอื่น ๆ ที่ทำแบบเดียวกันโดยไม่เปิดเผย ยิ่งให้มาหยอดในบริเวณที่ทำการค้ามากเท่าใดก็ย่อมเป็นผลดีต่อธุรกิจเท่านั้น และนี่คือวิธีหาเงินแบบแยบยลที่จะทำงานได้มหาศาล

          ตั้งแต่ต้นกรกฎาคม 2559 ที่มีการเปิดตัว PG ในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อิสราเอล อินโดนีเซีย ซาอุดิอาระเบีย ฯลฯ ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนหลายด้าน เมื่อผู้คนหมกมุ่นกับการไล่ล่าก็เดินตกสระน้ำ เดินออกไปกลางถนน เล่นขณะขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ ไปสถานที่อันตราย ฯลฯ ทำให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต สถานการณ์ก็คล้ายกับการก้มหน้าใช้สมาร์ทโฟนพร้อมกับเดินไปตามแผนที่และเงยหน้าขึ้นถ่ายรูป

          ปัญหานี้รุนแรงไม่น้อยจนภาครัฐต้องตักเตือน ประชาชนญี่ปุ่นนั้นรอคอยมานานเพราะตัวการ์ตูนเหล่านี้เป็นของญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ญี่ปุ่นจำนวนมากรู้จักมาตั้งแต่เป็นเด็กเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว และในที่สุดก็เปิดตัวเมื่อ 22 กรกฎาคม 2559 และคนญี่ปุ่นก็บ้าคลั่งกันเช่นเดียวกับคนในประเทศอื่น ๆ เพียง 2 อาทิตย์คนญี่ปุ่นดาว์นโหลด 30 ล้านครั้ง

          นอกจากอุบัติเหตุแล้วก็มีการจี้ปล้นคนเล่นในบางประเทศ เพราะละเลยไม่ระวังว่าตนเองอยู่ในอันตราย มีการสร้างแอพพลิเคชั่น PG ปลอมเพื่อต้มตุ๋นหลอกเงินจากการซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือในการ “ล่า” และ “จับ” แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือความระแวงจากจีนและรัสเซีย

          จีนตั้งใจจะห้าม PG เข้าประเทศ ทั้งสองประเทศกล่าวไปในทำนองเดียวกันว่า PG เป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกาโดยแฝงเข้ามาทางอ้อมที่จะล้วงตับข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ หากยอมให้คนเล่นก็จะมีบางพื้นที่ที่ทางการห้ามเข้ามาก้าวก่าย ดังนั้น ทางการสหรัฐอมริกาก็คาดเดาได้ว่าเป็นสถานที่ตั้งอันเป็นความลับ ยิ่งมากคนเล่นก็จะยิ่งได้ภาพของสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่คนถ่ายยามเล่น แต่ภาพทั้งหมดเป็นสมบัติของเจ้าของเกมส์ การโจมตีอาคารโดยใช้ภาพเป็นเครื่องนำทางนั้นเป็นสิ่งที่โดรนสังหารทำกันอยู่เป็นประจำ

          ข้อมูลที่ได้จาก PG ในสองประเทศนี้จะถูกรวบรวมและวิเคราะห์เพื่อหาสถานที่ตั้งของแหล่งสะสมอาวุธ และการทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นได้ เพราะสถานที่เหล่านี้ย่อมเข้าไปไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าของเกมส์จะหยอดการ์ตูนไว้กี่ตัวก็ตาม ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่าเกมส์ไร้เดียงสาในสายตาพวกเราเช่นนี้อาจสร้างปัญหาทางการเมืองและข้อสงสัยด้านจารกรรมได้ อย่างไรก็ดีความกังวลเช่นนี้อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ในโลกปัจจุบันที่ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ

          PG ไม่ใช่เกมส์แรกของตระกูล Pokeman แต่เกมส์ที่พัฒนาขึ้นมาล่าสุดนี้แตกต่างตรงที่ว่าต้องออกเดินล่า ไม่สามารถนั่งจับเจ่าเล่นอยู่หน้าเครื่องได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะทำให้ต้องเดินออกกำลัง PG นี้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เป็นเกมส์เเรกที่ต้องออกมาเดินโดยใช้ GPS เป็นตัวนำทาง ยังมีอีกเกมส์ก่อนหน้าคือ Ingress ของบริษัทผลิตเดียวกันนี้ แต่ว่าเล่นยากกว่า PG จึงเป็นคำตอบหลังจากส่งเกมส์อื่นมาทดลองและทำให้ง่ายยิ่งขึ้น มีตัวการ์ตูนมากขึ้น มีทั้งตัวที่หาง่ายและหายากมากเพราะมีน้อยตัวเพื่อล่อให้คนเล่นบ้าคลั่งยิ่งขึ้น

          มีข่าวว่าในบางประเทศผู้เล่นไม่ยอมหลับยอมนอนออกมาเดินล่าตอนกลางคืนเพื่อเอาไปอวดสาวและเพื่อน ๆ ที่ทำงานในวันรุ่งขึ้น บางคนลาออกจากงานเพื่อเล่น PG อย่างเดียว พ่อแม่บางคนต้องออกมาเดินตามถนนและศูนย์การค้าเพื่อล่าการ์ตูนให้ลูก ฯลฯ

          PG นำมาซึ่งความสนุก เพลิดเพลิน คลั่งไคล้ หมกมุ่น มอมเมา ตลอดจนความระแวงซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่ลงรอยยิ่งขึ้นระหว่างมหาอำนาจของโลก ตราบที่ไม่ใช้ความพอเหมาะพอควร หรือทางสายกลางในทุกเรื่องแล้ว นวตกรรมเช่นนี้อาจนำไปสู่ปัญหามากกว่าความบันเทิงก็เป็นได้

“มัธยัสถ์” มิใช่ “ใจแคบ”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
9 สิงหาคม 2559

          มีงานศึกษาวิจัยเศรษฐีอเมริกันที่รวยจากการสร้างตนเองกว่า 100 คน เมื่อหลาย ปีก่อน คำถามสำคัญหนึ่งก็คืออะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษาความร่ำรวยไว้ได้ คำตอบซึ่งตรงกันเกือบทั้งหมดก็คือความมัธยัสถ์ (frugal) ต่อมามีคนเอาแว่นขยายส่องมหาเศรษฐีอเมริกัน 8 คน ก็พบสิ่งที่น่าตกใจยิ่ง

          “มัธยัสถ์” หมายถึงไม่ใช้จ่ายเงินที่ไม่ควรจ่าย หรือไม่สุรุ่ยสุร่าย เศรษฐีบางคนบอกว่าคือการไม่ใช้จ่ายเงินที่ไม่ควรจ่ายอย่างโง่ ๆ คนในโลกตะวันตกมีความรู้สึกเป็นบวกกับ ่มัธยัสถ์่ในขณะที่คนในโลกตะวันออกโดยเฉพาะในบ้านเราเห็นว่าคำนี้น่ารังเกียจเพราะส่อความใจแคบ เห็นแก่ตัว คนลักษณะนี้ไม่น่าคบ และด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันเช่นนี้แหละที่ทำให้เรารักษาความจนไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ

          ในโลกตะวันตก “มัธยัสถ์” คือแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีวิตที่แต่ละคนเลือกเอง และคนอื่นควรเคารพการเลือกของเขาด้วย “มัธยัสถ์” ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ คนสุรุ่ยสุร่ายที่ใจแคบ เห็นแก่ตัวมีอยู่ถมไป ในขณะที่คนมัธยัสถ์เป็นคนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็มีให้เห็น คนไทยส่วนใหญ่สับสนระหว่างความตระหนี่ชนิดใจแคบกับความมัธยัสถ์

          ลองมาดูกันว่าเหตุใดจึงน่าตกใจกับความมัธยัสถ์ของมหาเศรษฐี 8 คน นี้ คนแรก คือWarren Buffett ประธานกรรมการ บริษัท Berkshire Hathaway อดีตมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก มีสินทรัพย์สุทธิ 68,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.38 ล้าน ๆ บาท) เขาได้ชื่อว่าเป็นคนมัธยัสถ์สุด ๆ พร้อมกับมีปัญญาที่เฉียบแหลมและมีใจกว้างราวมหาสมุทร เขาบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดให้สาธารณะผ่านมูลนิธิของ Bill Gates

          เขากินอาหารฟาสต์ฟูดประจำพร้อมกับมันฝรั่งทอดและโค้ก อยู่บ้านหลังเดิมที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 1958 ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน เขาอธิบายว่าคุณภาพชีวิตของเขามิได้ถูกกระทบโดยจำนวนเงินที่มี “ชีวิตผมจะไม่สุขกว่านี้ถ้ามีบ้าน 6 หรือ 8 หลัง ผมมีทุกอย่างที่ผมต้องการแล้ว และไม่ต้องการอะไรอีกเพราะมันไม่มีอะไรแตกต่างเมื่อมีเกินจุดหนึ่งไปแล้ว”

          รายที่สอง คือ Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook มีมูลค่าสุทธิ 51,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.8 ล้าน ๆ บาท) เขามีชีวิตครอบครัวแบบเงียบ ๆ กับภรรยาและลูกสาว ไปไหนก็ใส่เสื้อยืดแขนสั้น นุ่งกางเกงยีนส์ ขับรถโฟล์กสวาเกนชนิดเกียร์มือด้วยตัวเอง ความร่ำรวยมิได้มีผลต่อชีวิตของเขา เขาบอกว่าตลอดชีวิตจะบริจาคร้อยละ 99 ของหุ้น Facebook ที่มีทั้งหมด ปัจจุบันเขามีอายุ 32 ปี

          รายที่สาม Carlos Slim Helú ผู้ก่อตั้ง Grupo Carso มีสินทรัพย์สุทธิมูลค่า 31,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.1 ล้าน ๆ บาท) ชายอายุ 76 ปี ชาวเม็กซิโกผู้นี้อยู่ในบ้านหลังเดิมฃึ่งมี 6 ห้องนอนที่อยู่มากว่า 40 ปี เขาเอาเงินปันผลจากบริษัทที่มีมากมายใส่เข้าไปในเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นเสมอ เขาไม่มีเครื่องบินส่วนตัว ไม่มีเรือยอร์ช มีแค่รถเบนซ์เก่า ๆ ที่ใช้ขับไปทำงาน เขาสอนลูกน้องให้มัธยัสถ์ ในยามที่มีเงินทองเพื่อเก็บไว้ใช้ยามที่ยากลำบาก สิ่งเดียวที่เขายอมจ่ายเงินก็คือกินเลี้ยงอาหารที่บ้านกับ ลูก ๆ หลาน ๆ

          รายที่สี่ คือ Charlie Ergen ประธานกรรมการ Dish Network มีทรัพย์สินสุทธิมูลค่า 14,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (504,000 ล้านบาท) เขามีชื่อเสียงในการทำธุรกิจอย่างประหยัดเช่นเดียวกับการใช้ชีวิต เขาบอกว่าชีวิตเขาลำบากมากตอนเด็กจึงทำให้ติดนิสัยมา ทุกกลางวันเขาจะเอาแซนวิชใส่ถุงไปกินที่ทำงาน เมื่อเดินทางเขาก็จะพักห้องเดียวกับเพื่อนร่วมงานเพื่อประหยัดเงินบริษัท

          ผู้ก่อตั้ง Inditex ซึ่งเป็นเจ้าของ Zara เสื้อผ้ายี่ห้อดัง คือ Amancio Ortega คือรายที่ห้า เขามีสินทรัพย์สุทธิ 71,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.49 ล้าน ๆ บาท) ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนรวยติดอันดับสูงสุดของโลก แต่เขาก็ใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมาก่อนร่ำรวย เขามีความเป็นส่วนตัวสูงมากมายาวนาน บ่อยครั้งที่เขาหลบเข้าไปอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เงียบ ๆ ในสเปนกับภรรยา เขากินอาหารกลางวันกับเพื่อนร่วมงานใน โรงอาหารของบริษัท และกินกาแฟร้านเดิมอยู่เป็นประจำ

          เจ้าพ่อแฟชั่นสเปนคนนี้แต่งตัวธรรมดา ๆ ทุกวัน ใส่เสื้อเบลเซอร์สีน้ำเงิน เสื้อเชิ้ตขาว และกางเกงสีเทาไปทำงาน บางคนบอกว่าเขาไม่มัธยัสถ์เพราะมีเครื่องบินส่วนตัวราคา 45 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,575 ล้านบาท) แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่เขายอมเพราะมีความสุขกับมัน

          รายที่หก คือ Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง Ikea มีสินทรัพย์สุทธิมูลค่า 39,300 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.38 ล้าน ๆ บาท) ถึงแม้จะเป็นคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งของยุโรป เขามักบินไปไหนในชั้นประหยัดและกินอาหารกลางวันในโรงอาหารของ Ikea เมื่อตอนรวยใหม่ ๆ นักธุรกิจสวีเดนคนนี้ขับรถ Porsche และใส่เสื้อสูทราคาแพง แต่หลังจากค้นพบสัจธรรมแล้วเขาขับรถ Volvo เก่า ๆ อายุเป็นสิบปี และบ่อยครั้งนั่งรถเมล์ด้วย ปัจจุบันเขาอายุ 90 ปี เพิ่งได้เดินทางกลับบ้านในปี 2014 หลังจากหนีภาษีสูงหูฉี่อยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ 40 ปี และบ้านที่เขากลับไปอยู่นั้นเป็นบ้านชั้นเดียวที่แสนธรรมดา

          Azim Premji ประธานกรรมการ Wipro เป็นเศรษฐีอินเดียที่รวยที่สุดคนหนึ่ง มีทรัพย์สินสุทธิ 16,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (581,000 ล้านบาท) มีฉายาว่า “มหาเศรษฐีกระดูกล้วน ๆ” เพราะถึงแม้จะอายุ 70 ปี เวลาเขาเดินทางจากสนามบินกลับบ้านก็จะนั่งรถตุ๊ก ๆ อินเดีย เขาบินชั้นประหยัด ขับรถมือสอง และเตือนพนักงานที่ทำงานให้ปิดไฟอยู่เสมอ พร้อมกับกำชับเรื่องการใช้กระดาษชำระของสำนักงาน

          คนสุดท้ายรายที่แปด คือ Judy Faulkner ผู้ก่อตั้ง Epic Systems มีทรัพย์สินสุทธิมูลค่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (87,500 ล้านบาท) ธุรกิจของเธอคือการขายซอฟแวร์เกี่ยวกับระเบียนของลูกค้าด้านสุขภาพ โดยเริ่มธุรกิจเมื่อปี 1975 ด้วยทุนเพียง 70,000 เหรียญสหรัฐ (2.45 ล้านบาท)

          ถึงแม้เธอจะเป็นมหาเศรษฐี แต่หญิงในวัย 72 ปีผู้นี้ คุ้นเคยกับชีวิตมัธยัสถ์มายาวนาน เธอมีรถเพียง 2 คันในรอบ 15 ปี อยู่สองคนกับสามีในบ้านที่อยู่มาเกือบ 30 ปี ในปี 2015 เธอแสดงความประสงค์จะบริจาคครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งทั้งหมดที่เธอมีให้การกุศล โดยบอกว่าไม่เคยมีความปรารถนาส่วนตัวที่จะเป็นมหาเศรษฐีที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ในทางตรงกันข้ามเธอต้องการใช้เงินของเธอช่วยเหลือคนอื่นเพื่อให้เข้าถึง “อาหาร ความอุ่น ที่พัก การดูแลสุขภาพ และการศึกษา”

          มหาเศรษฐีทั้ง 8 รู้แจ้งเห็นจริงว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร บ้างมัธยัสถ์เพราะความ เคยชิน แต่จำนวนมากมัธยัสถ์เพราะไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรมัธยัสถ์ เขาเหล่านี้พิสูจน์ว่า “มัธยัสถ์” มิได้แปลว่า “ใจแคบ”