นายกฯ ญี่ปุ่นผู้มีรักเดียวใจเดียว

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 สิงหาคม 2559

          ในจำนวนอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายฟุกุดะ ทาเคโอะ มีลักษณะที่แปลกกว่าหลายคนโดยมีชื่อเสียงในการเข้ากับผู้คนในสังคมได้ดี เป็นคนเปิดเผยไม่มีความลับกับใคร คุยกับสื่อได้ทุกเรื่อง และเหนือสิ่งอื่นใดมีรักเดียวใจเดียวให้ภรรยาอย่างแตกต่างจากอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นหลายคน

          นายฟุกุดะ ทาเคโอะ (Fukuda Takeo) มีภรรยาชื่อนางมิเอะ (Mie) ทั้งสองเกิดในสมัยเมอิจิ (ค.ศ. 1868-1912) ความลับอย่างเดียวที่นายฟุกุดะไม่ยอมเปิดเผยก็คือพบกับเธอได้อย่างไร เหตุที่ไม่เล่าอาจเนื่องมาจากคนที่เกิดในยุคนั้นเขาไม่เล่าเรื่องประเภทนี้กันเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ แต่ถึงไม่เล่าก็มีสื่อไปหามาเปิดเผยอยู่ดี

          ฟุกุดะเกิดในครอบครัวที่สืบทอดมาจากซูมาไรและมีผู้คนนับหน้าถือตาในเมืองกุนมะ พ่อและพี่ชายเคยเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองนี้ ก่อนที่จะมีการปฏิรูปที่ดินหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นายกเทศมนตรีที่มาจากตระกูลฟุกุดะไม่จำเป็นต้องเดินผ่านหน้าบ้านใครเพื่อไปทำงานที่เทศบาลเลย เพราะตั้งแต่บ้านถึงที่ทำการเทศบาลเป็นที่ดินของตระกูลนี้ทั้งหมด

          ฟุกุดะเป็นลูกคนที่สองใน 7 คน ของครอบครัว เขาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเด็กอัจฉริยะตั้งแต่เยาว์วัย เรียนจบได้คะแนนดีมาตลอดจนสามารถสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยโตเกียวได้ เขาสามารถสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้ก่อนเรียนจบ ดังนั้นเมื่อเรียนจบจึงเข้าทำงานในกระทรวงการคลังซึ่งถือว่าเป็นแหล่งของคนระดับหัวกะทิทันที เมื่อทำงานไปได้ 1 ปี ก็ถูกส่งไปประจำที่ลอนดอน

          ขณะที่เรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยม เขามีชื่อเสียงโดดเด่นมากเนื่องจากเป็นคนเรียนเก่ง นิสัยดี มีมนุษยสัมพันธ์เป็นเยี่ยม จึงเป็นที่ต้องตาของเด็กหญิงคนหนึ่งในโรงเรียนเดียวกันชื่อมิเอะ เด็กหญิงอายุอ่อนกว่าเขา 7 ปี บิดาของมิเอะเกิดในตระกูลเก่าแก่ในเมืองอาซุมะโช เมื่อพ่อเสียชีวิตครอบครัวของเธอก็ย้ายมาอยู่ที่โตเกียว และที่บ้านของเธอซึ่งมีแขกมาเยี่ยมเยียนไม่ได้ขาดนี้เองเธอได้พบหนุ่มฟุกะดะจากมหาวิทยาลัยโตเกียว

          เมื่อฟุกุดะกลับมาญี่ปุ่นจากลอนดอนตอนอายุ 28 ปี เขาทำงานเป็นหัวหน้าสรรพากรท้องถิ่นในเมืองเกียวโตและเป็นหนุ่มเนื้อหอม (มาก) ใคร ๆ ก็อยากได้เป็นลูกเขยเพราะเห็นว่าอนาคตไม่หนีอธิบดีหรือปลัดกระทรวงแน่นอน และอาจไปถึงรัฐมนตรีก็เป็นได้เพราะเป็นประเพณีที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกระทรวงนี้จะลงสมัครรับเลือกตั้งและเป็นนักการเมืองคนสำคัญ

          ฟุกุดะไม่มีชื่อเสียงด่างพร้อยเรื่องผู้หญิง ปฏิเสธทุกรายที่ทาบทามจะยกลูกสาวให้เพราะเขาแน่วแน่ในความรักที่มีต่อมิเอะ ในที่สุดทั้งสองก็แต่งงานกัน ในเวลาต่อมามีลูกด้วยกันถึง 5 คน เป็นชาย 3 หญิง 2

          ครอบครัวนี้ที่มีการศึกษาสูงทั้งสามีภรรยาไม่บังคับให้ลูกเรียนที่มหาวิทยาลัยที่พ่อแม่เคยเรียน ปล่อยเสรีให้ลูกเรียนตามที่ชอบเช่นเดียวกับการมีครอบครัว จุดเด่นของครอบครัวนี้คือความรักใคร่ กลมเกลียวกัน ในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนอกบ้านฟุกุดะเป็นแกนนำ ส่วนเรื่องภายในบ้านมิเอะผู้เป็นภรรยาดูแลทุกอย่างไม่ให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง
มิเอะเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้าน แม้แต่ฟุกุดะก็เกรงใจเธอจนอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่อยู่ใจกลางอำนาจคือมิเอะ ทุกอย่างล้วนโคจรอยู่รอบเธอ ไม่ว่าใครเจ็บป่วยอย่างใดเธอเป็นผู้คอยพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี ด้วยบทบาทของเธอเช่นนี้ฟุกุดะจึงสามารถทำงานนอกบ้านได้เต็มที่

          เมื่อฟุกุดะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเรื่องที่เธอไม่พอใจนัก แต่ ก็ตามใจสามีและสนับสนุนเต็มที่แต่ก็ไม่ได้ออกไปหาเสียงด้วยอย่างจริงจังเนื่องจากโดยธรรมชาติเธอเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นเธอก็โดดเข้าช่วยอย่างเต็มใจ

          เมื่อฟุกุดะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่สังกัดพรรคใด เขาและเธอมีความสุขมาก แต่สิ่งที่เขาผิดหวังมากในเวลาต่อมาก็คือเขาพ่ายแพ้แก่นายทานากะ อดีตมหาเศรษฐีผู้รับเหมาก่อสร้างจอมเจ้าชู้ที่ไม่มีการศึกษาแต่เล่นการเมืองเก่งเมื่อตอนชิงชัยกันเป็นประธานพรรคซึ่งหมายความว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เขาพ่ายแพ้จนรู้สึกหดหู่และท้อแท้จนมิเอะต้องปลอบใจว่าโอกาสหน้ายังมี

          มิเอะพูดถูกเพราะต่อมานายทานากะก็ต้องลาออกติดคุกติดตะรางและตายไปก่อนคดีจบเพราะคดีรับสินบนซื้อเครื่องบินล๊อคฮีทของสหรัฐอเมริกา คนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อมาก็คือนายมิกิ ทาเกะโอะ หลังจากนั้นจึงถึงคิวเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี

          เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ 2 ปี (1976-1978) โดยทำงานอย่างหนักและได้รับการยอมรับอย่างดีจากประชาชน แต่ก็พ่ายแพ้การเมืองในพรรค นายโอฮิระ มาซาโยชิ ผู้สนิทสนมกับนายทานากะซึ่งยังมีอิทธิพลในพรรคอยู่มากได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน

          ถึงแม้จะลาออกแล้วเมื่อมีอายุ 73 ปี แต่สื่อก็มักพูดถึงการกลับมาอีกครั้งของเขาอยู่บ่อย ๆ บทบาทของเขาหลังการเป็นนายกรัฐมนตรีก็คือการทำหน้าที่ควบคุมดูแลพรรคคล้ายผู้ปกครอง เป็นผู้ใหญ่ คนหนึ่งของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP_____Liberal Democratic Party) ที่บรรดาสมาชิกผู้แทนราษฎรเกรงใจ

          ลักษณะที่โดดเด่นของฟุกุดะก็คือการเป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่เคยแบ่งปันหัวใจให้สตรีอื่น ซึ่งสำหรับผู้ที่เป็นภรรยาคงไม่มีสิ่งใดมีค่ามากไปกว่านี้อีกแล้ว สื่อสรุปว่าตั้งแต่ปี 1947 จนถึงปี 1982 ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยข้องแวะสตรีอื่นใดนอกจากภรรยาตนเองนั้น นอกจากฟุกุดะนายกคนที่ 67 แล้วก็มีนายคาตายามะ เททสึ นายกรัฐมนตรีคนที่ 46 ที่เป็นคริสเตียนสังกัดพรรคสังคมนิยมอีก คนเดียวเท่านั้น

          ทั้งสองอยู่บ้านแบบที่คนญี่ปุ่นทั่วไปอยู่อาศัย ไม่ใช่บ้านใหญ่โต มีพื้นที่เพียง 44 ตารางวา ในโตเกียว ไม่มีบ้านพักตากอากาศเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายคน หลาน 11 คน รวมทั้งเขยสะใภ้เข้านอกออกบ้านนี้กันอย่างมีความสุขและอบอุ่น

          ฟุกุดะมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้เห็นลูกชายคนโตคือนายฟูกุดะ ยาสุเอะ (Fukuda Yasuo) ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 91 ใน ค.ศ. 2007 เนื่องจากเขาเสียชีวิตในปี 1995 เมื่อมีอายุได้ 90 ปี ทิ้งภรรยาในวัย 83 ปี และลูกหลานไว้จำนวนมาก ผลงานสำคัญของเขาก็คือการสมานไมตรีกับประเทศในเอเชียซึ่งเคยมีความหมางใจกับญี่ปุ่นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง เขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันสนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างจีนและญี่ปุ่นจนสำเร็จซึ่งหมายถึงการจบสิ้นของความบาดหมางที่มีต่อกันมายาวนานตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

          ฟูกูดะเป็นนายกรัฐมนตรีสุภาพบุรุษ และเป็นพ่อบ้านตัวอย่างที่มีความมั่นคงในความรักที่มีต่อภรรยาและหน้าที่ของพ่อบ้านอย่างสมควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่คนรุ่นหลัง (ข้อมูลพื้นฐานจาก ’15 สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งแดนอาทิตย์อุทัย’ แปลโดย รองศาสตราจารย์อาทร ฟุ้งธรรมสาร)

เพชรเม็ดแชมป์โลกถูกท้าทาย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
26 กรกฎาคม 2559

          เราเคยได้ยินกันว่าเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Cullinan I หรือ Great Star of Africa ประดับอยู่บนหัวคธาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของราชวงศ์อังกฤษ แต่ล่าสุดในปี 2015 มีการพบเพชรก้อนใหญ่มหึมาซึ่งอาจท้าทายเพชร เม็ดใหญ่ทั้งหลายในโลก ลองมาฟังเรื่องราวกันว่ามีความจริงเพียงใด

          ในปี 1905 มีการพบเพชรที่ยังมิได้เจียรนัยก้อนใหญ่หนัก 3,106.75 กะรัต (621.35 กรัม) ที่เหมืองเพชรนอกเมือง Pretoria ของประเทศอาฟริกาใต้ในปัจจุบัน เจ้าของเหมืองคือ Thomas Cullinan ได้ถวาย King Edward VII ของสหราชอาณาจักร และมีการเจียรนัยออกมาเป็นเพชรหลายเม็ดด้วยกัน เม็ดใหญ่ที่สุดกลายเป็นเม็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1908 เป็นต้นมา

          เม็ดที่ใหญ่ที่สุดนี้คือ Cullinan I หนัก 530.4 กะรัต (106.08 กรัม) รองลงมาคือ Cullinan II หรือ Second Star of Africa หนัก 317.4 กะรัต (63.48 กรัม) และได้เพชรเจียรนัยอีก 7 เม็ด หนักรวมกันทั้งหมด 208.29 กะรัต (41.60 กรัม) เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของ Queen Elizabeth II สมเด็จ พระราชินีองค์ปัจจุบันซึ่งทรงรับมรดกจาก Queen Mary ในปี 1953 โดยรวมเพชรย่อยอื่น ๆ อีก 96 เม็ดด้วย

          Cullinan I ครองแชมป์อยู่ได้เกือบ 80 ปี ในปี 1985 มีการพบเพชรจากเหมืองเดียวกันและเจียรนัยแล้ว หนัก 545.67 กะรัต (109.13กรัม) มีชื่อว่า Golden Jubilee Diamond ซึ่งแซงหน้า Cullinan I ไป 15.37 กะรัต (3.07 กรัม) ดังนั้นในปัจจุบันเพชรเม็ดนี้จึงเป็นเพชรเจียรนัยแล้วที่ใหญ่ที่สุด ในโลก ไม่ใช่ Cullinan I อีกต่อไป

          ก่อนที่จะเจียรนัย เพชรก้อนใหญ่ต้นกำเนิดของ Golden Jubilee Diamond หนัก 755.5 กะรัต (151 กรัม) ซึ่งยังเล็กกว่าเพชรต้นกำเนิดของเพชรย่อยตระกูล Cullinan ซึ่งหนัก 3,106.75 กะรัต (621.35 กรัม)

          สรุปแล้วแชมป์เพชรก้อนใหญ่ที่สุดถึงปี 1985 ที่ยังไม่ได้เจียรนัยคือ 3,106.75 กะรัต และรองลงมาคือ 755 .5 กะรัต อย่างไรก็ดีสถิติมีไว้ให้ถูกทำลาย ในปลายปี 2015 มีการพบก้อนเพชรที่ยังมิได้เจียรนัยขนาดเท่าลูกเทนนิส หนัก 1,109 กะรัต (222.2 กรัม) จึงแซงขึ้นมาเป็นอันดับสอง ปัจจุบันยังไม่มีการเจียรนัย และอาจไม่มีด้วยเพราะผู้ปรารถนาเป็นเจ้าของในยุคปัจจุบันส่วนหนึ่งต้องการเพชรในลักษณะธรรมชาติเพื่อเก็บสะสม คล้ายกับศิลปะวัตถุหรือของเก่า

          เหมือง Lucara ของคานาดาซึ่งเป็นแหล่งเพชรก้อนนี้ ตั้งอยู่ในประเทศ Botswana ใน อาฟริกาได้ประกาศให้รางวัลแก่ผู้ตั้งชื่อเพชรก้อนนี้ซึ่งต้องเป็นพลเมืองของ Botswana ด้วย ปรากฏว่ามีผู้ส่งชื่อเข้าประกวดเป็นหมื่นราย ชื่อที่ชนะเลิศคือ Lesedi La Rona ซึ่งหมายถึง “Our Light” ในภาษา Tswana โดยผู้ชนะได้รับรางวัลเป็นเงินสดประมาณ 70,000 หมื่นบาท

          เพชรก้อนที่ยังมิได้เจียรนัยนี้ถือได้ว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีอายุกว่า 2,500 ล้านปีอย่างไรก็ดีผ่านไปเพียงวันเดียวก็มีเพื่อน กล่าวคือวันรุ่งขึ้นเหมือง Lucara ก็พบเพชรขนาดใหญ่อีก 2 ก้อน หนัก 813 และ 374 กะรัต (162.6 กรัม และ 74.8 กรัม ตามลำดับ) เหมืองนี้สร้างสถิติที่ไม่เหมือนใครเพราะภายในเวลาประกอบการ 18 เดือนสามารถขุดเพชรได้ไปแล้วกว่า 1 ล้านกะรัต (200 กิโลกรัม) ทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่

          เหมือง Lucara ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า x-ray transmission sorting technology โดยใช้เครื่องคัดกรองก้อนดินและหินเพื่อค้นหาเพชร 6 เครื่อง แต่ละเครื่องคัดกรองก้อนดินและหินที่มาจากใต้ดินลึกเป็นร้อยเมตรได้ถึง 150 เมตริกตันต่อชั่วโมง (เพชรเม็ดใหญ่ที่พบเหล่านี้มาจากระดับลึกลงไปกว่า 60 เมตร)

          ในโลกของการค้าเพชรปัจจุบันราคาต่อกะรัตของเพชรเม็ดเล็กมีแต่ลดต่ำลงทั้งนี้เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจของโลกและเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างไรก็ดีสำหรับเพชรเม็ดใหญ่ซึ่งเป็นที่หมายปองของบรรดาเหล่ามหาเศรษฐีในโลกแล้ว ราคามิได้ถูกกระทบแต่อย่างใด เมื่อไม่นานมานี้เพชรยังมิได้เจียรนัยหนัก 813 กะรัต ขายได้ในราคาประมาณ 77,500 เหรียญสหรัฐ (2.87 ล้านบาท) ต่อกะรัต ในเวลาใกล้กันเพชรชื่อ Oppenheimer Blue หนัก 14.62 กะรัต ซึ่งเคยเป็นสมบัติของเจ้าของเหมืองเพชรยักษ์คือ De Beers ขายไปในราคา 57.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,128 ล้านบาท)

          เหมือง Lucara เกิดความคิดที่จะให้มีการประมูลเพชรที่ยังมิได้เจียรนัยตามความนิยมสมัยใหม่ผ่าน Sotheby’s บริษัทใหญ่ด้านการประมูลของโลก และร่วมมือกับ Julius Baer Group ซึ่งเป็นธนาคารสวิส เพื่อให้บริการลูกค้าที่ต้องการซื้ออย่างแอบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้ภรรยาหรือกิ๊กหรือคนอื่น ๆ โดยเฉพาะทางการรู้

          ในการประมูลของ Sotheby’s เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2016 ซึ่งคาดหวังว่าเพชร Lesedi La Rona เม็ดนี้จะขายได้ราคาไม่ต่ำกว่า70 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,590 ล้านบาท) แต่ปรากฏว่าหาผู้ซื้อไม่ได้ถึงแม้จะมีคุณภาพสูงมากในระดับ Type II a (มีความใสสะอาด สีใสงดงาม) ซึ่งหาได้ยากมากก็ตาม สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจาก บรรยากาศหลังการลงประชามติออกจาก EU ของคนอังกฤษ มหาเศรษฐีจำนวนมากที่เคยแสดงความสนใจก็รีรอเพราะเกิดความไม่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ EU ต่อไป

          การพบเพชรขนาดใหญ่เช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะกับผู้ถือหุ้นของเหมือง Lucara ซึ่งซื้อเหมืองชื่อ Karowe อันเป็นเหมืองที่พบเพชรขนาดใหญ่ถึง 3 ก้อนนี้มาจาก De Beers เมื่อปี 2010

          ประเด็นที่น่าสนใจก็คือชาว Botswana ที่ยากจนและเป็นเจ้าของประเทศจะได้รับผลตอบแทนมากน้อยเพียงใดจากการพบเพชรครั้งสำคัญนี้ (หลังจากได้รางวัล 70,000 บาทจากการตั้งชื่อเพชร มูลค่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว )

          ประเทศคงได้รับค่าภาคหลวงก้อนใหญ่จากการประกอบการเหมืองเพชร และอาจได้เพิ่มเติมอีกบ้างจากการขุดพบครั้งใหญ่ นอกจากนี้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งมีงานทำจากกิจการเหมือง แต่ภายใต้โครงสร้างอำนาจทางการเมืองและบริบทของสังคม น่าสงสัยว่าค่าภาคหลวงเหล่านี้จะเข้ากระเป๋าผู้นำไปมากน้อยเพียงใดและจะตกถึงมือชาวบ้านบ้างหรือไม่

          เราดีใจที่โลกได้พบความงดงามเพิ่มเติม แต่เศร้าใจเมื่อคำนึงถึงว่าทรัพยากรธรรมชาติที่มีราคาสูงมากเช่นนี้ไปตกอยู่ในมือเจ้าของเหมืองต่างชาติแทนที่จะเป็นสมบัติของชาว Botswana (เพชรน่าจะชื่อ “Your Light” มากกว่า “Our Light”) เมื่อทบทวนสองความรู้สึกแล้ว น่าให้มันกลับไปฝังอยู่ใต้ดินอย่างเดิมเพื่อรอคอยวันเวลาที่เมื่อขุดขึ้นมาแล้ว ชาว Botswana จะได้เป็นเจ้าของมันอย่างสมบูรณ์

รักของมกุฎราชกุมารรัสเซียและดาราบัลเลต์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 กรกฎาคม 2559

          ความรัก การเมืองระหว่างประเทศ อำนาจ และการ “ห่างตาก็ห่างใจ” ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการหลุดรอดจากเงื้อมมือของเจ้าอาณานิคมตะวันตกของสยามอย่างไม่น่าเชื่อ ท่านผู้อ่านอาจบอกว่าความรักน่ะหรือจะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย กรุณาอ่านต่อไปและจะเห็นว่าสิ่งที่มีพลังนี้ช่วยสยามได้อย่างไร

          ลัทธิจักรวรรดินิยมในเอเชียเริ่มขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 15 โดยชนชาติยุโรปตะวันตกเข้ามายังบริเวณหมู่เกาะอินเดียตะวันออกเพื่อสำรวจเส้นทางการค้ากับจีน ชาติเหล่านี้มีทั้งโปรตุเกส ดัตช์ ฝรั่งเศสและอังกฤษ การแย่งชิงดินแดนรุนแรงยิ่งขึ้นในปลายคริสตศตวรรษที่ 18 และลามมาจนถึงปลายคริสตศตวรรษที่ 19

          สยามอยู่ในฐานะล่อแหลมมากในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของเวียดนาม บางส่วนของพม่า กัมพูชา ลาว ก็ตกเป็นอาณานิคมไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงดำเนินพระราชวิเทโศบายผูกมิตรกับมหาอำนาจ ซึ่งรัสเซียดูเหมาะสมมากเพราะมิได้เป็น ตัวละคร และสามารถอยู่ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยได้เป็นอย่างดี

          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ เสด็จในฐานะราชทูตพิเศษเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปถวายพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซียเพื่อผูกมิตรกับรัสเซีย และต่อมาเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่ามีผลประโยชน์ยิ่งต่อสยามก็คือการพยายามให้มกุฎราชกุมารรัสเซียซึ่งจะเสด็จพระราชดำเนินทางเรือผ่านอ่าวสยามในกิจกรรมวางศิลาฤกษ์ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียมาเยือนสยามด้วย ทั้งนี้เพื่อสร้างมิตรภาพและสร้างความประทับใจให้กับพระราชอาคันตุกะ

          ตรงนี้แหละที่ความรักเข้ามามีบทบาทสำคัญ เรื่องก็มีอยู่ว่าเจ้าชายนิโคลัสที่ 2 (มกุฎราชกุมารหรือซาเรวิตซ์แห่งรัสเซียพระองค์นี้) ตกหลุมรักอันเป็นรักแรกในวัย 22 ปี กับดาราบัลเลต์ (ballerina) เอกวัย 18 ปีแสนสวยของรัสเซียอย่างหัวปักหัวปำในปี 1890 และได้เธอเป็นหม่อมลับ ๆ ชื่อของเธอคือ Mathilde Kschessinska

          ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่เป็นที่ถูกพระทัยของพระบิดาและพระมารดาอย่างมากเพราะเธอมีเชื้อสายโปแลนด์ ซึ่งถือว่าต่ำต้อยในสายตาของคนยุโรป โดยเฉพาะคนยุโรปชั้นสูง ความรู้สึกนี้ติดพันตลอดมาจนถึงสงครามโลกครั้งที่สองและลามไปถึงคนอเมริกัน (ทั้ง ๆ ที่คนโปแลนด์หลายคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดที่ได้รับรางวัลโนเบิล เช่น Madam Curie ได้รับรางวัลโนเบิลถึง 2 ครั้งในสาขาฟิสิกส์ และเคมี)

          การกีดกันความรักของคนในวัยนี้เป็นเรื่องยากแต่ก็จำเป็นต้องทำ หลังจากเป็นหม่อมลับอยู่ได้ไม่นานพระบิดาก็ทรงให้เป็นตัวแทนเดินทางทางเรือไปวางศิลาฤกษ์ส่วนสำคัญของทางรถไฟสายทรานไซบีเรียในปี ค.ศ. 1890 ที่เมือง Vladivostok และแวะเสด็จเยือนญี่ปุ่นด้วย นี่คือแผนการที่จะแยกนางเอกบัลเลต์ฝีมือเยี่ยมคนนี้ออกจากมกุฎราชกุมารโดยใช้การ “ห่างตาก็ห่างใจ” เพราะการเดินทางใช้เวลากว่าหนึ่งปี

          สยามต้องการโน้มน้าวให้เสด็จแวะไทยให้ได้ดังกล่าวแล้วเพื่อสร้างความเกรงขามและความเกรงใจ (สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งอังกฤษเป็นลูกพี่ลูกน้องกับมกุฎราชกุมาร) แต่ก็ประสบอุปสรรคมากมาย อังกฤษกุข่าวว่าอหิวาตกโรคระบาดในสยามก่อนที่มกุฎราชกุมารจะทรงตอบรับคำเชิญ

          รัชกาลที่ 5 ทรงร้อนพระทัยจึงทรงมอบให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงเดชานุภาพเสด็จสิงคโปร์เชิญพระราชหัตถเลขาไปพระราชทานมกุฎราชกุมารบนเรือที่ทอดสมอหน้าเมืองสิงคโปร์ และเมื่อทรงตรวจสอบข่าวและพบว่าเป็นเรื่องที่อังกฤษกุขึ้นก็ทรงรับพระราชประสงค์ที่จะเสด็จมากรุงเทพ ราชสำนักสยามหายใจโล่งอกเพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งในการประคองตัวให้พ้นจากปากเหยี่ยวปากกา

          มกุฎราชกุมารทรงประทับใจอย่างยิ่งกับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ของสยามแบบไม่เคยมีมาก่อน อย่างไรก็ดีเมื่อเสด็จกลับรัสเซียแล้ว แผนการ “ห่างตาก็ห่างใจ” ก็ยังไม่ได้ผล ทั้งสองยังติดต่อกันรวมเป็นเวลาเกือบ 3ปีก่อนที่ฃาเรวิตฃ์จะทรงอภิเษกกับ Princess Alix of Hesse-Darmstadtในปี 1894 ภายหลังจากที่พระราชบิดาสวรรคตได้ไม่นานโดยมีพระนามเต็มว่า Nicholas Alexandrovich Romanov

          ชีวิตคู่ของ “Nicholas และ Alexandra” (ชื่อหลังแต่งงานคือ Alexandra Feodorovna Romanova) เป็นไปด้วยดี ( ทั้งคู่มีโอรสหนึ่งและธิดาสี่ ) จนทั้งหมดถูกฆาตกรรมหมู่ในปี 1918 หลังการปฏิวัติบอลเชวิค ซึ่งทำให้รัสเซียเปลี่ยนเป็นคอมมูนิสต์

          สำหรับชีวิตของ Matilde นั้น ก็เหมือนคนสวยชนะรางวัลความงามทั่วไปคือมักจะเป็นกรณีของ “มาลัยสามชาย” หรือมากกว่านั้นเสมอ หลังจากฃาเรวิตซ์แล้วเธอก็มีสัมพันธ์กับ Grand Dukes แห่งราชวงศ์ Romanov อีก 2 คนคือSergei Mikhailovich และลูกพี่ลูกน้องของเขาคือ Andrei Vladimirovich

          ในปี 1902 เธอคลอดลูกชายชื่อ Vladimir โดยไม่บอกว่าใครเป็นพ่อ ลูกของเธอคนนี้เมื่อตอนมีอายุก็บอกว่าเขาไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นพ่อ ชีวิตเธอดิ้นต่อไปหลังจากได้รับรางวัลสูงสุดของการเป็น ballerina ในปี 1896 โดยอพยพไปอยู่ฝรั่งเศสหลังการปฏิวัติในปี 1917

          ในปี 1921 เธอแต่งงานกับ Grand Duke Andrei Vladimirovich ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับรักแรกของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีชีวิตหรูหราเหมือนตอนอยู่ในรัสเซีย แต่ก็อยู่อย่างสบายและมีความสุขอีกยาวนานหลังจากที่รักแรกของเธอและครอบครัวประสบเคราะห์กรรมหมู่ที่น่าสังเวชใจในปี 1918

          เธอเปิดโรงเรียนสอนบัลเลต์ และได้สอน ballerina ระดับโลกหลายคน เช่น Dame Margot Fonteyn / Dame Alicia Markova / Tamara Toumanova เป็นต้น เธอแสดงครั้งสุดท้ายตอนอายุได้ 64 ปี สำหรับงานการกุศล

          ในตอนปลายชีวิต เธอประสบปัญหาการเงินอยู่บ้างแต่ก็ดำรงชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีจวบจนสิ้นอายุขัยที่ 99 ปี ในปี 1971

          ถ้าสมมุติว่าซาเรวิตซ์ไม่พบรักกับเธอ ก็ไม่มีการถูกแยก ไม่ถูกพ่อสั่งไปวางศิลาฤกษ์รถไฟแดนไกล ไม่มีโอกาสเดินทางมาสยาม สยามก็ไม่มีโอกาสได้ประโยชน์จากซาเรวิตซ์ เมื่อไม่ได้ประโยชน์ก็ถูกเหล่าหมาป่า………. นี่แหละคือบทบาทของความรักกับการอยู่รอดของสยามเมื่อ 120-130 ปีก่อน

วิบากกรรมของ “คนผิวเผือก”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 กรกฎาคม 2559

          “คนผิวเผือก” ถือได้ว่าประสบความลำบากในชีวิตพอควรเนื่องจากการดูแปลกแยก ถ้าเกิดในทวีปอื่น ๆ ก็ไม่กระไรนัก แต่ถ้าหากเป็นทวีปอาฟริกาแล้วถือว่าโชคร้ายอย่างยิ่ง เพราะอาจถูก ไล่ฆ่าเพื่อเอาชิ้นส่วนของร่างกายไปเป็นเครื่องรางของขลัง หรือใช้ประกอบพิธีไสยศาสตร์

          การกระทำเช่นนี้เป็นมายาวนาน แต่ก็ไม่มีการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เขียนเคยเขียนเรื่องนี้เมื่อ 8 ปีก่อน แต่สถานการณ์ก็ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2559 ตัวแทนรัฐบาล ภาคประชาสังคม รวมประมาณ 150 คน จาก 29 ประเทศในอาฟริกาจึงประชุมกันที่กรุงดาร์ เอส ซาลาม เมืองหลวงของแทนซาเนีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีปัญหาทารุณกรรม “คนผิวเผือก” มากที่สุด

          ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการทำร้าย “คนผิวเผือก” 457 ราย ในจำนวนนี้เป็นฆาตกรรม 178 ราย ใน 26 ประเทศ การปิดลับของการค้าอวัยะวะของคน “ผิวเผือก” นั้นผิดกฎหมาย จึงอาจลทำให้สถิติเหล่านี้ต่ำกว่าความเป็นจริง

          ผู้เขียนเคยเล่าไว้เมื่อ 8 ปีก่อนในหัวเรื่อง “ชะตากรรมของคนผิวเผือก” ดังนี้ เราเรียกคนมีผิวขาวผิดปกติว่า “คนผิวเผือก” ในภาษาอังกฤษ (มาจากคำในภาษาละติน albus ที่แปลว่า ขาว) ซึ่งปัจจุบันถือว่าคำนี้เป็นคำดูถูก (เช่นเรียก “ม้ง” ว่า “แม้ว”) ควรใช้คำว่า albinistic และเรียกผู้ที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “ผู้ที่มี albinism” แทน (ในที่นี้ขอใช้ albinism ในความหมายของการเป็น “คนผิวเผือก”)

          albinism ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ยีนส์ที่รับผิดชอบการผลิตสาร melanin ซึ่งทำให้สีผิวเข้มเป็นปกตินั้นบกพร่อง albinism ติดต่อถึงกันไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

          Albinism เป็นผลจากพันธุกรรมที่บกพร่องของทั้งพ่อและแม่ (น้อยมากที่จะมาจากฝ่ายพ่อหรือแม่ด้านเดียว) ดังนั้นโอกาสที่มีลูกเป็น “คนผิวเผือก” จึงต่ำมาก ยีนส์ของ albinism เป็นลักษณะที่เรียกว่า recessive ดังนั้นเจ้า recessive สองตัวจากพ่อและแม่ต้องมาจับคู่กันจึงจะเกิดขึ้นได้ (ถึงแม้พ่อและแม่ไม่มีลักษณะของ albinism เลยก็อาจมีลูก albinism ได้เพราะสืบทอดยีนส์มาจากบรรพบุรุษ)

          albinism เกิดขึ้นทั้งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ปลา นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ albinism เกิดขึ้นในเพศผู้และเมียได้เท่า ๆ กัน และเนื่องจากมีผิวที่ขาดเม็ดสีเข้มซึ่งช่วยป้องกันรังสีอุลตราไวโอเลต ผิวจึงถูกแสงแดดแผดเผาได้ง่าย

          “คนผิวเผือก” โดยทั่วไปมิได้มีอายุสั้นหรือมีลูกไม่ได้ดังที่อาจเชื่อกัน ถ้าอายุสั้นก็มักเกิดจากมะเร็งในผิวหนังหากโดนรังสีอุลตราไวโอเลตมากเกินไป (คนเอเชียเป็นโรคนี้น้อยกว่าฝรั่งผิวขาวมาก)

          ส่วนสัตว์ albinism นั้นมักอยู่รอดไม่ได้นานเนื่องจากสีผิวที่ผิดธรรมชาติทำให้กำบังตนเองได้ยากจากศัตรู

          “คนผิวเผือก” แยกได้เป็น 2 ประเภท ๆ แรก ขาดเม็ดสี ในตา ผิว และผม โดยมีดีกรีจากไม่มีเม็ดสีเลยจนถึงเกือบเหมือนปกติ อีกประเภทหนึ่งนั้นขาดเม็ดสีเฉพาะในตาเท่านั้น โดยมีสีผิวและสีผมเป็นปกติ หลายคนแม้แต่รูปตาภายนอกก็ดูเหมือนปกติ

          albinism ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับตาและสายตาเนื่องจากตาขาดเม็ดสีทำให้เห็นเส้นเลือดในตาและมีผลกระทบต่อการไม่สู้แสง ตลอดจนการพัฒนาของกล้ามเนื้อตา อีกทั้งอาจทำให้ตาเข ตาง่วง ตาสั้น และปัญหาอีกหลายอย่างของการมองเห็น

          นับแต่โบราณ albinism ถือว่าเป็นเรื่องแปลก บ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องถูกสาป หรือเป็นสิ่งอัศจรรย์ หรือสิ่งวิเศษ นอกจาก “คนผิวเผือก” จะต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพส่วนตัวแล้วยังเผชิญกับปัญหาสังคมที่มองว่าเป็นคนแปลกแยกอีกด้วย

          ในอาฟริกานั้นนับว่าหนักหนาที่สุด ใน Zimbabwe (ชื่อเก่าคือ Rhodesia) เชื่อกันว่าการมีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิง albinism จะรักษา HIV ได้ ดังนั้นจึงเกิดกรณีของการข่มขืนและการถ่ายทอด HIV ให้แก่หญิงเหล่านี้อย่างน่าสงสาร

          แทนซาเนียมีกรณีของฆาตกรรม albinism ทั้งหญิงชายและเด็กอยู่เนือง ๆ และอย่าง ลับ ๆ ศพถูกตัดแบ่งเพื่อเอาอวัยวะไปขายให้หมอผีทำพิธีไสยศาสตร์ ถึงแม้ว่าประเทศจะมีประชากรประมาณ 40 ล้านคน แต่ก็มีพื้นที่มากกว่าประเทศไทยหนึ่งเท่าตัว แทนซาเนียมีก๊าซธรรมชาติ ทองคำ เพชร และทรัพยากรธรรมชาติมากมายแต่ก็นำออกมาใช้น้อยมาก ยอดภูเขาที่สูงสุดในอาฟริกาคือ Kilimanjaro และทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอาฟริกาคือ Lake Victoria ก็อยู่ในประเทศนี้

          “คนผิวเผือก” มีความฉลาดเฉลียวเหมือนคนปกติทุกอย่าง ยกเว้นปัญหาเรื่องผิวหนังและสายตา นักร้อง นักแสดง ครูอาจารย์ จำนวนมากในโลกเป็น “คนผิวเผือก” (จักรพรรดิองค์หนึ่งของญี่ปุ่นคือ Emperor Seinei องค์ที่ 22 ครองราชย์ประมาณระหว่าง ค.ศ. 480-500 ก็เป็น albinism)

          สำหรับคนงมงายที่ขาดการเคารพความเป็นมนุษย์และโหดร้ายแล้ว “ความเป็นพิเศษ” หรือ “ความผิดปกติ” แล้วแต่จะมองของ “คนผิวเผือก” กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของวาทกรรมช่วยให้คนคิดว่าจะมีโชค ร่ำรวย อายุยืน ฯลฯ ช่างน่าเวทนาชะตากรรมของ “คนผิวเผือก” ในอาฟริกาที่ถูกจ้องมองเพื่อหาประโยชน์ยิ่งนัก

          ถ้าหันไปมองรอบตัวและไตร่ตรองให้ดีก็จะเห็นว่าโดยแท้จริงแล้วพวกเราทุกคนต่างก็เป็น “คนผิวเผือก” ด้วยกันทั้งนั้น

นายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของเมืองอายุ 3,000 ปี

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
5 กรกฏาคม 2559 

          การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของโรมเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา ผู้ชนะได้คะแนนท่วมท้นกว่าร้อยละ 60 ที่สำคัญเธอเป็นผู้หญิง หน้าตาดี และอายุเพียง 37 ปี นับว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์เพราะโรมไม่เคยมีนายกเทศมนตรีเป็นหญิงมาก่อน และกล้าหาญชาญชัยเสนอตัวเข้ามาแก้ไขปัญหาของโรมที่เรื้อรังมากว่า 20 ปี

          ถ้าใครเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นการละเลงภาพและตัวอักษร (graffiti) เลอะเทอะไปหมดแทบทุกพื้นที่ของผนังคอนกรีตของอาคารที่พอเอื้อมมือถึง ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ บางแห่งมีกองขยะอยู่ริมถนน ระบบขนส่งมวลชนขาดประสิทธิภาพ ฯลฯ สภาพเช่นนี้ชาวโรมอดทนมานานโดยตระหนักดีว่าส่วนหนึ่งมาจากปัญหาคอรัปชั่นที่มีอยู่ดาษดื่นทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น

          เมื่อ Virginia Raggi (ชื่อดูเป็นสากล ไม่เป็นอิตาลี) ได้เป็นนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ 3,020 ปี ของโรม ด้วยการหาเสียงที่จะสู้รบกับคอรัปชั่นสันตะปาปา หรือแม้แต่มาเฟีย คนโรมมองหา “คนจริง” เช่นนี้มานาน เมื่อเชื่อว่าพบแล้วจึงไม่ลังเลที่จะเทคะแนนให้

          นายกเทศมนตรีคนก่อนหน้าเธอซึ่งเป็นสมาชิกพรรค Democratic ชื่อ Ignazio Marino การใช้เงินอย่างส่อทุจริต และเรื่องฮื้อฉาวที่กลุ่มอาชญากรรมสามารถแทรกแซงเข้าไปในการบริหารเมือง กรณีนี้สื่อเรียกว่า “Mafia Capitale” เนื่องจากพบว่ามีเครือข่ายคอรัปชั่นใหญ่ระหว่างกลุ่มอาชญากรรมกับนักการเมืองท้องถิ่นของโรม คนเหล่านี้หากินกับพวกอพยพใหม่ โครงการก่อสร้างมูลค่าสูงนานาประเภท เมื่อขุดลงไปลึกก็พบบทบาทสำคัญของอดีตนายกเทศมนตรี 2 คน และสมาชิกกลุ่มอาชญากรรมหลายคน

          Reggi ต้องการเข้ามาล้างบางอิทธิพลเหล่านี้เพราะเป็นสาเหตุของปัญหาที่โรมเผชิญอยู่ เมื่อเธอเป็นสมาชิกของกลุ่ม Five Star Movement (M5S) ซึ่งเป็นพรรคทวนกระแสหลักที่มีแนวคิดท้าทายรูปแบบหรือวิธีการเชื่อแบบเดิม ๆ (Anti-establishment) จึงสอดคล้องกับนโยบายปราบ “มาเฟีย” ของเธอ

          เธอเป็นนักกฎหมายที่เคยเป็นสมาชิกสภาเทศบาลมาก่อนจึงรู้ปัญหาที่เธอต้องประสบเพราะนอกจากปัญหาคอรัปชั่น ปัญหา “มาเฟีย” แล้ว ยังมีปัญหาหนี้ของเมืองซึ่งมีขนาดเป็นสองเท่าของงบประมาณ Raggi บอกหลังจากชนะแล้วว่าเธอต้องการเป็นนายกเทศมนตรีของทุกคน ต้องการให้โรม มีการบริหารที่ยึดหลักธรรมาภิบาล และนิติธรรม

          สิ่งที่น่าสนใจมาก็คือเธอจะสู้กับสำนักวาติกัน ซึ่งมีพื้นที่อยู่กลางโรมโดยทวงถามเงินภาษีทรัพย์สินที่ติดค้างอยู่ 400 ล้านยูโร ตลอดจนเรียกร้องเงินจำนวน 250 ล้านยูโรที่เมืองโรมเป็นเจ้าหนี้อยู่ เรื่องนี้เรียกความฮือฮาเพราะนายกเทศมนตรีหลายคนในอดีตไม่กล้าที่จะทวงถามหรือเรียกเก็บ ทั้ง ๆ ที่มีสิทธิตามกฎหมาย คนโรมควรจะจับตามองว่าเธอแน่จริงหรือไม่

          Raggi มีความเห็นต่างจากคนจำนวนหนึ่งโดยไม่เห็นด้วยกับการเสนอตัวเข้าเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2024 ของโรม เธอเห็นว่าผู้บริหารเมืองควรทุ่มเททำงานให้ผู้อยู่อาศัยในโรมได้รับบริการ ขั้นพื้นฐานครบถ้วนก่อนที่จะไปเสียเวลากับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เรื่องนี้ก็มีคนเฝ้าดูมากเช่นกันเพราะคนที่เห็นไม่ตรงกับเธอเชื่อว่าจะทำให้เกิดเป็นเงินเป็นทองขึ้นได้มากมายจากการเป็นเจ้าภาพ

          เธอเป็นคนโรมโดยกำเนิด เรียนจบกฎหมายจาก Roma Tre University โดยเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายมหาชน ในปี 2013 ที่มีการเลือกตั้งเทศบาลเธอได้รับเลือกเป็นหนึ่งในสี่ของสมาชิกสภาเทศบาลที่มาจากพรรค Five Star Movement แต่เมื่อนายกเทศมนตรี Ignazio Marino ลาออกเนื่องจาก ข้อครหาเรื่องคอรัปชั่น ตำแหน่งเธอก็หลุดไปด้วย อย่างไรก็ดีเธอลงเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วย และชนะ เพื่อเตรียมพร้อมลงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในปี 2016 และเธอก็ได้รับเลือกตั้งอย่างท่วมท้น

          ชีวิตส่วนตัวเธอสมรสกับสมาชิกพรรค M5S เดียวกัน ชื่อ Andrea Severini และมีลูกอายุ 7 ขวบ ด้วยกันหนึ่งคน เนื่องจากเธอยังไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากนักในโลกการเมืองระหว่างประเทศ ประวัติชีวิตส่วนตัวของเธอจึงมีน้อยในภาษาอังกฤษ

          ตำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงโรมนั้นมีความพิเศษไม่เหมือนใครในโลก เนื่องจากกรุงโรมเคยเป็นเมืองหลวงของศาสนจักร ดังนั้นจึงไม่มีนายกเทศมนตรีจนถึงปี ค.ศ. 1870 ซึ่งกลายเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี ตั้งแต่ ค.ศ. 1889 นายกเทศมนตรีกรุงโรมก็ได้รับเลือกตั้งทุก 4 ปี โดยสภาเทศบาล

          ในปี 1926 ตำแหน่งนี้ถูกยุบไปโดยเผด็จการฟาสซิสต์ และแต่งตั้งคนมาแทนโดยเรียกว่า Governor แทน Mayor หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีการนำระบบเก่ามาใช้ กล่าวคือสภาเทศบาลเป็นคนเลือกนายกเทศมนตรี ในปี 1993 นายกเทศมนตรีก็ได้รับเลือกโดยตรงจากประชาชน มีวาระ 5 ปี โดยเป็นได้ 2 วาระต่อเนื่องกัน

          ความเป็นพิเศษของเมืองนี้ก็คือเป็นเมืองที่มีอายุกว่า 3,000 ปี นับตั้งแต่อาณาจักรโรมัน โดยมีผู้ทำหน้าที่นายกเทศมนตรีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1558 ในจำนวนเกือบร้อยคนนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาทำหน้าที่ และกล้าที่จะเสนอนโยบายหาญกล้ากว่าชายเป็นอันมาก

          หลายคนไม่เชื่อว่าเธอจะทำดังที่สัญญาได้สำเร็จเพราะมีอุปสรรคขวางกั้นอยู่มากมาย แต่เธอก็พร้อมที่จะต่อสู้ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมพรรคของเธอที่เป็นหญิง และชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองตูริน

          เมื่อผู้ชายจำนวนมากทำงานแล้วไม่ได้ผล ก็สมควรที่จะให้ผู้หญิงได้มีโอกาสแสดงฝีมือบ้างดังที่กำลังเกิดขึ้นเช่นกันในสหรัฐอเมริกา ถ้าไม้แขวนเสื้อสามารถพัตต์ลูกกอล์ฟได้ลงหลุมสม่ำเสมอในระยะ 10 ฟุต ก็ควรใช้ไม้นั้นแทนพัตเตอร์ จะไม่มัวใช้พัตเตอร์ที่เป็นเครื่องมือทางการที่พัตต์ไม่ลงหลุมอยู่ทำไม
 

การฉีดวัคซีนคือนวตกรรมที่ยิ่งใหญ่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
28 มิถุนายน 2559

          พวกเรากลัวเข็มฉีดยาวัคซีนฉันใด เด็กรุ่นปัจจุบันก็ยังคงกลัวฉันนั้น และคงจะกลัวกันต่อไปจนกว่าจะมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าการฉีดยา พ่อแม่พะวงกลัวลูกเจ็บตัวและมีผลแทรกซ้อนโดยลืมนึกไปว่าการฉีดวัคซีน (vaccination) นี่แหละเป็นนวตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งของมนุษยชาติ

          ก่อนมีวัคซีนมนุษย์ตายกันเป็นใบไม้ร่วงจากสารพัดโรคติดเชื้อ เช่น โปลิโอ อหิวาตกโรค โรคฝีดาษ โรคบาดทะยัก โรคคอตีบ โรคไอกรน โรคพิษสุนัขบ้า ฯลฯ

          โรคฝีดาษเป็นโรคร้ายแรงที่ผูกพันกับประวัติศาสตร์การฉีดวัคซีนมากที่สุด เชื่อกันว่า โรคฝีดาษเกิดขึ้นกับมนุษย์เมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อนในประวัติศาตร์ของมนุษย์ที่ยืนตัวตรง และมีหน้าตาเหมือนมนุษย์ปัจจุบันเมื่อ 150,000 ปีก่อน มีหลักฐานของรอยแผลเป็นจากโรคฝีดาษบนร่างมัมมี่ของฟาโรห์Ramses ที่ 5 ของอียิปต์

          ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 โรคฝีดาษฆ่าคนยุโรปไป 400,000 คนต่อปี และเป็นสาเหตุของจำนวนหนึ่งในสามของคนตาพิการ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โรคฝีดาษพร่าคนไปประมาณ 300-500 ล้านคน แม้แต่ในปี 1967 WHO (World Health Organization) ประมาณการว่ามีคนติดเชื้อในปีนั้น 15 ล้านคน และในจำนวนนี้ 2 ล้านคนเสียชีวิต

          อย่างไรก็ดีการรณรงค์ต่อสู้โรคฝีดาษด้วยการใช้วัคซีนตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ทำให้ WHO ให้คำยืนยันในปี 1979 ว่าโรคฝีดาษเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถกำจัดได้แล้ว ต่อมาในปี 2011 อีกโรคหนึ่งคือ Rinderpest ก็ได้รับคำประกาศลักษณะเดียวกัน โรคนี้เป็นโรคไวรัสร้ายแรงที่เป็นกับสัตว์ประเภทวัวควาย

          ขอเสนอสถิติเพื่อให้เห็นภาพว่าโรคติดเชื้อร้ายแรงเพียงใด อังกฤษซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านการแพทย์อย่างมากในสมัย ค.ศ. 1750 นั้น เด็กเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่รอดพ้นอายุ 5 ขวบ (ตาย 2 ใน 3) เด็กทุกคนจะมีประสบการณ์ที่พี่หรือน้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อ หรือพิการ หรือมีรูปลักษณ์ผิดไปเนื่องจากการเจ็บป่วย ปัจจุบันสถิติเดียวกันของอังกฤษก็คือในเด็กจำนวน 1,000 คน ที่เกิดมีตายเพียง 4 คนเท่านั้น (อัตราตายต่ำลงประมาณ 170 เท่า)

          โรคโปลิโอเมื่อ 20 กว่าปีก่อนพร่าชีวิตปีละ 300,000 คน (ปัจจุบันเกือบหมดไปจากโลก) การตายของโรคหัดลดจาก 6 ล้านคนต่อปี เหลือต่ำกว่า 1 ล้านคน โรคบาดทะยักซึ่งแต่ก่อนฆ่าเด็กมานัก ต่อนัก ปัจจุบันหายไปจาก 2 ใน 3 ของประเทศกำลังพัฒนา โรคไอกรนก็หายไปร้อยละ 90 โรคคอตีบก็หายไปในสัดส่วนเดียวกัน

          การฉีดวัคซีนซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการลดลงของจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อมีความเป็นมาที่น่าสนใจ และผูกโยงกับโรคฝีดาษซึ่งเป็นโรคระบาดที่ติดเชื้อกันได้ง่ายและเกิดผลรุนแรงดังกล่าวแล้ว จีนเป็นชาติแรกในโลกที่สังเกตและค้นพบวิธีสู้กับโรคฝีดาษที่เมื่อติดเชื้อจนเกิดเม็ดมีหนองขึ้นบนส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไข้ขึ้นสูง ระบบทำงานของร่างกายล้มเหลว ฯลฯ แล้วโอกาสรอดนั้นมีไม่มากนัก

          อย่างไรก็ดีคนจีนพบว่าคนที่รอดตายมาพร้อมกับแผลเป็นมีรอยปรุบนใบหน้าและลำตัวแล้วจะไม่ติดโรคนี้อีกไม่ว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคนี้เพียงใดก็ตาม ดังนั้นจึงเอาหนองจากแผลคนที่เป็นชนิดไม่รุนแรงมากมาใส่แผลสดของคนที่ยังไม่เคยเป็น บางคนก็ตายจากการเป็นโรคฝีดาษ แต่ส่วนใหญ่รอดชีวิต และดูเหมือนจะมีภูมิต้านทานเหมือนกับคนที่เคยเป็นโรคมาแล้วจริง ๆ

          การกระทำเช่นนี้ที่เรียกกันว่า “variolation” ลามเป็นไฟไหม้ป่า จากเอเชียสู่ตุรกีซึ่งทูตอังกฤษประจำประเทศนี้และภรรยาเกิดความเลื่อมใส ภรรยาของทูตคือ Lady Mary Wortley Montague จึงทำวิธีนี้กับลูกของเธอ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Inoculation ซึ่งหมายถึงการจงใจรับเอาเชื้อมาเพื่อให้ เป็นโรค เมื่อเห็นว่าวิธีนี้ประสบความสำเร็จจึงแพร่กระจายไปยังชนขั้นสูงของอังกฤษ

          ถึงแม้วิธีนี้จะมีความเสี่ยงอยู่มากแต่คนส่วนหนึ่งก็พร้อมที่จะเสี่ยงมากกว่านั่งพับเพียบพนมมือรอโรคฝีดาษ ซึ่งโอกาสตายหรือรอดมาอย่างหล่อหรือสวยเหมือนเดิมมีน้อยมาก ในทศวรรษ 1790 หมอหนุ่มชาวอังกฤษคือ Edward Jenner ก็เป็นผู้ทำให้เกิดฝันดีมากกว่าฝันร้ายหลายเท่าตัวนัก

          หมอผู้นี้สังเกตเห็นว่าสาว ๆ จำนวนมากที่ทำงานรีดนมวัวมีหน้าตาหมดจดไร้รอยแผลเป็นจากโรคฝีดาษ เขาเดาว่าพวกนี้คงเคยเป็นโรค cowpox หรือโรคฝีดาษวัวซึ่งมีอาการเบาบางกว่าโรคฝีดาษจริงเป็นอันมาก ดังนั้นจึงเอาลูกชายคนสวน (ไม่ใช่ลูกตัวเองดังเรื่องเล่าเพราะการเอาลูกคนอื่นมาเสี่ยงน่าจะเป็นไอเดียที่ดีกว่า) ชื่อ James Phipps มาทดลอง

          เขาเอาหนองจากแผลที่เป็นโรค cowpox มาใส่แผลสดของ James หลังจากนั้น 2-3 อาทิตย์ เขาจงใจให้ James สัมผัสกับเชื้อโรคฝีดาษ ผลปรากฏว่าถึงแม้จะทดลองอีกหลายครั้งเขาก็ไม่เป็นโรคฝีดาษ Jenner สามารถโน้มน้าวให้ทางการอังกฤษเห็นว่าการจงใจให้สัมผัสกับเวอร์ชั่นของโรคที่ไม่มีพิษภัยคือการป้องกันได้สำเร็จ นับแต่นั้นเป็นต้นมานวตกรรม vaccination ก็เกิดขึ้นในโลก มีการค้นคว้าวิจัยเรื่องโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกมากมายเพื่อใช้วิธีนี้ป้องกันโรคอย่างได้ผล

          vaccination ทำงานได้ผลก็เพราะร่างกายของเรามีระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายรับเอา pathogen (เชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรค) เข้ามาในร่างกายก็เกิดปฏิกิริยาผลิตโปรตีนออกมาเป็นระลอกซึ่งเรียกว่า antibodies ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของแต่ละเชื้อโรค

          ร่างกายใช้เวลาไม่มากนักที่จะผลิต antibodies ที่ตรงกับเชื้อโรคนั้นโดยร่างกายอาจต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการของโรคก่อนที่จะสามารถตั้งตัวลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ ในที่สุดถ้าสู้ได้เชื้อโรคนั้นก็จะถูกทำลายและร่างกายฟื้นตัว ในเวลาต่อมาหากร่างการประสบกับเชื้อโรคตัวนั้นอีก คราวนี้ antibodies ก็พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นอย่างรวดเร็วและกำจัดเชื้อโรคนั้นก่อนที่มันจะพัฒนาไปไกล

          วัตถุประสงค์ของ vaccination ก็คือการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันพร้อมที่จะผลิต antibodies ที่เหมาะสมออกมาโดยใช้วิธีทำให้ร่างกายประสบกับเชื้อโรคที่ตายแล้วหรืออ่อนแอ หรือเป็นส่วนหนึ่งของเวอร์ชั่นอ่อนของเชื้อโรคนั้น เหล่าบรรดาเชื้อโรคไร้พิษภัยเหล่านี้จะไปกระตุ้นการผลิต antibodies ออกมาแต่ไม่ก่อให้เกิดโรคนั้น ๆ

          เคล็ดลับของ vaccination ก็คือการค้นพบวัคซีนที่จะไปกระตุ้นให้เกิดการผลิต antibodies ที่ถูกต้องสอดคล้องกับเชื้อโรคนั้น ปัจจุบันเราสู้กับโรคติดเชื้อได้ดี แต่กำลังเผชิญศึกหนักกับสิ่งที่เรียกว่า NCD (non-communicable disease) ซึ่งประกอบด้วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน ฯลฯ รวมกันฆ่าคนทั้งหมดประมาณร้อยละ 80 ของจำนวนการตายทั่วโลกในปัจจุบันในแต่ละปี

ความเป็นพลเมืองและหน้าที่พลเมือง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
21 มิถุนายน 2559

          เมื่อสมัย 30-40 ปีก่อนเราเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่เราต้องทำในฐานะพลเมืองของประเทศ ทุกวันนี้วิชานี้ไม่มีอีกแล้วแต่ไปสอดแทรกอยู่ในวิชาอื่น ๆ อย่างไม่จุใจ และไม่แทงเข้าไปในใจของนักเรียน การขาดวิสัยทัศน์เช่นนี้ทำให้ผู้ใหญ่และเยาวชนของเรากระทำสิ่งต่าง ๆ ที่ส่งผลให้บ้านเมืองของเรามีปัญหาในหลายเรื่องในปัจจุบัน

          วิชาหน้าที่พลเมืองกล่าวถึงหน้าที่ซึ่งพลเมืองคนหนึ่งต้องทำเพื่อการดำรงอยู่และความมั่นคงของชาติ เช่น เป็นผู้รู้จักหน้าที่ของตน รับผิดชอบ ไม่ทำผิดกฎหมาย รู้จักสิทธิและหน้าที่ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ อย่างไรก็ดีในโลกปัจจุบันวิชาหน้าที่พลเมืองถูกขยายให้กินความกว้างขวางขึ้นเพื่อสอดรับกับยุคสมัยจนกลายเป็นวิชาความเป็นพลเมือง

          เด็กและเยาวชนของประเทศพัฒนาแล้วจะรู้จักวิชาความเป็นพลเมืองเป็นอย่างดีเพราะประเทศเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1939-1945) มีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 60 ล้านคน การทบทวนประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าประเด็นความเป็นพลเมืองมีส่วนอย่างสำคัญในการช่วยให้เกิดเหตุการณ์เลวร้าย และไม่มีความพยายามจะหยุดยั้งมันด้วย

          “ความเป็นพลเมือง” ที่ว่านี้คืออะไร ขอยกตัวอย่างให้เห็นก่อนที่จะสรุปในตอนท้าย

          เยอรมันเป็นประเทศที่ก่อสงครามโลกถึงสองครั้ง การไม่เห็นว่าคนเท่าเทียมกัน เช่น เห็นว่าคนยิว ยิปซี คนโปแลนด์ คนรัสเซีย คอมมูนิสต์ โซเชียลลิส ตลอดจนคนที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างจากตนเป็นคนที่ต่ำต้อยกว่าอย่างน่ารังเกียจ สมควรถูกควบคุม กวาดล้าง และทำลาย และเมื่อฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีทำสิ่งเหล่านี้ คนเยอรมันส่วนใหญ่ที่เห็นดีเห็นงามตามด้วยจึงไม่ขัดขวาง

          การไม่ยอมรับและไม่เคารพความแตกต่างตลอดจนการไม่เคารพสิทธิของคนเหล่านี้ เช่นยึดทรัพย์ จับตัวไปคุมขังในค่ายกักกันโดยพลการ บุกยึดครองประเทศอื่น ฯลฯ กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมโดยประชาชนสนับสนุนหรือไม่ก็เงียบเฉย

          ทั้งหมดเหล่านี้คือการขาดความเป็นพลเมือง เป็นเชื้อปะทุและเชื้อเพลิงให้เกิดการฆ่าฟันกันครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง น้ำตาท่วมหัวใจซึ่งแตกสลาย

          หลังสงครามโลกครั้งที่สอง การสร้างความเป็นพลเมือง หรือสร้างกำลัง (พละ) ของเมืองจึงเป็นส่วนสำคัญของการศึกษาของเยาวชนเยอรมัน เด็กถูกสอนให้รู้ว่าตนเองเป็นเจ้าของประเทศและเจ้าของชีวิตของตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่อยู่ใต้การครอบงำของใคร เคารพความเสมอภาคโดยเห็นคนในแนวระนาบไม่ใช่แนวดิ่ง ยอมรับความแตกต่างและเคารพผู้อื่นที่แตกต่างจากตนเอง เคารพสิทธิของผู้อื่นโดยไม่ใช้สิทธิเสรีภาพของตนไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น รับผิดชอบต่อสังคมโดยไม่ใช้สิทธิเสรีภาพตามอำเภอใจ และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของสังคม และสุดท้ายก็คือเข้าใจความหมายของประชาธิปไตย และการปกครองโดยกฎหมาย เคารพกติกา มีส่วนร่วมในการเมืองการปกครอง

          เด็กและเยาวชนที่เติบโตในกรอบของความเป็นพลเมืองจะไม่ขี่รถแว้นท์ เปิดเพลงในรถดังเผื่อแผ่ผู้อื่น ไม่ทิ้งขยะและน้ำเสียจากบ้านเรือนลงคลองสาธารณะ ไม่วางกระเป๋าบนเก้าอี้สาธารณะข้างตัวเองในขณะที่มีคนไม่มีที่นั่ง ไม่ตักอาหารบุฟเฟ่ต์อย่างไม่คำนึงถึงคนที่ยังไม่ได้ตัก ไม่ชกต่อยหรือ ข่มเหงผู้อื่นเพราะเป็นการไม่เคารพสิทธิผู้อื่น ยอมรับคนที่แตกต่างจากตนไม่ว่าจะเป็นเพศ ความพิการของร่างกาย หน้าตาเผ่าพันธุ์ หรือคนที่คิดแตกต่างจากตน ฯลฯ

          คนในประเทศยุโรปและอเมริกาเหนือมีความเป็นพลเมืองสูง ในยุโรปเหนือเช่นแถบสแกนดิเนเวียการชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นเจ๊กจีน แขก ผิวดำ ฯลฯ นั้นเป็นคดีอาญา อีกทั้งการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นที่ยอมรับอย่างยิ่งในบริเวณนี้ของโลก

          การเรียกคนว่าไอ้บอด ไอ้เป๋ ไอ้เตี้ย หรือตราหน้าว่าเป็นคนจน คนขี้เกียจ คนต่ำกว่าเรา คนชั้นต่ำ ฯลฯ คือการขาดความเป็นพลเมือง เช่นเดียวกับการเอาเก้าอี้มาวางกันหน้าร้านหรือบ้านซึ่งอยู่ริมถนนสาธารณะ การตัดหน้ารถ แซงรถอย่างขาดมารยาท

          “ความเป็นพลเมือง” เป็นปัจจัยสำคัญของการมีสังคมสันติสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำมาหากินได้อย่างเต็มที่ ช่วยเสริมให้สังคมมีความสันติยิ่งขึ้น และเมื่อมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่แล้ว บ้านเมืองก็น่าอยู่ยิ่งขึ้น

          อย่างไรก็ดีความเป็นพลเมืองมิใช่สิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการฝึกฝนให้เกิดความเป็นพลเมืองด้วยการศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง (Civic Education)

          การสอนความเป็นพลเมืองในห้องเรียนด้วยการบรรยายความหมายพร้อมยกตัวอย่างเป็นสิ่งที่ดีแต่ไม่เพียงพอ เยาวชนต้องเรียนด้วยตนเองผ่านการลงมือปฏิบัติ วิธีการที่ใช้กันมากก็คือให้เยาวชนได้ศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมด้วยตนเองและกลุ่มเพื่อน เช่น ศึกษาปัญหาขยะว่าอะไรเป็นสาเหตุ ลักษณะและความรุนแรงของปัญหา การคิดแก้ไข ฯลฯ ซึ่งเมื่อได้ลงไปศึกษาของจริงแล้วก็มักพบว่าตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุและการดำรงอยู่ของปัญหา ทางออกก็มักได้แก่การที่ตนเองต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและรับผิดชอบต่อสังคม

          เมื่อมาถึงจุดนี้จึงสรุปได้ว่าความเป็นพลเมืองหรือการที่คนจะกลายเป็นพลเมืองได้ประกอบด้วย (1) การตระหนักว่าตนเองเป็นเจ้าของประเทศ (2) เคารพความเสมอภาค (3) ยอมรับความแตกต่างและเคารพผู้อื่นที่แตกต่างจากตนเอง (4) เคารพสิทธิผู้อื่น กล่าวคือไม่ใช้สิทธิเสรีภาพของตนไปละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น (5) ตระหนักว่าตนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม ต้องรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช้สิทธิเสรีภาพตามอำเภอใจและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และ (6) เข้าใจความหมายของประชาธิปไตยและการปกครองโดยกฎหมาย เคารพกติกา และมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครอง

          “ความเป็นพลเมือง” ฝึกฝนได้ในครอบครัวและโดยครอบครัว เมื่อบ้านเมืองเป็นของ ทุกคน ถ้าไม่สามารถดูแลสิ่งที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกันได้แล้ว ลองจินตนาการดูว่าสังคมและชีวิตของเราจะวุ่นวายเพียงใด

หากเข้าใจถูกต้อง ชีวิตก็ไม่เดือดร้อน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
14 มิถุนายน 2559

          “จงใช้ชีวิตราวกับว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิต” “ผมก็เป็นคนดีในบางเรื่องและเลวในบางเรื่องเหมือนคนทั่วไป” “ต้องซื้อของมีราคาให้ตัวเองเป็นรางวัล” “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” ฯลฯ ประโยคเหล่านี้ฟังดูดีแต่ถ้าไม่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว อาจเกิดความเสียหายได้ร้ายแรง

          ถ้าจำไม่ผิดมหาตมะ คานธี เป็นคนกล่าวประโยคแรกที่ว่า “จงใช้ชีวิตราวกับว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิต” คนทั่วไปจะเห็นว่าเมื่อมหาบุรุษกล่าวไว้ก็ต้องเป็นจริง แต่ถ้าเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องไตร่ตรองก่อน จะเชื่อ ไม่ใช่เชื่อเพราะคนเขาเชื่อตาม ๆ กันมา

          ถ้าเชื่อประโยคนี้ก็ไม่ต้องสีฟัน ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องไปทำงาน ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องออมเงิน มีเท่าใดก็ใช้ให้หมดเพราะพรุ่งนี้ก็ตายแล้ว อย่างไรก็ดี ถ้าทำเช่นนี้จริงในเวลาไม่นานเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ตาย ชีวิตก็จะยุ่งเหยิงมาก คำพูดน่าฟังมากนั้น ฟังดูแล้วสุดเก๋ แต่เมื่อพิจารณาจริง ๆ แล้วมันปฏิบัติไม่ได้ เข้าใจว่ามหาตมะ คานธี มิได้หมายความตามนี้ หากเตือนให้เตรียมตัวเสมออย่างไม่ประมาท เพราะคนเราจะตายเมื่อใดก็ไม่รู้

          เมื่อผู้เขียนได้ยินคนรุ่นปัจจุบันพูดประโยคที่ว่า “ผมก็เป็นคนดีในบางเรื่องและเลวในบางเรื่องเหมือนคนทั่วไป” แล้วรู้สึกใจหาย ไม่รู้ว่าเขาคิดจะเป็นคนเลวเรื่องอะไรและดีเรื่องอะไร น่ากลัวมากหากเชื่ออย่างนี้จริง ๆ เพราะความเลวมันมีหลายระดับและก่อให้เกิดผลเสียด้วยความรุนแรงที่ไม่เหมือนกัน ประการสำคัญความคิดของแต่ละคนและประสบการณ์ชีวิตไม่เหมือนกัน จนอาจเห็นว่าการหลอกลวงต้มตุ๋นคนอื่นหรือการทุจริตในหน้าที่ (ในบางครั้ง) เป็นความเลวเพียงเล็กน้อย ส่วนความดีคือการจูงเด็กข้ามถนน

          อีกคนอาจเห็นว่าความเลวคือการรับศีลห้าในตอนเช้าแล้วกินเหล้าในตอนเย็น ส่วนความดีคือการไม่รังแกและเบียดเบียนคนอื่นที่อ่อนแอหรืออ่อนด้อยกว่า คำจำกัดความที่ไม่เหมือนกันของคนเพียงสองคนก็ทำให้โลกยุ่งแล้ว และเกิดความเสียหายในระดับที่ต่างกัน

          ผู้เขียนอยากบอกเขาว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องเป็นคนดีตลอดเวลา มีธรรม ประจำใจ ส่วนที่บอกว่าเลวได้บ้างเหมือนคนทั่วไปนั้นหมายถึงการละเมิดบางเรื่องที่ไม่ขัดกับหลักธรรมอย่างร้ายแรงและไม่ตั้งใจ เช่น ขับรถอย่างนักเลงขาดน้ำใจ ขัดใจพ่อแม่ในบางเรื่อง ระเบิดอารมณ์กับคนในครอบครัว ฯลฯ ข้อความนี้มิใช่ใบอนุญาตให้ทำความชั่วร้ายแรงในบางครั้ง และในเวลาอื่นก็ละเว้นและทำดีอย่างอื่น

          ความชั่วกับความดีหักลบกันไม่ได้ ดังเช่นบาปกับบุญ ถ้ามันหักกันเป็นรายการในบัญชีได้แล้ว โลกจะปั่นป่วนมาก จะมีคนที่ฆ่าคนอื่นแล้วทำบุญกรวดน้ำไปให้ผู้ตายหรืออุปการะลูกเขาตลอดชีวิต

          “ต้องซื้อของมีราคาให้ตัวเองเป็นรางวัล” มีรากมาจากตะวันตก แต่คนในภูมิภาคนี้เขามีวัฒนธรรมการใช้เงินมาก่อนพวกเรา เพราะเขารวยและเรียนรู้มาก่อนเราร้อยถึงสองร้อยปี การซื้อของดี ๆ ให้ตัวเขาเองจึงอยู่ในขอบเขตไม่ทำให้เขาเสียฐานในการออมเงินจนเดือดร้อนในอนาคต แต่สำหรับคนไทยเราซึ่งส่วนใหญ่ใช้เงินไม่เป็น (ที่เราเห็นเขารูดการ์ดรูปแพะและแกะกันอยู่ทุกวันนั้นมิได้หมายความว่าใช้เงินเป็นในความหมายนี้)

          คนที่ “กินอยู่เกินฐานะ” คือพวกใช้เงินไม่เป็น ถ้าจะใช้เงินเป็นแล้วต้อง“กินอยู่ต่ำกว่าฐานะ” ซึ่งหมายถึงว่าสามารถกินอยู่ตามฐานะการเงินที่ตัวเองมีได้ แต่ก็ไม่ใช้จ่ายขนาดนั้นดังนั้นจึงมีเงิน เหลือเก็บ ในทางตรงกันข้ามถ้า “กินอยู่เกินฐานะ” ก็หมายถึงว่าต้องหาส่วนที่ขาดไปเพราะมีเงินไม่พอด้วยการเป็นหนี้ คนไทยที่ให้รางวัลตัวเองด้วยของดีราคาแพง จึงมีโอกาสอยู่ในประเภทหลังนี้เสียแหละมาก

          “การให้รางวัลตัวเอง” ไม่จำเป็นต้องเป็นของดีมีราคา การไม่ใช้จ่ายเงินซื้อของเหล่านี้สำหรับบางคนในบางฐานะแล้วอาจเป็นรางวัลให้ตัวเองด้วยซ้ำ กล่าวคือเมื่อไม่เป็นหนี้ก็ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยจนทำให้ของมีราคาสูงขึ้น และเมื่อไม่ซื้อ เงินที่อาจใช้ซื้อนั้นก็กลายเป็นเงินออมอันนำมาซึ่งการลงทุนและการได้รับผลตอบแทนในอนาคตโดยไม่ต้องทำงานให้ร่างกายสึกหรอ

          สำหรับ “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” นั้นคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจเอาเองว่าหมายถึงทำทั้งความดีและความชั่วปนกันไปได้เพราะเป็นเรื่องของชีวิตมนุษย์ แต่ในความหมายที่แท้จริงนั้นหมายถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ถึงแม้จะทุกข์แสนสาหัสแต่ก็สามารถกลับมามีความสุขได้ และถึงแม้จะตกต่ำแต่ก็สามารถกลับมารุ่งเรืองได้อีกอย่างอาจสลับกันไปได้ในอนาคต

          สุภาษิตไทยบทนี้มิได้สร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำความชั่วและความดีสลับกันแต่ประการใด ดังกล่าวแล้วความชั่วและความดีหักลบกันไม่ได้ ความชั่วนำมาซึ่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัวในเวลาต่อไป ส่วนความดีนั้นรังแต่จะทำให้เกิดความสุข ความภาคภูมิใจ และความสงบราบรื่น สองสุดโต่งนี้ผสมปนเปกันไม่ได้อย่างไร ความดีกับความชั่วก็ปนกันไม่ได้ฉันนั้น

          ประโยคเหล่านี้มีมานานแล้ว หากแต่การตีความมักแปรเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคมในยุคนั้น ๆ ในปัจจุบันความสับสนในเรื่องว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดเกิดขึ้นตลอดเวลา และการตีความว่าความดีและความชั่วไปด้วยกันได้เพื่อความสะดวกในการดำเนินชีวิตซึ่งอุดมด้วยบริโภคนิยมทำให้ความหมายผิดเพี้ยนไป

          สังคมต้องช่วยกันประคับประคองคนรุ่นใหม่ให้ดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่นภายใต้สิ่งแวดล้อมที่สับสนและซับซ้อนซึ่งสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยได้ก็คือการเข้าใจความหมายของประโยคเหล่านี้อย่างถูกต้องและลึกซึ้ง

อาชญากรนาซีคนสุดท้าย

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
7 มิถุนายน 2559

          เวลาเป็นสิ่งมีประโยชน์เพราะเป็นยารักษาความเศร้าจากการสูญเสีย ความผิดหวังและการอกหักได้อย่างชะงัด อย่างไรก็ดีเวลาอาจเป็นตัวสนับสนุนความอยุติธรรมก็ได้เช่นกัน ดังในกรณีของการนำอาชญากรขึ้นศาลเพื่อพิพากษาให้รับโทษจากความชั่วร้ายที่ได้ทำในอดีตเมื่อกว่า 70 ปีมาแล้ว

          เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา Reinhold Hanning อายุ 94 ปี อดีตผู้คุมค่ายกักกันนรกที่นาซีสร้างขึ้นคือ Auschwitz ถูกนำตัวขึ้นศาลในข้อหาว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการฆาตกรรมหมู่ผู้คนจำนวน 170,000 คน ระหว่างเดือนมกราคม 1943 ถึงมิถุนายน 1944 ที่เขาทำงานอยู่

          Hanning เป็นทหารนาซีหน่วยพิเศษที่เรียกว่า SS ซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของทุกคนในเยอรมันนี และประเทศยุโรปอื่น ๆ ที่กองทัพนาซียึดครอง ประวัติของเขาที่มีการเปิดเผยก็คือเมื่ออายุได้ 18 ปีก็อาสาเข้าเป็นทหารของพรรคนาซี Waffen SS หลังจากออกรบในสงครามอยู่หลายปีจนบาดเจ็บจากระเบิด ก็ได้รับการเลื่อนขั้นให้มาทำงานเบาที่ค่าย Auschwitz โดยรับหน้าที่เป็นผู้คุมหอคอยของค่าย

          Auschwitz มิได้หมายถึงค่ายกักกันเพียงค่ายเดียวที่กักขังนักโทษระหว่าง ค.ศ. 1940 ถึง 1945 หากเป็นกลุ่มของคุกซึ่งอยู่ในประเทศโปแลนด์โดยประกอบด้วย Auschwitz I (ค่ายแรก) Auschwitz II – Birkenau และ Auschwitz III – Monowitz และค่ายกักกันย่อยๆอีก 45 แห่ง

          ผู้ที่ถูกกักขังก็ได้แก่ยิวจากเยอรมันและประเทศที่เยอรมันยึดครองพวกยิบซี (Romani) / คนเชื้อสายสลาฟ / ชาวโปแลนด์ / นักโทษสงครามสหภาพโซเวียต / คนพิการ / ผู้เห็นตรงข้ามทางการเมือง เช่น คอมมูนิสต์ ฟาสซิสต์ ฯลฯ

          จำนวนผู้ถูกกักขังประมาณได้ยากเนื่องจากมีการเข้าและตายทุกวัน จากการฆ่าด้วยการรมกาซพิษเมื่อเดินทางมาถึงด้วยรถไฟจากหลายแดนไกล ตายจากการขาดอาหารและเจ็บป่วย มีประมาณการว่าที่ค่าย Auschwitz มีคนตายประมาณ 1.1-1.5 ล้านคนโดยมี SS ที่ทำงานดูแลจัดการทั้งฆ่า เผา และควบคุมดูแลอยู่ประมาณ 6,000-7,000 คน

          เมื่อบรรดาผู้ถูกจับเดินลงจากรถไฟเป็นทิวแถวก็จะมีนายทหาร SS เป็นคนคัดเลือกว่าจะเก็บใครไว้ทำงานในค่าย หรือเอาไปทดลองทางการแพทย์ หรือใครที่สมควรเอาไปห้องรมควันกาซเลย ครอบครัวทั้งหมดจะถูกแยกกัน บ้างก็ไปตาย บ้างก็อยู่รอด ส่วนใหญ่เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี และคนสูงอายุจะถูกฆ่าหมดเพราะถือว่าเป็นภาระ
แพทย์เยอรมันใช้คนเหล่านี้เป็นหนูทดลองยา ทดลองวิธีผ่าตัดรักษาพยาบาลใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ยากที่จะรอดออกมาเหมือนเดิม

          เมื่อกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตปลดปล่อยผู้ถูกกักขังค่าย Auschwitz ในเดือนมกราคม 1945 นั้น มีเหลืออยู่ประมาณ 60,000 คน และถึงแม้จะได้รับอิสรภาพแล้วก็ตายอีกหลายหมื่นคนเพราะต้องเดินเท้าฝ่าความหนาวและอาหารที่ขาดแคลนกลับบ้านของตน ค่ายกักกันอื่น ๆ อีกนับร้อยในประเทศที่เยอรมันยึดครองก็มีผู้รอดชีวิตมาไม่มาก

          หลังสงครามมีการคิดบัญชีกับทหาร SS ของ Auschwitz ที่ทำทารุณกรรมแต่ก็สามารถลงโทษได้เพียงร้อยละ 12 ของ 7,000 คน ที่เคยทำงาน ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะมีพยานที่ให้การหนักแน่นจำนวนมากก็ตาม

          ในเยอรมันนีนั้นเรื่องการลงโทษนาซีหลังสงครามเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากเพราะมีสมาชิกพรรคนาซีถึง 8 ล้านคน (ร้อยละ 10 ของประชากร) คนจำนวนมากเหล่านี้ก็กลับมาทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ หลังสงคราม หลังจากการตั้งศาลอาชญากรรมสงครามที่ Nuremberg ในปี1945 แล้ว ฝ่ายพันธมิตรก็มอบให้แต่ละประเทศดำเนินการเกี่ยวกับอาชญากรจากสงครามกันเอง

          หน่วยงานพิเศษของเยอรมันนีดำเนินการเอาผิดกับผู้ประกอบอาชญากรรมที่ Auschwitz ได้เพียง 50 คน (ประเทศอื่น ๆ ก็ดำเนินการด้วยจนตัวเลขขึ้นไปถึงร้อยละ 12 ได้) ทั้งนี้เนื่องจากศาลต้องการหลักฐานที่ชัดแจ้ง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปพยานแก่ตายเป็นจำนวนมากขึ้น คดีเหล่านี้จึงเงียบไปทุกที พวกเคยก่อกรรมทำเข็ญไว้ก็แอบอยู่ในประเทศต่อไป บ้างก็อพยพไปอยู่บราซิล อาเยนดินา และประเทศอื่น ๆ ในอเมริกาใต้อย่างมีความสุข

          จุดเปลี่ยนที่ทำให้สามารถลากคออาชญากรเหล่านี้มาลงโทษได้มากขึ้นเกิดขึ้นหลังปี 2000 เมื่ออัยการเยอรมันเกิดแนวคิดฟ้องทุกคนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมครั้งใหญ่ฆ่าล้างเผาพันธุ์ของศตวรรษ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรก็ถือว่าเป็นแขนขา มีส่วนร่วมในอาชญากรรม

          กรณีแรกที่ทำได้สำเร็จภายใต้กลยุทธ์ใหม่นี้ก็คือศาลเยอรมันนีได้ลงโทษ John Demjanjuk ซึ่งเป็นผู้คุมชาวยูเครนทำงานที่ค่าย Sobibor ในโปแลนด์ รายต่อมาคือ Oskar Groening อายุ 94 ปี จำคุก 4 ปี ในฐานร่วมสมคบฆ่าคนตาย 300,000 คน ที่ Auschwitz คนนี้เป็น SS ที่มีชื่อเล่นว่า “book-keeper of Auschwitz” กล่าวคือเป็นคนทำหน้าที่นับเงินสดที่เอามาจากผู้ที่ส่งเข้าห้องกาซรมควันและผู้ถูกคุมขัง

          Reinhold Hanning คือรายที่สามที่คาดว่าน่าจะสังเวยกลยุทธ์ใหม่นี้ ถึงแม้จะมีพยานในวัยใกล้ 90 ปี และ 80 กว่าปี 3-4 คน มาให้การปรักปรำ แต่ทุกคนก็จำเขาไม่ได้ว่าทำอะไร เพียงแต่มีหลักฐานว่าเขาทำงานที่นี่แน่นอน และเมื่อเป็น “กลไกของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ก็ย่อมมีความผิดไปด้วย

          อัยการของเยอรมันของหน่วยนี้บอกว่ามีอีก 2 รายที่คาดว่าจะดำเนินการอย่างไรก็ดีมีหนึ่งในนั้นเสียชีวิตไปแล้ว และอีกหนึ่งคนศาลตัดสินว่าไม่อยู่ในสภาพที่จะนำขึ้นศาลได้ ดังนั้น Hanning จึงน่าจะเป็นนาซีอาชญากรจากสงครามรายสุดท้าย

          หลายคนคงสงสัยว่าผู้ต้องหาก็อายุ 94 ปีแล้ว ไม่น่าจะอยู่ในโลกรับโทษไปได้อีกนาน และมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วถึง 70 กวราปี จะอภัยให้คุณปู่คุณชวดกันไม่ได้เลยหรือ

          ในเรื่องนี้ประเด็นมันไปไกลกว่าเรื่องอายุและการให้อภัย อาชญากรรมที่นาซีทำไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตมาก เป็นบทเรียนที่ชาวโลกต้องไม่ลืม และต้องร่วมกันทำให้แน่ใจได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าสิ่งเลวร้ายที่ใครก็ตามทำไปจะถูกคิดบัญชีเสมอไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ผู้คนก็จะเกรงกลัวและกล้าทำน้อยลงในอนาคต ถ้าชาวโลก “เอาจริง” เช่นนี้ ก็จะเป็นการทำตามคำขวัญที่ว่า “never again”

          เรื่องคอรัปชั่นในบ้านเราถ้าต้องการล้างให้สิ้นซากก็ต้องทำแนวนี้ คือแค่เขกเข่า หรือตีมือ และเลิกรากันไปไม่พอ ถูกให้ออกจากราชการแล้วต้องยึดทรัพย์ให้หมด และไม่ใช่เฉพาะที่ตนมีเท่านั้นในตอนที่ถูกลงโทษ ต้องไปดูย้อนหลังว่าฝากหรือโอนให้แก่ใครบ้าง และตามเอากลับมาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น เรียกได้ว่าเล่นกันไม่เลิก ไม่ให้มีที่ยืนและที่นอนเลย จึงจะถูกต้องและยุติธรรม

          ฮิตเลอร์ใช้กลไกพรรคนาซีก่อสงครามโลกจนปั่นป่วนไปทั่วโลก มีคนตายรวมทั้งสิ้นไม่ว่าทหารหรือพลเรือนไม่ต่ำกว่า 60 ล้านคน หรือร้อยละ 3 ของประชากรโลกในปี 1940 ซึ่งเท่ากับ 2.3 พันล้านคน เฉพาะยิวที่ตายด้วยมือนาซีนั้นไม่ต่ำกว่า 6 ล้านคน ซึ่งเท่ากับ 2 ใน 3 ของยิวที่อยู่อาศัยในยุโรปทั้งหมด

          Hanning ไม่สารภาพว่าตนเองฆ่าใครที่ Auschwitz แต่บอกว่าเสียใจและขอโทษ เขาตระหนักดีว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ Auschwitzเพราะเตาเผาทำงานตลอดเวลาและได้กลิ่นเนื้อคนไหม้ เขารู้สึกละอายใจที่เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาชญากรรมขนาดใหญ่เช่นนี้ และละอายใจที่เห็นความ อยุติธรรมเช่นนี้แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร

          ข้อความสุดท้ายนี้ไม่รู้ว่าเขาประชดคนเยอรมันในวัยใกล้เคียงกับเขาหรือเปล่า เพราะหลักฐานระบุชัดเจนขึ้นทุกทีว่าการทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้โดยฮิตเลอร์ และพรรคพวกนั้น คนเยอรมันโดยทั่วไปทราบดีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกันเลย

จาก “นายกเทศมนตรี” สู่ “ประธานาธิบดี”

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
31 พฤษภาคม 2559 

FILE – In this Wednesday, Dec. 20, 2017, file photo, Philippine President Rodrigo Duterte addresses the troops during the 82nd anniversary celebration of the Armed Forces of the Philippines in suburban Quezon city northeast of Manila, Philippines. Human rights groups say the Philippine president’s recent remarks about troops shooting female communist rebels in the genitals to render them “useless” can encourage sexual violence and war crimes. (AP Photo/Bullit Marquez, File)

          ฟิลิปปินส์มีประธานาธิบดีคนใหม่ที่เป็น “ม้ามืด” แบบ “ไม่มืด” และมีลักษณะประจำตัวที่แตกต่างจากคนในระดับผู้นำอื่น ๆ ค่อนข้างมาก ตัวอย่างเช่นบอกว่าหากได้เป็นประธานาธิบดีจะฆ่า โจรที่ปล้นฆ่า ผู้ค้ายา อาชญากรฆ่าข่มขืน ฯลฯ ประมาณ 100,000 คน และจะเอาศพโยนลง อ่าวมะนิลา และฝากบอกไปถึงคนเหล่านี้ด้วยว่าระวังให้ดี จะโดนฆ่าแน่ ๆ ยังมีที่ดุเดือดเผ็ดมันมากกว่านี้อีก

          ชื่อของเขาคือ Rodrigo Duterte โดยผู้คนเรียกชื่อเล่นทางการเมืองของเขาว่า Digong และล่าสุดสื่อตั้งชื่อให้เขาใหม่ว่า “Duterte Harry” ในอดีตสื่อต่างประเทศในปี 2002 ตั้งชื่อเขาว่า “The Punisher” (นักปราบ) ชื่อดุเช่นนี้มีความเป็นมาและมีส่วนอย่างสำคัญกับการได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีด้วยคะแนนร้อยละ 39 โดยคนที่รองลงไปได้คะแนนร้อยละ 23 เท่านั้น

          Digong เป็นนายกเทศมนตรีของ Davao City ในเกาะมินดาเนา เมืองนี้มีประชากรประมาณ 500,000 คน เขาได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีติดต่อกันมา 22 ปี จากเมืองที่มีอาชญากรรมชุกชุมจนถือกันว่าเป็นเมืองอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เขาทำให้กลายเป็นเมืองปลอดภัยที่สุดของโลก

          วิธีการของเขาก็คือ “วิสามัญฆาตกรรม” บรรดาโจรทั้งหลายไปเรียบด้วยหน่วยกิจกรรมพิเศษของเขา องค์กรต่างประเทศประมาณว่าเขาสั่งฆ่าไป 700 คน แต่เขาบอกว่าตัวเลขจริงคือ 1,700 คน นอกจากใช้วิธีที่ผิดกฎหมายแต่ไม่มีใครขัดขวางเพราะเห็นดีเห็นชอบด้วยแล้ว เขาห้ามดื่มเหล้านอกบ้านหลังเวลา 4 ทุ่มถึงตี 4 ห้ามพ่อแม่ปล่อยวัยรุ่นออกนอกบ้านหลัง 4 ทุ่ม บังคับให้ติดกล้องซีซีทีวีทุกแห่ง ห้ามปรามการพนัน ปราบปรามการเสพยา สร้างงาน ฯลฯ เรียกได้ว่าทำทุกอย่างจนอาชญากรรมลดหายไป

          ประชาชนชอบใจเพราะเขาไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะโดยนิสัยเขาเป็นคนออกนักเลงอยู่แล้ว ตอนเป็นเด็กถูกไล่ออกจากโรงเรียนถึง 2 ครั้ง และแม้แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเขาก็ถูกห้ามเข้าพิธีรับปริญญาเพราะไปยิงเพื่อนที่พูดจาดูถูก

          ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาได้รับเลือกก็คือผลงานเก่าและความสามารถในการหาเสียง ซึ่งกติกากำหนดให้หาเสียงกันได้นานถึงเกือบ 5 เดือน เมื่อตอนต้นการหาเสียง Duterte หรือ Duterte Harry (ชื่อที่สื่อเรียกเพราะเขาสั่งฆ่าโดยไม่ต้องให้ลำบากขึ้นศาลเหมือนพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง Dirty Harry เมื่อหลายปีก่อน) มีคะแนนนิยมน้อยมาก ตัวเก็งคือ Grace Poe (ลูกสาวของนักอ่านข่าวดังในโทรทัศน์ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเกือบได้เป็นประธานาธิบดี) กับ Manuel Roxas (หลานปู่ของประธานาธิบดีคนแรกของฟิลิปปินส์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง และทายาททางการเมืองของประธานาธิบดี Aquino คนปัจจุบันที่ลงสมัครอีกไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นได้วาระเดียว)

          คะแนนเสียงเขาดีขึ้นเป็นลำดับจนแซงสองคนไปอย่างขาดลอย ชื่อเสียงของการเป็นคน เอาจริง ไม่กลัวใคร มีผลงานปราบอาชญากรรม ไม่ใช่ลูกหลานของครอบครัวเศรษฐีที่ครองอำนาจการเมืองกันมายาวนานในประเทศนี้ ฯลฯ และเหนือสิ่งอื่นใด เขาพูดหาเสียงได้ตื่นตาตื่นใจ เล่าเรื่องตลกให้ผู้คนได้หัวเราะ มีคำพูดที่โดนใจ กล้าเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ถึงแม้จะไม่ได้พูดถึงนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ ๆ แต่เขาก็บอกถึงความตั้งใจที่จะปราบความยากจน ปราบคอรัปชั่น ลดความเหลื่อมล้ำของโอกาส ที่สำคัญที่สุดคือการแสดงออกถึงความจริงใจ และในที่สุดประชาชนก็เชื่อเขาถึงแม้เขาจะพูดจาหลายเรื่องที่ฟังไม่ได้ แต่ก็หลุดออกมาจากปากเพราะความมันส์ของการพูด

          เขาพูดเชิงตลกถึงกรณีข่มขืนและฆ่านักสอนศาสนาชาวออสเตรเลียในปี 1988 ว่าที่จริงแล้วน่าจะให้นายกเทศมนตรีคือเขาเป็นคนลงมือคนแรกเพราะเธอหน้าตาดี นอกจากนี้ก็ยังวิจารณ์สันตะปาปาที่มาเยือนฟิลิปปินส์ว่าเป็นต้นเหตุทำให้รถติด การพูดที่เกินเลยเช่นนี้ทำให้เขาต้องออกมาขอโทษขอโพย

          Duterte เล่าว่าสมัยเขาเป็นเด็ก เขาถูกพระละเมิดทางเพศ (เขากล้าระบุชื่อพระด้วยเพื่อให้เห็นว่าเป็นคนจริง) เขารับว่าเป็นคนเจ้าชู้มีหญิงและลูกหลายคน ถึงตอนแต่งงานแล้วก็วุ่นวายเรื่องผู้หญิงไม่หยุดจนต้องเลิกกับภรรยา ในขณะที่เขาหาเสียงในวัย 71 ปีเขามีสถานะเป็นโสด แต่ก็มีภรรยาและลูกนอกสมรส

          ภรรยาคนแรกเคยเป็นแอร์โฮสเตส มีเชื้อสายเยอรมัน แต่งงานกัน 25 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน ต่อมาอยู่กินกับพยาบาลและมีลูกสาวเป็นวัยรุ่นหนึ่งคน เขามีหลานทั้งหมด 8 คน ครึ่งหนึ่งเป็นมุสลิม และอีกครั้งหนึ่งเป็นคริสเตียน

          ถึงแม้ว่าเขาจะเติบโตเป็นคริสตัง (โรมันแคทอลิก) แต่ก็ไม่ใช่คนเคร่งศาสนา ไม่เคยเข้าโบสถ์มานานแล้ว ในเรื่องสุขภาพเขาบอกว่าทนทุกข์ทรมานจาก Buerger’s Disease ซึ่งทำให้เส้นเลือดที่แขนขาอักเสบซึ่งเชื่อว่านิสัยสูบบุหรี่ที่เรื้อรังมานานมีส่วนเป็นสาเหตุสำคัญ แต่เขาปฏิเสธข่าวลือว่าเป็นมะเร็งในลำคอในระยะแรก (การเปิดเผยเช่นนี้ประชาชนเห็นว่าเป็นความจริงใจ กล้าเปิดเผยสิ่งไม่ถูกต้องที่ตนกระทำ ตลอดจนเรื่องส่วนตัวอย่างแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น ๆ)

          ดูเผิน ๆ Duterte อาจเป็นที่น่ารังเกียจของผู้หญิงจำนวนหนึ่ง แต่ผลงานที่เขาได้ทำไว้ชี้ชัดว่าเขาให้ความเคารพสิทธิสตรี เขาเป็นเจ้าภาพหลักของ Beijing Women’s Conference ในปี 1995 จน Hillary Clinton ขอบคุณเขาบนเวที เขาสนับสนุนสิทธิของผู้หญิงในเมืองที่เขาเป็นนายกเทศมนตรี อีกทั้งเป็นผู้สนับสนุนสิทธิของผู้มีเพศสภาพและเพศกำเนิดไม่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง เขาเห็นด้วยกับการอนุญาตให้แต่งงานกันได้

          Duterte เป็นนักกฎหมาย จบจาก 2 มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงโดดเด่น แต่ด้วยความฉลาด การทำงานชนิดถึงลูกถึงคน (เขาขี่มอเตอร์ไซต์ตรวจงาน ตามโรงพักและหน่วยงานปราบอาชญากรรมในเวลาวิกาลอยู่สม่ำเสมอจนเป็นที่เลื่องลือในความเอาใจใส่และความรับผิดชอบ)

          เขาเป็นนักการเมืองท้องถิ่นแบบโบราณ (ถึงแม้จะเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่มีผลงานเด่นชัด) ผู้สร้างความประทับใจในเรื่องความปลอดภัย ความมีขื่อมีแปของบ้านเมืองให้ประชาชนในท้องถิ่น และด้วยผลงานนี้ประชาชนฟิลิปปินส์จึงเชื่อใจว่าเขาจะทำได้อีกครั้งในระดับชาติ

          งานในระดับประธานาธิบดีไม่ได้เกี่ยวพันแต่เฉพาะเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หากครอบคลุมไปถึงเรื่องระดับชาติ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ความมั่นคง ฯลฯ เราคงต้องดูกันต่อไปว่านายกเทศมนตรีจากเมืองเล็ก ๆ จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้ดีเพียงใด