เกาหลีกับความรู้สึกดี ๆ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 พฤศจิกายน 2556

          คนไทยไปเที่ยวเกาหลีกันมากมายถึงเกือบ 400,000 คนในปี 2012 เพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ทานอาหาร และ ช้อปปิ้ง แต่มีอีกหลายสิ่งที่เกาหลีแตกต่างจากประเทศอื่นอย่างน่าสนใจ วันนี้ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง

          เกาหลีเดิมเรียกตนเองในนามเกาหลีใต้เพื่อให้แตกต่างจากเกาหลีเหนือประเทศเพื่อนบ้านซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศเดียวกัน หลังสงครามโลกครั้งที่สองแผ่นดินที่เป็นคาบมหาสมุทรติดกับจีนและใกล้กับญี่ปุ่นมากถูกแบ่งยึดครองเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้อำนาจกองทัพสหภาพ โซเวียต อีกส่วนหนึ่งของกองทัพสหรัฐอเมริกา

          แต่ถึงแม้จะแบ่งเขตยึดครองกันแล้วก็ยังมีปัญหาสู้รบเพราะลูกพี่ทั้งสองฮึ่ม ๆ กันอยู่ ในที่สุดก็เกิดสงครามเกาหลีระหว่าง ค.ศ. 1950-1953 และสงบลงด้วยการแบ่งออกเป็นสองประเทศเด็ดขาดจากกัน

          สองประเทศแข่งขันกันในทุกด้านคล้ายกับต่างฝ่ายต่างต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบทุนนิยมของเกาหลีใต้กับระบบคอมมูนิสต์ของเกาหลีเหนือใครจะประสบความสำเร็จกว่ากัน เกาหลีเหนือนั้นรุกอย่างดุเดือดไม่เกรงใจใครแม้แต่ในปัจจุบัน แต่ใครชนะใครในเชิงเศรษฐกิจสังคมและการเมืองนั้นเป็นที่รู้กันดี

          เกาหลีใต้ปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 800,000 บาทต่อปี (มากกว่าไทย 5 เท่า) ส่วนเกาหลีเหนือ 16,000 บาทต่อปี เรียกว่าเทียบกันไม่ได้ อย่างไรก็ดีตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ความรู้สึกถูกคุกคามไม่เคยหมดไปจากใจของคนเกาหลีใต้ซึ่งปัจจุบันเรียกตัวเองว่าเกาหลีโดยไม่มีคำว่าใต้อีกต่อไปเพราะมั่นใจว่ามีเกาหลีเดียวเท่านั้นที่โลกรู้จัก

          จีนและญี่ปุ่นก็เป็นเพื่อนบ้านที่คุกคามเกาหลีมาตลอดในประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นนั้นยึดครองเกาหลีเป็นเมืองขึ้นอย่างสมบูรณ์ระหว่าง ค.ศ. 1910-1945 จีนนั้นก็ไม่เบา ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเกาหลีถูกรุกรานและถูกยึดครองเป็นเมืองขึ้น ในยุคสมัยใหม่จีนมีบทบาทสำคัญยิ่งในการสนับสนุนเกาหลีเหนือเพื่อเป็นตัวแทนในสงครามสู้รบกับโลกตะวันตก

          ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ คนเกาหลีจึงทำงานหนักเพื่อแข่งขันกับเพื่อนบ้านทั้งสามเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตอนเหตุการณ์เศรษฐกิจผันผวนในปี ค.ศ. 1996 ในภูมิภาคนี้ที่เรียกว่าต้มยำกุ้ง (ไม่ขอเอ่ยถึงมากกว่านี้ให้เจ็บกระดองใจ) เกาหลีก็โดนไปเต็ม ๆ อย่าง หนักหนาไม่ต่างจากไทยและอินโดนีเซีย แต่ก็รอดมาได้อย่างงดงามและผงาดกว่าเก่ามาก

          หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นเกาหลีเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยใช้พื้นฐานด้านความคิดริเริ่ม การท่องเที่ยวและวัฒนธรรมที่ได้ปูไว้มาตลอด และยึดนโยบายสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (creative economy) ซึ่งหมายถึงการใช้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ประเพณี ความเป็นเกาหลี ฯลฯ เป็นตัวสร้างมูลค่าโดยมุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนในโลกและในการนี้เทคโนโลยีไอทีเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่ง

          ดนตรี ภาพยนตร์ การท่องเที่ยว การเป็น HUB ของการผ่าตัดเสริมความงามของภูมิภาคและโลก อุปกรณ์เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับไอทีถูกประดิษฐ์ขึ้นมาตอบสนองคนทั้งโลกอย่างมีกลยุทธ์เป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้หลายรัฐบาลต่างพรรคที่มุ่งเป้าหมายเดียวกันสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ประเทศ

          ขอยกตัวอย่างที่แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ในเรื่องไอที เกือบทุกพื้นที่ของกรุงโซลและเมืองใหญ่ของประเทศที่มีประชากร 50 ล้านคน มีพื้นที่เพียง 1 ใน 5 ของประเทศไทย จะมีบริการ Wi-Fi ฟรีที่ทุกคนสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องมีการลงทะเบียนชื่อให้ยุ่งยาก

          นักท่องเที่ยสามารถใช้ line / face book / ส่ง SMS ฯลฯ ติดต่อกับทั่วโลกได้ฟรีและอย่างสะดวกไม่ว่าจะอยู่แห่งใด ประชาชนของเขาสามารถใช้บริการจากรัฐในเรื่องการขอสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบประกาศนียบัตรการศึกษาทุกระดับ ใบเสร็จ แบบฟอร์มจากรัฐจ่ายภาษี ฯลฯ รวมกันเป็นบริการกว่า 50 ชนิดได้โดยเพียงไปใช้บริการจากตู้ที่ตั้งไว้ที่อำเภอตลอด 24 ชั่วโมง ถ้ามีคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือและเครื่องพิมพ์ก็สามารถทำที่บ้านได้โดยไม่ต้องเดินทางไปหน่วยราชการใด

          เกาหลีเป็นประเทศน่าสนใจในการพยายามเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชนด้วยการให้ความสะดวก ลดต้นทุนในการดำเนินชีวิตและประกอบธุรกิจ ประการสำคัญคือเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ของประชาชนซึ่งทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และอยู่รอดได้อย่างดีในระยะยาว

          การวางแผนใช้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี เป็นวัตถุดิบในการนำมาผสมกับความคิดริเริ่ม และเทคโนโลยีไอซีที ทำให้เกิด K-Wave ผู้คนบ้าคลั่งการมาท่องเที่ยวเกาหลี ชอบดนตรีและภาพยนตร์เกาหลี ชื่นชอบอุปกรณ์โทรศัพท์ยี่ห้อประจำชาติ สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือการยอมรับสินค้าเกาหลีและความเป็นตัวตนเกาหลีในโลก

          goodwill หรือความรู้สึกดี ๆ ที่ผู้คนมีต่อสังคมหรือวัฒนธรรมใดเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากหลายสิ่งหลายอย่างประกอบกัน ไม่มีใครสามารถบังคับได้ ทั้งหมดเป็นไปอย่างสมัครใจ และเป็นที่แน่ชัดว่าเกาหลีประสบความสำเร็จในเรื่อง goodwill จากชาวโลกอย่างท่วมท้นในปัจจุบันด้วยผลงานอันเกิดจากการทำงานหนักของประชาชน และนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวกัน

          ความฉาบฉวยหลอกลวงคนอยู่ได้ไม่นานเพราะมันไม่คงทนเนื่องจากไม่มีสิ่งที่เป็นของจริงสนับสนุน เกาหลีนั้นพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำสิ่งที่ถูกต้องภายในเวลาไม่ถึง 60 ปีเท่านั้นก็สามารถ พลิกผันสังคมได้อย่างน่าอัศจรรย์

สายการบินโลว์คอสต์ตั๋วถูกได้อย่างไร

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 พฤศจิกายน 2556

          สมัยก่อนขึ้นเครื่องบินก็คือขึ้นเครื่องบิน ไม่มีสายการบินปกติหรือโลว์คอสต์ ซึ่งบ่อยครั้งมีราคาแตกต่างกันมากถึงแม้จะเป็นการย้ายก้อนเนื้อก้อนเดียวกันจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ก็ตาม อะไรที่ทำให้โลว์คอสต์แอร์ไลน์มีราคตั๋วถูกกว่า

          ขอเริ่มต้นด้วยการเล่าความเป็นมาก่อนเพราะมีความโยงใยกับสภาพราคาถูกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อ 40 ปีก่อนราคาตั๋วถูกเกิดขึ้นได้จากการบินประเภทที่เรียกว่าชาร์เตอร์ไฟล์ท หรือการจัดเที่ยวบินพิเศษเหมาลำ (คล้ายฉิ่งฉับทัวร์ประมาณนั้น)

          ความคิดในเรื่องการให้บริการบินชนิดไม่หรูหรา เอาแต่เนื้อ ๆ ไม่มีอาหาร เครื่องดื่มชั้นดี มีบริการเอาใจสารพัด เพื่อราคาจะได้ถูกลงมีมานานแล้ว แต่มาเกิดจริงจังเมื่อสายการบิน Southwest Airlines ของสหรัฐอเมริกาเปิดบินเป็นรายแรกของโลกในปี 1971

          โลว์คอสต์แอร์ไลน์ดังเป็นพลุเมื่อ Freddie Laker เปิดสายการบิน Laker Airways ให้บริการที่มีชื่อเรียกว่า Skytrain บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างนิวยอร์กกับลอนดอนในช่วงหลังของทศวรรษ 1970 บริการเป็นที่นิยมมากจน Freddie Laker ได้รับความชื่นชมจากประชาชน และได้รับแต่งตั้งเป็นท่านเซอร์

          ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอนเมื่อสายการบิน British Airways และ Pan Am ทำอย่างเดียวกันบ้าง และแข่งขันกันหนักจนสายการบิน Lakers ต้องปิดตัวลงในปี 1982

          เมื่อมีผู้บริโภคซึ่งมีอำนาจซื้อแตกต่างกันและต้องการบริการการบินที่หลากหลายชนิด ยุคโลว์คอสต์แอร์ไลน์ก็เกิดขึ้นจริงจังเมื่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกาลดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ลงเพื่อความสะดวกในการเข้ามาแข่งขัน (deregulate) สายการบินโลว์คอสต์เกิดขึ้นมากมายในทศวรรษ 1980-1990 โดยเฉพาะเป็นที่นิยมอย่างมากในต้นทศวรรษที่ 21

          ทำไมถึงบินราคาถูกได้อย่างแตกต่างจากสายการบินธรรมดา? คำตอบมีดังต่อไปนี้ (1) ใช้เครื่องบินชนิดเดียวของบริษัทเดียวเพื่อให้มีต้นทุนต่ำในการบำรุงรักษา หากมีของหลายบริษัทและหลายรุ่น ก็ต้องมีช่างจำนวนมาก เพราะแต่ละคนเชี่ยวชาญในแต่ละชนิดของเครื่องบิน

          เมื่อก่อนนี้อาจใช้เครื่องบินเก่า เช่น McDonnell 11 / Douglas DC-9 หรือรุ่นเก่าของ Boeing 737 แต่ตั้งแต่ปี 2000 สายการบินโลว์คอสต์นิยมใช้เครื่องบินใหม่ Airbus A 320 หรือตระกูล Boeing 737 ใหม่เป็นที่นิยมมาก เพราะมีประสิทธิภาพสูง ประหยัดน้ำมันและบำรุงรักษาง่าย

          บางสายการบินถ้ามีเงินมากก็ร่วมกันสั่งซื้อครั้งเดียวหลายลำเพราะได้ส่วนลดมาก และหลังจากนั้น 2-3 ปีก็ปล่อยบางลำออกขาย ได้กำไรมาช่วยในการลดต้นทุนได้มาก

          (2) เครื่องบินมีอุปกรณ์เครื่องมือน้อยชิ้นที่สุดตามที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัย (เครื่องทำกาแฟ เครื่องทำความเย็นแบบพิเศษเพื่อเก็บอาหารไม่จำเป็น) เพื่อลดต้นทุนการดูแลรักษาและลดน้ำหนักเครื่องบิน (ยิ่งหนักยิ่งกินน้ำมัน)

          บางสายการบินโหดขนาดที่นั่งเอียงไม่ได้ ไม่มีกระเป๋าใส่ของหลังเก้าอี้ ไม่มีม่านตรงหน้าต่างเพื่อลดต้นทุนการดูแลและรักษาความสะอาด และหลายสายการบินไม่มีเพลง ภาพยนตร์และ โทรทัศน์ให้ดู

          (3) พยายามให้บินอยู่ในอากาศให้นานและบ่อยเที่ยวที่สุดอย่างชนิดก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนผู้โดยสาร สินค้า (หากมี) สัมภาระอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญก็คือต้องตรงเวลาทั้งเข้าและออกเพื่อให้สะดวกในการบริหารจัดการ

          โลว์คอสต์แอร์ไลน์จะไม่อ้อยอิ่ง คอยผู้โดยสารที่ยังเพลินอยู่กับการช๊อปปิ้ง หรือนั่งกินอาหารอย่างชิล ๆ เครื่องบินจะไม่เคลื่อนไหวแบบปลาวาฬ คอ่ย ๆ ไต่เพดานบินช้า ๆ เพื่อความสบายของผู้โดยสาร หากจะบินออกและเข้าอย่างหวือหวาเรียกว่าทันใจผู้โดยสารหัวใจวัยรุ่น (เช่นผู้เขียน)

          (4) เมื่อเป็นโลว์คอสต์ก็ต้องทำให้ต้นทุนต่ำจริง ๆ ดังนั้นพนักงานจึงทำงานกันหลายลักษณะ บางสายการบินในต่างประเทศพนักงานบินบนเครื่องต้องช่วยทำความสะอาดเครื่องบินเมื่อเครื่องลงจอดและรอผู้โดยสารชุดต่อไป หรือเป็นพนักงานตรวจบัตรบนพื้นดิน เมื่อเสร็จก็ขึ้นมาทำงานบนเครื่องด้วย (บางสายการบินเล็ก ๆ ในต่างประเทศเคยเห็นกัปตันเป็นคนโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องด้วย)

          การมีฐานปฏิบัติการขนาดเล็กกระจายอยู่หลายแห่งโดยไม่มีแห่งเดียวแบบสายการบินปกติทำให้ต้นทุนลดลง บางสายการบินสร้างอาคารผู้โดยสารเองด้วยเพื่อจักได้สามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นไปตามความต้องการของสายการบิน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลดต้นทุน

          (5) การทำให้หลายอย่างง่ายไม่ยุ่งยากก็สามารถลดต้นทุนได้เช่นกัน การกำหนดค่าตั๋วอย่างไม่ซับซ้อน เช่น ราคาขาไปและกลับเท่ากัน บางสายการบินไม่โอนกระเป๋าข้ามเที่ยวบินถึงแม้จะเป็นสายการบินเดียวกันก็ตาม การมีสนามบินที่รวมสายการบินราคาถูกไว้ด้วยกัน เช่น กัวลาลัมเปอร์ ดอนเมือง ฯลฯ สามารถลดต้นทุนในเรื่องการขึ้นลงโดยหนีการจราจรที่คับคั่ง ค่าธรรมเนียมลงจอดและอัตราค่าจอดบนรันเวย์ก็ถูกกว่า

          (6) พยายามหารายได้ให้มากที่สุด เช่น จากการขายของบนเครื่อง เก็บค่าธรรมเนียมใช้ผ้าห่มหรือหมอน กระเป๋าติดตัวขึ้นเครื่อง ฯลฯ ดังเช่นที่สายการบินยุโรปปฏิบัติกัน อย่างไรก็ดีเท่าที่ทราบยังไม่มีสายการบินใดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ห้องน้ำ (แบบหนักหรือเบาในราคาต่างกัน โดยมีการตรวจพิสูจน์ด้วยก็ยังไม่เกิดขึ้น)

          โดยสรุปก็คือต้องทำให้ต้นทุนต่ำสุดเท่าที่จะทำได้โดยผู้โดยสารมั่นใจในความปลอดภัยและมีคุณภาพของบริการสมราคา อีกทั้งหารายได้ให้มากที่สุดโดยไม่ให้ดู “เกินไป” สำหรับสังคมไทย

          โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบโลว์คอสต์ และบินบางสายการบินที่เชื่อว่าปลอดภัยอยู่เป็นประจำ ชอบในการตรงต่อเวลา ไม่อุ้ยอ้ายเป็นเรือเกลือ แต่ที่ไม่ชอบมาก ๆ ก็คือการยกเลิกเที่ยวบิน (เดาว่าผู้โดยสารน้อยเลยเอามารวมกัน สไตล์โรงฉายหนังสมัยโบราณ) หรือบางครั้งเลื่อนเที่ยวบิน

          ที่ไม่ชอบที่สุดคือการโฆษณาในสื่อว่าราคาถูกเท่านั้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว แพงกว่านั้นมาก ในบางประเทศถือว่าผิดกฏหมาย และไม่ให้ทำด้วยซ้ำ (บ้านเราถ้าการคุ้มครองผู้บริโภคเข้มแข็งก็เชื่อว่าทำไม่ได้)

          ถ้าเรารู้สึกแอนตี้และไม่เชื่อถือสายการบินในเรื่องราคาเพราะรู้ว่าหลอกลวง แล้วเราจะมั่นใจว่าเมื่อบินแล้วจะปลอดภัยได้อย่างไร อย่าลืมว่าหัวใจของธุรกิจการบินคือความปลอดภัย ดังนั้น ความตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จะทำให้อยู่ได้นานเท่านาน

          ถ้ายอมรับวลี “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” ยามเมื่อบินโลว์คอสต์ก็จะทำใจได้ อยากได้ของถูกก็ต้องมีความรำคาญและการเสียสละความสบายบางอย่างบ้างเป็นธรรมดา

ความรวยช่วยให้ลูกทำพัง

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
5 พฤศจิกายน 2556

          สมัยก่อนเคยได้ยินคำว่า พ.พ.ม. (พังเพราะเมีย) แต่ในโลกอินเตอร์เน็ตปัจจุบันมี พ.พ.ล. (พังเพราะลูก) ดังตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ฟิลิปปินส์

          คนฟิลิปปินส์ในโลกอินเตอร์เน็ตโกรธมากเมื่อเห็นรูปหญิงสาวหน้าตางดงามนอนอยู่ในอ่างน้ำและมีเงินสกุลต่าง ๆ วางท่วมตัว แถมแสดงภาพรองเท้า กระเป๋า และเสื้อผ้า สารพัดแบรนด์เนมตลอดจนการคุยโม้โอ้อวดความร่ำรวยใน blog ของเธอที่มีมาตั้งแต่ปี 2011

          เธอเปิดเผยว่าเธอคือ Jeane Napoles อายุ 23 ปี เป็นลูกสาวคนเล็กของนักธุรกิจมหาเศรษฐีหญิงของฟิลิปปินส์ชื่อ Janet Lim-Napoles

          เมื่อดีกรีความหมั่นไส้ขึ้นถึงจุดสูงสุดในประเทศที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ซึ่ง ส่วนใหญ่ยากจน (รายได้ต่อหัวต่อคนประมาณ 90,000 บาท/ปี ซึ่งน้อยกว่าไทย 2.25 เท่าตัว) หนังสือพิมพ์ The Philippine Daily Inquirer ฉบับ 12 กรกฎาคม ก็เริ่มขุดคุ้ยว่าแม่เธอรวยมาจากไหน

          ใน Instagram, Facebook และ Twitter มีภาพและเรื่องราวของเธอไปปารีส โตเกียว ถ่ายรูปคู่กับดาราฮอลลีวู้ดหลายคน และมีภาพ 3 สาวพี่น้องไปดูภาพยนตร์รอบพรีเมียร์ของฮอลลีวู้ด ซึ่งคนธรรมดาที่ไม่ได้เฮฮาปาร์ตี้กับเหล่าดาราและเศรษฐีรวย ๆ แล้วไม่มีโอกาสเป็นอันขาด

          คนฟิลิปปินส์ในโลกไซเบอร์กระหน่ำความเห็น ตำหนิ เยาะเย้ย ถากถางเธอกันสนั่นประเทศและพูดถึงสาเหตุที่แม่เธอรวย เมื่อดูจะหนักมือเข้าแม่และครอบครัวก็เดือดร้อนต้องออกมาปฏิเสธคำซุบซิบที่ว่าเธอรวยมาไม่ถูกต้อง

          Christine พี่สาวคนโตที่กำลังมีโอกาสได้เป็น ส.ส. แบบปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค OFW Family club ที่คณะกรรมการเลือกตั้งฟิลิปปินส์กำลังนับคะแนนอยู่ก็เดือดร้อน กล่าวได้ว่าครอบครัวของเธอซึ่งกำลังจะมาแรงเกิดสะดุดขึ้นเพราะลูกสาวคนสุดท้องไม่สามารถเก็บความร่ำรวยไว้เงียบ ๆ ได้

          เพื่อน ๆ ของ Jeane เปิดเผยว่าเธอพักอยู่ที่อพาร์เม้นท์ใน Ritz Carlton ในลอสแอนเจลิส ระหว่างที่เรียนหนังสือที่นั่น เมื่อกลับมาบ้านก็ขับรถ Porsche บนถนนที่ติดขัดและเกือบทุกสี่แยกเต็มไปด้วยคนยากจนที่ขายของ (ไม่ต่างจากบ้านเรา เพียงแต่มีหนาตากว่า และริมถนนก็คละเคล้าไปด้วยคนยากจน)

          เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าเธอเพิ่งโชว์ความรวยแบบชัด ๆ เมื่อหลังปี 2005 โดยเพื่อน ๆ นินทาลับหลังว่าเธอรวยมากจาก “dirty money” จากที่ไหนสักแห่ง มีวีดิโอออนไลน์คลิปหนึ่งที่แสดงเหตุการณ์วันเกิดของ Jeane ซึ่งจัดขึ้นในฮอลลีวู๊ด ในงานมีทั้งแฟชั่นโชว์ เพียบพร้อมไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มชั้นดี และมีหลายภาพแสดงให้เห็นว่ามีการฉลองวันเกิดตลอดอาทิตย์ต่อมาในคลับและบาร์ของเหล่าเศรษฐีในมะนิลาแถมด้วยการเดินทางไปเที่ยวลอนดอน

          เมื่อข่าวเข้ามาเต็มสองหู ทางการฟิลิปปินส์ก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้ สื่อขุดคุ้ยคู่ไปกับการสอบสวนของทางการ และพบว่าแม่ของ Jeane คือ Janet Lim-Napoles ทำการค้า และพ่อเป็นอดีตนายทหารซึ่งเคยมีบทบาทในการโค่นล้มอดีตประธานาธิบดี Corazon Aquino ทั้งสามีและภรรยาเป็นจำเลยในคดีฉ้อฉลเสื้อเกราะของทหารในปี 2001 และหลุดจากคดีในปี 2010

          ที่พูดกันหนาหูก็คือเธอได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากโครงการชนิดที่เรียกว่า pork barrel กล่าวคือเงินจากงบประมาณที่นักการเมืองเอาไปลงในพื้นที่ของตนเองเพื่อหาเสียง ความหละหลวมในการใช้เงินชนิดนี้มีมากและดาษดื่น ในโครงการที่เรียกว่า Priority Development Assistance Fund มีการฉ้อฉลโดยลูกหลานและญาตินักการเมืองใหญ่หลายคนรวมทั้งเธอด้วย

          ว่ากันว่าในโครงการหนึ่งเธอรับไปเต็ม ๆ 900 ล้านเปโซ (ประมาณ 20,000 ล้านบาท) และมีอีกหลายโครงการที่เธอมีเอี่ยวกับนักการเมืองใหญ่ เธอมีบ้าน 28 หลังเฉพาะบนเกาะลูซอน (ไม่นับคฤหาสน์ในสหรัฐอเมริกา) มีรถ 30 คัน มีเงินอยู่ใน 415 บัญชีใน 17 ธนาคาร จากการสอบสวนในเวลาสั้น ๆ

          เธอบอกว่ารวยมาจากการส่งออกถ่านหินและค้าขายกับจีน อินเดีย และปากีสถาน ตั้งแต่ปี 1990 แต่เธอก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน เธอตอบไม่ได้ว่ามีทรัพย์สินสุทธิทั้งหมดเท่าใด (น่าสงสารเธอเพราะเธอก็คงไม่รู้จริง ๆ ด้วยเพราะมีมากจนจำไม่ได้)

          เมื่อทางการตรวจสอบข้อมูลแล้วก็เห็นว่าไม่มีทางที่เธอจะรวยได้จากธุรกิจและการลงทุนของเธอตามที่อ้างแต่อย่างใด เธอมีรายได้ที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษีจำนวนหนึ่งดังนั้นจึงถูกตัดสินลงโทษข้อหาหลีกเลี่ยงภาษี

          เมื่อสื่อขุดลึกลงไปอีกก็พบคอรัปชั่นที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองและนักธุรกิจจำนวนมาก (จนเข้าใจว่าการสอบสวนของทางการได้หยุดลงแล้วคล้าย ๆ กับประเทศสารขันฑ์ใกล้บ้านเรา) แต่เมื่อประชาชนเรียกร้องจากการเห็นความรวยที่น่าเกลียด ทางการจึงต้องทำอะไรสักอย่าง

          คำถามก็คือเหตุใดลูกสาวคนเล็กจึงต้องโชว์ความรวยแบบนี้ คำตอบน่าจะเป็นว่าแม่มาจากครอบครัวคนจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในฟิลิปปินส์และไม่ได้รับการยอมรับเหมือนบ้านเรา ดังนั้นจึงพยายามแสวงหาการยอมรับจากสังคมมาโดยตลอด เมื่อพบความมั่งคั่งก็ใช้มันเป็นเครื่องมืออย่างเต็มที่ ลูกสาวก็เห็นว่าแม่ใช้สิ่งนี้จึงเลียนแบบ

          สิ่งที่ลูกสาวผิดพลาดก็คือใช้เครื่องมือสมัยใหม่ผ่านอินเตอร์เน็ต คือ social media เธอไม่เข้าใจและคาดไม่ถึงว่าผลกระทบของมันจะไปได้กว้างไกลและลึกซึ้งขนาดนี้ ถ้าเธอเป็นตู้ทองหรือตู้เพชรเคลื่อนที่ในทุกงานที่เธอไปก็ไม่มีผลเท่ากับภาพถ่ายบนอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเธอในอ่างน้ำกับธนบัตรหลายสกุลนั้นบาดใจคนจนได้ฉกาจฉกรรจ์

          โลกอินเตอร์เน็ตมีอันตรายที่มองไม่เห็นสูงมาก ถ้าไม่ระมัดระวังอาจทำลายตนเองและครอบครัวได้ไม่ยากนัก

ระวังอคติ ตัวเลขและอารมณ์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
29 ตุลาคม 2556

          ไม่มีอะไรน่าเจ็บใจเท่ากับถูกหลอกจากการใช้อารมณ์ของตัวเราเองมากกว่าเหตุผล แต่ที่น่าเจ็บปวดกว่านี้ก็คือทั้งที่ใช้เหตุใช้ผลแล้วก็ยังตัดสินใจผิดอีก

          ขอนำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับอคติ ตัวเลข และอารมณ์ ในบางเรื่องมาเล่าสู่กันฟังเพื่อป้องกันการเจ็บกระดองใจ

          เรื่องแรกคืออคติเกี่ยวกับผลงานที่เห็นจนทำให้มองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ตัวอย่างเช่นจะต้องตัดสินใจเลือกหมอผ่าตัดหัวใจหนึ่งใน 3 คน ในจำนวนคนไข้ 30 คนที่ผ่านมา หมอ ก. มีสถิติที่คนไข้ตายระหว่างผ่า 3 คน หมอ ข. 6 คน และหมอ ค. 9 คน เมื่อเผชิญหน้ากับสถิติ อย่างนี้คนทั่วไปจะเลือกหมอ ก. ทันทีเพราะผลงานน่าชื่นชม (ถึงแม้จะมีตาย 3 คน ก็ตาม)

          อย่างไรก็ดีหากพิจารณาลงไปลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็จะพบว่าหมอ ค. นั้นเชี่ยวชาญผ่าตัดหัวใจผู้สูงอายุ หมอ ข. ถนัดผ่าตัดหัวใจเด็กอ่อน ส่วนหมอ ก. นั้นผ่าตัดคนปกติเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเห็นข้อมูลประกอบแล้ว หมอ ก. อาจไม่ใช่การเลือกที่ดีที่สุดไปแล้วก็ได้

          ในประการแรก ขนาดตัวอย่างเพียง 30 คนนั้นเล็กเกินกว่าจะสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของหมอได้ ประการที่สองการผ่าตัดคนสูงอายุและเด็กอ่อนนั้นยากกว่าและมีโอกาสที่จะเสียชีวิตระหว่างผ่าตัดสูงกว่าคนวัยอื่น ตัวเลขคนตายมากเกินปกติของหมอ ข. และ ค. จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่หมอ ก. ที่มีคนปกติตายถึง 3 คนนั้นอาจน่ากลัวกว่า

          บทเรียนในเรื่องนี้ก็คือมนุษย์มักมีอคติในการมองไปที่ผลที่เกิดขึ้นทันที โดยละเลยการพิจารณาข้อมูลประกอบ ในชีวิตจริงเรามักโดดเข้าใส่อาหารอร่อย หน้าตาดี โดยไม่รู้ว่าเขาทำสะอาดแค่ไหน เราเลือกงานโดยดูที่เงินเดือนโดยไม่พิจารณาว่างานที่ทำนั้นช่วยทำให้เป็นคนมีคุณค่าเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด เราเลือกคนมาช่วยงานบ้านโดยดูที่หน้าตาการพูดจารู้เรื่อง โดยไม่พิจารณาให้ดีว่ามีประวัติอย่างไร เราเลือกคนหน้าตาดีมาเป็นแฟนโดยละเลยการดูข้อมูลประกอบ ฯลฯ

          เรื่องที่สองคือตัวเลขเฉลี่ย มนุษย์มักชอบดูตัวเลขเฉลี่ยเพื่อประเมินข้อเท็จจริงโดยหารู้ไม่ว่าตัวเลขเฉลี่ยนั้นหลอกลวงได้ง่าย ตัวอย่างเช่นคน 19 คนนั่งอยู่ในห้องด้วยกัน เมื่อลองคิดรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีก็พบว่าตกประมาณ 500,000 บาท อีกสักพักหนึ่ง Bill Gates (ขอใช้ชื่อฝรั่งแทนเศรษฐีไทยเพื่อตัดประเด็นอารมณ์ออก) ก้าวเข้ามาในห้อง คราวนี้เมื่อคำนวณรายได้เฉลี่ยของ ทุกคนในห้องนี้ดูปรากฏว่าเป็นคนละ 500 ล้านบาท

          รายได้เพิ่มขึ้นจาก 500,000 บาทต่อคน เป็น 500 ล้านบาทเนื่องมาจากอิทธิพลของข้อมูลจากคน ๆ เดียวซึ่งทำให้ภาพมันบิดเบี้ยวไปหมด จากภาพของการเป็นคนมีรายได้สูงพอควรกลายเป็นสูงมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ใน 19 คนแรกไม่มีใครมีรายได้ถึง 1 ล้านบาทสักคนก่อนหน้า Bill Gates เข้ามานั่งด้วย

          ข้อมูลฝนตกเฉลี่ยก็ลวงเราได้เช่นกัน พื้นที่ ก. ฝนตกเฉลี่ย 1,500 มิลลิเมตรต่อปี พื้นที่ ข. เฉลี่ย 1,000 มิลลิเมตรต่อปี เมื่อเห็นตัวเลขอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าพื้นที่ ก. ชุ่มฉ่ำกว่า แต่เมื่อดูการกระจายตัวของตัวเลขฝนตกก็อาจพบว่าในพื้นที่ ก. นั้นฝนไม่ตก 11 เดือน มีเดือนสุดท้ายเท่านั้นที่ฝนตกหนักมากทั้งเดือนจนฉุดให้ตัวเลขเฉลี่ยสูง ในขณะที่พื้นที่ ก. ฝนตกเฉลี่ยสม่ำเสมอทุกเดือน คำถามก็คือพื้นที่ใดน่าพึงปรารถนากว่ากัน

          คนไข้ไปหาหมอให้ตรวจร่างกายโดยบอกว่าในปีที่ผ่านมาได้ดื่มไวน์แดงเฉลี่ยวันละ 1 แก้วเพื่อสุขภาพตามที่หมอแนะนำ (น่าได้คุณหมอคนนี้มารักษาประจำตัว) อย่างแน่นอน หมอถามว่าดื่มอย่างไร คนไข้ตอบว่า 364 วันแรกไม่ได้ดื่มเลย แต่วันสุดท้ายคือวันที่ 365 ดื่ม 365 แก้ว ดังนั้นจึงดื่มรวม 365 แก้วใน 365 วัน หรือหนึ่งปีจึงมีค่าเฉลี่ยวันละ 1 แก้วพอดีตรงตามที่หมอสั่ง ส่วนคนไข้อีกคนบอกหมอว่าดื่มทุกวัน ๆ ละแก้วตลอด 365 วัน ดังนั้นจึงเฉลี่ย 1 แก้วต่อวันเช่นกัน ตัวเลขเฉลี่ยเหมือนกันแต่ผลที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน (ข้อมูลของคนแรกทราบจากวิญญาณของเขา)

          เรื่องที่สาม เมื่อเราเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดมักพบเห็นการทดลองให้ชิมสินค้าเสมอ อยากบอกว่าถ้าไม่ต้องการซื้ออย่าได้ชิมของเขาเป็นอันขาดเพราะธรรมชาติของมนุษย์จะโน้มน้าวให้เราตอบแทน “ความรู้สึกเป็นหนี้” จากการชิมด้วยการซื้อในที่สุด

          นักจิตวิทยาการตลาดและนักวิจัยเรื่องการบริจาคได้ทำการทดลองอย่างกว้างขวาง และพบว่ากลยุทธ์ “ให้ก่อน และเอาทีหลัง” นั้นผูกพันกับ “ความรู้สึกเป็นหนี้” ที่ต้องตอบแทนและมักได้ผลเสมอ

          มนุษยชาติอยู่รอดกันมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะสัญชาตญาณตอบแทนหนี้กันและกัน สิ่งนี้คือวิธีจัดการความเสี่ยงอย่างหนึ่งของมนุษย์ กล่าวคือตอนอยู่ในถ้ำเวลาที่จับสัตว์เป็นอาหารได้มากก็แบ่งปัน และยามที่ไม่มีอาหารเพื่อนบ้านก็จะแบ่งให้

          มองด้านหนึ่งเป็นความงดงาม แต่อีกด้านหนึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการค้าที่กระทำกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ตราบที่ผู้บริโภคตระหนักถึงอารมณ์ตอบแทน “ความรู้สึกเป็นหนี้” เช่นนี้ของตนเองก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้าไม่ทันเกมส์ก็จะเสียเงินมากกว่าที่ต้องการก็เป็นได้ การซื้อเสียงที่ได้ผลส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่รับเงินไปนั้นไว้ใจได้ว่าจะลงคะแนนให้เพราะเกิด “ความรู้สึกเป็นหนี้” ขึ้นในใจ

          ทุกวันมนุษย์จะเผชิญหน้ากับการเลือกในหลายสิ่ง ถ้าเข้าใจอคติ ข้อมูลตัวเลขลวงตาบางอย่าง และอารมณ์ตามธรรมชาติของตัวเราเองแล้ว การตัดสินใจที่ผิดพลาดก็อาจมีน้อยลง

          คนที่หลอกเราได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือตัวเราเอง

นักต่อสู้เพื่อความสว่างแห่งปัญญา

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
22 ตุลาคม 2556

          ขณะที่ชายใส่แว่นตาท่าทางใจดีไม่มีพิษมีภัยกำลังเดินข้ามถนนในเมืองปูเน่ รัฐมหารัชตะในอินเดียก็ถูกมือปืนสาดกระสุน 4 นัดใส่อย่างจังจนล้มดับวูบไปพร้อมกับความหวังที่คนยากจนจะหลุดพ้นจากการถูกต้มตุ๋นเพราะความเชื่อถือในโชคลางอย่างงมงาย

          Narendra Dabholkar คือชื่อของชายวัย 67 ปี ซึ่งสิ้นชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน ถึงแม้เขาจะเกิดในวรรณะพราหมณ์ พ่อแม่มีฐานะมั่นคง ได้รับการศึกษาในโรงเรียนชั้นดีของประเทศ เรียนจบเป็นแพทย์ แต่ก็ไม่มีความชื่นชอบในการแบ่งวรรณะของฮินดูที่ทำให้คนในวรรณะต่ำสุดคือจัณฑาลหรือ dalits ถูกกดขี่ ต้องตกระกำลำบากอย่างที่สุดมานับเป็นพัน ๆ ปี 

          คุณหมอนเรณทราทำงานในฐานะแพทย์เป็นเวลา 12 ปี ก่อนที่จะมาทำงานสังคมเพื่อความเป็นธรรมในสังคมเนื่องจากมีแรงบันดาลใจที่จะช่วยคนยากไร้และมืดมนในความคิด ในปี 1989 คุณหมอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชื่อ MANS แปลเป็นอังกฤษว่า Committee for Eradication of Superstition in Maharashtra (คณะกรรมการเพื่อขจัดความเชื่อถือโชคลางในรัฐมหารัชตะ)

          อินเดียนั้นเป็นประเทศที่ผู้คนยังเชื่อถือโชคลาง สิ่งที่อยู่เหนือวิทยาศาสตร์อย่างงมงายจนคนจนถูกหลอกลวงมากมายโดยโจรที่มาในร่างของผู้ทรงศีลในสารพัดรูปแบบ ยิ่งไปกว่านั้นความงมงายเช่นนี้คุณหมอเห็นว่าทำให้อินเดียพัฒนาประเทศไปได้ยากตราบที่คนไม่ใช้เหตุใช้ผลในการตัดสินใจ

          ความเชื่อถือโชคลางในอินเดียมีตัวอย่างเช่น (ก) เวลาบริจาคเงินจะไม่เป็นเลขลงตัว เช่น 100 รูปี แต่จะเป็น 101 รูปี โดยเชื่อว่า 1 รูปีที่เกินมานี้จะนำซึ่งความโชคดี (ข) ตัดเล็บตัดผมโกนหนวด หรือเย็บผ้าหลังตะวันตกดินจะนำความโชคร้ายมาให้ เช่นเดียวกับการกวาดบ้านเวลากลางคืน (ค) แม่หม้ายถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นกาลกิณี (ง) ห้ามกระทำพิธีกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าแต่งงานหรืออื่นใดที่เป็นมงคลในวันเสาร์ (จ) อาบน้ำในแม่น้ำคงคาจะเป็นหนทางสู่สวรรค์ ฯลฯ

          การเชื่อถือโชคลางข้างต้นนี้อาจดูน่ารัก ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่มันสื่อความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของการคิด การไม่มีเหตุมีผล การขาดการวิเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งเป็นอาการของสังคมที่พัฒนาได้ลำบาก เป็นประตูสู่การหลอกลวงและสูญเสียทรัพยากรอย่างไม่สมควรอีกมากมาย

          วิธีง่าย ๆ ของการหาเงินก็คือ “ผู้วิเศษ” สามารถแก้ไขล้มล้างความโชคไม่ดี กำจัดมนต์ดำที่คนอื่นทำกับเรา หรือทำมนต์ดำกับคนอื่น ทำพิธีให้คำอธิษฐานประสบผลสำเร็จ แก้กรรม (แก้เวร) ดูอนาคต ดูอดีต ฯลฯ คนขี้โกงนั้นมักมีความคิดสร้างสรรค์และมีนวตกรรมสูงกว่าเหยื่ออยู่ หลายขุม ดังนั้นจึงมีคนถูกต้มตุ๋นเพราะความเขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่เสมอ

          มีผู้เคยวิเคราะห์ว่าการกำหนดให้กลุ่มคนในวรรณะจัณฑาลเป็นวรรณะต่ำสุดจนไม่สามารถข้องแวะกับคนวรรณะอื่นได้ ไม่ว่าจะใช้บ่อน้ำ เข้าห้องน้ำ กินอาหารโต๊ะเดียวกัน กินช้อนคันเดียวกัน นั่งติดกัน ฯลฯ ก็เพราะในอดีตบรรพบุรุษของเขาเป็นผู้ใช้แรงงานแบกหามสิ่งสกปรก เช่น ตักถังอุจจาระ ล้างสิ่งปฏิกูล เก็บขยะ สัปเหร่อ ลูกจ้างโรงฆ่าสัตว์ ฯลฯ ซึ่งทำให้ตนเองเป็นพาหะของโรคติดต่อ

          วัฒนธรรมฮินดูจึงกีดกันคนเหล่านี้ออกไปเป็นวรรณะพิเศษที่ต่ำสุด เมื่อนาน ๆ เข้าก็เลยกลายเป็นกลุ่มคนที่สังคมรังเกียจเดียดฉันท์และชิงชังอย่างมาก และมีการสืบทอดความรู้สึกเช่นนี้มาเป็นเวลานับพัน ๆ ปีจนเกิดความเคยชินในสังคมอินเดีย 

          จัณฑาลต้องรู้จักอยู่ในที่ของตัวเอง จะไปเดินเพ่นพ่านตามถนนผ่านบ้านที่มีงานมงคลหรือบริเวณพิธีเปิดร้านขายของริมถนนไม่ได้ เพราะอาจเจ็บตัวเนื่องจากเขาถือว่าเป็นตัวซวย ร้านอาหาร ที่พัก ร้านค้า โรงเรียน ก็ต้องเป็นสิ่งที่พวกเดียวกันใช้บริการและอยู่ในบริเวณที่พวกเดียวกันอาศัยอยู่ แม้แต่คูหาเลือกตั้งก็เคยมีข้อเสนอให้แยกออกต่างหาก ไม่จำเป็นต้องบอกว่าโอกาสในการได้รับการศึกษาของจัณฑาลเป็นอย่างไร จนเป็นกลุ่มที่ถูกต้มตุ๋นง่ายที่สุดและไม่มีปากมีเสียง

          ที่ผ่านมามีจัณฑาลเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของอินเดียเท่านั้นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักของคนอินเดียถัดจากมหาตมะ คานธี คือ Dr.Ambedkar บิดาของรัฐธรรมนูญอินเดียในยุคอิสรภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Dr.Ambedkar หลุดพ้นจากชะตากรรมของจัณฑาลไปก็เพราะตอนเป็นเด็กได้รับการอุปถัมภ์ให้เรียนหนังสือ จนเรียนจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยโคลัมเปีย และเป็นนักการศึกษา นักการศาสนา นักประวัติศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ที่มีชื่อเสียงของสังคมอินเดีย

          Dr.Ambedkar ไม่เคยลืมกำพืดตัวเอง ประกาศว่าตนเองเป็นจัณฑาล และขอเลิกการเป็นฮินดู ประกาศจะนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเพราะไม่มีการถือชั้นวรรณะ ทุกคนเท่าเทียมกัน และในการชุมนุมประกาศเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธในปี ค.ศ. 1956 นั้นมีจัณฑาลกว่า 500,000 คน มาร่วมพิธี 

          คุณหมอนเรนทรา เจริญรอยตามความคิดของมหาตมะ คานธี คือต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง และสานต่องานที่ Dr.Ambedkar ได้ทำไว้โดยต่อยอดไปในเรื่องการกำจัดความเชื่อถือโชคลาง

          คุณหมอเปิดโปงการเล่นกลว่าเป็น “ผู้วิเศษ” หลอกเงินชาวบ้าน จนคุณหมอมีศัตรูอยู่มาก เหล่าฮินดูหัวโบราณกล่าวหาว่าคุณหมอกำลังทำลายวัฒนธรรมฮินดูที่เชื่อถือเทพเจ้าหลายองค์ คุณหมอบอกว่าท่านไม่ได้ต่อต้านการนับถือเทพเจ้า แต่ต่อต้านการเอาเทพเจ้ามาเป็นเครื่องมือหลอกลวง 

          คุณหมอพยายามมาหลายปีในการผลักดันกฎหมายของรัฐลงโทษผู้ใช้ความเชื่อถือโชคลางเป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีผู้เสียประโยชน์ขัดขวาง ล่าสุดการตายของคุณหมอทำให้นักการเมืองถูกแรงกดดันและดูเหมือนว่าร่างกฎหมายจะใกล้ความจริงมากขึ้น

          รัฐมหารัชตะอยู่ทางตะวันตกโดยมีเมืองมุมไบ (หรือชื่อเก่าบอมเบย์) เป็นเมืองหลวง มีประชากร 110 ล้านคน เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง (มีพื้นที่ 3 ใน 5 ของไทย) และเป็นรัฐรวยที่สุดในอินเดีย คุณหมอหวังว่าหาก MANS ต่อสู้ได้สำเร็จก็อาจมีผลแพร่กระจายไปยังรัฐที่เหลือของอินเดียได้

          การทำพิธีต่าง ๆ ที่หรูหราฟุ่มเฟือยเสียเงินเสียทองตามประเพณีหรือตามแนวความเป็นมงคลดังที่ “ผู้วิเศษ” บอกก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณหมอต่อต้าน ลูกของคุณหมอ 2 คน แต่งงานด้วยพิธีง่าย ๆ ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้นแทนที่จะทำกันเป็นวัน ๆ การเสียประโยชน์ของ “ผู้วิเศษ” และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทำให้คุณหมอต้องต่อสู้อย่างหนักตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
 

          บ้านเรายังไม่มีนักต่อสู้เพื่อสังคมในการกำจัดความงมงายในการเชื่อถือโชคลาง การสูญเสียคุณหมอน่าจะกระตุกให้ทั้งโลกนึกถึงสิ่งที่คุณหมอนเรนทราเชื่อว่าเป็นการสูญเสียที่ใหญ่ยิ่งของมนุษยชาติ นั่นก็คือความสว่างแห่งปัญญา 

เงินเฟ้อรุนแรงนั้นร้ายสุด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 ตุลาคม 2556

          ต่อให้ขุดหลุมลึกหนึ่งกิโลเมตรเพื่อฝังเซฟที่ใส่เงิน 5 ล้านบาทหนีสภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่ตามมาเขมือบก็ไม่มีวันรอดไปได้และไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ด้วย เงินเฟ้อทั้งรุนแรงและไม่รุนแรง ทำให้คนบอบช้ำได้ทั้งนั้น

          เมื่อตอนฝังเงินนั้นเงิน 5 ล้านบาทซื้อบ้านงาม ๆ ได้หนึ่งหลัง แต่หลังจากราคาสินค้าโดยทั่วไปมีระดับสูงขึ้นอย่างมากและต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อขุดเงินนั้นขึ้นมาก็อาจพอซื้อรถยนตร์ญี่ปุ่นมือสองได้สักคันก็เป็นได้

          นี่คืออิทธิฤทธิ์ของเงินเฟ้อรุนแรงที่ร้ายกว่ายุง ร้ายกว่าเสือ ร้ายกว่าไฟไหม้บ้าน และร้ายกว่าโจรปล้นด้วย เพราะทุกคนถูกกระทบถึงแม้ในระดับที่ไม่เท่ากันก็ตาม

          เพียงแต่ราคาสินค้าแพงขึ้น 20% ในเวลาหนึ่งปี คนฐานะปานกลางและยากจนก็แย่แล้ว เพราะเงินจำนวนเท่าเก่าจะซื้อของซึ่งมีราคาแพงขึ้นได้ปริมาณน้อยลง

          อย่าลืมว่าแท้จริงแล้วเรามีความพอใจจากสินค้าที่เงินซื้อหามาให้ เราไม่ได้พอใจกับตัวเงิน ยิ่งของมีราคาสูงขึ้นเราก็ยิ่งมีอำนาจซื้อน้อยลงเพราะเราจะยิ่งได้ปริมาณของน้อยลงจากเงินจำนวนนั้น

          ถ้าจะขยายขอบเขตการคิดออกไปอีกในแนวนี้ก็จะพบว่าเงินเป็นเพียงพาหะหรือตัวกลางที่นำไปสู่ความสุข ไม่ใช่ตัวความสุขเอง และบ่อยครั้งเงินก็ไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขด้วยซ้ำ

          ถ้าเงินนำมาซึ่งความสุขเสมอ เราคงไม่เห็นมหาเศรษฐีที่รุ่มร้อนหาความสุขไม่ได้ เสาร์อาทิตย์ต้องไปไหว้พระ 9 วัด 10 วัด และพอใจกับ “รดน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก” เป็นแน่

          ถ้าเห็นเงินสกุลใดที่เวลาซื้อของตามปกติแล้วต้องจ่ายเงินกันเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนหน่วยแล้วละก็ บอกได้เลยว่าประเทศนั้นได้ผ่านสภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง (hyperinflation) มาแล้วในอดีต เช่น เงินเยน เงินลีร์ของอิตาลี เงินโด่งของเวียดนาม เงินรูเปียของอินโดนีเซีย เงินเรียลของกัมพูชา เงินกีบของลาว เงินจั๊ตของพม่า ฯลฯ คำจำกัดความง่าย ๆ ของ hyperinflation ก็คือราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% ในเวลาหนึ่งเดือน

          บางประเทศก็มีประสบการณ์เงินเฟ้อรุนแรงมากเช่นเดียวกัน แต่ได้ปรับเปลี่ยนเงินสกุลของตนให้ดูไม่รุงรังจนเวลาซื้อของในชีวิตประจำวันไม่ต้องจ่ายเงินกันเป็นจำนวนสูงจนน่าตกใจ (ถ้าได้กินข้าว 1 มื้อในเวียดนามจะรู้สึกภูมิใจมากที่มีปัญญาจ่ายเป็นล้านคือล้านโด่ง)

          สาเหตุของ hyperinflation มักมาจากสงคราม หรือไม่ก็สถานการณ์หลังความวุ่นวายทางสังคม เช่น สงครามกลางเมือง วิกฤตที่ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีไม่ได้ วิกฤตธรรมชาติรุนแรง ฯลฯ

          ในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ จีนในศตวรรษที่ 11 ภายใต้ราชวงศ์ซ่ง (Song Dynasty) มีการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ และเมื่อรัฐบาลพิมพ์ออกมามากเพื่อใช้จ่ายอย่างสนุกมือโดยเฉพาะในการทำสงคราม พลังซื้อที่เกิดขึ้นอย่างมากและรวดเร็วในขณะที่ปริมาณสินค้าไม่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้นมากทันที และถ้ารัฐบาลไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็เสมือนกับเอาน้ำมันราดลงไปในไฟ

          เมื่อราคาเพิ่มขึ้นมากเช่นนี้ก็สร้างวงจรอุบาทว์ กล่าวคือเมื่อรัฐบาลเพิ่มปริมาณธนบัตรจนทำให้ข้าวของมีราคาสูงขึ้นก็จำเป็นต้องเพิ่มธนบัตรมากขึ้นอีกเพื่อเอามาซื้อของที่ราคาสูงขึ้น คราวนี้ทั้งปริมาณธนบัตรที่เพิ่มขึ้นและราคาที่เพิ่มขึ้นก็ไล่จับกัน ในสภาวการณ์เช่นนี้ประชาชนจะไม่อยากถือธนบัตรไว้เพราะอำนาจซื้อจะลดลง ประชาชนจะยิ่งรีบใช้จ่ายออกไปทันทีที่ได้ธนบัตรมา ผลที่ตามมาก็คือทำให้ราคายิ่งสูงขึ้นไปอีก

          หลายประเทศมากมายในอดีตประสบกับ hyperinflation ตัวอย่างเช่น (1) เยอรมันนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1923 hyperinflation รุนแรงจนต้องพิมพ์ธนบัตรใบละ 2 ล้าน ๆ มาร์คมาใช้เป็นเรื่องปกติ (แสตมป์มีราคา 50 ล้านมาร์ค) ธนบัตรใบที่มีมูลค่าสูงสุดคือ 100 ล้าน ๆ มาร์ค (เลขหนึ่งตามด้วยศูนย์ 14 ตัว) เนื่องจากราคาสูงขึ้นเป็นหมื่นเท่า ๆ ในเวลาไม่กี่ปี

          (2) ตุรกีเงินเฟ้อรุนแรงมากก่อนปี 2005 จนต้องปรับหน่วยเงินใหม่ให้สะดวกในการใช้ (ก่อนที่จะงงจนเสียชีวิตเพราะเลขศูนย์) โดยปรับให้ 1 lira ใหม่ = 1 ล้าน lira เก่า ดังนั้น 10 ล้าน lira เก่าจึงเท่ากับ 10 lira ใหม่

          (3) ซิมบับเวหรือชื่อเก่าว่าโรดีเชีย ในปี 2004 มีอัตราเงินเฟ้อ 624% ปี 2006 อัตราเงินเฟ้อ 1,730% และ 11,000% ในปี 2007 เหตุการณ์เลวร้ายจนในปี 2008 อัตราเงินเฟ้อ 11.25 ล้านเปอร์เซ็นต์ (ราคาเพิ่มหนึ่งเท่าตัวทุก ๆ 17.3 วัน) hyperinflation หยุดลงได้ในปี 2009 เมื่อรัฐบาลประกาศเลิกใช้เงินสกุลเดิมและให้ใช้เงินอเมริกันดอลล่าร์แทน และเมื่อรัฐบาลพิมพ์ดอลล่าร์เองไม่ได้ พลังซื้อขนาดใหญ่จึงหายไปทันที

          ในยาม hyperinflation นั้น ผู้คนจำนวนหนึ่งต้องยอมเอาบ้าน ที่ดิน และทรัพย์สมบัติมาแลกกับอาหารและสินค้าเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด การดำเนินชีวิตของผู้คนทุกระดับระส่ำระสายต้องดิ้นรนให้มีชีวิตอยู่รอดท่ามกลางราคาสินค้าที่ถีบตัวสูงขึ้นตลอดเวลา

          ขออย่าให้บ้านเราพานพบสภาวะน่าหวาดกลัวเช่นนี้เลย ขอให้รัฐบาลใช้จ่ายเงินตามฐานะที่เก็บภาษีมาได้ ไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัวและอาจบังเอิญถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยสังคมทั้งในและนอกที่ควบคุมไม่ได้จนตกอยู่ในฐานะที่ต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเป็นทางออกในการใช้จ่าย

          ความรอบคอบระมัดระวังเป็นคุณลักษณะสำคัญของบรรพบุรุษเรา และเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้เราอยู่รอดและอยู่ดีกันมาจนทุกวันนี้

“สัตว์เลี้ยง” เก่าแก่สุดของมนุษย์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8 ตุลาคม 2556

          มนุษย์มี ‘สัตว์เลี้ยง’ อยู่บนตัวมานับล้าน ๆ ปีอย่างน่าอัศจรรย์และมันทำให้คันอย่างไม่ให้เหงาด้วย นอกจากนี้ยังเป็นขุมทรัพย์ของข้อมูลมหาศาลเพราะการศึกษา DNA ของมันทำให้เข้าใจวิวัฒนาการของมนุษย์และเพื่อนสัตว์อื่น ๆ ดีขึ้น

          “สัตว์เลี้ยง” ที่พูดถึงนี้ก็คือเหาซึ่งกำเนิดขึ้นเมื่อ 130 ล้านปีก่อน ถัดมาอีก 60-70 ล้านปีก่อน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมและนกมีการแตกแขนงสปิชีส์ออกไปมากมายซึ่งการมีสปิชีส์ใหม่หมายถึงแหล่งที่อยู่และอาหาร (โฮสต์ หรือ Host) ใหม่ของเหาซึ่งเป็นปรสิต (parasite) ชนิดหนึ่ง เผ่าพันธุ์เหาจึงแตกหน่อแพร่กระจายไปอยู่บนตัวสัตว์ต่าง ๆ มากมายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          เวลาล่วงจนถึงเมื่อ 25 ล้านปีก่อน เหาก็ไปรุ่งเรืองอยู่บนตัวสัตว์ตระกูลลิงซึ่งเป็นต้นพันธุ์ของมนุษย์ และอีก 13 ล้านปีต่อมาเหาก็แยกออกเป็น (ก) เหาที่อยู่บนตัวลิงกอริลลาและ (ข) เหาที่อยู่บนตัวบรรพบุรุษมนุษย์และเหาชิมแปนซี จากนั้นถัดมาอีก 6 ล้านปี (เขียนราวกับว่าเพียงลัดนิ้วเดียวก็ผ่านความคันไป 6 ล้านปีแล้ว) เหาบนตัวบรรพบุรุษมนุษย์และชิมแปนซีก็แยกออกเป็นเหาชิมแปนซีและเหามนุษย์

          พูดง่าย ๆ ก็คือบรรพบุรุษของมนุษย์และชิมแปนซีร่วมกันเกาหัวเพราะเหาพันธุ์เดียวกัน เป็นเวลา 6 ล้านปี ก่อนที่เหาจะแยกพันธุ์จากกัน และมนุษย์ก็มีเหาพันธุ์เฉพาะบนตัวเราตลอด 6 ล้านปีที่ผ่านมา

          ที่รู้วันเวลาเหล่านี้ได้ชัดก็เพราะนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ DNA ตลอดจนหลักฐานทางชีววิทยาของการสืบทอดเผ่าพันธุ์และพัฒนาการของเหาพันธุ์ต่าง ๆ และนำมาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง จนทำให้สามารถรู้ช่วงเวลาของพัฒนาการของมนุษย์แม่นยำขึ้น

          เหาที่อยู่บนตัวมนุษย์นั้นมี 3 พันธุ์ คือ เหาศีรษะ (pediculus humanus capitis หรือ head lice) เหาตามตัว (pediculus humans humanus หรือ body lice) และเหาในที่ลับ (pthirus pubis หรือ pubic lice) งานวิจัยพบว่าเหาศีรษะนั้นอยู่กับมนุษย์มานาน ส่วนเหาตามตัวนั้นหลังจากอาศัยอยู่ในขนบนตัวมนุษย์อยู่ชั่วเวลาหนึ่งก็มาอาศัยอยู่บนเสื้อผ้าของมนุษย์เมื่อราว 100,000 ปีก่อน

          ส่วนเหาในที่ลับหรือที่เรียกว่าโลนนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์รับมาจาก ลิงกอริลลาเมื่อ 3.3 ล้านปีก่อนโดยมันอยู่อาศัยในขนหัวหน่าว (ไม่มีใครตอบได้ว่ามนุษย์ติดมาจากลิงกอริลลาได้อย่างไรเพราะหวาดเสียวเกินกว่าจะคาดเดา)

          สำหรับเหาศีรษะซึ่งเป็นเรื่องปวดหัวที่สุดนั้นอยู่บนตัวมนุษย์มานานที่สุด ถึงแม้มันจะอยู่บนหัวบรรพบุรุษมนุษย์ตลอด 25 ล้านปีที่ผ่านมา แต่มนุษย์ก็ไม่เคยเห็นมันชัด ๆ จนกระทั่งเมื่อมีการประดิษฐ์แว่นเห็บ (felea glass) ขึ้นมาเมื่อ 500 ปีก่อน และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นกล้องจุลทรรศน์เมื่อ 350 ปีก่อน

          มนุษย์เห็นเหาผ่านกล้องจุลทรรศน์ว่ามีปากแหลมคม มีกรงเล็บชนิดที่มีตะขอที่ขาเพื่อเกี่ยวตัวไว้กับเส้นผม สามารถไต่ขึ้นลงเส้นผมอย่างรวดเร็ว ไข่เหาติดอยู่บนผมแน่นเพราะมีกาวธรรมชาติจากแม่เหาช่วยติดไว้ แถมมีเมือกเหนียวแข็งตัวเป็นเกราะรอบ ๆ ไข่อีกด้วย ดังนั้นไข่เหาจึงไม่หลุดจากเส้นผมได้ง่าย ๆ ไข่เหาใช้เวลา 10 วันที่จะกลายเป็นเหาเต็มวัย

          มนุษย์สมัยอียิปต์โบราณเมื่อ 5,000 ปีก่อนสู้กับเหาโดยใช้หวีเสนียด (หวีซึ่งมีซี่ถี่ไว้ใช้สางผม) ส่วนคนจีนใช้ส่วนผสมของปรอทและสารหนูกำจัดเหาเมื่อ 3,200 ปีก่อน แต่ละสังคมใช้ภูมิปัญญาหลากหลายในการกำจัดเหา สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แตกต่างกันออกไป

          เหาเป็น ‘สัตว์เลี้ยง” ที่ยากจะกำจัดเพราะมันเป็นสัตว์อายุ 130 ล้านปี ที่มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับโฮสต์ได้อย่างดียิ่ง ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 2-3 ชั่วโมงหากโดนแยกจากโฮสต์ ก็ตาม แต่ไม่ว่าในสภาพอากาศใดก็ตาม ถ้ามันอยู่กับโฮสต์ได้มันก็อยู่รอดเสมอ

          เหาตัวกับเหาศีรษะมีพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ แต่วิถีชีวิตและพฤติกรรมแตกต่างกันมาก เดิมเหาตัวอาศัยอยู่ในขนบนร่างกายและปรับตัวมาอยู่ในเสื้อผ้า และอาจอยู่ในที่พักที่ขาดสุขอนามัย เช่น เรือนจำ ศูนย์อพยพ ฯลฯ สิ่งที่น่ากลัวก็คือเมื่อเหาศีรษะแปลงกายเป็นเหาตัว มันกลับเป็นพาหะนำโรค

          มีการพบเชื้อกาฬโรค และไข้รากสาดใหญ่ (typhus) บนเหาตัวเมื่อเหาตัวสามารถอาศัยอยู่ในเสื้อผ้าได้ การย้ายถิ่นของเสื้อผ้าโดยเฉพาะเสื้อผ้าใช้แล้วและไม่สะอาดจากต่างประเทศจึงเป็นเรื่องควรระวัง

          Charles Darwin ผู้เขย่าโลกเมื่อ 154 ปีก่อนโดยเสนอทฤษฎีว่ามนุษย์พัฒนามาจากลิงบอกว่าสัตว์ที่อยู่รอดนั้นไม่ใช่สัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดหรือฉลาดที่สุด หากแต่เป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด เหามีชีวิตอยู่ในโลกมา 130 ล้านปี โดยปรับเปลี่ยนตนเองมาตลอด

          เมื่อเหาอยู่บนตัวลิงกอริลลาก็มีลักษณะอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเหาบางตัวที่ทิ้งพี่น้องโดดมาอยู่กับคนโดยอาศัยอยู่ในขนตามตัวที่หยาบหนาคล้ายโฮสต์เดิมมันก็ปรับตัว และเมื่อมนุษย์มีขนตามตัวน้อยลงก็โดดไปอยู่ในเสื้อผ้า ในขณะที่ญาติเดิมที่อยู่บนตัวลิงกอริลลาก็ปรับตัวไปอีกลักษณะหนึ่ง (เมื่อเอาลักษณะใน DNA ของเหาทั้งสองกลุ่มนี้มาเปรียบเทียบกันและรู้เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาของมัน ก็ทำให้ทราบได้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์กับลิงกอริลลาแยกความสัมพันธ์กันเมื่อใด)

          เมื่อเอาการปรับตัวของเหามาเปรียบเทียบกับมนุษย์ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่รู้จบก็จะเห็นได้ว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของมนุษย์นั้นต้องเป็นนิรันดร์จึงจะอยู่รอดได้ ในระดับปัจเจกบุคคลนั้นใครที่ไม่ปรับตัวก็จะไม่มีโอกาสอยู่รอดได้ดีเท่าเหา

          เหากับคนแตกต่างกันตรงที่เหาเป็นสัตว์สร้างความคัน แต่มนุษย์นั้นบางส่วนของเผ่าพันธุ์เป็นผู้สร้างความแสบ

โลกของคน 7 พันล้านคน

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
1 ตุลาคม 2556

          โลกใบนี้ของเราเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของมนุษย์อาศัยอยู่นับตั้งแต่เดินหลังตรงตลอดระยะเวลา 1.7 ล้านปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 7 พันล้านคน ประชากรโลกมีลักษณะแตกต่างกันโดยเด่นชัดในเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความเข้าใจเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจมนุษย์ในโลกได้ดียิ่งขึ้น

          โลกเรามีอายุ 4 พันล้านปี มีมนุษย์ที่มีและเคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้รวมแล้วประมาณ 100-115 พันล้านคน ประชากรโลกได้ถึงจำนวนหนึ่งล้านคนแรกเมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน เพิ่มเป็น 200 ล้านคนเมื่อ ค.ศ. 1 และอีกหนึ่งพันปีต่อมามีประมาณ 300 ล้านคน ใน ค.ศ. 1800 มีประชากรโลก 1 พันล้านคน และเพิ่มขึ้นสูงยิ่งเมื่อถึง ค.ศ. 2000 โดยมีประชากร 6 พันล้านคน

          ที่น่าตกใจคือการเพิ่มขึ้นของประชากรในช่วงเวลา 200 ปีเศษหลังโดยเพิ่มขึ้นจาก 1 เป็น 6 พันล้านคน หรือเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าตัว

          ถ้าจะเอาตัวเลขละเอียด ปัจจุบันโลกมีประชากร 7.108 พันล้านคน สหประชาชาติพยากรณ์ว่าโลกจะมีประชากรโลก 8.3-10.9 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2050

          ในปัจจุบันมีเด็กเกิดหนึ่งคนทุก 8 วินาที ตายหนึ่งคนทุก 12 วินาที มีประชากรเพิ่มสุทธิหนึ่งคนทุก 12 วินาที

          10 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เรียงลำดับดังนี้ (1) จีน 1,349 ล้านคน (2) อินเดีย 1,220 (3) สหรัฐอเมริกา 317 (4) อินโดนีเซีย 251 (5) บราซิล 201 (6) ปากีสถาน 193 (7) ไนจีเรีย 175 (8) บังคลาเทศ 164 (9) รัสเซีย 143 (10) ญี่ปุ่น 127 ล้านคน

          มนุษย์เกิดมาช้ากว่าสัตว์อื่น ๆ ในโลกมาก ถ้าเอาประวัติศาสตร์ของมนุษย์มาย่อให้4,000 ล้านปีเป็น 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง มนุษย์ปรากฏตัวครั้งแรกเวลา 15.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม

          ถึงมาล่าช้ากว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แต่ความฉลาดอันเลิศล้ำของมนุษย์ (สัตว์ที่ฉลาด รองลงไปจากมนุษย์นั้นไม่อาจเปรียบเทียบได้เลยกับหมายเลขหนึ่ง) สามารถเอาสิ่งแวดล้อมมารับใช้ตนเอง ซึ่งต่างจากสัตว์อื่นโดยทั่วไป จึงมีโอกาสทำร้ายและทำลายโลกได้อย่างฉกาจฉกรรจ์

          ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบทางจริยธรรมของสมาชิกผู้ที่ฉลาดที่สุดและ “มั่งคั่ง” ที่สุดทุกคนที่จะต้องสอดส่องดูแลและรับผิดชอบโลกใบนี้ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องบินที่ล่องลอยอยู่ในท้องฟ้าให้บินอยู่ได้อย่างดีนานที่สุดเท่าที่จะนานได้

          สิ่งที่น่ารู้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับประชากรโลกก็คือ ใน 7 พันล้านคนของมนุษย์นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นขอย่อจำนวนคนทั้งโลกให้เปรียบเสมือนมีอยู่ 100 คน “คิ้วคางตาจมูก” ก็เป็นดังต่อไปนี้

          ใน 100 คน มีจำนวนหญิงและชายเท่ากัน (50-50 แต่เพศที่สามมิได้มีการสำรวจ) มีเด็ก 26 ผู้ใหญ่ 74 (อายุ 65 ปีและเกินกว่า 8 คน)

          ในจำนวนทั้งหมดนี้มีคนเอเชีย 60 คน อาฟริกา 15 ทวีปอเมริกา 14 ยุโรป 11 สำหรับการนับถือศาสนานั้นมีคริสเตียน 33 คน มุสลิม 22 ฮินดู 14 พุทธ 7 ศาสนาอื่น ๆ 12 และอีก 12 ไม่เข้าร่วมศาสนาใด

          ในเรื่องการสื่อสาร ภาษาแม่ของ 100 คนนี้คือภาษาจีน 12 คน อังกฤษและสเปน อย่างละ 5 ภาษาอาหรับ ฮินดู เบงกาลี ปอตุเกส อย่างละ 3 รัสเซียและญี่ปุ่น อย่างละ 2 และที่เหลือ 62 คน พูดภาษาอื่น ๆ

          ข้อสังเกตก็คือถึงแม้มีคนใช้อังกฤษเป็นภาษาแม่เพียง 5 คน แต่ก็มีคนอื่น ๆ ใช้อีกเป็นจำนวนมากและกลายเป็นภาษาสำคัญของโลก และมีศักยภาพและพลวัตรสูงมากในการเป็นภาษากลางในทุกพื้นที่ของโลก

          การศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณภาพชีวิตของชาวโลก สถิติบอกว่ามีคนอ่านออกเขียนได้ 83 คน ในจำนวน 17 คนนี้ที่อ่านและเขียนไม่ได้เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

          สถิติที่น่าสนใจอันหนึ่งก็คือจำนวนผู้ได้รับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในปี 2006 มีเพียง 1 คน แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 7 คน ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาในระดับนี้ในทวีปเอเชีย

          สถิติอีกตัวหนึ่งที่ทำให้สังคมโลกเปลี่ยนแปลงก็คือมีผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองมากกว่าอยู่ในเขตชนบท กล่าวคือ 51 และ 49 คน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้เทคโนโลยี โดยมีอยู่ 75 คน ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ 30 คน ใช้อินเตอร์เน็ต 22 คน เข้าถึงการใช้คอมพิวเตอร์ และ 78 คน มีไฟฟ้าใช้

          อย่างไรก็ดียังมีผู้คนเป็นจำนวนมากในโลกที่อยู่ในสภาพยากจน กล่าวคือ 15 คน ได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอ 1 คนจะตายจากการอดอาหาร 21 คนมีน้ำหนักเกินพอดี 48 คน มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 2 เหรียญสหรัฐ (เส้นแบ่งความยากจนของสหประชาชาติ) และเด็กครึ่งหนึ่งในโลกหรือ 13 คนจาก 26 คน อยู่ในสภาพที่ยากจน

          ใครที่มีการศึกษาระดับปริญญา มีรายได้เกินกว่าวันละ 2 เหรียญสหรัฐ มีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์ ใช้อินเตอร์เน็ต ลูกไม่อยู่ในสภาพยากไร้ มีอาหารกินทุกมื้อ ชีวิตมีความหวัง ควรสำนึกในความโชคดีเพราะอยู่ในสถานะที่ดีกว่าหลายพันล้านคนในโลก

          ที่น่าเสียดายก็คือคนจำนวนมากไม่เห็นความจริงข้อนี้ของตัวเขา เพราะตาถูกบดบังด้วยความไม่รู้จักพอ จึงรู้สึกอยู่ร่ำไปว่าชีวิตของเขายังมีไม่เพียงพอตามที่ใจปรารถนา

หน้าม้าปรบมือของบัลเล่ต์ Bolshoi

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 กันยายน 2556

          ไม่น่าเชื่อว่าบัลเล่ต์ชื่อเสียงเรืองนามระดับโลกดังเช่น Bolshoi จะมีการจ้างหน้าม้า ปรบมือนำเพื่อเชียร์นักแสดง ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ฉุกคิดเกี่ยวกับหลายเรื่องที่เราพานพบกันในชีวิตประจำวัน

          เมื่อเร็ว ๆ นี้หนังสือพิมพ์ International Herald Tribune รายงานการทำงานของ “หน้าม้าปรบมือ” หรือ claqueurs ในโรงละครรัสเซีย Bolshoi ชื่อดังของโลก สิ่งที่พบนี้ได้สร้างความแปลกใจและความเขินอายไปทั่ว

          Bolshoi มีความหมายสองอย่าง ๆ แรกคือ (ก) บริษัทบัลเล่ต์ Bolshoi ของรัสเซียซึ่งมีทั้ง The Bolshoi Ballet และ Bolshoi Opera (2) โรงละครรัสเซียมีชื่อเสียงซึ่งมีชื่อว่า Balshoi Theatre

          บริษัท Ballet Bolshoi มีอายุกว่า 200 ปี และมีชื่อเสียงมากตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 มีนักแสดงรวมกว่า 200 คน ส่วนโรงละครมีอายุกว่า 200 ปีเช่นกัน โดนไฟไหม้หลายครั้งและเปลี่ยนชื่อหลายหนจนในที่สุดกลายเป็นชื่อปัจจุบัน

          ในการแสดงไม่ว่าจะเป็นละคร มิวซิเคิล โอเปร่า หรือบัลเล่ต์ ล้วนมีช่องว่างระหว่างการแสดงซึ่งผู้ชมที่ชื่นชอบบทพูด เสียงร้อง การแสดง ท่วงท่า สามารถแสดงออกซึ่งความพึงพอใจในบางจังหวะได้อย่างไม่ผิดประเพณีนิยม และนี่เป็นช่องทางให้ “หน้าม้าปรบมือ” ทำมาหากินด้วยการเป็นผู้นำในการปรบมือ

          “claqueurs” เป็นคำมาจากภาษาฝรั่งเศส” “claque” ก็คือ “to clap” (ปรบมือ) การมีหน้าม้าปรบมือโดยแท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่เลย มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน มีบันทึกว่าเวลาจักรพรรดิ เนโรเล่นละครจะมีทหารเป็นกองเชียร์ปรบมือชื่นชมถึง 5,000 คน

          ในศตวรรษที่ 16 หน้าม้าปรบมือสมัยใหม่ก็เริ่มขึ้นโดยการริเริ่มของกวีชาวฝรั่งเศส Jean Daurat ในปี 1820 ก็กลายเป็นธุรกิจจริงจัง โดยมีการรับจ้างกันลับ ๆ โดยนักแสดงและเจ้าของโรงละคร และในปี 1830 ผู้จัดการโรงโอเปร่าก็จ้างหน้าม้าปรบมืออย่างเป็นระบบเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ การเชียร์ก็ทำได้หลายวิธี เช่น ชวนคนนั่งข้าง ๆ พูดคุยเพื่อแสดงความชื่นชมตัวละครระหว่างเปลี่ยนฉาก หัวเราะดัง ๆ นำเมื่อมีบทที่ขบขัน แกล้งร้องไห้ซับน้ำตานำเมื่อมีบทเศร้า ตะโกนร้อง “bis bis” (หมายถึง encores หรือขอให้เล่นซ้ำอีก) ฯลฯ

          ต่อมาการจ้างหน้าม้าปรบมือระบาดไปทั่วถึงอิตาลี เวียนนา ลอนดอน นิวยอร์ก รัสเซียและในโรงละครใหญ่โตมีชื่อเสียงด้วย เช่น Covent Garden ในลอนดอน Metropolitan Opera ในนิวยอร์ก โรงละคร Bolshoi ในมอสโคว์ ฯลฯ

          สื่อเปิดเผยว่าใน Bolshoi Theatre ปัจจุบันก็มีการจ้างปรบมือนำโดยนักแสดงเพื่อเชียร์ การแสดงของตน หรือจ้างโดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของคณะละคร ในแต่ละรอบจะมีกองทัพหน้าม้านับ สิบ ๆ คน นั่งกระจายกันอยู่ในที่นั่งอันเหมาะสมต่อการรับสัญญาณและการชี้นำการปรบมือ หัวหน้าใหญ่จะเป็นผู้ให้สัญญาณโดยพิจารณาดูความเหมาะสมของจังหวะและอารมณ์ของผู้ชมที่แตกต่างกันในแต่ละรอบ

          หัวหน้าทีมให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นศิลปะขั้นสูงที่ต้องเข้าใจจังหวะ จะโคนของการแสดง หน้าม้ามิได้รับจ้างมาหากแต่เป็นพวกแฟนคลับที่ชื่นชอบนักแสดงโดยแลกกับบัตรเข้าชม

          การยอมรับว่ามีหน้าม้าจริงแต่ไม่มีการจ่ายเงินขัดแย้งกับความเป็นจริงโดยเฉพาะเมื่อผู้นำปรบมือเหล่านี้ต้องเข้าชมซ้ำรอบแล้วรอบเล่า สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือในแต่ละรอบ โรงละครจะมอบ ตั๋วฟรีเพื่อเข้าชมให้แก่นักแสดง ๆ ก็จะไปจ้างหน้าม้ามาปรบมือเชียร์ตนโดยแลกกับบัตรเข้าดูซึ่งมีมูลค่าถึงใบละ 300-500 เหรียญสหรัฐ

          ในแต่ละรอบกลุ่มหน้าม้านี้จะได้ตั๋วฟรีส่วนเกินจากที่พวกตนใช้ไปนั่งแล้วประมาณ 28 ใบ ถ้าเอา 28 คูณกับราคาตั๋วก็พอจะได้ไอเดียว่าเป็นค่าจ้างนำปรบมือที่สูงมาก อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงว่า Bolshoi Theatre มีการแสดงกว่าปีละ 300 ครั้งก็น่าเห็นใจ เพราะจะต้องชมการแสดงเรื่องหนึ่งถึง 20 ครั้งในเวลา 10 วัน ชมไปก็ต้องเหลือบมองสัญญาณจากหัวหน้าไปเพื่อจะได้ปรบมือได้ถูกจังหวะอย่างไม่ผิดพลาด

          การจ้างปรบมือเป็นเรื่องที่นักแสดงจะไม่มีวันพูดถึงเป็นอันขาด น้อยครั้งมากที่จะมีนักแสดงออกมาต่อสู้ในสาธารณะกับกลุ่มรับจ้างปรบมือ สาเหตุที่ทำให้กล้าก็มักมาจากความเหลืออดอันป็นผลจากการแตกคอกับผู้รับจ้าง ในตอนแรกนักแสดงก็ยินดีจ้างเพราะต้องการเสียงปรบมือ แต่เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นก็มักจะเลิกจ้าง จุดนี้ถ้าตกลงกันไม่ดีก็จะเป็นปัญหา อาจถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่ม หน้าม้า เช่น ปรบมือผิดจังหวะ ทำเสียงดังให้เสียสมาธิ ส่งเสียงไล่ ฯลฯ

          สิ่งที่น่าสงสัยก็คือเหตุใดผู้ชมจึงปรบมือตามหน้าม้าเกือบทุกครั้ง หัวหน้าทีม หน้าม้าบอกว่าผู้ชมทั่วไปนั้นไม่ไว้ใจตัวเอง ชอบที่จะดูคนอื่นและทำตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อผู้ชมเห็นคนหนึ่งหรือหลายคนปรบมืออย่างแข็งขันแสดงความพอใจ ก็จะนึกว่าสิ่งอันเป็นพิเศษได้เกิดขึ้นแล้วซึ่งตนเองอาจมองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจดังนั้นก็จะปรบมือตามเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นคนโง่เง่าที่ดูไม่เป็น ตรงนี้แหละที่ทำให้หน้าม้ามีเงินใช้ถึงแม้จะเบื่อแสนเบื่อกับการดูบัลเล่ต์ก็ตาม

          เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของหน้าม้าในโรงละครกับชีวิตจริงแล้วก็ไม่แตกต่างกันเลย บ่อย ๆ ที่เราถูกหลอกโดยสื่อ โดย “คนเชียร์แขก” ที่ปรากฏในสื่อโทรทัศน์ โดยข้อความในอินเตอร์เน็ตให้หลงเชื่อในบางข้อเท็จจริงหรือยอมรับความคิดหรือพฤติกรรมของบางคน ทั้งหมดนี้มีการชี้นำอย่างเป็นระบบ เฉกเช่นเดียวกับการปรบมือนำของหน้าม้าในโรงละคร

          การโฆษณาสินค้าโดยมีผู้น่าเชื่อถือของสังคมเป็นผู้นำเสนอก็เข้าหรอบเดียวกับการทำงานของหน้าม้าปรบมือ การชี้นำผู้คนอย่างเป็นระบบมีอยู่จริงในสังคมเราและมีการพยายามเสริมสร้างให้เติบโตแข็งแรงขึ้นทุกวันอย่างมีวัตถุประสงค์แอบแฝง

น้ำผึ้งฤาถึงจุดจบ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
17 กันยายน  2556

          น้ำผึ้งเป็นหนึ่งในสิ่งอัศจรรย์ของโลกที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ อย่างไรก็ดีในช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ที่น่าตกใจได้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา นั่นก็คือการล้มหายตายจากของผึ้งซึ่งเป็นกองทัพสร้างน้ำผึ้งจำนวนมาก สัญญาณเช่นนี้หมายถึงจุดเริ่มต้นการสูญสลายของน้ำผึ้งไปจากโลกหรือไม่

          มนุษย์เอาน้ำผึ้งป่ามาเป็นอาหารไม่ต่ำกว่า 15,000 มาปีแล้ว ภาพเขียนในถ้ำอายุ 8,000 ปีของเมืองวาเล็นเซียในสเปนแสดงให้เห็นคนสองคนกำลังช่วยกันปีนเก็บรังผึ้งโดยใช้บันได หลักฐานอีกชิ้นก็คือการพบตะกอนน้ำผึ้งอยู่บนภาชนะในหลุมฝังศพที่ประเทศจอร์เจีย ซึ่งมีอายุ 4,700-5,500 ปี ผู้คนในบริเวณนั้นตั้งใจให้น้ำผึ้งเป็นอาหารของผู้ตายระหว่างเดินทางไปสู่โลกหน้า

          ยุคอียิปต์เมื่อ 5-6 พันปีก่อนก็ใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนหนึ่งของสารช่วยเก็บรักษามัมมี่ ซึ่งมีทั้งมัมมี่คนและสัตว์เลี้ยง ทั้งคนอียิปต์และโรมันใช้น้ำผึ้งผสมในขนมเพื่อสร้างความหวาน

          ศิลปะของการเลี้ยงผึ้งปรากฏในตำราจีนโบราณซึ่งไม่อาจระบุอายุได้ แต่เป็นที่ชัดเจนว่ามนุษย์เลี้ยงผึ้งเพื่อเอาน้ำผึ้งมาใช้นานหนักหนาแล้ว มิได้หวังพึ่งน้ำผึ้งป่าแต่เพียงอย่างเดียว

          การเลี้ยงในลักษณะสมัยใหม่ กล่าวคือสร้างรังเพื่อให้ผึ้งไปทำรังโดยสามารถย้ายไปมาได้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 หลังจากที่เข้าใจธรรมชาติของผึ้งและการสร้างน้ำผึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกพันธุ์ผึ้งมาเลี้ยง

          ในศตวรรษที่ 19 นวตกรรมการเลี้ยงผึ้งทั้งการสร้างรังและการผลิตน้ำผึ้งก้าวหน้าไปเป็นอันมาก นักบุกเบิกชาวอเมริกันชื่อ Walter T. Kelley ประสบความสำเร็จในการออกแบบรัง และการผลิตน้ำผึ้งอย่างเป็นกอบเป็นกำ

          ผึ้งแบ่งได้เป็น 3 พวก พวกแรกคือผึ้งงาน (worker) มีหน้าที่สร้าง เก็บ ป้องกัน รังผึ้ง และผลิตน้ำผึ้ง มีอายุอยู่ได้ 20-30 วัน พวกสองคือผึ้งผสมพันธุ์ (drone) มีหน้าที่ผสมพันธุ์กับแม่ผึ้งแต่เพียงอย่างเดียวและตายทันทีหลังจากผสมพันธุ์เสร็จ พวกสามคือแม่ผึ้ง (queen) มีหน้าที่วางไข่วันละ 1,500 ใบ หรือกว่านั้น จะปล่อยสาร pheromones เพื่อควบคุมผึ้งงาน

          ผึ้ง 6 พันธุ์ใน 20,000 พันธุ์คือพวกที่สามารถเอามาใช้ผลิตน้ำผึ้งเชิงพาณิชย์ได้ ผึ้งมีตัวเลขที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ (1) ผึ้งงานหนึ่งตัวตลอดชีวิตจะผลิตน้ำผึ้งได้ 1/12 ช้อนชา (2) ในการผลิตน้ำผึ้งหนัก 1 ปอนด์ (0.4 กิโลกรัม) ผึ้งงานต้องบินเพื่อเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้รวมกันทั้งสิ้นเป็น ระยะทาง 89,000 กิโลเมตรโดยสัมผัสดอกไม้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านดอก

          ผึ้งมีหน้าที่สำคัญคือเป็นตัวกลางในการนำเกสรตัวผู้และตัวเมียมาผสมกันจนเกิดเป็นผลและเมล็ดขึ้น พืชบางอย่างเกสรผสมกันเองได้โดยไม่ต้องอาศัยผึ้ง แต่พืชหลายอย่างต้องอาศัยผึ้งในระดับที่แตกต่างกัน เช่น อัลมอนด์ อาศัยผึ้ง 100% แอปเปิ้ล หน่อไม้ฝรั่ง อะโวกาโด บล็อคโคลี่และหัวหอมต่างพึ่งผึ้ง 90% และพืชผลไม้อื่น ๆ ดังนี้ แตงโม (65%) ส้ม (45%) มะนาว (20%) ถั่ว (2%) และองุ่น (1%)

          ผึ้งเป็นแรงงานที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างแม้แต่สตางค์แดงเดียว แต่กลับสร้างมูลค่าพืชผักผลไม้ซึ่งแปรเป็นรายได้มหาศาล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมนุษย์ไม่สำนึกในบุญคุณของผึ้ง หรือด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อย่างอื่นที่ทำให้ผึ้งพันธุ์ที่ใช้ผลิตน้ำผึ้งในสหรัฐอเมริกามีจำนวนที่ลดลงอย่างผิดสังเกตในช่วงเวลา 7 ปี ที่ผ่านมา

          ในปี 2006 นักเลี้ยงผึ้งอเมริกันตกใจมากเมื่อเปิดกล่องรวงผึ้งและพบว่ามีจำนวนผึ้งเหลือเพียงครึ่งเดียว บางลังก็ไม่มีผึ้งเลย ในช่วงฤดูหนาวของปี 2012 จำนวนรังผึ้งในสหรัฐอเมริกาหายไปถึง 1 ใน 3 ซึ่งการหายไปนี้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับจำนวนของปีก่อนในเวลาเดียวกัน (ปกติจะหายไปเพียง ร้อยละ 10-15)

          นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์ที่น่ากลัวนี้ว่า CCD (Colony-Collapse Disorder) ข้อกังวลนี้มิใช่หมายถึงเพียงการลดลงของปริมาณน้ำผึ้งเท่านั้น หากจะกระทบอย่างมากต่อผลผลิตการเกษตรที่ต้องอาศัยผึ้ง หากไม่แก้ไขปัญหาแล้วอัลมอนด์ซึ่งอาศัยผึ้งมากที่สุดและเป็นพืชเกษตรสำคัญที่สุดของรัฐแคลิฟอร์เนียก็จะต้องสูญอนาคตไป

          หลังจากการวิเคราะห์โดยวงวิชาการและภาครัฐก็คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก (1) ยาฆ่าแมลงตระกูล neonicotinoid ซึ่งใช้กันแพร่หลายตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ไม่ว่าในพืชเกษตร หรือแปลงดอกไม้หลังบ้าน ยานี้ต่างจากยาฆ่าแมลงอื่น ๆ เพราะเมล็ดจะถูกแช่ในน้ำยา neonicotinoid ก่อนนำไปปลูก ดังนั้นยาจะปรากฏอยู่ในทุกส่วนของพืชซึ่งรวมไปถึงเกสรดอกไม้ด้วย

          ผู้เลี้ยงผึ้งเชื่อว่ายาฆ่าแมลงชนิดนี้เป็นสาเหตุสำคัญ จากการทดลองพบว่าเมื่อผึ้งสะสม ยาฆ่าแมลง neonicotinoid ในร่างกายในระดับหนึ่งแล้วประสาทของมันจะถูกทำลายจนไม่สามารถบังคับการบินให้ถูกทิศทางได้ และตายในที่สุด

          (2) ฆาตกร varroa ซึ่งเป็นแมลงตัวเล็กมองไม่เห็นสามารถเจาะเซลล์ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนการเลี้ยงตัวอ่อนจนทำให้ตัวอ่อนตาย ฆาตกรตัวร้ายนี้ปรากฏในสหรัฐอเมริกาในปี 1987 โดยเชื่อว่าติดมากับผึ้งที่นำเข้าจากอเมริกาใต้ (3) แบคทีเรียหรือฟังกัสที่นำเชื้อโรคมาฆ่าผึ้งทั้งรังได้นั้นมีอยู่หลายตัวซึ่งอาจมีบทบาทร่วมอย่างสำคัญ

          น้ำผึ้งมีสรรพคุณเป็นยาและอาหารสุขภาพชั้นเลิศ ถ้ามนุษย์ไม่ดูแลผึ้งซึ่งทำงานหนักมากเพื่อสร้างน้ำผึ้งให้ชาวโลกภายใต้ความสมดุลของธรรมชาติแล้ว ธรรมชาติอาจทวงกลับไปจากมนุษย์ก็ได้และหลังจากจุดนั้นแล้ว อีกหลายอย่างก็อาจถูกทยอยทวงกลับคืนไปก็เป็นได้