สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้อื้อฉาว

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
15 เมษายน  2557

          คงไม่มีสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใดของโลกในปัจจุบันที่อื้อฉาวเท่ากับ Nadine Heredia ภรรยาของประธานาธิบดี Ollanta Humala แห่งเปรู เธอสามารถทำให้รัฐมนตรีต้องลาออกไปหลายคน และความนิยมของสามีเธอตกอย่างน่ากลัว

          ทั้งสามีและภรรยามีเชื้อสายอินเดียนแดงพื้นเมืองเผ่า Quechua ในเปรู ประเทศที่อุดมไปด้วยคนพื้นเมือง ซึ่งต่างจากชิลีซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของเผ่าพันธุ์คนผิวขาว

          เปรูมีประชากร 30.8 ล้านคน มีพื้นที่มากกว่าไทยกว่าเท่าตัว รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีต่ำกว่าไทยเกือบ 10 เท่าตัว ประเทศนี้มีตัวละครการเมืองที่โลดโผนราวนิยาย

          คนไทยคุ้นกับชื่อของอดีตประธานาธิบดีเปรู Alberto Fujim?ri ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยเคยไปเยือนประเทศนี้ใน ค.ศ. 2000 และหลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ตกจากอำนาจเพราะรัฐสภาจะเล่นงานจนต้องหนีไปอยู่ญี่ปุ่นด้วยข้อหาคอรัปชั่น ใช้อำนาจเถื่อนปราบปรามคู่แข่ง ผู้ก่อการร้าย สื่อและกลุ่มประชาชนที่ขัดขวางอำนาจซึ่งเขาครองอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1990-2000

          ระหว่างหลบหนี เขามาเยี่ยมชิลีในปี 2005 และถูกจับส่งไปขึ้นศาลที่เปรูใน ค.ศ. 2007 ศาลตัดสินจำคุกเขาหลายคดีรวมแล้ว 25 ปี ปัจจุบันก็ยังอยู่ในคุก (ใครว่าผู้นำติดคุกไม่ได้ ปัจจุบันอดีตประธานาธิบดีอิสราเอล อดีตประธานาธิบดีไต้หวันก็อยู่ในคุก อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็เคยติดคุก)

          ในช่วงที่ Fujimori เป็นประธานาธิบดี เขามีผลงานที่ประชาชนชื่นชอบหลายประการท่ามกลางการใช้อำนาจเด็ดขาดและการคอรัปชั่น ประชาชนจำนวนมากรักชอบเขา แต่บางส่วนก็เกลียดชัง และท่ามกลางกระแสไม่พอใจนี้ ใน ค.ศ. 2000 ก็มีนายทหารระดับกลางใจกล้าคนหนึ่งลุกขึ้นต่อสู้ความไม่ชอบธรรมร่วมกับทหารอีก 40 คน แต่ไม่สามารถสู้รบกับการปราบปรามของรัฐบาลได้จนต้องหนีเข้าป่า เมื่อ Fujimori ตกจากอำนาจแล้วเขาจึงออกมาและได้รับนิรโทษกรรม

          การกระทำของ Ollanta Humala ครั้งนั้นได้รับความเห็นใจและชื่นชอบจากประชาชนเปรูจำนวนมาก จนผลักดันให้เขาโดดลงเล่นการเมือง และได้เป็นสามีของเฟิร์สเลดี้ผู้อื้อฉาวคนนี้ในปัจจุบัน

          ชีวิตของ Humala ก็ไม่ธรรมดา พ่อเขาเป็นทนายความที่กล้าพูดสิ่งที่อื้อฉาวพอ ๆ กับแม่ของเขา เขามีพี่น้องอีก 2 คน ๆ หนึ่งปัจจุบันติดคุก 25 ปีด้วยข้อหาฆ่าตำรวจ 4 คน จากการจับตำรวจ 17 คนไปกักขังหน่วงเหนี่ยว อีกคนหนึ่งเป็นศาสตราจารย์ซึ่งเป็นคู่แข่งคนหนึ่งในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกของเขาในปี 2006 แต่สู้เขาไม่ได้เลย

          Humala แพ้ไปอย่างฉิวเฉียดในปี 2006 หลังจากโดนป้ายสีมากมาย แต่พรรค Peruvian Nationalist Party ของเขาซึ่งมีอุดมการณ์เอียงซ้ายก็ไม่ย่อท้อ ต่อสู้ต่อไปจนชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีในปี 2011 โดยชนะคู่แข่งคือ Fujimori ไปอย่างน่าหวาดเสียว…เปล่าครับ…นาย Fujimori มิได้แหกคุกออกมาแข่งเลือกตั้ง หากเป็น Keiko Fujimori ลูกสาวอดีตประธานาธิบดี

          ประเพณีของการพยายามสืบทอดบัลลังค์ประธานาธิบดีโดยภรรยาในอเมริกาใต้มีมายาวนานตั้งแต่ Eva Peron (เจ้าของตำนาน Don’t Cry for me Argentina) ภรรยาของนายพล Peron หรือ Susama Higuchi Miyagawa ภรรยาอดีตประธานาธิบดี Fujimuri แต่ที่เปรูนั้นไม่สามารถทำได้ในปัจจุบันเนื่องจากมีการออกกฎหมายห้ามภรรยาเป็นประธานาธิบดีต่อเนื่องกับสามี (สู้ไทยไม่ได้ ที่มี ‘หย่าการเมือง’ เพื่อสร้างสภาผัวเมีย)

          ถ้าถามคนเปรูปัจจุบันว่า Nadine Heredia มีเป้าหมายจะเป็นประธานาธิบดีในอนาคตหรือไม่ คนส่วนใหญ่จะตอบว่าใช่เพราะเฟิร์สเลดี้คนนี้เข้าไปจุ้นจ้านกับงานของสามีอย่างไม่เขินอาย เธอกล้าแสดงความคิดเห็นในสื่อในเรื่องที่สวนทางกับนายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผย จนนายกรัฐมนตรีต้องลาออก

          Nadine เรียนจบปริญญาตรีด้านนิเทศาสตร์ และจบปริญญาโทด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยในเปรู ปัจจุบันมีอายุเพียง 38 ปี (สามีอายุ 52 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน) เธอเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมตั้งพรรค Peruvian Nationalist Party กับสามีตั้งแต่ยังมีอายุน้อย ๆ ทั้งสองพูดภาษาท้องถิ่นของชาว Quechua ซึ่งเป็นภาษาแม่ของตน จึงสามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดีและได้รับความนิยมมากใน ตอนแรก เชื่อกันว่าเธอได้รับเงินสนับสนุนทางการเมืองจากอดีตประธานาธิบดี Hugo Chavez แห่งเวเนซูเอล่า ผู้มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกัน

          จาก ค.ศ. 2011 ถึง 2014 ความนิยมของสามีและตัวเธอเริ่มตกต่ำลงเป็นลำดับ เมื่อคนเปรูเห็นว่าเธอวุ่นวายกับงานของสามีมากเกินไป ประธานาธิบดีมีความนิยมตกจากร้อยละ 50 เหลือเพียงร้อยละ 25 ในเวลาหนึ่งปี ส่วนเธอนั้นลดลงจากร้อยละ 66 เมื่อสองปีก่อน เหลือเพียงร้อยละ 27

          เธอบอกสื่อว่ารัฐบาลจะไม่มีการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งสวนทางกับที่นายกรัฐมนตรีคือนาย Cesar Villanueva ประกาศไว้เมื่อตอนเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อ 4 เดือนก่อน จนเขาประกาศลาออก (นักการเมืองประเทศนี้ดูจะหน้าบางอย่างมีมารยาท) เช่นเดียวกับอีก 3 นายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ Humala เข้ามาเป็นประธานาธิบดี

          twitter ของ Nadine มีผู้ติดตาม 750,000 คน ข้อความของเธอทำให้หลายคนต้องลาออกหรือหมดอำนาจไปไม่นานหลังจากเริ่มงาน รองประธานาธิบดีก็ลาออกไปหลังจากมีข่าวเรื่องทุจริต Nadine เป็นผู้ช่วยเร่งการลาออกด้วยการเขียนใน twitter ว่า ‘กะอีกแค่เดินตรง ๆ ก็ทำไม่ได้หรือ’

          เธออาละวาดหลายครั้งจนปัจจุบันเหลือรัฐมนตรีที่ร่วมงานกันมาแต่แรกเมื่อ 3 ปีก่อนอยู่ไม่กี่คน ตลอดเวลาสามีของเธอปกป้องมาตลอดว่าเธอมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเพื่อแก้ปัญหาว่าเธอเป็น ‘ข้าวนอกนา’ จะมายุ่งกับเรื่องการเมืองได้อย่างไร เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นรักษาการหัวหน้าพรรค Peruvian Nationalist Party แต่ถึงอย่างไรคนเปรูก็เห็นว่าเธอข้ามเส้นไกลเกินไปแล้ว

          ชะตากรรมของ Nadine จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นเป็นที่น่าสนใจติดตาม ระหว่างนี้คงจะต้องคอยดูกันว่าประธานาธิบดี Humala จะ พ.พ.ม. ด้วยฟางเส้นสุดท้ายใด

          น่าเสียดายที่มนุษย์จำนวนมากไม่รู้จักใช้คุณสมบัติและโอกาสที่มีให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมเพราะถูกความทะเยอทะยานครอบงำจนขาดวุฒิภาวะและการรู้จักกาลเทศะ

ออมก่อนใช้

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
8 เมษายน 2557

          “เป็นคนประหยัดนะ แต่เก็บเงินไม่เคยได้เลย” “วางแผนใช้จ่ายแต่ไม่เคยมีเงินเหลือเก็บ” “ตั้งใจจะออมแต่เงินไม่ถึงปลายเดือนสักที” คำพูดเหล่านี้เราได้ยินกันทุกวัน อะไรเป็นสาเหตุของการออมไม่ได้และจะแก้ไขอย่างไร

          การจับจ่ายใช้เงินเป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์ อย่างไรก็ดีทุกคนมีรายได้เป็นตัวกำกับว่าจะใช้จ่ายได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าจ่ายมากกว่าที่หามาได้ก็จะเกิดหนี้ แต่ถ้าจ่ายน้อยกว่าที่หามาได้ก็จะมีเงินเหลือจ่ายหรือมีเงินออม ซึ่งเก็บไว้เผื่อฉุกเฉินหรือเอาไปลงทุนให้เงินมันงอกเงยขึ้น

          ความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะมีรายได้มากเพียงใด ถ้ารายจ่ายแซงหน้าแล้วจะเกิดหนี้ขึ้นเสมอ ดังนั้นจึงมีคำสอนว่า “การหาเงินนั้นสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า”

          บางคนอาจมีเงินไม่มากนัก แต่ก็สามารถมีเงินออมได้เพราะสามารถควบคุมการใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้ บางคนมีรายได้มากในแต่ละเดือน และรู้จักใช้จ่ายก็ยิ่งสามารถเก็บเงินออมได้มากยิ่งขึ้น

          การจะมีเงินออมได้นั้นต้องมาจากการมีเงินเหลือจ่ายในแต่ละเดือน และมันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีศิลปะในการออม อะไรคือความลับของการสามารถมีเงินออมได้?

          ลองสังเกตดูไหมว่าเมื่อเราตั้งใจจะออมเงินโดยใช้วิธีประหยัดรายจ่ายเพื่อให้เหลือเงิน ตอนปลายเดือนนั้นไม่ค่อยเกิดขึ้นจริง งานวิจัยด้านการเงินส่วนบุคคลหลายชิ้นพบว่าวิธีการออมแบบนี้ไม่ได้ผลเนื่องจากผู้คนมักเพลิดเพลินกับการจ่ายเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทาง จะระมัดระวังมากก็เฉพาะยอดเงินสูง อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่ในชีวิตประจำ

          วันนั้น มนุษย์จ่ายเงินยอดเล็กยอดน้อยกันมากกว่าเงินก้อนใหญ่มาก โดยมักไม่ค่อยคิดว่าเมื่อรวมเงินยอดเล็กเข้ากันทั้งหมดแล้วจะเป็นยอดเงินที่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงปลายเดือนจึงไม่มีเงินเหลือให้ออม และก็มักเป็นเช่นนี้เดือนแล้วเดือนเล่า คนแล้วคนเล่า

          ถ้าจะออมให้ได้ผลนั้นต้องเป็นการ ‘ออมก่อนใช้’ กล่าวคือทันทีที่ได้รับเงินมาให้จัดแบ่งส่วนหนึ่งที่ต้องการออมไว้ต่างหากทันทีแล้วจึงใช้จ่ายเงินที่เหลือ การออกแบบบังคับเช่นนี้แหละคือวิธีที่ได้ผล

          ในทางปฏิบัติ “ออมก่อนใช้” หมายความถึงการสั่งธนาคารไว้เลยให้หักเงินรายได้ ส่วนหนึ่งเข้าบัญชี 1 และ 2 และ 3 (เพื่อการศึกษาลูก เพื่อท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอื่น ๆ) วิธีนี้พิสูจน์โดยงานวิจัยแล้วว่าได้ผลกว่าการออมแบบปกติ

          ‘ออมก่อนใช้’ ในอีกทางปฏิบัติก็คือการผ่อนซื้อที่ดิน บ้าน รถยนต์ หรือสิ่งมีค่าอื่น ๆ เงินที่ถูกบังคับให้ผ่อนชำระเช่นนี้โดยแท้จริงแล้วก็คือ “เงินออมก่อนใช้” ของเรานั่นเอง

          ในกรณีนี้สิ่งพึงระวังก็คือควรผ่อนซื้อสิ่งที่มีค่าเสื่อมน้อย หรือถ้าจะให้ดีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต รถยนต์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนบางกลุ่มนั้นมีค่าเสื่อมสูง การผ่อนซื้อรถมูลค่าสูงนั้นต้องคำนึงถึงค่าเสื่อมให้มากเพราะเจ้าของมักไม่ตระหนักถึงการสูญเสียมูลค่ารถยนต์ที่เกิดขึ้นทุกนาที จะรู้ว่ามูลค่ารถยนต์ลดไปมากก็ต่อเมื่อถึงเวลาขาย รถราคาสูงจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงและค่าเสื่อมสูงเสมอ ดังนั้นผู้ซื้อจึงจำต้องคำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดี

          การผ่อนซื้อที่ดินหรือทรัพย์สินเพื่อเก็งกำไรก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน เพราะต้องแบก ค่าดอกเบี้ยและความไม่แน่นอนของมูลค่าในอนาคต คนที่ได้รับประโยชน์ในขั้นสุดท้ายนั้นมักเป็นคนอื่น

          ‘ออมก่อนใช้’ ที่ดีก็คือการซื้อที่อยู่อาศัย เพราะทุกเดือนของการผ่อนชำระคือการขยับเข้าไปใกล้การเป็นเจ้าของอีกหนึ่งก้าว (ค่าเช่าที่อยู่อาศัยเป็นการจ่ายค่าบริการ ไม่ว่าจะจ่ายนานเท่าใดก็ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ) ณ ปลายทางของการผ่อนคือการได้บ้านเป็นของเราเอง เราไม่ต้องจ่าย ค่าเช่าบ้านตลอดเวลาการผ่อน และหลังจากผ่อนครบเป็นเจ้าของบ้านแล้ว นอกจากนี้ยังมีโอกาสสูงที่มูลค่าบ้านจะเพิ่มในอนาคต ถ้าเราไม่อยู่อาศัยเองก็เอาไปให้คนอื่นเช่า เราก็ได้ค่าเช่าเป็นรายได้โดยไม่ต้องออกแรงทำงาน

          ‘ออมก่อนใช้’ เป็นคาถาที่ขลังถ้าต้องการมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายเพื่อนำเงินไปลงทุนสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก คาถานี้จะช่วยให้มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิตและอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีโดยไม่ต้องอาศัยจมูกคนอื่นหายใจ

ปลอดภัยด้วยเครื่องบิน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
25 มีนาคม 2557

          ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นในการเดินทางด้วยเครื่องบิน ผู้คนก็จะหวาดผวา การบินกันไปพักหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ก็หาความสบายใจไม่ค่อยได้เพราะไม่รู้ว่ามันปลอดภัยจริงหรือไม่ วันนี้ลองมาดูกันว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นปลอดภัยหรือไม่เพียงใด

          เหตุการณ์ผิดปกติของสายการบินมาเลเซียเที่ยวบินที่ MH370 เมื่อไม่นานมานี้ถือได้ว่าติดอันดับ แต่เที่ยวบิน AF447 ของ Air France เมื่อปี 2009 ก็ไม่ยิ่งหย่อนเพราะใช้เวลาเกือบ 2 ปี จึงจะพบสถานที่ตกและพบกล่องดำของเครื่องบิน และสามารถเอาศพของผู้โดยสารบางส่วนขึ้นมาได้อีกจากความลึกประมาณ 4 กิโลเมตรในมหาสมุทรแอตแลนติค

          AF447 บินระหว่างเดอไจนาโรของบราซิลกับปารีส เที่ยวนั้นนอกจากกัปตันแล้วยังมีนักบินผู้ช่วยอีกถึง 2 คน (ปกติเครื่องบิน Airbus A330 ใช้นักบินเพียง 2 คนเท่านั้น) จากกล่องดำซึ่งบันทึกเสียงที่พูดกันในห้องนักบินและการทำงานของเครื่องบินทั้งหมด และหลักฐานประกอบต่าง ๆ อย่างกว้างขวางก็สรุปได้ว่าเครื่องบินสูญเสียการควบคุมเนื่องจากน้ำแข็งไปอุดช่องส่งสัญญาณวัดความเร็วจนนักบินไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริง นอกจากนี้ความผิดพลาดของนักบินจากความไม่สันทัดการควบคุมเครื่องบินด้วยมือหลังจากหลุดมาจากโหมดการบินด้วยเครื่องบังคับอัตโนมัตก็มีส่วนช่วยทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น

          ทุกครั้งของอุบัติเหตุการบินที่เกิดขึ้น โดยแท้จริงแล้วมิได้เกิดจากสาเหตุภายนอกอย่างเดียว หากมีปัจจัยอื่นประกอบด้วยจนช่วยทำให้เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น บ่อยครั้งมาจากการที่นักบินมิได้แก้ไขปัญหาจากภายนอกที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยความผิดพลาดของมนุษย์จึงมักมีบทบาทร่วมอยู่ด้วยเสมอ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นบริษัทเครื่องบินก็ชอบที่จะโทษนักบิน สายการบินก็พยายามโทษความผิดพลาดของกลไกเครื่องบิน ผู้ควบคุมการบินเพื่อนำร่องเครื่องบินและขึ้นลงก็พยายามคุ้มครองตัวเอง ดังนั้นการสอบสวนทุกอุบัติเหตุจึงกินเวลานาน ผ่านการต่อสู้เชิงความคิดและการถกเถียง ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และการเมืองกว่าจะหาข้อสรุปได้ บางครั้งก็มีหลายรายงานกว่าจะลงตัวกันในที่สุด

          AF447 ทำให้ผู้โดยสาร 216 คนกับเจ้าหน้าที่เครื่องบิน 12 คน เสียชีวิตหมด ผ่านไป 5 วันก็เก็บศพได้จำนวนหนึ่งแต่ใช้เวลาอีกเกือบ 2 ปีกว่าจะหาเครื่องบินพบและสามารถนำศพขึ้นมาได้อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือ 74 รายไม่สามารถหาพบ ความสยองขวัญครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกการบินสมัยใหม่เนื่องจากในปัจจุบันการเดินทางด้วยเครื่องบินปลอดภัยกว่าสมัยก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้

          เครื่องบินปัจจุบันมีความก้าวหน้าเป็นอันมากทางด้านเทคโนโลยี ชิ้นส่วนหลายล้านชิ้นประกอบกันขึ้นเป็นเครื่องจักรหนักกว่า 150 ตันที่ช่วยให้มนุษย์สมัยใหม่เดินทางได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัยในระดับที่สูงมาก

          ข้อมูลที่ยอมรับในเชิงสถิติก็คือถ้าท่านขึ้นเครื่องบินโดยสารพาณิชย์สายใดโดยไม่เฉพาะเจาะจงทุกวัน ท่านจะต้องใช้เวลา 26,000 ปี จึงจะมีโอกาสประสบอุบัติเหตุ

          ถ้าเป็นสหรัฐอเมริกาซึ่งมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ความเสี่ยงที่จะประสบอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตในเที่ยวบินพาณิชย์หนึ่ง คือ 1 ใน 23 ล้าน ซึ่งพอ ๆ กับความเป็นไปได้ที่เด็กคนหนึ่งในประเทศนั้นจะเติบโตและได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

          ในปี 2000 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาตก 92 คน แต่มีคนตายด้วยรถยนต์ 41,800 คน ถ้าจะหลีกหนีข้อถกเถียงว่าคนเดินทางด้วยรถยนต์มากกว่าก็ต้องมีจำนวนผู้ตายมากกว่าเป็นธรรมดาออกไป ก็ต้องใช้จำนวนการตายต่อกิโลเมตรแทน

          เมื่อคำนึงถึงจำนวนการตายต่อระยะทางแล้ว โดยทั่วไปสำหรับเครื่องบินมีจำนวน การตาย 0.01 ต่อ 100 ล้านไมล์ของการเดินทางของผู้โดยสาร 0.05 จำนวนการตายต่อ 100 ล้านไมล์ของผู้โดยสารด้วยรถโดยสารและรถไฟ และจำนวนการตาย 0.72 ต่อ 100 ล้านไมล์ของการเดินทางของรถยนต์ สำหรับประเทศที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษในการเดินทางทางบก ตัวเลขการตายอาจสูงกว่าสถิตินี้

          ถ้าคำนึงถึงความเป็นไปได้โดยทั่วไปแล้ว ผู้เดินทางคนหนึ่งในเที่ยวหนึ่งมีความเป็นไปได้ในการตายจากเครื่องบินตก 1 ใน 11 ล้าน ในขณะที่มีความเสี่ยงในการถูกฉลามกัดตาย 1 ใน 3.7 ล้าน

          ในระดับโลกระหว่างปี 2009 ถึง 2011 โดยเฉลี่ยมีผู้เสียชีวิตจากเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ตกปีละ 800 คน ในขณะที่บ้านเราทุกชั่วโมงมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เกือบ 2 คน (ปีละ 17,520 คน) ดังนั้นเพียงหนึ่งปีแค่ประเทศไทยก็มีผู้เสียชีวิตจากรถยนต์มากกว่าเครื่องบินตกทั่วโลกแล้ว

          สำหรับคนที่กลัวการบินเพราะได้ฟังข่าวอุบัติเหตุของเครื่องบินอยู่เนือง ๆ สิ่งที่ทำให้ น่ากลัวก็คือลักษณะการตายของผู้โดยสาร มักเห็นกันว่ารถยนต์นั้นเดินทางทางบก จะชั่วจะดีก็จอดได้ และหลบหลีกได้โดยรถยนต์ซึ่งอยู่ในการควบคุมของเรา ถึงเกิดอุบัติเหตุก็อาจไม่ร้ายแรงนัก มีโอกาสเพียงบาดเจ็บ แต่กรณีเครื่องบินนั้นเหมือนซื้อหวย บังคับอะไรไม่ได้เลย (ยกเว้นคนที่เลขหวยล๊อก) เวลาเกิดเหตุก็ตายหมู่กันนับร้อย ๆ คนทันที การคิดเช่นนี้เป็นความสับสนระหว่างความเป็นไปได้ของการเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกับลักษณะของการเสียชีวิต ถ้าตายมันก็ตายทั้งนั้นแหละไม่ว่าวิธีใด

          โดยเหตุและผลแล้ว การเดินทางด้วยเครื่องบินปลอดภัยกว่าทุกวิธีของการเดินทางถึงแม้จะมีโอกาสตายอย่างน่ากลัวด้วยเครื่องบิน แต่โอกาสของความเป็นไปได้ก็น้อยมากจนน่าจะสบายใจได้

          เพื่อไม่ให้สบายใจเกินไป ก็ขอให้สถิติว่าสำหรับเครื่องบินที่ประสบอุบัติเหตุนั้น ร้อยละ 80 เกิดขึ้นในช่วง 3 นาทีแรกของการบิน (ช่วง take-off) และ 8 นาทีหลังของการบิน (ช่วง landing)

อย่าลืมไต้หวัน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 มีนาคม  2557

          ครั้งหนึ่งไต้หวันดูจะเป็นที่คุ้นเคยของคนไทย แต่เมื่อกระแสจีน อาเซียน และเกาหลีพุ่งสูงขึ้น ไต้หวันก็ดูเหมือนถูกมองข้ามไป

          ชื่อดั้งเดิมของไต้หวันตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 คือฟอร์โมซา นักเดินเรือปอตุเกสเป็นผู้ตั้งชื่อว่า Ilha Formosa ซึ่งหมายถึง Beautiful Island

          ในสมัยโบราณ เมืองหลวงเก่าแก่เป็นเมืองท่าอยู่ทางใต้มีชื่อว่า “ไต้หวัน” แต่ต่อมาชื่อเมืองกลับกลายเป็นชื่อเกาะ ดังนั้นเมืองนี้จึงต้องมีชื่อใหม่ว่า Tainan ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยว มีอารยธรรมดั้งเดิมก่อนที่ความเจริญจะแพร่ขึ้นไปทางเหนือคือไทเปซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบัน

          เกาะนี้อยู่ภายใต้การครอบครองของพวกดัชจนกระทั่งถึงราชวงศ์ชิง จึงตกอยู่ในมือของจีนนับตั้งแต่ ค.ศ. 1683 โดยอยู่ภายใต้มณฑลฝูเจี้ยนอันเป็นแหล่งที่อยู่ของคนฮกเกี้ยนเป็นส่วนใหญ่

          ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งแรกระหว่าง ค.ศ. 1894-1895 เกาะไต้หวันก็ตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น จนกระทั่งอีก 50 ปีต่อมาเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ไต้หวันจึงมีประวัติศาสตร์ใหม่

          ในปี 1949 เมื่อสงครามกลางเมืองในจีนสงบลงโดยพรรคคอมมูนิสต์ของเหมา เจอ ตุง เป็นผู้ชนะได้ครอบครองแผ่นดินใหญ่ จอมพลเจียงไคเช็คแห่ง Republic of China ผู้พ่ายแพ้ก็ต้องยึดเกาะไต้หวันเป็นฐาน และตั้งแต่นั้นมาไต้หวันก็เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจจนกลายเป็นหนึ่งในเสือ 4 ตัวของเอเชีย

          ในปี 1945 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม จอมพลเจียงไคเช็คประธานาธิบดี Republic of China เป็นผู้ปลดอาวุธญี่ปุ่นแทนฝ่ายพันธมิตร และได้ไต้หวันมาเป็นดินแดน ในตอนนั้นคงมองอยู่เหมือนกันว่าถ้าแพ้สงครามกลางเมืองก็จะมายึดเกาะนี้เป็นหัวหาด

          การมองเช่นนี้มิใช่สิ่งผิดเพราะตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน 50 ปี ถึงแม้จะประสบปัญหากับคนพื้นเมืองและคนจีนรบราฆ่าฟันกันมาตลอด แต่ก็ได้สร้างเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน (รถไฟ ถนน) อาคารตึกรามบ้านช่อง ระบบน้ำทิ้ง ตลอดจนรากฐานการศึกษา (ตั้ง National Taiwan University ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกในปัจจุบัน) ไว้เป็นอย่างดี

          ด้วยโครงสร้างที่ดีเช่นนี้เมื่อไต้หวันเดินเครื่องด้วยการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะในระหว่างสงครามเกาหลีต้นทศวรรษ ค.ศ. 1950 ไต้หวันเป็นฐานสนับสนุนการผลิตที่สำคัญ) และโลกตะวันตก เศรษฐกิจก็รุดหน้าไปไกลกว่าจีนแผ่นดินใหญ่คู่แข่งดั้งเดิมเป็นอันมากในทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970

          ถึงแม้ไต้หวันจะประสบปัญหาการถูกมองข้ามทางการเมืองเมื่อจีนได้รับการยอมรับจากสหรัฐอเมริกาและโลกนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา แต่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจก็มิได้ลดลงเมื่อผนวกกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีอุตสาหกรรม เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และไอที คนไต้หวันมีรายได้ต่อหัวสูงทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้วในปัจจุบัน

          คนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีประมาณ 200,000 บาท คนไต้หวันมีรายได้สูงกว่า คนไทย 3.4 เท่า คนญี่ปุ่น 6 เท่า และคนเกาหลี 3.8 เท่า

          จำนวนเท่าเหล่านี้น่าตื่นเต้นแต่อย่าลืมว่าค่าครองชีพก็สูงตามไปด้วย ดังเช่นเกาหลี ญี่ปุ่น ยกเว้นไต้หวัน

          ผู้เขียนได้ประสบด้วยตนเองเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ค่าครองชีพของคนไต้หวันใกล้เคียงกับคนไทยในเมืองใหญ่ (ค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนก็ใกล้เคียงกัน) แต่คนไต้หวันมีรายได้มากกว่าคนไทย 3.4 เท่า ตัวเลขเช่นนี้ทำให้เห็นภาพได้ว่าคนไต้หวันมีคุณภาพชีวิตสูงอย่างเงียบ ๆ เพียงใดในโลกปัจจุบัน

          สาเหตุสำคัญที่ไต้หวันสามารถรักษาค่าครองชีพให้ต่ำไว้ได้ก็คือเทคโนโลยีการเกษตรที่ก้าวหน้ามีผลผลิตสูงจนทำให้ต้นทุนอาหารอยู่ในระดับต่ำ กอบกับการไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัวของภาครัฐ ทำให้อำนาจซื้อของประชาชนและภาครัฐสมดุลกับผลผลิตจนส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อต่ำ นอกจากนี้ความสามารถในการส่งออกทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ไต้หวันไม่อ่อนจนทำให้น้ำมันและวัตถุดิบที่นำเข้ามีราคาสูงด้วย

          ไต้หวันมีจุดแข็งด้านการศึกษาในทุกระดับ ถึงแม้จะมีจำนวนสถาบันอุดมศึกษาใกล้เคียงกับไทยคือประมาณ 170 แห่ง (แต่มีประชากรเพียง 23 ล้านคน) ทางการของไต้หวันก็สามารถควบคุมดูแลรักษากฎเกณฑ์ บังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาคุณภาพการศึกษาได้อย่างแข็งขัน

          ไต้หวันมีปัญหาเรื่องสีเช่นเดียวกัน ในทางการเมืองความคิดของคนไต้หวันแบ่งออกเป็นสองสีคือพวกสีน้ำเงินซึ่งมองว่าในระยะยาวนั้นการรวมตัวกับจีนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ในระยะเวลาสั้นไม่เห็นด้วยกับการรวมตัวกับจีนซึ่งเป็นความเห็นอย่างท่วมท้นของ คนไต้หวัน

          อีกสีหนึ่งคือพวกสีเขียวซึ่งต้องการอิสรภาพของไต้หวัน ไม่ต้องการรวมตัวกับ จีน หากปรารถนาความเป็นไต้หวัน อย่างไรก็ดีในระยะเวลาสั้นเห็นว่าควรจะคงสถานะไว้อย่างเดิม ไม่ควรไปแหย่หางเสือ

          ไต้หวันมีโจรผู้ร้ายน้อยกว่าไทย บ้านเมืองสวยงามสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ประชาชนมีเสรีภาพทางการเมือง และมีความมั่นคงในชีวิตหากไม่คิดไปไกลถึงจีนซึ่งเป็นอิทธิพลคุกคามอยู่ลึก ๆ ในใจของคนไต้หวันทุกคน

          คนไต้หวันเป็นนักลงทุนสำคัญในธุรกิจ SME’s ของไทยมาตั้งแต่สมัยเมื่อ 30-40 ปีก่อน เทคโนโลยีการเกษตรของไทยหลายอย่างมาจากไต้หวัน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมเครื่องกล ฯลฯ

          ไต้หวันมีวัฒนธรรมจีน แต่ก็ไม่ใช่จีนที่ขาดความเป็นตัวเป็นตน หากมีพลังเข้มแข็งบนฐานคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในระดับโลก

ช็อกโกแลตจะขาดแคลน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 มีนาคม 2557

          ยังไม่เคยพบใครที่รังเกียจช็อกโกแลต มีแต่จะชอบมากหรือพยายามควบคุมไม่ให้ชอบมากเท่านั้น ในอนาคตอันใกล้มีความเป็นไปได้ว่าชาวโลกจะไม่ได้บริโภคช็อกโกแลตกันอย่างรื่นรมย์เหมือนในปัจจุบัน

          ช็อกโกแลตประกอบด้วยผงเมล็ดโกโก้ นม น้ำตาล ไขมันจากโกโก้ และอาจมีถั่ว ลูกเกด เหล้า น้ำผลไม้ ผสมลงไป ในศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษชื่อ John Cadbury เป็นคนแรกที่คิดกระบวนการผลิตที่ทำให้ช็อกโกแลตเป็นแท่งดังที่เราบริโภคกันทุกวันนี้

          ชาว Aztecs คนพื้นเมืองของบริเวณเม็กซิโกในปัจจุบันเมื่อประมาณ 700 กว่าปีก่อน เป็นมนุษย์กลุ่มแรกในอเมริกากลางที่รู้จักนำเอาเมล็ดโกโก้มาเป็นเครื่องดื่ม มีข้อสันนิษฐานว่า chocolate มาจากคำว่า chocolatl ภาษาของชาว Aztecs ซึ่งหมายถึง ‘น้ำ’ หรือ ‘ขม’ หรือ ‘ดื่ม’

          มีการพบหลักฐานของโกโก้ในภาชนะซึ่งมีอายุกว่า 3,000 ปี ในบริเวณอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าชาวมายามีเครื่องดื่มจากผลโกโก้ประมาณ ค.ศ. 400 ตลอดประวัติศาสตร์ของพื้นที่นั้นเครื่องดื่มดังกล่าวที่มีรสขมเป็นที่นิยมของคนพื้นเมือง

          เมื่อสเปนแผ่อิทธิพลเข้าไปในทวีปอเมริกาก็มีการนำมาเผยแพร่ในยุโรปในรูปแบบของเครื่องดื่มที่เรารู้จักกันในนามของโกโก้ ร้านขายเครื่องดื่มชนิดนี้เปิดในลอนดอนใน ค.ศ. 1657 โดยเป็นเครื่องดื่มผงโกโก้ใส่นมและน้ำตาล และต่อมากลายมาเป็นช็อกโกแลตแท่งในศตวรรษที่ 19 ดังกล่าวแล้ว

          เมล็ดโกโก้มาจากผลโกโก้ที่มีขนาดและรูปร่างเทียบเคียงกับมะละกอแต่มีเหลี่ยมคล้ายมะเฟือง เมื่อเอามีดเฉาะเปลือกที่แข็งออกก็จะมีเมล็ดสีขาวเรียงตัวกันอยู่เหมือนเมล็ดมะละกอ เมล็ดพร้อมเยื่อหุ้มจะถูกนำมากองรวมกันหรือใส่ถังเพื่อหมัก กระบวนการแปรเปลี่ยนให้เกิดแอลกอฮอล์ขึ้นกระทำโดยแบคทีเรียและยีสต์ การหมักนี้ใช้เวลาประมาณ 7 วันแล้วนำมาตากแดดอีก 5-7 วันเพื่อไม่ให้ราขึ้น จากนั้นโรงงานจึงนำไปป่นเป็นผงละเอียดเพื่อเป็นต้นน้ำของผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตทั้งหลาย

          เมล็ดโกโก้ที่นำไปผลิตช็อกโกแลตมี 3 พันธุ์ใหญ่คือ (1) criollo ปลูกกันน้อยมากหายากและมีราคาแพงเพื่อนำไปผลิตช็อกโกแลตชั้นยอด (2) forastero พันธุ์ที่นิยมในการผลิตช็อกโกแลตมากที่สุด มีทั้งขึ้นเองในป่าและปลูกในไร่ ให้รสชาติของความเป็นช็อกโกแลตมากที่สุด (3) trinitario เป็นลูกผสมของ 2 พันธุ์ข้างต้น ได้รับความนิยมในการนำมาผลิตช็อกโกแลตเช่นเดียวกัน

          ประมาณ 2 ใน 3 ของเมล็ดโกโก้ทั้งโลกมาจากอาฟริกาตะวันตก (เกือบครึ่งหนึ่งผลิตจากประเทศ Cote d’Ivoire) โดยมีการใช้แรงงานเด็กในภูมิภาคนี้เพื่อเก็บลูกโกโก้อย่างกว้างขวาง มีประมาณการว่าประชาชนกว่า 50 ล้านคนมีชีวิตรอดอยู่ได้เพราะเกษตรกรรมโกโก้

          ผลโกโก้ให้ทั้งผงโกโก้และไขมันจากโกโก้ (Cocoa butter) ช็อกโกแลตที่ดีนั้นต้องมีเนื้อผงโกโก้มากและต้องมีส่วนผสมของไขมันจากโกโก้ด้วย การใช้ไขมันอื่นแทนจะทำให้คุณภาพลดลง กลุ่มผู้ปลูกโกโก้ต่อต้านการใช้ไขมันอื่นแทนและไม่พอใจที่ยังคงเรียกว่าช็อกโกแลตเพราะเกรงว่าจะมีความต้องการผลโกโก้และช็อกโกแลตแท้ลดลง

          อย่างไรก็ดีในปัจจุบันสิ่งที่เกรงกลัวนี้กำลังหายไป เพราะทั้งโลกมีความต้องการใช้ ผลโกโก้มากขึ้นอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการบริโภคช็อกโกแลตที่เพิ่มขึ้นของชาวโลกจำนวนมากที่มีฐานะดีขึ้น

          สามประเทศในโลกที่บริโภคช็อกโกแลตเพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่างปี 2008-2013 คือ อินเดีย จีน และบราซิล บริโภคเพิ่มขึ้น 140%, 40% และ 25% ตามลำดับ

          ในขณะที่ผลผลิตโกโก้ 7 ใน 10 ปีที่ผ่านมามีปริมาณการใช้มากกว่าที่ผลิตได้ในแต่ละฤดูกาล ในฤดูกาลปี 2010-2011 มีการผลิตเกินการใช้ 320 ตัน และฤดูกาล 2011-2012 มีการผลิตเกิน 50 ตัน และในฤดูกาล 2013-2014 มีการใช้เกินกว่าการผลิต 100 ตัน

          สาเหตุที่ยังมีผลโกโก้ให้ใช้ในสองปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากสต๊อกของการผลิตเกินกว่าการใช้ในปีก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ดีใน 5 ปีข้างหน้าคาดว่าสต๊อกที่เกินก่อนหน้านี้จะหมดไปเนื่องจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

          3 ประเทศที่ผลิตมากคือ Ivory Coast / Ghana และ Indonesia สามารถขยายการผลิตเพิ่มได้ปีละ 1-3% เท่านั้น และด้วยการผลิตส่วนใหญ่แบบดั้งเดิมจึงเชื่อได้ว่าใน 5 ปีข้างหน้าอาจขาดแคลนผลโกโก้จนทำให้ราคาของช็อกโกแลตสูงขึ้น

          ถึงแม้ช็อกโกแลตเป็นที่นิยมมากขึ้นแต่เกษตรกรปลูกโกโก้ก็มิได้ร่ำรวยขึ้น ยังคงยากจนอยู่มากเนื่องจากผูกชีวิตไว้กับราคาโกโก้และภูมิอากาศ เฉกเช่นเดียวกับเกษตรกรรมในประเทศอี่น ๆ ที่การผลิตมีธรรมชาติเป็นผู้ร่วมผลิต คราใดที่ราคาดีผู้คนก็จะผลิตกันออกมามากจนทำให้ ราคาตก เมื่อเลิกผลิตกันไปเพราะราคาตก อีกไม่นานราคาก็จะขึ้นอีกครั้ง เกษตรกรก็จะไล่ตามวัฎจักรนี้อยู่เรื่อยไป

          ถ้าสถานการณ์ขาดแคลนเกิดขึ้นรุนแรงการผลิตโกโก้แบบไร่สมัยใหม่จะมีมากขึ้นเพราะผลิตได้เป็นกอบเป็นกำเพื่อสนองความต้องการ และคนที่จะลำบากก็คือเกษตรกรผู้ยากจนอยู่แล้วอีกนั่นเอง

          งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าการบริโภคช็อกโกแลตเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยลดความดัน ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ กระตุ้นการคิด ลดคอเลสโตรรอล ฯ อย่างไรก็ดีต้องระวังน้ำตาลที่ปนมาด้วย ถ้าจะให้ได้ผลดีโดยไม่ต้องกลัวน้ำตาล โกโก้ร้อนไม่ผสมอะไรเลยอาจเป็นไอเดียที่ดี

          ทุกอย่างในโลกล้วนมีดีและมีเสียด้วยกันทั้งนั้น การรู้ขีดจำกัดโดยมีความพอเหมาะพอควรในการบริโภคของผู้รักช็อกโกแลตเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ช็อกโกแลตเกิดประโยชน์มากกว่าโทษ

สัตว์ก็มีหัวใจ

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 มีนาคม 2557

          ภาพเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เจ้าหน้าที่กำลังชำแหละร่างยีราฟหนุ่มต่อหน้าเด็ก ๆ ในสวนสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่สิงห์โต เสือ และสัตว์กินเนื้ออื่น ๆ สร้างความสะเทือนใจแก่สาธารณชน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำต่อหน้าเด็ก ๆ ให้รู้สึกหวาดเสียว เหตุผลที่พ่อแม่พาเด็กไปสวนสัตว์ก็เพื่อให้เห็นชีวิตสัตว์ เห็นความน่ารักงดงาม เกิดความรักต่อมวลสิ่งมีชีวิตมากกว่าที่จะพาไปดูภาพอันน่าสมเพชนั้น

          เบื้องหลังภาพนี้มีเรื่องที่น่าสลดกว่าและมีประเด็นที่น่าคิดอีกหลายเรื่อง Marius คือชื่อของยีราฟเพศผู้ วัย 18 เดือน ถูกสังหารโดยปืนไฟฟ้าตามคำสั่งของ Dr.Bengt Holst ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของสวนสัตว์ Copenhagen ผู้ซึ่งบัดนี้กำลังโดนกระหน่ำหนักจากเสียงมหาชนทั่วโลก

          ก่อนหน้านี้มีความพยายามจากผู้คนในหลายประเทศที่จะหยุดยั้งการฆ่ายีราฟตัวนี้ดังที่เรียกกันว่า “การุณยฆาต” (euthanasia) กล่าวคือ Marius เป็นตัวผู้ตัวเดียวในยีราฟ 8 ตัวที่มีอยู่ในสวนสัตว์แห่งนี้ มันเกิดจากการผสมสายพันธุ์ที่ชิดกันมากจนไม่สามารถเอามาเป็นพ่อพันธุ์ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรให้ยีราฟหนุ่มที่มีสุขภาพดีตัวนี้อยู่ต่อไปเพราะเปลืองอาหารเปล่า ๆ และไร้ประโยชน์

          นี่คือความรู้สึกที่ได้จากคำชี้แจงของนักวิทยาศาสตร์ไร้หัวใจคนนี้ เขาบอกว่า Marius ไม่สามารถส่งผ่านยีนส์ที่ดีต่อลงไปได้เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งพันธุ์ที่ดีของยีราฟในระยะยาว ดังนั้นจึงมีหนทางเดียวสำหรับมัน

          เมื่อได้ข่าวจะฆ่าแกง Marius สวนสัตว์ Yorkshire ของอังกฤษ และสวนสัตว์ในเนเธอร์แลนด์ก็ติดต่อรับเอาไปเลี้ยงโดยจะออกค่าขนส่งเองด้วย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจนกระทั่งมีข่าวการชำแหละต่อหน้าสาธารณชน และเป็นข่าวไปทั่วโลก

          Dr.Holst บอกว่าเขาไม่ต้องการให้มีการสืบสายพันธุ์ที่ไม่ดีของยีราฟ ดังนั้นมันจึงไม่ควรไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น (ยกเว้นส่งไปโลกอื่น) แถมสวนสัตว์ของเขายังได้เนื้อสัตว์มาอีกนับร้อยกิโลอีกด้วยโดยไม่ทิ้งให้สูญเปล่า

          พฤติกรรมโรคจิตของ Dr.Holst เตือนใจให้นึกถึงเรื่องของนักเพาะพันธุ์สัตว์โดยเฉพาะสุนัขที่ฆ่าลูกหมาไม่รู้ปีละกี่สิบกี่ร้อยตัวหากพบว่ามันมีสุขภาพไม่ดีอันเป็นผลจากพันธุ์กรรม คนเหล่านี้มีความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายของงานด้วยจิตใจที่ด้อยความเมตตา (ปัจจุบันเราพบมนุษย์พันธุ์นี้มากขึ้น) และก็สามารถได้สัตว์ที่มียีนส์บกพร่องน้อยให้มนุษย์ชื่นชม

          ‘ฆาตกร’ ที่มีชื่อ Holst ตอบคำถามเกี่ยวกับทางเลือกอื่นของ Marius ว่าการตอนทำให้สัตว์เจ็บปวดทรมานสู้การุณยฆาตไม่ได้ (ก็เห็นหมาแมวจำนวนมากก็สบายดีในบ้านเรา) การปล่อยสู่ธรรมชาติจะทำให้มันอยู่รอดชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเนื่องจากมันเกิดในกรงไม่รู้จักหาอาหารเอง รังแต่จะเป็นอาหารของสัตว์อื่น (แล้วมันไม่เป็นอาหารสัตว์อื่นหรือเมื่ออยู่กับ ‘ฆาตกร’ Holst)

          การฆ่าสัตว์ในสวนสัตว์เพื่อควบคุมจำนวนนั้นโดยแท้จริงกระทำกันอยู่ทุกวัน แต่เขาทำกันเท่าที่จำเป็นหากไม่สามารถแลกสัตว์กับสวนสัตว์อื่นได้ และทำกันเงียบ ๆ โดยไม่เป็นข่าวครึกโครมโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เอามาชำแหละให้เด็กดูอย่างแน่นอน ยกเว้นกรณีผิดปกติเช่นที่สวนสัตว์แห่งนี้ซึ่งดูจะมุ่งฆ่าลูกเดียว ซึ่งอาจเป็นเรื่องของการเอาชนะคะคานกัน การชำแหละให้ดูก็คือการประกาศชัยชนะ

          เรื่องอื้อฉาวนี้ทำให้เกิดแง่คิดว่าสัตว์มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขเช่นเดียวกับมนุษย์หรือไม่? ชะตากรรมของสัตว์ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของเจ้าของหรือผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวหรืออย่างไร? สัตว์มีสิทธิหลังการตายเช่นเดียวกับมนุษย์หรือไม่? (ไม่ละเมิดสิทธิผู้ตายด้วยการเอาภาพศพมาประจาน) การเพาะพันธุ์สัตว์เพื่อสร้างสายพันธุ์ที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ ด้วยการฆ่าสัตว์ที่มียีนส์บกพร่องนั้น ถูกต้องหรือไม่?

          ‘ฆาตกร’ Holst ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตสัตว์ สำหรับเขาสัตว์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่จะจัดให้มันมีรูปแบบดังที่ต้องการใดก็ได้ ชีวิตสัตว์เป็น means หรือพาหะที่ไม่สำคัญเท่ากับ ends คือเป้าหมายแห่งความสมบูรณ์แบบของพันธุ์สัตว์

          นักวิทยาศาสตร์ไร้วิญญาณคนนี้ลืมคิดไปว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (หากสามารถให้คำจำกัดความได้) เสมอไป ทุกชีวิตมีคุณค่าในตัวของมันเอง และมันอาจมิได้ต้องการเป็นสัตว์ที่สมบูรณ์แบบ มนุษย์ต่างหากที่ต้องการความสมบูรณ์แบบของสัตว์เพื่อนำมันมารับใช้

          Denmark เสียชื่อมากว่าไร้ความปราณีต่อสัตว์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ไร้หัวใจเพียงคนเดียวสามารถทำลายชื่อเสียงประเทศได้ขนาดนี้

เบโธเฟนญี่ปุ่นลวงโลก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
25 กุมภาพันธ์ 2557

          กล้องโทรทัศน์จับภาพหนุ่มญี่ปุ่นวัย 50 ปี ผมยาวแบบศิลปินใส่แว่นดำกำลังอุ้มเด็กกำพร้าแม่ซึ่งรอดชีวิตจากสึนามิครั้งใหญ่ในปี 2011 ภาพยนตร์สารคดีของ NHK ชิ้นนี้ทำให้ความนิยมชายผู้นี้พุ่งสูงจนผู้คนนับหมื่นพากันแย่งซื้อผลงานแต่งเพลงคลาสสิกของเขาที่มีชื่อว่า Symphony No. 1 Hiroshima ใครที่ได้ทราบเรื่องล้วน

          ปลาบปลื้มชื่นชม อย่างไรก็ดีข้อที่น่าเสียใจก็คือผลงานเพลงนี้แท้จริงแล้วเขาแอบจ้างให้คนอื่นแต่งให้ เขาผู้นี้มีฉายาว่า “Japan’s Beethoven”

          Mamoru Samuragochi คือชื่อจริงของเขา คนญี่ปุ่นชื่นชมเขามา 18 ปี เพราะผลงานแต่งเพลงคลาสสิกอันยอดเยี่ยมหลายชิ้นถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าหูหนวกตั้งแต่ตอนอายุ 35 ปีก็ตาม ชีวิตของเขาสามารถเอามาเขียนเป็นเรื่องราวกระตุ้นให้ผู้คนมีกำลังใจได้มาก แต่ข้อที่น่าเสียใจอีกข้อก็คือจริง ๆ แล้วเขาหูไม่ได้หนวก หูเขาปกติดีทุกอย่าง

          พูดสั้น ๆ ก็คือ Samuragochi ต้มตุ๋นคนญี่ปุ่นตลอดเวลาเกือบสองทศวรรษว่ามีชีวิตเหมือน Beethoven เพราะถึงแม้หูจะหนวกแต่ก็แต่งเพลงได้ยอดเยี่ยม หลายคนอาจบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะสามารถหลอกลวงผู้คนได้สนิทและได้นานขนาดนั้น แต่มันก็เป็นไปแล้ว

          Samuragochi เป็นเด็กที่มีความสามารถเป็นเลิศทางดนตรีตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนอายุ 10 ปี สามารถเล่นเปียโนเพลงคลาสสิคได้เป็นอย่างดี เขามาดังก็ตอนแต่งเรื่องขึ้นว่าหูหนวกแต่สามารถประพันธ์เพลงซึ่งเป็นที่นิยมได้หลายชิ้น

          สันนิษฐานว่าการลวงโลกของเขาจบสิ้นลงเพราะสื่อฉบับหนึ่งได้กลิ่นเรื่องนี้จึงตามรอยเขาและกำลังจะเปิดโปง เขาก็เลยตัดหน้าออกมาให้ตัวแทนแถลงว่าผลงานเพลงที่มีชื่อเสียงของเขาเกือบทั้งหมดมาจากการจ้างคนอื่นแต่ง คนญี่ปุ่นตกตะลึงกับคำสารภาพนี้มาก

          ความแปลกใจยังไม่ทันหายไป รุ่งขึ้นนาย Takashi Niigaki ก็ออกมายอมรับว่าเขาคือชายคนนั้น เขาแต่งเพลงให้กว่า 20 เพลงตั้งแต่ ค.ศ. 1996 และบอกเพิ่มเติมว่า Samuragochi หูไม่ได้หนวกแต่อย่างใด

          คนญี่ปุ่นทั้งโกรธ ทั้งเสียใจกับการหลอกลวงของ Samuragochi ถ้าเป็นยุคก่อนสงคราม คนอย่างนี้ต้องกระทำ sepagu หรือคว้านท้องเพื่อกอบกู้เกียรติยศที่ได้หลอกลวงและทำให้ประชาชนผิดหวัง อย่างไรก็ดีในปัจจุบันก็มีเพียงคำขอโทษ แฟนเพลงบางคนโยนแผ่นซีดีของเพลงเขาทิ้ง แต่ส่วนใหญ่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะจะเป็นของเก่าที่มีราคาในอนาคต

          คนที่โชคร้ายที่สุดจากการเปิดโปงครั้งนี้ก็คือนักเล่นสเก็ตน้ำแข็งตัวเก็งเหรียญทองของญี่ปุ่นในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่กำลังแข่งอยู่ในขณะนี้ที่เมือง Sochi ในรัสเซีย Daisuke Takahashi ได้เหรียญทองแดงครั้งที่แล้วที่แวนคูเวอร์ ครั้งนี้เขาฝึกซ้อมมายาวนานเป็นอย่างดีโดยเต้นประกอบเพลงที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น…..ใช่แล้วครับเพลงของนาย Samuragochi การเปิดเผยว่าลวงโลกครั้งนี้ทำให้นาย Takahashi กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะรู้ดีว่าเพลง “หลอกลวง” นี้คนญี่ปุ่นจะไม่ชอบจนอาจละทิ้งไม่ให้ความสนใจเขามากดังที่คาดหวัง และอาจมีผลต่อจิตใจของกรรมการผู้ตัดสิน แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนเพลงข้ามคืนได้เพราะฝึกฝนกับเพลงประกอบนี้มานาน

          อาจเป็นไปได้ว่าการเลือกเพลงของ Samurgochi เป็นเพลงประกอบทำให้ผู้คนเกิดความสนใจในตัวผู้แต่งเพลงเป็นพิเศษ และเป็นตัวเร่งการแกะรอยความลวงโลกของเขา จนถึงจุดจบในที่สุด

          Samuragochi แต่งประวัติตัวเองไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นหนึ่งในผู้รอดตายจากระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงเมือง Hiroshima ในปี 1945 เขารู้สึกสลดใจกับสิ่งที่เกิดกับบ้านเกิดของเขาอย่างยิ่ง จึงได้แต่งซิมโฟนี่ชื่อ Hiroshima อุทิศให้แก่ผู้เสียชีวิตครั้งนั้น

          เมื่อเพลงนี้มีที่มาที่ไปเช่นนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนญี่ปุ่น (ผู้เขียนได้ฟังเพลงนี้และขอสารภาพว่าเข้าไม่ถึง ไม่รู้สึกไพเราะแต่อย่างใด) ผู้แต่งเพลงก็ได้รับความสนใจมากเพราะเป็นคนหูหนวกด้วย โอ้…..ช่างเหมือนกับ Beethoven อะไรปานนั้น แถมยังอุทิศเพลงอีก …..โอ้ช่างเหมือนกับที่ Beethoven อุทิศ Symphony 3, Eroica ให้นโปเลียน โบนาปาร์ต

          เรื่องราวบันดาลใจชวนน้ำตาไหลเช่นนี้ใคร ๆ ก็ชอบ เสียแต่ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงที่จงใจสร้างขึ้นตามพล็อตที่ควรจะเป็นเท่านั้น

          คนญี่ปุ่นนั้นเหมือนกับคนจีนที่ชื่นชอบเพลงคลาสสิกเป็นพิเศษ (คนไทยนั้นยุคหนึ่งต้องไล่แจกตั๋วให้ไปฟัง) ญี่ปุ่นมีนักดนตรีและนายวงดนตรีดังระดับโลกหลายคนอย่างเป็นที่น่าภาคภูมิใจ เช่น Shin’ichi Suzuki / Mitsuko Uchida / Seiji Ozawa / ฯลฯ

          เมื่อบวกความชื่นชอบเพลงคลาสสิกเข้ากับเรื่องราวบันดาลใจชวนน้ำตาไหล และแถมด้วยความชื่นชมตัวนักดนตรีอันเป็นลักษณะพิเศษของคนญี่ปุ่น ผลลัพธ์ก็คือการหลอกลวงครั้งใหญ่

          คำถามก็คือคนลวงโลกเช่นนี้สามารถยืนอยู่บนเวทีได้นานขนาดนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีใครตรวจสอบหรือทราบระแคะระคายมาก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่าในจำนวนเพลงคลาสสิกชั้นยอดของโลกในอดีตที่ว่าเป็นของ Mozart / Beethoven / Bach / Chopin / Wagner ฯลฯ นั้น จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มี ‘ผลงานฝาก’ จากนักแต่งเพลงคนอื่นที่ไม่ดังมาแซมด้วย

          คำตอบก็คือยากที่จะรู้ แต่ตราบใดที่เราฟังแล้วไพเราะและเขาบอกว่าเป็นผลงานของคนนั้นคนนี้ก็จำต้องยอมรับถ้ามี ‘การแซม’ เกิดขึ้น และถ้าคนเหล่านี้อยากสารภาพก็ทำไม่ได้เสียแล้วเพราะตายมาหลายร้อยปีแล้ว

          หลังจากสารภาพการลวงโลกแล้วเชื่อว่า Samuragochi คงนอนหลับสบายเป็นครั้งแรกในหลายปีเพราะกายและใจไม่ขัดแย้งกันอีกต่อไป มหาตมะคานธีบอกว่ามนุษย์จะเป็นสุขก็ต่อเมื่อกายและใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

          ทุกอย่างในโลกต้องระวังกันให้ดี ใครให้จำนำข้าวราคาแพงก็ต้องระวังหน่อยนะครับ เพราะอาจได้ใบประทวนแต่ไม่ได้เงิน

รู้ทันใจตนเอง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
18 กุมภาพันธ์ 2557

          การเข้าใจวิธีคิดของตนเองช่วยให้เกิดความผิดพลาดน้อยลงในการตัดสินใจ อย่างไรก็ดีความเป็นอนุรักษ์นิยมของมนุษย์โดยพื้นฐานอาจเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้พลาดขึ้นก็เป็นได้

          ลองถามตัวท่านเองว่า โทรศัพท์มือถือชั้นยอดที่ซื้อมาราคาแพงนั้น ท่านปรับแต่งการใช้มันมากน้อยแค่ไหน เช่น สีตัวอักษรเปลี่ยนไป เสียงเรียกสายเข้าต่างกันไปตามผู้ที่โทร เข้ามา หน้าจอปรับแต่งใหม่ ฯลฯ หรือใช้ตามที่เขากำหนดให้มาที่เรียกว่า default option กล่าวคือโทรศัพท์จะทำงานตามรูปแบบปกติที่ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน คำตอบของคนส่วนใหญ่มาก ๆ ก็คือปล่อยมันไปตามที่โรงงานเขาผลิตมาให้

          ถ้าท่านทานอาหารในภัตตาคารที่มีเมนูจานหลักเป็นคำแนะนำ มีความเป็นไปได้สูงที่ท่านและลูกค้าอีกจำนวนมากที่จะเลือกเมนูนี้ซึ่งก็เข้าหรอบเดียวกับ default option ดังกล่าว

          ผู้ผลิตและขายรถยนต์รู้ดีว่าไม่ว่าจะมีสีให้เลือกมากเท่าใดก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกสีดั้งเดิมของรถยี่ห้อนั้น ซึ่งมักจะเป็นดำ หรือขาว หรือน้ำตาลอ่อน ในกรณีนี้ก็เช่นกันมนุษย์มักเลือก default option

          ในกรณีที่ไม่มี default option ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดมาให้เลือก มนุษย์ก็มักจะเอาสิ่งที่เกิดในอดีตมาเป็น default option แทน ตัวอย่างเช่นการสั่งข้าวผัดกะเพราซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย (เวลาคิดอะไรไม่ออกก็สั่งจานนี้จนมีคนเรียกว่าเป็น “อาหารสิ้นคิด”) ก็คือ default option อย่างหนึ่งโดยใช้ความเคยชินซึ่งมาจากอดีตเป็นตัวช่วยตัดสินใจ

          ตั้งแต่อยู่ในถ้ำเมื่อ 50,000 ปีก่อน มนุษย์ตระหนักดีว่าจะอยู่รอดได้นั้นต้องระมัดระวังไตร่ตรองให้ดีเพราะอันตรายมีอยู่รอบข้าง ไม่ว่าจากสัตว์ร้าย จากมนุษย์ด้วยกัน และจากภัยธรรมชาติ จึงอาจกล่าวได้ว่าความเป็นอนุรักษ์นิยมนั้นอยู่ในยีนส์ของทุกคน หากไม่มีแล้วคงไม่มีเผ่าพันธุ์รอดมาถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน

          ความเป็นอนุรักษ์นิยมในการกระทำหมายถึงการกระทำสิ่งที่เคยทำซ้ำ ๆ มาแล้วในอดีต เมื่อพบว่าให้ผลดีก็มีทางโน้มที่จะกระทำเช่นนั้นไปอีกเรื่อย ๆ

          การเลือก default option ก็คือการกระทำเชิงอนุรักษ์นิยม เราเลือกมาตรฐานที่เขากำหนดมาให้จากโรงงาน เราเลือกอาหารจานที่เขาแนะนำ เราเลือก “อาหารสิ้นคิด” ก็เพราะเราพอใจแล้ว โดยไม่ต้องการแปลกปลอมไปจากความเคยชินที่อาจนำมาซึ่งความรู้สึกผิดไปจากปกติจนรู้สึกไม่สบายใจได้

          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวอาจเรียกได้ว่าเป็น status-quo bias หรือทางโน้มสู่การรักษาสถานะที่เคยชินไว้ของมนุษย์ ซึ่งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นได้หลายอย่างในสังคมปัจจุบัน

          การโอนเงินหรือฝากเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถทำได้อย่างสะดวกในโลกปัจจุบันเช่นเดียวกับการซื้อหนังสือ e-Book (อ่านได้โดยไม่ต้องสัมผัสเล่มหนังสือ) และการซื้อสินค้าออนไลน์ อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้ยังไม่แพร่หลายในสังคมเราก็เพราะทางโน้มสู่ความเคยชิน หรือสถานะที่เราเป็นอยู่เป็นอุปสรรค ถึงแม้ว่าจะช่วยลดต้นทุนและเวลาไปได้มากก็ตาม

          ประชาชนก็ยังยินดีไปธนาคารยืนเข้าคิวเพื่อโอนและฝากเงิน หนังสือเป็นเล่ม ๆ ยังขายดีกว่า e-Book มากมายหลายเท่าตัว เช่นเดียวกับการเดินเข้าไปซื้อสินค้าจากร้านต่าง ๆ

          อย่างไรก็ดีมนุษย์ก็มีความพยายามมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไปในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับสิ่งใหม่ ๆ แต่ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาภายใต้เงื่อนไขของแต่ละคน

          ผู้ที่เสื่อมใสในไอทีอย่างมากจะบอกว่าสำนักงานของเราในอนาคตจะเป็น paperless อย่างไรก็ดีโดยส่วนตัวผู้เขียนไม่เชื่อว่าเราจะมีสถานที่ทำงานที่ paperless กล่าวคือใช้ระบบไอทีทั้งหมดโดยไม่มีการใช้กระดาษเลยได้ ผู้เขียนเชื่อว่าที่มีความเป็นไปได้ก็คือสถานที่ทำงานที่มี less paper ซึ่งหมายถึงการใช้กระดาษน้อยลงไปมาก แต่ก็ไม่มีวันหมดไป

          นอกจากนี้ผู้เขียนเชื่อว่า e-Book จะไม่มีวันทดแทนหนังสือปกติไปทั้งหมดได้เนื่องจากมนุษย์ยังคงมี status-quo bias อันเนื่องมาจากการคุ้นเคยกับหนังสือมายาวนาน ยังคงถวิลหาการสัมผัสและพลิกแผ่นกระดาษ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาในยุคของ e-Book ก็จะพบว่าหนังสือยังคงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการอ่านที่มีความสะดวกและมีความเป็นมนุษย์มากกว่า

          คนที่เข้าใจการเป็นอนุรักษ์นิยมของมนุษย์โดยมีทางโน้มสู่ default option หรือมาตรฐานที่ถูกกำหนดให้สามารถนำเอามาใช้เป็นประโยชน์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่นการสื่อว่า ‘คนที่มีระดับ’ ในระนาบเดียวกับท่านเขาเลือกที่จะซื้อบ้านของโครงการนี้ ดังนั้นท่าน (ที่มีทางโน้มที่จะเลือกสิ่งที่เป็นมาตรฐานของ ‘คนที่มีระดับ’ เหมือนตัวเอง) จึงสมควรซื้อบ้านในโครงการนี้ด้วย

          สินค้าหลายอย่างที่มีชื่อเสียงยาวนานทั้งไทยและเทศ พยายามสร้างภาพในใจผู้บริโภคว่าเป็น default option ตัวอย่างเช่น ยาหม่อง ยาหอม เครื่องดื่มน้ำดำเก่าแก่ ยาปวดหัว ผ้าอนามัย ผงซักฟอก ฯลฯ เมื่อต้องการบริโภคสิ่งเหล่านี้ สินค้าของเขาจะเป็นชื่อแรกในสมองของผู้ใช้ทันที

          การรู้ทันความคิดและเข้าใจการเอนเอียงของใจตนเองจะช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสตัดสินใจผิดพลาด และถูกหลอกโดยคนอื่นน้อยลง

จิตมุ่งร้ายจะทำลายตน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
11 กุมภาพันธ์ 2557

          การมีจิตมุ่งร้ายแม้แต่เพียงเล็กน้อยต่อผู้อื่นก็สามารถปิดโอกาสก้าวหน้าในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะในอาชีพนักการเมืองที่มีเรื่องอ่อนไหวอยู่รอบตัว ดังตัวอย่างของนักการเมืองอเมริกันผู้หนึ่ง

          ในหมู่ประชาชนของรัฐฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาและในพรรครีพับลิกันไม่มีใครไม่รู้จัก Chris Christie ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี่ ผู้โด่งดังในความสามารถในการทำงาน ในการพูดอย่างไม่ กลัวเกรง และในการแสดงความกล้าให้ปรากฏ

          เพียงเมื่อปลายเดือนที่แล้วเป็นที่คาดกันอย่างกว้างขวางว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปคือใน ค.ศ. 2016 เขาจะเป็นตัวเต็งในการเป็นตัวแทนของพรรคเข้าแข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับตัวแทนจากพรรคเดโมแครต อย่างไรก็ดีในปัจจุบันสิ่งที่คาดกันนั้นน่าจะเป็นหมันไปเสียแล้วอันเนื่องมาจากการมีจิตมุ่งร้าย

          Christie ปัจจุบันอายุ 52 ปี เรียนจบด้านกฎหมาย และประสบความสำเร็จในการเป็นทนายความในรัฐนิวเจอร์ซี่ เขามีบทบาทในการเมืองท้องถิ่นอยู่พักหนึ่ง เคยทำงานหาเสียงให้ประธานาธิบดีบุชผู้ลูกก่อนที่จะเป็นอัยการของรัฐนิวเจอร์ซี่ระหว่าง ค.ศ. 2002-2008 ในฐานะอัยการ เขาลุยปราบคอรัปชั่น อาชญากรรม การค้าอาวุธ ฯลฯ จนมีชื่อเสียง

          ต่อมาเขาลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี่และชนะได้ครองตำแหน่งในปี 2009 และในเทอมที่ 2 ที่เริ่มในปี 2013 เขาก็ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้นได้เป็นผู้ว่าการรัฐอีกหนึ่งสมัย ในปลายปีเดียวกันนี้เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมผู้ว่าการรัฐที่มาจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคลงแข่งประธานาธิบดีต่อไป

          Christie เป็นที่ชื่นชมของประชาชนเพราะเขาปราบปรามอาชญากรรมไม่ไว้หน้า ประกาศตนว่าเป็นคนที่เกลียดชังการเล่นการเมืองชนิดสกปรก การหลอกลวงประชาชน ในการเป็นผู้ว่าการรัฐของเขาจะไม่มีสิ่งเหล่านี้เด็ดขาด เพราะชีวิตเขาต้องการรับใช้ประชาชนโดยไม่เกี่ยงความเป็นพรรค และจะไม่ทำงานการเมืองชนิดมีลูกเล่นสกปรกต่าง ๆ ดังที่มีอยู่ดาษดื่น

          คำพูดนี้แหละที่ประชาชนจำได้และชื่นชอบเขา และคำพูดนี้เช่นกันที่กลับมาทิ่งแทงเขาจนคาดว่าหมดโอกาสที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคไปแข่งประธานาธิบดี

          เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันหนึ่งในเดือนกันยายนปี 2013 ประชาชนที่ใช้สะพาน The George Washington Bridge ซึ่งเชื่อมเกาะแมนฮัตตันหรือนิวยอร์กซิตี้กับเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Fort Lee ของรัฐนิวเจอร์ซี่ พบว่ารถที่ผ่านสะพานนี้ติดกันยาวเป็นกิโลเมตรเป็นเวลาถึง 4 วัน เนื่องจากสะพานนี้มีผู้ใช้กันหนาแน่นเป็นพิเศษในแต่ละวันขนาดติดอันดับสูงสุดของประเทศเพราะผู้คนข้ามไปมาเพื่อไปทำงานบนเกาะแมนฮัตตัน

          เมื่อ Fort Lee กลายเป็นลานจอดรถทั้งวันทั้งคืน ผู้คนซึ่งเดือดร้อนกันมากก็ด่ากันขรมว่าเกิดจากการปิดหลายช่องจราจรและปิดบูธเก็บเงินค่าผ่านทางก่อนขึ้นสะพานซึ่งการท่าเรือของรัฐเป็นผู้ดูแล เมื่อผู้คนเอะอะกันมากขึ้น รัฐสภาของรัฐนิวเจอร์ซี่ก็สอบสวนหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

          สิ่งที่พบก็คือผู้บริหารคนหนึ่งของการท่าเรือซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการจราจรเป็นผู้สั่งให้ปิดช่องจราจรและบูธเก็บเงินโดยพลการและปิดบังประชาชนก่อนดำเนินการโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ให้ฝั่งเมือง Fort Lee ทราบ เมื่อสอบสวนลึกเข้าผู้บริหารผู้นี้ซึ่งเป็นเด็กที่นาย Christie ฝากฝังทำงานก็ ลาออกไป

          ผู้สอบสวนก็เดาได้ว่าได้เกิดลูกเล่นทางการเมืองขึ้นแล้ว แต่ยังหาหลักฐานมัดไม่แน่นพอ จนกระทั่งเมื่อกลางเดือนมกราคมของปีใหม่นี้ หนังสือพิมพ์ยักษ์สองฉบับของประเทศก็ตีพิมพ์อีเมล์หลายฉบับของบรรดาลูกน้องนาย Christie

          อีเมล์ที่ส่งระหว่างเพื่อนที่การท่าเรือกับหัวหน้าทีมงานของนาย Christie ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองจงใจทำให้รถติดเพื่อสั่งสอนนายกเทศมนตรีเมือง Fort Lee ที่ไม่ได้ออกมาประกาศสนับสนุนการแข่งขันเป็นผู้ว่าการรัฐของนาย Christie ก่อนหน้านี้ พูดง่าย ๆ แบบไทยก็คือแกล้งให้รถมันติด ‘ให้มันรู้บ้างว่าไผเป็นไผ’

          นอกจากนี้มีอีเมล์หลายฉบับที่เขียนทำนองดีอกดีใจและสะใจที่รถติดเพื่อสั่งสอน และเมื่อนายกเทศมนตรีเขียนมารายงานสถานการณ์ว่ารถติดกันขนาดหนักก็ยังเขียนตอบไปว่า ‘ฉันผิดหรือเปล่าที่กำลังยิ้มอยู่’

          ปฏิกิริยาของประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐนิวเจอร์ซี่ที่เห็นอีเมล์เหล่านี้คือความโกรธ ชิงชังลูกเล่นการเมืองซึ่งเป็นพฤติกรรมกลั่นแกล้งกันจนทำให้ประชาชนเดือดร้อนหนัก (รถติดหนัก 4 วัน โดยเปิดบูธจ่ายเงินค่าผ่านทางเพียงบูธเดียวจาก 4 ช่องจราจรที่วิ่งเข้าจ่ายเงิน) โดยเฉพาะรถพยาบาลส่ง คนป่วยฉุกเฉินและรถรับส่งนักเรียน

          ที่สำคัญมากก็คือมันเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับสิ่งที่นาย Christie พูดมาโดยตลอด ยิ่งอ่านอีเมล์ก็ยิ่งชัดขึ้นว่ารู้เรื่องนี้กันทั้งทีมงาน และไม่น่าเชื่อว่าลูกน้องจะคิดเล่นเกมส์นี้ขึ้นเองโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากนาย Christie

          สิ่งที่เกิดตามมาก็คือผู้ว่าการรัฐออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าเขาไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อว่าทีมงานจะกล้ารวมหัวกันกลั่นแกล้งให้เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่เช่นนี้ได้เป็นเวลาถึง 4 วัน เมื่อเกิดขึ้นเพียง 1-2 วันแรก นาย Christie ในฐานะผู้ว่าการรัฐก็จะต้องสอบถามและสั่งให้ลูกน้องแก้ไขหากแม้นว่าเขาไม่ได้ร่วมเล่นเกมส์การเมืองนี้ด้วย

          ภาพพจน์ของนาย Christie พังย่อยยับ โอกาสที่จะได้เป็นคู่แข่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันซึ่งมีโอกาสเป็นประธานาธิบดีสูงด้วยเพราะพรรคเดโมเครตได้เป็นมา 8 ปีแล้วหายไปทันที สิ่งที่เขาพูดไว้กลับมาทิ่มแทงเขาอย่างฉกรรจ์ ผู้คนเห็นว่าโดยแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงนักการเมืองธรรมดาที่ชอบมีลูกเล่นการเมืองแบบสั่ว ๆ เหมือนคนอื่น ๆ ที่น่าเบื่อหน่าย

          ในสังคมที่พัฒนาแล้วซึ่งประชาชนมีความสำนึกในความเป็นพลเมืองสูง การกระทำ ใด ๆ ของนักการเมืองที่แสดงออกถึงความมาดร้ายซึ่งไม่เหมาะสม ไม่ถูกทำนองครองธรรมแล้ว ก็จะทำให้ไม่มีที่ยืนในสนามการเมือง

          จิตที่ไม่เป็นกุศล มุ่งร้ายทำลายคนอื่นอย่างตั้งใจจะนำไปสู่ความพินาศของตนเองได้อย่างไม่ยากนัก

โลกใหม่เขาคิดกันใหม่

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 กุมภาพันธ์ 2557

          โลกหมุนเร็วจนน่าเวียนหัว บางสิ่งซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในอดีต แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งปกติ หลายสิ่งไม่เกี่ยวกับศีลธรรม แต่หลายสิ่งคาบเกี่ยวประเด็นจริยธรรมอย่างน่าหวาดเสียว

          มีหลายตัวอย่างที่เห็นกัน รอยสักบนร่างกายนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทยในสมัยโบราณที่ถือกันว่าเพื่อป้องกันภยันตราย ต่อมารอยสักเหล่านี้แสดงนัยยะของการเป็นคนขาดการศึกษา เป็นผู้ใช้แรงงาน หรือไม่ก็เป็นคน “แก่แดด” “พวกเฮ้ว” “พวกนอกรีต” ปัจจุบันการสักของคนไทยกลุ่มหนึ่งถือว่าเป็นสิ่งโก้เก๋ทันสมัย ในโลกตะวันตกการสักเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทั้งที่เมื่อร้อยกว่า ปีก่อน สักกันเฉพาะในบุคคลชั้นสูงและต่อมาในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน

          หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาในอดีต ผู้หญิงและผู้ชายอยู่กันโดยไม่แต่งงานถือว่าผิดกฎหมายและศีลธรรม (living in sin) แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นวิถีชีวิตไปแล้วแม้แต่ในบ้านเรา เมื่อสมัยก่อนจะพักโรงแรมร่วมกันต้องแสดงบัตรเป็นหลักฐานว่าเป็นสามีภรรยากันด้วยซ้ำ

          การแต่งงานกันของกลุ่มผู้รักร่วมเพศไม่ว่าชายหรือหญิงได้รับการยอมรับทางกฎหมายในหลายประเทศมากขึ้นทุกที และบางประเทศยอมให้สามารถรับลูกบุญธรรมไปเลี้ยงได้อีกด้วย สหรัฐอเมริกาเองซึ่งเดิมไม่รับเกย์เข้าเป็นทหารหรือไม่ยอมให้แสดงตัวว่าเป็นเกย์ก็เริ่มเปลี่ยนไป

          กัญชาซึ่งเคยถือกันว่าเป็นยาเสพติดชนิดสำคัญ แต่นับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมาก็เป็นสิ่งถูกกฎหมายไปแล้วในรัฐโคโลราโดซึ่งเป็นแห่งเดียวในโลก คนอายุ 21 ปีขึ้นไปสามารถซื้อเพื่อเอาไปเสพเป็นยาหรือเพื่อหย่อนอารมณ์ได้อย่างองอาจ ในบ้านเราเองทางการผู้รับผิดชอบก็มีการเสนอให้ใบกระท่อมถูกกฎหมาย สถานการณ์ก็คล้ายกับยาบ้าซึ่งเดิมชื่อยาม้า เมื่อ 40 ปีก่อนยาบ้าถูกกฎหมายทั้งในบางประเทศที่พัฒนาแล้ว และในประเทศไทย

          แต่เดิมผู้จะลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จำเป็นต้องเป็นนักกีฬาสมัครเล่นเท่านั้น ปัจจุบันเงื่อนไขนี้ก็เลิกไปเพราะไม่สามารถให้คำจำกัดความของนักกีฬาสมัครเล่นได้อีกต่อไป นักกีฬาที่แข่งขันและได้รางวัลเป็นสินค้าถือว่าเป็นสมัครเล่นหรือไม่ หรือเฉพาะการรับเป็นเงินสดจึงถือว่าไม่เป็นสมัครเล่น และถ้าไม่ได้รับทั้งรางวัลและเงินสดหากได้รับสิทธิพิเศษเป็นสมาชิกคลับกีฬากิตติมศักดิ์จะถือได้ไหมว่าเป็นรางวัล การตีความยากเช่นนี้ทำให้ปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขของการเป็นนักกีฬาสมัครเล่นอีกต่อไป

          แม้แต่การแต่งกายก็เช่นกัน แต่ดั้งเดิมมาในโลกตะวันตกการใส่สูทผูกเนคไทถือว่าเป็น “เครื่องแบบ” ที่สุภาพชนพึงใส่ในโอกาสสำคัญ เช่น ไปทำงาน เข้าประชุม ร่วมงานสำคัญ แต่ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไป ในสหรัฐอเมริกาการแต่งกายของประธานาธิบดีถือว่าเป็นตัวอย่างของพนักงาน นักธุรกิจและคนทั่วไป แต่ไหนแต่ไรมาประธานาธิบดีจะผูกเนคไทกับเชิ้ตขาวและใส่สูทเสมอเวลาทำงาน ประชุมหรือไปงานนอกสถานที่ยกเว้นพักผ่อน แต่ในปัจจุบันบ่อยครั้งที่ประธานาธิบดี ใส่สูทแต่ไม่ผูกเนคไท นั่งประชุมในไวท์เฮาน์ จนมีการพูดกันว่า “เครื่องแบบ” ชุดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป

          เรื่องโด๊ปยาก่อนแข่งขันของนักกีฬาก็เป็นปัญหามายาวนาน นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกเคยถูกถอดเหรียญมาแล้วเมื่อตรวจพบว่ามีสารโด๊ปอยู่ในปัสสาวะ ข้ออ้างก็คือกินยาอื่นแต่สารออกฤทธิ์คล้ายยาโด๊ปจนทำให้ดูเสมือนว่าโด๊ปยา ผู้ตัดสินก็ปวดหัวมากเพราะยาโด๊ปก็เปลี่ยนรูปแบบไป บางลักษณะก็ไม่ใช้ยาแต่เป็นวิธีการอื่นเช่นถ่ายเลือดที่มีออกซิเจนสูงเข้าร่างกายเพื่อให้การออกกำลังมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทางโน้มที่กำลังเกิดขึ้นก็คืออาจเลิกเรื่องตรวจการโด๊ปยา แต่ตรวจสารบางอย่างที่อยู่ในปัสสาวะซึ่งเป็นหลักฐานของการกินยาโด๊ปบางตัวที่ห้ามเด็ดขาดแทน

          ล่าสุดที่น่าสนใจจากสหรัฐอเมริกาก็คือแนวคิดเรื่องการมีภรรยาหลายคนถือว่าเป็น lifestyle อย่างหนึ่งเฉกเช่นเดียวกับการแต่งงานของพวกรักร่วมเพศ (ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งมีอารมณ์ ลองฟังแนวคิดที่โลดโผนนี้หน่อยว่าเป็นอย่างไร)

          ในภาษาอังกฤษคำว่า polygamy คือการแต่งงานที่มีผู้ร่วมกันเกินกว่า 2 คน ถ้าผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงเกินกว่า 1 คนในเวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า polygyny และในกรณีของผู้หญิงที่มีสามีมากกว่า 1 คน ก็เรียกว่า polyandry และถ้าการแต่งงานมีสามีและภรรยาหลายคนรวมกันเรียกว่า conjoint marriage ส่วน ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ เรียกว่า monogamy

          คำว่า “การแต่งงาน” ในที่นี้หมายถึงการอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยาในความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องมีการจดทะเบียนหรือได้การยอมรับทางกฎหมายหรือมีพิธีแต่งงาน

          มีการสำรวจทางวิชาการในเรื่องสภาพการแต่งงานของสังคมต่าง ๆ ในโลกก็พบว่าจาก 1,231 สังคม มีอยู่ 186 สังคมที่ ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ มีอยู่ 453 สังคมที่มีลักษณะ polygyny ปนอยู่บ้าง มีอยู่ 588 สังคมที่มี polygyny ปนอยู่มาก และมี 4 สังคมที่เป็น polyandry

          สังคม “ภรรยาหลายคน” มีมาเก่าแก่แต่ผิดกฎหมายใหม่เพราะไม่สร้างสรรค์ชีวิตครอบครัว ส่วนสังคมที่มี “สามีหลายคน” นั้นส่วนใหญ่อยู่ในแถบภูเขาหิมาลัย บริเวณทิเบตเนปาล บางส่วนของจีน และบางส่วนของทางเหนือของอินเดีย กล่าวคือผู้หญิงมีสามีหลายคนในบ้านเดียวกัน บางสังคมสามีเหล่านี้ก็เป็นพี่น้องกันหมด หรือบางสังคมสามีก็ไม่ใช่พี่น้องกัน

          สาเหตุของสังคม “หลายสามี” ก็เพื่อตัดปัญหาการแบ่งที่ดินออกเป็นมรดกแปลงย่อยเนื่องจากบริเวณแถบนี้มีที่ดินจำกัดมากเพื่อทำการเกษตรซึ่งเป็นหัวใจของการอยู่รอด การมีครอบครัวทั้งหมดอยู่ในบ้านเดียวกันเพื่อทำการเกษตรบนที่ดินผืนเดียวกันตลอดหลายช่วงคนจึงทำให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรอันจำกัด

          กลุ่ม Mormons หรือที่มีชื่อทางการว่า The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints (LDS Church) นั้นสามีมีภรรรยาได้หลายคนและปฏิบัติกันมาตั้งแต่ศาสดาคนแรกคือ Joseph Smith Jr. ให้คำสอนใน ค.ศ. 1831 อย่างไรก็ดีเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในบางรัฐของสหรัฐอเมริกาและเป็นเรื่องค่อนข้างอ่อนไหวในการพูดถึงประเด็นนี้ระหว่างคนในกลุ่มและนอกลุ่ม

          กลุ่มคนที่ผลักดันว่าการมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องของ lifestyle ถูกวิจารณ์มากว่า โยงใยกับความคิดของกลุ่ม Mormons ถึงแม้แนวคิดนี้จะตามแนวโน้มของการผ่อนปรนในเรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา แต่ดูจะเป็นแนวคิดที่ฝ่าด่านคนที่ยืนหยัดไม่เห็นด้วยไปได้ยาก

          ถ้าใจของเราพยายามเข้าใจการหมุนของโลกในแนวผ่อนปรนเช่นนี้ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็คงมีความทุกข์ไม่มากนัก แต่ถ้าหากเราไม่เห็นด้วยและไม่พยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นก็จะมีความทุกข์เป็นอันมากจนหาความสุขไม่ได้

          เราคงต้องรู้ว่าอะไรที่เราสามารถไปหยุดมันได้ และอะไรที่เราหยุดมันได้ยาก ใจเราจะสงบก็เมื่อสามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้