ปีศาจหนีคุกฟิลิปปินส์

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
4 สิงหาคม 2558

          ฆ่าโหดหมู่ในฟิลิปปินส์ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า Maguindanao Massacre ในปลายปี 2009 นั้นโหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่งในภูมิภาคนี้เพราะมีผู้ถูกฆ่าตายรวม 58 คน “ผู้สั่งการ” ถูกจับได้แต่น่าเสียดายที่หนีตายไปเสียก่อนเมื่อเร็ว ๆ นี้หลังจากติดคุกมาประมาณ 6 ปี

          ผู้เขียนเคยเขียนเรื่องนี้เมื่อ 5 ปีมาแล้ว แต่ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปยาวนานคดีก็ไม่ไป ถึงไหน ประธานาธิบดีอาคิโนต้องลงมาเร่งคดีเองเพราะกลัวว่าเมื่อตนเองพ้นจากตำแหน่งไปในอีก 1 ปีข้างหน้าแล้ว มันจะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูเพราะกลุ่มผู้สั่งฆ่ามีอิทธิพลทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

          ที่เมือง Ampatuan ในรัฐ Maguindanao บนเกาะมินดาเนาซึ่งอยู่ทางใต้ของหมูเกาะฟิลิปปินส์นั้นมีผู้ยิ่งใหญ่อยู่คนหนึ่งชื่อ Andal Ampatuan Sr. เป็นผู้ว่าการรัฐมา 12 ปีแล้ว จนไม่สามารถเป็นต่อได้อีกจึงจะส่งลูกชายคือ Andal Ampatuan Jr. ลงแข่งขันเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไปในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในปี 2010 ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่าจะได้รับเลือก

          บังเอิญมีคนหาญกล้ามาท้าทายอำนาจคือ Esmael Mangudadatu รองนายกเทศมนตรีเมือง Buluan ได้ประกาศว่าจะลงสมัครแข่งขันเป็นผู้ว่าการรัฐด้วย ถึงแม้ว่ากลุ่มของนาย Ampatuan Sr. จะมั่นใจในผลเลือกตั้งมาก แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะมีคนกล้ามาลงแข่งด้วย

          ในวันยื่นใบสมัครนั้นนาย Esmael ได้เชิญชวนสื่อระดับชาติและท้องถิ่นให้เดินทางพร้อมกับญาติ ๆ ของเขาไปเป็นที่สำนักงานของเมือง เนื่องจากคู่แข่งของเขาได้ประกาศว่าหากเขาลงสมัครด้วยก็จะสับเขาเป็นชิ้น ๆ ดังนั้นจึงขอให้ช่วยเดินทางมาเป็นพยานเพื่อป้องกันภัยให้เขาด้วย

          เหล่าบรรดาผู้ชะตาขาดประกอบด้วยสื่อจำนวน 34 คน และภรรยาของ Esmael น้องสาวของเขาสองคน อาและลูกพี่ลูกน้อง และผู้ติดตามก็ออกเดินทางในรถ 6 คัน ไปร่วมเป็นพยาน โดยไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำร้ายแต่หารู้ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามได้ใช้รถแบ็กโฮเตรียมขุดหลุมฝังศพทุกคนและรถยนต์ไว้แล้ว ไม่มีใครนึกว่าจะมีใครกล้าทำอะไรบ้าบิ่นหากเดินทางไปกันเป็นจำนวนมากขนาดนั้น

          การคาดการณ์ผิดครั้งนี้ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ผู้เดินทางและผู้ร่วมดูเหตุการณ์รวมทั้งหมด 58 คน ถูกฆ่าตายหมดอย่างทารุณเหลือที่จะกล่าว สื่อหญิง 4 ใน 5 คน ถูกข่มขืนก่อนถูกยิงตาย ภรรยาของนาย Esmael นั้นโดนหนักสุดถูกมีดปาดอวัยวะเพศ ถูกยิงที่อวัยวะเพศ และหน้าอกสองข้าง แทงตาสองข้าง ยิงกรอกปากและตัดขา

          อาและน้องสาวซึ่งท้องอยู่ก็ถูกฆ่าอย่างทารุณเช่นเดียวกับสื่อทั้งหมด บ้างก็ถูก ตัดคอ ยิงเผาขน เรียกว่าฆ่าไม่เลือกและเหี้ยมโหดอย่างที่สุดซึ่งต่างไปจากการฆ่ากันเป็นปกติในประเทศนี้เมื่อเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมือง

          จากคำให้การของพยาน ก่อนที่ขบวนรถจะไปถึงสำนักงานประมาณ 10 กิโลเมตร ก็มีกลุ่มคนครบอาวุธ 100 คน แต่งเครื่องแบบตำรวจและทหาร เข้าจับกุมลากไปซ้อมและฆ่า ก่อนตายภรรยาของเขามีโอกาสแอบส่ง SMS โดยระบุว่าใครเป็นคนทำและเน้นว่าเธอถูกตบหน้าโดยนาย Ampatuan ผู้ลูกด้วย

          แต่ฟ้ามีตา การฝังศพทำได้ไม่เสร็จเรียบร้อยเพราะมีเฮลิคอปเตอร์บินผ่านมาเห็นเข้า บรรดาฆาตกรจึงแตกฮือ เมื่อเรื่องรั่วออกไปข้างนอกก็เป็นข่าวใหญ่ ทางการท้องถิ่นก็กล้า ๆ กลัว ๆ เพราะมีบุญคุณกันมายาวนาน ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโยในขณะนั้นซึ่งเป็นพวกเดียวกันเพราะ ผู้พ่อและผู้ลูกเป็นหัวคะแนนเสียงให้ในเขตจนเธอได้คะแนนเสียงท่วมท้น จึงจำเป็นต้องจัดการกับกลุ่มฆาตกรเพราะถือได้ว่าล้ำเส้นมากเกินไป อนึ่งเมื่อการเลือกตั้งปี 2010 มาถึง Esmael ก็ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐสมใจหลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่

          คดีนี้ทางการระบุผู้ร่วมกระทำผิดไม่ต่ำกว่า 198 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีตัวพ่อคือ Andal Ampatuan Sr. ตัวลูกคือ Andal Amputuan Jr. และอีกหลายคนในตระกูล Ampatuan ณ ปลายปี 2011 ซึ่งเป็นเวลาสองปีหลังจากเหตุการณ์ สามารถจับผู้ต้องสงสัยมาได้เพียง 97 คน ส่วนสอง พ่อลูกนั้นติดคุกโดยศาลไม่ให้ประกัน

          หลักฐานคดีนี้ค่อนข้างแน่นหนา แต่พยานก็หายตัวไปจำนวนมากหรือไม่ก็ไม่กล้าพูด อย่างไรก็ดีพยานคนหนึ่งซึ่งลืมกลัวได้ให้การว่าก่อนหน้าเหตุการณ์ 6 วัน เขาได้ยินพ่อลูกคุยกันเรื่องการยับยั้งการสมัครรับเลือกตั้งของ Esmael เขาได้ยินตัวลูกบอกพ่อว่า “มันง่ายจะตายไป ก็ฆ่ามันทั้งหมดตอนมาถึงที่นั่น”

          การสอบสวนคดีนี้กระทำไปด้วยความยากลำบากเพราะนอกจากมีคนตายถึง 58 คนแล้ว หลักฐานทางนิติเวชก็ถูกทำลายอย่างจงใจและไม่ตั้งใจด้วยความไม่รู้ จนต้องอาศัยคำให้การของพยานกว่า 200 ปาก ซึ่งพยานก็ถูกข่มขู่ ติดสินบน และบางคนก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว

          ฝ่ายจำเลยซึ่งมีเงินมากใช้แง่มุมกฎหมายต่าง ๆ ต่อสู้คดี สังคมฟิลิปปินส์ซึ่งมีความละม้ายคล้ายอเมริกันอยู่มากโดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายจึงสามารถโต้แย้งกันได้แทบไม่รู้จบ หน่วงเหนี่ยวคดีจนกระทั่งเกือบ 6 ปีผ่านไปแล้วคดีก็ยังไม่เดินไปถึงไหน “ปีศาจตัวพ่อ” รอไม่ไหวจึงลาไปก่อนด้วยโรคมะเร็งในตับหลังจากป่วยนอนโรงพยาบาลได้สองเดือนเท่านั้น

          โลกจับตามองคดีนี้เพราะเป็นบทพิสูจน์การเป็นสังคมมีขื่อมีแปของฟิลิปปินส์ ลักษณะการตายที่ทารุณของคนถึง 58 คน โดยเฉพาะส่วนใหญ่เป็นสื่อ ทำให้สมาชิกของสื่อทั่วโลกให้ความสนใจกับคดีเพราะถือได้ว่าเป็นคดีที่สื่อนานาประเภทถึงแก่ชีวิตรวมกันเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

          ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจบ้าอำนาจจากอเวจีเพียง 2 ตัวสามารถคบคิดกันสร้างความวิบัติได้มากมายขนาดนี้ อำนาจที่อยู่ในมือคนเลวนั้นเป็นสิ่งน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง การตัดสินใจผิดเพียงครั้งเดียวสามารถทำลายชีวิตผู้คนที่ไร้เดียงสาและทำลายครอบครัวตนเองได้อย่างรวดเร็ว

          ใครก็ตามจงอย่าได้ประมาทเมื่อมีอำนาจในมือเป็นอันขาด สติและความใฝ่ดีเท่านั้นที่จะช่วยคัดคานมิให้กระทำสิ่งที่ชั่วร้าย

ช่วยหนึ่งชีวิตคือช่วยโลก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
28 กรกฎาคม 2558

          ถึงแม้เธอจะแต่งงานกับชายผู้นี้มาเป็นเวลา 50 ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่าเขาได้ทำสิ่งที่โลกสรรเสริญ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบสมุดบันทึกพร้อมด้วยรูปภาพ จดหมาย เอกสารเดินทาง ใบบันทึกข้อความจำนวนมากในห้องเก็บของบนชั้นหลังคา หลังจากบังคับให้สามีอธิบายเธอจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไปคือการช่วยเด็กจำนวน 669 คนให้พ้นจากเงื้อมมือของนาซีเมื่อ 50 ปีก่อน วีรบุรุษผู้นี้บอกเธอว่าทิ้งมันไปเถอะคงไม่มีใครสนใจหรอก ในขณะนั้นเขามิได้ตระหนักเลยว่าโลกจะตื่นเต้นกับเรื่องของเขาเพียงใด

          ชื่อของเขาคือ Nicholas Winton ชาวอังกฤษ ซึ่งตอนเกิดเป็นเยอรมันเชื้อสายยิว แต่ต่อมาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ในปี 1938 ขณะที่เขามีอายุ 29 ปี กำลังทำงานในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนก็ได้รับโทรศัพท์ชักชวนจากเพื่อนที่อยู่ในกรุงปารกเมืองหลวงของเชคโกสโลวาเกียว่าให้ไปช่วยงานสำคัญ เมื่อเขาไปถึงก็รู้สึกสลดใจเป็นอันมากกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวยิวที่ สิ้นหวัง พยายามดิ้นรนอพยพออกจากประเทศเพราะรู้ว่าภัยกำลังมาใกล้ตนเองและลูกหลาน

          นาซีกำลังไล่ล่ายิวในทุกหนแห่ง และในดินแดนนี้มีความชัดเจนว่าในอีกไม่ช้าเยอรมันจะเข้ายึดครอง และคาดได้ว่ายิวเหล่านั้นจะมีชะตากรรมอย่างไร

          Winton ร่วมกับเพื่อนหาหนทางช่วยเหลือเด็กยิวออกนอกประเทศ ซึ่งมีสองประเทศคืออังกฤษและสวีเดนเท่านั้นที่รับเด็กอพยพอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีครอบครัวยอมรับให้ไปอยู่ในบ้าน และเงินสดอีก 50 ปอนด์เพื่อเป็นค่าตั๋วเดินทางกลับหากมีปัญหา

          ยิวบางคนมีเงินแต่ปัญหาก็คือไม่มีใบอนุญาตให้เข้าประเทศจากรัฐบาลอังกฤษและหน่วยงานอังกฤษก็ทำงานเชื่องช้ามาก Winton จึงฝากให้เพื่อนช่วยลงทะเบียนเด็กที่ต้องการอพยพท่ามกลางน้ำตาของพ่อแม่และเด็กที่ต้องจากกันโดยไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้พบกันอีกหรือไม่ พ่อแม่ยอมเสียสละให้ลูกได้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพราะตัวเองถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ (พ่อแม่เหล่านี้ทั้งหมดต่อมาถูกส่งไปอยู่ค่ายกักกัน และเสียชีวิต)

          ตัวของ Winton เดินทางกลับไปลอนดอนเพื่อระดมหาเงินทุนเพื่อเป็นค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งขาดแคลนมากในสถานที่ซึ่งเพื่อนกำลังแอบรับลงทะเบียนเนื่องจากต้องทำอย่างลับ มิฉะนั้นอาจถูกหน่วยเกสตาโปจับไปสอบสวนและฆ่าได้

          งานที่ Winton ช่วยเหลือเด็กของเชคโกสโลวาเกียนี้คู่ขนานกับโครงการของรัฐบาลอังกฤษที่ช่วยเหลือยิวเยอรมันและออสเตรีย ซึ่งมีชื่อว่า Operation Kindertransport งานของเขาเป็นงานส่วนตัวที่ทุ่มเทแรงงานแรงใจเพื่อช่วยเหลือเด็กเชคโกสโลวาเกียที่เขาเห็นแล้วทนไม่ได้เพราะไม่มีใครช่วยเหลือ และต้องรีบทำก่อนที่เยอรมันจะบุก

          Winton ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ได้รับเงินช่วยเหลือและได้รับน้ำใจจากครอบครัวชาวอังกฤษ ยินดีรับเด็กไปอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก แต่คำถามก็คือจะขนเด็กเหล่านี้ซึ่งเขาต้องการขนไปเป็นพันคนตามคำขอร้องของพ่อแม่ได้อย่างไร ถ้าทำเอิกเกริกไปก็อาจถูกห้ามโดยนาซีไม่ให้ออกนอกประเทศเลย วิธีการของเขาก็คือการติดสินบนทหารนาซีที่ดูแลคนเหล่านี้ในทุกระดับและในทุกจุดที่เดินทาง สำหรับใบอนุญาตเข้าอังกฤษนั้นเมื่อใช้เวลานานมากนักก็ปลอมมันเสียเลย

          ในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1939 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ฮิตเลอร์จะแบ่งดินแดนของ เชคโกสโลวาเกียและเข้ามายึดครอง เด็กกลุ่มแรก 20 คนก็ออกเดินทางจากปรากด้วยเครื่องบิน และอีก 6 กลุ่มตามมาโดยการเดินทางด้วยรถไฟ นั่งเรือข้ามช่องแคบอังกฤษและจบลงที่สถานีรถไฟ Liverpool Street ในลอนดอน ซึ่งมีครอบครัวมารับกันมากมาย

          Winton ทำได้สำเร็จรวมเด็กทั้งหมด 669 คน ที่เดินทางถึงอังกฤษอย่างปลอดภัยและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นตลอดการเดินทางที่อาจถูกระงับได้ทุกขณะท่ามกลางความเศร้าสร้อยที่ต้องจากพ่อแม่ไปอยู่ในมือของคนที่ไม่รู้จัก โดยเด็กมิได้ตระหนักในขณะนั้นว่าแท้จริงแล้วกำลังหลบหนีมือมัจจุราช

          สิ่งน่าเศร้าที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือในการเดินทางเที่ยวสุดท้ายซึ่งมีเด็กจำนวนมากที่สุดถึง 250 คน ซึ่งกำหนดเป็นวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 นั้น ตรงกับวันที่ฮิตเลอร์บุกโปแลนด์อันเป็นชนวน ไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่สองพอดี ชายแดนทั้งหมดถูกปิด ห้ามการเดินทางออกนอกประเทศทุกลักษณะ เด็กเหล่านั้นจึงไม่ได้ขึ้นรถไฟจากสถานีกรุงปราก และไม่เคยมีใครได้ทราบข่าวคราวของเด็กเหล่านั้นอีกเลย เข้าใจว่าถูกฆ่าตายหมดในห้องแก๊สที่นาซีใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดยิว

          ถ้าแม้นว่าเดินทางเร็วกว่าเพียงหนึ่งวัน เด็กกลุ่ม 250 คนนี้ก็คงได้มีโอกาสมีชีวิตที่ดีและ มีลูกหลานสืบต่อมาเหมือนเด็ก 669 คน ที่ Winton กับเพื่อนอีกหลายคนได้ร่วมกันช่วยไว้

          Winton เป็นคนถ่อมตัว เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตหรือมีความสำคัญมากนักแต่ก็มีคนเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 3 เรื่อง ได้รับเกียรติมากมายหลังจากเรื่องราวของเขาถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากผ่านไปแล้ว 50 ปี โดยระหว่างนั้นเขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยแม้แต่ลูกและภรรยา

          เกียรติสูงสุดที่เขาได้รับจากอังกฤษก็คือ “Knighthood” จากสมเด็จพระราชินี (ได้เป็น Sir Nicholas George Winton) และจากประธานาธิบดี Czech Republic ได้รับ Order of T.G. Masaryk

          สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดเขาไม่นึกว่าเทียบได้กับผลงานของ Schindler ชาวเยอรมันผู้ช่วยยิว 1,200 คน ให้ทำงานในโรงงานและช่วยให้หลบหนี หรือผลงานของ Wallenberg นักธุรกิจชาวสวีเดนและนักการทูตที่ช่วยออกพาสปอร์ตและเอกสารปลอมช่วยเหลือยิวนับหมื่นคนในฮังการี อย่างไรก็ดีงานจำลองเหตุการณ์ที่ควรจะเกิดขึ้นกับรถขบวนสุดท้ายขนเด็ก 250 คน เมื่อ 70 ปีก่อน ทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญขึ้นมา กลุ่มของ “Winton’s Children” ดั้งเดิมและลูกหลานได้ร่วมกันจัดขบวนรถไฟที่วิ่งในสมัยที่เขาหนีรอดมาได้โดย โดยสารกันไปจากสถานีกรุงปรากไปยังสถานี Liverpool Street Station ในลอนดอนที่ Winton ผู้ซึ่งมีอายุผ่าน 100 ปีไปหมาด ๆ รออยู่

          ในจำนวนเด็กของเขานั้นหลายคนได้กลายเป็นคนสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมมากมาย เช่น เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คนสำคัญ เป็นสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ รัฐมนตรีของอังกฤษ ผู้ก่อตั้งกองทัพอากาศอิสราเอล นักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ ฯลฯ ยังไม่นับลูกหลานอีกมากมายที่เป็นพลังสำคัญของสังคมในเวลาต่อมา

          Winton เพิ่งจากไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ในวัย 106 ปี อย่างอิ่มเอมใจกับสิ่งที่เขาได้ทำในชีวิตถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจให้ใครรู้ก็ตาม ก่อนเสียชีวิตเขาใส่แหวนที่บรรดา “ลูก” ของเขาได้มอบให้เป็นของขวัญ บนแหวนมีข้อความสลักที่นำมาจาก Talmud หรือ Book of Jewish Law ว่า “Save one life, save the world”

เกิดอะไรขึ้นกับกรีก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
21 กรกฎาคม 2558

          โลกเต็มไปด้วยข้อมูลและข่าวสารมากมายจนล้นไปหมดในแต่ละวัน บางครั้งไม่ได้สนใจบางข่าวนักจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในเวลาต่อมา ท่านใดที่มิได้ติดตามเรื่องราวของประเทศกรีก วันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอที่มาที่ไปเพื่อไขความสงสัย

          กรีกเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรป โดยอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีประชากรประมาณ 11 ล้านคน มีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย รายได้ต่อหัวต่อปีประมาณ 3 เท่ากว่าของประเทศไทย (กรีกประมาณ 622,000 บาท) เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นสมาชิกของ EU (European Union) และเป็นหนึ่งประเทศใน EU ที่ใช้เงินสกุลยูโร

          ใน 28 ประเทศที่เป็นสมาชิก EU มีอยู่ 19 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน และ อีก 9 ประเทศใช้เงินสกุลท้องถิ่นของตนเอง เช่น อังกฤษ เดนมาร์ก ฯลฯ กรีกเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้เงินยูโรเช่นเดียวกับออสเตรีย เบลเยี่ยม ไซปรัส เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมันนี ไอร์แลนด์ อิตาลี แลทเวีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ ปอร์ตุเกส สโลวาเกีย สโลวีเนีย และสเปน

          ในปี 2002 กรีกเริ่มใช้เงินยูโร โดยได้รับการพิจารณาจาก EU ให้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้เงินยูโร (Eurozone) หลังจากมีหลักฐานว่ามิได้เป็นพิษเป็นภัยต่อเงินสกุลยูโร กรีกโดดเข้าเป็นสมาชิกเพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ส่วนผู้บริหาร EU ก็ยินดีรับเข้าร่วม Eurozone โดยเชื่อว่ากรีกมีความพร้อม

          หลักฐานสำคัญอันหนึ่งของการได้เข้าร่วม Eurozone ก็คือมีการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล (รายได้ของรัฐบาลหักด้วยรายจ่ายแล้วติดลบ กล่าวคือรายจ่ายมากกว่ารายได้) ไม่เกินกว่าร้อยละ 3 ของ GDP รัฐบาลกรีกยืนยันโดยแสดงตัวเลขให้ดูและมีการตรวจสอบว่าตัวเลขนี้ของกรีกสูงเพียงร้อยละ 1.5 เท่านั้น

          จุดนี้แหละคือตัวการสำคัญของการเกิดปัญหาหนักอกของกรีกในเรื่องหนี้ของรัฐบาลในเวลาต่อมา การโกหกตัวเลขนี้ทั้งที่จริงสูงถึงร้อยละ 8.3 ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงมาก (พบในปี 2004 โดยรัฐบาลต่อมา แต่ก็เก็บเป็นความลับเพราะเป็นปีที่กรีกเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก) เป็นฐานหนึ่งที่ทำให้ดอกเบี้ยพอกพูนสูงขึ้น

          คำถามก็คือเหตุใดรัฐบาลจึงขาดดุลงบประมาณมากถึงเพียงนั้น และพุ่งสูงขึ้นในเวลาต่อมาจนปัจจุบันสูงถึงกว่า 246,000 ล้านยูโร คำตอบง่าย ๆ ก็คือรากฐานคือรายจ่ายสูงกว่ารายได้มาก เมื่อรัฐบาลเก็บภาษีไม่ได้มากเพราะเกือบร้อยละ 99.9 ของสถานประกอบการเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ตามเก็บภาษีได้ยาก รัฐบาลมีระดับคอรัปชั่นสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป รัฐบาลเอาใจประชาชนมากเกินเหตุในเกือบทุกครั้งเมื่อมีการนัดชุมนุมประท้วงหยุดงานซึ่งมีมากเป็นพิเศษในกรีก แถมด้วยรายจ่ายในการจัดกีฬาโอลิมปิก และการจ้างข้าราชการจำนวนมากขึ้น ระหว่างปี 2002 และ 2010 (จาก 450,000 คน พุ่งเป็นเกือบ 800,000 คน)

          ค่าใช้จ่ายเงินเดือนข้าราชาการ 800,000 คน เพื่อบังคับใช้กฎหมายที่เพิ่มขึ้นกว่า 4,000 ฉบับ กฎกระทรวงกว่า 110,000 ฉบับใน 30 ปี ที่ผ่านมาทำให้เกิดภาระอย่างมากทางการเงิน ดังนั้นเมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วก็ไม่เพียงพอกับรายได้จากภาษีอากร

          อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เก็บภาษีได้ไม่มากเท่าที่ควรก็เพราะการมีกฎระเบียบมากมายทำให้การค้าขายอย่างเสรีเป็นไปได้อย่างยากเย็น ธุรกิจใหม่เกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้นเมื่อไม่มีรายได้เกิดขึ้นจากธุรกิจ ภาษีอากรก็ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้เช่นเดียวกัน

          ช่องว่างระหว่างรายจ่ายและรายได้จากภาษีอากรก็คือเงินกู้ รัฐบาลออกพันธบัตรให้ประชาชน ธุรกิจ สถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศซื้อ (ก็คือการให้รัฐบาลกรีกกู้นั่นเองโดยสัญญาว่าจะคืนเงินให้ภายในระยะเวลาที่ตกลงกัน) หนี้รัฐบาลกรีกจึงพอกพูนเพิ่มมากขึ้นทุกปี

          เมื่อความลับว่ามีหนี้มากถูกเปิดเผยออกมา การกู้ยืม (ขายพันธบัตร และวิธีการ อื่น ๆ) ก็กระทำได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเนื่องจากความเสี่ยงสูงขึ้น หนี้ใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อชดเชยการขาดดุลในปีต่อ ๆ มาจึงมีมูลค่าสูงขึ้นมาก

          ในปี 2008 เกิดวิกฤตเงินโลกโดยสหรัฐอเมริกาเป็นต้นเหตุ กรีกที่ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้วเพราะมีหนี้มาก (รัฐบาลมีขีดจำกัดในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพราะมีภาระหนี้หนักที่ต้องแบกรับในงบประมาณรายปี) ก็ถูกซ้ำเติมหนักขึ้น เมื่ออำนาจซื้อของคนยุโรปที่มาท่องเที่ยวกรีกลดลง รายได้ของประเทศก็ลดลง ภาษีอากรก็เก็บได้น้อยลงแต่ค่าใช้จ่ายของภาครัฐมิได้ลดน้อยลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น

          ในปี 2010 EU กับ IMF และ ECU (ธนาคารกลาง EU) ก็ช่วยเหลือเพราะเกรงว่าหากกรีกชำระหนี้ไม่ได้ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นใน EU ลดต่ำลง ประเทศ EU ก็จะต้องกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ต้นทุนในการประกอบธุรกิจก็จะสูงขึ้น การช่วยเหลือครั้งนี้มีมูลค่า 110,000 ล้านยูโร โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลกรีกต้องเก็บภาษีให้ได้มากขึ้น และตัดทอนรายจ่ายของรัฐลง

          อย่างไรก็ดีเมื่อถึงปี 2012 หนี้สะสมรวมก็พุ่งสูงขึ้นไปถึง 246,000 ล้านยูโร โดยเป็นสัดส่วน 177% ของ GDP เจ้าหนี้ร่วม 3 ฝ่ายก็โดดเข้าช่วยเหลืออีกโดยมีเงื่อนไขเข้มข้นเหมือนเดิม

          คนกรีกทนไม่ไหวกับมาตรการเข้มข้น ตัดรายจ่ายของภาครัฐ ข้าราชการถูกปลดไปเป็นจำนวนมาก เงินสวัสดิการถูกตัดไปมาก เมื่อ GDP ลดลงไปร้อยละ 25 ใน 5 ปีก็ทำให้เก็บภาษีได้น้อยลง มีการว่างงานทั่วไปในอัตราสูงถึงร้อยละ 30 และในหมู่เยาวชนสูงถึงร้อยละ 50 การประท้วงเกิดขึ้นทุกวัน รัฐบาลเปลี่ยนไป 2 ครั้ง จนในปี 2015 ก็ได้รัฐบาลใหม่ที่ได้รับเลือกเข้ามาเพราะสัญญาว่าจะลดมาตรการเข้มข้นเหล่านี้ และต่อรองกับเจ้าหนี้ให้ดุเดือดขึ้น

          กำหนดใช้หนี้แรกแก่ IMF คือ 30 มิถุนายน 2015 เป็นเงิน 1,550 ล้านยูโรมาถึงโดยไม่สามารถชำระได้ กรีกจึงเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้และเป็นหนี้เสียก้อนใหญ่สุดของ IMF อีกด้วย การต่อรองกันอย่างหนักกับเจ้าหนี้ก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นผล

          นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายอเล็กซิส ซิปราส ก็ประกาศขอประชามติจากประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอปรับการให้ชำระหนี้ใหม่พร้อมเงื่อนไขของสามเจ้าหนี้ใหญ่ โดยรัฐบาลบอกว่าการลงคะแนนไม่เห็นด้วยก็เท่ากับว่าให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นในการต่อรองกับเจ้าหนี้ ซึ่งเท่ากับลดมาตรการเข้มข้นลง ฝ่าย EU ก็บอกว่าการทำตามนี้ก็หมายถึงการต้องออกไปจาก Eurozone กล่าวคือไม่ให้ใช้เงินสกุลยูโรอีกต่อไปแล้ว

          ประชาชนลงคะแนนเสียง 61% ต่อ 39% อยู่ข้างนายกรัฐมนตรี โดยเบื่อหน่ายมาตรการเข้มงวด แต่ถึงจะชนะแล้วก็ใช่ว่าหนี้จะหายไปและมาตรการเข้มข้นหายไปข้ามคืน นักวิเคราะห์มีความเห็นว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการต่อรองกับ 3 เจ้าหนี้ใหญ่ก่อน 20 กรกฎาคม 2015 เพราะถ้าวันนั้นมาถึงโดยกรีกไม่อาจจ่ายหนี้อีก 3,500 ล้านยูโรได้ ความหายนะจะมาเยือนกรีกอีกแน่นอน ความเชื่อมั่นในกรีกจะลดลงจนในที่สุดต้องออกจาก Eurozone ก็เป็นได้ (ไม่มีกฎหมายระบุว่าจะออกได้อย่างไร มีแต่ให้เข้าร่วม ดังนั้นจะเป็นปัญหาปวดหัวทางกฎหมายต่อไปอีกมาก)

          อนาคตของกรีกจะเป็นอย่างไรขึ้นกับการต่อรองและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับเจ้าหนี้ ทั้งหมดมีผลต่อคนกรีกอย่างมาก สถานการณ์เช่นนี้จะไม่มาถึงเป็นอันขาดหากมีการใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างระมัดระวัง ไม่ใช้จ่ายเกินตัวในเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น จนเกิดปัญหาหนี้ที่สร้างความหายนะให้แก่ประเทศ ประเทศสารขัณฑ์จงจำไว้ให้ดี

รถไร้คนขับและจริยธรรม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
14 กรกฎาคม 2558

          รถยนต์ขับเคลื่อนเองโดยไม่ต้องมีคนขับเกิดเป็นจริงขึ้นแล้วตามนิยายวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือเยอรมัน ต่างสามารถผลิตรถยนต์ไร้คนขับหลังจากใช้เงินลงทุนกันมหาศาลจนในปัจจุบันมีการทดลองวิ่งบนถนนสาธารณะในขอบเขตจำกัด อย่างไรก็ดีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกก็คือเรื่องจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของรถเหล่านี้

          Driverless Car (DC) / Autonomous Car / Self-driving Car หรือ Robotic Car คือชื่อเรียกรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองราวกับมีคนขับ รู้ทิศทางที่จะไป ขับหลบหลีกรถคันอื่น หยุดจอดตามสัญญาณไฟจราจร จอดในที่อันควร จอดรับส่งผู้โดยสาร ฯลฯ

          ไอเดียในเรื่องนี้มีมานานแล้ว มีการทดลอง DC ขั้นแรกอย่างน้อยตั้งแต่ทศวรรษ 1920 แต่เริ่มมีการทดลองจริงจังในทศวรรษ 1950 และก็พัฒนามาเป็นลำดับ คันที่เป็น DC อย่างแท้จริงปรากฏตัวในทศวรรษ 1980 ในโครงการ Navlab ของ Carnegie Mellon University ในสหรัฐอเมริกา และจากความร่วมมือระหว่าง Mercedes-Benz กับ Bundeswehr University ก็มีการแสดงรถไร้คนขับในปี 1987

          หลังจากนั้นบริษัทรถยนต์และศูนย์วิจัยอีกแทบนับไม่ถ้วนของรถยนต์ยี่ห้อดังในยุโรปและญี่ปุ่นแข่งขันสร้าง DC ออกมา บริษัท Google ก็โดดเข้าร่วมด้วยโดยมุ่งสร้างซอฟต์แวร์ควบคุม DC โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า DC ของ Google ที่นำออกแสดงในปี 2014 คือ DC ที่ไม่มีทั้งพวงมาลัย คันเบรค และคันเร่ง คาดว่าในปี 2020 จะมี DC ลักษณะนี้ออกสู่ตลาด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าก่อนปี 2025 จะมี DC ออกมาวิ่งบนถนนกันจริงจังจำนวนมาก

          4 รัฐในสหรัฐอเมริกาคือ Nevada / Florida / California และ Michigan ผ่านกฎหมายอนุญาตให้ DC วิ่งบนถนนสาธารณะได้ เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรป เช่น เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ เยอรมัน อนุญาตให้ DC ทดลองวิ่งบนถนนสาธารณะได้

          ประโยชน์ของ DC ที่เห็นได้ชัดก็คือการลดลงของอุบัติเหตุ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์จึงกระทำทุกสิ่งได้รวดเร็วตามที่มนุษย์ใส่โปรแกรมสั่งไว้ ไม่มีง่วง ไม่มีอารมณ์ มองเห็นภาพรอบด้านในขณะที่เคลื่อนไหว สามารถตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่มีอันตรายได้รวดเร็วฉับพลันกว่ามนุษย์ นอกจากนี้ถ้ามี DC บนถนนจำนวนมากก็ช่วยลดการจราจรติดขัดลงเพราะ DC เหล่านี้คือคอมพิวเตอร์ที่เคลื่อนไหวได้ มันจะจัดการเรื่องการจราจรกันเองเพื่อหลีกหนีการติดขัด

          มนุษย์สามารถใช้รถยนต์ร่วมกัน (car pool) ได้สะดวกมากขึ้นเนื่องจาก DC วิ่งวนไปตามที่ถูกสั่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่จอดรถ สามารถวนกลับมารับได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ อีกทั้งลดจำนวนตำรวจจราจร ลดจำนวนป้ายจราจร เคลื่อนไหวอย่างนิ่มนวล และการไม่มีพวงมาลัยของบางรุ่นทำให้มีพื้นที่ว่างในรถเพิ่มขึ้น

          ข้อเสียก็มีมากเช่นเดียวกัน ในสภาพที่ DC วิ่งปนกับรถที่ขับโดยมนุษย์บนถนน คนจำนวนมากยังมองไม่เห็นภาพว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร (จะลงจากรถไม่ชกปากก็ทำไม่ได้) ระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ควบคุม DC อาจมีปัญหาจนวิ่งไม่ได้ เกิดรถติดกันมโหฬาร และท้ายสุดอาจเป็นคาร์บอมบ์ที่ดีมากๆ ก็เป็นได้

          แต่ไม่ว่าจะมีผลเสียอยู่มากอย่างไร DC มาแน่นอนในเวลาอันใกล้เพราะประโยชน์ดูจะมีมากกว่าภายใต้โลกซึ่งระบบอิเล็กทรอนิกส์และคมนาคมมีความแน่นอนมากขึ้นทุกที และการแข่งขันระหว่างบริษัทใหญ่ของโลกรวมทั้ง Google ผลักดันให้เกิดความคึกคัก

          ในเรื่องการผลิต DC บริษัททั้งหลายสามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้แล้ว แต่มีปัญหาหนึ่งที่ยังไม่มีใครคิดตก เช่น สถานการณ์ที่ DC คันหนึ่งตระหนักว่ามีรถบรรทุกซึ่งวิ่งเร็วกำลังจะชนท้ายซึ่งอาจทำให้ “เจ้านาย” เสียชีวิต โปรแกรมที่ใส่ไว้ใน DC ควรสั่งให้รถวิ่งขึ้นไปบนทางเท้าซึ่งอาจชนคนจำนวนมากตายหรือยอมให้รถชน “เจ้านาย” ตาย พูดง่าย ๆ ก็คือมันเป็นประเด็นเรื่องจริยธรรม

          คนสร้างรถต้องการคำตอบนี้เพื่อใส่ไปในซอฟต์แวร์ และตราบที่ไม่สามารถตอบคำถามเชิงปรัชญานี้ได้ก็อาจมีปัญหาด้านกฎหมายและสังคมตามมา การต้องเลือกเช่นนี้ในกรณีที่มนุษย์เป็นผู้ขับ ภาระจากการตัดสินใจเป็นของผู้ขับแต่ละคน การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความคิดในเรื่องคุณค่าของชีวิตมนุษย์และคุณธรรม อย่างไรก็ดีการต้องใส่คำตอบเดียวกันทั้งหมดไว้ใน DC ทำให้เกิดคำถามเชิงจริยธรรมตามมา เช่น ชีวิตมนุษย์คนใดมีค่ามากกว่ากัน ซึ่งไม่มีคำตอบตายตัว

          ภายใต้ปัญหานี้บริษัทผู้สร้างและวิศวกรยานยนต์กำลังนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า Asimov Laws (Asimov เป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังก้องโลก มีชีวิตระหว่างปี 1920-1992) ซึ่งกฎแรกเกี่ยวกับหุ่นยนต์กล่าวว่า “เครื่องจักรที่เคลื่อนไหวได้เองต้องไม่ทำร้ายมนุษย์หรือไม่ทำงานจนทำให้มนุษย์เป็นอันตรายได้” นักวิชาการด้านจริยธรรมจำนวนมากมีความเห็นว่าต้องไม่ให้เครื่องจักรตัดสินใจเรื่องการทำให้มนุษย์เป็นอันตรายและถึงแก่ชีวิตเป็นอันขาด เรื่องเช่นนี้มนุษย์ต้องเป็น ผู้ตัดสินใจ มิฉะนั้นในที่สุดแล้วเราจะมีสังคมที่ไร้กฎกติกาเมื่อผู้ตัดสินใจไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง

          DC ที่ออกมาวิ่งบนถนนถือได้ว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าในระดับสูงมากเนื่องจากมันสามารถวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางด้วยความเร็วสูงและมีความสามารถในการขับขี่ที่ไว้ใจได้มากกว่ามนุษย์เนื่องจากไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีง่วง (หุ่นยนต์ที่ดื่มเหล้าก่อนขับน่าจะหาได้ยากมาก) แต่เนื่องจากไม่มีหัวใจจึงไม่มีข้อยกเว้น ทุกอย่างจึงกระทำไปตาม

          “ใบสั่ง” หรือสิ่งที่ใส่ไว้ในซอฟต์แวร์ อย่างไรก็ดี คนนั่งเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจ การผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพกับความเป็นมนุษย์จึงเป็นประเด็นสำคัญของการเดินทางด้วย DC

          ขณะที่ DC วิ่งวนหลังจากส่ง “เจ้านาย” แล้ว เป้าหมายก็คือการกลับไปรับอีกครั้งตามเวลาที่กำหนดไว้โดยไม่สนใจว่ากำลังกีดขวางรถที่ขับโดยผู้ป่วยหนักสูงอายุที่กำลังรีบไปโรงพยาบาล สำหรับ DC แล้วรถทุกคันมีความหมายเท่ากันนอกเสียจากว่าจะมีโปรแกรมสั่งไว้

          การยกเว้นบางสิ่งเพื่อบางอย่างที่สำคัญกว่าเป็นเรื่องที่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นจึงจะสามารถคิดได้ และการสามารถคิดตัดสินใจเช่นนี้ได้คือข้อแตกต่างที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่าหุ่นยนต์ และถ้าจะให้มนุษย์ตนนั้นเหนือกว่าคนอื่นได้อย่างแท้จริงแล้วก็ต้องอยู่เหนือตนเองให้ได้เสียก่อน

ยาพิษฆ่าคนได้อย่างไร

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
7 กรกฎาคม 2558

          การวางยาพิษเป็นเรื่องที่ใครได้ยินแล้วก็หูผึ่งเพราะมันเป็นเรื่องลึกลับน่ากลัวและตื่นเต้นไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ดูไร้เดียงสาจะสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น น่าสงสัยว่าเบื้องหลังเชิงวิทยาศาสตร์ของยาพิษเป็นอย่างไร นิตยสาร Science Illustrated ฉบับธันวาคม 2013 ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ

          ยาพิษคือสารซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติในระบบการทำงานในร่างของสิ่งมีชีวิต โดยปกติมักเป็นปฏิกิริยาทางเคมีในระดับโมเลกุล ยาพิษที่ใช้ฆ่าคนนั้นมีมากมายหลายชนิดโดยส่วนใหญ่มีที่มาจากธรรมชาติ แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์เมื่อวิเคราะห์แล้วมีสารหรือธาตุที่สำคัญไม่มากตัวนัก

          เมื่อสารพิษถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายมันจะเข้าจู่โจมและทำลายเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน เซลล์ก็จะตายลง นำไปสู่การอุดตันของเส้นเลือด การล้มเหลวของการทำงานของอวัยวะภายใน เซลล์ต่าง ๆ หยุดทำงาน ซึ่งในที่สุดจะทำให้หัวใจและสมองหยุดทำงานไปด้วย

          ปรอทเป็นสารพิษที่ร้ายแรงมาก ออกฤทธิ์ช้า เมื่อปรอทซึมซาบเข้าไปในร่างกายจะใช้เวลานานกว่าจะเริ่มมีผล พิษสงก็คือมันจะทำลายเอนไซม์ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่มีหน้าที่ซ่อมแซมบริเวณที่ถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ (oxidants) ตามกลไกธรรมชาติ เมื่อการซ่อมแซมไม่เกิดขึ้นก็จะส่งผลร้ายแรงต่ออวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต และสมอง

          ในปี 1996 นักวิจัยด้านเคมีมีชื่อเสียงชาวอเมริกัน แคเรน เวทเทอร์ฮาห์น หยดสารปรอทลงบนแขนตัวเองโดยบังเอิญ อีกสิบเดือนต่อมาเธอก็เสียชีวิต อาการหลังได้รับสารพิษนี้ก็คือปวดศีรษะคล้ายเข็มทิ่ม ผิวหนังมีผื่นแดง ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกายล้มเหลว ไตวาย และสูญเสียความจำ

          ในประวัติศาสตร์ยุโรปเป็นที่รู้กันดีว่ามีดอกไม้มีพิษร้ายแรงมากชื่อดอกอะโคไนต์ (Aconitum napellus) ดอกไม้นี้มีสารอะโคนิทีน (aconitine) ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทโดยทำให้ระบบหายใจเป็นอัมพาต การวางยาพิษกันในประวัติศาสตร์ยุโรปมายาวนานก็ใช้ดอกไม้พิษรุนแรงนี้ ในเวลาต่อมามีการใช้สารนี้กันในญี่ปุ่นและเอเชีย การลอบวางยาพิษของพวกโชกุนที่เราเห็นในภาพยนตร์น่าจะใช้ดอกไม้มหาภัยนี้

          อีกยาพิษหนึ่งที่รู้จักกันกว้างขวางก็คือสตริกนิน (strychnine) ปริมาณเพียง 100 มิลลิกรัม หรือ 1 ใน 10 ของกรัม (100 กรัมเท่ากับ 1 ขีด) ก็ทำให้ตายได้ อาการหลังได้รับสารพิษก็คืออาเจียน ชักกระตุกอย่างรุนแรง เกร็งตามใบหน้า น้ำลายฟูมปาก ตาบวม หมดสติ หายใจไม่ออก

          เมื่อสตริกนินเข้าสู่ร่างกายมันจะเคลื่อนที่ไปตามร่างกายพร้อมกับเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยการจับตัวอย่างหลวม ๆ กับโปรตีนบางชนิดในกระแสเลือด ดังนั้นจึงซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อได้อย่างง่ายดาย และมุ่งโจมตีเซลล์ประสาทซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระบบการทำงานของประสาท ผลที่เกิดตามมาก็คือการกระตุกของกล้ามเนื้อที่ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจและการทำงานของระบบหายใจ

          ยาพิษยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งก็คือไซยาไนด์ (cyanide) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถดูดซึมพิษได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงที่นาซีล่มสลาย ผู้นำพรรคนาซีหลายคนใช้ไซยาไนด์เป็นเครื่องมือในการฆ่าตัวตาย ฮิมม์เลอร์ผู้บัญชาการหน่วยทหาร SS ฆ่าตัวตายด้วยการกินยาเม็ดไซยาไนด์ซึ่งออกฤทธิ์เต็มที่ในเวลา 15 นาที

          โยเซฟ เกิบเบลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการของฮิตเลอร์ จบชีวิตตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ อีก 6 คน ด้วยไซยาไนด์ ไม่น่าเชื่อว่าคนมีการศึกษาขนาดจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย ไฮเดลเบิร์ก จะฆ่าลูกของตัวเองได้ลงคอโดยร่วมมือกับภรรยาเอาไซยาไนด์ผสมเครื่องดื่มให้ลูกหญิง 5 คน ชาย 1 คน ที่อยู่ในวัยไม่ถึง 10 ขวบดื่มและนอนหลับไม่รู้ตัวในบังเกอร์หลบภัยเดียวกับฮิตเลอร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายด้วยการกินไซยาไนด์และยิงตัวเองซ้ำ

          ทุก ๆ เซลล์ในร่างกายมนุษย์จะมี “โรงไฟฟ้า” ขนาดจิ๋วที่เรียกว่าไมโทคอนเดรีย (mitochondria) แอบซ่อนอยู่ มันมีหน้าที่รีดออกซิเจนออกจากเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ตลอดเวลาเพื่อนำออกซิเจนมาใช้ภายในเซลล์ เมื่อไซยาไนด์เข้าไปในร่างกายมันก็จะไปประกบติดกับโมเลกุลใน ไมโทคอนเดรียจนทำให้ระบบการป้อนออกซิเจนเข้าสู่เซลล์หยุดทำงาน ปอดและหัวใจเกิดภาวะล้มเหลวอย่างรวดเร็วตามมา

          สารหนู (arsenic) เป็นยาพิษที่ทำให้ตายภายในไม่กี่ชั่วโมงด้วยปริมาณ 100 มิลลิกรัม อาการหลังได้รับสารหนูในปริมาณนี้ก็คือเวียนหัว ปวดศีรษะ ผมร่วง ปัสสาวะเป็นเลือด อาเจียน

          สารหนูฆ่าคนได้เพราะมันเข้าไปทำลายความสามารถในการผลิตสาร ATP ซึ่งเป็นสารทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับเซลล์เพื่อให้ทำงานได้ตามปกติ ถ้าขาด ATP เซลล์จะหยุดทำงานและตายลง อันเป็นผลทำให้ระบบประสาทเป็นอัมพาต และอวัยวะภายในล้มเหลว

          อีกสารหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกันก็คือไรซิน (ricin) ปริมาณที่น้อยมากเพียง 1.8 มิลลิกรัมก็ทำให้เสียชีวิตภายใน 72 ชั่วโมง เมื่อได้รับสารพิษนี้จะรู้สึกหายใจขัด ร้อนวูบวาว เหงื่อออกผิดปกติ ถ่ายเป็นเลือด ปวดเกร็งช่องท้อง ประสาทหลอน ตับและไตวาย เมื่อไรซินเข้าไปในร่างกายก็จะไปขัดขวางกระบวนการผลิตโปรตีนภายในเซลล์ ตลอดจนทำให้การซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์หยุดทำงานไปด้วย การเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์เช่นนี้ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายรวน จนเสียชีวิตในที่สุด

          ไรซินเป็นสารเคมีที่สะกัดจากเมล็ดละหุ่ง การห้ามกินเมล็ดละหุ่งเพราะทำให้เสียชีวิตได้ก็เพราะสารไรซินนี้แหละ (ขนาด 5-6 เมล็ดก็ทำให้ผู้ใหญ่เสียชีวิตได้) ในปี 1978 เกออร์กี มาร์คอฟ นักต่อต้านรัฐบาลเชื้อสายบุลกาเรีย ถูกลอบสังหารด้วยการยิงสารไรซินเข้าสู่ร่างกาย ร่มถูกแปลงเป็นปืนยาวชนิดอัดลมโดยลูกปืนมีไรซินเป็นส่วนประกอบ เมื่อถูกยิงแบบเผาขน สารไรซินก็เข้าสู่ร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด

          ยาพิษทันสมัยที่สุดก็คือธาตุกัมมันตรังสีพอโลเนียม-210 (polonium 210) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายผ่านการปะปนกับอาหารก็จะไปสะสมอยู่ในม้าม ไต และตับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะระดมปล่อยกัมมันตรังสีออกมาจากกระบวนการสลายตัวของธาตุพอโลเนียม รังสีที่ปล่อยออกมาจะทำให้ตับและหัวใจล้มเหลวในที่สุด

          ปริมาณพอโลเนียมเพียง 0.1 ไมโครกรัม (1 ไมโครกรัมเท่ากับ 1 ใน 1,000 ของกรัม) สามารถทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ อาการหลังรับสารพิษก็คือผมร่วง เลือดออกทางจมูก และเหงือก อาเจียน มีไข้ และอวัยวะภายในล้มเหลว

          สารอันตรายเหล่านี้ถ้าจงใจใช้เพื่อฆ่าฟันเพื่อนมนุษย์ก็สร้างความเจ็บปวดและน้ำตาให้แก่ผู้คนมหาศาล อย่างไรก็ดียังมี “สารพิษ” อื่นที่เลวร้ายเช่นเดียวกัน นั่นก็คือคำพูด ขงจื่อบอกว่าคำพูดที่เป็นพิษนั้นแทงผ่านกลางใจและสร้างรอยแผลเป็นไปตลอดชีวิตอย่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่ามีดดาบ

คนแปลกที่ชื่อ Angelina Jolie

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
30 มิถุนายน 2558

          แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก Angelina Jolie (AJ) ดาราสาวชื่อดังของฮอลลีวู๊ดที่มี ทั้งความสามารถในการแสดง จิตใจที่ต่อสู้เพื่อผู้อ่อนแอขาดโอกาส และความไม่เหมือนใครในความคิด แค่ตัดนมไปสองข้างเพราะกลัวมะเร็งเต้านมยังไม่พอ บัดนี้ได้ตัดรังไข่และท่อรังไข่เพิ่มอีกเพื่อหนีโรคมะเร็ง ความไม่ธรรมดาของเธอเป็นผลพวงมาจากความไม่เป็นปกติของชีวิตตั้งแต่เยาว์วัยอย่างน่ารับรู้ไว้เป็นบทเรียน

          AJ เป็นลูกสาวของ Jon Voight ดาราชายมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง The Deliverance (เพลงไพเราะพร้อมพล็อตเรื่องแก้แค้นฆ่ากันโหดถึงใจในรัฐตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา) กับ Marcheline Bertrand ผู้เลิกอาชีพการแสดงเพื่อมาดูแลลูกเต็มเวลา ชีวิตของ AJ น่าจะรุ่งโรจน์เพราะมีเส้นสายในวงการแสดงโดยเกิดท่ามกลางดาราดัง (พ่อทูนหัวของเธอคือ Maximilian Schell และแม่ทูนหัวคือ Jacqueline Bisset) ซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อแม่ แต่ชีวิตเธอไม่เป็นเส้นตรงเช่นนั้น

          พ่อทิ้งเธอไปตั้งแต่อายุไม่ถึงขวบ เธอจึงอยู่กับแม่และแฟนของแม่ที่อยู่กินด้วยกัน เธอได้แสดงบทเล็กน้อยตอนอายุ 5 ขวบครั้งหนึ่งในภาพยนตร์ของพ่อเธอและก็ไม่ได้มีโอกาสอีก

          ชีวิตวัยรุ่นของ AJ นั้นมีปัญหามาก เธอมีปัญหากับพ่อและกับการปรับตัวเข้ากับเพื่อน เมื่ออายุเพียง 14 ปีเธอก็มีแฟน แม่อนุญาตให้เอาแฟนเข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน 2 ปีผ่านไปก็เลิกกัน เธอจึงย้ายออกมาอยู่คนเดียว เมื่อเรียนจบมัธยมปลายเธอก็เข้าโรงเรียนการแสดง เธอติดยาขนาดที่บอกว่าก่อนอายุ 20 ปี เธอลองยามาแล้วทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฮโรอีน เธอเคยคิดจะฆ่าตัวตายสองครั้ง พออายุได้ 24 ปี ก็ประสบความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ (nervous breakdown) ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน

          AJ เริ่มอาชีพนักแสดงจริงจังเมื่ออายุได้ 18 ปี และเธอมีชื่อเสียงขึ้นเป็นลำดับท่ามกลางปัญหาชีวิต ชีวิตเธอเปลี่ยนใน ค.ศ.1998-2000 เมื่อได้รับรางวัลครั้งแรกคือรางวัลลูกโลกทองคำ และหลังจากนั้นก็รับรางวัลเกือบทุกปีจากแทบทุกประเภท รวมทั้งรางวัลตุ๊กตาทอง (Academy Award) ด้วย

          เธอแต่งงานครั้งแรกกับดารานักแสดงชาวอังกฤษในปี 1996 แต่งกันได้ 3 ปีก็เลิก แต่งครั้งที่สองกับนักแสดงด้วยกันอยู่กันได้ 3 ปีก็เลิกกันอีก ก่อนเลิกกันได้ไม่นานในปี 2002 เธอรับเด็กกำพร้าจากพระตะบอง กัมพูชา เป็นบุตรบุญธรรม เธอบอกว่านี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้เธอเลิกทำร้ายตนเอง รู้จักรับผิดชอบชีวิตคนอื่น

          ชีวิตคู่ของเธอโด่งดังสุดในช่วงที่เธอเป็นดาราที่ได้รับค่าตัวสูงสุดในฮอลลีวู๊ดคือ 20 ล้านเหรียญต่อเรื่อง เธอชอบพอกับดาราชายรูปงาม Brad Pit ในปี 2005 จนทำให้ชีวิตคู่ของเขากับดาราดัง Jennifer Aniston เลิกร้างไป ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน 7 ปี จนเธอท้องจึงประกาศหมั้นในปี 2012 และแต่งงานกันในปี 2014

          เธอมีลูกทั้งหมด 6 คนกล่าวคือบุตรบุญธรรมจากกัมพูชา จากเวียดนาม จาก เอธิโอเปีย จากนามิเบีย และลูกของเธอกับ Brad Pit แฝดชายหญิง

          ชีวิต AJ โด่งดังในสังคมด้วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ เธอเยี่ยมค่ายอพยพนับสิบ ๆ แห่งทั่วโลก พักอยู่อาศัยแบบอาสาสมัครธรรมดา ระดมทุนต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของผู้ด้อยโอกาสทั่วโลก จนได้เป็นทูตของ UNHCR (หน่วยงานดูแลผู้อพยพของ UN) ชื่อเสียงของเธอจากการเป็นดาราดังเสริมงานในด้านนี้เป็นอย่างดี

          เรื่องราวของเธอเป็นที่กล่าวขวัญในปี 2013 จากการที่เธอเห็นแม่ ยาย และอาหญิงเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม เธอพบว่ายีนส์ตัวที่ชื่อว่า BRCA1 ซึ่งเป็นโค้ดสั่งการเติบโตของเนื้อที่ทรวงอกมีปัญหา เธอมีความเป็นไปได้ 85 ใน 100 ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม และ 50-50 กับมะเร็งมดลูก เธอจึงตัดสินใจให้หมอตัดนมทั้งสองข้างเพื่อตัดโอกาสที่จะเป็นเพื่อความสบายใจและเพื่อลูกทั้ง 6 และสามี

          เรื่องราวการตัดสินใจของเธอสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก หญิงจำนวนมากตื่นตัวในการตรวจมะเร็งเต้านมอย่างไม่เคยมีมาก่อน เธอย้ำว่าถึงแม้ญาติผู้หญิงใกล้ชิดเป็นมะเร็งเต้านมก็มิได้มีความแน่นอนที่ตนเองจะเป็นมะเร็งเต้านมด้วย แต่ละกรณีแตกต่างกันออกไป

          ผู้คนชื่นชมยินดีในตัวเธอ ถึงเธอจะเป็นคนแปลก (ยอมรับว่าเธอรักผู้หญิงด้วย) มีชื่อเสียงไม่ดีเรื่องผู้ชาย มีประวัติที่ไม่งดงามนัก แต่ผู้คนก็พร้อมที่จะลืมเพราะเธอทำงานสังคมที่โดดเด่นและกล้าตัดสินใจในเรื่องการผ่าตัดอย่างห้าวหาญ และเปิดเผย

          ยังไม่ทันจะลืมเรื่องนี้กัน เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เธอก็เขียนบรรยายการตัดสินใจผ่าตัดรังไข่และท่อรังไข่ AJ เล่าว่าเธอใคร่ครวญเรื่องนี้มานานพอควร หลังจากหมอตรวจร่างกายเธอและพบว่ามีตัวบ่งชี้หลายตัวซึ่งเกี่ยวพันกับมะเร็งมดลูกเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต จนเกรงว่าโรคนี้จะมาเยือนเธอ

          เธอหารือกับหมอหลายคน ชั่งผลดีผลเสีย และตัดสินใจเด็ดขาดที่จะผ่าตัดก่อนที่มะเร็งอาจมาเยือนเธอในเวลา 10 ปี AJ บอกว่าแม่ของเธอนั้นหมอพบว่าเป็นมะเร็งในมดลูกเมื่ออายุ 49 ปี ปัจจุบันเธออายุ 39 ปี

          ไม่มีใครบอกได้ว่าเธอตัดสินใจถูกหรือไม่ที่ผ่าตัดก่อนที่จะมีปัญหา แต่ตราบที่เป็นสิทธิส่วนตัว ทุกคนก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ อย่างไรก็ดีในการเป็น “คนของสังคมโลก” ที่เป็นเป้าสายตา ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันอาจนำไปสู่การเลียนแบบการตัดสินใจ เพียงแต่อาจเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไปจนสูญเสียอวัยวะอย่างไม่สมควร ยิ่งไปกว่านั้นการผ่าตัดเช่นนี้ทำให้ร่างกายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ และมีผลข้างเคียงที่รุนแรงสำหรับบางคน

          ในกรณีของเธอที่เป็นดาราที่มีชื่อเสียง การเป็นคนแปลกกว่าคนอื่นไม่ทำให้เธอด้อยค่าไปมากมาย โดยเฉพาะเธอสามารถตีตื้นได้ด้วยงานการกุศลข้ามโลกที่จริงใจ ตลอดจนการอุทิศตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่สำหรับคนธรรมดาที่ไม่โด่งดัง การเป็นคนแปลกเช่นนี้อันเป็นผลพวงจากการถูกทอดทิ้งโดยพ่อและปัญหาด้านจิต มีโอกาสนำไปสู่ความวิบัติได้ไม่ยากนัก

          ความประพฤติที่แปลกเหมือนกันของคนสองคน อาจนำไปสู่ผลที่แตกต่างกันได้ หากประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกันโดยเฉพาะในอาชีพที่ไม่เหมือนกัน

อายุ 102 ปีรับปริญญาเอก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
23 มิถุนายน 2558 

          สิ่งที่ไม่เป็นธรรมไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็สามารถแก้ไขได้เสมอในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง การแก้ไขสิ่งผิดให้เป็นถูกไม่มีการสายเกินไปตราบที่สังคมนั้นมีจิตสำนึกในความดี ความงาม และความจริง มหาวิทยาลัย Hamburg ต้องการแก้ไขการกระทำผิดในอดีตถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปแล้วถึง 80 ปี ก็ตาม

          เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2015 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้อนุญาตให้แพทย์หญิงเยอรมันวัย 102 ปี เข้าสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอซึ่งได้ทำเสร็จเรียบร้อยเมื่อ 80 ปีก่อน (จนอาจารย์ที่ปรึกษาทั้งหมดของเธอก็ได้ไปสวรรค์เรียบร้อยหมดแล้ว) แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้สอบเพราะมีแม่เป็นยิว

          แค่มีแม่เป็นยิวก็ไม่ได้สอบ มันจะอะไรกันนักกันหนาสำหรับความรู้สึกของคนสมัยนี้ แต่ในสมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจนั้นผู้ที่ถูกถือว่าเป็นยิวไม่ได้เพียงแต่ไม่ได้สอบเท่านั้นอาจถูกสั่งเข้าค่ายกักกัน ถูกฆ่าโดย รมแก๊สก็เป็นได้ แต่เธอโชคดีไม่ตายอยู่รอดจนได้มา “ล้างแค้น” สอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจนจบได้ในที่สุดเมื่อมีอายุ 102 ปี

          ชื่อของเธอคือแพทย์หญิง Ingeborg Rapoport ผู้กลายเป็นผู้ได้รับปริญญาเอกที่มีอายุมากที่สุดในโลก เธอเรียนจบแพทย์ในปี 1937 และศึกษาต่อโดยเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Diphtheria (โรคคอตีบ) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพรุนแรงในขณะนั้น

          Hitler ผ่านกฎหมายกลางต่อต้านยิว และต่อมาท้องถิ่นก็ออกกฎหมายตามจนมี เทศบัญญัติ กฎเกณฑ์ ระเบียบต่อต้านยิวรวมแล้วนับเป็นร้อย ๆ ฉบับในช่วง ค.ศ. 1933-1939 การต่อต้านรังเกียจยิวเป็นหัวใจของลัทธินาซี ยิวจำนวนมากที่มีการศึกษาและมีเงินจึงอพยพหนีออกนอกประเทศกันจ้าละหวั่น

          ครอบครัวของเธอก็เช่นกัน เธออพยพไปสหรัฐอเมริกาและพบสามี Mitja Rapoport ซึ่งเป็นยิวอพยพมาจากออสเตรีย และที่สหรัฐอเมริกาเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอีกในสาขาเชี่ยวชาญจนได้เป็นกุมารแพทย์

          อาจเรียกได้ว่าเธอหนีเสือปะจระเข้ เพราะในยุคทศวรรษ 1950 Jospeph McCarthy วุฒิสมาชิกอเมริกันปลุกระดมต่อต้านคอมมูนิสต์ กล่าวหา คุกคาม ทำลายชื่อเสียงผู้คนในสาธารณะ จนเรียกยุคนั้นว่า McCarthyism เธอและสามีซึ่งมีแนวคิดเอนเอียงทางสังคมนิยมจึงรู้สึกไม่มั่นคง

          ทั้งสองจึงตัดสินใจอพยพกลับเยอรมัน แต่ไม่ใช่เยอรมันตะวันตกซึ่งมีอุดมการณ์ ทุนนิยมประชาธิปไตย หากเป็นเยอรมันตะวันออกของสหภาพโซเวียต เธอทำงานเป็นกุมารแพทย์เป็นเวลายาวนาน เป็นศาสตราจารย์และกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศ เธอเคยได้รับรางวัลระดับชาติสำหรับผลงานในการลดอัตราตายของเด็กในเยอรมันตะวันออก

          การมีแม่เป็นยิว เธอจึงถูกจัดอยู่ในประเภทที่กฎหมายเยอรมันเรียกว่า Mischling ก็คือเป็นยิวอยู่นั่นเอง สถานะเช่นนี้ทำให้เสียสิทธิความเป็นพลเมืองจนทำให้ Hamburg University จำต้องปฏิเสธการสอบปริญญาเอกขั้นสุดท้ายของเธอในปี 1938 อย่างไรก็ดีอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอได้เขียนจดหมายเป็นหลักฐานไว้ในปี 1938 ว่าถ้าแม้นว่ามีการสอบแล้ว เขาก็จะให้เธอสอบผ่านอย่างไม่มีข้อสงสัย

          Hamburg University ได้ทราบกรณีของเธอเมื่อตอนเธอมีอายุครบ 100 ปี จึงต้องการแก้ไขสิ่งที่ผิด มีการสอบสวนหาความจริงและในที่สุดก็อนุญาตให้เธอสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ที่ล่าช้าไป 80 ปี

          คุณหมอเล่าว่ารู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อมีศาสตราจารย์ 2 คน จะเดินทางมาสอบเธอด้วย วิธีปากเปล่าที่บ้าน เธอติดต่อเพื่อนหมอ เรียนรู้ความก้าวหน้าล่าสุดของโรคคอตีบซึ่งเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเธอ พร้อมกับอ่านศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเตรียมสอบอย่างจริงจัง (ขณะมีอายุ 102 ปี!)

          สองอาจารย์ผู้สอบให้สัมภาษณ์หลังการสอบว่ารู้สึกประทับใจมากกับความรู้การแพทย์สมัยใหม่ของเธอ เธอตื่นตัวในวัย 102 ปี และมีความรู้ในเรื่องที่เธอสอบอย่างสมกับปริญญาเอกที่เธอได้รับ กรรมการสอบตัดสินให้เธอได้รับเกรด magna cum laude ด้วย (เกียรตินิยมสูงสุด)

          สื่อเรียกเธอว่า Dr.Syllm-Rapoport โดยนำเอานามสกุลเก่าของเธอผสมกับนามสกุลของสามีซึ่งเป็นนักชีวเคมี (biochemist) และทั้งสองมีลูกด้วยกัน 4 คน

          Hamburg University แถลงการณ์ว่าถึงแม้ไม่อาจย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขสิ่งที่ผิดในอดีตให้ถูกต้องได้ แต่การกระทำครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการย้อนกลับไปพิจารณาประวัติศาสตร์เพื่อช่วยให้สามารถมองและกระทำสิ่งต่าง ๆ ในอนาคตได้ถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น

          คุณหมอ Syllm-Rapoport ให้สัมภาษณ์หลังการสอบว่าเธอไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในอายุขนาดนี้ “มันเป็นเรื่องของหลักการ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว” ซึ่งขยายความว่าการสอบเป็นสัญลักษณ์ของการแก้ไขการกระทำที่ผิดคือตัดรอนสิทธิความเป็นพลเมืองของยิวในอดีตให้ถูกต้อง เมื่อเธอพร้อมที่จะสอบดังที่อาจารย์ที่ปรึกษายืนยัน เธอก็ต้องได้สอบ

          ภาพที่เห็นตอนเธอรับใบปริญญาคือการยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของคุณหมอและครอบครัว แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่งแล้วนี่คือการแก้แค้นลัทธินาซีของเยอรมันซึ่งมีฮิตเลอร์เป็นหัวโจกอย่างสาสมและสะใจเพราะมันหมายถึงว่าความชั่วช้าอย่างใดก็ไม่สามารถเอาชนะฉันได้ พวกเธอตายไปหมดแล้วด้วยสาเหตุที่อเนจอนาถต่าง ๆ แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่และได้ทำสิ่งที่พวกเธอเคยห้ามอย่างไม่ถูกต้องครองธรรม

          การแก้แค้นที่งดงามที่สุดและไม่เป็นสิ่งบั่นทอนจิตใจของตนเองก็คือการมีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญในขณะที่คู่แค้นได้ตายไปแล้ว

โรงปั๊มปริญญาปลอม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
16 มิถุนายน 2558

          ต้มตุ๋นข้ามโลกเกิดขึ้นทุกวันในโลกอินเตอร์เน็ต วงเงินที่คดโกงนั้นในบางรายการถึง สิบ ๆ ล้านหรียญสหรัฐต่อปีดังเรื่องที่จะเล่าในที่นี้ซึ่งเกี่ยวพัน ‘โรงปั๊มปริญญาปลอม’

          แก๊งต้มตุ๋นใหญ่ในปากีสถานนี้ถูกตำรวจจับหลังจากมีหนังสือพิมพ์ International New York Times ลงข่าวเพียง 10 วัน ข่าวนี้ดังไปทั่วโลก เพราะดำเนินงานมานานปี มีคนที่เต็มใจให้หลอกเพราะเอาไปหลอกคนอื่นต่อ คนที่ถูกหลอกจริง ๆ รวมกันนับหมื่นราย

          Ahmed Shaikh ชาวปากีสถานเป็นหัวหน้าใหญ่ มีตึกทำการใหญ่โตในเมือง Karachi โดยตั้งบริษัทชื่อ Axact ซึ่งอ้างว่าเป็นบริษัทส่งออกซอฟแวร์ใหญ่สุดของปากีสถาน และเขาตั้งใจจะเป็นคนรวยที่สุดในโลกใบนี้ จะรวยกว่า Bill Gates อีกในอนาคต

          บริษัทของ ‘คนตั้งใจรวยขนาดหนัก’ มีเว็บไซต์ขนาดใหญ่ งดงาม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการให้การศึกษาในระดับมัธยมปลายและอุดมศึกษาออนไลน์อย่างน่าตื่นเต้นโดยเชื่อมต่อกับเว็บไซต์อื่น ๆ อีก 370 แห่ง

          คนที่ไม่ไร้เดียงสาอ่านดูก็รู้ว่าบริษัทนี้ขายใบจบมัธยมปลายและปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยมีชื่อและของบริษัทเองหลายแห่ง แต่สำหรับคนไร้เดียงสาก็จะถูกดึงดูดให้ลงทะเบียนออนไลน์

          Axact มีทีมขายซึ่งประกอบด้วยคนปากีสถานที่มีการศึกษาดี พูดอังกฤษได้ดีโทรศัพท์หาเหยื่อและเชือดเหยื่อ สำหรับคนไม่ไร้เดียงสาก็ขายกันตรง ๆ เลยถ้าเป็นมัธยมปลายก็มีราคาประมาณ 350 เหรียญ ถ้าเป็นปริญญาเอกก็ประมาณ 4,000 เหรียญสหรัฐ

          สำหรับคนไร้เคียงสาก็จะถูกคะยั้นคะยอให้ลงทะเบียนออนไลน์เรียนวิชาที่น่าสนใจ เมื่อจ่ายเงินแล้วก็จะไม่มีอะไรกันอีกนอกเสียจากว่าทีมขายเกิดตามไปเพื่อเชือดอีก เช่น ทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทในสหรัฐอเมริกาโทรศัพท์ไปหาและบอกว่ากำลังหาคนมาทำงานเงินเดือนดีมากแต่ต้องเรียนจบบางวิชา และแนะนำแบบเนียน ๆ ให้ไปลงทะเบียนกับ Axact เพิ่มเติม

          บ้างเมื่อซื้อปริญญาไปแล้วก็ได้รับการแนะนำให้ซื้อใบยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่ามหาวิทยาลัยที่จบไปเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรอง ซื้อขายกันในราคานับพันเหรียญ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีตัวตนจริงในต่างประเทศใบเช่นนี้สามารถหามาได้อย่างถูกต้องและถูกกฎหมายในราคาเพียงร้อยเหรียญเท่านั้น อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่เป็นใบปลอมเพราะปริญญาบัตรออกโดยมหาวิทยาลัยปลอมที่ไม่มีตัวตนของ Axact เองเช่นมหาวิทยาลัย Barkley / Columbiana / Mount Lincoln / Belford / Rochville / Grant Town / New Ford / Nixon ฯลฯ

          ที่บริษัท Axact จะมีเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์หลายสิบคนตลอด 24 ชั่วโมงเพราะลูกค้าอยู่ ทั่วมุมโลก ลูกค้าใหญ่คือคนอเมริกันและคนที่อยู่ในประเทศตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศรอบอ่าวเปอร์เซีย เช่น ‘Abu Dhabi / Dubai ฯลฯ ในยุคบ้าปริญญาทั่วโลกคนชอบเรียนลัด และปรารถนาจะเป็นคนปลอม’ ลวงโลกมีอยู่ไม่น้อย

          Axact ออกใบปริญญาปลอม (ซึ่งที่จริงไม่ปลอม เป็นตัวจริงหากไม่มีมหาวิทยาลัยอยู่ในโลก) ในเกือบทุกสาขา มีทั้งแพทย์ พยาบาล วิศวกร ฯลฯ ให้แก่ลูกค้าที่ติดต่อมาทางอินเตอร์เน็ตจากทุกมุมโลก

          ในสหรัฐอเมริกาการปลอมปริญญามีอยู่หลายแหล่ง ในปี 2008 ทางการสหรัฐอเมริกาฟ้องลูกจ้าง 350 คน ที่ทำงานอยู่ในกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงต่างประเทศโดยปริญญาบัตรปลอมมาจากรัฐวอชิงตันเพียงแห่งเดียว

          ปีหนึ่ง ๆ Axact ต้มตุ๋นได้เป็นเงินนับสิบ ๆ ล้านเหรียญ รวยจน Ahmed Shaikh กำลังจะเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ของปากีสถาน เขาระดมทีมงานชั้นนำจากสถานีโทรทัศน์ใหญ่ด้วยเงินเดือนสูงวัยกว่า 3-4 เท่า แต่เมื่อถูกจับก็เชื่อว่าคงเปิดไม่ได้

          Axact เกือบล่มจมเมื่อศาลในสหรัฐอเมริกาในปี 2009 สั่งให้ Axact ชดใช้เงิน 22.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่เหยื่อในสหรัฐอเมริกาที่ร้องทุกข์ว่าถูกต้มตุ๋นรวมกัน 30,000 คน แต่เมื่อ Axact ไม่ยอมจ่ายและกฎหมายอเมริกันบีบบังคับไม่ได้ก็เลยไม่ล่มจมและยังคงเดินหน้าต้มตุ๋นต่อไป อย่างไม่สะทกสะท้านเหมือนดังที่ได้ทำมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997

          การปลอมปริญญาเช่นนี้ของมหาวิทยาลัยอเมริกันเป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นความต้องการของตลาด การตรวจสอบทำได้ไม่ง่ายเพราะปัจจุบันมหาวิทยาลัยอเมริกันมีจำนวนถึง 4,140 แห่ง (เอกชน 2,441 แห่ง รัฐ 1,699 แห่ง) กว่าครึ่งหนึ่งตั้งขึ้นนับแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา

          Axact ยังมีลูกเล่นต้มตุ๋นรายคนอีกที่ดูไร้เดียงสามาก ๆ โดยโทรศัพท์ข่มขู่หลังจากเสียเงินซื้อใบปริญญาราคาแพงไปแล้ว แต่ยังไม่มีใบรับรองมหาวิทยาลัยจากกระทรวงการต่างประเทศว่าถ้าไม่รีบซื้อจะถูกส่งกลับอีกด้วยไม่ให้ทำงานใน Abu Dhabi อีกต่อไป

          การปลอมปริญญาบัตรโดยเฉพาะในวิชาชีพแพทย์ พยาบาล วิศวกร เป็นการทำร้ายสังคมอย่างยิ่งเพราะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของสาธารณชน อีกทั้งทำให้องค์กรได้ ‘คนปลอม’ ไปทำงานโดยจ่ายค่าแรงให้แก่คนที่ไม่สมควร นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้องค์กรเสียโอกาสในการจ้างคนมีความสามารถอย่างแท้จริงด้วยเงินจำนวนเท่ากัน

          มหาวิทยาลัยที่ผลิตคนไม่มีคุณภาพออกมาโดยเน้นที่ปริมาณแต่ตียี่ห้อว่าได้รับปริญญากำลังทำร้ายสังคมในลักษณะเดียวกัน เพราะโดยแท้จริงแล้วการผลิตคนไม่มีคุณภาพแต่มีปริญญาออกมาก็ไม่ต่างอะไรไปจากการออกใบปริญญาปลอม

          ในกรณีเช่นนี้ปริญญาก็ ‘ปลอม’ คนก็ ‘ปลอม’ แต่ต้องไปทำงานในสภาพการณ์ที่เป็น ‘จริง’ คงไม่ยากสำหรับจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมในระยะยาว

ชีวิตจัณฑาลหญิงในอินเดีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
9 มิถุนายน 2558

          ‘จัณฑาล’ เป็นกลุ่มคนในอินเดียที่น่าสงสารอย่างไม่ต่างไปจาก “โรฮิงญา” ในแง่มุมหนึ่ง ‘โรฮิงญา’ อยู่ในสถานะที่ดีกว่าเพราะหากสามารถลี้ภัยไปอยู่ประเทศอื่นก็อาจมีชีวิตเหมือนคนธรรมดาที่มีเสรีภาพและมีกินมีใช้ แต่ “จัณฑาล” นั้นยากที่จะหลุดไปจากความเป็น “จัณฑาล” ได้เลย เพราะในสังคมฮินดูเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดำรงสถานะนี้ไปตลอดชีวิต

          Malala Yousafzai มีชื่อเสียงดังทั่วโลกเพราะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2557 เธอมีพรรคพวกเป็นสื่อระดับโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น BBC หรือ New York Times เพราะเข้าใจชีวิตอันระทมของเธอ Malala อาศัยอยู่ใน Swat Valley ในปากีสถาน เธออยากไปโรงเรียนเพื่อเติบโตขึ้นเป็นหมอ เมื่อตอนเธอมีอายุ 15 ปี กลุ่ม Taliban ประกาศว่าโรงเรียนนั้นไม่ใช่สถานที่ของเด็กผู้หญิง เฉพาะเด็กผู้ชายเท่านั้นที่สมควรไปโรงเรียน เธอออกมาต่อสู้กลุ่ม Taliban ทางอินเตอร์เน็ตอย่างกล้าหาญมิใยที่ถูกขู่ว่าจะฆ่าเธอถ้าไม่หยุดปากวิจารณ์

          ในวันที่ 9 ตุลาคม 2012 มือปืนจับเธอไปจากรถโรงเรียนและยิงเธอที่ศีรษะ แต่โชคดีไม่เสียชีวิต เธอได้รับการช่วยเหลือนำไปรักษาตัวที่อังกฤษ หลังจากได้รับการรักษาอย่างดีเธอก็รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ ประธานาธิบดีโอบามา รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นักแสดงชื่อดัง Angelina Jolie เขียนบทความเรื่องราวของเธอ ภาพเธอลงหน้าปกนิตยสาร Time ฯลฯ จนในที่สุดเธอก็ได้รับรางวัลโนเบล

          แต่สำหรับ Surekha Bhotmange (ขอเรียกว่า ‘สุเรขา’) ซึ่งเป็นจัณฑาลหญิงอินเดียอายุ 40 ปี หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า ‘Dalit’ (Broken People) หรือ ‘Untouchable’ ไม่มีโอกาสแม้แต่กระผีกริ้นเท่า Malala ที่จะมีคนรู้ความทุกข์ยากของเธอ

          เธอเป็นจัณฑาลซึ่งกล้าหาญละทิ้งความเป็นฮินดูและเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาเช่นเดียวกับครอบครัวของเธอ เธอเป็นที่เกลียดชังของชาวบ้านในวรรณะอื่นเนื่องจากการพยายามออกนอกกฎของสังคม ไม่ยอมอยู่ในวรรณะที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด ส่วนจัณฑาลคนอื่น ๆ ก็ไม่ชอบเธอเช่นกันที่พยายามหลีกหนีออกไปจากความเป็นจัณฑาล

          สุเรขามิได้ยากจนขนาดหนัก เธอมีการศึกษาพอควรเช่นเดียวกับลูก ๆ ของเธอ 3 คน คือลูกชาย 2 และลูกหญิง 1 ลูกชายทั้งสองกำลังเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนลูกคนเล็กกำลังอยู่ใน ชั้นมัธยมปลาย ครอบครัวของเธอมีที่ดินหนึ่งแปลงเพื่อทำกินโดยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่อ Khairlanji ในรัฐ Maharashtra

          ที่ดินของเธอถูกรายล้อมด้วยคนในวรรณะอื่น ๆ ที่ถือว่าตนเองอยู่ในฐานะทางสังคมที่สูงกว่า เมื่อเธอเป็นจัณฑาลจึงไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตที่สุขสบาย บ้านเธอจึงมิได้รับอนุญาตให้มีไฟฟ้าใช้ ห้ามมิให้เปลี่ยนบ้านจากไม้ไผ่เป็นอิฐ ชาวบ้านไม่ยอมแม้กระทั่งให้เธอตักน้ำจากบ่อสาธารณะและวิดน้ำจากคลองเพื่อมารดน้ำพืชผัก

          เรื่องใหญ่เกิดขึ้นเมื่อหมู่บ้านจะทำถนนผ่านที่นาของเธอ เมื่อเธอประท้วงไม่ยอม ชาวบ้านก็เอาเกวียนมาย่ำยีนาของเธอ สุเรขาไม่ยอมและไปแจ้งความกับตำรวจซึ่งก็มิได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด ความตึงเครียดหนักหน่วงขึ้นจนถึงจุดชาวบ้านเตือนเธอทางอ้อมถึงผลที่จะเกิดขึ้นหากเธอไม่ยอมด้วยการบุกเข้าไปทำร้ายญาติของเธอจนตาย

          ถึงตรงนี้ตำรวจจึงออกแรงจับชาวบ้านที่ทำผิดกฎหมาย แต่ก็ปล่อยตัวออกมาหลังจากได้ประกันตัวเกือบจะทันที ในเวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันที่ปล่อยตัวผู้กระทำผิด ชาวบ้านประมาณ 70 คน ทั้งหญิงและชายมาล้อมบ้านเธอ เหล่าม็อบกรากเข้าลากสุเรขาและลูกทั้ง 3 คนออกมานอกบ้าน ลูกชายถูกสั่งให้ข่มขืนแม่และน้องสาว เมื่อปฏิเสธก็ถูกรุมทำร้ายและตัดอวัยะเพศ สุเรขากับลูกสาวถูกข่มขืนและถูกตีจนตาย ศพทั้ง 4 ถูกทิ้งลงคลองใกล้บ้าน

          สื่อรายงานว่าเป็นฆาตกรรมที่มีสาเหตุจากการที่สุเรขาเป็นชู้กับญาติชายที่ถูกฆ่าก่อนหน้า กลุ่ม Dalit ต่าง ๆ ที่เป็นองค์กรอยู่ทั่วประเทศพากันประท้วงกระบวนการยุติธรรม จนมีการตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริง และสรุปว่าเป็นอาชญกรรมอันเกิดจากความแค้นส่วนตัว ไม่มีหลักฐานของการข่มขืน ถึงแม้คนทำผิดถูกตัดสินประหารชีวิตแต่ก็เชื่อว่าจะหลุดในศาลชั้นต่อไปตามธรรมเนียมที่เป็นมา เรื่องราวทั้งหมดไม่มีแง่มุมของการแบ่งชั้นวรรณะเข้ามาเกี่ยวพันเลย

          นี่คือเรื่องราวหนึ่งของ Dalit ซึ่งเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ในปัจจุบันมีสถิติว่าอาชญกรรมที่กระทำต่อ Dalit โดยคนที่ไม่ใช่ Dalit นั้นเกิดขึ้นทุก 16 นาที ทุกวันหญิง Dalit มากกว่า 4 คนถูกข่มขืน ทุกอาทิตย์ถูกฆ่าตาย 13 คน 6 คนถูกลักพา เฉพาะในปี 2012 หญิง Dalit 1,574 คน ถูกข่มขืน และ 651 คน ถูกฆาตกรรม ปัจจุบันมี Dalit ในอินเดียประมาณ 200 ล้านคน ในประชากร 1,300 ล้านคน

          เป็นเวลานับพันปีที่ระบบวรรณะถูกใช้เป็นกลไกในการจัดระบบสังคมอินเดียให้อยู่กัน “ราบรื่น” โดยแบ่งเป็น 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ (ผู้ประกอบพิธี) กษัตริย์ (นักรบ) แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (ผู้ใช้แรงงาน)

          วรรณะเป็นการจัดช่วงชั้นในสังคม ซึ่งแต่ละวรรณะถูกกำหนดแต่กำเนิดโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต แต่ละวรรณะแต่งงานกันเองโดยลูกหลานเป็นสมาชิกของวรรณะโดยอัตโนมัติ หากมีการแต่งงานข้ามวรรณะก็จะกลายเป็น Untouchable หรือจัณฑาล กลุ่มจัณฑาลไม่ถือว่าเป็นวรรณะ หากเป็น ‘เศษสวะของสังคม’ ที่ต้องรู้จัก ‘ที่’ ของตนเอง จะไปสัมผัสภาชนะหรืออยู่ในสถานที่หรือเลียนแบบการกระทำของคนวรรณะสูงกว่าไม่ได้เป็นอันขาด จะถูกลงโทษโดยสังคมถึง เจ็บตัว

          เมื่อก่อน Dalit ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนมายาวนานอย่างดุษฎีภาพ แต่ปัจจุบันมีกระบวนการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมมากขึ้น แต่ก็ยังห่างไกลจากความสำเร็จอยู่มาก

          บุคคลหนึ่งที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติสังคมฮินดูในเรื่องวรรณะเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อนคือพระพุทธเจ้า ทุกคนจากทุกวรรณะสามารถนับถือพุทธศาสนาได้และเป็นอย่างเท่าเทียมกันด้วย พระที่บวชทีหลังไม่ว่าจะมาจากวรรณะใดก็ตามต้องแสดงความเคารพพระที่บวชมาก่อนเสมอ

          บุคคลหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันให้ Dalit ก็คือ Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar ผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอินเดียเมื่อได้รับเอกราชในปี 1947 โดยตัวเขาเปลี่ยนจากศาสนาฮินดูมานับถือศาสนาพุทธเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการพยายามพังทลายวรรณะ

          ใน ค.ศ. 1956 เขานำการชุมนุมใหญ่และผู้มาชุมนุมพร้อมใจกันเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธถึง 500,000 คน จนมีส่วนทำให้ปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนในอินเดียประมาณ 40 ล้านคน

          ชีวิตของจัณฑาลน่าสมเพชเพราะเกือบทั้งหมดขาดแรงจูงใจที่จะต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานะของตน ยอมรับกฎกติกาของสังคมและจมปลักอยู่กับความยากจนข้นแค้นและดูหมิ่นเกลียดชังเพราะคนอื่นถือว่าเป็น “เศษขยะของสังคม”

เรื่องง่าย ๆ ช่วยหัวใจแข็งแรง

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 มิถุนายน 2558

          โรคหัวใจ มะเร็ง และอุบัติเหตุ คือสาเหตุใหญ่ของการเสียชีวิตของคนไทย สำหรับมะเร็งนั้นมีขอบเขตกว้างขวางเพราะแตกต่างหลากหลายในลักษณะของการงอกผิดปกติที่อวัยวะต่าง ๆ ความเข้าใจสาเหตุของโรคจึงยากที่จะสรุปได้ ส่วนอุบัติเหตุนั้นดูเผิน ๆ กว้างกว่าเพราะเสียชีวิตได้หลายรูปแบบ แต่หากพิจารณาดูลึก ๆ จะพบว่าการดื่มแอลกอฮอร์คือสาเหตุหลักของอุบัติเหตุอันเกิดจากการเดินทางซึ่งมีสถิติสูงสุดของประเภทอุบัติเหตุทั้งหมด เพียงแต่โรคหัวใจเท่านั้นที่ตีวงได้แคบลงถึงสาเหตุและการป้องกัน

          นิตยสาร Time ฉบับกลางเดือนพฤษภาคม 2015 ได้ให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับพฤติกรรม ง่าย ๆ ซึ่งจะทำให้มีหัวใจที่แข็งแรง ปลอดจากโรคหัวใจ ซึ่งทั้งหมดมาจากงานศึกษาวิจัยจำนวนมากชิ้นในหลายปีที่ผ่านมาจึงมีความน่าเชื่อถือ

          ความจริงแรกที่สามารถยืนยันได้อย่างหนักแน่นก็คือการรักษาร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอเป็นสิ่งที่ดีสำหรับหัวใจ งานวิจัยล่าสุดพบว่าผู้ออกกำลังกายสม่ำเสมอในวัยกลางคนมีโอกาสน้อยที่จะประสบสภาวะหัวใจวาย (heart attack)

          นอกเหนือจากการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารที่ถูกหลักแล้ว นักวิจัยพบว่ายังมีอีกหลายสิ่งซึ่งมนุษย์สามารถกระทำเพื่อป้องกันอวัยวะที่สำคัญที่สุดของตน (เพื่อไม่ให้มีปัญหาเชิงกายภาพ มิได้กินความไปถึงอกหัก) คำแนะนำ 6 ประการมีดังต่อไปนี้

          (1) อย่าดูโทรทัศน์แบบไม่จำกัด งานศึกษาในปี 2011 พบว่าการใช้เวลามากกว่า 2-3 ชั่วโมงต่อวันดูทีวีมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหัวใจตลอดจนโรคเบาหวาน นักวิจัยพบในปี 2013 อีกด้วยว่าการปิดโทรทัศน์ไม่มีภาพไม่มีเสียงเป็นผลดีต่อร่างกายเพราะแม้เพียงเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็สามารถทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้แล้ว

          (2) อย่าอยู่คนเดียว งานวิจัยของ Harvard พบว่าคนที่อยู่คนเดียวมีโอกาสที่จะตายด้วยโรคหัวใจวาย เส้นเลือดสมองอุดตัน (stroke) หรือปัญหาเกี่ยวกับความบกพร่องของหัวใจ อื่น ๆ มากกว่าคนที่อยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน
เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าการมีเครือข่ายสังคมที่เข้มแข็งเชื่อมโยงกับการมีสุขภาพดีและอายุยืน กลุ่มแพทย์ของสมาคมแพทย์หัวใจอเมริกัน (American Heart Association) แนะนำให้คนที่ชอบอยู่คนเดียวให้มีสัตว์เลี้ยงเพราะอาจช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ (หรือไม่ก็ตายเร็วขึ้นหากเลี้ยงจำนวนมากเกินไป)

          (3) ฟังดนตรี งานวิจัยในปี 2015 พบว่าการฟังดนตรีเพียงวันละ 30 นาที ช่วยลดการแข็งตัวของเส้นหลอดเลือดหัวใจและการมีปัญหาของระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย เนื่องจากทั้งสองมีบทบาทสำคัญยิ่งว่าหัวใจจะทำงานหนักเพียงใดในการปั๊มเลือดผ่านเส้นเลือดต่าง ๆ ที่น่าสนใจก็คือไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิก หรือดนตรีร๊อค (ตราบที่ไม่ใช่ประเภทเมททัล) ก็ให้ผลเหมือนกัน

          (4) บริโภคมันฝรั่งและหัวบีดรู๊ต ทั้งสองมีโปแตสเซียมสูงซึ่งสำคัญสำหรับการควบคุมระดับความดันโลหิต ถั่วลิสงเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่งานวิจัยจาก Vanderbilt University และ Shanghai Cancer Institute เห็นตรงกันว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการตายด้วยโรคหัวใจ หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวพัน เช่น หัวใจวาย เส้นโลหิตสมองอุดตัน

          เนยถั่ว (Peanut Butter) อาหารเช้าของคนอเมริกันซึ่งเป็นที่นิยมมายาวนานได้รับการยืนยันในเรื่องประโยชน์อย่างเป็นทางการในครั้งนี้ คนในโลกที่ไม่แพ้ถั่วคงจะหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้นเพราะอุดมด้วยคุณค่าในราคาที่ถูก

          (5) แก้ไขปัญหาการกรน การกรนอยู่เสมอซึ่งในหลายกรณีอาจแสดงว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติในร่างกาย งานศึกษาในปี 2013 ชี้ให้เห็นว่าการกรนอาจเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าเส้นโลหิตใหญ่ซึ่งเป็นเส้นทางนำเลือดที่อุดมด้วยออกซิเจนไปยังสมองมีปัญหา
การกรนเสียงดังอาจเกี่ยวพันกับ sleep apnea (การหลับไม่สนิท มีการหยุดหายใจเป็นพัก ๆ จนไม่รู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นขึ้น) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงจากสภาวะความดันโลหิตสูง หัวใจวาย และหลอดหัวใจสมองอุดตัน

          (6) ให้ผ่อนคลาย ใคร ๆ ก็รู้ว่าความเคลียดเป็นสิ่งพึงหลีกเลี่ยง วิธีการผ่อนคลายไม่ว่าจะเป็นโยคะ นั่งสมาธิ ช่วยป้องกันหัวใจได้ดี งานวิจัยล่าสุดพบว่าคนที่ให้ความสนใจแก่ความคิดของตนเอง ตระหนักในความรู้สึกของตนเองมีความเป็นได้กว่าร้อยละ 86 ที่จะมีสุขภาพหัวใจดี

          มีหลักฐานจากงานศึกษาว่าคนที่เซาว์น่าบ่อย ๆ สามารถช่วยให้หัวใจเข้มแข็ง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ามันมีผลคล้ายการออกกำลังกาย กล่าวคือทำให้เหงื่อออกและหัวใจเต้นแรง

          มนุษย์พยายามเข้าใจกลวิธีรักษาสุขภาวะหัวใจมายาวนาน งานศึกษาล่าสุดทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าการกระทำใดที่เป็นผลดีและผลเสีย อาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันเป็นยุคที่มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจมากที่สุดเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพหัวใจ

          เมื่อทราบแล้วสิ่งที่เหลือซึ่งสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือการปฏิบัติ อย่างไรก็ดีหากผู้ใดไร้ซึ่งวินัยแล้ว การปฏิบัติเหล่านี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย

          วินัยคือการกระทำสิ่งซึ่งต้องทำ ในช่วงเวลาที่ต้องทำ ไม่ว่าจะมีความรู้มากเพียงใด หากไม่ตระหนักประเด็นนี้แล้ว อย่ารู้เสียเลยจะดีกว่าเพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดาย