โรงปั๊มปริญญาปลอม

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
16 มิถุนายน 2558

          ต้มตุ๋นข้ามโลกเกิดขึ้นทุกวันในโลกอินเตอร์เน็ต วงเงินที่คดโกงนั้นในบางรายการถึง สิบ ๆ ล้านหรียญสหรัฐต่อปีดังเรื่องที่จะเล่าในที่นี้ซึ่งเกี่ยวพัน ‘โรงปั๊มปริญญาปลอม’

          แก๊งต้มตุ๋นใหญ่ในปากีสถานนี้ถูกตำรวจจับหลังจากมีหนังสือพิมพ์ International New York Times ลงข่าวเพียง 10 วัน ข่าวนี้ดังไปทั่วโลก เพราะดำเนินงานมานานปี มีคนที่เต็มใจให้หลอกเพราะเอาไปหลอกคนอื่นต่อ คนที่ถูกหลอกจริง ๆ รวมกันนับหมื่นราย

          Ahmed Shaikh ชาวปากีสถานเป็นหัวหน้าใหญ่ มีตึกทำการใหญ่โตในเมือง Karachi โดยตั้งบริษัทชื่อ Axact ซึ่งอ้างว่าเป็นบริษัทส่งออกซอฟแวร์ใหญ่สุดของปากีสถาน และเขาตั้งใจจะเป็นคนรวยที่สุดในโลกใบนี้ จะรวยกว่า Bill Gates อีกในอนาคต

          บริษัทของ ‘คนตั้งใจรวยขนาดหนัก’ มีเว็บไซต์ขนาดใหญ่ งดงาม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการให้การศึกษาในระดับมัธยมปลายและอุดมศึกษาออนไลน์อย่างน่าตื่นเต้นโดยเชื่อมต่อกับเว็บไซต์อื่น ๆ อีก 370 แห่ง

          คนที่ไม่ไร้เดียงสาอ่านดูก็รู้ว่าบริษัทนี้ขายใบจบมัธยมปลายและปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยมีชื่อและของบริษัทเองหลายแห่ง แต่สำหรับคนไร้เดียงสาก็จะถูกดึงดูดให้ลงทะเบียนออนไลน์

          Axact มีทีมขายซึ่งประกอบด้วยคนปากีสถานที่มีการศึกษาดี พูดอังกฤษได้ดีโทรศัพท์หาเหยื่อและเชือดเหยื่อ สำหรับคนไม่ไร้เดียงสาก็ขายกันตรง ๆ เลยถ้าเป็นมัธยมปลายก็มีราคาประมาณ 350 เหรียญ ถ้าเป็นปริญญาเอกก็ประมาณ 4,000 เหรียญสหรัฐ

          สำหรับคนไร้เคียงสาก็จะถูกคะยั้นคะยอให้ลงทะเบียนออนไลน์เรียนวิชาที่น่าสนใจ เมื่อจ่ายเงินแล้วก็จะไม่มีอะไรกันอีกนอกเสียจากว่าทีมขายเกิดตามไปเพื่อเชือดอีก เช่น ทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทในสหรัฐอเมริกาโทรศัพท์ไปหาและบอกว่ากำลังหาคนมาทำงานเงินเดือนดีมากแต่ต้องเรียนจบบางวิชา และแนะนำแบบเนียน ๆ ให้ไปลงทะเบียนกับ Axact เพิ่มเติม

          บ้างเมื่อซื้อปริญญาไปแล้วก็ได้รับการแนะนำให้ซื้อใบยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่ามหาวิทยาลัยที่จบไปเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรอง ซื้อขายกันในราคานับพันเหรียญ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีตัวตนจริงในต่างประเทศใบเช่นนี้สามารถหามาได้อย่างถูกต้องและถูกกฎหมายในราคาเพียงร้อยเหรียญเท่านั้น อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่เป็นใบปลอมเพราะปริญญาบัตรออกโดยมหาวิทยาลัยปลอมที่ไม่มีตัวตนของ Axact เองเช่นมหาวิทยาลัย Barkley / Columbiana / Mount Lincoln / Belford / Rochville / Grant Town / New Ford / Nixon ฯลฯ

          ที่บริษัท Axact จะมีเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์หลายสิบคนตลอด 24 ชั่วโมงเพราะลูกค้าอยู่ ทั่วมุมโลก ลูกค้าใหญ่คือคนอเมริกันและคนที่อยู่ในประเทศตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศรอบอ่าวเปอร์เซีย เช่น ‘Abu Dhabi / Dubai ฯลฯ ในยุคบ้าปริญญาทั่วโลกคนชอบเรียนลัด และปรารถนาจะเป็นคนปลอม’ ลวงโลกมีอยู่ไม่น้อย

          Axact ออกใบปริญญาปลอม (ซึ่งที่จริงไม่ปลอม เป็นตัวจริงหากไม่มีมหาวิทยาลัยอยู่ในโลก) ในเกือบทุกสาขา มีทั้งแพทย์ พยาบาล วิศวกร ฯลฯ ให้แก่ลูกค้าที่ติดต่อมาทางอินเตอร์เน็ตจากทุกมุมโลก

          ในสหรัฐอเมริกาการปลอมปริญญามีอยู่หลายแหล่ง ในปี 2008 ทางการสหรัฐอเมริกาฟ้องลูกจ้าง 350 คน ที่ทำงานอยู่ในกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงต่างประเทศโดยปริญญาบัตรปลอมมาจากรัฐวอชิงตันเพียงแห่งเดียว

          ปีหนึ่ง ๆ Axact ต้มตุ๋นได้เป็นเงินนับสิบ ๆ ล้านเหรียญ รวยจน Ahmed Shaikh กำลังจะเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ของปากีสถาน เขาระดมทีมงานชั้นนำจากสถานีโทรทัศน์ใหญ่ด้วยเงินเดือนสูงวัยกว่า 3-4 เท่า แต่เมื่อถูกจับก็เชื่อว่าคงเปิดไม่ได้

          Axact เกือบล่มจมเมื่อศาลในสหรัฐอเมริกาในปี 2009 สั่งให้ Axact ชดใช้เงิน 22.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่เหยื่อในสหรัฐอเมริกาที่ร้องทุกข์ว่าถูกต้มตุ๋นรวมกัน 30,000 คน แต่เมื่อ Axact ไม่ยอมจ่ายและกฎหมายอเมริกันบีบบังคับไม่ได้ก็เลยไม่ล่มจมและยังคงเดินหน้าต้มตุ๋นต่อไป อย่างไม่สะทกสะท้านเหมือนดังที่ได้ทำมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997

          การปลอมปริญญาเช่นนี้ของมหาวิทยาลัยอเมริกันเป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นความต้องการของตลาด การตรวจสอบทำได้ไม่ง่ายเพราะปัจจุบันมหาวิทยาลัยอเมริกันมีจำนวนถึง 4,140 แห่ง (เอกชน 2,441 แห่ง รัฐ 1,699 แห่ง) กว่าครึ่งหนึ่งตั้งขึ้นนับแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา

          Axact ยังมีลูกเล่นต้มตุ๋นรายคนอีกที่ดูไร้เดียงสามาก ๆ โดยโทรศัพท์ข่มขู่หลังจากเสียเงินซื้อใบปริญญาราคาแพงไปแล้ว แต่ยังไม่มีใบรับรองมหาวิทยาลัยจากกระทรวงการต่างประเทศว่าถ้าไม่รีบซื้อจะถูกส่งกลับอีกด้วยไม่ให้ทำงานใน Abu Dhabi อีกต่อไป

          การปลอมปริญญาบัตรโดยเฉพาะในวิชาชีพแพทย์ พยาบาล วิศวกร เป็นการทำร้ายสังคมอย่างยิ่งเพราะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของสาธารณชน อีกทั้งทำให้องค์กรได้ ‘คนปลอม’ ไปทำงานโดยจ่ายค่าแรงให้แก่คนที่ไม่สมควร นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้องค์กรเสียโอกาสในการจ้างคนมีความสามารถอย่างแท้จริงด้วยเงินจำนวนเท่ากัน

          มหาวิทยาลัยที่ผลิตคนไม่มีคุณภาพออกมาโดยเน้นที่ปริมาณแต่ตียี่ห้อว่าได้รับปริญญากำลังทำร้ายสังคมในลักษณะเดียวกัน เพราะโดยแท้จริงแล้วการผลิตคนไม่มีคุณภาพแต่มีปริญญาออกมาก็ไม่ต่างอะไรไปจากการออกใบปริญญาปลอม

          ในกรณีเช่นนี้ปริญญาก็ ‘ปลอม’ คนก็ ‘ปลอม’ แต่ต้องไปทำงานในสภาพการณ์ที่เป็น ‘จริง’ คงไม่ยากสำหรับจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมในระยะยาว

ชีวิตจัณฑาลหญิงในอินเดีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
9 มิถุนายน 2558

          ‘จัณฑาล’ เป็นกลุ่มคนในอินเดียที่น่าสงสารอย่างไม่ต่างไปจาก “โรฮิงญา” ในแง่มุมหนึ่ง ‘โรฮิงญา’ อยู่ในสถานะที่ดีกว่าเพราะหากสามารถลี้ภัยไปอยู่ประเทศอื่นก็อาจมีชีวิตเหมือนคนธรรมดาที่มีเสรีภาพและมีกินมีใช้ แต่ “จัณฑาล” นั้นยากที่จะหลุดไปจากความเป็น “จัณฑาล” ได้เลย เพราะในสังคมฮินดูเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดำรงสถานะนี้ไปตลอดชีวิต

          Malala Yousafzai มีชื่อเสียงดังทั่วโลกเพราะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2557 เธอมีพรรคพวกเป็นสื่อระดับโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น BBC หรือ New York Times เพราะเข้าใจชีวิตอันระทมของเธอ Malala อาศัยอยู่ใน Swat Valley ในปากีสถาน เธออยากไปโรงเรียนเพื่อเติบโตขึ้นเป็นหมอ เมื่อตอนเธอมีอายุ 15 ปี กลุ่ม Taliban ประกาศว่าโรงเรียนนั้นไม่ใช่สถานที่ของเด็กผู้หญิง เฉพาะเด็กผู้ชายเท่านั้นที่สมควรไปโรงเรียน เธอออกมาต่อสู้กลุ่ม Taliban ทางอินเตอร์เน็ตอย่างกล้าหาญมิใยที่ถูกขู่ว่าจะฆ่าเธอถ้าไม่หยุดปากวิจารณ์

          ในวันที่ 9 ตุลาคม 2012 มือปืนจับเธอไปจากรถโรงเรียนและยิงเธอที่ศีรษะ แต่โชคดีไม่เสียชีวิต เธอได้รับการช่วยเหลือนำไปรักษาตัวที่อังกฤษ หลังจากได้รับการรักษาอย่างดีเธอก็รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ ประธานาธิบดีโอบามา รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นักแสดงชื่อดัง Angelina Jolie เขียนบทความเรื่องราวของเธอ ภาพเธอลงหน้าปกนิตยสาร Time ฯลฯ จนในที่สุดเธอก็ได้รับรางวัลโนเบล

          แต่สำหรับ Surekha Bhotmange (ขอเรียกว่า ‘สุเรขา’) ซึ่งเป็นจัณฑาลหญิงอินเดียอายุ 40 ปี หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า ‘Dalit’ (Broken People) หรือ ‘Untouchable’ ไม่มีโอกาสแม้แต่กระผีกริ้นเท่า Malala ที่จะมีคนรู้ความทุกข์ยากของเธอ

          เธอเป็นจัณฑาลซึ่งกล้าหาญละทิ้งความเป็นฮินดูและเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาเช่นเดียวกับครอบครัวของเธอ เธอเป็นที่เกลียดชังของชาวบ้านในวรรณะอื่นเนื่องจากการพยายามออกนอกกฎของสังคม ไม่ยอมอยู่ในวรรณะที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด ส่วนจัณฑาลคนอื่น ๆ ก็ไม่ชอบเธอเช่นกันที่พยายามหลีกหนีออกไปจากความเป็นจัณฑาล

          สุเรขามิได้ยากจนขนาดหนัก เธอมีการศึกษาพอควรเช่นเดียวกับลูก ๆ ของเธอ 3 คน คือลูกชาย 2 และลูกหญิง 1 ลูกชายทั้งสองกำลังเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนลูกคนเล็กกำลังอยู่ใน ชั้นมัธยมปลาย ครอบครัวของเธอมีที่ดินหนึ่งแปลงเพื่อทำกินโดยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่อ Khairlanji ในรัฐ Maharashtra

          ที่ดินของเธอถูกรายล้อมด้วยคนในวรรณะอื่น ๆ ที่ถือว่าตนเองอยู่ในฐานะทางสังคมที่สูงกว่า เมื่อเธอเป็นจัณฑาลจึงไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตที่สุขสบาย บ้านเธอจึงมิได้รับอนุญาตให้มีไฟฟ้าใช้ ห้ามมิให้เปลี่ยนบ้านจากไม้ไผ่เป็นอิฐ ชาวบ้านไม่ยอมแม้กระทั่งให้เธอตักน้ำจากบ่อสาธารณะและวิดน้ำจากคลองเพื่อมารดน้ำพืชผัก

          เรื่องใหญ่เกิดขึ้นเมื่อหมู่บ้านจะทำถนนผ่านที่นาของเธอ เมื่อเธอประท้วงไม่ยอม ชาวบ้านก็เอาเกวียนมาย่ำยีนาของเธอ สุเรขาไม่ยอมและไปแจ้งความกับตำรวจซึ่งก็มิได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด ความตึงเครียดหนักหน่วงขึ้นจนถึงจุดชาวบ้านเตือนเธอทางอ้อมถึงผลที่จะเกิดขึ้นหากเธอไม่ยอมด้วยการบุกเข้าไปทำร้ายญาติของเธอจนตาย

          ถึงตรงนี้ตำรวจจึงออกแรงจับชาวบ้านที่ทำผิดกฎหมาย แต่ก็ปล่อยตัวออกมาหลังจากได้ประกันตัวเกือบจะทันที ในเวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันที่ปล่อยตัวผู้กระทำผิด ชาวบ้านประมาณ 70 คน ทั้งหญิงและชายมาล้อมบ้านเธอ เหล่าม็อบกรากเข้าลากสุเรขาและลูกทั้ง 3 คนออกมานอกบ้าน ลูกชายถูกสั่งให้ข่มขืนแม่และน้องสาว เมื่อปฏิเสธก็ถูกรุมทำร้ายและตัดอวัยะเพศ สุเรขากับลูกสาวถูกข่มขืนและถูกตีจนตาย ศพทั้ง 4 ถูกทิ้งลงคลองใกล้บ้าน

          สื่อรายงานว่าเป็นฆาตกรรมที่มีสาเหตุจากการที่สุเรขาเป็นชู้กับญาติชายที่ถูกฆ่าก่อนหน้า กลุ่ม Dalit ต่าง ๆ ที่เป็นองค์กรอยู่ทั่วประเทศพากันประท้วงกระบวนการยุติธรรม จนมีการตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริง และสรุปว่าเป็นอาชญกรรมอันเกิดจากความแค้นส่วนตัว ไม่มีหลักฐานของการข่มขืน ถึงแม้คนทำผิดถูกตัดสินประหารชีวิตแต่ก็เชื่อว่าจะหลุดในศาลชั้นต่อไปตามธรรมเนียมที่เป็นมา เรื่องราวทั้งหมดไม่มีแง่มุมของการแบ่งชั้นวรรณะเข้ามาเกี่ยวพันเลย

          นี่คือเรื่องราวหนึ่งของ Dalit ซึ่งเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ในปัจจุบันมีสถิติว่าอาชญกรรมที่กระทำต่อ Dalit โดยคนที่ไม่ใช่ Dalit นั้นเกิดขึ้นทุก 16 นาที ทุกวันหญิง Dalit มากกว่า 4 คนถูกข่มขืน ทุกอาทิตย์ถูกฆ่าตาย 13 คน 6 คนถูกลักพา เฉพาะในปี 2012 หญิง Dalit 1,574 คน ถูกข่มขืน และ 651 คน ถูกฆาตกรรม ปัจจุบันมี Dalit ในอินเดียประมาณ 200 ล้านคน ในประชากร 1,300 ล้านคน

          เป็นเวลานับพันปีที่ระบบวรรณะถูกใช้เป็นกลไกในการจัดระบบสังคมอินเดียให้อยู่กัน “ราบรื่น” โดยแบ่งเป็น 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ (ผู้ประกอบพิธี) กษัตริย์ (นักรบ) แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (ผู้ใช้แรงงาน)

          วรรณะเป็นการจัดช่วงชั้นในสังคม ซึ่งแต่ละวรรณะถูกกำหนดแต่กำเนิดโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต แต่ละวรรณะแต่งงานกันเองโดยลูกหลานเป็นสมาชิกของวรรณะโดยอัตโนมัติ หากมีการแต่งงานข้ามวรรณะก็จะกลายเป็น Untouchable หรือจัณฑาล กลุ่มจัณฑาลไม่ถือว่าเป็นวรรณะ หากเป็น ‘เศษสวะของสังคม’ ที่ต้องรู้จัก ‘ที่’ ของตนเอง จะไปสัมผัสภาชนะหรืออยู่ในสถานที่หรือเลียนแบบการกระทำของคนวรรณะสูงกว่าไม่ได้เป็นอันขาด จะถูกลงโทษโดยสังคมถึง เจ็บตัว

          เมื่อก่อน Dalit ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนมายาวนานอย่างดุษฎีภาพ แต่ปัจจุบันมีกระบวนการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมมากขึ้น แต่ก็ยังห่างไกลจากความสำเร็จอยู่มาก

          บุคคลหนึ่งที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติสังคมฮินดูในเรื่องวรรณะเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อนคือพระพุทธเจ้า ทุกคนจากทุกวรรณะสามารถนับถือพุทธศาสนาได้และเป็นอย่างเท่าเทียมกันด้วย พระที่บวชทีหลังไม่ว่าจะมาจากวรรณะใดก็ตามต้องแสดงความเคารพพระที่บวชมาก่อนเสมอ

          บุคคลหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันให้ Dalit ก็คือ Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar ผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอินเดียเมื่อได้รับเอกราชในปี 1947 โดยตัวเขาเปลี่ยนจากศาสนาฮินดูมานับถือศาสนาพุทธเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการพยายามพังทลายวรรณะ

          ใน ค.ศ. 1956 เขานำการชุมนุมใหญ่และผู้มาชุมนุมพร้อมใจกันเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธถึง 500,000 คน จนมีส่วนทำให้ปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนในอินเดียประมาณ 40 ล้านคน

          ชีวิตของจัณฑาลน่าสมเพชเพราะเกือบทั้งหมดขาดแรงจูงใจที่จะต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานะของตน ยอมรับกฎกติกาของสังคมและจมปลักอยู่กับความยากจนข้นแค้นและดูหมิ่นเกลียดชังเพราะคนอื่นถือว่าเป็น “เศษขยะของสังคม”

เรื่องง่าย ๆ ช่วยหัวใจแข็งแรง

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
2 มิถุนายน 2558

          โรคหัวใจ มะเร็ง และอุบัติเหตุ คือสาเหตุใหญ่ของการเสียชีวิตของคนไทย สำหรับมะเร็งนั้นมีขอบเขตกว้างขวางเพราะแตกต่างหลากหลายในลักษณะของการงอกผิดปกติที่อวัยวะต่าง ๆ ความเข้าใจสาเหตุของโรคจึงยากที่จะสรุปได้ ส่วนอุบัติเหตุนั้นดูเผิน ๆ กว้างกว่าเพราะเสียชีวิตได้หลายรูปแบบ แต่หากพิจารณาดูลึก ๆ จะพบว่าการดื่มแอลกอฮอร์คือสาเหตุหลักของอุบัติเหตุอันเกิดจากการเดินทางซึ่งมีสถิติสูงสุดของประเภทอุบัติเหตุทั้งหมด เพียงแต่โรคหัวใจเท่านั้นที่ตีวงได้แคบลงถึงสาเหตุและการป้องกัน

          นิตยสาร Time ฉบับกลางเดือนพฤษภาคม 2015 ได้ให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับพฤติกรรม ง่าย ๆ ซึ่งจะทำให้มีหัวใจที่แข็งแรง ปลอดจากโรคหัวใจ ซึ่งทั้งหมดมาจากงานศึกษาวิจัยจำนวนมากชิ้นในหลายปีที่ผ่านมาจึงมีความน่าเชื่อถือ

          ความจริงแรกที่สามารถยืนยันได้อย่างหนักแน่นก็คือการรักษาร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอเป็นสิ่งที่ดีสำหรับหัวใจ งานวิจัยล่าสุดพบว่าผู้ออกกำลังกายสม่ำเสมอในวัยกลางคนมีโอกาสน้อยที่จะประสบสภาวะหัวใจวาย (heart attack)

          นอกเหนือจากการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารที่ถูกหลักแล้ว นักวิจัยพบว่ายังมีอีกหลายสิ่งซึ่งมนุษย์สามารถกระทำเพื่อป้องกันอวัยวะที่สำคัญที่สุดของตน (เพื่อไม่ให้มีปัญหาเชิงกายภาพ มิได้กินความไปถึงอกหัก) คำแนะนำ 6 ประการมีดังต่อไปนี้

          (1) อย่าดูโทรทัศน์แบบไม่จำกัด งานศึกษาในปี 2011 พบว่าการใช้เวลามากกว่า 2-3 ชั่วโมงต่อวันดูทีวีมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหัวใจตลอดจนโรคเบาหวาน นักวิจัยพบในปี 2013 อีกด้วยว่าการปิดโทรทัศน์ไม่มีภาพไม่มีเสียงเป็นผลดีต่อร่างกายเพราะแม้เพียงเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็สามารถทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้แล้ว

          (2) อย่าอยู่คนเดียว งานวิจัยของ Harvard พบว่าคนที่อยู่คนเดียวมีโอกาสที่จะตายด้วยโรคหัวใจวาย เส้นเลือดสมองอุดตัน (stroke) หรือปัญหาเกี่ยวกับความบกพร่องของหัวใจ อื่น ๆ มากกว่าคนที่อยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน
เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าการมีเครือข่ายสังคมที่เข้มแข็งเชื่อมโยงกับการมีสุขภาพดีและอายุยืน กลุ่มแพทย์ของสมาคมแพทย์หัวใจอเมริกัน (American Heart Association) แนะนำให้คนที่ชอบอยู่คนเดียวให้มีสัตว์เลี้ยงเพราะอาจช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ (หรือไม่ก็ตายเร็วขึ้นหากเลี้ยงจำนวนมากเกินไป)

          (3) ฟังดนตรี งานวิจัยในปี 2015 พบว่าการฟังดนตรีเพียงวันละ 30 นาที ช่วยลดการแข็งตัวของเส้นหลอดเลือดหัวใจและการมีปัญหาของระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย เนื่องจากทั้งสองมีบทบาทสำคัญยิ่งว่าหัวใจจะทำงานหนักเพียงใดในการปั๊มเลือดผ่านเส้นเลือดต่าง ๆ ที่น่าสนใจก็คือไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิก หรือดนตรีร๊อค (ตราบที่ไม่ใช่ประเภทเมททัล) ก็ให้ผลเหมือนกัน

          (4) บริโภคมันฝรั่งและหัวบีดรู๊ต ทั้งสองมีโปแตสเซียมสูงซึ่งสำคัญสำหรับการควบคุมระดับความดันโลหิต ถั่วลิสงเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่งานวิจัยจาก Vanderbilt University และ Shanghai Cancer Institute เห็นตรงกันว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการตายด้วยโรคหัวใจ หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวพัน เช่น หัวใจวาย เส้นโลหิตสมองอุดตัน

          เนยถั่ว (Peanut Butter) อาหารเช้าของคนอเมริกันซึ่งเป็นที่นิยมมายาวนานได้รับการยืนยันในเรื่องประโยชน์อย่างเป็นทางการในครั้งนี้ คนในโลกที่ไม่แพ้ถั่วคงจะหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้นเพราะอุดมด้วยคุณค่าในราคาที่ถูก

          (5) แก้ไขปัญหาการกรน การกรนอยู่เสมอซึ่งในหลายกรณีอาจแสดงว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติในร่างกาย งานศึกษาในปี 2013 ชี้ให้เห็นว่าการกรนอาจเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าเส้นโลหิตใหญ่ซึ่งเป็นเส้นทางนำเลือดที่อุดมด้วยออกซิเจนไปยังสมองมีปัญหา
การกรนเสียงดังอาจเกี่ยวพันกับ sleep apnea (การหลับไม่สนิท มีการหยุดหายใจเป็นพัก ๆ จนไม่รู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นขึ้น) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงจากสภาวะความดันโลหิตสูง หัวใจวาย และหลอดหัวใจสมองอุดตัน

          (6) ให้ผ่อนคลาย ใคร ๆ ก็รู้ว่าความเคลียดเป็นสิ่งพึงหลีกเลี่ยง วิธีการผ่อนคลายไม่ว่าจะเป็นโยคะ นั่งสมาธิ ช่วยป้องกันหัวใจได้ดี งานวิจัยล่าสุดพบว่าคนที่ให้ความสนใจแก่ความคิดของตนเอง ตระหนักในความรู้สึกของตนเองมีความเป็นได้กว่าร้อยละ 86 ที่จะมีสุขภาพหัวใจดี

          มีหลักฐานจากงานศึกษาว่าคนที่เซาว์น่าบ่อย ๆ สามารถช่วยให้หัวใจเข้มแข็ง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ามันมีผลคล้ายการออกกำลังกาย กล่าวคือทำให้เหงื่อออกและหัวใจเต้นแรง

          มนุษย์พยายามเข้าใจกลวิธีรักษาสุขภาวะหัวใจมายาวนาน งานศึกษาล่าสุดทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าการกระทำใดที่เป็นผลดีและผลเสีย อาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันเป็นยุคที่มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจมากที่สุดเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพหัวใจ

          เมื่อทราบแล้วสิ่งที่เหลือซึ่งสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือการปฏิบัติ อย่างไรก็ดีหากผู้ใดไร้ซึ่งวินัยแล้ว การปฏิบัติเหล่านี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย

          วินัยคือการกระทำสิ่งซึ่งต้องทำ ในช่วงเวลาที่ต้องทำ ไม่ว่าจะมีความรู้มากเพียงใด หากไม่ตระหนักประเด็นนี้แล้ว อย่ารู้เสียเลยจะดีกว่าเพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดาย

ชีวิตเด็ก “อัจฉริยะ”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
26 พฤษภาคม 2558

          เด็กสิงคโปร์อายุสองขวบได้การยอมรับว่าเป็น ‘อัจฉริยะ’ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ชีวิตของเด็ก ‘อัจฉริยะ’ เหล่านี้ทั่วโลกน่าสนใจและน่าเศร้าใจในเวลาเดียวกัน อะไรที่ทำให้เขาเป็น ‘อัจฉริยะ’ และเมื่อโตขึ้นชีวิตของเขาเป็นอย่างไร

          ก่อนนอน Elijah Catalig เด็กสิงคโปร์ อายุ 2 ขวบ 6 เดือน มีกิจกรรมที่ต่างจากเด็กวัยเดียวกันค่อนข้างมาก นอกจากให้แม่อ่านนิทานและอ่านหนังสือที่สนุก ๆ ให้ฟังแล้ว เขาเล่นเกมส์ IQ ของเด็ก 5 ขวบ แม่ของ Elijah บอกว่าถ้าเขาสนใจอะไรแล้วจะขะมักเขม้นทุ่มเท สนใจอย่างยิ่งได้เป็นชั่วโมง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของเด็กประเภทนี้

          “เด็กประเภทนี้” ถ้าจะเป็นอย่างทางการก็ต้องเป็นสมาชิกของสมาคมที่มีชื่อว่า Mensa International ซึ่งมีสมาคมสาขาอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สมาชิกซึ่งมีอยู่รวมประมาณ 121,000 คน จะต้องมีระดับ IQ อยู่ใน top 2% ของเด็กในวัยเดียวกัน (พูดอีกอย่างว่าต้องอยู่ในตำแหน่งไม่ต่ำกว่า 98.0 percentile)

          Mensa เป็นสมาคมเก่าแก่ของพวก IQ สูง หรืออัจฉริยะทั่วโลก “Mensa” เป็นภาษาละติน หมายถึง “โต๊ะ” ซึ่งส่อความหมายของโต๊ะกลมซึ่งมีนัยยะว่าต้อนรับคน IQ สูงจากทั่วโลกซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 50 ประเทศ

          Mensa ตั้งขึ้นโดยคนอังกฤษและออสเตรเลีย ในปี ค.ศ. 1946 มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ของคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ส่งเสริมให้นำความฉลาดมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคม ไม่มุ่งหวังกำไร และไม่ผูกพันกับแนวคิดการเมืองใด ๆ โดยทุกผิวสีเชื้อชาติและสัญชาติ ร่วมเป็นสมาชิกได้หมดตราบที่มีระดับ IQ ตามวิธีการวัด IQ ที่เรียกว่า Stanford-Binet Intelligence Scales สูงกว่า 132

          ในกรณีของ Elijan สมาคม Mensa สาขาสิงคโปร์ได้วัด IQ ตามมาตรฐานและการกำกับของ Mensa International และพบว่าเขามี IQ เท่ากับ 142 จึงได้รับเข้าเป็นสมาชิกและถือได้ว่าเป็น genius อย่างเป็นทางการ

          สำหรับ Mensa Singapore นั้น ตั้งแต่ได้รับการยอมรับให้เป็นสาขาของ Mensa International ในปี 1987 มีเด็กอายุขนาดนี้เพียง 7 คนเท่านั้นในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา อายุน้อยที่สุดคือทารกชายวัย 2 ขวบ 2 เดือน ซึ่ง Mensa Singapore รับเข้าเป็นสมาชิกในเดือนพฤศจิกายน ปี 2014

          IQ Test มีหลายวิธี แต่ที่นิยมกันปัจจุบันก็คือ Standford-Binet Intelligence Scales ซึ่งวัด 5 ด้านคือการใช้เหตุผลด้านปริมาณ ความจำ การใช้เหตุผล การเชื่อมต่อระหว่างมองเห็นและระยะทาง ตลอดจนความรู้ในระดับหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องรอบตัว

          คำว่า IQ มาจากอายุสมอง (วัดว่าผู้สอบมีความสามารถในการกระทำหรือตอบคำถามได้เทียบเคียงเด็กปกติในกลุ่มอายุใด) หารด้วยอายุจริง และคูณด้วย 100 ดังนั้น IQ ของเด็กปกติคือ 100 กล่าวคืออายุสมองของเขาหารด้วยอายุจริง เช่น 5 ขวบ หารด้วย 5 ขวบ และคูณด้วย 100 จึงเป็น 100

          ตัวอย่างเด็ก “อัจฉริยะ” อายุ 3 ขวบ มี IQ เท่ากับ 132 จึงหมายความว่ามีอายุสมองเท่ากับ 3.96 ปี อายุจริงคือ 3 ปี (3.96 ÷ 3) x 100 = 132

          อะไรทำให้เขาเป็นเด็กเช่นนี้? การศึกษาในโลกตะวันตกเพื่อตอบคำถามมีไม่มากดังที่น่าจะเป็นแม้แต่ในปัจจุบันเองเนื่องจากเป็นหัวข้อที่อ่อนไหวมาก คนในโลกตะวันตกเชื่อมั่นในเรื่องความเท่าเทียมกัน เชื่อว่าความสำเร็จเกิดขึ้นเพราะความพยายามทุ่มทำงานหนัก ดังนั้นการศึกษาเรื่องการมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าโดยยังไม่ได้ออกแรงตั้งแต่เกิด และสามารถสืบทอดกันได้จากพ่อแม่ถึงลูก หรือบางกลุ่มเชื้อชาติหรือบางเพศมีข้อได้เปรียบเหนือกว่า จึงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้เพราะบั่นทอนความเชื่อของตน

          เมื่อไม่กี่ปีมานี้อธิการบดีมหาวิทยาลัย Harvard ชื่อ Lawrence Summers ต้องลาออกหลังจากโดนโจมตีอย่างหนักหลังจากแสดงความเห็นสั้น ๆ ว่า โลกวิชาการทางวิทยาศาสตร์ถูกครอบงำด้วยผู้ชาย ไม่ใช่เพราะความเอนเอียงเลือกที่รักมักที่ชัง แต่เป็นเพราะขาดแคลนผู้หญิงที่มี IQ สูง ที่ถนัดด้านคณิตศาสตร์

          การวัด IQ จึงเป็นเรื่องฮื้อฉาวมายาวนานในประวัติศาสตร์ มีคนจำนวนมากปฏิเสธการวัดเช่นนี้ และเชื่อว่ามิได้วัดอะไรนอกจากความสามารถในการเล่นเกมส์ทางสมอง อย่างไรก็ดีงานวิจัยใหม่เท่าที่มีจากโลกตะวันออกโดยเฉพาะจากจีนพบว่า Genius ชนิดมี IQ สูงมากนั้นอาจเกิดจากอุบัติเหตุทางพันธุกรรมที่ผสมปนเปกันพอดีจนได้คนที่มี IQ สูงมาก จีนมีการศึกษา DNA ของเด็กอัจฉริยะทั่วโลกนับพันคนมาหลายปีเพื่อตอบคำถามว่าเด็กอัจฉริยะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ารู้คำตอบ แน่ชัดก็อาจสร้างเด็กอัจฉริยะขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากโดยจัดการกับ DNA ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน

          งานศึกษาคู่แฝดชนิดไข่ใบเดียวกัน พี่น้องร่วมพ่อแม่จำนวนมากพบว่า IQ สามารถสืบทอดมาจากพ่อแม่ผ่านพันธุกรรมได้ถึงร้อยละ 50-80

          นอกจากคำถามว่า ‘เด็กอัจฉริยะ’ มาจากไหนแล้ว อีกคำถามที่น่าสนใจก็คือเมื่อโตขึ้นแล้วเขาไปไหนกัน งานศึกษาเส้นทางเดินของ ‘เด็กอัจฉริยะ’ หลายชิ้นระบุว่าการเลี้ยงดูและบ่มเพาะเด็กเหล่านี้ตอนเติบโตขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการเติบโตทางสมองล้ำหน้าการเติบโตทางร่างกาย การปรับความสมดุลขณะเปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่จึงยากกว่าเด็กปกติ

          ‘เด็กอัจฉริยะ’ หลายคนเบื่อหน่ายการเรียนรู้ในห้องที่เขาแซงหน้าไปมากแล้ว หลายคนติดยาเสพติด เลิกเรียน มีความอดทนไม่มากกับคนอื่นที่ฉลาดน้อยกว่าเขา หลายคนมีอีโก้สูงว่าเป็นคนฉลาดจนไม่มีใครคบหาด้วย สำหรับหลายคนการคิดว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่นทำให้การเรียนรู้และการพัฒนาความเป็นมนุษย์ของเขาหยุดลง

          Theodore Kaczynski มีระดับ IQ 167 เข้าเรียน Harvard ตั้งแต่อายุ 16 ปี อายุ 25 ปี เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่เด็กที่สุดของ Berkeley แต่อีก 2 ปีต่อมาก็ลาออกและไปสุงสิงกับพวกหัวรุนแรง จนในที่สุดกลายเป็นผู้สร้างระเบิดฆ่าคนไป 3 คน หลบหนีอยู่ได้ 20 ปีก่อน ถูกจับ ฉายาของเขาที่รู้จักกันทั่วโลกคือ Unabomber

          Sufiah Yusof เป็นเด็กอัจฉริยะชาวมาเลเซีย เข้าเรียนคณิตศาสตร์ที่ Oxford ตอนอายุ 13 และหายตัวไป พบอีกทีกำลังทำงานเสิรฟอาหาร เมื่อกลับมาเรียนอีกครั้งก็ไม่สำเร็จ ปีต่อมาแต่งงานและก็เลิกกันใน 13 เดือน ในปี 2007 พบว่าทำงานเป็นโสเภณี เธอเล่าว่าชีวิตถูกกดดันมากจึงหนีออกมาจากวงจร

          เด็กอัจฉริยะจำนวนมากทำงานเป็นปกติ เป็นนักวิจัย อาจารย์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สร้างความเจริญให้สังคมเป็นอันมาก แต่จำนวนหนึ่งก็ประสบปัญหาในด้านการปรับตัว (เกือบทั้งหมดมีบุคลิกเก็บตัว ครุ่นคิด มีศีลธรรมสูง)

          ในบ้านเรางานในด้านการคัดกรองดูแล บ่มเพาะเด็ก “อัจฉริยะ” เหล่านี้อย่างจริงจังและเป็นเรื่องเป็นราวและถูกทิศทางยังไม่เกิดขึ้น ทั้งที่ในจำนวนคน 67 ล้านคนนั้นต้องมีเด็กอัจฉริยะอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

          สังคมจะช่วยกันอย่างไรดีให้เด็กที่มีความบังเอิญทางพันธุกรรมเหล่านี้มีความสุข สามารถใช้ประโยชน์จากความพิเศษเพื่อสร้างสรรค์มากกว่าทำลายตัวของเขาเอง

อินเตอร์เน็ตสร้าง “กึ่งคลุมถุงชน”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 พฤษภาคม 2558

          การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในทุกสังคมใน ทุกยุคสมัย มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ประเพณีการแต่งงานแบบ ‘คลุมถุงชน’ ของอินเดียที่มีมายาวนานนับพันปีกำลังเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ทำให้ผู้หญิงมีสิทธิมีเสียงมากขึ้น

          ประดิษฐกรรมล้อเมื่อ 5 พันปีก่อน ทำให้มนุษย์มีเครื่องทุ่นแรงมหัศจรรย์ไม่ว่าจะเป็นการขนของตามแนวนอน (รถเข็น) หรือแนวตั้ง (ลูกรอก) สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่โต เช่น พิรามิด นครวัด ฯลฯ ทิ้งเป็นอนุสาวรีย์แก่ชาวโลก

          คนไทยรู้จักหม้อหุงข้าวไฟฟ้าประมาณปี พ.ศ. 2500 โดยเป็นประดิษฐกรรมของบริษัท Mitsubishi และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ไม่มีน้ำข้าวให้คนเจ็บ ให้สุนัขอีกต่อไป และแถมไม่มี ไม้ขัดหม้อไว้ดัดนิสัยลูกหลานกันอีกด้วย

          การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในรอบ 100 ปี มีมากมายเกินบรรยาย แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า smartphone ซึ่งปรากฏตัวอย่างสำคัญเมื่อ Apple เปิดตัว i-Phone รุ่นแรกในเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ. 2007 หรือเมื่อ 8 ปีก่อน มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้คนอย่างที่สุดของที่สุด

          ปัจจุบันตื่นนอนเช้าก็ได้ยินเสียงปิ๊ง ๆ จากการส่งสติ๊กเกอร์ใน Line ของเหล่าบรรดาแม่บ้าน และ ส.ว. ทั้งหลายทักทายกัน (สาย บ่าย เย็น ก็ยังทักทายกันอีก) ภาพที่เห็นเจนตาก็คือครอบครัว นั่งทานข้าวกัน แต่ละคนก็มี smartphone ข้างหน้าคนละเครื่อง และนั่งจ้องจออย่างให้ความสนใจเต็มที่จนการพูดจากันแบบมนุษย์ปกติเหมือนเมื่อสมัยก่อน ค.ศ. 2007 นั้นแทบไม่มี

          smartphone ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่อยู่ใกล้กันนั้นอ่อนแอลง แต่อาจช่วยทำให้ความสัมพันธ์ที่ไกลกันเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็นมา เพราะถึงอยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้ ติดต่อสื่อสารกลับไปมากันได้ในเวลาไม่กี่วินาทีซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่จะใช้โทรศัพท์ทางไกลแต่ละครั้งก็ต้องเดินทางไปไปรษณีย์กลาง จดหมายส่งไปทีหนึ่งก็ 7-10 วัน กลับมาอีกครั้งก็ 7-10 วัน หากเป็นโทรเลขกลับไปมาก็ไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง

          โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากมายในไม่ถึง 10 ปีเมื่อมี smartphone โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ครอบคลุมไปทั่วโลก ไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้ไป 10-20 ปี สังคมมนุษย์ที่เคยอยู่กันแบบเดิม ๆ มาประมาณสองแสนปีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

          ในอินเดียการแต่งงานของลูกสาวเป็นหน้าที่สำคัญของพ่อ การแต่งงานคือเครื่องมือของการสร้างความมั่นคง การสร้างความเชื่อมต่อ การสร้างและรักษาความมั่งคั่ง ฯลฯ ของครอบครัวตนเอง ไม่ใช่เรื่องของความรัก ดังนั้นการคัดเลือกเจ้าบ่าวมาร่วมชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และเรื่องสำคัญอย่างนี้ใครจะมา “รู้ดีเท่าพ่อ” ดังนั้นการแต่งงานแบบ “คลุมถุงชน” (เข้าใจว่ามาจากภาษาไก่ชน กล่าวคือจำเป็นต้องเอาถุงมาคลุมเพื่อไม่ให้ตื่นกลัวก่อนจะเอามาตีกัน ดังนั้นชื่อจึงไม่ค่อยเป็นมงคลนัก)

          บังเอิญประเพณีในอินเดียที่มีมายาวนานคือผู้หญิงสู่ขอผู้ชาย ดังนั้นพ่อจึงต้องคัดสรรเจ้าบ่าวจากข้อมูลที่ได้มาจากเครือข่ายพ่อสื่อแม่ชักที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสันเพราะได้ผลประโยชน์ตอบแทน เมื่อตัดสินใจเลือกแล้วและตกลงกันในเรื่องสินสอดซึ่งฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้จ่ายได้ลงตัว การแต่งงานก็เกิดขึ้น

          อย่างไรก็ดีในรอบ 5-6 ปีผ่านมา วิธีการคัดสรรเจ้าบ่าวได้เปลี่ยนไปแล้วจนกลายเป็น “กึ่งคลุมถุงชน” เนื่องจากลูกสาวและอาจมีพี่ชายน้องสาวเข้ามาร่วมมีส่วนด้วย ทั้งนี้เนื่องจากพ่อได้ข้อมูลจากเว็บไซต์ในอินเดียที่อยู่มากกว่า 1,500 แห่ง ซึ่งลูกสาวสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้เช่นเดียวกัน

          การจะมาบังคับกันเต็มที่ในสไตล์ “คลุมถุงชน” สำหรับคนที่อยู่ในเมืองซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 31 นั้นทำได้ยาก ลูกสาวปัจจุบันมีสิทธิมีเสียงมากขึ้นเพราะสามารถเสนอแนะคนอื่นจากเว็บไซต์อื่นที่น่าสนใจกว่าและน่าจะลงตัวกว่าได้

          ที่เรียกว่า “ลงตัว” ก็หมายถึงชายนั้นมีหน้าตาและพื้นฐานอยู่ในวรรณะ ศาสนา การศึกษา อาชีพ ฐานะของครอบครัว ฯลฯ ซึ่งน่าจะทำให้ไปกันได้ดีในการสร้างครอบครัวใหม่

          วัฒนธรรมการ ‘ออกเดท’ ในอินเดียนั้นมีน้อยถึงแม้ในปัจจุบันก็ตามที แต่การนัดพบ ดูตัวจริงกันก่อนที่จะตกลงปลงใจหลังจากต่างได้รับข้อมูลแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเว็บไซต์มีมากขึ้น อย่างไรก็ดีสำหรับคนในชนบทนั้นก็ยังคงเป็น ‘คลุมถุงชน’ แบบเต็มที่เหมือนเดิม

          เว็บไซต์หนึ่งประกาศตัวว่าเขาสามารถช่วยให้เกิดการแต่งงานได้ถึงเดือนละ 50,000 คู่ และสถิติจากการสำรวจพบว่าประมาณร้อยละ 25 ของจำนวนการแต่งงานทั้งหมดในหนึ่งปีของอินเดียมาจากการแต่งแบบ ‘กึ่งคลุมถุงชน’ การแต่งงานเพราะความรักแบบชาวโลกโดยไม่ต้องให้พ่อแม่เลือก และให้ความเห็นชอบนั้นมีเพียงร้อยละ 5 ที่เหลือก็คือการแต่งงานแบบ ‘คลุมถุงชน’ แบบดั้งเดิม

          ผู้เขียนเคยเห็นประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์อินเดียวันอาทิตย์เมื่อหลายปีก่อน มีทั้งหญิงและชายประกาศหาคู่ ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นผู้จ่ายสินสอดระบุลักษณะที่ต้องการ เช่น หน้าตา บุคลิกภาพ ศาสนา วรรณะ ระดับการศึกษา หรือแม้แต่ระดับของสินสอดที่ยินดีจะจ่าย ถ้าเป็นแพทย์ วิศวะ ก็จะมีสินสอดสูง บางคนประกาศว่าถ้าจบจาก

          มหาวิทยาลัยมีชื่อจากต่างประเทศจะให้สินสอดสูงเป็นพิเศษก็มี บ้างก็ระบุว่าวรรณะไม่สำคัญ ขอเพียงมีความจริงใจ มีความซื่อสัตย์และมีความพร้อมทางใจที่จะมีครอบครัวร่วมกันเท่านั้น

          สินสอดในเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มีวัตถุประสงค์ให้เกิดมีเงินก้อนหนึ่งเป็นทุนเริ่มต้นของชีวิตคู่สมรส (เขาไม่ได้ตั้งใจให้พ่อแม่ ดังนั้นจงอย่ารับไว้) เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตของทั้งสอง ถึงแม้จะมีความพยายามของทางการอินเดียให้ยกเลิกประเพณีสินสอดแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมันค้านประเพณีที่มีมายาวนาน

          สินสอดในอินเดียโดยเฉพาะในชนบทบ่อยครั้งที่ก่อให้เกิดผลเสีย ครอบครัวที่ยากจนและมีลูกสาว เมื่อไม่มีปัญญาจ่ายสินสอดเลือกเจ้าบ่าวให้ลูกก็เกิดความอับอายเพราะเสียหน้า ดังนั้นว่ากันว่าในแต่ละปีมีเด็กหญิงที่เกิดมาและหายไปอย่างอธิบายไม่ได้ปีละหลายล้านคน

          บางครั้งได้สินสอดไปแล้ว ลูกสาวย้ายไปอยู่บ้านผู้ชายแล้ว แต่ก็ยังถูกบังคับจากครอบครัวสามีให้มาเอาทีวี ตู้เย็น เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ก็ถูกทุบตี หรือถูกฆาตกรรมก็มีไม่น้อย เพื่อครอบครัวฝ่ายชายจะได้แต่งงานใหม่และได้สินสอดอีก

          เป็นเรื่องน่ายินดีที่หญิงในอินเดียมีโอกาสมากขึ้นในการเลือกคนที่จะมาเป็นสามี ถึงแม้จะไม่เสรีเต็มที่ก็ตามผ่านความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัวที่ยอมรับความเป็นสมัยใหม่ให้ลูกได้มีสิทธิมีเสียงเพิ่มขึ้น

          ไม่ว่าพ่อเลือกให้หรือเลือกเอง การเลือกสามีก็เปรียบเสมือนซื้อล๊อตเตอรี่ ต่อให้ได้ เลขสวยแค่ไหนก็มีโอกาสทำใบล๊อตเตอรี่หาย และบ่อยครั้งที่ตัวเลขสวยบนล๊อตเตอรี่มันเลือนไป หรือก็ไม่เคยถูกรางวัลเลยเพราะเลขที่ออกมีแต่เลขไม่สวย

พิษสัตว์เป็นยาแก้ปวด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 พฤษภาคม 2558

          มนุษย์นั้นฉลาดสุดยอดเพราะสามารถนำสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างนึกไม่ถึง เมื่อเห็นแมงมุมกัดฉกเหยื่อจนเป็นง่อยหมดฤทธิ์ มนุษย์ก็คิดว่าในพิษที่ปล่อยออกมานั้นน่าจะมีอะไรที่ทำให้ร่างชาไร้ความรู้สึก จึงคิดสกัดพิษนั้นแล้วนำมาทำเป็นยาแก้ปวดดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

          เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อแก่เฒ่าลงร่างกายก็จะรู้สึกปวดเมื่อย หรือมีความรู้สึกปวดตามร่างกายส่วนต่าง ๆ อยู่เสมอ มีสถิติว่าเฉลี่ยร้อยละ 15 ของประชากรผู้ใหญ่ในโลกเผชิญกับสภาวะปวดเรื้อรัง วงการแพทย์โดยปกติก็มักใช้ morphine หรือ hydrocodone รักษาคนไข้เหล่านี้ แต่ก็มักเกิดปัญหาติดยาและใช้ยาเกินขนาดอยู่บ่อย ๆ จนต้องมองหายาชนิดใหม่

          นักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นว่าแมงมุม (spider) ใช้พิษจากตัวมันฆ่าหรือทำให้ศัตรูเป็นง่อย นักวิจัยจาก University of Queensland ในออสเตรเลียเมื่อเร็ว ๆ นี้สามารถสกัดได้เจ็ดสารหลักในพิษแมงมุมซึ่งทำหน้าที่ขวางกั้นเส้นทางของสัญญาณจากประสาทที่สร้างความเจ็บปวดสู่สมอง

          ในที่สุดก็พบว่าสารหลักตัวหนึ่งในเจ็ดตัวซึ่งมาจากพิษของแมงมุมพันธุ์บอเนียวสีส้มมีลักษณะเหมาะสม กล่าวคือมีศักยภาพของความมีเสถียรและมีพลังเพียงพอที่จะนำมาพัฒนาเป็นยาแก้ปวดได้ การศึกษาชิ้นนี้ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสารชื่อ British Journal of Pharmacology

          นักวิจัยอธิบายว่าหากพัฒนายาชนิดนี้ขึ้นมาได้ก็จะเป็นประโยชน์มากเพราะมันทำงานแตกต่างจากยาแก้ปวดปกติที่ใช้กันอยู่ซึ่งมักทำให้เกิดการติดยาขึ้น กล่าวคือมันทำงานด้วยการไป กีดขวางเส้นทางเดินเฉพาะระหว่างความเจ็บปวดและสมอง ในขณะที่ยาแก้ปวดที่มีฐานจากฝิ่นเช่น morphine ทำงานในทางตรงกันข้าม กล่าวคือมันไปกีดขวางเซลล์รับความรู้สึกทั้งหมดที่กระจายอยู่ทั่วไปทั้งในสมองและกระดูกสันหลังและอวัยวะอื่น ๆ

          แมงมุม (spider) ในโลกนี้มีมากกว่า 43,678 พันธุ์ กระจายอยู่ในเกือบทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในออสเตรเลีย นักวิจัยกลุ่มนี้วิเคราะห์พิษของ 305 สายพันธุ์แมงมุมในท้องถิ่น และจากประเทศอื่น ๆ เป้าหมายก็คือการสกัดสารหลักจากพิษแมงมุมและศึกษาว่าสารหลักใดจากสัตว์ชนิดใดที่มีผลกระทบต่อการขีดขวางช่องทางเดินพิเศษซึ่งส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังทั่วทั้งร่างกาย

          นักวิจัยพบว่าประมาณร้อยละ 40 ของแมงมุมเหล่านี้มีสารหลักที่เป็นตัวกีดขวางช่องทางพิเศษดังกล่าว ขั้นต่อไปคือการทดลองกับสัตว์ (ความโชคร้ายของสัตว์) เพื่อหาผลข้างเคียงของการใช้สารหลักที่สกัดจากพิษแมงมุมดังกล่าวมาทำเป็นยาแก้ความเจ็บปวดเรื้อรัง

          งานศึกษาในลักษณะนี้มิได้ขีดวงอยู่เฉพาะแมงมุม หากครอบคลุมไปถึงงูพันธุ์ดุของอาฟริกาที่มีชื่อว่า Black Mamba (คุณลุงยังจำได้ไหม ตอนน้ำท่วมที่ว่ามีทั้งจระเข้ ปิรันยา และงู Mamba) ซึ่งหากโดนกัดแล้วไม่รอดแน่เพราะพิษนั้นรุนแรงมาก นักวิจัยในฝรั่งเศสพบว่าพิษของงูชนิดนี้ก็สามารถสะกัดมาทำยาระงับความปวดเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือน morphine

          สัตว์อีกชนิดหนึ่งคือ sun anemone (สัตว์เติบโตเรียงตัวกันเหมือนพรมในแนวปะการังของทะเลคาริบเบียน) ก็มีนักวิจัยอเมริกาศึกษาพิษของมันเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันตนเองบกพร่อง

          นอกจากนักวิจัยสนใจพิษสัตว์เหล่านี้เพราะทำให้เหยื่อเป็นง่อยจนไม่มีความเจ็บปวดแล้ว ยังสนใจเพราะนักพันธุกรรมค้นพบว่าบางคนที่มียีนส์พิเศษซึ่งมีชื่อว่า SCN9A นั้นไม่มีความสามารถที่จะรู้สึกเจ็บปวดได้เลย

          คนเหล่านี้รู้สึกเมื่อสัมผัส รู้สึกถึงความอบอุ่น แต่ความสามารถในการรับรู้กลิ่นและความเจ็บปวดจากความร้อนและหนาว ถูกของมีคม หรือฟกช้ำนั้นถูกจำกัดมาก นักวิทยาศาสตร์พบว่าพิษจากแมงมุมและสัตว์บางชนิด หรือแม้แต่พืชบางชนิดก็ไม่ทำให้คนเหล่านี้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นได้เช่นกัน

          นักวิจัยออสเตรเลียพบว่าแมงมุมพื้นเมืองที่มีชื่อว่า Sydney funnel-web spider ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญว่ามีพิษดุร้ายและน่ากลัว เนื่องจากเมื่อถูกคุกคามจะแสดงออกอย่างก้าวร้าวมาก พิษจะไหลเยิ้มจากเขี้ยว อย่างไรก็ดีพิษของมันไม่มีสารหลักที่จะเป็นตัวไปกีดขวางเส้นทางเดินพิเศษของความเจ็บปวดได้

          หน้าตาหรือขนาดหรือท่าทางของแมงมุม แมลงป่อง งู ผึ้ง ตัวต่อ ตลอดจนสัตว์อื่น ๆ ที่มีพิษจากการกัดและต่อย มิได้เป็นเครื่องประกันว่าพิษของมันจะสามารถนำมาเป็นยาระงับความปวดเรื้อรังได้ งานวิจัยอย่างรอบคอบเท่านั้นที่จะเป็นตัวตัดสิน

          หากพิจารณาเรื่องพิษของสัตว์เหล่านี้แล้ว ก็จะรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์หนักเป็นร้อย ๆ กิโลกรัม ตายหรือเจ็บปวด หรือเป็นง่อยหมดความรู้สึกได้ด้วยพิษหนักไม่ถึง 3 กรัม ในเวลาไม่กี่นาที ธรรมชาติสร้างกลไกความสมดุลเพื่อมิให้สัตว์ใหญ่และมนุษย์กลายเป็นนักเลงโตที่ไม่มีใครปราบได้ และมีจำนวนมากจนอาจเป็นปัญหาแก่โลก

          ไม่ว่ากลไกความสมดุลของธรรมชาติจะเป็นอย่างไร มนุษย์ก็สามารถทำลายสารพัดกลไกลงได้ด้วยมันสมอง แถมยังเอาพิษของมันมาใช้แก้ปัญหาของเหล่ากอตัวเองอีกด้วย สัตว์ชนิดนี้น่ากลัวจังเลย

เสียน้ำตาเพราะ Zero

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
5 พฤษภาคม 2558

          ภาพยนตร์เรื่อง Zero หรือ เอ-เอ็น-โนะ-เซะ-โระ ดังมากในญี่ปุ่นในปี 2014 เพราะมีพล๊อตเรื่องที่กินใจคนญี่ปุ่น เพลงไพเราะพร้อมกับฉากสงครามเครื่องบินรบที่เห็นจริงจัง ภาพยนตร์เรื่องนี้มีสาระที่น่าไตร่ตรอง

          Takashi Yamazaki ผู้สร้างผู้มีชื่อเสียงทุ่มฝีมือเต็มที่และไม่ผิดหวัง เพราะไม่ถึง 2 เดือนในต้นปี 2014 ทำเงินได้สูงถึง 2,700 ล้านบาท เฉพาะในญี่ปุ่นแห่งเดียว จนเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้น และได้รับรางวัล Golden Mulberry จาก Udine Far East Film Festival ในอิตาลี

          พล๊อตเรื่องก็มีอยู่ว่าคุณยายของครอบครัวเสียชีวิต หลานหญิงชายจึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วคุณตามิได้เป็นคุณตาทางสายเลือด คุณยายเคยแต่งงานมาก่อนและมีลูกคือแม่คนเดียว และก็ไม่มีลูกกับคุณตาคนนี้

          หลานหญิงชายได้ทราบว่าคุณตาจริงตายไปนานแล้วในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นนักบิน คุณตาคุณยายและแม่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย ทั้งสองเกิดสนใจและอยากรู้ว่าคุณตาตายอย่างไร จึงค้นจากอินเตอร์เน็ต และมีคนที่รู้จักคุณตาเขียนตอบมาหลายคน เขาจึงไปสัมภาษณ์ว่าคุณตาของเขาชื่อ Miyabe เป็นนักบินที่รบเก่งกาจแค่ไหน ตอนแรกทั้งสองช๊อกและเสียใจเมื่อคนรู้จักหลายคนบอกว่าคุณตาเป็นคนขี้ขลาด คิดแต่จะเอาตัวรอดให้มีชีวิตกลับมาหาลูกเมีย จนกระทั่งไปพบเพื่อนคุณตาจึงได้รู้ว่าเรื่องจริงมันซับซ้อนกว่านั้น

          ความจริงที่รู้จากเพื่อนคุณตา Miyabe ก็คือคุณตาเป็นนักบินที่ขับเครื่องบินเก่งมาก แต่มักจะยิงต่อสู้และหลบมาบินสูง ๆ เพื่อหลีกการเผชิญหน้า ต่อมาเป็นครูฝึกนักบินซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกว่า “กลุ่มโจมตีพิเศษ” หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Kamikaze ซึ่งเป็นนักรบที่ขับพุ่งเข้าชนเรือรบของฝ่ายพันธมิตรเพื่อทำลายล้าง (อาจเป็นต้นฉบับของเหตุการณ์ 9-11 ก็เป็นได้)

          คุณตาทำหน้าที่คุ้มกันเครื่องบินลูกศิษย์ Kamikaze ที่เมื่อออกบินไปก็ต้องตายแน่ ๆ และเป็นคนกล้าที่จะพูดว่าตัวเองต้องการมีชีวิตกลับบ้านไปหาลูกเมีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะอารมณ์ความรู้สึกของทหารญี่ปุ่นในยุคนั้นก็คือออกรบมาตายเพื่อชาติ Miyabe เห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะลูกศิษย์ของเขาต้องตายเปล่า ๆ อย่างน่าสมเพช โอกาสที่จะเข้าไปใกล้เครื่องบินบรรทุกเครื่องบิน (เป็นฐานบินเคลื่อนที่) ซึ่งเป็นเป้าสำคัญแทบจะไม่มี

          ถึงตรงนี้ขอกล่าวถึงบริบททางประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศญี่ปุ่นประกอบ เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่ฮาวายตอนต้นเดือนเดือนธันวาคม 1941 จนสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นแล้ว ฝ่ายพันธมิตรซึ่งมีอังกฤษและสหรัฐอมริกาเป็นหัวหอกก็เริ่มตีกลับรบกับญี่ปุ่นหนักตั้งแต่ศึก Midway จนถึงหมู่เกาะ Marianas ใกล้ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่นก็ต้องถอยร่นตลอดเพราะสูญเสียเครื่องบิน อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์ที่ไม่สามารถมีฐานทัพที่ใช้เป็นหลักแหล่งปลอดจากการถูกโจมตีได้

          รบกันมา 2-3 ปี จนพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในฝรั่งเศสในกลางปี 1944 และ รุกคืบไปเบอร์ลินเพื่อถล่มนาซี ลางแพ้ของเยอรมันนีปรากฏให้เห็นตั้งแต่เข้ายึดเมืองใหญ่ของสหภาพ โซเวียตไม่ได้ และในที่สุดยอมแพ้ในต้นเดือนพฤษภาคม 1945

          ในการรบที่หมู่เกาะ Marianas ในกลางเดือนมิถุนายน 1944 ภายในวันเดียวกองทัพอากาศญี่ปุ่นสูญเสียเครื่องบินไป 500-600 ลำ กองทัพอากาศญี่ปุ่นก็ตัดสินใจใช้ไม้เด็ดคือการ จู่โจมตีพิเศษหรือ Kamikaze โดยเริ่มปฏิบัติการวันที่ 19 มิถุนายน 1944

          สถิติของการโจมตีอย่างกล้าหาญแต่น่าสังเวชใจก็คือญี่ปุ่นสูญเสียนักรบ Kamikaze ไป 3,860 คน อัตราที่พุ่งชนสำเร็จคือร้อยละ 19 โดยสามารถพุ่งเข้าชนเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ 7 ลำ และเรือรบ 40 ลำ (5 ลำจม 23 ลำเสียหายอย่างหนัก และอีก 12 ลำ เสียหายปานกลาง)

          ความบ้าคลั่งของผู้นำทางทหารและของผู้นำญี่ปุ่นปลุกเร้าให้ทหารสู้รบอย่างไม่ระย่อ ค่านิยมภายใต้ลัทธิบูชิโดซึ่งหล่อหลอมสังคมซามูไรมากว่า 260 ปี คือความจงรักภักดีและเกียรติยศแพร่กระจายในความคิดของทหาร

          คุณตา Miyabe ทนเห็นการส่งลูกศิษย์ตายทุกวันไม่ไหว เพราะเชื่อว่าตนเองอยู่รอดได้ก็เพราะลูกศิษย์ตายแทนจากการอยู่หน่วยจู่โจมพิเศษ ดังนั้นวันหนึ่งคุณตา Miyabe จึงอาสาร่วมหน่วย จู่โจมพิเศษ โดยแลกเครื่องบินกับทหารรุ่นน้องที่ชอบพอกันคนหนึ่งก่อนขึ้นบิน ทหารคนนี้ที่รอดกลับมาบอกว่าตนเองไม่ได้เข้าร่วมรบเพราะเครื่องบินเสียต้องลงจอดเสียก่อน

          ไม่ขอเล่าตอนจบ ต้องไปดูกันเองเพราะเรื่องมันยอกย้อนได้ปวดหัวใจ กรุณาทายว่าทหารรุ่นน้องคนนี้ชีวิตจะผูกพันกันในตอนหลังอย่างไร และชีวิตของคุณยายต้องเจออะไรบ้างเมื่อสามีตายต้องอยู่กับลูกสาวอย่างแร้นแค้น พร้อมกับรอคอยการกลับมาตามคำสัญญาของสามีก่อนออกไปรบ

          ภาพยนตร์เรื่องนี้งดงามด้วยการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของคุณตา Miyabe ความกล้าหาญอย่างบ้าบิ่นและเลือกไม่ได้ของเหล่าทหาร Kamikaze ความไร้สาระอย่างเจ็บปวดของสงคราม ความรักภักดีต่อลูกเมีย การต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความรักชาติ ความห่วงใยประเทศในอนาคต และทิ้งปมของความขัดแย้งระหว่างความรักชาติกับความรักครอบครัว

          ประโยคที่ประทับใจของเรื่องนี้คือคำกล่าวรำพึงของคุณตาหลังคุณยายเสียว่าในสถานการณ์หลังสงครามเช่นนี้ ทุกคนล้วนมีเรื่องหลัง (ที่เจ็บปวดและไม่อยากให้ใครรู้) ด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือทิ้งมันเสียและจงมีชีวิตอยู่ต่อไป

          ต่อนี้ไปเมื่อเห็นรูปเครื่องบินรุ่น Zero ของกองทัพอากาศญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ต้องมองด้วยความคารวะเพราะเตือนให้นึกถึงการเสียสละ ยอมสู้รบด้วยใจเด็ดเดี่ยว ถึงแม้จะเป็นหนทางที่สิ้นหวัง และเป็นยุทธศาสตร์ที่บ้าคลั่งของคนที่สั่งการแต่ตัวเองไม่ตายด้วยก็ตามที
 

เครื่องบินตกอย่างจงใจ

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
28 เมษายน 2558

          อุบัติเหตุเครื่องบินตกของสายการบินลูกของ Lufthansa เมื่อเร็ว ๆ นี้สร้างความ ตื่นตระหนกแก่ชาวโลก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจงใจของกัปตันผู้ช่วยจนทำให้กว่า 100 ชีวิตสูญไปอย่างน่าสลดใจ

          การเดินทางด้วยเครื่องบินถือว่าปลอดภัยมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพาหนะประเภท อื่น ๆ ทั้งโลกในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากเครื่องบินตกเฉลี่ยประมาณ 800 ราย ทั้ง ๆ ที่มีผู้เดินทาง ทั่วโลกนับพันล้านคน (หากคนเดียวเดินทางหลายครั้งก็นับไปในตัวเลขนี้ด้วย) แค่คนไทยตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ใน 20 วัน (ตายวันละประมาณ 40 คน) ก็เท่ากับจำนวนคนตายจากเครื่องบินตกทั้งโลกแล้ว
 

          ตัวเลขแบบนี้ยังไม่เป็นวิทยาศาสตร์พอเพราะระยะทางของการเดินทางของรถและเครื่องบินไม่เท่ากัน ถ้าเดินทางยาวก็ย่อมมีจำนวนสูงเป็นธรรมดาดังนั้นจึงต้องปรับให้เป็นสถิติดังนี้ คือโดยเฉลี่ยทุก 100 ล้านไมล์ของการเดินทางมีจำนวนคนตายจากการโดยสารเครื่องบิน 0.01 คน จากรถโดยสารและรถไฟ 0.05 คน และจากรถยนต์ 0.72 คน
 

          ถ้าพิจารณาในด้านความเป็นไปได้ของการเสียชีวิตจากเครื่องบิน ผู้เดินทางคนหนึ่งในเที่ยวบินหนึ่งมีความเป็นไปได้ในการตายจากเครื่องบินตก 1 ใน 11 ล้าน (ในสหรัฐอเมริกา 1 ใน 23 ล้าน) ในขณะที่ความเสี่ยงจากการถูกปลาฉลามกัดตายคือ 1 ใน 3.7 ล้าน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเสี่ยงน้อยมาก
 

          อย่างไรก็ดีถ้าไปถามผู้โดยสารของเที่ยวบิน 9525 ตอนปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาของสายการบิน Germanwings ซึ่งเป็นสายการบินลูกราคาประหยัดของสายการบิน Lufthansa อันเลืองชื่อแล้วคงไม่เห็นด้วย เพราะจู่ ๆ กัปตันผู้ช่วยก็จัดการลดความสูงของเครื่องบินจนชนภูเขาบริเวณเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส
 

          กล่องดำบันทึกเสียงที่เก็บมาได้แสดงให้เห็นว่า Andreas Lubitz กัปตันผู้ช่วยอายุ 27 ปี วางแผนฆ่าตัวตายไว้ล่วงหน้า มีเสียงเขาสนับสนุนให้กัปตันไปเข้าห้องน้ำหลังจากที่เครื่องบินไต่ได้เพดานการบินแล้ว ทันทีที่กัปตันออกจากห้องบังคับการบินเขาก็ล็อกประตูทันทีและลดความสูงลงอย่างทันด่วน เทปบันทึกเสียงมีเสียงกัปตันทุบประตูให้เปิด แต่ก็ไม่ยอมเปิดจนสิ้นเสียงพร้อมกับเสียงหวีดร้องของผู้โดยสาร
 

          คำถามก็คือทำไม Lubitz ต้องทำอย่างนั้นด้วย? สายการบินรับคนป่วยสติแตกอย่างนี้เข้ามาทำงานได้อย่างไร ? อาการป่วยของเขาไม่ปรากฏให้ผู้คนเห็นเลยหรือ? ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชี้ว่าเขาป่วยจากการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอหรือ?
 

          ยิ่งสอบสวนก็ยิ่งมึนงง เพราะระหว่างที่เขาฝึกบินภายใต้การดูแลของสายการบิน Lufthansa เขาหยุดการฝึกไป 9 เดือน เพื่อไปรักษาตัวซึ่งถือว่าผิดปกติและเขาก็กลับมาเรียนต่อจนจบหลักสูตรได้เป็นกัปตันผู้ช่วย
 

          สายการบินใหญ่ไม่เคยทราบประวัติความจ็บป่วยทางจิตที่ทำให้เขาต้องออกไปพักรักษาตัวเลยหรือ? คำตอบที่พบอาจยิ่งทำให้เกิดคำถามที่น่ากลัวยิ่งขึ้น ขนาดสายการบินชั้นนำของโลกซึ่งมีระบบการควบคุมความปลอดภัยชั้นยอด มีประวัติความปลอดภัยเป็นเยี่ยม ยังมีเครื่องบินตกอย่างจงใจโดยนักบินเพื่อฆ่าตัวตายพร้อมผู้โดยสารเกิดขึ้นได้และนับประสาอะไรกับสายการบินอื่น ๆ ที่มีอยู่นับเป็นพัน ๆ ทั่วโลกในยุคสายการบินประหยัดและนโยบาย “open sky” หรือเปิดท้องฟ้าเสรีไม่มีการผูกขาดให้สายการบินแห่งชาติสายเดียวดังที่เคยเป็นมากันทั่วโลก
 

          หัวใจของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ระบบการตรวจสอบความเจ็บป่วยของนักบิน สายการบิน ทั่วโลกมีระบบตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข็มข้นแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วก็ถือว่ามีระบบที่ดีมีมาตรฐานแต่ที่หลุดรอดไปได้ในกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามันโยงใยกับประเด็นจิตวิทยาสังคมและกฎหมายของเยอรมันอย่างเป็นพิเศษ
 

          ในประเทศนี้การเก็บความลับระหว่างคนไข้กับหมอถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว การฝ่าฝืนเพียงเล็กน้อยมีโทษทางกฎหมายรุนแรง แพทย์ผู้รักษา Lubitz ไม่ได้รายงานให้นายจ้างทราบเพราะถือว่าการเก็บความลับเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์
 

          เหตุที่คนเยอรมันแตกต่างจากคนในชาติอื่นในเรื่องความเป็นส่วนตัวเช่นนี้ก็เชื่อว่ามาจากประวัติศาสตร์ ในช่วงนาซีรุ่งเรืองของฮิตเลอร์ ความลับส่วนบุคคลแทบไม่มี ความเป็นส่วนตัวก็ไม่มี เป็นใครมาจากไหน มีสายเลือดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิวจะต้องเปิดเผยหมด รัฐสอดส่องหาข่าวด้วยการใช้สายลับ เพื่อน เพื่อนบ้าน ญาติ เช่นเดียวกับยุคเยอรมันตะวันออก (ค.ศ. 1949-1990) ที่รัฐคอมมูนิสต์ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง
 

          เมื่อประวัติศาสตร์พลิกผันกลับ คนเยอรมันจึงอ่อนไหวต่อเรื่องความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ และภายใต้บริบทเช่นนี้ประวัติความเจ็บป่วยของนักบินจึงไม่ถึงมือนายจ้าง
 

          สาเหตุที่ Lubitz ฆ่าตัวตายก็เชื่อว่าเกี่ยวพันกับจดหมายจากแพทย์หลายคนที่ตรวจอาการของเขาซึ่งพบในอพาร์ทเม้นท์ แพทย์มีความเห็นว่าเขามีความผิดปกติทางจิตและกำลังสูญเสียการมองเห็นในตาข้างหนึ่ง ความหวาดเกรงว่าต้องออกจากงานเพราะความป่วยทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง เขามีความฝันว่าวันหนึ่งจะต้องเป็นกัปตันของสายการบิน Lufthansa ให้ได้
 

          การเริ่มสูญเสียการมองเห็นในตาข้างหนึ่งเป็นผลพวงจากความเจ็บป่วยที่เรียกว่า Psychosomatic กล่าวคือความซึมเศร้า ความเจ็บป่วยทางจิตมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยทางกายขึ้น
 

          การระมัดระวังความเป็นส่วนตัวทำให้ไม่มีใครทราบว่าเขาเป็นใครมาจากไหนแม้แต่ในปัจจุบัน เหตุใดจึงป่วยทางจิตตั้งแต่อายุต้น 20 ปี ถึงแม้คนที่รู้จักเขาจะบอกว่าเขาเป็นคนปกติทุกอย่างก็ตามที
 

          คนที่ต้องรับความผิดไปเต็ม ๆ ก็คือสายการบิน Lufthansa เนื่องจากเป็นผู้ให้การฝึกฝน ดูแล สนับสนุนจนเขาได้เป็นนักบิน ทั้งที่สามารถเห็นอาการของเขาได้จากระบบการตรวจสอบตั้งแต่ตอนฝึกหัดเป็นนักบินในช่วงปี ค.ศ. 2009 อีกทั้งยังได้เป็นนักบินของสายการบินนี้มาแล้วถึง 2 ปี คำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือเขาสามารถหลุดรอดระบบการตรวจสอบความเจ็บป่วยของนักบินที่ตั้งไว้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของการบินได้อย่างไร
 

          Murphy’s Law ซึ่งเป็นกฎที่รู้จักกันทั่วโลกบอกว่า “ถ้าสามารถมีอะไรที่จะผิดพลาดได้แล้ว ความผิดพลาดจะเกิดขึ้นเสมอ” ดูจะเป็นจริงในเรื่องนี้ จะทำอย่างไรให้การเป็นไปตาม Murphy’s Law ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

มะนาวนิ้วของออสเตรเลีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
21 เมษายน 2558 

          การแสวงหาพืชผักและผลไม้ตามธรรมชาติมาใช้ในการประกอบอาหารหรือตกแต่งเพื่อแข่งขันกันกำลังเป็นทางโน้มสำคัญที่สามารถสร้างเงินทองได้มหาศาล มะนาวพันธุ์นิ้วของออสเตรเลีย (Australian Finger Lime) กำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

          ชื่อทางการของมะนาวนิ้วนี้ก็คือ Citrus australasica รูปร่างยาวรีมีขนาดประมาณนิ้วก้อย ผิวสีเขียว หรือม่วง หรือน้ำตาล หรือแดง สิ่งที่ดูแปลกและน่าบริโภคก็คือเนื้อในของมันประกอบด้วยเมล็ดขาวใส หน้าตาเหมือนไข่ปลาคาเวียร์ (ที่ถูกต้องคือไข่ปลา sturgeon พันธุ์ Beluga, Ossetra และ Sevruga แต่มนุษย์เรียกชื่อนี้กันจนชิน)

          มะนาวนิ้วเป็นพืชป่าขึ้นอยู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนสแลนด์ และ ตอนเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีอากาศร้อนคล้ายบ้านเรา เพียงแต่มีความชื้นน้อยกว่ามาก ลักษณะก็เป็นไม้พุ่มคล้ายต้นมะนาวคือมีหนามคม มีใบเรียว สูง 2-7 เมตร หากปลูกในกระถางโดยดูแลอย่างดีเพียงหนึ่งปีก็ให้ผลได้

          ฝรั่งที่มาตั้งรกรากในทวีปนี้เมื่อกว่า 200 ปีมาแล้วรู้จักมะนาวพันธุ์นี้ แต่คนออสเตรเลียทั่วไปในอดีตไม่รู้จักมัน ในบางบ้านเท่านั้นที่เอามาทำเป็นแยมหรือผักดอง การนำมะนาวพันธุ์นิ้วมาใช้ในการค้าเกิดขึ้นในกลางทศวรรษ 1990 โดยเอามาทำแยม ในปี 2000 ผู้คนเริ่มรู้จักมากขึ้นจากการเอามาตกแต่งอาหารให้งดงาม และเอามาใช้แทนที่มะนาวปกติ

          งานวิจัยมะนาวนิ้วของออสเตรเลีย เริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และพบว่าสามารถต้านทานโรครากเน่า อีกทั้งไม่เป็นแหล่งพักพิงของแมลงทำลายผลไม้ (fruit fly) อีกด้วย ดังนั้นจึงมีการนำมาผสมข้ามพันธุ์กับมะนาวพันธุ์อื่น ๆ จนได้ผิวและเนื้อในที่มีหลายสี คล้ายไข่ปลาคาเวียร์ โดยมีสีเขียวสีแดง สีส้มและขาวใส ลองจินตนาการดูว่าถ้าเอามาลอยหน้ากระท้อนหรือสละลอยแก้วแล้วจะงดงามน่ากินเพียงใด

          เม็ดปลาคาเวียร์ของมะนาวนิ้วมีรสชาติเหมือนมะนาว แต่ไม่เปรี้ยวและขมมาก เมื่อขบแตกจะมีน้ำออกมาซึ่งมีกลิ่นหอมและรสชาติเฉพาะตัว ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันจึงมีการนำมาปลูก เชิงพาณิชย์กันมากในบริเวณอากาศร้อนคล้ายเขตศูนย์สูตรออสเตรเลีย

          ในเว็บไซต์จะเห็นการเสนอขายออนไลน์กันมาก อยู่ในราคาประมาณ 700-800 บาท ต่อหนึ่งต้น ขนาดความสูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งฟุต ในบ้านเราขณะนี้ก็มีการขายกันคึกคักมากต้นละประมาณ 1,000 บาท และขายดีเสียด้วย

          ออสเตรเลียมีของดีที่โลกไม่รู้จักมากนักอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ Tea tree oil หรือน้ำมันจากต้นชา ซึ่งคำว่า tea tree ในที่นี้คนละเรื่องกับต้นชาที่เอาใบมาชงน้ำ ถึงแม้ว่าจะมีใบเรียวยาว เป็นไม้พุ่มเหมือนกันก็ตามแต่เป็นคนละพันธุ์โดยสิ้นเชิง เรื่องเล่ามีอยู่ว่ากัปตัน Cook ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทวีปนี้ใน ค.ศ. 1770 ได้เอาใบนี้มาทดลองชงน้ำกิน ลูกน้องจึงเรียกว่าชา

          ต้นไม้ชนิดนี้เป็นพืชพื้นเมืองอยู่ในบริเวณเดียวกับมะนาวนิ้ว คนออสเตรเลียสะกัดเอาน้ำมันซึ่งมีลักษณะใสและมีกลิ่นแคมเฟอร์ น้ำมันนี้เป็นพิษหากกินเข้าไป นิยมใช้ทา บนผิวหนังที่เป็นแผลเพื่อรักษา งานวิจัยพบว่าสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรค ช่วยรักษาสิว รักษาแผลจากเริม และการติดเชื้ออื่น ๆ บนผิวหนัง ตลอดจนสามารถกำจัดรังแคและเหาอีกด้วย

          ในเรื่องมะนาวนิ้วนี้ต้องระวังอย่าสับสนกับ finger lemon หรือพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า (Buddha’s Hand) ซึ่งเป็นมะนาวอีกชนิดหนึ่งซึ่งเติบโตในอินเดีย จีน ตะวันออกไกล ตลอดจนบ้านเรา

          มะนาวผลสีเหลืองชนิดนี้หน้าตาคล้ายหัวกระชาย กล่าวคือมีจุกและแยกลงมาเป็น ผลยาวคล้ายพริกชี้ฟ้าซึ่งมีจำนวนถึงกว่า 10 หัว บางครั้งนิ้วหรือพริกชี้ฟ้านี้ก็บานออก บางครั้งก็หุบเข้าหากัน ในจีนและญี่ปุ่นใช้อบผ้าและเพื่อส่งกลิ่นหอมในบ้าน อีกทั้งใช้บูชาพระ คนจีนบางกลุ่มถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสุข การมีอายุยืนและความมั่งคั่ง มักนำไปถวายวัดในตอนปีใหม่

          รสชาติของมันก็เป็นมะนาวเพราะอยู่ในตระกูล citrus เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากอ่อนไหวต่อความหนาวจึงมักใช้ต่อกิ่งกับต้นหลักเมื่อนำไปปลูกในเขตค่อนข้างหนาว เช่น ทางใต้ของรัฐคาลิฟอร์เนีย ปัจจุบันมีผู้นิยมปลูกเพราะยามเมื่อออกลูกเต็มต้นจะเป็นภาพที่งดงามและแปลกตา ปัจจุบันมีการนำมาตกแต่งและปรุงอาหารเช่นเดียวกับมะนาวพันธุ์นิ้วของออสเตรเลีย

          การนำมะนาวพันธุ์นิ้วออสเตรเลียจากป่ามาใช้เพี่อการค้าจนเริ่มสร้างรายได้มหาศาลมีบทเรียนสำหรับไทย จุดเริ่มต้นคืองานวิจัย เมื่อเข้าใจธรรมชาติของมันก็คัดเลือกพัฒนาพันธุ์โดยผสมข้ามกับมะนาวพันธุ์อื่นจนเกิดเป็นสีต่าง ๆ แปลกไปจากสีเขียวดั้งเดิม มีเนื้อในที่ไม่ขม และมีความงดงามคล้ายไข่ปลาคาเวียร์ยิ่งขึ้น
ลูกกะทกรกพันธุ์ใหญ่ ลูกมะเดื่อ ข้าวป่า ข้าวสีเข้ม ฯลฯ คือเพื่อนจากป่าของมะนาวนิ้วซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโต๊ะอาหารเช่นกัน และกำลังสร้างงานตลอดจนรายได้ให้แก่ ผู้เห็นอนาคตของมัน

          รายได้จากการเพาะพันธุ์ ขายเมล็ด ขายต้นให้แก่ชาวโลกออนไลน์ ตลอดจนการส่งออกผลของมันไปทั่วโลก พร้อมกับการประชาสัมพันธ์ภาพเนื้อในอันงดงามของมะนาวนิ้วคล้ายไข่ปลาคาเวียร์คู่ไปกับธุรกิจบริการอาหาร และการครัว เป็นเศรษฐกิจการเกษตรเชิงสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

          เรามีพืชป่าหลายอย่างที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ในเส้นทางนี้ วัตถุดิบของเราได้แก่สมุนไพรจำนวนมากมาย ลูกไม้ป่า พันธุ์ดอกไม้ป่า ผักและเห็ดที่เติบโตตามธรรมชาติ บางพันธุ์แค่ขายในอาเซียนก็รวยได้แล้ว

          เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าวิสัยทัศน์ผสมด้วยความคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างโอกาสของงานและรายได้อย่างไม่จำกัด

ปลอมตัวเป็นชายเพื่อให้ลูกอยู่รอด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
14 เมษายน 2558

          สังคมที่มีผู้หญิงคนหนึ่งแปลงร่างแต่งกายเป็นชายนานนับสิบ ๆ ปี เพื่อทำงานหาเลี้ยงลูกน่าจะเป็นสังคมที่มีปัญหาเกี่ยวกับโอกาสของสตรี เรื่องราวเช่นนี้เป็นที่สนใจของชาวโลก

          หญิงชาวอียิปต์ชื่อ Sisa Abu Daooh ต้องต่อสู้ชีวิตหนักเมื่อสามีเธอตายและทิ้งลูกสาวหนึ่งคนไว้ให้เลี้ยงดู เธอรู้ดีว่าสำหรับหญิงม่ายมีลูกติดที่อ่านหนังสือไม่ออกในประเทศนี้ โอกาสที่จะมีงานทำ มีเงินทองเลี้ยงลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่โดนรังแกทางเพศนั้นเป็นไปไม่ได้

          เธอปลอมตัวแต่งตัว พูดจา และแสดงอาการกิริยาเป็นชายเป็นเวลายาวนานถึง 43 ปี โดยเริ่มทำตั้งแต่เมื่ออายุ 21 ปี (ปัจจุบันเธออายุ 64 ปี) และกระทำได้สำเร็จ ไม่มีใครจับได้

          เธออยู่ที่เมือง Luxor หากินด้วยการขัดรองเท้า รับจ้างแบกหาม ทำงานก่อสร้าง เรียกได้ว่าสารพัดเพื่อความอยู่รอด ปัจจุบันเธอก็ยังรับจ้างขัดรองเท้าอยู่ที่สถานีรถไฟในเมือง Luxor

          ผู้สื่อข่าวเป็นผู้ไปพบและนำเรื่องราวของเธอมาตีแผ่ให้โลกรู้ คนอียิปต์และชาวโลกต่างชื่นชมการทำงานหนักของเธอ เธอดังจนประธานาธิบดีอียิปต์ต้องมอบรางวัล ‘Woman Breadwinner’ ให้เธอเมื่อกลางเดือนมีนาคม 2015 ประธานาธิบดีบอกว่าเธอเป็น “ผู้หญิงทำงานที่เป็นพิเศษ”

          วันที่รับรางวัลที่ทำเนียบเธอก็แต่งกายเป็นชายไปรับ และบอกว่าเธอเคยชินกับเสื้อผ้าผู้ชายมา 43 ปี จึงไม่อยากเปลี่ยน จะทำงานต่อไปในชุดเดิมเหมือนที่เคยเป็นมา

          เหตุที่เรื่องนี้ดังมากในอียิปต์ก็เนื่องมาจากสังคมนี้มีการละเมิดทางเพศ (sexual harassment) กันอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นคำพูด ท่าทาง กิริยา จับมือถือแขน หรือลวนลาม(แตะอั๋ง) ฯลฯ ในสังคมส่วนใหญ่ของโลกในปัจจุบันการกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมาย หากเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานก็มีโทษหนักขนาดไล่ออกกันทีเดียว

          การเกเรกับผู้หญิงเช่นนี้ในอียิปต์เกิดขึ้นมากจนมีผู้หญิงออกมาประท้วงเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อมีความจริงว่าในการชุมนุมประท้วงขับไล่ Mubarak ประธานาธิบดีอียิปต์ที่อยู่มายาวนานใน ค.ศ. 2011 และในการขับไล่ประธานาธิบดี Mubarak ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อียิปต์ในอีก ปีต่อมา มีแก๊งชายฉกรรจ์ร่วมชาติข่มขืนหญิงอียิปต์ที่ออกมาประท้วงกลาง Tahir Square ซึ่งเป็นสถานที่นิยมสำหรับการนี้ (คล้ายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทย) ไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์การเมืองแต่อย่างใด

          ผู้หญิงที่ออกมาประท้วงหลายคนถูกจับไปและถูกบังคับให้ทดสอบ Virginity Test (ตรวจสอบความเป็นสาวบริสุทธิ์) ซึ่งเป็นเรื่องดูแคลนสร้างความอดสู ยิ่งไปกว่านั้นในครอบครัวก็มีความรุนแรง ถูกสามีตบตีหรือข่มขืนโดยสามีหากไม่เต็มใจหลับนอนด้วย และที่น่าตกใจก็คือเด็กผู้หญิงอียิปต์ถูกครอบครัวบังคับให้ทำ FGM (Female Genital Mutilation) โดยมีสถิติว่าในอียิปต์มีหญิงอายุเกิน 15 ปีที่ผ่าน FGM ถึง 48 ล้านคนในประเทศ 88 ล้านคน

          FGM หรือ คือการตัดอวัยวะเพศหญิงบางส่วนหรือทั้งหมด กล่าวคือตัด clitoris หนังหุ้ม clitorir แคมหรือ labia ทั้งใหญ่และเล็ก และในกรณีรุนแรงสุดคือตัดออกทั้งหมดอย่างหมดจดจนเหลือแต่ช่องคลอดและช่องปัสสาวะเท่านั้น

          FGM ไม่ใช่เรื่องของศาสนาแต่อย่างใด มันเป็นที่นิยมกระทำในอาฟริกาและตะวันออกกลาง เช่น เอธิโอเปีย โซมาเลีย ซูดาน เอริเทเรีย มาลี เซียร์ราลีโอน อียิปต์ ฯลฯ ที่น่าตกใจก็คืออียิปต์ซึ่งเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงกว่าก็ยังคงมี FGM อย่างเหนียวแน่น

          ความโหดร้ายของ FGM นั้นมีทั้งตัดสด ใช้ยาชา ใช้ยาสลบ โดยใช้ มีดโกนที่ไม่มีการฆ่าเชื้อโรคโดยหมอพื้นบ้าน บ้างก็ทำกับเด็กหญิงอายุไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ บ้างก็ทำตอน 5 ขวบ และบ้างก็ทำตอนเป็นสาว

          สาเหตุของ FGM ก็คือความต้องการไม่ให้ผู้หญิงมีความรู้สึกใด ๆ ทางเพศ โดยเชื่อว่าจะทำให้เป็นภรรยาที่จงรักภักดี อยู่ในโอวาทสามี เป็นลูกสาวที่เลี้ยงง่าย และเป็นเครื่องประกันว่าจะเป็นสาวบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน

          พ่อแม่และญาติสนับสนุน FGM โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งดีสำหรับเด็กผู้หญิง (ตัวเองก็เคยโดนมาก่อน คงคล้ายกับแค้นจากการรับน้องใหม่) ปัจจุบันที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติลงมติให้ทุกประเทศหยุดการกระทำอย่างเด็กขาด แต่ก็มีการแอบกระทำกันอย่างลับ ๆ

          ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา อียิปต์จึงเป็นสังคมผู้ชายโดยแท้ ผู้หญิงเปรียบเสมือน “ทาส” ดังนั้น “ทาส” ที่โดดเดี่ยวเพราะสามีตาย และแถมยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อีก จึงมีทางเลือกน้อยมาก

          การตัดสินใจของ Sisa จึงถือว่าฉลาดภายใต้เงื่อนไขของสังคมเช่นนี้ อย่างไร ก็ดีการต้องหลอกลวงผู้คนเป็นเวลา 43 ปี ไม่ใช่เรื่องสนุกหรือมีความสุข มหาตมะคานธีบอกว่า “เมื่อกายกับใจขัดแย้งกัน ความสุขก็เกิดขึ้นไม่ได้” การโกหกหลอกลวงซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้งดังกล่าวขึ้นจึงไม่น่าทำให้ Sisa มีความสุขใจนักแต่ก็ต้องต่อสู้เพื่อลูก

          Sisa สมควรได้รับความเห็นใจ ความชื่นชม และสังคมอียิปต์ควรใคร่ครวญ การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์เช่นนี้ว่ามีสาเหตุจากสิ่งใด และเป็นอุทาหรณ์ให้สังคมอื่น ๆ ด้วย

          ถึงเธอไม่มีหนวดไม่มีเครา มีเสียงพูดซึ่งคล้ายผู้ชายมากขึ้นเพราะดัดเสียงจนเป็นนิสัย ก็ไม่ก่อให้เกิดข้อสงสัยเนื่องจากเธอคงจะทำตนเป็นคนแปลกแยกจนไม่สนิทสนมกับใครเพื่อรักษาความลับ

          เธอทำทั้งหมดนี้ได้ตลอด 43 ปี ก็เพื่อการอยู่รอดของลูกสาวคนเดียวของเธอ