ชีวิตเด็ก “อัจฉริยะ”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
26 พฤษภาคม 2558

          เด็กสิงคโปร์อายุสองขวบได้การยอมรับว่าเป็น ‘อัจฉริยะ’ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ชีวิตของเด็ก ‘อัจฉริยะ’ เหล่านี้ทั่วโลกน่าสนใจและน่าเศร้าใจในเวลาเดียวกัน อะไรที่ทำให้เขาเป็น ‘อัจฉริยะ’ และเมื่อโตขึ้นชีวิตของเขาเป็นอย่างไร

          ก่อนนอน Elijah Catalig เด็กสิงคโปร์ อายุ 2 ขวบ 6 เดือน มีกิจกรรมที่ต่างจากเด็กวัยเดียวกันค่อนข้างมาก นอกจากให้แม่อ่านนิทานและอ่านหนังสือที่สนุก ๆ ให้ฟังแล้ว เขาเล่นเกมส์ IQ ของเด็ก 5 ขวบ แม่ของ Elijah บอกว่าถ้าเขาสนใจอะไรแล้วจะขะมักเขม้นทุ่มเท สนใจอย่างยิ่งได้เป็นชั่วโมง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของเด็กประเภทนี้

          “เด็กประเภทนี้” ถ้าจะเป็นอย่างทางการก็ต้องเป็นสมาชิกของสมาคมที่มีชื่อว่า Mensa International ซึ่งมีสมาคมสาขาอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สมาชิกซึ่งมีอยู่รวมประมาณ 121,000 คน จะต้องมีระดับ IQ อยู่ใน top 2% ของเด็กในวัยเดียวกัน (พูดอีกอย่างว่าต้องอยู่ในตำแหน่งไม่ต่ำกว่า 98.0 percentile)

          Mensa เป็นสมาคมเก่าแก่ของพวก IQ สูง หรืออัจฉริยะทั่วโลก “Mensa” เป็นภาษาละติน หมายถึง “โต๊ะ” ซึ่งส่อความหมายของโต๊ะกลมซึ่งมีนัยยะว่าต้อนรับคน IQ สูงจากทั่วโลกซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 50 ประเทศ

          Mensa ตั้งขึ้นโดยคนอังกฤษและออสเตรเลีย ในปี ค.ศ. 1946 มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ของคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ส่งเสริมให้นำความฉลาดมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคม ไม่มุ่งหวังกำไร และไม่ผูกพันกับแนวคิดการเมืองใด ๆ โดยทุกผิวสีเชื้อชาติและสัญชาติ ร่วมเป็นสมาชิกได้หมดตราบที่มีระดับ IQ ตามวิธีการวัด IQ ที่เรียกว่า Stanford-Binet Intelligence Scales สูงกว่า 132

          ในกรณีของ Elijan สมาคม Mensa สาขาสิงคโปร์ได้วัด IQ ตามมาตรฐานและการกำกับของ Mensa International และพบว่าเขามี IQ เท่ากับ 142 จึงได้รับเข้าเป็นสมาชิกและถือได้ว่าเป็น genius อย่างเป็นทางการ

          สำหรับ Mensa Singapore นั้น ตั้งแต่ได้รับการยอมรับให้เป็นสาขาของ Mensa International ในปี 1987 มีเด็กอายุขนาดนี้เพียง 7 คนเท่านั้นในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา อายุน้อยที่สุดคือทารกชายวัย 2 ขวบ 2 เดือน ซึ่ง Mensa Singapore รับเข้าเป็นสมาชิกในเดือนพฤศจิกายน ปี 2014

          IQ Test มีหลายวิธี แต่ที่นิยมกันปัจจุบันก็คือ Standford-Binet Intelligence Scales ซึ่งวัด 5 ด้านคือการใช้เหตุผลด้านปริมาณ ความจำ การใช้เหตุผล การเชื่อมต่อระหว่างมองเห็นและระยะทาง ตลอดจนความรู้ในระดับหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องรอบตัว

          คำว่า IQ มาจากอายุสมอง (วัดว่าผู้สอบมีความสามารถในการกระทำหรือตอบคำถามได้เทียบเคียงเด็กปกติในกลุ่มอายุใด) หารด้วยอายุจริง และคูณด้วย 100 ดังนั้น IQ ของเด็กปกติคือ 100 กล่าวคืออายุสมองของเขาหารด้วยอายุจริง เช่น 5 ขวบ หารด้วย 5 ขวบ และคูณด้วย 100 จึงเป็น 100

          ตัวอย่างเด็ก “อัจฉริยะ” อายุ 3 ขวบ มี IQ เท่ากับ 132 จึงหมายความว่ามีอายุสมองเท่ากับ 3.96 ปี อายุจริงคือ 3 ปี (3.96 ÷ 3) x 100 = 132

          อะไรทำให้เขาเป็นเด็กเช่นนี้? การศึกษาในโลกตะวันตกเพื่อตอบคำถามมีไม่มากดังที่น่าจะเป็นแม้แต่ในปัจจุบันเองเนื่องจากเป็นหัวข้อที่อ่อนไหวมาก คนในโลกตะวันตกเชื่อมั่นในเรื่องความเท่าเทียมกัน เชื่อว่าความสำเร็จเกิดขึ้นเพราะความพยายามทุ่มทำงานหนัก ดังนั้นการศึกษาเรื่องการมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าโดยยังไม่ได้ออกแรงตั้งแต่เกิด และสามารถสืบทอดกันได้จากพ่อแม่ถึงลูก หรือบางกลุ่มเชื้อชาติหรือบางเพศมีข้อได้เปรียบเหนือกว่า จึงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้เพราะบั่นทอนความเชื่อของตน

          เมื่อไม่กี่ปีมานี้อธิการบดีมหาวิทยาลัย Harvard ชื่อ Lawrence Summers ต้องลาออกหลังจากโดนโจมตีอย่างหนักหลังจากแสดงความเห็นสั้น ๆ ว่า โลกวิชาการทางวิทยาศาสตร์ถูกครอบงำด้วยผู้ชาย ไม่ใช่เพราะความเอนเอียงเลือกที่รักมักที่ชัง แต่เป็นเพราะขาดแคลนผู้หญิงที่มี IQ สูง ที่ถนัดด้านคณิตศาสตร์

          การวัด IQ จึงเป็นเรื่องฮื้อฉาวมายาวนานในประวัติศาสตร์ มีคนจำนวนมากปฏิเสธการวัดเช่นนี้ และเชื่อว่ามิได้วัดอะไรนอกจากความสามารถในการเล่นเกมส์ทางสมอง อย่างไรก็ดีงานวิจัยใหม่เท่าที่มีจากโลกตะวันออกโดยเฉพาะจากจีนพบว่า Genius ชนิดมี IQ สูงมากนั้นอาจเกิดจากอุบัติเหตุทางพันธุกรรมที่ผสมปนเปกันพอดีจนได้คนที่มี IQ สูงมาก จีนมีการศึกษา DNA ของเด็กอัจฉริยะทั่วโลกนับพันคนมาหลายปีเพื่อตอบคำถามว่าเด็กอัจฉริยะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ารู้คำตอบ แน่ชัดก็อาจสร้างเด็กอัจฉริยะขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากโดยจัดการกับ DNA ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน

          งานศึกษาคู่แฝดชนิดไข่ใบเดียวกัน พี่น้องร่วมพ่อแม่จำนวนมากพบว่า IQ สามารถสืบทอดมาจากพ่อแม่ผ่านพันธุกรรมได้ถึงร้อยละ 50-80

          นอกจากคำถามว่า ‘เด็กอัจฉริยะ’ มาจากไหนแล้ว อีกคำถามที่น่าสนใจก็คือเมื่อโตขึ้นแล้วเขาไปไหนกัน งานศึกษาเส้นทางเดินของ ‘เด็กอัจฉริยะ’ หลายชิ้นระบุว่าการเลี้ยงดูและบ่มเพาะเด็กเหล่านี้ตอนเติบโตขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการเติบโตทางสมองล้ำหน้าการเติบโตทางร่างกาย การปรับความสมดุลขณะเปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่จึงยากกว่าเด็กปกติ

          ‘เด็กอัจฉริยะ’ หลายคนเบื่อหน่ายการเรียนรู้ในห้องที่เขาแซงหน้าไปมากแล้ว หลายคนติดยาเสพติด เลิกเรียน มีความอดทนไม่มากกับคนอื่นที่ฉลาดน้อยกว่าเขา หลายคนมีอีโก้สูงว่าเป็นคนฉลาดจนไม่มีใครคบหาด้วย สำหรับหลายคนการคิดว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่นทำให้การเรียนรู้และการพัฒนาความเป็นมนุษย์ของเขาหยุดลง

          Theodore Kaczynski มีระดับ IQ 167 เข้าเรียน Harvard ตั้งแต่อายุ 16 ปี อายุ 25 ปี เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่เด็กที่สุดของ Berkeley แต่อีก 2 ปีต่อมาก็ลาออกและไปสุงสิงกับพวกหัวรุนแรง จนในที่สุดกลายเป็นผู้สร้างระเบิดฆ่าคนไป 3 คน หลบหนีอยู่ได้ 20 ปีก่อน ถูกจับ ฉายาของเขาที่รู้จักกันทั่วโลกคือ Unabomber

          Sufiah Yusof เป็นเด็กอัจฉริยะชาวมาเลเซีย เข้าเรียนคณิตศาสตร์ที่ Oxford ตอนอายุ 13 และหายตัวไป พบอีกทีกำลังทำงานเสิรฟอาหาร เมื่อกลับมาเรียนอีกครั้งก็ไม่สำเร็จ ปีต่อมาแต่งงานและก็เลิกกันใน 13 เดือน ในปี 2007 พบว่าทำงานเป็นโสเภณี เธอเล่าว่าชีวิตถูกกดดันมากจึงหนีออกมาจากวงจร

          เด็กอัจฉริยะจำนวนมากทำงานเป็นปกติ เป็นนักวิจัย อาจารย์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สร้างความเจริญให้สังคมเป็นอันมาก แต่จำนวนหนึ่งก็ประสบปัญหาในด้านการปรับตัว (เกือบทั้งหมดมีบุคลิกเก็บตัว ครุ่นคิด มีศีลธรรมสูง)

          ในบ้านเรางานในด้านการคัดกรองดูแล บ่มเพาะเด็ก “อัจฉริยะ” เหล่านี้อย่างจริงจังและเป็นเรื่องเป็นราวและถูกทิศทางยังไม่เกิดขึ้น ทั้งที่ในจำนวนคน 67 ล้านคนนั้นต้องมีเด็กอัจฉริยะอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

          สังคมจะช่วยกันอย่างไรดีให้เด็กที่มีความบังเอิญทางพันธุกรรมเหล่านี้มีความสุข สามารถใช้ประโยชน์จากความพิเศษเพื่อสร้างสรรค์มากกว่าทำลายตัวของเขาเอง

อินเตอร์เน็ตสร้าง “กึ่งคลุมถุงชน”

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
19 พฤษภาคม 2558

          การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในทุกสังคมใน ทุกยุคสมัย มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ประเพณีการแต่งงานแบบ ‘คลุมถุงชน’ ของอินเดียที่มีมายาวนานนับพันปีกำลังเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ทำให้ผู้หญิงมีสิทธิมีเสียงมากขึ้น

          ประดิษฐกรรมล้อเมื่อ 5 พันปีก่อน ทำให้มนุษย์มีเครื่องทุ่นแรงมหัศจรรย์ไม่ว่าจะเป็นการขนของตามแนวนอน (รถเข็น) หรือแนวตั้ง (ลูกรอก) สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่โต เช่น พิรามิด นครวัด ฯลฯ ทิ้งเป็นอนุสาวรีย์แก่ชาวโลก

          คนไทยรู้จักหม้อหุงข้าวไฟฟ้าประมาณปี พ.ศ. 2500 โดยเป็นประดิษฐกรรมของบริษัท Mitsubishi และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ไม่มีน้ำข้าวให้คนเจ็บ ให้สุนัขอีกต่อไป และแถมไม่มี ไม้ขัดหม้อไว้ดัดนิสัยลูกหลานกันอีกด้วย

          การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในรอบ 100 ปี มีมากมายเกินบรรยาย แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า smartphone ซึ่งปรากฏตัวอย่างสำคัญเมื่อ Apple เปิดตัว i-Phone รุ่นแรกในเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ. 2007 หรือเมื่อ 8 ปีก่อน มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้คนอย่างที่สุดของที่สุด

          ปัจจุบันตื่นนอนเช้าก็ได้ยินเสียงปิ๊ง ๆ จากการส่งสติ๊กเกอร์ใน Line ของเหล่าบรรดาแม่บ้าน และ ส.ว. ทั้งหลายทักทายกัน (สาย บ่าย เย็น ก็ยังทักทายกันอีก) ภาพที่เห็นเจนตาก็คือครอบครัว นั่งทานข้าวกัน แต่ละคนก็มี smartphone ข้างหน้าคนละเครื่อง และนั่งจ้องจออย่างให้ความสนใจเต็มที่จนการพูดจากันแบบมนุษย์ปกติเหมือนเมื่อสมัยก่อน ค.ศ. 2007 นั้นแทบไม่มี

          smartphone ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่อยู่ใกล้กันนั้นอ่อนแอลง แต่อาจช่วยทำให้ความสัมพันธ์ที่ไกลกันเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็นมา เพราะถึงอยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้ ติดต่อสื่อสารกลับไปมากันได้ในเวลาไม่กี่วินาทีซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่จะใช้โทรศัพท์ทางไกลแต่ละครั้งก็ต้องเดินทางไปไปรษณีย์กลาง จดหมายส่งไปทีหนึ่งก็ 7-10 วัน กลับมาอีกครั้งก็ 7-10 วัน หากเป็นโทรเลขกลับไปมาก็ไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง

          โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากมายในไม่ถึง 10 ปีเมื่อมี smartphone โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ครอบคลุมไปทั่วโลก ไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้ไป 10-20 ปี สังคมมนุษย์ที่เคยอยู่กันแบบเดิม ๆ มาประมาณสองแสนปีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

          ในอินเดียการแต่งงานของลูกสาวเป็นหน้าที่สำคัญของพ่อ การแต่งงานคือเครื่องมือของการสร้างความมั่นคง การสร้างความเชื่อมต่อ การสร้างและรักษาความมั่งคั่ง ฯลฯ ของครอบครัวตนเอง ไม่ใช่เรื่องของความรัก ดังนั้นการคัดเลือกเจ้าบ่าวมาร่วมชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และเรื่องสำคัญอย่างนี้ใครจะมา “รู้ดีเท่าพ่อ” ดังนั้นการแต่งงานแบบ “คลุมถุงชน” (เข้าใจว่ามาจากภาษาไก่ชน กล่าวคือจำเป็นต้องเอาถุงมาคลุมเพื่อไม่ให้ตื่นกลัวก่อนจะเอามาตีกัน ดังนั้นชื่อจึงไม่ค่อยเป็นมงคลนัก)

          บังเอิญประเพณีในอินเดียที่มีมายาวนานคือผู้หญิงสู่ขอผู้ชาย ดังนั้นพ่อจึงต้องคัดสรรเจ้าบ่าวจากข้อมูลที่ได้มาจากเครือข่ายพ่อสื่อแม่ชักที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสันเพราะได้ผลประโยชน์ตอบแทน เมื่อตัดสินใจเลือกแล้วและตกลงกันในเรื่องสินสอดซึ่งฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้จ่ายได้ลงตัว การแต่งงานก็เกิดขึ้น

          อย่างไรก็ดีในรอบ 5-6 ปีผ่านมา วิธีการคัดสรรเจ้าบ่าวได้เปลี่ยนไปแล้วจนกลายเป็น “กึ่งคลุมถุงชน” เนื่องจากลูกสาวและอาจมีพี่ชายน้องสาวเข้ามาร่วมมีส่วนด้วย ทั้งนี้เนื่องจากพ่อได้ข้อมูลจากเว็บไซต์ในอินเดียที่อยู่มากกว่า 1,500 แห่ง ซึ่งลูกสาวสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้เช่นเดียวกัน

          การจะมาบังคับกันเต็มที่ในสไตล์ “คลุมถุงชน” สำหรับคนที่อยู่ในเมืองซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 31 นั้นทำได้ยาก ลูกสาวปัจจุบันมีสิทธิมีเสียงมากขึ้นเพราะสามารถเสนอแนะคนอื่นจากเว็บไซต์อื่นที่น่าสนใจกว่าและน่าจะลงตัวกว่าได้

          ที่เรียกว่า “ลงตัว” ก็หมายถึงชายนั้นมีหน้าตาและพื้นฐานอยู่ในวรรณะ ศาสนา การศึกษา อาชีพ ฐานะของครอบครัว ฯลฯ ซึ่งน่าจะทำให้ไปกันได้ดีในการสร้างครอบครัวใหม่

          วัฒนธรรมการ ‘ออกเดท’ ในอินเดียนั้นมีน้อยถึงแม้ในปัจจุบันก็ตามที แต่การนัดพบ ดูตัวจริงกันก่อนที่จะตกลงปลงใจหลังจากต่างได้รับข้อมูลแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเว็บไซต์มีมากขึ้น อย่างไรก็ดีสำหรับคนในชนบทนั้นก็ยังคงเป็น ‘คลุมถุงชน’ แบบเต็มที่เหมือนเดิม

          เว็บไซต์หนึ่งประกาศตัวว่าเขาสามารถช่วยให้เกิดการแต่งงานได้ถึงเดือนละ 50,000 คู่ และสถิติจากการสำรวจพบว่าประมาณร้อยละ 25 ของจำนวนการแต่งงานทั้งหมดในหนึ่งปีของอินเดียมาจากการแต่งแบบ ‘กึ่งคลุมถุงชน’ การแต่งงานเพราะความรักแบบชาวโลกโดยไม่ต้องให้พ่อแม่เลือก และให้ความเห็นชอบนั้นมีเพียงร้อยละ 5 ที่เหลือก็คือการแต่งงานแบบ ‘คลุมถุงชน’ แบบดั้งเดิม

          ผู้เขียนเคยเห็นประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์อินเดียวันอาทิตย์เมื่อหลายปีก่อน มีทั้งหญิงและชายประกาศหาคู่ ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นผู้จ่ายสินสอดระบุลักษณะที่ต้องการ เช่น หน้าตา บุคลิกภาพ ศาสนา วรรณะ ระดับการศึกษา หรือแม้แต่ระดับของสินสอดที่ยินดีจะจ่าย ถ้าเป็นแพทย์ วิศวะ ก็จะมีสินสอดสูง บางคนประกาศว่าถ้าจบจาก

          มหาวิทยาลัยมีชื่อจากต่างประเทศจะให้สินสอดสูงเป็นพิเศษก็มี บ้างก็ระบุว่าวรรณะไม่สำคัญ ขอเพียงมีความจริงใจ มีความซื่อสัตย์และมีความพร้อมทางใจที่จะมีครอบครัวร่วมกันเท่านั้น

          สินสอดในเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มีวัตถุประสงค์ให้เกิดมีเงินก้อนหนึ่งเป็นทุนเริ่มต้นของชีวิตคู่สมรส (เขาไม่ได้ตั้งใจให้พ่อแม่ ดังนั้นจงอย่ารับไว้) เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตของทั้งสอง ถึงแม้จะมีความพยายามของทางการอินเดียให้ยกเลิกประเพณีสินสอดแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมันค้านประเพณีที่มีมายาวนาน

          สินสอดในอินเดียโดยเฉพาะในชนบทบ่อยครั้งที่ก่อให้เกิดผลเสีย ครอบครัวที่ยากจนและมีลูกสาว เมื่อไม่มีปัญญาจ่ายสินสอดเลือกเจ้าบ่าวให้ลูกก็เกิดความอับอายเพราะเสียหน้า ดังนั้นว่ากันว่าในแต่ละปีมีเด็กหญิงที่เกิดมาและหายไปอย่างอธิบายไม่ได้ปีละหลายล้านคน

          บางครั้งได้สินสอดไปแล้ว ลูกสาวย้ายไปอยู่บ้านผู้ชายแล้ว แต่ก็ยังถูกบังคับจากครอบครัวสามีให้มาเอาทีวี ตู้เย็น เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ก็ถูกทุบตี หรือถูกฆาตกรรมก็มีไม่น้อย เพื่อครอบครัวฝ่ายชายจะได้แต่งงานใหม่และได้สินสอดอีก

          เป็นเรื่องน่ายินดีที่หญิงในอินเดียมีโอกาสมากขึ้นในการเลือกคนที่จะมาเป็นสามี ถึงแม้จะไม่เสรีเต็มที่ก็ตามผ่านความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัวที่ยอมรับความเป็นสมัยใหม่ให้ลูกได้มีสิทธิมีเสียงเพิ่มขึ้น

          ไม่ว่าพ่อเลือกให้หรือเลือกเอง การเลือกสามีก็เปรียบเสมือนซื้อล๊อตเตอรี่ ต่อให้ได้ เลขสวยแค่ไหนก็มีโอกาสทำใบล๊อตเตอรี่หาย และบ่อยครั้งที่ตัวเลขสวยบนล๊อตเตอรี่มันเลือนไป หรือก็ไม่เคยถูกรางวัลเลยเพราะเลขที่ออกมีแต่เลขไม่สวย

พิษสัตว์เป็นยาแก้ปวด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
12 พฤษภาคม 2558

          มนุษย์นั้นฉลาดสุดยอดเพราะสามารถนำสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างนึกไม่ถึง เมื่อเห็นแมงมุมกัดฉกเหยื่อจนเป็นง่อยหมดฤทธิ์ มนุษย์ก็คิดว่าในพิษที่ปล่อยออกมานั้นน่าจะมีอะไรที่ทำให้ร่างชาไร้ความรู้สึก จึงคิดสกัดพิษนั้นแล้วนำมาทำเป็นยาแก้ปวดดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

          เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อแก่เฒ่าลงร่างกายก็จะรู้สึกปวดเมื่อย หรือมีความรู้สึกปวดตามร่างกายส่วนต่าง ๆ อยู่เสมอ มีสถิติว่าเฉลี่ยร้อยละ 15 ของประชากรผู้ใหญ่ในโลกเผชิญกับสภาวะปวดเรื้อรัง วงการแพทย์โดยปกติก็มักใช้ morphine หรือ hydrocodone รักษาคนไข้เหล่านี้ แต่ก็มักเกิดปัญหาติดยาและใช้ยาเกินขนาดอยู่บ่อย ๆ จนต้องมองหายาชนิดใหม่

          นักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นว่าแมงมุม (spider) ใช้พิษจากตัวมันฆ่าหรือทำให้ศัตรูเป็นง่อย นักวิจัยจาก University of Queensland ในออสเตรเลียเมื่อเร็ว ๆ นี้สามารถสกัดได้เจ็ดสารหลักในพิษแมงมุมซึ่งทำหน้าที่ขวางกั้นเส้นทางของสัญญาณจากประสาทที่สร้างความเจ็บปวดสู่สมอง

          ในที่สุดก็พบว่าสารหลักตัวหนึ่งในเจ็ดตัวซึ่งมาจากพิษของแมงมุมพันธุ์บอเนียวสีส้มมีลักษณะเหมาะสม กล่าวคือมีศักยภาพของความมีเสถียรและมีพลังเพียงพอที่จะนำมาพัฒนาเป็นยาแก้ปวดได้ การศึกษาชิ้นนี้ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสารชื่อ British Journal of Pharmacology

          นักวิจัยอธิบายว่าหากพัฒนายาชนิดนี้ขึ้นมาได้ก็จะเป็นประโยชน์มากเพราะมันทำงานแตกต่างจากยาแก้ปวดปกติที่ใช้กันอยู่ซึ่งมักทำให้เกิดการติดยาขึ้น กล่าวคือมันทำงานด้วยการไป กีดขวางเส้นทางเดินเฉพาะระหว่างความเจ็บปวดและสมอง ในขณะที่ยาแก้ปวดที่มีฐานจากฝิ่นเช่น morphine ทำงานในทางตรงกันข้าม กล่าวคือมันไปกีดขวางเซลล์รับความรู้สึกทั้งหมดที่กระจายอยู่ทั่วไปทั้งในสมองและกระดูกสันหลังและอวัยวะอื่น ๆ

          แมงมุม (spider) ในโลกนี้มีมากกว่า 43,678 พันธุ์ กระจายอยู่ในเกือบทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในออสเตรเลีย นักวิจัยกลุ่มนี้วิเคราะห์พิษของ 305 สายพันธุ์แมงมุมในท้องถิ่น และจากประเทศอื่น ๆ เป้าหมายก็คือการสกัดสารหลักจากพิษแมงมุมและศึกษาว่าสารหลักใดจากสัตว์ชนิดใดที่มีผลกระทบต่อการขีดขวางช่องทางเดินพิเศษซึ่งส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังทั่วทั้งร่างกาย

          นักวิจัยพบว่าประมาณร้อยละ 40 ของแมงมุมเหล่านี้มีสารหลักที่เป็นตัวกีดขวางช่องทางพิเศษดังกล่าว ขั้นต่อไปคือการทดลองกับสัตว์ (ความโชคร้ายของสัตว์) เพื่อหาผลข้างเคียงของการใช้สารหลักที่สกัดจากพิษแมงมุมดังกล่าวมาทำเป็นยาแก้ความเจ็บปวดเรื้อรัง

          งานศึกษาในลักษณะนี้มิได้ขีดวงอยู่เฉพาะแมงมุม หากครอบคลุมไปถึงงูพันธุ์ดุของอาฟริกาที่มีชื่อว่า Black Mamba (คุณลุงยังจำได้ไหม ตอนน้ำท่วมที่ว่ามีทั้งจระเข้ ปิรันยา และงู Mamba) ซึ่งหากโดนกัดแล้วไม่รอดแน่เพราะพิษนั้นรุนแรงมาก นักวิจัยในฝรั่งเศสพบว่าพิษของงูชนิดนี้ก็สามารถสะกัดมาทำยาระงับความปวดเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือน morphine

          สัตว์อีกชนิดหนึ่งคือ sun anemone (สัตว์เติบโตเรียงตัวกันเหมือนพรมในแนวปะการังของทะเลคาริบเบียน) ก็มีนักวิจัยอเมริกาศึกษาพิษของมันเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันตนเองบกพร่อง

          นอกจากนักวิจัยสนใจพิษสัตว์เหล่านี้เพราะทำให้เหยื่อเป็นง่อยจนไม่มีความเจ็บปวดแล้ว ยังสนใจเพราะนักพันธุกรรมค้นพบว่าบางคนที่มียีนส์พิเศษซึ่งมีชื่อว่า SCN9A นั้นไม่มีความสามารถที่จะรู้สึกเจ็บปวดได้เลย

          คนเหล่านี้รู้สึกเมื่อสัมผัส รู้สึกถึงความอบอุ่น แต่ความสามารถในการรับรู้กลิ่นและความเจ็บปวดจากความร้อนและหนาว ถูกของมีคม หรือฟกช้ำนั้นถูกจำกัดมาก นักวิทยาศาสตร์พบว่าพิษจากแมงมุมและสัตว์บางชนิด หรือแม้แต่พืชบางชนิดก็ไม่ทำให้คนเหล่านี้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นได้เช่นกัน

          นักวิจัยออสเตรเลียพบว่าแมงมุมพื้นเมืองที่มีชื่อว่า Sydney funnel-web spider ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญว่ามีพิษดุร้ายและน่ากลัว เนื่องจากเมื่อถูกคุกคามจะแสดงออกอย่างก้าวร้าวมาก พิษจะไหลเยิ้มจากเขี้ยว อย่างไรก็ดีพิษของมันไม่มีสารหลักที่จะเป็นตัวไปกีดขวางเส้นทางเดินพิเศษของความเจ็บปวดได้

          หน้าตาหรือขนาดหรือท่าทางของแมงมุม แมลงป่อง งู ผึ้ง ตัวต่อ ตลอดจนสัตว์อื่น ๆ ที่มีพิษจากการกัดและต่อย มิได้เป็นเครื่องประกันว่าพิษของมันจะสามารถนำมาเป็นยาระงับความปวดเรื้อรังได้ งานวิจัยอย่างรอบคอบเท่านั้นที่จะเป็นตัวตัดสิน

          หากพิจารณาเรื่องพิษของสัตว์เหล่านี้แล้ว ก็จะรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์หนักเป็นร้อย ๆ กิโลกรัม ตายหรือเจ็บปวด หรือเป็นง่อยหมดความรู้สึกได้ด้วยพิษหนักไม่ถึง 3 กรัม ในเวลาไม่กี่นาที ธรรมชาติสร้างกลไกความสมดุลเพื่อมิให้สัตว์ใหญ่และมนุษย์กลายเป็นนักเลงโตที่ไม่มีใครปราบได้ และมีจำนวนมากจนอาจเป็นปัญหาแก่โลก

          ไม่ว่ากลไกความสมดุลของธรรมชาติจะเป็นอย่างไร มนุษย์ก็สามารถทำลายสารพัดกลไกลงได้ด้วยมันสมอง แถมยังเอาพิษของมันมาใช้แก้ปัญหาของเหล่ากอตัวเองอีกด้วย สัตว์ชนิดนี้น่ากลัวจังเลย

เสียน้ำตาเพราะ Zero

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
5 พฤษภาคม 2558

          ภาพยนตร์เรื่อง Zero หรือ เอ-เอ็น-โนะ-เซะ-โระ ดังมากในญี่ปุ่นในปี 2014 เพราะมีพล๊อตเรื่องที่กินใจคนญี่ปุ่น เพลงไพเราะพร้อมกับฉากสงครามเครื่องบินรบที่เห็นจริงจัง ภาพยนตร์เรื่องนี้มีสาระที่น่าไตร่ตรอง

          Takashi Yamazaki ผู้สร้างผู้มีชื่อเสียงทุ่มฝีมือเต็มที่และไม่ผิดหวัง เพราะไม่ถึง 2 เดือนในต้นปี 2014 ทำเงินได้สูงถึง 2,700 ล้านบาท เฉพาะในญี่ปุ่นแห่งเดียว จนเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้น และได้รับรางวัล Golden Mulberry จาก Udine Far East Film Festival ในอิตาลี

          พล๊อตเรื่องก็มีอยู่ว่าคุณยายของครอบครัวเสียชีวิต หลานหญิงชายจึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วคุณตามิได้เป็นคุณตาทางสายเลือด คุณยายเคยแต่งงานมาก่อนและมีลูกคือแม่คนเดียว และก็ไม่มีลูกกับคุณตาคนนี้

          หลานหญิงชายได้ทราบว่าคุณตาจริงตายไปนานแล้วในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นนักบิน คุณตาคุณยายและแม่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย ทั้งสองเกิดสนใจและอยากรู้ว่าคุณตาตายอย่างไร จึงค้นจากอินเตอร์เน็ต และมีคนที่รู้จักคุณตาเขียนตอบมาหลายคน เขาจึงไปสัมภาษณ์ว่าคุณตาของเขาชื่อ Miyabe เป็นนักบินที่รบเก่งกาจแค่ไหน ตอนแรกทั้งสองช๊อกและเสียใจเมื่อคนรู้จักหลายคนบอกว่าคุณตาเป็นคนขี้ขลาด คิดแต่จะเอาตัวรอดให้มีชีวิตกลับมาหาลูกเมีย จนกระทั่งไปพบเพื่อนคุณตาจึงได้รู้ว่าเรื่องจริงมันซับซ้อนกว่านั้น

          ความจริงที่รู้จากเพื่อนคุณตา Miyabe ก็คือคุณตาเป็นนักบินที่ขับเครื่องบินเก่งมาก แต่มักจะยิงต่อสู้และหลบมาบินสูง ๆ เพื่อหลีกการเผชิญหน้า ต่อมาเป็นครูฝึกนักบินซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกว่า “กลุ่มโจมตีพิเศษ” หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Kamikaze ซึ่งเป็นนักรบที่ขับพุ่งเข้าชนเรือรบของฝ่ายพันธมิตรเพื่อทำลายล้าง (อาจเป็นต้นฉบับของเหตุการณ์ 9-11 ก็เป็นได้)

          คุณตาทำหน้าที่คุ้มกันเครื่องบินลูกศิษย์ Kamikaze ที่เมื่อออกบินไปก็ต้องตายแน่ ๆ และเป็นคนกล้าที่จะพูดว่าตัวเองต้องการมีชีวิตกลับบ้านไปหาลูกเมีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะอารมณ์ความรู้สึกของทหารญี่ปุ่นในยุคนั้นก็คือออกรบมาตายเพื่อชาติ Miyabe เห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะลูกศิษย์ของเขาต้องตายเปล่า ๆ อย่างน่าสมเพช โอกาสที่จะเข้าไปใกล้เครื่องบินบรรทุกเครื่องบิน (เป็นฐานบินเคลื่อนที่) ซึ่งเป็นเป้าสำคัญแทบจะไม่มี

          ถึงตรงนี้ขอกล่าวถึงบริบททางประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศญี่ปุ่นประกอบ เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่ฮาวายตอนต้นเดือนเดือนธันวาคม 1941 จนสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นแล้ว ฝ่ายพันธมิตรซึ่งมีอังกฤษและสหรัฐอมริกาเป็นหัวหอกก็เริ่มตีกลับรบกับญี่ปุ่นหนักตั้งแต่ศึก Midway จนถึงหมู่เกาะ Marianas ใกล้ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่นก็ต้องถอยร่นตลอดเพราะสูญเสียเครื่องบิน อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์ที่ไม่สามารถมีฐานทัพที่ใช้เป็นหลักแหล่งปลอดจากการถูกโจมตีได้

          รบกันมา 2-3 ปี จนพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในฝรั่งเศสในกลางปี 1944 และ รุกคืบไปเบอร์ลินเพื่อถล่มนาซี ลางแพ้ของเยอรมันนีปรากฏให้เห็นตั้งแต่เข้ายึดเมืองใหญ่ของสหภาพ โซเวียตไม่ได้ และในที่สุดยอมแพ้ในต้นเดือนพฤษภาคม 1945

          ในการรบที่หมู่เกาะ Marianas ในกลางเดือนมิถุนายน 1944 ภายในวันเดียวกองทัพอากาศญี่ปุ่นสูญเสียเครื่องบินไป 500-600 ลำ กองทัพอากาศญี่ปุ่นก็ตัดสินใจใช้ไม้เด็ดคือการ จู่โจมตีพิเศษหรือ Kamikaze โดยเริ่มปฏิบัติการวันที่ 19 มิถุนายน 1944

          สถิติของการโจมตีอย่างกล้าหาญแต่น่าสังเวชใจก็คือญี่ปุ่นสูญเสียนักรบ Kamikaze ไป 3,860 คน อัตราที่พุ่งชนสำเร็จคือร้อยละ 19 โดยสามารถพุ่งเข้าชนเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ 7 ลำ และเรือรบ 40 ลำ (5 ลำจม 23 ลำเสียหายอย่างหนัก และอีก 12 ลำ เสียหายปานกลาง)

          ความบ้าคลั่งของผู้นำทางทหารและของผู้นำญี่ปุ่นปลุกเร้าให้ทหารสู้รบอย่างไม่ระย่อ ค่านิยมภายใต้ลัทธิบูชิโดซึ่งหล่อหลอมสังคมซามูไรมากว่า 260 ปี คือความจงรักภักดีและเกียรติยศแพร่กระจายในความคิดของทหาร

          คุณตา Miyabe ทนเห็นการส่งลูกศิษย์ตายทุกวันไม่ไหว เพราะเชื่อว่าตนเองอยู่รอดได้ก็เพราะลูกศิษย์ตายแทนจากการอยู่หน่วยจู่โจมพิเศษ ดังนั้นวันหนึ่งคุณตา Miyabe จึงอาสาร่วมหน่วย จู่โจมพิเศษ โดยแลกเครื่องบินกับทหารรุ่นน้องที่ชอบพอกันคนหนึ่งก่อนขึ้นบิน ทหารคนนี้ที่รอดกลับมาบอกว่าตนเองไม่ได้เข้าร่วมรบเพราะเครื่องบินเสียต้องลงจอดเสียก่อน

          ไม่ขอเล่าตอนจบ ต้องไปดูกันเองเพราะเรื่องมันยอกย้อนได้ปวดหัวใจ กรุณาทายว่าทหารรุ่นน้องคนนี้ชีวิตจะผูกพันกันในตอนหลังอย่างไร และชีวิตของคุณยายต้องเจออะไรบ้างเมื่อสามีตายต้องอยู่กับลูกสาวอย่างแร้นแค้น พร้อมกับรอคอยการกลับมาตามคำสัญญาของสามีก่อนออกไปรบ

          ภาพยนตร์เรื่องนี้งดงามด้วยการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของคุณตา Miyabe ความกล้าหาญอย่างบ้าบิ่นและเลือกไม่ได้ของเหล่าทหาร Kamikaze ความไร้สาระอย่างเจ็บปวดของสงคราม ความรักภักดีต่อลูกเมีย การต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความรักชาติ ความห่วงใยประเทศในอนาคต และทิ้งปมของความขัดแย้งระหว่างความรักชาติกับความรักครอบครัว

          ประโยคที่ประทับใจของเรื่องนี้คือคำกล่าวรำพึงของคุณตาหลังคุณยายเสียว่าในสถานการณ์หลังสงครามเช่นนี้ ทุกคนล้วนมีเรื่องหลัง (ที่เจ็บปวดและไม่อยากให้ใครรู้) ด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือทิ้งมันเสียและจงมีชีวิตอยู่ต่อไป

          ต่อนี้ไปเมื่อเห็นรูปเครื่องบินรุ่น Zero ของกองทัพอากาศญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ต้องมองด้วยความคารวะเพราะเตือนให้นึกถึงการเสียสละ ยอมสู้รบด้วยใจเด็ดเดี่ยว ถึงแม้จะเป็นหนทางที่สิ้นหวัง และเป็นยุทธศาสตร์ที่บ้าคลั่งของคนที่สั่งการแต่ตัวเองไม่ตายด้วยก็ตามที
 

เครื่องบินตกอย่างจงใจ

วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
28 เมษายน 2558

          อุบัติเหตุเครื่องบินตกของสายการบินลูกของ Lufthansa เมื่อเร็ว ๆ นี้สร้างความ ตื่นตระหนกแก่ชาวโลก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจงใจของกัปตันผู้ช่วยจนทำให้กว่า 100 ชีวิตสูญไปอย่างน่าสลดใจ

          การเดินทางด้วยเครื่องบินถือว่าปลอดภัยมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพาหนะประเภท อื่น ๆ ทั้งโลกในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากเครื่องบินตกเฉลี่ยประมาณ 800 ราย ทั้ง ๆ ที่มีผู้เดินทาง ทั่วโลกนับพันล้านคน (หากคนเดียวเดินทางหลายครั้งก็นับไปในตัวเลขนี้ด้วย) แค่คนไทยตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ใน 20 วัน (ตายวันละประมาณ 40 คน) ก็เท่ากับจำนวนคนตายจากเครื่องบินตกทั้งโลกแล้ว
 

          ตัวเลขแบบนี้ยังไม่เป็นวิทยาศาสตร์พอเพราะระยะทางของการเดินทางของรถและเครื่องบินไม่เท่ากัน ถ้าเดินทางยาวก็ย่อมมีจำนวนสูงเป็นธรรมดาดังนั้นจึงต้องปรับให้เป็นสถิติดังนี้ คือโดยเฉลี่ยทุก 100 ล้านไมล์ของการเดินทางมีจำนวนคนตายจากการโดยสารเครื่องบิน 0.01 คน จากรถโดยสารและรถไฟ 0.05 คน และจากรถยนต์ 0.72 คน
 

          ถ้าพิจารณาในด้านความเป็นไปได้ของการเสียชีวิตจากเครื่องบิน ผู้เดินทางคนหนึ่งในเที่ยวบินหนึ่งมีความเป็นไปได้ในการตายจากเครื่องบินตก 1 ใน 11 ล้าน (ในสหรัฐอเมริกา 1 ใน 23 ล้าน) ในขณะที่ความเสี่ยงจากการถูกปลาฉลามกัดตายคือ 1 ใน 3.7 ล้าน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเสี่ยงน้อยมาก
 

          อย่างไรก็ดีถ้าไปถามผู้โดยสารของเที่ยวบิน 9525 ตอนปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาของสายการบิน Germanwings ซึ่งเป็นสายการบินลูกราคาประหยัดของสายการบิน Lufthansa อันเลืองชื่อแล้วคงไม่เห็นด้วย เพราะจู่ ๆ กัปตันผู้ช่วยก็จัดการลดความสูงของเครื่องบินจนชนภูเขาบริเวณเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส
 

          กล่องดำบันทึกเสียงที่เก็บมาได้แสดงให้เห็นว่า Andreas Lubitz กัปตันผู้ช่วยอายุ 27 ปี วางแผนฆ่าตัวตายไว้ล่วงหน้า มีเสียงเขาสนับสนุนให้กัปตันไปเข้าห้องน้ำหลังจากที่เครื่องบินไต่ได้เพดานการบินแล้ว ทันทีที่กัปตันออกจากห้องบังคับการบินเขาก็ล็อกประตูทันทีและลดความสูงลงอย่างทันด่วน เทปบันทึกเสียงมีเสียงกัปตันทุบประตูให้เปิด แต่ก็ไม่ยอมเปิดจนสิ้นเสียงพร้อมกับเสียงหวีดร้องของผู้โดยสาร
 

          คำถามก็คือทำไม Lubitz ต้องทำอย่างนั้นด้วย? สายการบินรับคนป่วยสติแตกอย่างนี้เข้ามาทำงานได้อย่างไร ? อาการป่วยของเขาไม่ปรากฏให้ผู้คนเห็นเลยหรือ? ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชี้ว่าเขาป่วยจากการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอหรือ?
 

          ยิ่งสอบสวนก็ยิ่งมึนงง เพราะระหว่างที่เขาฝึกบินภายใต้การดูแลของสายการบิน Lufthansa เขาหยุดการฝึกไป 9 เดือน เพื่อไปรักษาตัวซึ่งถือว่าผิดปกติและเขาก็กลับมาเรียนต่อจนจบหลักสูตรได้เป็นกัปตันผู้ช่วย
 

          สายการบินใหญ่ไม่เคยทราบประวัติความจ็บป่วยทางจิตที่ทำให้เขาต้องออกไปพักรักษาตัวเลยหรือ? คำตอบที่พบอาจยิ่งทำให้เกิดคำถามที่น่ากลัวยิ่งขึ้น ขนาดสายการบินชั้นนำของโลกซึ่งมีระบบการควบคุมความปลอดภัยชั้นยอด มีประวัติความปลอดภัยเป็นเยี่ยม ยังมีเครื่องบินตกอย่างจงใจโดยนักบินเพื่อฆ่าตัวตายพร้อมผู้โดยสารเกิดขึ้นได้และนับประสาอะไรกับสายการบินอื่น ๆ ที่มีอยู่นับเป็นพัน ๆ ทั่วโลกในยุคสายการบินประหยัดและนโยบาย “open sky” หรือเปิดท้องฟ้าเสรีไม่มีการผูกขาดให้สายการบินแห่งชาติสายเดียวดังที่เคยเป็นมากันทั่วโลก
 

          หัวใจของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ระบบการตรวจสอบความเจ็บป่วยของนักบิน สายการบิน ทั่วโลกมีระบบตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข็มข้นแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วก็ถือว่ามีระบบที่ดีมีมาตรฐานแต่ที่หลุดรอดไปได้ในกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามันโยงใยกับประเด็นจิตวิทยาสังคมและกฎหมายของเยอรมันอย่างเป็นพิเศษ
 

          ในประเทศนี้การเก็บความลับระหว่างคนไข้กับหมอถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว การฝ่าฝืนเพียงเล็กน้อยมีโทษทางกฎหมายรุนแรง แพทย์ผู้รักษา Lubitz ไม่ได้รายงานให้นายจ้างทราบเพราะถือว่าการเก็บความลับเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์
 

          เหตุที่คนเยอรมันแตกต่างจากคนในชาติอื่นในเรื่องความเป็นส่วนตัวเช่นนี้ก็เชื่อว่ามาจากประวัติศาสตร์ ในช่วงนาซีรุ่งเรืองของฮิตเลอร์ ความลับส่วนบุคคลแทบไม่มี ความเป็นส่วนตัวก็ไม่มี เป็นใครมาจากไหน มีสายเลือดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิวจะต้องเปิดเผยหมด รัฐสอดส่องหาข่าวด้วยการใช้สายลับ เพื่อน เพื่อนบ้าน ญาติ เช่นเดียวกับยุคเยอรมันตะวันออก (ค.ศ. 1949-1990) ที่รัฐคอมมูนิสต์ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง
 

          เมื่อประวัติศาสตร์พลิกผันกลับ คนเยอรมันจึงอ่อนไหวต่อเรื่องความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ และภายใต้บริบทเช่นนี้ประวัติความเจ็บป่วยของนักบินจึงไม่ถึงมือนายจ้าง
 

          สาเหตุที่ Lubitz ฆ่าตัวตายก็เชื่อว่าเกี่ยวพันกับจดหมายจากแพทย์หลายคนที่ตรวจอาการของเขาซึ่งพบในอพาร์ทเม้นท์ แพทย์มีความเห็นว่าเขามีความผิดปกติทางจิตและกำลังสูญเสียการมองเห็นในตาข้างหนึ่ง ความหวาดเกรงว่าต้องออกจากงานเพราะความป่วยทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง เขามีความฝันว่าวันหนึ่งจะต้องเป็นกัปตันของสายการบิน Lufthansa ให้ได้
 

          การเริ่มสูญเสียการมองเห็นในตาข้างหนึ่งเป็นผลพวงจากความเจ็บป่วยที่เรียกว่า Psychosomatic กล่าวคือความซึมเศร้า ความเจ็บป่วยทางจิตมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยทางกายขึ้น
 

          การระมัดระวังความเป็นส่วนตัวทำให้ไม่มีใครทราบว่าเขาเป็นใครมาจากไหนแม้แต่ในปัจจุบัน เหตุใดจึงป่วยทางจิตตั้งแต่อายุต้น 20 ปี ถึงแม้คนที่รู้จักเขาจะบอกว่าเขาเป็นคนปกติทุกอย่างก็ตามที
 

          คนที่ต้องรับความผิดไปเต็ม ๆ ก็คือสายการบิน Lufthansa เนื่องจากเป็นผู้ให้การฝึกฝน ดูแล สนับสนุนจนเขาได้เป็นนักบิน ทั้งที่สามารถเห็นอาการของเขาได้จากระบบการตรวจสอบตั้งแต่ตอนฝึกหัดเป็นนักบินในช่วงปี ค.ศ. 2009 อีกทั้งยังได้เป็นนักบินของสายการบินนี้มาแล้วถึง 2 ปี คำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือเขาสามารถหลุดรอดระบบการตรวจสอบความเจ็บป่วยของนักบินที่ตั้งไว้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของการบินได้อย่างไร
 

          Murphy’s Law ซึ่งเป็นกฎที่รู้จักกันทั่วโลกบอกว่า “ถ้าสามารถมีอะไรที่จะผิดพลาดได้แล้ว ความผิดพลาดจะเกิดขึ้นเสมอ” ดูจะเป็นจริงในเรื่องนี้ จะทำอย่างไรให้การเป็นไปตาม Murphy’s Law ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

มะนาวนิ้วของออสเตรเลีย

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
21 เมษายน 2558 

          การแสวงหาพืชผักและผลไม้ตามธรรมชาติมาใช้ในการประกอบอาหารหรือตกแต่งเพื่อแข่งขันกันกำลังเป็นทางโน้มสำคัญที่สามารถสร้างเงินทองได้มหาศาล มะนาวพันธุ์นิ้วของออสเตรเลีย (Australian Finger Lime) กำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

          ชื่อทางการของมะนาวนิ้วนี้ก็คือ Citrus australasica รูปร่างยาวรีมีขนาดประมาณนิ้วก้อย ผิวสีเขียว หรือม่วง หรือน้ำตาล หรือแดง สิ่งที่ดูแปลกและน่าบริโภคก็คือเนื้อในของมันประกอบด้วยเมล็ดขาวใส หน้าตาเหมือนไข่ปลาคาเวียร์ (ที่ถูกต้องคือไข่ปลา sturgeon พันธุ์ Beluga, Ossetra และ Sevruga แต่มนุษย์เรียกชื่อนี้กันจนชิน)

          มะนาวนิ้วเป็นพืชป่าขึ้นอยู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนสแลนด์ และ ตอนเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีอากาศร้อนคล้ายบ้านเรา เพียงแต่มีความชื้นน้อยกว่ามาก ลักษณะก็เป็นไม้พุ่มคล้ายต้นมะนาวคือมีหนามคม มีใบเรียว สูง 2-7 เมตร หากปลูกในกระถางโดยดูแลอย่างดีเพียงหนึ่งปีก็ให้ผลได้

          ฝรั่งที่มาตั้งรกรากในทวีปนี้เมื่อกว่า 200 ปีมาแล้วรู้จักมะนาวพันธุ์นี้ แต่คนออสเตรเลียทั่วไปในอดีตไม่รู้จักมัน ในบางบ้านเท่านั้นที่เอามาทำเป็นแยมหรือผักดอง การนำมะนาวพันธุ์นิ้วมาใช้ในการค้าเกิดขึ้นในกลางทศวรรษ 1990 โดยเอามาทำแยม ในปี 2000 ผู้คนเริ่มรู้จักมากขึ้นจากการเอามาตกแต่งอาหารให้งดงาม และเอามาใช้แทนที่มะนาวปกติ

          งานวิจัยมะนาวนิ้วของออสเตรเลีย เริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และพบว่าสามารถต้านทานโรครากเน่า อีกทั้งไม่เป็นแหล่งพักพิงของแมลงทำลายผลไม้ (fruit fly) อีกด้วย ดังนั้นจึงมีการนำมาผสมข้ามพันธุ์กับมะนาวพันธุ์อื่น ๆ จนได้ผิวและเนื้อในที่มีหลายสี คล้ายไข่ปลาคาเวียร์ โดยมีสีเขียวสีแดง สีส้มและขาวใส ลองจินตนาการดูว่าถ้าเอามาลอยหน้ากระท้อนหรือสละลอยแก้วแล้วจะงดงามน่ากินเพียงใด

          เม็ดปลาคาเวียร์ของมะนาวนิ้วมีรสชาติเหมือนมะนาว แต่ไม่เปรี้ยวและขมมาก เมื่อขบแตกจะมีน้ำออกมาซึ่งมีกลิ่นหอมและรสชาติเฉพาะตัว ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันจึงมีการนำมาปลูก เชิงพาณิชย์กันมากในบริเวณอากาศร้อนคล้ายเขตศูนย์สูตรออสเตรเลีย

          ในเว็บไซต์จะเห็นการเสนอขายออนไลน์กันมาก อยู่ในราคาประมาณ 700-800 บาท ต่อหนึ่งต้น ขนาดความสูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งฟุต ในบ้านเราขณะนี้ก็มีการขายกันคึกคักมากต้นละประมาณ 1,000 บาท และขายดีเสียด้วย

          ออสเตรเลียมีของดีที่โลกไม่รู้จักมากนักอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ Tea tree oil หรือน้ำมันจากต้นชา ซึ่งคำว่า tea tree ในที่นี้คนละเรื่องกับต้นชาที่เอาใบมาชงน้ำ ถึงแม้ว่าจะมีใบเรียวยาว เป็นไม้พุ่มเหมือนกันก็ตามแต่เป็นคนละพันธุ์โดยสิ้นเชิง เรื่องเล่ามีอยู่ว่ากัปตัน Cook ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทวีปนี้ใน ค.ศ. 1770 ได้เอาใบนี้มาทดลองชงน้ำกิน ลูกน้องจึงเรียกว่าชา

          ต้นไม้ชนิดนี้เป็นพืชพื้นเมืองอยู่ในบริเวณเดียวกับมะนาวนิ้ว คนออสเตรเลียสะกัดเอาน้ำมันซึ่งมีลักษณะใสและมีกลิ่นแคมเฟอร์ น้ำมันนี้เป็นพิษหากกินเข้าไป นิยมใช้ทา บนผิวหนังที่เป็นแผลเพื่อรักษา งานวิจัยพบว่าสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรค ช่วยรักษาสิว รักษาแผลจากเริม และการติดเชื้ออื่น ๆ บนผิวหนัง ตลอดจนสามารถกำจัดรังแคและเหาอีกด้วย

          ในเรื่องมะนาวนิ้วนี้ต้องระวังอย่าสับสนกับ finger lemon หรือพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า (Buddha’s Hand) ซึ่งเป็นมะนาวอีกชนิดหนึ่งซึ่งเติบโตในอินเดีย จีน ตะวันออกไกล ตลอดจนบ้านเรา

          มะนาวผลสีเหลืองชนิดนี้หน้าตาคล้ายหัวกระชาย กล่าวคือมีจุกและแยกลงมาเป็น ผลยาวคล้ายพริกชี้ฟ้าซึ่งมีจำนวนถึงกว่า 10 หัว บางครั้งนิ้วหรือพริกชี้ฟ้านี้ก็บานออก บางครั้งก็หุบเข้าหากัน ในจีนและญี่ปุ่นใช้อบผ้าและเพื่อส่งกลิ่นหอมในบ้าน อีกทั้งใช้บูชาพระ คนจีนบางกลุ่มถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสุข การมีอายุยืนและความมั่งคั่ง มักนำไปถวายวัดในตอนปีใหม่

          รสชาติของมันก็เป็นมะนาวเพราะอยู่ในตระกูล citrus เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากอ่อนไหวต่อความหนาวจึงมักใช้ต่อกิ่งกับต้นหลักเมื่อนำไปปลูกในเขตค่อนข้างหนาว เช่น ทางใต้ของรัฐคาลิฟอร์เนีย ปัจจุบันมีผู้นิยมปลูกเพราะยามเมื่อออกลูกเต็มต้นจะเป็นภาพที่งดงามและแปลกตา ปัจจุบันมีการนำมาตกแต่งและปรุงอาหารเช่นเดียวกับมะนาวพันธุ์นิ้วของออสเตรเลีย

          การนำมะนาวพันธุ์นิ้วออสเตรเลียจากป่ามาใช้เพี่อการค้าจนเริ่มสร้างรายได้มหาศาลมีบทเรียนสำหรับไทย จุดเริ่มต้นคืองานวิจัย เมื่อเข้าใจธรรมชาติของมันก็คัดเลือกพัฒนาพันธุ์โดยผสมข้ามกับมะนาวพันธุ์อื่นจนเกิดเป็นสีต่าง ๆ แปลกไปจากสีเขียวดั้งเดิม มีเนื้อในที่ไม่ขม และมีความงดงามคล้ายไข่ปลาคาเวียร์ยิ่งขึ้น
ลูกกะทกรกพันธุ์ใหญ่ ลูกมะเดื่อ ข้าวป่า ข้าวสีเข้ม ฯลฯ คือเพื่อนจากป่าของมะนาวนิ้วซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโต๊ะอาหารเช่นกัน และกำลังสร้างงานตลอดจนรายได้ให้แก่ ผู้เห็นอนาคตของมัน

          รายได้จากการเพาะพันธุ์ ขายเมล็ด ขายต้นให้แก่ชาวโลกออนไลน์ ตลอดจนการส่งออกผลของมันไปทั่วโลก พร้อมกับการประชาสัมพันธ์ภาพเนื้อในอันงดงามของมะนาวนิ้วคล้ายไข่ปลาคาเวียร์คู่ไปกับธุรกิจบริการอาหาร และการครัว เป็นเศรษฐกิจการเกษตรเชิงสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

          เรามีพืชป่าหลายอย่างที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ในเส้นทางนี้ วัตถุดิบของเราได้แก่สมุนไพรจำนวนมากมาย ลูกไม้ป่า พันธุ์ดอกไม้ป่า ผักและเห็ดที่เติบโตตามธรรมชาติ บางพันธุ์แค่ขายในอาเซียนก็รวยได้แล้ว

          เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าวิสัยทัศน์ผสมด้วยความคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างโอกาสของงานและรายได้อย่างไม่จำกัด

ปลอมตัวเป็นชายเพื่อให้ลูกอยู่รอด

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
14 เมษายน 2558

          สังคมที่มีผู้หญิงคนหนึ่งแปลงร่างแต่งกายเป็นชายนานนับสิบ ๆ ปี เพื่อทำงานหาเลี้ยงลูกน่าจะเป็นสังคมที่มีปัญหาเกี่ยวกับโอกาสของสตรี เรื่องราวเช่นนี้เป็นที่สนใจของชาวโลก

          หญิงชาวอียิปต์ชื่อ Sisa Abu Daooh ต้องต่อสู้ชีวิตหนักเมื่อสามีเธอตายและทิ้งลูกสาวหนึ่งคนไว้ให้เลี้ยงดู เธอรู้ดีว่าสำหรับหญิงม่ายมีลูกติดที่อ่านหนังสือไม่ออกในประเทศนี้ โอกาสที่จะมีงานทำ มีเงินทองเลี้ยงลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่โดนรังแกทางเพศนั้นเป็นไปไม่ได้

          เธอปลอมตัวแต่งตัว พูดจา และแสดงอาการกิริยาเป็นชายเป็นเวลายาวนานถึง 43 ปี โดยเริ่มทำตั้งแต่เมื่ออายุ 21 ปี (ปัจจุบันเธออายุ 64 ปี) และกระทำได้สำเร็จ ไม่มีใครจับได้

          เธออยู่ที่เมือง Luxor หากินด้วยการขัดรองเท้า รับจ้างแบกหาม ทำงานก่อสร้าง เรียกได้ว่าสารพัดเพื่อความอยู่รอด ปัจจุบันเธอก็ยังรับจ้างขัดรองเท้าอยู่ที่สถานีรถไฟในเมือง Luxor

          ผู้สื่อข่าวเป็นผู้ไปพบและนำเรื่องราวของเธอมาตีแผ่ให้โลกรู้ คนอียิปต์และชาวโลกต่างชื่นชมการทำงานหนักของเธอ เธอดังจนประธานาธิบดีอียิปต์ต้องมอบรางวัล ‘Woman Breadwinner’ ให้เธอเมื่อกลางเดือนมีนาคม 2015 ประธานาธิบดีบอกว่าเธอเป็น “ผู้หญิงทำงานที่เป็นพิเศษ”

          วันที่รับรางวัลที่ทำเนียบเธอก็แต่งกายเป็นชายไปรับ และบอกว่าเธอเคยชินกับเสื้อผ้าผู้ชายมา 43 ปี จึงไม่อยากเปลี่ยน จะทำงานต่อไปในชุดเดิมเหมือนที่เคยเป็นมา

          เหตุที่เรื่องนี้ดังมากในอียิปต์ก็เนื่องมาจากสังคมนี้มีการละเมิดทางเพศ (sexual harassment) กันอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นคำพูด ท่าทาง กิริยา จับมือถือแขน หรือลวนลาม(แตะอั๋ง) ฯลฯ ในสังคมส่วนใหญ่ของโลกในปัจจุบันการกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมาย หากเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานก็มีโทษหนักขนาดไล่ออกกันทีเดียว

          การเกเรกับผู้หญิงเช่นนี้ในอียิปต์เกิดขึ้นมากจนมีผู้หญิงออกมาประท้วงเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อมีความจริงว่าในการชุมนุมประท้วงขับไล่ Mubarak ประธานาธิบดีอียิปต์ที่อยู่มายาวนานใน ค.ศ. 2011 และในการขับไล่ประธานาธิบดี Mubarak ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อียิปต์ในอีก ปีต่อมา มีแก๊งชายฉกรรจ์ร่วมชาติข่มขืนหญิงอียิปต์ที่ออกมาประท้วงกลาง Tahir Square ซึ่งเป็นสถานที่นิยมสำหรับการนี้ (คล้ายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทย) ไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์การเมืองแต่อย่างใด

          ผู้หญิงที่ออกมาประท้วงหลายคนถูกจับไปและถูกบังคับให้ทดสอบ Virginity Test (ตรวจสอบความเป็นสาวบริสุทธิ์) ซึ่งเป็นเรื่องดูแคลนสร้างความอดสู ยิ่งไปกว่านั้นในครอบครัวก็มีความรุนแรง ถูกสามีตบตีหรือข่มขืนโดยสามีหากไม่เต็มใจหลับนอนด้วย และที่น่าตกใจก็คือเด็กผู้หญิงอียิปต์ถูกครอบครัวบังคับให้ทำ FGM (Female Genital Mutilation) โดยมีสถิติว่าในอียิปต์มีหญิงอายุเกิน 15 ปีที่ผ่าน FGM ถึง 48 ล้านคนในประเทศ 88 ล้านคน

          FGM หรือ คือการตัดอวัยวะเพศหญิงบางส่วนหรือทั้งหมด กล่าวคือตัด clitoris หนังหุ้ม clitorir แคมหรือ labia ทั้งใหญ่และเล็ก และในกรณีรุนแรงสุดคือตัดออกทั้งหมดอย่างหมดจดจนเหลือแต่ช่องคลอดและช่องปัสสาวะเท่านั้น

          FGM ไม่ใช่เรื่องของศาสนาแต่อย่างใด มันเป็นที่นิยมกระทำในอาฟริกาและตะวันออกกลาง เช่น เอธิโอเปีย โซมาเลีย ซูดาน เอริเทเรีย มาลี เซียร์ราลีโอน อียิปต์ ฯลฯ ที่น่าตกใจก็คืออียิปต์ซึ่งเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงกว่าก็ยังคงมี FGM อย่างเหนียวแน่น

          ความโหดร้ายของ FGM นั้นมีทั้งตัดสด ใช้ยาชา ใช้ยาสลบ โดยใช้ มีดโกนที่ไม่มีการฆ่าเชื้อโรคโดยหมอพื้นบ้าน บ้างก็ทำกับเด็กหญิงอายุไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ บ้างก็ทำตอน 5 ขวบ และบ้างก็ทำตอนเป็นสาว

          สาเหตุของ FGM ก็คือความต้องการไม่ให้ผู้หญิงมีความรู้สึกใด ๆ ทางเพศ โดยเชื่อว่าจะทำให้เป็นภรรยาที่จงรักภักดี อยู่ในโอวาทสามี เป็นลูกสาวที่เลี้ยงง่าย และเป็นเครื่องประกันว่าจะเป็นสาวบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน

          พ่อแม่และญาติสนับสนุน FGM โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งดีสำหรับเด็กผู้หญิง (ตัวเองก็เคยโดนมาก่อน คงคล้ายกับแค้นจากการรับน้องใหม่) ปัจจุบันที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติลงมติให้ทุกประเทศหยุดการกระทำอย่างเด็กขาด แต่ก็มีการแอบกระทำกันอย่างลับ ๆ

          ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา อียิปต์จึงเป็นสังคมผู้ชายโดยแท้ ผู้หญิงเปรียบเสมือน “ทาส” ดังนั้น “ทาส” ที่โดดเดี่ยวเพราะสามีตาย และแถมยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อีก จึงมีทางเลือกน้อยมาก

          การตัดสินใจของ Sisa จึงถือว่าฉลาดภายใต้เงื่อนไขของสังคมเช่นนี้ อย่างไร ก็ดีการต้องหลอกลวงผู้คนเป็นเวลา 43 ปี ไม่ใช่เรื่องสนุกหรือมีความสุข มหาตมะคานธีบอกว่า “เมื่อกายกับใจขัดแย้งกัน ความสุขก็เกิดขึ้นไม่ได้” การโกหกหลอกลวงซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้งดังกล่าวขึ้นจึงไม่น่าทำให้ Sisa มีความสุขใจนักแต่ก็ต้องต่อสู้เพื่อลูก

          Sisa สมควรได้รับความเห็นใจ ความชื่นชม และสังคมอียิปต์ควรใคร่ครวญ การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์เช่นนี้ว่ามีสาเหตุจากสิ่งใด และเป็นอุทาหรณ์ให้สังคมอื่น ๆ ด้วย

          ถึงเธอไม่มีหนวดไม่มีเครา มีเสียงพูดซึ่งคล้ายผู้ชายมากขึ้นเพราะดัดเสียงจนเป็นนิสัย ก็ไม่ก่อให้เกิดข้อสงสัยเนื่องจากเธอคงจะทำตนเป็นคนแปลกแยกจนไม่สนิทสนมกับใครเพื่อรักษาความลับ

          เธอทำทั้งหมดนี้ได้ตลอด 43 ปี ก็เพื่อการอยู่รอดของลูกสาวคนเดียวของเธอ

“ฆาตกรปลาหมอ” ตายเพราะปาก

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
7 เมษายน 2558

          ฆาตกร 3 ศพคาดไม่ถึงว่าการออกโทรทัศน์เพื่อแก้ต่างข้อกล่าวหาจะทำให้ตนเองถึงจุดจบเพราะเผลอรำพึงสารภาพโดยลืมไปว่ายังไม่ได้ถอดไมโครโฟนชนิดไร้สายออก ดังนั้นจึงเท่ากับบอกความจริงต่อหน้าคนดูรายการทั้งประเทศ

          Robert Durst ทายาทมหาเศรษฐีอเมริกันวัย 71 ปี ยินดีให้ HBO สัมภาษณ์ในรายการสารคดี “The Jinx: The Life and Deaths of Robert Durst” โดยแบ่งออกเป็น 6 ตอน ตอนสุดท้ายคือตอนที่มีคำสารภาพซึ่งออกอากาศไปเมื่อกลางเดือนมีนาคม 2015

          ชีวิตของ Robert นั้นแปลกอัศจรรย์ โลดโผน โหดร้ายทารุณอย่างเหลือเชื่อ เมื่อตอนอายุ 7 ขวบ เขาเห็นแม่กระโดดหรือพลาดตกลงมาจากยอดตึกของคฤหาสน์ครอบครัวเสียชีวิตจนเขาต้องเข้ารับการบำบัดจิตอยู่ระยะหนึ่ง

          พ่อของ Robert ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปู่ของเขาเป็นยิวยากจนที่อพยพจาก Austria-Hungary แต่สามารถสร้างตัวได้อย่างประสบผลสำเร็จ สามารถตั้ง Durst Organization ซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่ของครอบครัวใน ค.ศ. 1927

          Robert เรียนจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ในปี 1965 จาก Lehigh University ต่อมาเข้าเรียนหลักสูตรปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ที่ UCLA อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะใช้ชีวิตอิสระรักสันติภาพเต็มที่ สูบกัญชา บูชากูรู ฯ เช่นคนรุ่นนั้นในสหรัฐอเมริกา

          ในปี 1973 เขาแต่งงานกับ Kathleen McCormack หลังจากปีสุดท้ายที่เธอเรียน จบทันตแพทย์คือ 1982 ก็ไม่มีใครเห็นเธออีกเลย นี่คือศพแรกซึ่งก่อนหน้าเขาอาจ “ซ้อมมือ” ฆ่าเธอด้วยการฆ่าสุนัข เขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์ Alaskan Malamutes รวม 7 ตัวต่อเนื่องกัน (ทุกตัวตั้งชื่อว่า Igor) และทุกตัวหายไปอย่างลึกลับในช่วงเวลาก่อนที่ภรรยาจะหายตัวไป

          Robert กลับมาช่วยงานครอบครัวในนิวยอร์กอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะหายตัวไปหลังจากทะเลาะกับพี่น้อง ศพที่สองของเขาคือผู้หญิงคนใหม่ที่อยู่กับเขานานนับสิบปี เธอชื่อ Susan Berman เป็นญาติกับกลุ่มมาเฟีย แต่มาเฟียก็มาเฟียเถอะไม่สามารถช่วยชีวิตเธอได้เพราะในวันคริสต์มาสอีฟของปี 2000 มีผู้พบศพของเธอถูกยิงที่หัวในสไตล์การฆ่าของแก๊งทรชน

          Robert รู้ว่าตำรวจตามกลิ่นเขาอยู่จากคดีภรรยาหายตัวไป เขาเป็นผู้ต้องสงสัย (ไม่ได้รายงานการหายไปของภรรยาเป็นเวลาถึง 4 วัน) เนื่องจากคำให้การเกี่ยวกับการพบภรรยา ครั้งสุดท้ายของเขาแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และไม่น่าเชื่อถือ Susan ถูกตำรวจเรียกไปให้การคดีฆาตกรรม Kathleen เพราะเชื่อว่า Robert น่าจะเล่าอะไรบางอย่างให้เธอฟัง แต่ก่อนที่เธอจะเดินทางไป ให้การ เธอก็ถูกฆ่าเสียก่อน

          การตายของ Susan ครั้งสุดท้ายทำให้ตำรวจมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเขาเป็นฆาตกรจึงตามรอยเขาอยู่ตลอดเวลา ในปี 2000 เดียวกัน Robert แต่งกายเป็นหญิงด้วยเสื้อผ้าปอน ๆ ไปโผล่ขึ้นที่อพาร์ทเม้นท์ถูก ๆ ในเมือง Galveston รัฐเท็กซัส ในนามของ Dorothy Ciner (ชื่อจริงของเพื่อนหญิงในวัยเด็ก)

          อยู่ที่นั่นไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นอีก คือในเดือนกันยายนปี 2001 มีผู้พบชิ้นส่วนร่างกายของชายอายุ 71 ปี ชื่อ Moris Black พัดขึ้นมาบนชายหาด ถึงแม้จะไม่พบท่อนหัวแต่ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นชิ้นส่วนของเพื่อนบ้าน Dorothy (หรือ Robert) ตำรวจพบหยดเลือดเป็นทางระหว่างอพาร์ทเม้นท์ของ Black และ Dorothy

          เมื่อความแตกว่าเขาคือใคร เขาก็ถูกจับข้อหาฆ่า Black แต่ได้ประกันตัวและหนี เขาถูกจับได้ในเวลาไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อแอบขโมยแซนวิชจากร้านทั้ง ๆ ที่เขามีเงินในกระเป๋า 500 เหรียญ และยังมีเงินสดอีก 37,000 เหรียญอยู่ในรถ พร้อมกับปืน 2 กระบอก กัญชาและใบขับขี่ของ Black

          Robert จ้างทนายมือดีว่าความให้ เขาให้การยอมรับว่าเป็นคนหั่นร่างของ Black จริงด้วยมีด เลื่อย และขวาน ก่อนที่จะนำไปโยนลงไปในอ่าว แต่ทั้งหมดนี้เขากระทำไปเพื่อป้องกันตัวเองจากชายแก่ขี้โมโหผู้นิยมความรุนแรง

          คณะลูกขุนตัดสินให้เขาหลุดจากข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี แต่เขาติดอยู่เพียงปีเดียวก็ได้ออกมาในปี 2005 โดยมีเงื่อนไขว่าให้อยู่ใกล้บ้านตนเองห้ามเดินทางออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ดีเมื่อเขาหลบออกไปซื้อของนอกเขตก็บังเอิญพบผู้พิพากษาซึ่งจำเขาได้ เขาจึงถูกส่งเข้าคุกอีกครั้ง และหลุดออกมาได้อีกในเดือนมีนาคมปี 2006

          เรื่องราวชีวิตของเขาตอนที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าภรรยาถูกนำไปเป็นภาพยนตร์ชื่อ All Good Times ในปี 2010 Robert ถูกใจคนสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะทำให้เขาดูเป็นพระเอก ดังนั้นเมื่อผู้สร้างหันมาจับงานสารคดีของ HBO เล่าเรื่องชีวิตของเขา เขาจึงร่วมมือเต็มที่และเป็นจุดจบของเขาอย่างนึกไม่ถึง

          เรื่องราวจุดจบเป็นอย่างนี้ครับเมื่อการสัมภาษณ์จบลงเขาก็เข้าห้องน้ำพร้อมทั้งไมโครโฟนลอยโดยลืมนึกไปว่าการบันทึกเสียงก็ยังมีอยู่ เขาไปยืนหน้ากระจกและพูดกับตัวเองว่า “What the hell did I do? …..killed them all, of course” ข้อความที่อัดเสียงได้ชัดเจนนี้เปรียบเสมือนตะปูปิดฝาโลง

          ก่อนหน้าการสัมภาษณ์โดย HBO ไม่ถึง 24 ชั่วโมง เขาถูกจับในข้อหาฆ่า Susan Berman ซึ่งเปรียบเสมือนถูกจับใส่โลงไปแล้ว แต่ก็ไม่หวั่นไหวยังคงให้สัมภาษณ์แก้ต่างอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ก็คงรำคาญเต็มทีกับข้อกล่าวหาจนไประเบิดออกในห้องน้ำด้วยประโยคทองตอก ฝาโลงของตนเอง

          เหตุใดชีวิตของผู้ได้รับการศึกษามาดี มีครอบครัวที่ดี เติบโตมาอย่างสบายจึงโลดโผน และรุนแรงระดับฆ่าคนตาย 3 คน ซึ่ง 2 คนในจำนวนนี้เป็นคนที่เคยรักใคร่อยู่กินกันมาเป็นระยะเวลานาน

          สิ่งต่อไปนี้มีบทบาทอย่างไร และมากน้อยเพียงใดในการกำหนดชะตากรรมของเขา เช่น การเห็นแม่ตนเองเสียชีวิต การใช้ชีวิตอย่างอิสระในยุคปลายทศวรรษ 1960 อย่างไร้ขีดจำกัด ธรรมชาติของการชอบใช้ความรุนแรง ความเกเรในกมลสันดาน ความเจ็บป่วยของจิตใจ ความขัดแย้งกับผลประโยชน์ในครอบครัว ฯลฯ

          ไม่ว่าปัจจัยใดมีอิทธิพลมากน้อยเพียงไร การฆ่าคน 3 คนก็อภัยให้ไม่ได้ สวรรค์อาจมีตาจนทำให้สุภาษิตไทย “ปลาหมอตายเพราะปาก” เป็นจริงขึ้นมา

สักการะพุทธสังเวชนียสถาน

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
31 มีนาคม 2558

          เพิ่งเคยไปสักการะพุทธสังเวชนียสถานทั้งสี่ตำบลที่อินเดียและเนปาลเป็นครั้งแรก และเกิดความรู้สึกหลายอย่างที่อยากสื่อต่อ สิ่งที่เขียนนี้อาจซ้ำซากสำหรับท่านที่เคยไปมาแล้วต้องขออภัยด้วย

          เพื่อนร่วมเรียนชั้นมัธยมและเพื่อนฝูงรวม 16 ชีวิตได้เดินทางไปสวนลุมพินีวัน (สถานที่ประสูติ) ตำบลพุทธคยา (สถานที่ตรัสรู้) ตำบลสารนาถ (สถานที่แสดงปฐมเทศนา) และตำบลกุสินารา (สถานที่ปรินิพพาน) แห่งแรกอยู่ในเนปาล ที่เหลืออยู่ในอินเดียในรัฐพิหาร (Bihar หรือ วิหาร) ซึ่งเป็นรัฐที่จนที่สุด รายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย 6-7 เท่าตัว

          บริเวณที่ไปนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ปีหนึ่งเดินทางไปสักการะได้ไม่เกิน 3 เดือน (ช่วงปลายปีถึงประมาณเกือบปลายมีนาคมซึ่งคือช่วงหน้าหนาว เพราะ 9 เดือนที่เหลืออากาศร้อนมาก ๆ และมีฝุ่นมาก การเดินทางปัจจุบันสะดวกกว่าเก่าเพราะเดินทางได้ด้วยเครื่องบินเกือบทั้งหมด มีบางจุดเท่านั้นที่ต้องนั่งรถ
ความรู้สึกแรกก็คืออินเดียนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน คือ เห็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่มีการเสแสร้ง คนจนก็จนสุด ๆ ที่รวยก็รวยสุด ๆ ผู้เขียนไปอินเดียมา 6-7 ครั้ง ๆ ละสั้น ๆ แต่ก็ไม่เคยมาบริเวณนี้เลย เป็นความตั้งใจมาตลอดชีวิตว่าอยากมาสัมผัสพุทธิภูมิของบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเป็นตัวเรามากที่สุดคนหนึ่ง เมื่อมาถึงแล้วก็รู้สึกสับสน ใจหนึ่งยินดีที่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจมานาน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกสลดใจที่ความยากจนสุด ๆ นั้นมันยังคงอยู่อย่างแนบแน่นกับคนอินเดียส่วนหนึ่ง และอาจมีจำนวนหลายร้อยล้านคนในประชากร 1,300 ล้านคน ด้วย

          ระหว่างทางที่นั่งรถปรับอากาศประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าในตอนบ่ายจากพาราณสีสู่เมือง กุสินารานั้น ได้เห็นภาพชนบทที่งดงามและเห็นชีวิตของคนที่ลำบากยากจนมากสองข้างทางที่ ต้องทำงานหนักสารพัดเพื่อเอาตัวรอด และมันก็คงเป็นมาหลายพันชั่วคน (มนุษย์มีหน้าตาแบบปัจจุบันยาวนานประมาณ 7,500 ชั่วคน) และดูท่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกหลายชั่วคน เชื่อว่าชีวิตของบรรพบุรุษ ในสมัยพุทธกาลกับปัจจุบันก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก 2,500 กว่าปีผ่านมาแต่ก็ยังต่อสู้กับความยากจนเหมือนเดิม

          ใครที่มีโลภะสูงเมื่อเห็นคนเหล่านี้แล้ว มั่นใจว่าจะมีดีกรีลดลงไปเป็นอันมาก เพราะเขาไม่มีอะไรเลยก็ยังอยู่กันมาได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ นี่แหละคือความ ‘พอเพียง’ ที่ทำให้เขาอยู่กันมาได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์แสนสาหัส ทุกวันอาหารก็ไม่แตกต่างกัน ทนร้อนสุดและหนาวสุดด้วยบ้านหลังเล็กที่อยู่กันแน่น อาบน้ำ ซักผ้า ก็ต้องใช้ปั้มน้ำสาธารณะริมถนนร่วมกัน ส่วนส้วมก็คือทุ่งใหญ่ที่มีอากาศถ่ายเทร่มเย็นเป็นธรรมชาติ

          เกิดความรู้สึกขัดแย้งกันในประการแรกคือระหว่างความยินดีที่ได้ไปกับความสลดใจที่ได้เห็นความยากจนยังไม่พอ ยังมีความรู้สึกขัดแย้งในประการที่สองคือรู้สึกว่าเราไม่สามารถช่วยคนเหล่านี้ได้เลยถึงแม้เราจะสามารถช่วยบางคนได้บ้างก็ตามที

          ขอทานที่มีอยู่มากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนั้น การขอของเขาก็คือการทำงาน อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่มันมีจำนวนมากมายจนเป็นที่รู้กันว่าห้ามให้อย่างเปิดเผยเป็น อันขาด มิฉะนั้นอาจถูกกลุ้มรุมด้วยคนเป็นร้อยๆ วุ่นวายปั่นป่วนไปหมด การให้เด็กคนหนึ่ง สักร้อยสองร้อยบาท (บาทเป็นสกุลที่ผู้คนบริเวณนี้ยินดีต้อนรับ) เป็นสิ่งที่ทำได้โดยเราไม่เดือดร้อน และเงินจำนวนนี้ ถือว่ามากพอควรหากเทียบกับที่ให้กัน 10 รูปี (6 บาท) แต่เราก็ไม่อาจให้ได้ และมันก็มิใช่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนด้วย

          คนไทยที่ไปนั้นส่วนใหญ่นุ่งห่มขาว มีจำนวนมากเป็นร้อย ๆ คนที่เห็นในเวลา 7 วัน ทั้งหมดล้วนใจบุญ ชอบแจกเงิน แจกขนม แจกปากกา โดยรับทราบมาว่าต้องมีจังหวะ อันเหมาะสมในการแจก เช่น ให้แล้วขึ้นรถหรือไม่ก็ให้จากหน้าต่าง แต่ถ้าหากโยนลงไปเด็กอาจแย่งกันจนเกิดอันตรายได้หากของเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถ

          ความรู้สึกประการที่สามคือความรู้สึกปิติว่าได้มายังจุดหรือสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เคยประทับ ความรู้สึกเหมือนกับไปสุโขทัย เชียงใหม่ หรืออยุธยา คือรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งนี้ทำให้เกิดความสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้นถึงแม้จะเป็นพุทธมามกะ มาตลอดชีวิตก็ตาม รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างพระพุทธเจ้ากับตัวเราแคบลง

          เมื่อก่อนรู้สึกว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งเกินจำเป็น หากเรารักษาศีลห้า ทำความดี ละเว้นความชั่ว ไม่เบียดเบียนใครอย่างตั้งใจ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้เห็นการสวดมนต์กันอย่างจริงจังของเพื่อนผู้ร่วมเดินทางซึ่งมีพระเป็นผู้นำสวดในสถานที่สำคัญทุกแห่ง และเห็นคนไทยอื่น ๆ ที่ไปก็ล้วนสวดมนต์กันทั้งนั้น (ชาติอื่น ๆ ที่ไปสักการะก็คือธิเบต เนปาล ไต้หวัน จีน เวียดนาม ศรีลังกา เริ่มมีพม่ามากขึ้น) การอยู่ในสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศเช่นนี้ทำให้เกิดเห็นว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เป็นวาทกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกมุ่งมั่นกระทำตามหลักการของศาสนายิ่งขึ้น ทำให้จิตใจสงบ เกิดศรัทธายิ่งขึ้น ฯลฯ บทสวดมนต์ล้วนมีความหมายอันงดงามและเป็นมงคล การเปล่งวาจาตอกย้ำคำพูดเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งเสริมความเจริญสำหรับตนเองอย่างแน่นอน การร้องเพลงยังปลุกใจได้ แล้วทำไมการสวดมนต์จะมีประสิทธิภาพด้อยกว่าไปได้

          ในประการที่สี่ การเดินทางครั้งนี้ทำให้เข้าใจบริบททางสังคมและการเมืองของประวัติศาสตร์พุทธศาสนาและพระพุทธเจ้า ตลอดจนเรื่องราวของประเทศอินเดียซึ่งเป็นความสนใจของผู้เขียนมานานแล้วมากขึ้น ครั้งใดที่รู้สึกว่าประสบความลำบากในการเดินทางเมื่อนึกขึ้นมาว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าและผู้คนในสมัยนั้น ตลอดจนผู้คนยากจนสองข้างทางประสบนั้นหนักหนาสาหัสกว่าเราเป็นอันมาก เราแค่ต้องอดทนเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน แต่พวกเขาสิต้องทนไปตลอดชีวิต

          การเดินทางครั้งนี้เป็นไปตามที่พระท่านกล่าวคือต้องไปด้วยใจ ไม่ใช่ไปด้วยปาก (ได้กินอาหารอร่อย) ไปด้วยกาย (สะดวกสบาย) ไปด้วยตา (ความงดงาม) ไปด้วยหลัง (นอนสบาย) ไปด้วยสัมผัส (สุขสบายกายและใจ) ผู้เขียนเห็นว่ามันเป็นเที่ยวเดินทางทางจิตวิญญาณโดยแท้ เมื่อกลับมาแล้วก็ยังนึกถึง และอยากกลับไปเมืองใกล้เคียงอื่น ๆ ที่ไม่ได้ไป เช่น เมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลาประทับอยู่นานถึง 24 ปี ในเวลาที่เสด็จจาริกไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ คำสอนในช่วงเวลา 45 ปี และเป็นที่ตั้งของเชตวันวิหารและวัดบุพพารามซึ่งเป็นสถานที่ประทับสำคัญของพระพุทธเจ้าด้วย

          โลกผันแปรไปไม่รู้จบ ปัจจุบันเด็ก ๆ เรียกแขกผู้มาเยือนโดยเฉพาะคนไทยว่า “มหาราชา มหารานี” แทนที่จะเรียก ‘อาจารย์’ อย่างเก่า จนทำให้อดอมยิ้มไม่ได้ว่าช่างไปสรรหามาเรียกพร้อมกับพูดภาษาไทยต่อรองราคาได้คล่องแคล่ว คิดดูเถอะแม้แต่เด็ก ๆ ก็ยังปรับตัวตามโลกจากโลกธรรมสู่โลกทุนนิยม

          ถ้าถามว่านอกจากได้รับรสพระธรรมที่ได้รับรู้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพิ่มเติมแล้ว มีอะไรที่เป็นข้อคิดบ้าง ผู้เขียนชอบพระปัจฉิมวาจาก่อนปรินิพพานซึ่งมีความหมายที่ดีมากสำหรับท่าน ส.ว.ทุกคน ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

รู้จักภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

วรากรณ์  สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
24 มีนาคม 2558

          เรื่องที่เขียนวันนี้อาจไม่ถูกใจท่านผู้อ่านเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต้องเสียเงิน แต่ก็จำเป็นต้องนำเสนอเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญของการเป็นพลเมืองที่ดี ที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่กำลังพูดถึงกันอยู่มากในขณะนี้

          ในเบื้องต้นขอเรียนว่าภาษีที่เก็บบนมูลค่าทรัพย์สินนั้นที่จริงไม่ใช่ของใหม่ ประเทศต่าง ๆ ในโลกที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงบ้านเราเขามีกันทั้งนั้นโดยเฉพาะบางประเทศใน ASEAN ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ส่วนไทยนั้นก็มีเหมือนกันมายาวนาน เพียงแต่มันบิดเบี้ยวไม่เป็นธรรมจนต้องมีข้อเสนอใหม่จากรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องการเก็บภาษี บนฐานทรัพย์สินที่เป็นมาตรฐานของโลก

          ในปัจจุบันเรามีอย่างน้อยสองภาษีที่เก็บจากฐานทรัพย์สิน ภาษีแรกคือภาษีบำรุงท้องที่ที่เราจ่ายให้ กทม. หรือเทศบาลกัน มีหลายอัตราของการจัดเก็บ ถ้าที่ดินว่างเปล่าก็ถูกเก็บแพงหน่อย แต่ปัญหาก็คือมีข้อยกเว้น กล่าวคือเขตต่าง ๆ ของเมืองประกาศพื้นที่ขั้นต่ำที่ได้รับการยกเว้น เช่น 100 ตารางวา หรือนอกเมือง เช่น 1 ไร่

          ถ้าใครมีที่ดินต่ำกว่า 100 ตารางวาในเขตนั้น หรือนอกเมืองต่ำกว่า 1 ไร่ ก็ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ภาษีที่สองคือภาษีโรงเรือนและที่ดินที่เก็บจากค่าเช่า แต่ถ้าไม่มีการเช่าเพราะอยู่เองก็ได้รับการยกเว้นทั้งหมด

          ถ้าใครมีบ้านมูลค่า 100 ล้านบาท อยู่บนเนื้อที่ต่ำกว่า 100 ตารางวา ก็ไม่ต้องเสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียวเพราะได้รับการยกเว้นจากภาษีทั้งสอง แต่ถ้าใครมีบ้านหลังเล็ก ๆ ทำการค้า บนพื้นที่ต่ำกว่า 100 ตารางวา ก็ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่าเช่าที่ได้รับตามกฎหมายภาษีโรงเรือนของ พ.ศ. 2477 ส่วนที่ดินได้รับการยกเว้นจากภาษีบำรุงท้องที่

          เมื่อมันมีโอกาสไม่เป็นธรรมเช่นนี้ และมีข้อยกเว้นมากมายจนท้องถิ่นทั่วประเทศไทยเก็บได้น้อยมากเพียงปีละ 25,000 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงมีความพยายามตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ที่จะปรับปรุงด้วยการยกเลิกสองภาษีนี้และใช้ภาษีใหม่ที่ใช้มูลค่าที่ดินและมูลค่าที่อยู่อาศัยเป็นฐานภาษีตรง ๆ ไปเลย และมีข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด

          หลายรัฐบาลพยายามริเริ่มภาษีเช่นนี้แต่ก็เลิกไปทุกครั้งเพราะกลัวประชาชนจะไม่พอใจ (ไม่มีใครอยากเสียภาษีเพิ่มเป็นธรรมดา) แต่ครั้งนี้อยู่ในยุคปฏิรูปจึงมีความกล้าที่จะเสนอภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างโดยเก็บในอัตราที่ต่ำมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

          ตามข้อเสนอนั้นประเภทที่อยู่อาศัยถ้ามีมูลค่าต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเลย มูลค่า 1.5-5 ล้านบาทเสียภาษีในอัตรา 0.1 (หนึ่งล้านบาทจะเสียภาษีหนึ่งพันบาท) แต่จะลดให้ครึ่งหนึ่ง กล่าวคือถ้ามูลค่า 5 ล้านบาทก็ต้องเสียภาษี 5,000 บาท แต่เนื่องจากลดครึ่งหนึ่งจึงเสียภาษีแค่ 2,500 บาทต่อปี

          ที่อยู่อาศัยมูลค่า 5 ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษีอัตราร้อยละ 0.1 เช่น บ้านมูลค่า 10 ล้านบาทก็เสียภาษี 10,000 บาทต่อปี ซึ่งถ้าคนมีบ้านราคาขนาดนี้ก็ควรมีปัญญาจ่ายภาษีที่ น้อยกว่าค่าประกันรถยนต์

          มูลค่าที่อยู่อาศัยนี้มาจากราคาประเมินไม่ใช่ราคาตลาดซึ่งหมายถึงมูลค่าที่มาจากการประเมินหลังจากหักค่าเสื่อมไปแล้ว ซึ่งข้อเสนอก็มีการให้หักค่าเสื่อมของสิ่งปลูกสร้างถึง 69 แบบ เช่น ถ้าเป็นบ้านไม้ถ้ามีอายุ 19 ปี ก็ให้ลดหย่อนถึง 93% ของมูลค่าซึ่งหมายความว่ากว่าเจ้าของที่อยู่อาศัยจะเสียภาษี ก็ต้องหามูลค่าประเมินหลังจากหักค่าลดหย่อนตามอายุของสิ่งปลูกสร้างเสียก่อนจึงจะคิดภาษี

          เมื่อเป็นอย่างนี้ ภาษีที่เจ้าของที่อยู่อาศัยต้องจ่ายจริงจึงน้อยมาก ๆ ต่อปี อาจเป็นร้อย ๆ บาทก็เป็นได้ และจะเริ่มเก็บภาษีในอีก 1 หรือ 2 ปี ข้างหน้า ใครที่กังวลใจกลัวเสียภาษีจนนอน ไม่หลับก็พอคลายความกังวลใจได้ และจะตระหนักว่าความเป็นพลเมืองดีอันมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในการเสียภาษีนั้นมีราคาไม่แพงเลย

          มีการคาดคะเนว่าจะเก็บภาษีเช่นนี้ได้ถึง 200,000 ล้านบาทต่อปีโดยท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นการลดภาระของรัฐบาลกลางไปมากโดยไม่ต้องจ่ายเงินอุดหนุนให้ท้องถิ่นมากมายดังเคย จนสามารถเอาเงินนี้ไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟรางคู่ รถไฟใต้ดินบนดิน เครือข่ายไอที ใช้หนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่เป็นแสน ๆ ล้านบาท โครงสร้างบริการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุที่จะพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 30 ของประชากรในเวลา 15-20 ปี ชดเชยรายได้จากภาษีขาเข้าที่หายไปอันเนื่องจากการเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ฯลฯ

          ประเทศเรามีความจำเป็นในการหารายได้จากภาษีอากรอย่างมากใน 20-30 ปีข้างหน้า เรามีรายได้ที่หลุดรอดไปจากการเสียภาษีมากมาย เมื่อเก็บตอนเป็นรายได้ไม่ได้ก็สามารถตามไปเก็บได้ตอนเป็นทรัพย์สินที่อยู่อาศัยซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมีเลขที่ตามกฎหมายและย้ายหนีไม่ได้

          สำหรับทรัพย์สินประเภทที่ดินนั้นหากใช้เพื่อการเกษตรกรต่ำสุดคือร้อยละ 0.05 (หนึ่งล้านบาทจ่าย 500 บาท) เพื่อการพาณิชย์ร้อยละ 0.2 (หนึ่งล้านจ่าย 2,000 บาท) ที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะโดนหนักคือร้อยละ 0.5 (หนึ่งล้านบาทจ่าย 5,000 บาท) ซึ่งจะจูงใจให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่ปล่อยไว้โดยไร้ประโยชน์

          บ่อยครั้งที่เราอาจลืมไปว่าประโยชน์ที่เราได้รับจากภาครัฐ ไม่ว่าถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา ความปลอดภัย บริการสาธารณสุข ฯลฯ ล้วนมาจากการลงทุนมหาศาลซึ่งมาจากเงินภาษีอากรของประชาชน ทังสิ้น ถ้าประชาชนไม่ร่วมกันจ่ายภาษีก็ไม่มีเงินมาสร้างสิ่งเหล่านี้ได้เลย เมื่อเราต้องการสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องช่วยกันจ่ายภาษี

          ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างช่วยสร้างความเป็นธรรม เพราะคนมีเงินน้อยมีมูลค่าทรัพย์สินน้อยก็จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่ายเลย ใครมีทรัพย์สินมากก็จ่ายมาก ลักษณะเช่นนี้เป็นธรรม เพราะคนมีทรัพย์สินมากก็ได้รับการคุ้มครองจากรัฐมากกว่าคนมีทรัพย์สินน้อย (ถ้าสูญหายไปก็เสียประโยชน์มากเพราะมีทรัพย์สินมาก) ทางใดที่จะทำให้คนมีเงินต้องจ่ายภาษีมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในบ้านเรานั้นถูกต้องทั้งสิ้นเพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการหลีกเลี่ยงภาษีของคนมีเงินในสังคมไทยนั้นเป็นเกมส์ที่คนเหล่านี้ประสบชัยชนะมายาวนาน

          อย่ากังวลใจกับภาษีนี้เลยครับเพราะสิ่งแน่นอนสองอย่างในชีวิตที่เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้คือความตายและการเสียภาษี